คานา ตามที่ สานักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ได้มอบหมายนโยบายการ ปฏิบัติงาน ขอบเขตการปฏิบัติงาน ของกศน.อาเภอ และกศน.ตาบล ปฎิบัติงานตามนโยบายประจาปี งบประมาณ ๒๕๖๕ การศึกษาต่อเนื่อง การจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ หลักสูตรและการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการในรูปแบบของการฝึกอบรม การเรียนทางไกล การ ประชมุ สัมมนา การจดั เวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ การจดั กิจกรรมจิตอาสา การสรา้ งชุมชนนักปฏิบัติ และรูปแบบ อืน่ ๆ ทีเ่ หมาะสมกบั กลุ่มเปูาหมาย และบริทบของชุมชนแต่ละพื้นท่ี โดยเน้นการดาเนินตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง การเสรา้ งจติ สานึกความเป็นประชาธิปไตยความเป็นพลเมืองดี การบาเพ็ญประโยชน์ การ อนรุ กั ษพ์ ลังงาน ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม กศน.ตาบลปุาแดงจึงได้จดั ทาโครงการตามนโยบายและ จัดทาสรุปผลการจัดโครงการให้ผู้บริหารและ บุคคลที่สนใจได้ทราบในภาพรวม โดยประมวลรายละเอียดและผลการจัดโครงการในคร้ังนี้ไว้ หากมี ข้อผิดพลาดประการใด ผจู้ ัดทาขออภยั มา ณ โอกาศนี้ นายอัษฎาพร พว่ งปน่ิ ครู กศน.ตาบลปุาแดง
สารบัญ หนา้ ๑ ส่วนท่ี ๑ รายะเอยี ดโครงการ ๓ สว่ นที่ ๒ วิธกี ารดาเนนิ การ ๔ สว่ นที่ ๓ เนอ้ื หาสาระ 10 สว่ นท่ี ๔ ผลการดาเนินงาน 15 ส่วนท่ี ๕ สรปุ ผลโครงการ อภิปราย และข้อเสนอแนะ 18 ภาคผนวก เอกสารทเี ก่ียวข้อง รูปภาพกิจกรรม
1 ผลการดาเนนิ โครงการ โครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประโยชนจ์ ากสารกัญชง/กัญชา ************************************************************************************************** ส่วนที่ 1 รายละเอียดโครงการ โครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และประโยชน์จากสารกญั ชง/ แผนงาน งบประมาณ : การจัดการศึกษาต่อเน่อื ง งบประมาณ ๘๐๐ บาท ลกั ษณะโครงการ : ( / ) โครงการตอ่ เนอื่ ง ( ) โครงการใหม่ กลมุ่ งานผรู้ บั ผดิ ชอบ : งานการศึกษาต่อเนื่อง ๑. โครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง และประโยชน์จากสารกญั ชง/กญั ชา ๒. สอดคลอ้ งกบั นโยบาย และจุดเนน้ การดาเนนิ งาน กศน. สอดคลอ้ งกับมาตรฐานกศน. มาตรฐานการศกึ ษาต่อเน่ือง มาตรฐานที่ ๑ คณุ ภาพของผูเ้ รียนการศกึ ษาต่อเน่ือง ๑.๑ ผู้เรียนการศกึ ษาตอ่ เน่อื งมคี วามรู้ ความสามารถ และทกั ษะ และหรือ คุณธรรมเปน็ ไปตามเกณฑ์การจบหลกั สตู ร ๑.๒ ผ้จู บหลักสูตรการศกึ ษาต่อเนอ่ื งสามารถนาความรู้ท่ไี ดไ้ ปใช้ หรือประยุกต์ใช้ บนฐานค่านยิ มรวมของสังคม ๑.๓ ผู้จบหลักสูตรการศกึ ษาต่อเน่ืองท่นี าความรไู้ ปใชจ้ นเห็นเป็นประจกั ษ์หรือ ตัวอยา่ งที่ดี สอดคล้องกบั นโยบาย และจดุ เน้นการดาเนนิ งาน กศน. ๓.๑ ด้านการจดั การเรยี นรู้คณุ ภาพ ๑) นอ้ มนาพระบรมราโชบายสู่การปฏบิ ัติ รวมทง้ั ส่งเสริมและสนับสนนุ การดาเนินงานโครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดารทิ ุกโครงการ หรือโครงการอนั เกย่ี วเน่อื งจากราชวงศ์ ๓. หลกั การและเหตุผล เกษตรผสมผสาน เป็นระบบการเกษตรแบบ “ทฤษฎีใหม่” เป็นการบริหารจัดการท่ีดินในการเกษตร ให้มีประสทิ ธิภาพสูงสุด เป็นระบบที่มี การปลูกพืช และมีการเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิดในพื้นท่ีเดียวกัน โดย กจิ กรรมการผลติ แต่ละชนิดจะเกือ้ กูลกันให้เกิด ประสทิ ธภิ าพ มกี ารใช้ทรัพยากรท่มี ีอย่ใู นไรน่ า อย่างเหมาะสม ก่อเกิดประโยชน์ โดยการใช้ประโยชนจากพื้นท่ีของ ตนเอง อาทิเช่น ขุดสระเก็บน้าไว้ทานา เล้ียงปลา และ เพาะปลูกพืชต่างๆ ทาการปลูกพืชสวน ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น พืชผักสวนครัวหลังบ้าน พืชผักสมุนไพร และทา คอกสัตว์ ซงึ่ หลักสาคัญคอื ใหเ้ กษตรกรมีความพอเพียงโดยเล้ยี งตัวเองได้ ในระดบั ที่ประหยัด เกษตรกรนาไป ปฏิบตั ิในพ้นื ท่ีของตนเองได้เปน็ การเพม่ิ ผลผลิต และรายไดใ้ ห้แก่ครอบครัว การนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ มาสร้างแนวทางการดารงชีวิต ใหม่ เพราะการระบาดของไวรัสโควิด19 ครั้งนี้ ทาให้ชีวิตของคนไทยนับล้านเปลี่ยนแปลงไป หลาย ครอบครัวไม่สามารถกลับมาดาเนินชีวิตได้เหมือนเดิม การดารงชีวิตตามวิถีของเศรษฐกิจพอเพียงของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะช่วยสร้างความพอมีพอกินพอใช้และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
2 ปัจจุบันมีผลการวิจัยว่าสารสกัดจากกัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ หลายประเทศทั่วโลกยอมรับ และผ่อนปรน อนุญาตให้ประชาชนใช้พืชกัญชาเพอื่ ประโยชนท์ างการแพทย์ หรือการนันทนาการได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยเอง เปดิ โอกาสให้สามารถนากัญชาไปศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ ทางการแพทยแ์ ละนาไปใชใ้ นการรักษาภายใตก้ ารดแู ลและควบคุมของแพทย์ได้ กศน.อาเภอชาติตระการ จึงได้มอบหมายให้ กศน.ตาบลท้ัง ๖ แห่ง ดาเนินโครงการ จัดโครงการ เกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประโยชน์จากสารกัญชง/กัญชาข้ึน ในวันท่ี ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ ณ บ้านเลขท่ี ๑๐๐ หมู่ ๔ บ้านห้วยช้างแทง ตาบลสวนเม่ียง อาเภอชาติตระการ จังหวัด พิษณุโลก ๔. วัตถุประสงค์ ๑. เพ่อื ให้ผู้เข้ารบั การอบรมมคี วามรู้ความเข้าใจการทาเกษตรผสมผสาน แบบพ่ึงตนเอง ๒. เพอ่ื ใหผ้ ู้เขา้ รับการอบรมการน้าหมักตา่ งๆ และประโยชนจ์ ากสารกญั ชง/กญั ชา ๓. เพ่ือสง่ เสริมให้ผูเ้ ข้ารับการอบรมทาบญั ชีรายรับ-รายจ่าย 5. เป้าหมาย เชิงปริมาณ - ประชาชน จานวน 2 คน - วทิ ยากร/บุคลากรท่ีเกี่ยวขอ้ ง จานวน ๖ คน รวม 8 คน เชงิ คุณภาพ ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจการทาเกษตรผสมผสาน การทาปุ๋ย ยูเรยี น้า การทาจลุ นิ ทรีย์สังเคราะหแ์ สง การทายาไล่แมลง การทาบญั ชรี ายรับ-รายจา่ ยและประโยชนจ์ ากสาร กัญชง/กญั ชา และนาความรู้ทไ่ี ด้รบั มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ อย่างยัง่ ยืน 6. สถานที่ บา้ นเลขท่ี 100 หมู่ 4 บา้ นหว้ ยช้างแทง ตาบลสวนเมย่ี ง อาเภอชาติตระการ จงั หวัดพิษณุโลก 7. งบประมาณทไี่ ด้รับ 8๐๐.- บาท 8. ผูร้ บั ผิดชอบโครงการ - กศน.อาเภอชาติตระการ - งานการศึกษาต่อเนื่อง กศน.อาเภอชาติตระการ จังหวัดพษิ ณโุ ลก - ครูอาสาสมัครฯ - ครู กศน.ตาบล ทรี่ บั ผิดชอบ 9. เป้าหมายในการดาเนนิ โครงการ เปูาหมาย ประชาชนทัว่ ไป จานวน 2 คน ผลการดาเนนิ งาน 3 คน ชาย - คน หญิง 3 คน
3 ส่วนที่ 2 วิธกี ารดาเนนิ การ ผู้ดาเนินการจัดทาโครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประโยชน์จาก สารกญั ชง/กัญชา ได้ดาเนนิ การในการอบรมเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะหข์ อ้ มูลดงั นี้ การดาเนินการจัดกิจกรรม 1. เตรียมการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน - ประชุมวางแผนรูปแบบการจดั กิจกรรม - เลือกกิจกรรมท่ีจะจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน - มอบหมายงานให้บุคลากรท่ีเกยี่ วขอ้ ง - ติดตอ่ ประสางานในการจัดกจิ กรรม 2. วธิ กี ารดาเนินงาน - เขียนเสนอโครงการ - เสนอโครงการ - เตรียมการจดั กิจกรรมโครงการ 1. เตรียมการก่อนการจดั กจิ กรรมโครงการ - การจัดเตรยี มเอกสารโครงการ - ประสานงานตดิ ต่อผู้นาชมุ ชนในพ้นื ทเี่ ปาู หมาย - รวบเนอ้ื หาทจ่ี ะบรรยายในโครงการ - อ่นื ๆ 2. ตดิ ตอ่ ประสานงานเครอื ขา่ ย จัดการกจิ กรรมโครงการตามแผนท่วี างไว้ - ลงทะเบยี นผู้เข้าร่วมการกิจกรรมโครงการ - วทิ ยากรให้ความเรอ่ื งตา่ งๆตามกาหนดการ - ฝึกปฏิบตั ติ ามกาหนดการในโครงการ - สรปุ กิจกรรมย่อย - ปิดโครงการ - สรปุ รายงานผลการจัดกิจกรรมโครงการเป็นรปู เล่ม - รายงานผลการจดั กิจกรรมโครงการใหผ้ ู้ที่ เก่ียวข้องรบั ทราบ
4 สว่ นท่ี 3 เน้อื หาสาระ ผู้ดาเนินการจัดทาโครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประโยชน์จาก สารกัญชง/กัญชา ไดใ้ ช้สื่อใบความรู้ แบบบันทกึ ในการจัดกิจกรรมการเรียนร้เู รื่องดงั ต่อไปน้ี ๑. แนวคดิ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎใี หม่ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถงึ แนวการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ ระดบั ครอบครัว ระดบั ชมุ ชน จนถึงระดบั รฐั ทัง้ ในการพฒั นาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมา ยถึง ความ พอประมาณ ความมีเหตผุ ล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบ ใดๆ อันเกดิ จากการเปลีย่ นแปลงทัง้ ภายในภายนอก ทั้งน้ี จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความ ระมัดระวังอย่างย่ิงในการนาวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนินการ ทุกข้ันตอน และ ขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎี และนัก ธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสานกึ ในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วย ความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการ เปลย่ี นแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ท้ังด้านวัตถุ สังคม ส่ิงแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้ เปน็ อย่างดี ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จงึ ประกอบดว้ ยคุณสมบัติ ดังน้ี ๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียน ตนเองและผูอ้ ืน่ เช่น การผลติ และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ ๒. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงน้ัน จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทาน้ันๆ อย่างรอบคอบ ๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ท่ีจะ เกดิ ขึ้น โดยคานึงถงึ ความเป็นไปไดข้ องสถานการณต์ า่ งๆ ทค่ี าดวา่ จะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต เศรษฐกิจพอเพยี งความหมายกว้างกว่าทฤษฎีใหม่ โดยที่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดท่ีชี้บอก หลกั การ และแนวทางปฏิบัตขิ องทฤษฎใี หม่ ในขณะที่ แนวพระราชดาริเก่ียวกับทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรทฤษฎี ใหม่ ซ่ึงเป็นแนวทางการพัฒนาการเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น เป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ในทางปฏบิ ัติ ท่ีเปน็ รปู ธรรม เฉพาะในพ้ืนที่ท่ีเหมาะสม ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดาริ อาจเปรียบเทียบกับ หลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้นฐาน กับ แบบก้าวหน้า ได้ดังน้ีความพอเพียงในระดับ บคุ คล และครอบครัว โดยเฉพาะเกษตรกรเปน็ เศรษฐกิจพอเพียงแบบพน้ื ฐาน เทียบได้กบั ทฤษฎใี หม่ ทฤษฎีใหม่ข้ันต้น ใหแ้ บง่ พ้นื ที่ออกเป็น 4 สว่ น ตามอัตราส่วน 30:30:30:10 ซึ่งหมายถงึ พ้ืนท่ีส่วนท่ีหน่ึง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้าเพื่อใช้เก็บกักน้าฝนในฤดูฝน และใช้ เสรมิ การปลกู พชื ในฤดูแล้ง ตลอดจนการเล้ยี งสตั วแ์ ละพชื นา้ ตา่ งๆ พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจาวันสาหรับ ครอบครวั ให้เพยี งพอตลอดปี เพอ่ื ตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพง่ึ ตนเองได้ พ้ืนทสี่ ่วนที่สาม ประมาณ 30% ให้ปลูกไมผ้ ล ไม้ยืนตน้ พชื ผกั พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพ่ือ ใชเ้ ป็นอาหารประจาวนั หากเหลอื บรโิ ภคก็นาไปจาหน่าย
5 พืน้ ที่สว่ นทีส่ ี่ ประมาณ 10% เปน็ ทอี่ ย่อู าศยั เล้ยี งสตั ว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอ่ืนๆ ทฤษฎใี หม่ขั้นท่ีสอง เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้อง เรมิ่ ขนั้ ท่ีสอง คอื ใหเ้ กษตรกรรวมพลังกันในรปู กลมุ่ หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงรว่ มใจกันดาเนินการในด้าน 1. การผลติ (พนั ธพ์ุ ืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ) 2. การตลาด (ลานตากขา้ ว ยุ้ง เคร่ืองสีขา้ ว การจาหน่าย) 3. การเปน็ อยู่ (กะปิ น้าปลา อาหาร เครือ่ งนุ่งหม่ ฯลฯ) 4. สวสั ดิการ (สาธารณสุข เงนิ กู)้ 5. การศกึ ษา (โรงเรียน ทุนการศกึ ษา) 6. สงั คมและศาสนา ทฤษฎีใหมข่ นั้ ท่ีสาม เมือ่ ดาเนนิ การผ่านพน้ ข้ันที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนา ก้าวหน้าไปสู่ขั้นท่ีสามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ท้ังน้ี ท้ังฝุายเกษตรกรและฝุายธนาคาร หรือ บริษทั เอกชนจะได้รับประโยชนร์ ว่ มกนั กลา่ วคอื - เกษตรกรขายขา้ วได้ราคาสงู (ไม่ถกู กดราคา) - ธนาคารหรือบรษิ ัทเอกชนสามารถซ้ือขา้ วบรโิ ภคในราคาต่า (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกร และมาสีเอง) - เกษตรกรซ้ือเคร่ืองอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่า เพราะรวมกันซื้อเป็นจานวนมาก (เป็นร้าน สหกรณ์ราคาขายส่ง) - ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพ่ือไปดาเนินการในกิจกรรมต่างๆ ใหเ้ กิดผลดยี ิ่งขึน้ ๒. การทาการเกษตรผสมผสานตามแนวคิดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ระบบเกษตรกรรมที่จะนาไปสู่การเกษตรยงั่ ยนื โดยมีรปู แบบที่ดาเนินการมีลักษณะใกล้เคียงกัน และ ทาให้ผปู้ ฏบิ ัติมีความสบั สนในการให้ความหมายและวธิ ปี ฏบิ ัติทถี่ กู ต้อง ไดแ้ ก่ระบบเกษตรผสมผสานและระบบ ไร่นาสวนผสม ในทนี่ จ้ี ึงขอใหค้ าจากัดความรวมทง้ั ความหมายของคาท้ัง 2 คา ดังต่อไปนี้ ระบบเกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) เป็นระบบการเกษตรที่มีการเพาะปลูกพืช หรือการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ชนิดอยู่ในพื้นที่เดียวกันภายใต้การเกื้อกูล ประโยชน์ต่อกันและกันอย่างมี ประสิทธภิ าพสูงสุด โดยอาศัยหลกั การอยูร่ วมกนั ระหว่างพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อมการอยู่รวมกันอาจจะอยู่ใน รูปความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับพืช พืชกับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ก็ได้ ระบบ เกษตรผสมผสานจะประสบ ผลสาเร็จได้ จะตอ้ งมกี ารวางรูปแบบ และดาเนินการ โดยใหค้ วามสาคญั ต่อกจิ กรรม แต่ละชนิดอย่างเหมาะสม กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงินทุน ที่ดิน ปัจจัย การผลิตและ ทรพั ยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนรู้จักนาวัสดุเหลือใช้จากการผลิตชนิดหน่ึงมาหมุน เวียนใช้ ประโยชน์กับการผลติ อกี ชนดิ หนึง่ กับการผลติ อกี ชนิดหน่ึงหรอื หลายชนิด ภายในไร่นาแบบครบวงจร ตัวอย่าง กจิ กรรมดงั กลา่ ว เช่น การเลี้ยงไก่ หรือสุกรบนบ่อปลา การเลี้ยงปลาในนาข้าว การเล้ียงผึ้งในสวนผลไม้ เป็น ต้น ระบบไรน่ าสวนผสม (Mixed/Diversefied/Polyculture Farming System) เป็นระบบการเกษตรที่ มกี จิ กรรมการผลติ หลาย ๆ กิจกรรมเพื่อตอบสนองตอ่ การบรโิ ภคหรือลดความเสี่ยงจากราคา ผลิตผลท่ีมีความ ไม่แน่นอนเท่านั้น โดยมไิ ดม้ กี ารจัดการใหก้ ิจกรรมการผลิตเหล่าน้ันมีการผสมผสานเกื้อกูลกันเพื่อ ลดต้นทุน การผลิต และคานึงถึงสภาพแวดล้อมเหมือนเกษตรผสมผสานการทาไร่นาสวนผสมอาจมีการเกื้อกูลกันจาก
6 กิจกรรมการผลิตบ้าง แต่กลไกการเกิดข้ึนนั้นเป็นแบบ “เป็นไปเอง” มิใช่เกิดจาก “ความรู้ ความเข้าใจ” อย่างไร ก็ตาม ไร่นาสวนผสม สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถของเกษตรกรผู้ดาเนินการให้เป็นการ ดาเนินการในลกั ษณะ ของระบบเกษตรผสมผสานได้ รูปแบบของระบบเกษตรผสมผสาน ระบบเกษตรผสมผสานนั้น ถึงแม้ว่าเกษตรกรจะมีการดาเนินการกันมาช้านานแล้วก็ตามแต่ลักษณะ ของการดาเนินการ ยังมีความแตกต่างกันไป แล้วแต่การจะนาองค์ประกอบต่าง ๆ มาผสมผสานกันมากน้อย แค่ไหน และผสมผสานในรูป รูปแบบใดก็ตามยงั มีความหมายหลากหลาย การศึกษารายละเอียดเชิงวิชาการใน ดา้ นนก้ี ย็ ังมีไม่มาก เม่อื เปรยี บเทยี บ กบั การศึกษาในดา้ นกจิ กรรมเด่ยี ว ๆ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือปลาก็ตาม ฉะน้ันการกาหนดรูปแบบดาเนินการเกษตร ผสมผสานก็จะมีหลายแบบเช่นกัน ท้ังน้ีอาจจะยึดการแบ่งตาม วธิ ีการดาเนินการลักษณะพน้ื ท่ีกิจกรรมทด่ี าเนินทรพั ยากร เป็นตน้ ซึ่งพอทีจ่ ะกลา่ วได้ดังนี้ 1. แบ่งตามกจิ กรรมทด่ี าเนนิ การอยูเ่ ป็นหลัก 1.1 ระบบเกษตรผสมผสานทยี่ ึดกิจกรรมพชื เป็นหลัก ซึ่งกิจกรรมท่ีดาเนินการน้ีจะมีพืชเป็น รายได้หลัก 1.2 ระบบเกษตรผสมผสานที่ยึดกิจกรรมเล้ียงสัตว์เป็นหลัก ซ่ึงการดาเนินการเลี้ยงสัตว์จะ เป็นรายไดห้ ลกั 1.3 ระบบเกษตรผสมผสานที่ยึดกิจกรรมประมงเป็นหลัก ซ่ึงจะมีกิจกรรมเลี้ยงสัตว์น้าเป็น รายได้หลกั 1.4 ระบบเกษตรผสมผสานแบบไร่นาปุาผสมหรือวนเกษตรเป็นระบบที่มีการจัดการปุาไม้ เปน็ หลกั รว่ มกบั การเกษตร 2. แบ่งตามวิธกี ารดาเนนิ การ 2.1 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีการใช้สารเคมี ในระบบการผลิตจะมีการใช้สารเคมีใน กจิ กรรมต่าง ๆ เพอื่ จุดประสงค์ ใหไ้ ด้ผลผลิตและรายไดส้ งู สุด 2.2 ระบบการเกษตรอินทรีย์หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช ฮอรโ์ มน สารเคมีในอาหาร สตั ว์ คานึงถึงการสงวนรกั ษาอนิ ทรียวัตถุในดินด้วยการปลูกพืชหมุนเวียนการปลูก พืชคลมุ ดนิ ใชป้ ุย๋ คอกปุ๋ยหมัก ใช้ เศษอนิ ทรียวตั ถุจากไร่นา มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พืชด้วยการบารุงดิน ให้อดุ มสมบรู ณ์ ผลผลิตทไ่ี ด้ก็จะอยู่ในรปู ปลอดสารพิษ 2.3 ระบบการเกษตรธรรมชาติ เปน็ ระบบการเกษตรที่ใช้หลักการจัดระบบการปลูกพืชและ เล้ียงสัตวท์ ปี่ ระสานความ ร่วมมอื กบั ธรรมชาตอิ ยา่ งสอดคล้องและเก้ือกลู ซึ่งกันและกนั 3. แบ่งตามประเภทของพืชสาคัญเปน็ หลกั 3.1 ระบบเกษตรผสมผสานท่มี ขี ้าวเป็นพืชหลกั พ้นื ทสี่ ว่ นใหญจ่ ะเป็นทนี่ าทาการปลูกข้าวนา ปเี ป็นพชื หลักการผสม ผสานกิจกรรมเขา้ ไปใหเ้ ก้ือกลู อาจทาไดท้ งั้ ในรปู แบบของพืช-พชื เช่นการปลูกพืชตระกูล ถวั่ พชื ผัก พืชเศรษฐกิจอน่ื ๆ พ้นื ท่ีนาบางสว่ นเปน็ ร่องสวนปลูกไม้ผลเลย้ี งปลาในรอ่ งสวน เล้ียงสัตว์ปีก โค โดย ใช้เศษอาหารจากพืชตา่ ง ๆ ในฟารม์ ให้เป็นอาหารสัตวไ์ ดด้ ้วย 3.2 ระบบเกษตรผสมผสานที่มีพืชไร่เป็นพืชหลัก การผสมผสานกิจกรรม พืช-พืช เช่น ลกั ษณะการปลูกพืชตระกูลถั่ว แซมในแถวพืชหลัก เช่น ข้าวโพด มันสาปะหลัง ฝูาย เป็นต้น สาหรับรูปแบบ ของกิจกรรม พชื -สัตว์ เช่น ปลกู พชื อาหาร สตั วต์ า่ ง ๆ ควบคกู่ บั การเลย้ี งโค การปลูกหม่อนเล้ยี งไหม เปน็ ตน้
7 3.3 ระบบเกษตรผสมผสานทมี่ ีไมผ้ ล ไม้ยืนต้น เป็นพืชหลัก การผสมผสานกิจกรรม พืช-พืช เช่น การใช้ไม้ผลตา่ งชนดิ ปลูกแซม เช่น ในกรณโี กโก้แซมในสวนมะพร้าว การปลูกพืชตระกูลถ่ัวในแถวไม้ผล ยืนต้น การปลูกพืชต่างระดับ เป็นต้น รูปแบบกิจกรรม พืช-สัตว์ โดยการเล้ียงสัตว์ เช่น โคในสวนไม้ผล สวนยางพารา การปลกู พชื อาหารสตั วใ์ นแถวไม้ผล ไม้ยนื ต้น แลว้ เลีย้ งโคควบคจู่ ะมกี ารเก้อื กูลซ่งึ กนั และกนั 4. แบ่งตามลักษณะของสภาพพ้ืนท่ีเป็นตวั กาหนด 4.1 ระบบเกษตรผสมผสานในพืน้ ท่ีสงู ลกั ษณะของพืน้ ท่จี ะอยู่ในท่ีของภูเขาซึ่งเดิมเป็นพ้ืนท่ี ปาุ แต่ได้ถูกหักล้างถางพง มาทาพืชเศรษฐกิจและพืชยังชีพต่าง ๆ ส่วนใหญ่พื้นที่มีความลาดชันระหว่าง 10- 50% ด้ังเดิมเกษตรกรจะปลูกพืชใน ลักษณะเชิงเด่ียวอายุส้ัน เช่น ข้าว ข้าวโพด พืชตระกูลถั่ว ผักต่าง ๆ ซ่ึง มักจะเกิดปัญหาของการทาลายทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม มีการชะล้างหน้าดินสูง ความอุดม สมบูรณข์ องดินลดลงรวดเรว็ มผี ลกระทบต่อผลผลิตพืชใน ระยะยาว ฉะนั้น รูปแบบของการทาการเกษตร ผสมผสานจะชว่ ยรกั ษาหรือชะลอความสญู เสยี ลงไดร้ ะดบั หนงึ่ 4.2 ระบบเกษตรผสมผสานในพ้ืนที่ราบเชิงเขา พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นท่ีดอนอาศัยน้าฝน มี การปลกู พืชไรช่ นดิ ตา่ ง ๆ เปน็ หลัก รองลงมาจะเปน็ ไมผ้ ลยืนต้น ขา้ วไร่ 4.3 ระบบเกษตรผสมผสานในพ้ืนทด่ี อน โดยทัว่ ไปในพื้นท่ีดอนจะมีการปลูกพืชไร่เศรษฐกิจ ต่าง ๆ เชิงเดี่ยวเป็นหลัก ลักษณะของการทาการเกษตรผสมผสานอาจทาได้หลายรูปแบบ เช่น ลักษณะการ ปลูกพืชแซม โดยใช้พชื ตระกูลถ่ัวแซม ในแถวพืชหลกั ต่าง ๆ เช่น ข้าวโพด ฝูาย มันสาปะหลัง ฯลฯ การเปลี่ยน พน้ื ท่เี ป็นไมผ้ ล ไม้ยนื ต้น ไมใ้ ช้สอยผสมผสาน และอาจจะมพี ชื ตระกลู ถัว่ แซมในแถวพืชหลักในระยะแรก ๆ อีก แนวทางหนง่ึ ได้แก่ การใชพ้ ้นื ที่มาดาเนินการเลี้ยง ปศุสัตว์ เช่น โค และปลูกพืชอาหารสัตว์ควบคู่กันไป เป็น ตน้ 4.4 ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นนาข้าวแบบแผนการปลูก พชื ส่วนใหญ่จะเป็นข้าว อย่างเดียว ข้าว-ข้าว, ข้าว-พืชไร่เศรษฐกิจ, ข้าว-พืชผักเศรษฐกิจ, พืชผัก-ข้าว-พืชไร่, พืชไร่-ขา้ ว-พืชไร่ เป็นตน้ การจะปลกู พืชได้มากครง้ั ในรอบปีขน้ึ อยู่กบั ระบบการชลประทานเปน็ หลัก 3. การทาบญั ชคี รัวเรือน/การพงึ่ พาตนเอง การทาบัญชี คือ การจดบันทึก ข้อมูลเกี่ยวกับเงื่อนไขปัจจัยในการดารงชีวิตของตัวเอง และภายใน ครอบครัว ชมุ ชน รวมถึงประเทศ ขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการบนั ทึกจะเป็นตวั บง่ ชอ้ี ดีตปจั จุบนั และอนาคตของชีวิตของ ตัวเอง สามารถนาข้อมูลอดีตมาบอกปัจจุบันและอนาคตได้ ข้อมูลท่ีได้ ท่ีบันทึกไว้ จะเป็นประโยชน์ต่อการ วางแผนชวี ิตและกิจกรรมต่าง ๆ ในชวี ติ ในครอบครัว บญั ชคี รวั เรอื น มิไดห้ มายถึง การทาบญั ชีหรอื บนั ทกึ รายรบั รายจา่ ยประจาวันเท่าน้ัน แต่อาจหมายถึง การบันทึกข้อมลู ด้านอน่ื ๆ ในชีวติ ในครอบครัว เป็นต้น ของเราได้ด้วย เช่น บัญชีทรัพย์สิน พันธุ์พืช พันธ์ุไม้ ในบา้ นเราในชมุ ชนเรา บัญชีความรู้ความคิดของเรา บัญชีผู้ทรงคุณ ผู้รู้ในชุมชนเรา บัญชีเด็กและเยาชนของ เรา บัญชีภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ ของเรา เป็นต้น หมายความว่า ส่ิงหรือเร่ืองราวต่าง ๆ ในชีวิตของเรา เราจด บันทึกได้ทุกเร่ือง หากประชาชนทุกคนจดบันทึกจะมีประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชนและประเทศ จะ เป็นแหลง่ เรยี นรู้ ครอบครวั เรยี นรู้ ชุมชนเรียนรู้ และประเทศเรียนรู้การเรยี นรู้เป็นที่มาของปัญญา ปัญญาเป็น ท่ีมาของความเจริญทั้งกาย สังคม ใจ และจิตวิญญาณของมนุษย์จะเห็นว่า การทาบัญชี หรือการจดบันทึกน้ี สาคัญย่งิ ใหญ่มาก บคุ คลสาคญั ในประเทศหลายท่านเป็นตัวอย่างท่ีดีของการจดบันทึก เช่น ท่านพุทธทาส ใน หลวง และสมเด็จพระเทพ ล้วนเป็นนักบันทึกท้ังสิ้น การบันทึก คือ การเขียน เมื่อมีการเขียนย่อมมีการคิด เมื่อมีการคิดย่อมก่อปัญญา แก้ไขปัญหาได้โดยใช้เหตุผลวิเคราะห์พิจารณา ได้ถูกต้อง นั่นคือ ทางเจริญของ มนุษย์
8 การทาบญั ชคี รัวเรือนเปน็ การจดบันทกึ รายรับรายจ่ายประจาวันของครัวเรือน และสามารถนาข้อมูล มาวางแผนการใชจ้ า่ ยเงนิ ในอนาคตได้อย่างเหมาะสม ทาใหเ้ กดิ การออม การใช้จา่ ยเงนิ อย่างประหยดั ค้มุ ค่า ไม่ ฟมุ เฟอื ย ดงั นน้ั การทาบญั ชีชคี รัวเรอื นมีความสาคญั ดงั น้ี 1. ทาใหต้ นเองและครอบครัวทราบรายรบั รายจา่ ย หน้สี ิน และเงินคงเหลอื ในแตล่ ะวัน 2. นาข้อมูลการใช้จ่ายเงินภายในครอบครัวมาจัดเรียงลาดับความสาคัญของรายจ่าย และ วางแผนการใชจ้ ่ายเงิน การจดั ทาบญั ชคี รัวเรอื น หรือ บญั ชีรายรบั รายจา่ ยน้ี ไม่ใช่เป็นแต่เพียงการจดบันทึกรายการต่างๆ ท่ี เป็นเงินเท่าน้ัน แต่ยังเป็นการสร้างความสามัคคีภายในครอบครัว รู้จักช่วยเหลือแบ่งปันกันในสังคม มีการ เรียนรู้ซ่ึงกันและกัน ซ่ึงเกิดจากประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับจากการจดบันทึกข้อมูลท่ีเป็น ประโยชน์ ทาให้ ประชาชนทกุ คนรจู้ กั การบรหิ ารจดั การดา้ นการเงนิ และการวางแผนการทางานทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเปูาหมาย ได้ การทาบัญชีครัวเรือนทาให้ครอบครัวมีความสุขใช้ชีวิตโดยยึดหลักความพอเพียง มีเหตุมีผล รู้จักพึ่งพา ตนเอง มีความพอประมาณ การเงนิ มีสภาพคล่อง ร้จู กั การเก็บออม ทุกคนรถู้ งึ แหลง่ ท่ีมาของรายรับและการใช้ ไปของคา่ ใชจ้ ่ายในแตล่ ะวนั สามารถนาขอ้ มูลการใชจ้ า่ ยมาวางแผนบริหารการเงินในอนาคตได้ 4. ยาเสพตดิ ความหมายสารเสพตดิ คอื สารใดๆก็ตามที่ไม่ใชอ่ าหารซงึ่ สามารถมีผลกระทบต่อการทางานของ ร่างกายและจิตใจ ยาเสพติดสามารถเปลย่ี นความคดิ ความร้สู กึ และการกระทาของบุคคลได้ โดยแบง่ ตาม ประเภทการออกฤทธ์ติ อ่ จิตประสาท ได้แก่ สารกระตนุ้ ประสาท คือ สารท่กี ระตุ้นร่างกายและการทางานของสมองใหท้ างานเร็วข้นึ ได้แก่ บหุ ร่ี โคเคน ยาบ้า ไอซ์ กระท่อม สารกดประสาท คอื สารท่ีทาให้ร่างกายและการทางานของสมองช้าลง ได้แก่ เหล้า เฮโรอนี ยาหลอนประสาท คือ สารที่ทาใหก้ ารมองเห็น ความรสู้ ึก และการได้ยินเปลยี่ นแปลงไป ได้แก่ ยาอี ยาเค สารท่ีออกฤทธ์ผิ สมผสาน คือ สารท่มี ีการออกฤทธ์กิ ดประสาท กระต้นุ ประสาท หรือหลอนประสาทได้ พรอ้ มๆกนั ไดแ้ ก่ กัญชา ทาไมคนจึงเสพสารเสพติด 1. ตนเอง อยากรู้ อยากลอง ตอ้ งการเปน็ ทย่ี อมรบั ของกลุ่มเพือ่ น ไมม่ คี วามรเู้ ร่อื งสารเสพติด ประสบ ความลม้ เหลวในชวี ิต หรอื เกดิ จากการเจบ็ ปุวย - อยากทดลอง เกดิ จากความอยากรู้อยากเห็นซงึ่ เป็นนิสยั ของคนโดยทวั่ ไปและไม่คิดว่าตนจะตดิ สาร เสพตดิ จึงไปทาการทดลองใช้ ในการทดลองใช้ครั้งแรกๆ อาจมีความรู้สกึ ดีหรอื ไมด่ กี ต็ าม ถา้ ยงั ไม่ตดิ สารเสพ ติดก็อาจประมาทไปใชอ้ กี จนในท่ีสดุ ก็ตดิ สารเสพตดิ นน้ั หรอื ถ้าไปทดลองใช้สารเสพติดบางชนดิ เชน่ เฮโรอนี แมจ้ ะเสพเพยี งครัง้ เดยี ว ก็อาจทาใหต้ ิดได้ - ถูกหลอกลวง ยาเสพติดมีรปู แบบต่างๆ มากมาย ผถู้ ูกหลอกลวงไม่ทราบวา่ สงิ่ ที่ตนได้กนิ เข้าไปนั้น เป็นยาเสพติดใหโ้ ทษร้ายแรง คดิ วา่ เป็นยาธรรมดาไม่มพี ษิ รา้ ยแรง หรอื เปน็ อะไรตามทผ่ี หู้ ลอกลวงแนะนา ผล สุดทา้ ยกลายเป็นผตู้ ิดสารเสพติด 2. ครอบครวั เช่น บุคคลในครอบครัวติดสารเสพติด ครอบครัวไมม่ ีความอบอุ่น มีการทะเลาะเบาะ แว้งกัน การหย่ารา้ งและแต่งงานใหมข่ องหัวหนา้ ครอบครวั พ่อแม่ไม่เข้าใจลกู รักลกู ไมเ่ ท่ากนั และมกี าร
9 เปรียบเทยี บระหว่างลกู แต่ละคน หรอื เปรยี บเทยี บกับลกู เพือ่ นบ้าน 3. ส่งิ แวดลอ้ ม เชน่ มแี หลง่ ผลติ หรอื แหล่งระบาดของยาเสพติดท่ีสามารถเข้าถงึ ไดง้ ่าย มตี ัวอยา่ งจาก สอื่ ประเภทต่างๆ สงั คมไมเ่ ปิดโอกาสหรอื ไมย่ อมรบั ผู้ตดิ ยาได้กลับเข้ามาสู่สงั คมปกติ อาศยั อยู่ในในสิง่ สงิ่ แวดล้อมที่เออื้ ตอ่ การติดยาเสพตดิ 4. เศรษฐกิจ เชน่ เศรษฐกิจ ตกตา่ วา่ งงาน มีหนีส้ นิ ลน้ พน้ ตัวกลุม้ ใจท่เี ป็นหน้กี ไ็ ปกินเหลา้ หรอื สบู กัญชาให้เมาเพ่ือที่จะได้ลืมเรื่องหนีส้ ิน บางคนต้องการรายได้เพม่ิ ข้ึนโดยพยายามทางานหนกั มากขนึ้ ท้งั ๆ ท่ี ร่างกายออ่ นเพลียมาก จงึ รบั ประทานสารกระตนุ้ ประสาทเพอ่ื ให้สามารถทางานตอ่ ไปได้ เป็นตน้ ถ้าทาอยเู่ ป็น ประจาทาให้ตดิ สารเสพติดนน้ั ได้ เสน้ ทางการตดิ ยา เส้นทางการติดยาต้ังแต่เริ่มเสพจนกระท่งั ตดิ สามารถแบ่งได้ เปน็ 4 ระยะ ได้แก่ 1. เรม่ิ ทดลองอยากรูอ้ ยากเห็น (Experiment and first-time use) เมื่อมีคนแนะนาใหท้ ดลอง ร่วมกับความร้สู ึกอยากลอง หรือใช้ gateway drug อยูแ่ ล้ว เชน่ บุหรี่ เหลา้ ซง่ึ สารเหลา่ น้ีทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ วา่ สารทาใหเ้ กิดความพึงพอใจ สบายได้มากกว่าท่ีเป็นอยู่ หรอื เพ่ิมพละกาลังในการทางาน 2. ใช้เป็นครั้งคราว (Occasional use) เกดิ ความติดใจในผลของสารเสพติด เรยี นรูว้ ่าหากใช้ปริมาณ มากขนึ้ กจ็ ะไดร้ ับผลความรสู้ กึ ดมี ากขนึ้ เกดิ ความรู้สึกเป็นสขุ อยา่ งมาก 3. ใช้สม่าเสมอใชอ้ ยา่ งพรา่ เพร่อื (Regular use) หมกมนุ่ กบั การหาสารมาเสพ มอี าการเมายา การ ทางาน การเรยี นแยล่ ง สัมพันธภาพกับคนรอบขา้ งไมด่ ี ใช้จ่ายเงนิ เปลือง อาจถูกจับเนอ่ื งจากเสพหรอื คา้ 4. เกดิ ภาวะพงึ่ พาสรุ ายาเสพติด (Dependence) ใช้สารมาอย่างตอ่ เน่อื งยาวนาน จนเกดิ อาการทน ตอ่ ยา (Tolerance) และภาวะถอนยา (Withdraw) หรือ มีการใชเ้ กนิ ขนาด (Drug Overdose) โดยไมต่ ้งั ใจ พิษภัยรา้ ยของสารเสพตดิ ต่อร่างกายและจิตใจของผเู้ สพ 1. ทาลายประสาทสมอง จิตใจเสือ่ ม ซมึ เศร้า วติ กกังวล เลอ่ื นลอย และเกดิ ภาวะผิดปกติทางจติ จาก สารเสพติดนัน้ ๆพษิ จากสารเสพติดทาลายอวยั วะต่างๆให้เสอ่ื มลง มีโรคแทรกซอ้ นไดง้ า่ ย ร่างกายซบู ซีด อ่อนเพลยี 2. เสยี บคุ ลิกภาพ ขาดความสนใจตนเอง ขาดสติสมั ปชัญญะการควบคุมกล้ามเนอ้ื และระบบประสาท บกพรอ่ ง ทาให้ประสบอบุ ตั ิเหตไุ ดง้ ่าย ตอ่ ครอบครัวและสงั คม 1. ครอบครวั ท่ีมีผู้ติดสารเสพตดิ มกั ไดร้ ับความเดอื ดรอ้ นจากผู้ติดสารเสพติดในทกุ ด้าน เช่น การขาด ความรบั ผิดชอบตอ่ หน้าท่นี าไปสูค่ วามขัดแยง้ ทะเลาะววิ าท ก่อใหเ้ กิดความเครยี ด และตอ้ งแก้ไขปญั หาบอ่ ยๆ 2. ทาให้สูญเสียสมรรถภาพ การทางาน ทาให้เกิดผลกระทบต่อครอบครวั ทั้งทางเศรษฐกิจและสงั คม เสยี ทรัพย์สนิ รายไดข้ องครอบครัวเน่อื งจากตอ้ งซอ้ื สารเสพติดมาเสพ และรกั ษาโรคท่ีเกิดจากสารเสพติด 3. ปญั หาสารเสพติดก่อให้เกดิ ความหวาดระแวงจากประชาชนและสงั คมเป็นวงกวา้ ง เนอ่ื งจากเกรง ว่าบุตรหลานจะเข้าไปเก่ียวข้องกบั สารเสพติดหรือถกู ประทุษร้ายจากผเู้ มาสารเสพติด หรือมีความผิดปกติทาง จิตจากการใชส้ ารเสพตดิ
10 ตอ่ สว่ นรวมและประเทศชาติ เป็นภัยต่อความมนั่ คง ส่งผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ สังคมและวฒั นธรรม และวิถชี ีวติ ท่ีเป็นสขุ ของคนใน ประเทศประเทศชาติสูญเสยี งบประมาณในการปูองกนั ปราบปราม บาบัดรักษาผตู้ ิดสารเสพตดิ เราทกุ คนจะปอ้ งกนั สารเสพตดิ อย่างไร? ตนเองเป็นบทบาทสาคัญท่ีสามารถปูองกันและแกไ้ ขปัญหาสารเสพติดได้ ดังน้ี 1. ศึกษาความรู้เก่ยี วกับโทษ และพษิ ภยั ของสารเสพติด ไม่ทดลองเสพสารเสพติดทุกชนิด รเู้ ทา่ ทนั การหลอกลวง ชกั จูงจากกลุม่ ผู้ค้าสารเสพติด เลือกคบเพอ่ื นท่ไี ม่ใช้สารเสพติดและใช้ทักษะการปฏเิ สธเม่ือถูก ชักชวน 2. มีทัศนคติทด่ี ตี ่อชวี ิต มีความภาคภมู ใิ จในตนเองว่ามคี ุณคา่ ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ไม่ ควรทาลายชวี ิตท่ไี ดม้ าดว้ ยการตดิ สารเสพติด 3. ตระหนกั ในบทบาทหน้าทีข่ องตนเอง ระลกึ เสมอวา่ ขณะน้ีตนเองมีบทบาทหนา้ ทอ่ี ะไรเชน่ มีหนา้ ท่ี เรยี นหนงั สือกค็ วรต้งั ใจศึกษาเล่าเรียนเชื่อฟังคาสั่งสอนของพอ่ แม่ ครู อาจารย์ เปน็ ต้น 4. รักษาสขุ ภาพร่างกายให้แขง็ แรงและทาจิตใจให้แจ่มใสใช้เวลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์ ในการทา กจิ กรรมต่างๆเชน่ อ่านหนังสอื เลน่ กฬี า หรือทางานอดิเรกตา่ งๆ 5. มที ักษะในการดาเนินชวี ติ รู้จักแกไ้ ขปญั หาในทางท่ีถกู ทคี่ วร กล้าเผชญิ ปัญหา รจู้ ักคิดไตร่ตรอง ด้วยเหตุผล ไมห่ ลีกหนปี ัญหาด้วยการเสพสารเสพติด 6. ขอคาปรกึ ษาหรอื ขอความช่วยเหลอื จากผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง เพราะการแกไ้ ขปญั หาโดยลาพงั แบบ รูเ้ ท่าไมถ่ ึงการณ์ อาจนาไปสกู่ ารใชช้ วี ติ ทผ่ี ิดพลาดได้ ครอบครัว ควรสอดสอ่ งดแู ลเด็กและบุคคลในครอบครวั อยา่ ให้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อบรม สงั่ สอน ให้ร้ถู ึงโทษภยั ของยาเสพตดิ ดแู ลเรอ่ื งการคบเพอื่ น คอยสง่ เสริมใหร้ ู้จกั ใชเ้ วลาในทางที่เป็นประโยชน์ เชน่ การ ทางานบา้ น การเล่นกฬี า เพ่อื ปูองกันไมใ่ ห้เดก็ หันเหไปสนใจในยาเสพตดิ ทกุ คนในครอบครัวควรสร้างความรกั ความเข้าใจ และสมั พันธภาพอันดตี ่อกนั ที่พ่ึง เป็นท่ปี รกึ ษาและให้กาลังใจแกก่ นั และกนั นอกจากน้พี ่อแม่ควร เป็นแบบอย่างท่ีดีในการไมใ่ ช้สารเสพติด เช่น ไมส่ ูบบหุ ร่ี ไมด่ ืม่ เหล้า โรงเรยี น ควรมีกจิ กรรมให้ความร้เู ร่อื งพษิ ภยั สารเสพติดอยา่ งสม่าเสมอครูควรเอาใจใส่ในการดแู ล นกั เรยี น เป็นที่ปรึกษาที่ดี และมีการจัดกิจกรรมใหแ้ กน่ ักเรียนอย่างสรา้ งสรรค์ เพ่อื สง่ เสรมิ ใหใ้ ช้เวลาวา่ งให้ เปน็ ประโยชน์ พ่อแม่ผ้ปู กครองควรทาอยา่ งไรเมอื่ ลกู ยงุ่ เกี่ยวกับสารเสพติด พอ่ แม่ผู้ปกครองจะต้องรว่ มมอื ร่วมใจ ชว่ ยเหลอื โดยอาศยั ความรัก ความเขา้ ใจ เป็นพน้ื ฐานในการทาใจยอมรบั สภาพปญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ และปฏบิ ตั ใิ น ส่ิงตอ่ ไปนี้ 1. ระงบั สตอิ ารมณ์ อย่าวู่วามยอมรับความจรงิ ยอมรบั สภาพว่าลกู ตดิ ยา เพ่ือเตรียมตวั ช่วยเหลือบุตร หลาน 2. ไม่ควรแสดงความก้าวรา้ วกับลูก เพราะจะทาใหล้ ูกปกปิดซ่อนเร้นมากขึน้ 3. แสดงความรกั ความเห็นใจอยา่ งจรงิ ใจ เพือ่ ให้ลกู หลานยอมเปิดใจ ยอมรบั ความช่วยเหลือ 4. ต้องหาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ วา่ บตุ รหลานติดสารเสพติดประเภทใด ฤทธ์ิรนุ แรงแคไ่ หน ใชส้ ารเสพตดิ มา นานแลว้ หรือยงั ใช้ปรมิ าณแคไ่ หน โดยอาจหาจากแหลง่ ข้อมูลตา่ งๆ เชน่ เพอ่ื นสนทิ ครูท่โี รงเรียน ห้องนอน กระเปา๋ เสื้อผา้ เปน็ ตน้
11 5. ปรกึ ษาผมู้ ีความรู้ ความเช่ยี วชาญเฉพาะ เชน่ ศูนย์ให้คาปรกึ ษาปัญหาสารเสพตดิ หากลูกหลานตดิ สารเสพติดมานาน จนทาให้สภาพร่างกายและจติ ใจเปล่ียนแปลงไป หรอื มีพฤติกรรมและบุคลิกภาพเบี่ยงเบน ไปจากเดิม และครอบครวั หรอื ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ผปู้ กครองควรส่งลกู เข้ารบั การบาบดั รักษาและฟ้นื ฟู สมรรถภาพทางดา้ นจิตใจ ในสถานบาบดั รกั ษาตา่ ง ๆ ทว่ั ประเทศ ผลกระทบจากปัญหาสารเสพตดิ ทาให้เกิดความเสยี หายทงั้ ตอ่ ตวั ผูเ้ สพ ครอบครวั สังคม เศรษฐกจิ และประเทศชาติ การแก้ไขปัญหาสารเสพติดต้องเรม่ิ ตน้ จากครอบครัวซ่งึ ใกล้ชดิ กบั เดก็ และเยาวชนมากทสี่ ุด โดยการใหเ้ วลากับบตุ รหลานและร่วมกันแกไ้ ขปัญหาต่างๆทีเ่ กิดขึ้น นอกจากนสี้ ังคมโรงเรียนและสถานศึกษา ตอ้ งมีการตดิ ตาม สังเกตพฤติกรรมนักเรยี น-นักศึกษาท่เี ข้าขา่ ยเก่ยี วข้องกบั สารเสพติด การมงุ่ ใหค้ วามรใู้ น เรือ่ งอนั ตราย ผลกระทบท่เี กิดจากการใช้สารเสพติด สร้างการรบั รู้ ความตระหนักถงึ ภัยอนั ตรายนา่ จะการ ปูองกนั และแก้ไขปัญหาสารเสพตดิ และเป็นหนา้ ท่ขี องทกุ คนจะตอ้ งร่วมมือกัน 5. กญั ชา – กัญชง กญั ชา ไมใ่ ช่ กญั ชง พชื ทง้ั 2 อย่างต่างกนั ยังไง นอกจากคาว่า ‘กัญชา’ ท่ีเราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แล้วช่วงหลังมานี้ยังมีคาว่า ‘กัญชง’ เพิ่มมาด้วย เช่นกัน และสาคญั ในระดับท่มี ีกฎหมายใหม่ออกมาเพือ่ แยกแยะความแตกตา่ งระหว่างพืชสายเขยี วท้ังสองน้ีกัน เลยทีเดยี ว ตกลงแลว้ กัญชา กับ กัญชง น่ีมันแตกตา่ งกันยังไงนะ? วันนี้เราสรุปความต่างมาให้กันดูกันคร่าวๆ เผื่อว่าในวนั หนึ่งมนั จะได้เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตของพวกเรากันมากข้ึน เริม่ ทีก่ ัญชา กัญชามชี อื่ ภาษาองั กฤษทม่ี กั ถกู เรยี กวา่ Marijuana ตัวลาต้นมักจะมีลักษณะเต้ยี และเป็น พุ่ม ต้นกัญชาจะแตกกิ่งก้านค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับกัญชง ส่วนใบก็สีเขียวจัดจะมีประมาณ 5-7 แฉก ที่ สาคญั เลยทีชว่ ยแยกแยะสองสิ่งน้ีออกจากกัน คือสารท่ีทาให้เมาหรือ THC (Tetrahydroconnabinol) ซึ่งจะ พบมากในกัญชา เมื่อเราเสพสารชนดิ นีไ้ ปแล้วมันจะทาใหเ้ คลิบเคล้ิมเป็นพิเศษ นี่จึงเป็นเหตุผลทาให้กัญชาถูก นาไปใช้ในเรื่องของสันทนาการ (อย่างไรก็ดีสารสกัดของ THC ก็สามารถนาไปใช้ในทางการแพทย์ได้ด้วย เหมือนกันนะ) สว่ น กญั ชง นั้นมชี ื่อภาษาอังกฤษว่า Hemp สาหรับลกั ษณะภายนอก กญั ชงจะมีต้นที่สูงและเรยี ว ยิ่ง ถ้าเทยี บกับต้นกญั ชาแลว้ ต้นกัญชงมักจะสงู กว่า ในส่วนของใบกญั ชงจะมีขนาดใหญก่ ว่ากัญชา มีการเรียงสลบั ของใบที่ห่างกนั ลกั ษณะของใบกัญชงจะมปี ระมาณ 7-11 แฉก โดยสีของใบกญั ชงจะเปน็ เขียวอ่อน ขณะทีจ่ ุดเดน่ ของกัญชงน้ันจะไม่ใชส่ าร THC แต่จะเป็น CBD (Canabidiol) ซ่ึงถ้าหากเสพ CBD แล้ว จะไมไ่ ด้ เคลิบเคลิ้มเหมือนกับกัญชา หลักๆ แล้วจะถูกสกัดออกมาเพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น การลด อาการเจบ็ ปวด หรือช่วยต้านอาการของโรคลมชัก ขณะเดียวกัน สารนี้ก็มักถูกนาไปใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ บางชนดิ ด้วยเหมอื นกันเอาเขา้ จรงิ แลว้ กัญชาและกญั ชงเป็นเหมือนพืชท่ีมีแม่คนเดียวกนั เพราะต้นกาเนิดของ พวกมนั มาจาก Cannabis sativa L. เหมือนกันเพียงแต่ต่างกันแค่สายพันธ์ุท่ีพ่วงท้าย แต่เหตุผลสาคัญท่ีต้อง แยกสองสิง่ นอ้ี อกจากกนั อยู่ตรงน้ีรปู แบบของการนาไปใชป้ ระโยชน์ รวมถึงระดบั ของสารที่ทาให้เกิดความมึน เมาไดน้ ่ันเอง นาไปขงึ เข้ากับ “โฮงหมี่” โดยจะใชเ้ ชือกมัดส่วนทีไ่ มต่ อ้ งการใหต้ ิดสี เรยี กว่าการ “โอบ” ในอดีต ใชเ้ ชือกกล้วย ต่อมานิยมใช้เชอื กฟางพลาสติก การมดั จะต้องมัดให้แน่นตามลวดลายทก่ี าหนดไว้ กัญชง เปน็ สารเสพติดหรือไม่ เดิมทีกัญชงถูกจดั ใหเ้ ป็นพืชที่อยู่ในบัญชียาเสพติดประเภทท่ี 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เนื่องจากกญั ชงเปน็ พชื สายพนั ธ์ุย่อยของกญั ชาท่ีมีสารเสพติดออกฤทธิ์สาคัญท่ีช่ือว่า เตตราไฮโดร
12 แคนนาบินอล Tetrahydrocannabinol, THC) ซ่ึงออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทาให้ผู้เสพมีอาการ ตื่นเตน้ ชา่ งพูด หัวเราะตลอดเวลา ดังนั้น การผลิต นาเข้า ส่งออก ครอบครอง หรือแม้แต่เสพ จะมีโทษทาง อาญา แต่หลังจากท่ีกัญชงถูกปลดล็อกต้ังแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป กัญชงไม่ถือเป็นสารเสพติด แลว้ ยกเวน้ สว่ นของสารสกัดท่ีมีสาร THC เกิน 0.2% ยังคงถือเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 อยู่ ดังนั้นการ ปลกู กัญชงและใช้กญั ชงก็ควรระวงั ขอ้ กฎหมายในส่วนนด้ี ้วย กัญชง กบั สรรพคุณทางยา กัญชง มสี ารสาคญั คือ CBD และมีสาร THC ในปริมาณน้อย หากนามาทาเป็นสารสกดั ทมี่ ี CBD เปน็ สว่ นประกอบหลกั และมี THC ไมเ่ กิน 0.2% กส็ ามารถนาไปผลติ เป็นยา หรือยาสมุนไพรได้ โดยสรรพคณุ ทาง ยาของกัญชงทมี่ กี ารศึกษาวิจัยพบ มีดังนี้ 1. ชว่ ยผอ่ นคลาย เพ่ิมความสดช่นื 2. แก้นอนไมห่ ลับ 3. ลดอาการปวดศีรษะ ปวดไมเกรน 4. บารุงโลหติ 5. เมล็ดกัญชงมีกรดไขมนั ดีอยา่ งโอเมก้า 3 และโอเมกา้ 6 ซ่งึ ชว่ ยลดความเสย่ี งโรคหัวใจ 6. ลดอาการคลืน่ ไส้ อาเจยี น ในผู้ปวุ ยท่ไี ด้รบั เคมีบาบดั 7. กระต้นุ ความอยากอาหาร 8. ต้านการอักเสบ 9. ตา้ นเชอื้ จุลชพี และเชือ้ รา 9. รักษาโรคท้องรว่ ง โรคบิด 11. ตา้ นอาการโรคลมชัก 10. รกั ษาโรคทางด้านประสาทต่าง ๆ ประโยชน์ \"กญั ชา\"สรรพคุณลน้ รกั ษาโรคอะไรได้บ้าง สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก ไดเ้ ผยแพรข่ ้อมลู ตารบั ยา ในทางการแพทยแ์ ผนไทย 16 ตารับ ตวั อยา่ งเชน่ 1. ตารับยาศุขไสยาสน์ มีที่มาจากคมั ภรี ธ์ าตุพระนารายณ์ ท้งั นพี้ ระนารายณ์มหาราชเปน็ กษตั ริย์ ลาดบั ที่ 27 ในสมัย กรุงศรีอยุธยาข้อบ่งใช้ ชว่ ยให้นอนหลับ เจริญอาหาร ฟืน้ ฟกู าลงั ผู้ปุวยเร้ือรงั ขอ้ หา้ มใช้ ห้ามใช้ในสตรมี ีครรภ์ ผู้ที่ไขส้ งู 2. ยาน้ามันสน่ันไตรภพ มีท่ีมาจากตารายาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามข้อบ่งใช้ แก้กษัย เหล็ก ลดอาการแทรกซ้อนในผู้ปุวยมะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งตับในระยะเร่ิมต้นข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ใน ผ้ปู ุวยโรคตับระยะสุดท้ายทมี่ ภี าวะเสน้ เลือดแตกเป็นใยแมงมุม ห้ามใช้ในผู้ปุวยท่ีมี ตับวาย ห้ามใช้ในผู้ปุวยท่ี ใช้ยาละลายล่ิมเลือด และยังมียาตามตารับการแพทย์แผนไทยอีก 14 ตารับท่ีกรมแพทย์ แผนไทยได้รับรอง ตามตารับเดิมของคัมภีร์แพทย์แผนไทยโบราณของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ ตารายาจารึกใน วัดพระเชตุพน วมิ ลมังคลาราม ตาราแพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์พระยาพิศณุประสาทเวช ร.ศ. 128 ตารับยาอายุรเวทศึกษา (ขุน นทิ เทสสขุ กจิ ตารับยาเวชศาสตรว์ ัณ์ณณา ตารับยาคมั ภีรธ์ าตุพระนารายณ์) ในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสขุ ได้รับรองการรกั ษาผู้ปุวยโดยการแพทย์แผนปจั จุบนั โดยประกาศกระทรวง สาธารณสุขท่พี สิ ูจน์แลว้ ว่าอาการหรอื โรคทรี่ กั ษาแลว้ ได้ผลดีคอื 1. Nausea and vomiting from chemotherapy อาการคล่ืนไสอ้ าเจยี นจากเคมีบาบัด 2. Epilepsy ลมชกั รักษายาก
13 3. Multiple sclerosis อาการเกร็งจากปลอกหุ้มประสาทอกั เสบ 4. Neuropathic painปวดระบบประสาท ส่วนการรกั ษาทนี่ า่ จะไดป้ ระโยชน์ คอื 1. พาร์กินสนั (Parkinson) 2. อลั ไซเมอร์ (Alzheimer) 3. ปลอกประสาทอักเสบ (Multiple sclerosis) 4. โรควิตกกังวล (Anxiety disorder) 5. มะเรง็ ระยะสดุ ท้าย (Cancer, end stage) 6. โรคอ่ืน ๆ ระยะสดุ ท้าย (Severe diseases, end stage) 6. การทายาไล่แมลง การทานา้ ยาไล่แมลงเพ่อื ใช้ในการกาจดั ศัตรพู ืช สามารถทาได้ ดังน้ี วัสดอุ ุปกรณ์ 1. นา้ สม้ สายชู 1 ขวด 2. เหลา้ ขาว 40 ดกี รี 1 ขวด
14 3. ยาเส้น 2 กามือ 4. ผงพะโล้ 1 ซอง วิธกี ารทา ผสมสว่ นผสมทั้งหมดเขา้ ด้วยกนั แลว้ หมักท้งิ ไว้ 24 ชม. เมื่อครบเวลาแล้ว กรองกากท้ังหมดออก เก็บเฉพาะสว่ นน้าเอาไว้ใช้ วธิ ใี ช้ นาน้ายาไล่แมลงทีไ่ ด้ จานวน 45 ซซี (ี 3 ชอ้ นโตะ๊ ) ผสมน้า 20 ลิตร และนาไปฉีดพ่นใบพชื ทกุ ๆ 7 วัน ในชว่ งเยน็ เพื่อไล่แมลง ชว่ งมีใบอ่อนหรอื แมลงระบาดมาก ใหใ้ ช้ฉีดพน่ 3 - 5 วนั ตอ่ คร้งั 7.การทาปุ๋ยยเู รียน้า การทาปยุ๋ ไว้ใช้เองโดยที่ไม่พ่ึงพาสารเคมีทาให้เราม่นั ใจได้ว่าปุ๋ยท่เี ราใส่บารงุ พชื ผกั ท่เี ราปลกู จะ ปลอดภยั แน่นอน ซึ่งการทาปุ๋ยน้นี อกจากจะได้ป๋ยุ อนิ ทรยี ์ทป่ี ลอดภัยแล้วเรายงั สามารถนามาใช้เปน็ กิจกรรม ยามว่างร่วมกันภายในครอบครัว หรอื ในชมุ ชนไดอ้ กี ดว้ ย การทาปุ๋ยโดยมหี ลกั การคอื เลยี้ งดนิ ให้ดินเลี้ยงพืช และ ใหพ้ ชื เลีย้ งเรา ส่วนผสม 1. ผลไม้ หรอื ผัก 3 ส่วน 2. กากนา้ ตาล หรือ น้าตาลทรายแดง 1 ส่วน 3. หัวเชื้อจุลนิ ทรีย์ 1 สว่ น 4. นา้ สะอาด 10 ส่วน
15 วิธีการทาปยุ๋ นา้
16 วิธีทา 1. ใส่ผลไม้ลงในภาชนะทึบแสงมฝี าปดิ 2. ละลายนา้ และกากน้าตาลหรอื น้าตาลทรายแดงให้เข้ากนั และเติมลงในภาชนะใสผ่ ลไมท้ ่เี ตรยี มไว้ คลุกเคล้าใหเ้ ข้ากนั 3. เติมหวั เชอื้ จุลนิ ทรีย์ คนใหท้ ่วั 4. ปดิ ฝาใหส้ นิทเก็บให้มดิ ชดิ ในทีร่ ม่ 5. ทิ้งไว้ 3 เดอื น และเปิดใช้งาน
17 สดั สว่ นการใช้ 1/500 : สาหรับไม้ทม่ี ีใบบาง 1/200 : สาหรบั ไม้ท่มี ีใบหนา หรือไมผ้ ล 1/200 : ปรับปรงุ บารงุ ดิน 1/100 : ไล่แมลงวัน 1/10 + เกลือ : ฆา่ หญ้า แบบเข้มข้น : ราดชกั โครงหรอื พืน้ หอ้ งนา้ เพ่อื ดับกลนิ่ และย่อยสลายสงิ่ ปฏิกลู
18 8. การทาจุลินทรยี ส์ งั เคราะหแ์ สง จลุ นิ ทรีจลุ นิ ทรียท์ ีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ พชื เปน็ ส่งิ มชี ีวติ ขนาดเลก็ ทพ่ี บได้ท่วั ไปตามธรรมชาตทิ ง้ั ในดินและน้า ทาหนา้ ท่ีกาจัดของเสีย ก๊าซและสารพษิ ต่าง ๆ ประโยชนข์ องจลุ นิ ทรียส์ งั เคราะห์แสง 1. ช่วยตรงึ ไนโตเจนในดิน เพ่ิมไนโตเจนใหก้ ับพชื 2. เรง่ การเจริญเตบิ โต ทาใหพ้ ืชแขง็ แรงแล้วโตเรว็ เปน็ 3 เท่า 3. เมอื่ ใช้ทางดินทาให้รากพชื แขง็ แรงและหาอาหารได้ดขี นึ้ ใชก้ ับนาข้าวช่วยเร่งการแตกกอของข้าว 4. ชว่ ยในการย่อยธาตอุ าหารและวัตถอุ ินทรีย์ในดนิ เพอ่ื ให้พชื ดูดซมึ ไปใชไ้ ด้อย่างงา่ ยดาย 5. ปูองกันพชื โดยการทาลายจุลินทรยี ไ์ มด่ ใี นดนิ ทีเ่ ปน็ สาเหตุท่ีทาใหเ้ กดิ โรคพชื สิ่งทตี่ อ้ งเตรียม 1. น้าจากแหลง่ นา้ ธรรมชาติ 2. ขวดขนาด 1.5 ลติ รหรอื มากกว่า 3. ไข่ไก่ 1 ฟอง 4. น้าปลาย่หี อ้ ใดกไ็ ด้ วธิ ีทาจลุ ินทรีย์สงั เคราะหแ์ สง 1. ตอกไขใ่ ส่ถว้ ยแลว้ เติมน้าปลาลง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากนั 2. นานา้ ใสข่ วดขนาด 1.5 ลิตรไปตากแดดประมาณ 4-5 วัน กอ่ นเตมิ ไข่ไก่ทีเ่ ตรยี มไว้ลงไป 1 ชอ้ น โต๊ะ 3. นาไปตัง้ ไวใ้ นบรเิ วณกลางแจ้งท่มี แี ดดสง่ ถึงทุกวัน
19 บทท่ี ๔ ผลการดาเนนิ งาน ผู้ดาเนนิ การจัดทาจัดทาจัดทาโครงการเกษตรผสมผสานตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และ ประโยชน์จากสารกัญชง/กญั ชา วันที่ 24 มถิ ุนายน 2565 ณ บ้านเลขท่ี 100 หมู่ 4 บ้านหว้ ยช้างแทง ตาบลสวนเม่ยี ง อาเภอชาติตระการ จังหวดั พษิ ณุโลก เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ขอ้ มูลดงั นี้ ๑. เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการจัดกิจกรรม ข้อมูลปฐมภูมิ ได้จากการกรอกแบบสอบถามของผเู้ ข้าร่วมกจิ กรรม ข้อมลู ทุตยิ ภูมิ ศึกษาจากเอกสาร ข้อมลู ตา่ ง ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ๒. การเก็บรวบรวมข้อมลู ๒.๑ ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ๒.๑.๑ ประชาชน หมู่ 4 บา้ นหว้ ยช้างแทง ๒.๒ วธิ ีดาเนนิ การในการติดตามและประเมินผลการดาเนินงานได้ดาเนนิ การดังนี้ ๒.๒.๑ เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการประเมนิ เปน็ แบบสอบถาม แบ่งออกเปน็ 3 ตอน คือ ตอนที่ ๑ ขอ้ มูลสถานภาพท่ัวไปเกีย่ วกบั ผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนท่ี ๒ ข้อมูลเก่ยี วกับความพงึ พอใจในการเข้าร่วมโครงการฯ ตอนที่ ๓ ขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ ๒.๒.๒ วิเคราะหข์ ้อมลู ในการวิเคราะห์ ดาเนนิ การดังนี้ ตอนท่ี ๑ ข้อมลู สถานภาพทั่วไปของผูต้ อบแบบสอบถามวิเคราะหผ์ ลดว้ ยการหาคา่ ร้อยละ คา่ รอ้ ยละ (%) P = ๑๐๐ เมอ่ื p แทน รอ้ ยละ F แทน จานวนผู้ตอบแบบสอบถาม n แทน จานวนทัง้ หมด ตอนท่ี 2 ข้อมลู เกยี่ วกับการดาเนินงานตามโครงการ ใช้คา่ เฉลย่ี x = เมื่อ x แทน ค่าเฉลีย่ แทน จานวนผู้ตอบแบบสอบถาม x แทน จานวนท้ังหมด n
20 ตอนท่ี 3 สรปุ ขอ้ เสนอแนะ โดยใช้ความถ่ี ( f ) ๒.๒.๓ การแปลผลข้อมลู ในการแปลความหมายของขอ้ มูล แปลผลจากคา่ เฉลยี่ เลขคณิต x โดยใช้หลักเกณฑ์ดังนี้ ค่าเฉลีย่ เลขาคณติ x ความหมาย ๑.๐๐ – ๑.๕๐ ๑.๕๑ – ๒.๕๐ นอ้ ยทส่ี ุด ๒.๕๑ – ๓.๕๐ นอ้ ย ๓.๕๑ – ๔.๕๐ ๔.๕๑ – ๕.๐๐ ปานกลาง มาก มากท่สี ุด 3. ผลการดาเนินโครงการ จากการจัดกิจกรรมจัดทาโครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ ประโยชน์จากสารกัญชง/กัญชา ได้มีการสารวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่มีต่อรูปแบบการจัด กิจกรรม จานวน 3 คน โดยวิธีการตอบแบบสอบถาม จึงได้มีการนาเสนอข้อมูลในรูปตารางประกอบคา บรรยาย โดยแบ่งออกเป็น ๓ สว่ น ไดแ้ ก่ ตอนที่ 1 ข้อมลู สถานภาพทว่ั ไปเก่ยี วกบั ผตู้ อบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 ประเมินความพงึ พอใจในการเขา้ รว่ มโครงการ ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะอ่นื ๆ 3.1 ตอนที่ 1 การวิเคราะหข์ อ้ มลู ทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถาม ตารางท่ี 1 แสดงจานวน รอ้ ยละจานวนตามเพศ เพศ จานวน ( n = 3 ) รอ้ ยละ ชาย - - หญงิ 3 100.00 รวม 3 ๑๐๐ จากตารางท่ี 1 ผลการศกึ ษาพบวา่ ผู้เขา้ รว่ มอบรมท้ังหมดเป็นเพศหญิง คดิ เปน็ ร้อยละ 100 ตารางท่ี 2 แสดงจานวน ร้อยละจานวนตามอายุ อายุ จานวน ( n = 3) ร้อยละ 15 – ๓๙ ปี - - 4๐ – 4๙ ปี 3 100 50 – 5๙ ปี - - 6๐ ปีข้นึ ไป - - รวม 3 100 จากตารางที่ 2 ผลการศกึ ษาพบว่า ผู้เข้ารว่ มอบรมทั้งหมดมอี ายชุ ว่ ง คอื 4๐ – 4๙ ปี คิดเป็นรอ้ ยละ 100
21 ตารางที่ 3 แสดงจานวน ร้อยละจานวนตามระดับการศึกษาสูงสดุ ระดับการศกึ ษาสูงสุด จานวน ( n = 3 ) ร้อยละ ประถมศกึ ษา 2 66.67 1 33.33 มัธยมศกึ ษาตอนต้น - มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย - - 3 - อนื่ ๆ 100 รวม จากตารางท่ี 3 ผลการศกึ ษาพบว่า ผู้เขา้ ร่วมอบรมสว่ นใหญม่ ีระดับการศกึ ษาสูงสุด คือ ศกึ ษาระดับประถม ศึกษา คิดเปน็ ร้อยละ 66.67 และระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ คดิ เปน็ ร้อยละ 33.33 ตารางที่ 4 แสดงจานวน รอ้ ยละจานวนตามอาชพี อาชพี จานวน ( n = 3) รอ้ ยละ เกษตรกร 3 100.00 รับจา้ ง - ค้าขาย - - 3 - รวม ๑๐๐ จากตารางที่ 4 ผลการศกึ ษาพบว่า ผู้เข้ารว่ มอบรมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร คิดเป็นรอ้ ยละ 100
22 3.2 ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมลู เกยี่ วกับความพึงพอใจในการจดั กจิ กรรม ตารางที่ 5 แสดงจานวน ร้อยละ และค่าเฉลีย่ ของความพงึ พอใจของผ้เู ข้ารว่ มโครงการท่มี ีตอ่ การจัดกิจกรรม ระดบั ความพึงพอใจ/ความรู้ความเข้าใจ/การนาความรู้ไปใช้ ประเดน็ ความคดิ เห็น มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สดุ คา่ เฉล่ีย อย่ใู น 5 4 3 2 1 ระดบั ตอนท่ี 1 ความพึงพอใจดา้ นเน้อื หา = 4.67 1.1 เน้อื หาตรงตามความ 2 1 - - - 4.67 มาก ตอ้ งการ (66.67) (33.33) ที่สุด 1.2 เนอื้ หาเพียงพอตอ่ ความ 2 1 - - - 4.67 มาก ตอ้ งการ (66.67) (33.33) ที่สดุ 1.3 เนอื้ หาปัจจบุ ันทนั สมยั 2 1 - - - 4.67 มาก (66.67) (33.33) ที่สดุ 1.4 เน้ือหามปี ระโยชน์ตอ่ การ 2 1 - - - 4.67 มาก นาไปใชใ้ นการพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ (66.67) (33.33) ทส่ี ุด ตอนที่ 2 ความพึงพอใจด้านกระบวนการจัดกจิ กรรมการอบรม = 4.47 2.1 การเตรยี มความพรอ้ มก่อน 1 2 - - - 4.33 มาก อบรม (33.33) (66.67) 2.2 การออกแบบกิจกรรม 1 2 - - - 4.33 มาก เหมาะสมกับวตั ถุประสงค์ (33.33) (66.67) 2.3 การจัดกิจกรรมเหมาะสม 2 1 - - - 4.67 มาก กบั เวลา (66.67) (33.33) ท่ีสดุ 2.4 การจัดกจิ กรรมเหมาะสม 2 1 - - - 4.67 มาก กับกลุ่มเปาู หมาย (66.67) (33.33) ท่ีสุด 2.5 วิธกี ารวดั ผล/ประเมนิ ผล 1 2 - - - 4.33 มาก เหมาะสมกับวัตถปุ ระสงค์ (33.33) (66.67) ตอนที่ 3 ความพงึ พอใจต่อวทิ ยากร = 4.67 3.1 วทิ ยากรมีความรู้ 2 1 - - - 4.67 มาก ความสามารถในเรื่องท่ีถา่ ยทอด (66.67) (33.33) ที่สดุ 3.2 วทิ ยากรมีเทคนคิ การ 2 1 - - - 4.67 มาก ถา่ ยทอดใชส้ ่อื เหมาะสม (66.67) (33.33) 3.3 วิทยากรเปิดโอกาสให้มี 2 1 - - - 4.67 มาก สว่ นรว่ มและซักถาม (66.67) (33.33) ท่สี ุด
23 ระดบั ความพงึ พอใจ/ความรูค้ วามเข้าใจ/การนาความรู้ไปใช้ ประเดน็ ความคดิ เหน็ มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่สี ดุ ค่าเฉลย่ี อย่ใู น 5 4 3 2 1 ระดบั 4. ความถงึ พอใจดา้ นการอานวยความสะดวก = 4.44 4.1 สถานที่ วัสดุ อปุ กรณแ์ ละ 2 1 - - - 4.67 มาก ส่งิ อานวยความสะดวก (66.67) (33.33) ทีส่ ุด 4.2 การสอื่ สาร การสร้าง 1 2 - - - 4.33 มาก บรรยากาศเพื่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ (33.33) (66.67) 4.3 การบรกิ าร การชว่ ยเหลือ 1 2 - - - 4.33 มาก และการแกป้ ัญหา (33.33) (66.67) 5. ความพงึ พอใจดา้ นการนาความรูไ้ ปใช้ = 4.67 5.1 สามารถนาความรู้ทีร่ ับไป 2 1 - - - 4.67 มาก ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปฏบิ ตั ิงานได้ (66.67) (33.33) ทสี่ ุด 5.2 สามารถนาความรู้ไป 2 1 - - - 4.67 มาก เผยแพร/่ ถ่ายทอดแก่ชมุ ชนได้ (66.67) (33.33) ทส่ี ุด 5.3 มคี วามม่ันใจและสามารถ 2 1 - - - 4.67 มาก นาความรทู้ ไี่ ด้รับไปใช้ได้ (66.67) (33.33) ทส่ี ดุ รวมทัง้ สนิ้ 31 23 - - - 4.57 มาก (57.41%) (42.59%) ทส่ี ุด คา่ เฉล่ยี ถ่วงน้าหนัก 4.57 ระดบั ความคดิ เห็น มากทสี่ ุด จากตารางที่ 5 จากการศึกษาพบวา่ ผเู้ ขา้ รว่ มอบรมส่วนใหญม่ ีความพงึ พอใจต่อการจัดกิจกรรมจัดทา โครงการเกษตรผสมผสานตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง และประโยชน์จากสารกญั ชง/กัญชา โดยรวมอยู่ ในระดับมากทสี่ ดุ ( x = 4.57) ตอนที่ ๑ ความพงึ พอใจด้านเน้ือหา ( x = ๔.67) มากทสี่ ดุ ๑.1 เนอื้ หาตรงตามความตอ้ งการ ( x = ๔.67) มากที่สดุ 1.๒ เนื้อหาเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ ( x = ๔.67) มากท่ีสุด 1.3 เนอ้ื หาปัจจุบนั ทันสมัย ( x = ๔.67) มากทส่ี ุด 1.๔ เนื้อหามีประโยชน์ตอ่ การนาไปใชใ้ นการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิต ( x = ๔.67) มากท่สี ุด ตอนท่ี ๒ ความพึงพอใจดา้ นกระบวนการจัดกิจกรรมการอบรม ( x = ๔.47) มาก 2.1 การเตรยี มความพรอ้ มกอ่ นอบรม ( x = ๔.33) มาก 2.2 การออกแบบกิจกรรมเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ( x = ๔.33) มาก 2.3 การจดั กิจกรรมเหมาะสมกบั เวลา ( x = 4.67) มากท่ีสุด 2.4 การจัดกิจกรรมเหมาะสมกบั กลุ่มเปาู หมาย ( x = 4.67) มากท่ีสุด 2.5 วิธกี ารวัดผล/ประเมินผลเหมาะสมกบั วัตถุประสงค์ ( x = 4.33) มาก ตอนท่ี ๓ ความพึงพอใจตอ่ วทิ ยากร ( x = ๔.67) มากทส่ี ดุ
24 3.1 วทิ ยากรมคี วามรคู้ วามสามารถในเรื่องที่ถ่ายทอด ( x = ๔.67) มากที่สดุ 3.2 วทิ ยากรมเี ทคนคิ การถ่ายทอดใช้สอ่ื เหมาะสม ( x = ๔.67) มากท่ีสุด 3.3 วิทยากรเปิดโอกาสให้มีส่วนรว่ มและซักถาม ( x = ๔.67) มากท่ีสุด ตอนท่ี ๔ ความพงึ พอใจด้านการอานวยความสะดวก ( x = ๔.44) มาก 4.1 สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์และส่ิงอานวยความสะดวก ( x = 4.67) มากที่สุด 4.2 การสือ่ สาร การสรา้ งบรรยากาศเพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ( x = ๔.33) มาก 4.3 การบรกิ าร การชว่ ยเหลอื และการแก้ปญั หา ( x = ๔.33) มาก ตอนท่ี ๕ ความพงึ พอใจดา้ นการนาความร้ไู ปใช้ ( x = ๔.67) มากที่สุด 5.1 สามารถนาความรูท้ ร่ี ับไปประยุกต์ใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านได้ ( x = ๔.67) มากท่ีสุด 5.2 สามารถนาความรู้ไปเผยแพร่/ถา่ ยทอดแก่ชุมชนได้ ( x = ๔.67) มากทส่ี ุด 5.3 มีความมนั่ ใจและสามารถนาความรู้ทไี่ ดร้ บั ไปใชไ้ ด้ ( x = ๔.67) มากทส่ี ุด สรุปภาพรวมความพงึ พอใจของผเู้ ข้าร่วมโครงการ ทง้ั หมด อยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ มีค่าเฉล่ยี = 4.57 ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะ - หมายเหตุ คิดคะแนนเฉพาะที่ความพงึ พอใจอยูใ่ นระดับมากขึน้ ไป
25 บทท่ี 5 สรุปผลโครงการ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ การจดั จดั ทาโครงการเกษตรผสมผสานตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และประโยชนจ์ ากสาร กัญชง/กญั ชา มีจดุ ประสงค์ในการจัดกิจกรรมดังนี้ ๑. เพอ่ื ให้ผู้เข้ารับการอบรมมคี วามรู้ความเข้าใจการทาเกษตรผสมผสาน แบบพ่ึงตนเอง ๒. เพ่ือให้ผู้เข้ารบั การอบรมการนา้ หมกั ต่างๆ และประโยชน์จากสารกัญชง/กญั ชา ๓. เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้ผู้เข้ารบั การอบรมทาบัญชีรายรับ-รายจ่าย การดาเนินการจดั กิจกรรม ๑. ผู้เข้าร่วมกจิ กรรม ผเู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรมโครงการ จานวน 3 คน - เพศชาย จานวน - คน - เพศหญงิ จานวน 3 คน 2. เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการอบรม ขอ้ มูลปฐมภูมิ ได้จากการกรอกแบบสอบถามของผเู้ ขา้ รว่ มกิจกรรม ข้อมูลทตุ ยิ ภมู ิ ศึกษาจากเอกสาร ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ ง 3. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู วเิ คราะห์แบบสอบถามในแต่ละสว่ น ดังนี้ ตอนที่ 1 ขอ้ มูลสถานภาพทว่ั ไปเกี่ยวกบั ผูต้ อบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ประเมนิ ความพงึ พอใจในการเข้าร่วมโครงการ ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะอนื่ ๆ ๔. วิธกี ารวิเคราะหข์ อ้ มลู ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ผจู้ ัดไดด้ าเนินการ 2 ลกั ษณะ คอื 4.1 การสงั เคราะห์เชงิ คุณลักษณะ ผู้จดั กิจกรรมทาการสงั เคราะห์โดยใชว้ ิธกี ารวเิ คราะหส์ ังเคราะห์ 3 ด้าน คอื ขอ้ มูล สถานภาพทว่ั ไปเกีย่ วกับผ้ตู อบแบบสอบถาม ประเมินความพงึ พอใจในการเข้าร่วมโครงการ ข้อเสนอแนะอื่น ๆ 4.2 การสงั เคราะหก์ ารอบรมเชงิ ปรมิ าณ ในการสงั เคราะหก์ ารจดั กจิ กรรมเชงิ ปรมิ าณ ผจู้ ัดกิจกรรมแยกออกเปน็ คณุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ใน การสังเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ๑. ขอ้ มลู เก่ยี วกับเพศ / อายุ / อาชีพ ๒. ขอ้ มลู ระดบั ความพงึ พอใจในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ๓. ข้อเสนอแนะ โดยเปรยี บเทยี บจานวนคนคิดเป็นรอ้ ยละในแต่ละส่วนของขอ้ มูลการอบรม พรอ้ มการบรรยายประกอบ สรุปผลการจัดกจิ กรรมโครงการ ผลการจัดกิจกรรมโครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง และประโยชนจ์ าก สาร กญั ชง/กญั ชา โดยใช้วิธีการวเิ คราะห์ สงั เคราะหจ์ ากแบบประเมินความพึงพอใจในการจัดกิจกรรม การเรยี นการสอน และรูปแบบการจดั กิจกรรม สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้
26 การสงั เคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ผเู้ ข้ารว่ มกจิ กรรมส่วนใหญ่เปน็ เพศหญิง และผู้เข้ารว่ มกจิ กรรมสว่ นใหญ่เป็นมีอายุ 50 - 59 ปี เนอ่ื งมาจากเป็นชว่ งวยั ทตี่ ้องการศกึ ษาเรยี นรู้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพ่อื ประกอบอาชพี มผี ลทา ให้การหาค่ารอ้ ยละในชว่ งนส้ี งู กว่าช่วงอนื่ ๆ การวเิ คราะหข์ ้อมูลเก่ียวกบั ความพึงพอใจในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ จากการศึกษาพบว่า ผ้เู ข้ารว่ มอบรมสว่ นใหญม่ ีความพึงพอใจตอ่ การจดั กจิ กรรมโครงการเกษตร ผสมผสานตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และประโยชนจ์ ากสารกญั ชง/กญั ชา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ทีส่ ดุ ( x = 4.57) ตอนท่ี ๑ ความพึงพอใจดา้ นเนอื้ หา ( x = ๔.67) มากท่สี ดุ ๑.1 เนือ้ หาตรงตามความตอ้ งการ ( x = ๔.67) มากทีส่ ดุ 1.๒ เนอื้ หาเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ ( x = ๔.67) มากที่สดุ 1.3 เนอื้ หาปัจจุบันทนั สมยั ( x = ๔.67) มากทสี่ ุด 1.๔ เนื้อหามปี ระโยชน์ต่อการนาไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชวี ิต ( x = ๔.67) มากที่สุด ตอนท่ี ๒ ความพึงพอใจดา้ นกระบวนการจดั กิจกรรมการอบรม ( x = ๔.47) มาก 2.1 การเตรียมความพร้อมกอ่ นอบรม ( x = ๔.33) มาก 2.2 การออกแบบกจิ กรรมเหมาะสมกบั วัตถปุ ระสงค์ ( x = ๔.33) มาก 2.3 การจดั กจิ กรรมเหมาะสมกับเวลา ( x = 4.67) มากที่สุด 2.4 การจดั กจิ กรรมเหมาะสมกบั กลุ่มเปูาหมาย ( x = 4.67) มากท่ีสดุ 2.5 วิธีการวดั ผล/ประเมินผลเหมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงค์ ( x = 4.33) มาก ตอนที่ ๓ ความพงึ พอใจตอ่ วิทยากร ( x = ๔.67) มากทสี่ ุด 3.1 วทิ ยากรมคี วามรูค้ วามสามารถในเรื่องทถี่ ่ายทอด ( x = ๔.67) มากท่ีสดุ 3.2 วทิ ยากรมเี ทคนคิ การถ่ายทอดใช้สอื่ เหมาะสม ( x = ๔.67) มากที่สุด 3.3 วิทยากรเปิดโอกาสใหม้ ีสว่ นรว่ มและซกั ถาม ( x = ๔.67) มากท่ีสุด ตอนท่ี ๔ ความพงึ พอใจด้านการอานวยความสะดวก ( x = ๔.44) มาก 4.1 สถานที่ วสั ดุ อปุ กรณแ์ ละส่ิงอานวยความสะดวก ( x = 4.67) มากท่ีสุด 4.2 การสอื่ สาร การสร้างบรรยากาศเพอื่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ( x = ๔.33) มาก 4.3 การบรกิ าร การชว่ ยเหลือและการแก้ปัญหา ( x = ๔.33) มาก ตอนท่ี ๕ ความพึงพอใจด้านการนาความรู้ไปใช้ ( x = ๔.67) มากทส่ี ดุ 5.1 สามารถนาความรทู้ ีร่ ับไปประยุกตใ์ ชใ้ นการปฏบิ ัตงิ านได้ ( x = ๔.67) มากที่สุด 5.2 สามารถนาความรู้ไปเผยแพร/่ ถา่ ยทอดแก่ชมุ ชนได้ ( x = ๔.67) มากท่ีสุด 5.3 มคี วามมัน่ ใจและสามารถนาความรทู้ ไ่ี ด้รับไปใชไ้ ด้ ( x = ๔.67) มากทสี่ ดุ สรปุ ภาพรวมความพงึ พอใจของผเู้ ข้าร่วมโครงการ ทั้งหมด อยใู่ นระดบั มากที่สดุ มีคา่ เฉลี่ย = 4.57 ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะ - หมายเหตุ คิดคะแนนเฉพาะท่ีความพึงพอใจอยใู่ นระดบั มากข้ึนไป
27 อภปิ รายผล จากการดาเนนิ การพบประเดน็ สาคญั ที่สามารถนามาอภิปรายผลได้ดงั น้ี ๑. ด้านกล่มุ เปาู หมาย ๑.๑ กลุม่ เปูาหมายสว่ นใหญเ่ กดิ การเรยี นรู้ มีความเข้าใจการจัดทาการเกษตรผสมผสานตาม แนวคิดหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ ประชาชนเกิดการเรยี นรู้บูรณาการ ความรู้ และทกั ษะอาชีพให้เกิดประโยชนต์ อ่ การพัฒนาสังคมและชุมชน มีความรูเ้ ก่ยี วการทานา้ หมักต่างๆ และประโยชน์จากสารกัญชง/กัญชา และเขา้ ใจการทาบัญชรี ายรบั -รายจา่ ย ๒. ด้านงบประมาณ ๒.๑ จากการดาเนินงานพบว่างบประมาณที่ใช้ในการจัดซ้ือวัสดุอุปกรณ์จัดกิจกรรมโครงการ เกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประโยชน์จากสารกัญชง/กัญชา เพียงพอต่อการ อบรมในครง้ั น้ี ๓. ด้านกิจกรรมการเรยี นการสอน ๓.๑ จากการดาเนนิ งานพบวา่ กจิ กรรมยดื หยุ่นตามสภาพกลุ่มเปูาหมาย เนอื่ งมาจากสภาพชีวติ ความเป็นอยูข่ องกลุ่มเปาู หมายมสี ว่ นสาคัญตอ่ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔. ดา้ นสถานที่ ๔.๑ การดาเนินการเปน็ ไปดว้ ยความสะดวก เรยี บร้อย ๔.๒ การใช้สถานที่ของผู้เรยี น/ผรู้ บั บริการเป็นจดุ เรียนรูใ้ นชุมชนทาให้เกิดความเช่อื มโยง สมั พนั ธก์ นั ระหว่าง กศน. ผเู้ รยี น และชุมชน ขอ้ มูลความตระหนัก ในการจัดกิจกรรมโครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประโยชน์จาก สาร กัญชง/กญั ชา สาหรบั ประชาชนท่วั ไปทีเ่ ขา้ รบั การอบรมแล้วสามารถนาความรู้ท่ีได้รับไปปรับไปใช้ใน ชวี ติ ประจาวันได้ และเกดิ ทักษะในการอยู่รว่ มกันในสงั คมได้อยา่ งมีความสุข ขอ้ มูลการปฏิบัติ (ความพยายาม) เม่อื บุคลากรได้รับแนวทางในการปฏบิ ัติและนโยบายจาก กศน.อาเภอชาติตระการ และร่วม ดาเนนิ การจดั กจิ กรรมโดยครอู าสาสมัครฯ,ครู กศน.ตาบล เพือ่ ประสานใหป้ ระชาชนเข้ารว่ มกิจกรรม ตามการ กาหนดรูปแบบการจัดกิจกรรม เพ่ือใหเ้ ป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ จุดเดน่ ๑. กล่มุ เปาู หมายมีความรบั ผิดชอบ ๒. กลุ่มเปูาหมายมีความสนใจในกจิ กรรมของโครงการ ๓. กลมุ่ เปูาหมายมีความรับผิดชอบ ๔. กลมุ่ เปาู หมายสามารถนาความรู้ทีไ่ ดไ้ ปใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวันของตนเองได้ จดุ ควรพฒั นา (จุดดอ้ ย) ๑. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมน้อย ทาให้ผู้เข้าร่วมโครงการไม่ได้รบั ความรู้เทา่ ทคี่ วร ๒. อุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการจดั กจิ กรรมมีจานวนจากดั
28 แนวทางการพัฒนา ๑. ควรมกี ารปรับเวลาการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ๒. ควรจากดั จานวนคนทเี่ ขา้ รว่ มกจิ กรรมทแี่ นน่ อน เพราะจะได้ให้ความรู้ได้อย่างทั่วถงึ ขอ้ เสนอแนะในการดาเนินการครงั้ ต่อไป 1. ควรทาการศึกษาความต้องการของกลุ่มเปูาหมาย โดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ ได้ขอ้ มูลทถ่ี ูกตอ้ ง ตรงตามความต้องการของผู้เรียนมากทส่ี ดุ 2. ควรศกึ ษาความตอ้ งการของกลุ่มเปูาหมายในด้านต่าง ๆ ที่ต้องการรับบริการจาก กศน. เพ่ือให้ ทราบและสามารถจัดกจิ กรรมตามหลักสตู รให้สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของทอ้ งถน่ิ ได้ 3. ควรศึกษาผลกระทบจาการดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยการศึกษาจาก กลมุ่ เปาู หมาย และชุมชน 4. ควรเกบ็ ข้อมลู ของผู้เข้ารับการอบรมหลงั การอบรมดว้ ยทกุ คร้งั
29 ภาคผนวก - เอกสารทีเ่ กี่ยวข้อง - ภาพประกอบกจิ กรรม
30 ภาพประกอบกจิ กรรม โครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง และประโยชนจ์ ากสารกัญชง/กญั ชา วันท่ี 24 มถิ ุนายน 2565 ณ บา้ นเลขท่ี 100 หมู่ 4 บ้านห้วยช้างแทง ตาบลสวนเม่ียง อาเภอชาตติ ระการ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก
31 ภาพประกอบกจิ กรรม โครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง และประโยชนจ์ ากสารกัญชง/กญั ชา วันท่ี 24 มถิ ุนายน 2565 ณ บา้ นเลขท่ี 100 หมู่ 4 บ้านห้วยช้างแทง ตาบลสวนเม่ียง อาเภอชาตติ ระการ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก
32 ภาพประกอบกจิ กรรม โครงการเกษตรผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง และประโยชนจ์ ากสารกัญชง/กญั ชา วันท่ี 24 มถิ ุนายน 2565 ณ บา้ นเลขท่ี 100 หมู่ 4 บ้านห้วยช้างแทง ตาบลสวนเม่ียง อาเภอชาตติ ระการ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก
33 คณะผู้จดั ทา ทป่ี รกึ ษา กันตง ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอชาตติ ระการ ล้วนมงคล ครูผู้ช่วย 1. นางพรสวรรค์ 2. นางสาวชมพูนุช คณะทางาน ครู อาสาสมคั รฯ วา่ ทีพ่ .ต.บุญส่ง วันช่นื ผ้รู บั ผิดชอบ/ผเู้ รียบเรียบ/ผู้จดั รปู เลม่ /ออกแบบปก นายอัษฎาพร พว่ งป่นิ ครู กศน.
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: