คมู่ ือผู้เลา่ เรือ่ งธรณี อทุ ยานแหง่ ชาต-ิ ไม้กลายเป็นหิน จังหวดั ตาก
คูม่ อื ผูเ้ ล่าเร่ืองธรณี ไมก้ ลายเปน็ หนิ ในอทุ ยานแห่งชาติ อทุ ยานแหง่ ชาติ-ไม้กลายเปน็ หิน จงั หวดั ตาก ทกุ องคก์ รภายใตก้ ระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ตระหนกั ดถี งึ ภารกจิ อธิบดกี รมทรพั ยากรธรณ ี นายสมหมาย เตชวาล ด้านการศึกษา ส�ำรวจ อนุรักษ์ และเผยแพร่องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติสู่สังคม รองอธบิ ดกี รมทรัพยากรธรณี นายนิวตั ิ มณขี ตั ยิ ์ เพ่ือความเข้าใจท่ีถูกต้องท้ังด้านการเกิด การพัฒนา การอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ รองอธิบดกี รมทรัพยากรธรณ ี นายมนตรี เหลืองอิงคะสุต ทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภทอยา่ งชาญฉลาด และกลมกลนื กบั วถิ ชี ีวติ ของคนไทย ผ้อู �ำนวยการกองธรณีวทิ ยา นายสรุ ชัย ศริ ิพงษเ์ สถยี ร ดว้ ยเหตุน้ีกรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์พุ ชื และกรมทรพั ยากรธรณีจึงได้ ผู้อ�ำนวยการกองค้มุ ครองซากดกึ ด�ำบรรพ์ นายนิมิตร ศรคลัง รว่ มมอื กนั จดั การพฒั นาอทุ ยานแหง่ ชาตไิ มก้ ลายเปน็ หนิ จงั หวดั ตาก โดยไดร้ บั การสนบั สนนุ ผอู้ �ำนวยการส�ำนักงานทรัพยากรธรณีเขต 1 นายสธุ ี จงอจั ฉริยกุล จากกระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬาเพ่ือให้เป็นแหล่งอนุรักษ์ และท่องเที่ยวส�ำหรับทุกคน เขยี นเรอื่ ง นายประชา คตุ ติกุล ที่ส�ำคัญคือเพ่ือส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ด้านป่าไม้ และธรณีวิทยาจากแหล่งธรรมชาติ สนบั สนนุ ขอ้ มูล นายเด่นโชค ม่นั ใจ โดยการจดั เตรยี มสถานท่ี อาคารแสดง สง่ิ อ�ำนวยความสะดวกตา่ ง ๆ รวมถึงข้อมูลทุกด้าน นายปรชี า สายทอง เกย่ี วกบั ไมก้ ลายเปน็ หนิ เพอื่ บรกิ ารผมู้ าเยย่ี มชม รวมทง้ั มยี วุ มคั คเุ ทศกน์ ำ� ชม และคอยใหข้ อ้ มลู เพ่ิมเตมิ ทุกวัน พมิ พค์ รัง้ ที่ 1 จำ� นวน 3,000 เล่ม เดือน สงิ หาคม 2560 “คู่มือผู้เล่าเรื่องธรณี อุทยานแห่งชาติ-ไม้กลายเป็นหิน จังหวัดตาก” จัดท�ำข้ึน พิมพ์ครงั้ ท่ี 2 จ�ำนวน 1,500 เล่ม เดือน กันยายน 2562 โดยมวี ตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ในการใหค้ วามรดู้ า้ นวชิ าการเบอ้ื งตน้ แกผ่ ทู้ จี่ ะศกึ ษาเพอื่ นำ� องคค์ วามรทู้ ไ่ี ด้ จดั พมิ พโ์ ดย กองคมุ้ ครองซากดกึ ดำ� บรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี ไปเผยแพรต่ อ่ ไปใหก้ บั นกั ทอ่ งเทย่ี ว และเปน็ การเรม่ิ ตน้ ใหก้ บั ผอู้ า่ นทสี่ นใจไดศ้ กึ ษาหาความ 75/10 ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 รู้ในระดับทล่ี กึ ลงไปอีก ทงั้ ในสาขาสิง่ แวดล้อม วนศาสตร์ และธรณีวทิ ยา โทรศัพท์ 0 2621 9847 โทรสาร 0 2621 9841 กรมทรพั ยากรธรณีหวงั เป็นอย่างยง่ิ วา่ คมู่ ือเลม่ นจ้ี ะเปน็ ส่อื ท่เี ร่ิมต้นจดุ ประกายให้ ผู้อ่านได้เห็นความส�ำคัญของธรรมชาติในแขนงต่าง ๆ และได้มีโอกาสร่วมกันอนุรักษ์ และ ขอ้ มลู ทางบรรณานกุ รม เผยแพร่สิ่งพิเศษท่ีธรรมชาติได้เพียรรังสรรค์ผ่านธรณีกาลที่นานแสนนานมาเพ่ือมนุษยชาติ กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2562, ท้งั มวล คมู่ อื ผู้เล่าเรื่องธรณี อุทยานแห่งชาติ-ไม้กลายเป็นหิน; 38 หนา้ 1.ธรณวี ิทยา 2.ไมก้ ลายเป็นหิน 3.แอ่งบ้านตาก (นายสมหมาย เตชวาล) อธบิ ดกี รมทรัพยากรธรณี พมิ พ์ท่ี ททู วินพริน้ ต้ิง 10/122 หมทู่ ี่ 8 ต.สำ� โรงเหนอื อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10270 โทรศพั ท์ 0 2185 9953 และ 09 6996 5447 E-mail: [email protected]
สารบญั อทุ ยานแหง่ ชาต-ิ ไมก้ ลายเปน็ หิน จังหวัดตาก อทุ ยานแห่งชาต-ิ ไม้กลายเป็นหิน จังหวัดตาก 1 อทุ ยานแหง่ ชาต-ิ ไมก้ ลายเปน็ หนิ จงั หวดั ตาก ตงั้ อยใู่ นตำ� บลตากออก อำ� เภอบา้ นตาก ซง่ึ อยปู่ ระมาณกงึ่ กลางระหวา่ งเขอื่ นภมู พิ ล และตวั จงั หวดั ตาก คลมุ พน้ื ทป่ี ระมาณ 14,510 ไร่ ตงั้ อยู่ ไมก้ ลายเป็นหินที่ยิ่งใหญท่ ส่ี ุด หา่ งประมาณ 2.5 กโิ ลเมตรจากปากทางเขา้ บริเวณฝ่งั ตะวันออกของถนนพหลโยธิน ใกล้กบั หลัก กโิ ลเมตรที่ 443 ตรงขา้ มกบั โรงพยาบาลบา้ นตาก 8ต้น(ไม)้ ก�ำเนิดไม้กลายเป็นหิน พนื้ ทโ่ี ดยรอบอทุ ยานฯ เปน็ ปา่ เตง็ รงั โปรง่ พื้นดินเป็นช้ันกรวดทรายที่พบท่อนไม้ขนาดใหญ่ เขอื่ นภูมิพล รูจ้ กั ต้นไมก้ ลายเปน็ ท่อนซุงกอ่ น....... ฝังอยู่โดยโผล่บางส่วน ซ่ึงเม่ือตรวจดูเบื้องต้นในปี พ.ศ. 2546 พบวา่ มลี ักษณะแข็งเป็นหิน กรมอทุ ยานแหง่ ชาต ิ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ได้ท�ำการขุดค้นตรวจสอบพบว่าท่อนไม้ท่ีฝังอยู่ ไมก้ ลายเป็นหนิ คอื อะไร? 14 คือไม้กลายเป็นหิน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง บานตาก เป็นไปได้อย่างไร...... ตน้ ไม้ฝงั ดนิ -อมิ่ น�้ำ แลว้ กลายเป็นหิน !! ประมาณ1.8เมตรยาวประมาณ 72เมตรจงึ ไดจ้ ดั ตง้ั ให้พ้ืนท่ีแห่งนี้เป็น“วนอุทยานไม้กลายเป็นหิน” การศึกษาไม้กลายเปน็ หนิ ในอทุ ยานฯ 22 อุทยานไมก ลายเปน หนิ เรียนรจู้ ากตน้ ไม้ แลว้ นำ� ไปใชก้ บั หิน การส�ำรวจพื้นทีไ่ ดด้ ำ� เนนิ การมาต้งั แต่ปี พ.ศ. 2547 ทำ� ใหพ้ บไมก้ ลายเปน็ หนิ หลายสบิ ทอ่ น 26การข้นึ ทะเบยี นแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ และจากการขุดค้นรวม 7 หลุม พบไม้กลายเป็น หินขนาดใหญ่จ�ำนวน 8 ท่อน วนอุทยานแห่งนี้ ได้รบั ความคุม้ ครอง....โดยกฎหมายไทย จึงถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเรียนรู้ทาง ธรรมชาติของจังหวัดตาก โดยได้รับความร่วมมือ 34เมื่อ(รูจ้ กั )ไม้กลายเป็นหิน จากหน่วยงานต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งทงั้ ในจังหวดั และ เมืองตาก รูจ้ ักไมก้ ลายเป็นหินแล้ว รู้สกึ อยา่ งไร? จากส่วนกลาง ในการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ 0 5 10 กม. ถูกต้อง เพ่ือเผยแพร่สู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ผา่ นส่อื ประเภทตา่ ง ๆ และที่ส�ำคัญคือผ่านทาง ยวุ มคั คเุ ทศก์ประจ�ำอุทยานฯ แห่งนี้ ในปี พ.ศ. 2556 ด้วยความโดดเด่นเป็นพิเศษ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วนอุทยาน ไมก้ ลายเปน็ หนิ แหง่ นจ้ี งึ ถกู เตรยี มการยกฐานะขนึ้ เปน็ “อทุ ยานแหง่ ชาตไิ มก้ ลายเปน็ หนิ จงั หวดั ตาก” รว่ มกับวนอทุ ยานน�ำ้ ตกหว้ ยแม่ไข และวนอุทยานน�้ำตกแก่งห้วยตาก ตอ่ มาภายหลงั กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธพุ์ ืช ไดม้ ีประกาศใหเ้ ปลย่ี นชอ่ื เป็น “อทุ ยานแหง่ ชาติดอยสอยมาลยั ” (เตรยี มการ) เมอ่ื วนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2561 1
พรีแคมเบรยี น แคมเบรยี น ออรโ ดวิเชยี น ไซลเู รียน มหายุค พาลโี อโซอิก คารบอนิเฟอรัส เพอรเ มยี น ไทรแอสซิก มหายคุ มีโซโซอิก ครีเทเชียส มหายคุ ซโี นโซอิก ดีโวเนียน จูแรสซิก พาลีโอจีน นโี อจีน ควอเทอรนารี 541.0 358.9 485.4 443.8 419.2 298.9 251.9 201.3 145.0 ตอนลางตอนกลาตงอนบน Qff C-Trsd พาลโี อซีน อโี อซีน โอลิโกซนี ไมโอซีน ไพลโอซนี ไพลสโตซีน โฮโลซนี หนวยเวลา ลา นป 66.0 56.0 33.9 23.03 5.333 2.58 0.0117 ปจจบุ นั 0 5 กม. 0.781 0.126 Qfm Qff แผนที่ธรณีวิทยาบริเวณแอ่งบ้านตาก ซึ่งเป็นที่ต้ังของอุทยานแห่งชาติ-ไม้กลายเป็นหิน แมน ำ้ วัง จงั หวดั ตาก แสดงการวางตวั ของหนิ ชนดิ ตา่ ง ๆ ในแนวเหนอื -ใต้ รวมถงึ ตะกอนประเภทตา่ ง ๆ ทสี่ ะสมตวั ท้ังสองฝั่งแม่น�้ำปิง และแม่น�้ำวัง โดยมีช่ือเรียก ลักษณะทางกายภาพ เรียงล�ำดับจากอ่อนไปแก่ Qaf Trrh ตามสญั ลกั ษณท์ ป่ี รากฏในแผนทธ่ี รณวี ทิ ยา (สว่ นของตะกอนมรี ายละเอยี ดในหนา้ ถดั ไป) อ.สามเงา Qoaf ดา้ นตะวนั ตกเปน็ แนวเขาหนิ แปรอายมุ ากทส่ี ดุ ในประเทศไทย สว่ นดา้ นตะวนั ออกมแี นวเขา หินแกรนิตขวางอยู่ ท�ำให้พื้นท่ีมีลักษณะเป็นหุบเขา มีแม่น้�ำปิงไหลมาจากเขื่อนภูมิพลท่ีอยู่ทาง เขอื่ นภูมิพล Qoaf ตอนเหนือเป็นแม่น้�ำสายหลักของพ้ืนท่ี โดยมีแม่น้�ำวังไหลลงมาจากทางด้านเหนือสุดของลุ่มน้�ำนี้ Qoff แมน ้ำปง มาสมทบท่บี า้ นปากวัง บรเิ วณประมาณ 5 กโิ ลเมตร ทางเหนือของอุทยานฯ อทุ ยานแห่งชาติ-ไม้กลายเป็นหิน ตั้งอยู่บนช้ันตะกอนน้�ำพารูปพัดโบราณ (Qoaf) Є ซง่ึ ปรากฏใหเ้ หน็ ตามแนวเชิงเขาตลอดลุม่ นำ�้ ตอนลา่ ง Qoaf สัญลักษณ หนวยตะกอน/หนว ยหนิ ลกั ษณะตะกอน/ลกั ษณะหิน อายทุ างธรณีกาล Qoaf Qfm ตะกอนนำ้ พาที่สะสมตวั ประกอบดวยดนิ เหนยี ว ทรายแปง ทราย และกรวด ควอเทอรน ารี Qoff ริมทางน้ำโคง ตวดั สะสมตัวในที่ราบ และในทะเลสาบรปู แอก (ปจจบุ ัน) บานปากวัง Cg Qff ตะกอนที่ราบนำ้ ทวมถงึ ประกอบดวยดินเหนียว ทรายแปง ทราย และกรวด ควอเทอรนารีตอนบน (โฮโลซีน) Gr Qaf ตะกอนนำ้ พารปู พัด ประกอบดวยดินเหนียว ทรายแปง ทราย และกรวดหนิ ไนส กรวดหินชสี ต เปน ตะกอนเหลยี่ ม พบขนานไปกับเชงิ เขา ควอเทอรน ารีตอนลา ง ประกอบดว ยดนิ เหนียว ทรายแปง ทราย และกรวดหินทราย (ไพลสโตซีน) Qoaf ตะกอนนำ้ พารปู พดั สนี ้ำตาลแดง หนิ กรวดมนสนี ำ้ ตาลแดง หินควอรต ไซตสนี ้ำตาล เกา ตะกอนกลมมน ควอเทอรน ารตี อนลา ง (ไพลสโตซนี ) Qoaf Qoaf Qoff ตะกอนทรี่ าบน้ำทว มถึง ประกอบดวยดินเหนยี วสเี ทาเขียว ทรายแปง ทราย และกรวด Qaf เกา ควอเทอรนารตี อนลา ง ไมก ลายเปน หนิ (ไพลสโตซนี ) Cg หินกรวดมนแมบอน ประกอบดวยหินแกรนติ ไรโอไลต และหินทรายสีนำ้ ตาลแดง อ.บานตาก ไทรแอสซิก-นโี อจีน Qoff Gr หินอคั นีมวลไพศาล ประกอบดว ยหนิ แกรนิต หินควอตซไ ดโอไรต หินแกรโนไดออไรต ไทรแอสซิก Trrh หนิ ภเู ขาไฟ ประกอบดวยหนิ ไรโอไลตฺ และหนิ ไรโอลติ ิกทฟั ฟ สมี ว งแดง ไทรแอสซิก แผนที่ธรณีวทิ ยาบรเิ วณแหลง่ ไม้กลายเป็นหินจังหวดั ตาก (ดดั แปลงจาก เดน่ โชค ม่นั ใจ, 2559) C-Trsd หินตะกอน ประกอบดว ยหนิ ทราย หนิ ทรายแปง หนิ กรวดมน และหินปูน คารบ อนเิ ฟอรสั -ไทรแอสซกิ Є หนิ แปร ประกอบดว ยหนิ ไนส หินชสี ตฺ และหินแคลซิลิเกต มหายคุ พรแี คมเบรียนและ 2 มหายุคพาลีโอโซอิกตอนลาง 3
จากการลำ� ดบั ตะกอนในบรเิ วณแอง่ บา้ นตากโดยเดน่ โชค มนั่ ใจ 2559 แสดงการหยดุ ชะงกั ชนดิ ของกรวดทพี่ บมากทสี่ ดุ ในชน้ั ตะกอนนำ้� พารปู พดั เกา่ ไดแ้ ก่ หนิ ทรายสขี าว หนิ ทราย ของการสะสมตะกอน หรืออาจเกิดการกัดเซาะตะกอนที่เคยสะสมมาก่อน รวม 4 ครั้งบริเวณ สนี ำ�้ ตาลแดง หนิ กรวดมนสนี ำ�้ ตาลแดง และหนิ ภเู ขาไฟชนดิ ไรโอไลตส์ มี ว่ งแดง บง่ ชวี้ า่ เปน็ กอ้ นกรวด รอยช้ันไม่ต่อเน่ือง ตลอดสมัยไพลสโตซีน ซึ่งกินเวลากว่า 2.5 ล้านปี เหลือหลักฐานชั้นตะกอน ทถี่ ูกพดั พามาจากเทือกเขาดา้ นทศิ เหนอื ของแอ่งท่มี ีแม่น้�ำวงั ไหลผ่าน รวม 3 ชนั้ ที่บางส่วนถกู ปดิ ทบั ดว้ ยตะกอนสมยั โฮโลซีน ซ่ึงทงั้ หมดเกดิ จากแม่นำ้� ปงิ และแม่น�้ำวงั ส่วนตะกอนกรวดท่ีพัดพามาโดยแม่น�้ำปิง จะเป็นกรวดที่ผุพังมาจากหินแปรหลายชนิด ที่เป็นตัวน�ำตะกอนเข้าสูแ่ อง่ บ้านตาก ไดแ้ ก่ หนิ ไนส์ หนิ ชีสต์ และหนิ ควอรต์ ไซต์ ที่พบบริเวณเทือกเขาด้านตะวนั ตกของแอง่ ซ่ึงจะพบ สำ� หรบั ชน้ั ตะกอนทน่ี า่ สนใจทส่ี ดุ คอื ชนั้ ตะกอนนำ�้ พารปู พดั เกา่ ซงึ่ ไดโ้ อบอมุ้ ไมก้ ลายเปน็ หนิ นอ้ ยมากในชนั้ ตะกอนนำ้� พารปู พดั เกา่ หลายสบิ ท่อน (เทา่ ทม่ี ีหลักฐานในปัจจบุ นั ) อยใู่ นบรเิ วณอทุ ยานแหง่ ชาติ-ไม้กลายเปน็ หนิ จากการศึกษาอายุของชั้นตะกอน และอายุของไม้กลายเป็นหิน ซ่ึงจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้ ปจจุบนั 90 - ข้อยุติ เนื่องจากเดิมเคยใช้ข้อมูลของการปิดทับของตะกอนชุดน้ีด้วยหินบะซอลต์ที่จังหวัดล�ำปาง โฮโลซีน Qfm ตะกอนน้ำพาทสี่ ะสมตวั ริมทางน้ำโคงตวัด ซึง่ ทราบวา่ มอี ายปุ ระมาณ 0.6±0.2 ถงึ 0.8±0.2 ลา้ นปี ดว้ ยการวดั การสลายตวั ของสารกมั มนั ตรงั สี ประกอบดวยดินเหนยี วแทรกสลบั ดวยชน้ั ทรายละเอยี ดถึงปานกลางสเี ทาดำ และกรวดขนาดเลก็ แทรกสลบั ดว ยทรายเน้ือละเอียดถงึ หยาบ ทส่ี ะสมตวั ในรองนำ้ 0.0117 80 - Qff ตะกอนทร่ี าบน้ำทวมถงึ K/Ar จงึ อนมุ านใหอ้ ายขุ องไมก้ ลายเปน็ หนิ อยใู่ นชว่ งไพลสโตซนี ตอนลา่ ง (ประมาณ แปดแสนป)ี ประกอบดว ยดนิ เหนียวสีเทาดำแทรกดวยชัน้ กรวดทรายทส่ี ะสมตัวตามรอ งน้ำ ในปี พ.ศ. 2558 กรมทรัพยากรธรณีได้ให้ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ มหาวิทยาลัย การคดั ขนาดดี แสดงชนั้ ดีสม่ำเสมอ ความตอ เน่ืองดานขา งดี พบชัน้ เฉียงระดับท่ัวไป 1/16 เกษตรศาสตร์หาอายุชั้นตะกอน และไม้ 70 - รอยช้ันไมตอ เน่ือง ขนาดจรงิ ของ ละเอยี ดมาก 1/8 กลายเป็นหินด้วยวิธีการเรืองแสงความร้อน Qaf ตะกอนน้ำพารูปพดั ดินเหนียว เปนชัน้ ตะกอนกรวดท่ีประกอบดว ยหินไนส แคลซิลเิ กต ชสี ต และควอรตไซต ซลิ ท ขนาดเฉล่ยี 20-40 ซม. ความกลม และมนตำ่ ช้ันไมส ม่ำเสมอ ความตอเน่ืองดา นขาง ละเอยี ด (Thermoluminescence, TL) บริเวณ 60 - ไมดี แทรกสลบั ดวยชั้นตะกอนทรายละเอยี ดจนถงึ หยาบ และชน้ั ดินเหนียว ปานกลาง 1/4 วนอุทยานไม้กลายเป็นหิน ในบ่อขุดดินเก่า หยาบ 1/2 ข้างอ่างเก็บน้�ำซับไม้แดง อ�ำเภอบ้านตาก สนี ำ้ ตาลแดง 50 - รอยช้ันไมตอเนื่อง ทราย Qoaf ตะกอนน้ำพารูปพดั เกา 1 และบรเิ วณวดั ปา่ พระสามเงา อำ� เภอสามเงา เปนช้ันตะกอนกรวดทีป่ ระกอบดว ยหินทรายสีมวง หินทรายสีขาว หินกรวดมน ละเอยี 4ดมาก โพลสโต ีซน สมี วงแดง หนิ ควอรตไซตส ีนำ้ ตาลออ น หินเชริ ต สดี ำ และแรค วอตซสขี าว หยาบมาก 40 - ขนาดมีตั้งแตเลก็ ถงึ ใหญ เฉล่ยี 2-20 ซม. ความกลมและมนดมี าก ช้นั ไมส มำ่ 8 มม. พบว่า มีอายุ 22,000 - 54,000 ปี และ ละเอียด 2 20,000 - 22,000 ปี ตามลำ� ดบั สว่ นอายขุ อง เสมอ ความตอเน่ืองดานขางไมด ี กรวด มลิ ลิเมตร ไมก้ ลายเป็นหิน จากบริเวณหลุมขุดคน้ ที่ 7 แทรกสลบั ดวยชั้นตะกอนทรายละเอียดจนถึงหยาบ สว นใหญเปนแรควอตซ 30 - สีขาว และเฟลสปารท ม่ี ีความกลม และมนตำ่ พบการวางชนั้ เฉยี งระดบั ทแ่ี สดง การวางตวั ในหลายทศิ ทาง 16 มม. วดั ไดป้ ระมาณ 120,000 - 129,000 ปี การคดั ขนาดแยกชัน้ ตะกอนระหวางช้ันตะกอนขนาดดินเหนยี ว กับช้นั ตะกอน กรวดทราย ดีปานกลาง แตในชัน้ ตะกอนกรวดทรายจะพบการปะปนกนั ของ เดน่ โชค มนั่ ใจ, 2559 ได้รายงานการพบอลุ กมณี 20 - ตะกอนขนาดตา งๆ แสดงการคัดขนาดตะกอนไมดอี ยา งมากดี ปานกลาง หรอื tektite ในชน้ั ตะกอนทรี่ าบนำ�้ ทว่ มถงึ โบราณ ซง่ึ เทยี บ พบไมกลายเปนหินสะสมตวั อยรู ว มกบั ตะกอนในชนั้ นี้ ไดก้ บั ชน้ั ตะกอนในภาคอสี านทใี่ หอ้ ายไุ วป้ ระมาณ 800,000 ปี 10 - รอยชั้นไมตอเนือ่ ง 32 มม. โดยวางตัวรองรบั ชั้นตะกอนทอี่ ุ้มไมก้ ลายเป็นหินอยู่ ข้อมูลเบ้ืองต้นด้านธรณีวิทยาส�ำหรับไม้กลายเป็นหิน 0.781 Qoff ตะกอนทร่ี าบนำ้ ทวมถึงโบราณ ของจังหวัดตากในบทน้ีเป็นส่วนส�ำคัญที่สุดส่วนหนึ่ง ประกอบดว ยดินเหนียวสเี ทาเขยี ว แทรกดวยชั้นตะกอนกรวดท่เี ปนหนิ ไรโอไลต 0- หนิ ทรายสีนำต าลแดง และหินกรวดมนสนี ้ำตาลแดง ขนาดเฉล่ีย 20-30 ซม. ไทรแอส ิซก- ีนโอ ีจน ทีแ่ สดงช้ันดี และพบอลุ กมณี หรือ tektite ปนอยกู บั กรวดในชนั้ ลา งสดุ ของตะกอนชน้ั น้ี เทยี บอายุกบั ช้ันกรวดในภาคอสี านได 800,000 ป ความหนา รอยชนั้ ไมตอ เนอ่ื ง สำ� หรบั ใชเ้ ปน็ พน้ื ฐานในการพจิ ารณาขอ้ มลู ทจี่ ะไดพ้ บ ช้นั ตะกอน ดานหนิ แกรนติ และหินกรวดมน ในบทตอ่ ไป ซง่ึ เกยี่ วขอ้ งกบั ธรรมชาตขิ องตน้ ไม้ และ (เมตร) อายุ (ลานป) ตะกอนทราย และกรวด ขนาดตา่ ง ๆ ตาม กระบวนการท่ีท�ำให้เกิดส่ิงมหัศจรรย์ธรรมชาติ มาตรฐานทางธรณีวิทยา เพอ่ื การเปรียบเทยี บ แท่งล�ำดบั ชัน้ ตะกอนในบรเิ วณแอ่งบา้ นตาก จังหวดั ตาก (ดัดแปลงจาก เดน่ โชค มั่นใจ, 2559) “ไม้กลายเปน็ หนิ “ 4 64 มม. 5
หลุมท่ี 1 พบท่อนซุงไมท้ องบ้ึง กลายเปน็ หนิ เส้นผ่านศนู ยก์ ลางเฉล่ยี 1.8 เมตร ยาว 72.2 เมตร มีสภาพ ล�ำตน้ ค่อนขา้ งสมบูรณ์ ] [ หลุมที่ 5 พบไม้ ไม้มะคา่ โมง กลายเปน็ หิน \\ ขนาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลางเฉลย่ี 1.2 เมตร ยาว 22.2 เมตร หลมุ ท่ี 2 พบ ไมม้ ะคา่ โมง กลายเปน็ หนิ เสน้ ผา่ น สภาพค่อนขา้ งแตกหกั และคดโคง้ ไปมา ศนู ยก์ ลางเฉลยี่ 0.5 เมตร ยาว 31.1 เมตร สภาพ \\ หลมุ ท่ี 7 พบทอ่ นซงุ ไมท้ องบง้ึ กลายเปน็ หนิ ขนาด คอ่ นขา้ งแตกหกั และคดโคง้ ไปมา เส้นผา่ นศนู ย์กลางเฉลย่ี 1.5 เมตร ยาว 38.7 เมตร มีสภาพ หลมุ ที่ 3 พบ ไม้ทองบ้งึ กลายเป็นหิน ลำ� ต้นคอ่ นข้างสมบูรณ์ ขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 2.1 เมตร ] อทุ ยานแหง ชาติไมก ลายเปนหิน 2 31 ยาว 33.5 เมตร มีสภาพล�ำต้นบางสว่ น ที่ท�ำการ อุทยานแหง่ ชาติไม้ 5 ภายนอกแตกผุพัง ] กลายเปน็ หิน จ.ตาก รายลอ้ มด้วยหลุม 4 7 ขุดคน้ รวม 5 หลมุ สว่ นอีก 2 หลมุ 6 อยู่ใกล้ปากทางเขา้ จากถนนพหลโยธิน ซึ่งอยตู่ รงขา้ ม รพ.บา้ นตาก หลมุ ขุดคน้ ทุกหลุมเปิดใหน้ กั ท่องเทย่ี วเขา้ ชม ศกึ ษา หาความรไู้ ด้ โรงพยาบ*าลบานตาก \\ หลุมที่ 6 พบท่อนซุง ไมท้ องบ้ึง \\ หลมุ ที่ 4 พบท่อนซุง ไมท้ องบึ้ง กลายเปน็ หนิ เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางเฉลยี่ เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางเฉลยี่ 1.4 เมตร ยาว 1.5 เมตร ยาว 33.6 เมตร สภาพล�ำต้น 42.4 เมตร สภาพคอ่ นข้างแตกหกั และ สว่ นใหญ่คอ่ นขา้ งสมบูรณ์ ส่วนท่ีเหลือ คดโค้งไปมา แตกหกั วางตัวบนตะกอนทรายสีแดง อมสม้ 7 6
O2 Co2 โครงสร้างส่วนท่ีใหญ่ท่ีสุดของต้นไม้ ที่มักเหลือรอดจากการผุพังท�ำลายด้วยปัจจัยทาง ธรรมชาติกค็ ือ ล�ำต้น เรามาทำ� ความรู้จกั โครงสร้างของล�ำต้น และรายละเอียดเน้อื เยือ่ ต่าง ๆ ของ ต้น (ไม)้ กำ� เนดิ ไม้กลายเปน็ หนิ ตน้ ไมเ้ พอ่ื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู พน้ื ฐานสำ� หรบั การทำ� ความเขา้ ใจวธิ กี ารศกึ ษา เพอื่ เปรยี บเทยี บหาตน้ กำ� เนดิ ของชนิดไมท้ ก่ี ลายเป็นหิน โดยเริ่มจากดา้ นนอกเข้าไป ดังนี้ ไม้กลายเป็นหินคืออะไร?...น่าจะหาค�ำตอบได้ง่ายขึ้น หากเราเข้าใจต้นก�ำเนิดของ เปลือกไม้ (Bark) ทำ� หน้าทป่ี ้องกนั เนือ้ ไม้จากการถูกรบกวนของส่งิ แวดล้อมภายนอก เปลือกใน (หรอื ชน้ั ทอ่ อาหาร Phloem) ประกอบด้วยท่อลำ� เลียงอาหารทผ่ี ลติ ไดจ้ าก ต้นไม้ ท่ีโดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ พุ่มใบ ล�ำต้น และราก ซึ่งมีหน้าท่ีประสาน ใบเพอ่ื สง่ ไปสู่ส่วนท่ีกำ� ลงั เจรญิ เตบิ โตท่ัวลำ� ตน้ เนื้อเยื่อแคมเบียม (Cambium) เป็นเน้ือเยื่อบางมาก ๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ในภาพ เชอ่ื มโยงกนั ในการสร้างตน้ ไม้ และป่าไม้ จากอะตอมของธาตุต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งน่าอศั จรรย์ อยรู่ ะหวา่ งเปลอื กในกบั กระพี้ เนอื้ เยอื่ ดา้ นนอกทำ� หนา้ ทผี่ ลติ ทอ่ ลำ� เลยี งอาหาร (Phloem) สว่ นเนอื้ เยอื่ ด้านในทำ� หน้าท่ีผลิตทอ่ ลำ� เลียงน�้ำ (Xylem) ซงึ่ จะพัฒนาต่อไปเป็นเนื้อไมส้ ว่ นทเ่ี ป็นกระพ้ี อะตอม g โมเลกลุ g เซลล์พืช g เน้ือเยือ่ g กง่ิ กา้ น-ราก-ใบ-ลำ� ต้น g ต้นไม้ วงปี (Annual ring) คอื วงของเน้ือไม้ซ่ึงเปน็ ท่อลำ� เลียงน�ำ้ ท่เี น้อื เยื่อแคมเบียมสร้างขน้ึ พุ่มใบ ทำ� หนา้ ที่ดดู ซับคาร์บอนไดออกไซดจ์ ากอากาศ เพือ่ ปรงุ อาหารโดย ในระยะเวลา 1 ปี ประกอบดว้ ยชน้ั ของเนอื้ ไมต้ น้ ฤดู (Early wood) ทเี่ จรญิ เตบิ โตไดเ้ รว็ กวา่ จงึ หนา กวา่ อย่ดู ้านใน และเน้อื ไมป้ ลายฤดู (Late wood) ทีเ่ ตบิ โตไดช้ ้ากว่า และบางกวา่ อยู่ดา้ นนอก อาศัยพลงั งานจากแสงอาทติ ย์ ส�ำหรบั การเจริญเตบิ โตของเนือ้ เยอ่ื ทุกสว่ น ล�ำต้น ทำ� หน้าท่ีล�ำเลยี ง วงป (Annual ring)เนอ้ื ไมต น ฤดู (Early wood) ใจ (Pith) เนอ้ื เยือ่ แคมเบียม (Cambium) เปลอื กใน (Phloem) ธาตุอาหารทร่ี ากดูดจากดนิ เนื้อไมปลายฤดู (Late wood) เพือ่ สง่ ไปยงั ใบ และชว่ ยชู เรอื นยอดเพ่อื สง่ พุม่ ใบให้ได้ รับแสงอาทิตย์ ราก ทฝี่ ังลึกลงไปในดิน มหี น้าทยี่ ดึ พื้นดนิ เพ่ือ ใหล้ ำ� ตน้ ทรงตัวอยูไ่ ด้ และดดู สารละลายธาตอุ าหาร ทั้งสามกลมุ่ จากดิน ประกอบด้วย กระพ้ี (Saเpนwอื้ oไมod ()Xyแlกeนm()Heartwood) เปลอื กไม (Bark) ธาตอุ าหารหลกั N, P และ K ธาตุอาหารรอง Ca, Mg และ S ธาตอุ าหารเสรมิ 8 ชนิด คอื Fe, Cl, Mo, Zn, Ni, Cu, Bo, และ Mn นอกจากน้ยี งั มี เน้ือไม้ (Xylem) ประกอบด้วยชั้นของท่อน�้ำที่สร้างจากเนื้อเย่ือแคมเบียมด้านใน โดยท่ัวไปเกิดข้ึนปีละ 1 วง เรียงซ้อนกันเป็นช้ัน ๆ รวมกันเป็นกระพี้ (Sapwood) และพัฒนา กลมุ่ ธาตอุ าหารทจ่ี ำ� เปน็ อกี หนงึ่ กลมุ่ ทป่ี ระกอบดว้ ย Al, Na, Va, Se, Co, และ Si ซงึ่ เปน็ สว่ นเสรมิ ต่อไปเปน็ แกน่ (Heartwood) ซึง่ เป็นเนื้อเย่อื ท่อล�ำเลยี งน้�ำที่หยุดสง่ น�้ำ และหยุดการพัฒนาแลว้ ใหพ้ ชื มกี ารเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ N K Mn Si แตท่ �ำหนา้ ทีเ่ สรมิ ความแข็งแรงให้กับโครงสรา้ งหลกั ของต้นไม้ Al Cl Fe Ca P Co ใจ (Pith) เปน็ ไส้กลางของต้นไม้ สว่ นใหญเ่ ป็นเนื้อเยื่อสะสมอาหารทเ่ี รียกว่า พาเรงคิมา Mg S Bo Se Na Va Mo (Parenchyma) ซ่ึงอาจสลายตวั ไปกลายเปน็ ช่องกลวงกลางล�ำตน้ เรยี กว่า pith cavity 8 Zn Ni Cu 9
ตน้ ไม้ เนือ้ เยอ่ื และเซลล์ตา่ ง ๆ พาเรงคิมา (Parenchyma) เป็นหมู่เซลล์ที่ท�ำหน้าที่สะสมอาหาร มีผนังเซลล์บาง แบ่งออกเป็น Wood Parenchyma ซง่ึ เปน็ พาเรงคมิ าทอี่ ยใู่ นแนวยนื หรอื แนวตงั้ ขนานกบั เสย้ี นไม้ ไม้ยนื ต้นโดยทว่ั ไปแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภทคอื ไม้เนื้ออ่อน กับ ไมเ้ นือ้ แขง็ พบอยู่ท่ัวไปปะปนกับไฟเบอร์ และ Ray Parenchyma ซ่ึงอยู่เป็นแถบตามแนวขวางกับเสี้ยนไม้ ไม้เนื้อออ่ น มกั จะมีเมล็ดอยู่นอกรังไข่ จึงเรยี กว่า gymno-sperm (เปลือย-เมลด็ ) สว่ น พบอยู่ตามแนวรัศมีจากใจกลางของไม้หรือไส้ไม้ (Pith) ออกสู่ด้านนอก ใหญล่ �ำเลียงน�้ำ และอาหารโดยอาศัย เทรคดี (Tracheid) ซ่งึ เปน็ เซลลย์ าว หน้าตัดรูปสีเ่ หล่ยี ม เน้ือเย่ือถาวรเชิงซ้อน เป็นเนื้อเยื่อท่ีประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิดมาอยู่ร่วมกัน ไมเ้ นอ้ื แข็ง มเี มลด็ อยใู่ นรงั ไข่ จึงเรยี กวา่ angio-sperm (หอ่ ห้มุ -เมล็ด) ซ่งึ นอกจากจะ เพ่อื ท�ำหนา้ ทอี่ ย่างเดียวกนั เชน่ ล�ำเลยี งนำ้� และอาหารโดยอาศยั เทรคีตแลว้ ยังววิ ฒั นาการสรา้ งท่อล�ำเลยี ง (Vessel) ขน้ึ มาด้วย เทรคีด (Tracheid) เปน็ เซลลท์ มี่ ผี นงั เซลล์บางประกอบดว้ ยลิกนิน มลี ักษณะผอมยาว เนอื้ เยอื่ พชื มหี ลายชนดิ ประกอบดว้ ยเซลลท์ มี่ ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั เนอ้ื เยอื่ ประเภทตา่ ง ๆ ของไม้ยนื ตน้ มลี ักษณะเป็น “สามมติ ิ” ซงึ่ หากมองในมุมตา่ งกนั จะเหน็ รายละเอยี ดโครงสร้างทไี่ ม่ ปลายแหลมและไมม่ รี ู แตจ่ ะมรี สู ำ� หรบั การแพรส่ ารละลายผา่ นดา้ นขา้ งของเซลลช์ ว่ งทบี่ าง เรยี กวา่ พทิ (Pit) เมอื่ เซลลต์ ายลงจะเกดิ ชอ่ งวา่ งตรงกลางเรยี กวา่ ลเู มน เหมอื นชอ่ งวา่ งกลางเซลลไ์ ฟเบอร์ เหมอื นกนั ดานตดั ขวาง Cross Section เวสเซลเมมเบอร์ (Vessel member) เป็นเซลล์ทม่ี ีลกั ษณะเปน็ ท่อสน้ั ๆ และจะกลวง ดงั นนั้ ในการศกึ ษาไม้ ดา นรศั มี Radial Section เมอื่ เซลลต์ ายลง (เรยี กหนา้ ตดั ขวางทอ่ นว้ี า่ “พอร์ Pore”) ปลายเซลลม์ กั เฉยี ง และมรี พู รนุ มากมาย ยนื ต้นจึงมกั มองใน 3 ด้านคอื ทำ� ใหล้ ำ� เลยี งนำ�้ และแรธ่ าตผุ า่ นไดส้ ะดวก ผนงั เซลลม์ กั มลี กิ นนิ มาสะสม มบี รเิ วณทบ่ี างเรยี กวา่ พทิ ดา้ นตัดขวาง (Cross section) จดุ แสดงภาพวาดเนอ้ื เยื่อไม ด้านรัศมี (Radial section) เปน็ ชอ่ งทางแพรส่ ารละลายสเู่ ซลลด์ า้ นขา้ ง เวสเซลมขี นาดใหญ่ แตส่ น้ั กวา่ เทรคดี กลมุ่ เวสเซลเมมเบอร์ และดา้ นสมั ผัส (Tangential section) ดา นสัมผสั Tangential Section จะรวมกันเป็นเนอ้ื เยอ่ื ทำ� หนา้ ทลี่ ำ� เลยี งน้ำ� และลำ� เลียงอาหาร ภาพดา้ นลา่ งแสดงองคป์ ระกอบของเนอื้ เยอ่ื พชื ในไมเ้ นอื้ ออ่ นกบั ไมเ้ นอ้ื แขง็ ทม่ี กี ารพฒั นา Tracheid lumen Vessel member วงปีเหมอื นกนั แตแ่ สดงลกั ษณะโครงสร้างที่ตา่ งกนั อย่างชัดเจนน perforate plate เนอื้ ไมต นฤดู ไมเนื้อออ น พอร (Pore) คือหนาตดั ขวาง ไมเ นื้อแขง็ Vessel member Wood Parenchyma เทรคีดผนังเซลลบ าง เนอ้ื ไมปลายฤดู pit Ray Parenchyma ของทอลำเลยี งน้ำ (Xylem) เน้ือไมต น ฤดู เพนอ้อื รไมข ปนลาดายเลฤ็กดู lumen พอรขนาดใหญ เทรคดี ผนังเซลลหนา procumbent cells ไฟเบอร pit upright cells เรยพ าเรงคมิ า เรยพ าเรงคิมา เน้ือเยื่อพืชที่ยังมีการแบ่งตัวเจริญเติบโตเรียกว่าเน้ือเย่ือเจริญ ในเนื้อไม้ส่วนใหญ่เป็น Fiber เนอื้ เยอื่ ทหี่ ยดุ การเจรญิ เตบิ โตแลว้ เรยี กวา่ เนอ้ื เยอ่ื ถาวร ซง่ึ ประกอบดว้ ยกลมุ่ เซลลท์ เ่ี ปลย่ี นแปลง มาจากเนอื้ เยอื่ เจรญิ และจะไมม่ กี ารแบง่ เซลลอ์ กี ตอ่ ไป แตม่ กี ารเปลยี่ นแปลงรปู รา่ ง และขนาด เพอื่ “เซลลพ์ ชื ”เป็นหน่วยเล็กทสี่ ุด ทปี่ ระกอบกนั ขึน้ เปน็ เน้ือเย่ือชนดิ ตา่ ง ๆ โดยมีลกั ษณะ ไปท�ำหนา้ ทเี่ ฉพาะ แบ่งได้ 2 ประเภท คอื เนื้อเยอื่ ถาวรเชิงเดยี่ ว และ เนอ้ื เยอ่ื ถาวรเชงิ ซอ้ น ทสี่ ำ� คญั คอื มผี นงั เซลลป์ ฐมภมู ทิ ลี่ อ้ มอยรู่ อบนอกเปน็ เซลลล์ โู ลส ซง่ึ เปน็ โมเลกลุ สายยาวของกลโู คลส เนอ้ื เยือ่ ถาวรเชิงเด่ยี ว เป็นเนอ้ื เย่ือที่กลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกนั ทำ� หน้าทอ่ี ยา่ งเดียวกนั เชน่ และ เฮมเิ ซลลโู ลส ซงึ่ เปน็ โมเลกลุ สายยาวของนำ�้ ตาลชนดิ อน่ื ๆ ทล่ี ว้ นเชอ่ื มตอ่ กนั ดว้ ยพนั ธะไฮโดรเจน ไฟเบอร์ (Fiber) ซง่ึ เป็นเซลลท์ ีพ่ ฒั นามาจากพาเรงคมิ า มผี นังหนาทป่ี ระกอบดว้ ยลิกนนิ เซลล์บางชนิดสร้างผนังเซลล์ทุติยภูมิเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้โครงสร้างเซลล์ โดยการ (Lignin) ซงึ่ เปน็ สารประกอบเชงิ ซอ้ นอนิ ทรยี ข์ นาดใหญ่ ตรงกลางเซลลม์ รี ู เรยี กวา่ ลเู มน (Lumen) สะสมลิกนิน ซ้อนทับกันเปน็ ชั้น ๆ ระหว่างผนังเซลลป์ ฐมภมู ิกบั เยอื่ หุม้ เซลล์ 10 11
การตรวจพสิ ูจน์เนอ้ื ไม้ Wood Identification wood parenchyma pore APOTRACHEAL PARENCHYMA การตรวจเพอื่ ระบชุ นดิ ของไม้ ในทางวชิ าการจะอาศยั คณุ สมบตั ทิ างกายภาพตา่ ง ๆ ของไม้ ray parenchyma ไมส มั พนั ธกับพอร ทม่ี อี ยปู่ ระกอบกนั เชน่ รปู ทรงพมุ่ ใบ ลำ� ตน้ เปลอื ก รวมถงึ กลน่ิ และสภาพพนื้ ทท่ี ไ่ี มน้ น้ั ขนึ้ อยู่ ส�ำหรับช่ือไม้ ใช้เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) โดยใช้ภาษาลาตินซึ่งไม่มี การเปล่ยี นแปลงแล้ว ด้วยระบบ Binomial nomenclature ซง่ึ ประกอบด้วยคำ� 2 คำ� คำ� แรกเปน็ ช่ือสกุล (Generic name) ค�ำท่ีสองเป็นค�ำระบุชนิด (Specific epithet) ท้ังนี้เพ่ือหลีกเลี่ยง ความสบั สนในการเรยี กช่ือตามภาษาท้องถ่นิ Diffuse Diffuse in aggregate Marginal Concentric (fine lines) แตห่ ากมเี พยี งไมท้ แ่ี ปรรปู แลว้ จำ� เปน็ ตอ้ งอาศยั “การตรวจพสิ จู นเ์ นอ้ื ไม”้ โดยการเฉอื น อยเู ด่ยี วๆ กระจาย อยตู ิดกนั หลายเซลล เกิดในแนวสมั ผัส เกิดในแนวสมั ผัส หากตดั กบั ray ทัว่ เนอ้ื ไม กระจายทั่วเนือ้ ไม ชวงตน หรอื ปลายฤดู เกดิ เปนรูปส่ีเหลีย่ ม เรยี กวา reticulate parenchyma ดา้ นตดั ขวางเนอื้ ไม้ แลว้ ใชเ้ ลนสส์ อ่ งพระสอ่ งดู ขนาด การเรยี งตวั และการกระจายของ พอร์ ซงึ่ เปน็ ไมต ดั ขามเรย การเจรญิ เตบิ โต หนา้ ตดั ของเวสเซล และการเรยี งตวั ของ Wood parenchyma ทงั้ Pore Size PARATRACHEAL PARENCHYMA แบบทเ่ี กยี่ วขอ้ ง และไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั พอร์ รวมถงึ องคป์ ระกอบอน่ื ๆ สมั พันธก บั พอร เช่น การปรากฏของ Ray parenchyma และสารที่พบในพอร์ เลก็ มาก เล็ก กลาง ใหญ ใหญมาก จะท�ำให้ระบชุ นิดของไม้ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี พอร์ ของไมเ้ นื้อแขง็ ในเมืองไทย มีมาตรฐานขนาด และ รปู แบบการจดั เรยี งตวั ดงั นี้ 0.05 0.1 0.2 0.3 มม. Vasicentric Aliform (lozenge) Confluent เกิดรอบพอร คอื มี vessel เกดิ รอบพอรแ ละมปี กย่ืนออกมา ลักษณะเหมือนเพชร lozenge ที่ เปนศูนยก ลางตามชือ่ ทเี่ รยี ก อาจพอกจนมีลักษณะคลายเพชร อยใู กลๆ เชื่อมตอเขาดว ยกัน Solitary pores Radial multiples Oblique bands Pores clusters ตัวอยางหนา ตัดขวางไม สำหรับการพสิ จู นเน้อื ไมสัก และไมท องบ้งึ พอรเ ดยี่ ว พอรค ู หรอื มากกวา 2 พอรเรียงเปนแนว พอรก ลุม PORE เรียงตัวตามแนวรศั มี ทำมุมเฉยี งกับเรย Ring เปนวงแหวนอยทู ่ีขอบวงป นอกจากน้ียังมีการอาศัยลักษณะการกระจายตัว Diffuse กระจาย solitary อยูเด่ียวๆ ของพอร์ ซง่ึ สามารถจดั จำ� แนกออกไดเ้ ปน็ 3 แบบคอื Ring, Diffuse และท่ีกำ�้ ก่งึ ระหว่างทงั้ สองแบบ คอื Semi-ring PARENCHYMA ส่วนพาเรงคิมานั้นมีการจัดแบ่งกลุ่มตามความ สัมพนั ธก์ ับพอร์ คอื กลมุ่ Apotrecheal parenchyma มี paratracheal ต�ำแหน่งท่ีไม่สัมพันธ์กับพอร์ ส่วนกลุ่ม Paratrecheal vasicentric ลอ มรอบพอร parenchyma จะพบอยู่โดยรอบพอร์ ในลักษณะเป็น วงแหวนล้อม หรือ aliform - confluent ลอ มพอรและมปี ก พฒั นาจนเปน็ แบบมปี กี ยนื่ ออกสองขา้ ง หรอื พอกพนู จนมหี นา้ ตดั เหมอื นเพชร และทซี่ บั ซอ้ นยงิ่ ขน้ึ เปนรูปเพชร-บางสวนเชื่อมกนั คอื กลมุ่ ของพาเรงคิมารอบพอรท์ ่อี ยูใ่ กลเ้ คยี งกนั ขยายกลุม่ จนเชื่อมต่อกนั ตามช่ือ confluent apotracheal marginal กน้ั ระหวางวงป - ray parenchyma เสน บางๆ เนอื้ ไมป ลายฤดู Late wood มพี อรนอ ย และขนาดเลก็ กวา เนอ้ื ไมต น ฤดู Early wood มพี อรใหญก วา มากกวา เรียงเปนแนว 12 13
ไม้กลายเป็นหิน คอื อะไร? ไม้กลายไปเปน็ หนิ ได้อย่างไร?...หรือหินเขา้ ไปแทนท่ีในเน้ือไมไ้ ดอ้ ยา่ งไร? ไม้กลายเป็นหิน (Petrified wood) มีความหมายตามพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา ซากดึกด�ำบรรพ์เกิดจากการซึมผ่านของสารละลายแร่เข้าไปในช่องว่างของเน้ือเย่ือ ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2544 ว่า “เน้ือไม้ทกี่ ลายสภาพเปน็ หนิ เน่ืองจากสารละลายซิลกิ า ของกระดกู หรอื ไม้ จากนน้ั แรจ่ งึ ตกผลกึ แยกออกจากสารละลายและเตมิ เตม็ ชอ่ งวา่ ง ในกรณขี องไม้ เข้าไปแทนท่ีเนื้อไม้อย่างช้า ๆ คือแทนที่โมเลกุลต่อโมเลกุล จนกระทั่งแทนที่ท้ังหมดโดยไม่มีการ เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน ท่ีอยู่ในผนังเซลล์เน้ือเยื่อไม้จะท�ำหน้าท่ีเป็นแบบพิมพ์ในการ เปลย่ี นแปลงรปู รา่ งและโครงสรา้ ง ปรกตซิ ลิ กิ าในเนอ้ื ไมน้ อี้ ยใู่ นรปู ของโอพอลหรอื คาลซโิ ดน”ี รักษาโครงสรา้ งของไมเ้ อาไว้ แมว้ า่ จะมแี รห่ ลายชนดิ ท่ีสามารถแทนทไี่ ดใ้ นเน้ือไม้ แตซ่ ลิ กิ าเป็นแร่ หากแปลตามคำ� นิยามขา้ งต้น แสดงว่าต้องมี “ไม”้ เป็นวัตถตุ ัง้ ต้น ภายหลังจึงมีสารเคมี ทพ่ี บมากทสี่ ุดและสามารถรกั ษาสภาพโครงสร้างของเซลลไ์ ด้ดที ส่ี ดุ (Mike Viney) ชนดิ หนง่ึ เรยี กวา่ “ซลิ กิ า” เขา้ มาทำ� ปฏกิ ริ ยิ ากบั เนอ้ื ไม้ โดยทไ่ี มย้ งั คงรปู ลกั ษณเ์ ดมิ อยู่ และสารเคมี จากข้อความดังกล่าว และเงื่อนไขที่เอ้ือให้ไม้กลายเป็นหิน จะเห็นได้ว่าการเกิด นนั้ เข้าไปอย่ใู นเนื้อไม้ในรปู ของแร่ “โอพอล หรอื คาลซิโอน”ี ซากดึกด�ำบรรพ์ไม้กลายเป็นหิน ต้องเริ่มจากการมีไม้ที่ยังไม่ถูกท�ำลาย อาจเกิดอยู่กับท่ีในแหล่ง ไม้กลายเป็นหินเป็นซากดึกด�ำบรรพ์ชนิดหน่ึงท่ีสร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผู้คนทั่วโลก หรือถูกพดั พามาทบั ถมพร้อมกบั กรวด ทรายก็ได้ และขนั้ ตอนต่อไป คือ และนำ� ไปสู่การศึกษามากมาย เพ่ือไขปรศิ นาเกย่ี วกบั ทีม่ าของมนั 1. มกี ารซมึ ของน�ำ้ บาดาลทม่ี ีสารละลายซลิ กิ า เขา้ ไปในเนอื้ ไมผ้ า่ นรอยแตก 2. มกี ารลอกแบบพิมพเ์ ซลล์เน้ือไม้ โดยสารละลายเร่มิ เกาะผนังเซลล์ แหลง ตนกำเนิดกรวด ทราย และซิลกิ า แมน ้ำพซิลดั ิกพาาปถไามกู ไซลมะงุ ลไาปยทไนหบั ำ้ ลถบไมาปพดกราบั อลแมใมนกน ลบั ำ้ ุมกนร้ำวเดปนทตราัวยกลางซสิลำิกคาญั ละในลกายาไรดพดาีใสนาสรภลาะวละาเยปซนลิ ดกิ าาง นเ่ี ป็นเพยี งการเริม่ กระบวนการ แต่การ “กลายเป็นหิน” ทีส่ มบรู ณย์ งั คงตอ้ งอาศัยชดุ ของกระบวนการตอ่ ไป ดังน้ี เงือ่ นไขท่เี ออ้ื ใหไ้ มก้ ลายเปน็ หิน 3. มีการ แทนท่ี (Replacement) โครงสร้างเน้ือไม้ เมอ่ื อตั ราการตกผลึก ของซลิ ิกาเรว็ กวา่ อัตราการสลายตัวของไม้เนอ่ื งจากแบคทีเรีย และสารเคมี จากนยิ ามขา้ งตน้ และผลการศกึ ษาวจิ ยั มากมาย สามารถสรปุ สมมตุ ฐิ านเงอื่ นไขการกำ� เนดิ 4. มกี ารตกผลึกของซิลิกาแบบเตมิ ในช่องวา่ ง (Filling) ใน ลูเมนของ ของไมก้ ลายเป็นหินในเบอ้ื งต้นไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ เซลลต์ า่ ง ๆ เชน่ ไฟเบอร์ และเทรคดี ในภายหลัง 1. ไม้ต้นกำ� เนิด ตอ้ งไม่ผพุ ัง หรอื ถกู ย่อยสลายดวั ยเช้ือเห็ด รา หรอื แบคทเี รียกอ่ นถูก 5. การกลายเป็นหินเกิดร่วมกับการสูญเสียน้�ำจาก โอพอล ซ่ึงเป็น แทนทีด่ ้วยซิลกิ า ซลิ ิกาทม่ี นี �ำ้ เปน็ องค์ประกอบ และอาจมีการเปล่ยี นสภาพของแร่ซิลกิ าชนิดหนึง่ 2. ตอ้ งมแี หล่งตน้ กำ� เนนิ สารซิลกิ าจากหนิ ภูเขาไฟ หนิ แกรนิต หรอื หินอื่น ๆ ทม่ี ซี ิลกิ า น้ำเปน ตวั การสำคัญในกระบวนการเกไดิปไเมปกน็ ลแายรเซ่ ปลิน กิหานิ อกี ชนดิ หนง่ึ ทมี่ คี วามเสถตยี นรไมมดากูดกขรนึ้ ดซิลซิ ิกโมเลกุลเด่ยี วเพ่อื 3. ตอ้ งมนี ้�ำเปน็ ตัวปดิ ก้ันออกซิเจนไม่ให้ไม้ผุสลาย ท�ำหนา้ ทลี่ ะลายซลิ ิกา และพาซลิ ิกา เขา้ ไปในเนอื้ ไม้ นำไปใชเ สรมิ ความแขง็ แรงของเซลล 4. น้�ำต้องมสี ภาพเปน็ ดา่ งเพ่ือใหซ้ ิลกิ าละลาย และเปน็ กรดอ่อนเพอ่ื ให้ซิลกิ าตกผลกึ ตะกอนกรวด ทรายปด ทบั ไมซ งุ ใหอยูต ่ำกวา ระดับน้ำบาดาล 5. ต้องอาศยั กาลเวลาทย่ี าวนาน 14 สารละลายซลิ ิกามีสภาพเปน นำ้ พาสารละลายซลิ ิกาเขา สเู นือ้ ไม และ กรดซลิ ิซกิ โมเลกลุ เด่ียว นำสารอนิ ทรียทสี่ ลายตวั ออกจากเซลลไ ม 15
ท�ำไมถงึ ต้องเปน็ ซิลกิ า ซลิ ิกาเขา้ แทนทีก่ อ่ น แลว้ จึงคอ่ ยเติมช่องวา่ ง ในน้�ำบาดาลมีสารประกอบต่าง ๆ ละลายอยู่มากมายท้ัง เหล็กออกไซด์ โลหะซัลไฟด์ คาร์บอเนต ฯลฯ แต่ไมก้ ลายเป็นหินสว่ นใหญท่ ี่พบท่ัวโลกเกดิ จากซลิ ิกา ไมก้ ลายไปเปน็ หนิ ดว้ ยกระบวนการทมี่ ขี นั้ ตอนซบั ซอ้ น หลกั ฐานการเกดิ แรใ่ นระยะแรก ๆ สมมตุ ฐิ านทเ่ี ปน็ ทยี่ อมรบั กนั อยา่ งกวา้ งขวางของ Leo and Barghoorn (1976) กลา่ ววา่ มักไม่ค่อยเหลือปรากฏให้เห็น โดยทั่วไปการเกิดเป็นหินของไม้มักเป็นไปได้หลายแนวทาง แม้แต่ การแทนทข่ี องซลิ กิ าเกดิ ขน้ึ ไดเ้ พราะวา่ “วสั ดอุ นิ ทรยี เ์ รมิ่ ตน้ มคี วามสอดคลอ้ ง (affinity) กบั โมเลกลุ ทแ่ี หลง่ เดยี วกนั การกลายเปน็ หนิ กอ็ าจไมไ่ ดเ้ ปน็ เหมอื นกนั หมด แตก่ พ็ อจะสรปุ กระบวนการกลาย เขมอ่ืองสการรดลซะลิ ลซิ ากิ ย(ซHิล4ิกSาiOซ4ึม)เ”ข้าพไรปอ้ ใมนทไมง้ั ไ้แดลท้ ้วำ� กพาันรธทะดไลฮอโดงสรรเจา้ งนไมจก้ ะลยาึดยกเปรน็ดหซนิลิ ิซในิกหเขอ้ ้างกทับดไลฮอดงร อแกลซะิลพกบรวุ๊ปา่ เปน็ หินไดค้ รา่ ว ๆ ดงั นี้ (-OH) ทอี่ ย่ใู นเซลลโู ลส และเฮมิเซลลโู ลสซึ่งประกอบกันเปน็ ผนงั ดา้ นในของเซลล์ เมื่อสูญเสียน้�ำไปกรดซิลิซิกโมเลกุลเด่ียวจะรวมตัวกันเป็น พอลิเมอร์ (Polymer) ที่มี • การกลายเป็นหินมักเร่ิมเกิดจากการจับตัวของซิลิกาบริเวณผนังเซลล์ โดยช่องต่าง ๆ โมเลกลุ ใหญข่ น้ึ เปน็ โอพอล (Opal) เกดิ เปน็ ฟลิ ม์ บาง ๆ เคลอื บอยบู่ นแมแ่ บบทำ� ใหไ้ ดร้ ปู ลกั ษณะ ยงั คงว่างเปล่า ของเซลล์อย่างละเอียด ในขณะที่ สารอินทรีย์สลายตัวอย่างช้า ๆ จะท�ำให้เกิดช่องว่างเพ่ิม ขึ้นส�ำหรับ • ช่องว่างระหว่างเซลลโ์ ดยท่วั ไปมักจะวา่ งเปลา่ • บรเิ วณท่เี ปน็ ถ่านมักไมก่ ลายเปน็ หิน เพราะไมม่ พี นั ธไฮโดรเจนแลว้ • อาจพบแร่ซิลิกาหลายแบบอยู่ร่วมกัน เนื่องจากการกระบวนการกลายเป็นหินเกิดข้ึน เปน็ ล�ำดบั ไลเ่ ลยี งต่อเนอ่ื งกนั ไปเรอื่ ย ๆ ก า ร แ ท น ที่ ข อ ง ถูกเติมซิลกิ าภายหลงั ชองวางระหวา งเซลลตา งๆ มกั วางเปลา สารละลายซิลิกา โดยมี ลิกนิน ซึ่ง ถกู ซลิ กิ าแทนท่ีกอ น สลายตัวได้ยาก ภายใน Vessel member ท่ีสุดเป็นแม่แบบ lumen ของไฟเบอร vessel perforate โครงสร้างต่อไป และ ผนัง Vessel member เ ป ็ น ส า ร อิ น ท รี ย ์ ตั ว สดุ ท้ายทจี่ ะถกู แทนที่ lumen ของเทรคดี Wood Parenchyma ผนัง Fiber กระบวนการเกิด ไม้กลายเป็นหินไม่ได้ส้ินสุดท่ี ผนงั Tracheid แรโ่ อพอลซงึ่ มสี ภาพ อสณั ฐาน คอื ไม่มีรูปผลึก แต่มีการพัฒนา ต่อไปในระดับโมเลกุลที่จะเปลี่ยน โอพอลไปเป็นแร่ที่มีลักษณะ เปน็ ผลกึ แข็งต่อไป Ray Parenchyma pit คารบ อน แมงกานีส เน่ืองจากการซึม ของสารละลายซิลิกาผ่านทางช่องพิท แมงกานีสออกไซด ท่ีอยู่บนผนังของเทรคีด และ เวสเซลเมมเบอร์ เป็นไปได้อยา่ งสะดวก โคบอลต โครเมยี ม ทองแดง ท�ำให้สารละลายซิลิกาเข้า แทนท่ีเซลล์ไม้ได้ท้ังหมด รวมถึงการเตมิ เหล็กออกไซด ของสารซิลิกาลงในช่องลูเมนของ เซลลต์ า่ ง ๆ ทส่ี ารละลายซลิ กิ าไหลผา่ นดว้ ย ในขณะทส่ี ารละลายไมส่ ามารถ เข้าถึงช่องว่างระหว่างเซลล์ได้ จึงไม่เกิดการแทนท่ี ในธรรมชาตนิ อกจากสารประกอบพวก ซลิ กิ า และแคลเซยี ม ฯลฯ แล้วยังมธี าตุอ่ืน ๆ และไม่มีการเตมิ ซลิ ิกาเข้าไป แตจ่ ะถูกท้ิงเปน็ ชอ่ งวา่ งระหว่างเซลลใ์ นไมก้ ลายเปน็ หนิ ดว้ ย ปะปนอย่ใู นน้ำ� บาดาลดว้ ย จงึ เป็นสาเหตทุ ำ� ให้ ไม้กลายเปน็ หนิ มีสีต่างๆ 17 16
การเปลยี่ นแปลงระดบั โมเลกลุ ความซับซ้อนของการกลายเป็นหนิ กลุ่มแร่ซิลิกามีภาวะ พหุสัณฐาน (Polymorphism) คือมีองค์ประกอบทางเคมีเป็น อย่างไรก็ตาม จากผลการศกึ ษาอย่างละเอียดของ George E.M., 2015 โดยใชต้ ัวอย่าง ซคลิาลกิ ซาอโิ ดอนกีไแซลดะ์ (คSวiOอ2ต)ซเห์ ทม้ังอื นน้ขี กน้ึ นั อแยตู่กต่ บั กอผณุ ลหกึ เภปมู น็ แิ แลระไ่ แดรห้ งลกาดยดชันนขดิ อเงชสน่ ภโาอพพแอวลดคลรอ้ สิ มโตแบไลต์ ทรดิ ไิ มต์ ไม้กลายเปน็ หินจาก 21 แหลง่ ในรัฐเนวาดา สหรัฐอเมรกิ า ซงึ่ มีต้ังแต่แบบทกี่ �ำลงั เริ่มเกิดจนถงึ แบบ โอพอล (Opal) เป็นแร่ตระกลู ควอตซท์ ม่ี ีเนื้ออสณั ฐาน (Amorphous) คอื ไมม่ ีรปู ผลึก ทีก่ ลายเปน็ หนิ อย่างสมบรู ณ์แล้ว สรุปได้วา่ เปกรดิ ะจมาากณสารร้อลยะลละา3ย-ซ1ลิ 0กิ โาดทยม่ี นอี ้�ำณุ หหนภักมู (คิเรอ่ ียนกขวา้ ่างตOำ่� p มaสีl-ตูAร)เอคยมู่ใี นSiสOภ2า.Hว2ะOที่ไคมอื ่เใสนถเียนรอื้ เแมรื่อย่ มงั ีแครงงมดนี ันำ้� กปดนทอับยู่ การกลายเป็นหินเป็นได้หลายแนวทาง ไม้กลายเป็นหินต้นเดียวกัน หรือแม้กระทั่งใน จะทำ� ใหส้ ญู เสยี นำ้� ไดง้ า่ ย และเปลย่ี นสภาพเปน็ Opal-CT ซง่ึ ประกอบดว้ ยผลกึ ของแรค่ รสิ โตแบไลต์ ตัวอย่างชิ้นเดียวกันอาจมีแร่ซิลิกาต่างชนิดกัน ซึ่งอาจเกิดร่วมกันตั้งแต่แรก หรืออาจเกิดจากการ และทริดไิ มต์ (Cristobalite and tridymite) ท่ีมีขนาดละเอยี ดมาก (https://en.wikipedia.org/ เปลย่ี นสภาพในสภาวะของแขง็ จากสารต้ังต้นเดยี วกนั ก็ได้ wiki/Opal) จากนั้นจะเปลย่ี นสภาพต่อไปเปน็ แรค่ าลซโิ ดนี (Chalcedony) ซงึ่ เปน็ แรค่ วอตซ์ผลกึ มกี ารพบหลกั ฐานทห่ี ลงเหลอื อยขู่ องโอพอลบนแรค่ าลซโิ ดนซี ง่ึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ มกี ารเปลย่ี น ละเอยี ด และสดุ ท้ายกลายสภาพเป็นแร่ควอตซ์ สภาพจาก โอพอลไปเปน็ คาลซโิ ดนี นอกจากนยี้ งั พบหลกั ฐานการเกดิ ผลกึ แรค่ วอตซโ์ ดยตรงในชอ่ งวา่ ง โดยไม่ได้เปลย่ี นมาจากแรค่ าลซโิ ดนี ท้ังนี้อาจเป็นเพราะว่าตามธรรมชาติของสภาวะแวดล้อมใต้ผิวโลกระดับต้ืนท่ีมีอุณหภูมิ ไมส่ ูง โอพอลจะแยกตัวออกจากสารละลายซลิ กิ าที่มคี วามเขม้ ขน้ ค่อนขา้ งสงู คาลซโิ ดนจี ะตกผลึก โดยตรงจากสารละลายซิลกิ าทีม่ คี วามเขม้ ข้นทตี่ ำ�่ กว่า ส�ำหรับแร่ควอตซจ์ ะตกผลึกจากสารละลาย ซิลกิ าท่ีเจือจางมาก ๆ เทา่ นนั้ (Iler, 1979; Fournier, 1985 อ้างถึงใน George E.M., 2008) (ตัวอย่างภาพถา่ ยจาก George E. M., 2015, http://www.mdpi.com/2076-3263/5/4/286/htm) (ตัวอยา่ งภาพถา่ ยจาก George E. M., 2015, http://www.mdpi.com/2076-3263/5/4/286/htm) A. ช่องลูเมนของเทรคีตทย่ี ังวา่ งเปลา่ ในชว่ งแรก ๆ ของการแทนทดี่ ว้ ยซิลิกา Opal-C A. เทรคีตถกู แทนท่ดี ้วยแร่คาลซิโดนี ท่ีแสดงลกั ษณะภายนอกของแร่โอพอลซึง่ เปน็ แรเ่ ดิม B. ช่องลูเมนกลางเทรคีดทถ่ี กู เคลือบด้วย Opal-A เหน็ ผิวที่ไมเ่ รยี บมลี กั ษณะคลา้ ยรูปพวงองุ่น B. ผลกึ แรค่ วอตซท์ ่สี มบรู ณ์เกดิ อยูบ่ นเนอ้ื ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทเี่ ป็น Opal-CT C. เทรคดี ถกู แทนทดี่ ว้ ย Opal-A โดยรกั ษาลกั ษณะของชอ่ งเปิดพิทไว้ได้อย่างสมบูรณ์ D. Opal ถกู เตมิ ลงในชอ่ งวา่ งลเู มนในช่วงหลัง โดยที่ชอ่ งว่างระหว่างเซลล์ดา้ นนอกยงั คงวา่ งเปล่า การกลายเปน็ หนิ เปน็ กระบวนการทซ่ี บั ซอ้ น แตก่ ส็ ามารถศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจไดจ้ ากงาน วิจัยทดี่ �ำเนินการทัว่ โลกด้วยเทคโนโลยรี ะดับตา่ ง ๆ กันตามฐานะและพัฒนาการของชาติ 18 สำ� หรบั ประเทศไทยทพ่ี บไมก้ ลายเปน็ หนิ อยแู่ ทบทกุ ภาค กม็ กี ารศกึ ษาวจิ ยั และมรี ายงาน ให้ติดตามค้นคว้าได้ท้ังของมหาวิทยาลัยที่มีการสอนด้านธรณีวิทยา และของกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งได้ดำ� เนินการเพ่ือให้ไดข้ อ้ มลู ที่ถูกตอ้ ง ทันสมัย ส�ำหรบั เผยแพรส่ ู่สงั คม 19
ตัวอย่างไม้กลายเป็นหนิ ตวั อยา่ งไมก้ ลายเปน็ หนิ จาก อทุ ยานแหง่ ชาต-ิ ไมก้ ลายเปน็ หนิ จ.ตาก ตวั อยา่ งไมซ้ งุ กลายเปน็ หนิ ทงั้ ตน้ ทมี่ องเหน็ ไดช้ ดั เจน อาจทำ� ใหเ้ ราไมท่ นั สงั เกตโครงสรา้ ง โดยส่วนใหญ่แล้วไม้กลายเป็นหินจะเก็บรักษาลักษณะโครงสร้างเนื้อเย่ือไม้ไว้ได้อย่างดี เนอ้ื เยอ่ื ของไม้ทส่ี ามารถมองเหน็ ได้ท้ังดว้ ยตาเปลา่ และมองผ่านแวน่ ขยายสำ� หรบั โครงสร้างเล็ก ๆ บางตวั อยา่ งสามารถมองเหน็ เนอื่ เยอื่ ไดใ้ นลกั ษณะ 3 มติ ิ เพยี งมองผา่ นแวน่ ขยายสำ� หรบั สอ่ งพระ สงิ่ ทส่ี งั เกตเหน็ ไดง้ า่ ยบนหนา้ ตดั ไมซ้ งุ ทว่ั ๆ ไป คอื “วงป”ี ในไมก้ ลายเปน็ หนิ กเ็ ปน็ เชน่ เดยี วกนั เศษตวั อยา่ งเลก็ เพยี งปลายนวิ้ กส็ ามารถใหข้ อ้ มลู มากมายกบั เราได้ สองตวั อยา่ งแรก เปน็ เศษ ตวั อยา่ งแรกแสดง วงปี ชดั เจน เหมอื นตอไมผ้ ทุ ว่ั ไป ทง้ั นอ้ี าจเปน็ เพราะ ตอไม้ผุจนได้สภาพนี้ ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทหี่ ลดุ ออกจากแหลง่ สะสมตวั ทำ� ใหผ้ กุ รอ่ นตามแนวเนอื้ เยอื่ ตวั อยา่ งซา้ ย ถา่ ยจากแนว ก่อนถูกทับถมและกลายสภาพเป็นหินในเวลาต่อมา หรืออาจเป็น ตดั ขวาง ทแ่ี สดงเสน้ เรยพ์ าเรงคมิ าเลก็ ๆ ชดั เจน พรอ้ มกบั เพราะ การแทนทด่ี ว้ ยซลิ กิ าตามแนวโครงสรา้ งเนอ้ื ไม้ ทำ� ใหเ้ กดิ รอย พอรท์ ก่ี ระจายอยา่ งสมำ่� เสมอ สว่ น ตวั อยา่ งขวา เหน็ เสย้ี น ทไ่ี มส่ มบรู ณต์ ามแนว วงปี ทำ� ใหผ้ พุ งั งา่ ยกวา่ โครงสรา้ งหลกั กเ็ ปน็ ได้ ไมห้ รอื ทอ่ ลำ� เลยี งนำ้� ในแนวตงั้ ชดั เจน และเนอ่ื งจากภาพนี้ ตวั อยา่ งตอ่ มาเปน็ เนอ้ื ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทแ่ี ตกออกจากซงุ ถา่ ยในแนวรศั มที ำ� ใหเ้ หน็ เสน้ เรยพ์ าเรงคมิ าในแนวนอนเรยี ง แตย่ งั ไมห่ ลดุ จากตำ� แหนง่ เดมิ เนอื่ งจากหนิ แขง็ กวา่ ไมม้ ากแตไ่ มเ่ หนยี ว ซอ้ นกนั เปน็ ระเบยี บไดอ้ ยา่ งชดั เจน เท่าไม้ ดังนั้นไม้กลายเป็นหินจึง แตกหักงา่ ยกวา่ ไม้ซุงมาก จากลกั ษณะภายนอก พอจะกล่าวไดว้ า่ หนา้ ที่เหน็ อยใู่ นแนว สองภาพล่าง ถ่ายจากตัวอย่างไม้กลายเป็นหินที่แตกหัก หน้าสัมผัส แนวเส้นตรงส่วนใหญ่ท่ีขนานกัน คือ ส่วนที่เป็นเน้ือไม้ เนอ่ื งจากการ กระทบกันจากการถกู พัดพาจากแหลง่ สะสมตัว หรอื ทอ่ ลำ� เลยี งนำ้� ทถี่ กู ลอ้ มรอบดว้ ยเทรคดี พาเรงคมิ า และไฟเบอร์ ภาพซ้ายถ่ายในแนวรัศมีเห็นท่อล�ำเลียงน�้ำในแนวต้ัง เป็นหลัก ส่วนทแ่ี ตกหักเปน็ แนวหนา้ ตดั ขวาง และขอบด้านขา้ งเป็น ชัดเจน โดยเห็นเป็น 3 มิติ หน่ึงท่อ (จากกลางภาพถึงขอบล่าง) แนวหน้ารัศมี และเห็นเรย์พาเรงคิมาปิดทับบาง ๆ ดงั นนั้ อาศยั ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั ไมย้ นื ตน้ ในบทกอ่ นหนา้ เปน็ แถบรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ตอ่ กนั เปน็ เราสามารถดำ� ดงิ่ เขา้ สโู่ ลกบรรพชวี นิ ไดไ้ มย่ าก และถา้ มแี วน่ ขยายเราก็ แนวยาวตามรัศมี จะได้พบกับส่งิ มหัศจรรย์ที่ธรรมชาตไิ ดซ้ ่อนไว้ให้เราคน้ หา ไดอ้ ยา่ งไมส่ น้ิ สดุ ภาพขวาเปน็ เศษตวั อยา่ งที่ หกั ในแนวขวาง เหน็ พอรแ์ บบเดยี่ ว ท่ี ทีเ่ ห็นเปน็ เสีย้ นไม้ รอบ ๆ ต้นซุงกลายเป็นหินทั้งหมดนค้ี ือ ท่อลำ� เลียงน้�ำ (Xylem) หรือเนอ้ื ไม้ กระจายอย่างสม่�ำเสมอชัดเจน และ ส่วนทอ่ ลำ� เลยี งอาหารทีอ่ ยูต่ ิดกบั เปลือกไม้ถูกยอ่ ยสลายไปก่อนทจ่ี ะเรมิ่ กระบวนการกลายเปน็ หนิ แล้ว พอร์ทุกตัวถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มของ วู๊ดพาเรงคิมาเป็นรูปเพชร เห็นเส้น 21 เรย์พาเรงคมิ าเลก็ ๆ ท่ัวหนา้ ตัด 20
การศกึ ษาไมก้ ลายเปน็ หินในอุทยานฯ Artificial nomenclature โดยทไี่ มก้ ลายเปน็ หนิ เกดิ จากการแปรสภาพจากอวยั วะสว่ นของเนอ้ื ไม้ (Xylem) การตง้ั ชอ่ื จงึ ใชช้ อื่ อวยั วะทศี่ กึ ษามาตอ่ ทา้ ย (Organ taxoz) เชน่ ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทมี่ ลี กั ษณะ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ไดท้ ำ� การสำ� รวจพบไมก้ ลายเปน็ หนิ หลายสบิ ทอ่ น ใกลเ้ คยี งกบั ไมก้ ระบาก (สกลุ Anisoptara) กจ็ ะตงั้ ชอื่ สกลุ วา่ Anisoptaroxylon เปน็ ตน้ และได้ทำ� การขุดคน้ ศกึ ษาทั่วพ้ืนทวี่ นอทุ ยาน รวม 7 หลมุ พบไม้กลายเป็นหนิ ขนาดใหญ่ จำ� นวน 8 ทอ่ น ต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2546-2548 แล้วจึงได้พฒั นาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเรยี นร้ทู างธรรมชาติ ตัวอย่างไม้กลายเป็นหินท่ีตัด และขัดเป็น ของจงั หวดั ตาก โดยไดร้ บั ความรว่ มมอื จากหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งทง้ั ในจงั หวดั และจากสว่ นกลาง แผน่ หินบาง ทั้งสามดา้ น คือ ด้านตัดขวาง ในการศึกษาวิจยั เพอื่ ให้ไดข้ ้อมลู ที่ถกู ตอ้ ง ส�ำหรบั การเผยแพร่ส่สู าธารณชน ด้านรัศมี และด้านสัมผัส เพ่ือน�ำไปศึกษา ในปงี บประมาณ 2553 กรมทรพั ยากรธรณี โดยสำ� นกั คมุ้ ครองซากดกึ ดำ� บรรพ์ ในเวลานน้ั ภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ ซง่ึ จะสามารถเหน็ ถงึ ไดจ้ ดั ท�ำโครงการวจิ ัยไมก้ ลายเปน็ หนิ โดยมอบหมายให้ ดร.วฆิ เนศ ทรงธรรม เป็นผทู้ �ำการสำ� รวจ รายละเอียดการแทนที่ของสารซิลิเกต ศึกษาวิจัย ทั้งในภาคสนาม และในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องส�ำหรับการใช้อ้างอิง ในเนื้อเย่ือไม้อย่างชัดเจน รวมถึงร่องรอย และเผยแพร่ บิดเบีย้ วท่ีเกิดจากการถูกกดทับดว้ ย ในภาคสนามไดด้ ำ� เนนิ การสำ� รวจธรณวี ทิ ยาครอบคลมุ พน้ื ที่ อำ� เภอสามเงา และบา้ นตาก ส�ำรวจรายละเอียดสภาพพ้ืนท่ี และธรณีวิทยาบริเวณวนอุทยานไม้กลายเป็นหิน (ชื่อในเวลานั้น) ผลการศึกษาเปรยี บเทยี บตวั อย่างไม้กลายเปน็ หนิ ทำ� ใหท้ ราบเบาะแสวา่ นา่ จะยงั มไี มก้ ลายเปน็ หนิ ฝงั อยอู่ กี หลายสบิ ตน้ พรอ้ มศกึ ษาสภาพการสะสมตวั ของตะกอนภายในหลุมขุดค้นทงั้ 7 หลมุ สำ� หรบั การศกึ ษารายละเอยี ดดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศนเ์ ปน็ การศกึ ษาทเี่ ปรยี บเทยี บไดก้ บั การ ตรวจพสิ จู นเ์ นอ้ื ไม้ เพยี งแตม่ ขี น้ั ตอนการเตรยี มตวั อยา่ งทซี่ บั ซอ้ น และตอ้ งอาศยั เครอื่ งมอื ทใี่ ชเ้ ทคโนโลยี วธิ ีการศกึ ษาวจิ ัย สงู ขนึ้ ทง้ั นเี้ พอื่ จะไดต้ รวจสอบโครงสรา้ งเนอ้ื ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทไ่ี มส่ มบรู ณเ์ ทา่ เนอื้ ไมจ้ รงิ ผลการศึกษาตัวอยา่ งไมก้ ลายเป็นหนิ ทั้ง 8 ต้น พบว่าแบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม โดยสว่ นใหญ่ เน่ืองจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีความเก่ียวข้องโดยตรงกับสภาพแวดล้อมโบราณในพ้ืนท่ี สามารถสงั เกตเหน็ เสย้ี นไมไ้ ดอ้ ยา่ งชดั เจน ทง้ั ในดา้ นตดั ขวาง ดา้ นรศั มี และดา้ นสมั ผสั สว่ นตวั อยา่ ง สำ� รวจ โดยเฉพาะดา้ นพฤกษศาสตร์ จึงได้ทำ� การเกบ็ ตัวอย่างไม้กลายเปน็ หนิ ทั้ง 8 ตน้ จากหลุม จากหลุมท่ี 2 และ 5 มีพ้ืนผวิ วัตถุเนยี นเรียบ สงั เกตเสยี้ นไมด้ ้วยตาเปลา่ ได้ไมช่ ัดเจน เมื่อตดั และทำ� ขุดค้นทั้งหมด 7 หลุม เพ่ือท�ำการศึกษาในห้องปฏิบัติการเปรียบเทียบกับตัวอย่างไม้ท้องถ่ิน แผน่ หนิ ขดั เรยี บแลว้ เนอื้ วตั ถตุ วั อยา่ งจะเรยี บเนยี นไมเ่ ปน็ เสย้ี น และเมอ่ื ศกึ ษาผา่ นกลอ้ งจลุ ทรรศน์ เพ่ือหาความสัมพนั ธท์ างพฤกษศาสตร์ (Botanical affinities) แลว้ ปรากฏผลสอดคลอ้ งกบั การสงั เกตดว้ ยตาเปลา่ ดงั นี้ (ตวั อยา่ งผลการศกึ ษาอยใู่ นหนา้ ถดั ไป) การศกึ ษาไมก้ ลายเปน็ หนิ มขี อ้ จำ� กดั ดา้ นกายภาพหลายขอ้ เนอื่ งจากไมผ้ า่ นกระบวนการ ตัวอยา่ งกลุ่มท่ี 1 จากหลมุ ที่ 1 3 4 6 และ 7 แทนทดี่ ว้ ยสารซลิ กิ า และถกู กดทบั เปน็ เวลานาน ทำ� ใหโ้ ครงสรา้ งบางสว่ นบดิ เบยี้ วหรอื ถกู ทำ� ลายไป ลกั ษณะทางกายวภิ าคศาสตร์เนอ้ื ไม้กลายเป็นหนิ ทีเ่ ทยี บเคียงได้กับ แตก่ ม็ ีสว่ นทีย่ ังคงสภาพใหศ้ กึ ษาได้ เพียงแตไ่ ม่มีกลิ่น และไมม่ สี ีเดิมเหลืออยู่ : ไม้กลายเป็นหนิ ชนดิ Koompassioxylon elegans การศึกษากายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบตัวอย่างเน้ือไม้กลายเป็นหิน กับเน้ือไม้ปัจจุบัน ลกั ษณะกายวิภาคศาสตรเ์ นอ้ื ไม้ทใี่ กล้ชิดกบั ท�ำโดยการศึกษาด้านกายภาพด้วยตาเปล่า พร้อมท้ังเตรียมตัวอย่างไม้กลายเป็นหินเพ่ือศึกษา : เนือ้ ไม้ปจั จบุ ันของตน้ ทองบึง้ (Koompassia malaccensis) รายละเอยี ดภายใตก้ ล้องจุลทรรศน์ทง้ั ในด้านตัดขวาง ดา้ นรัศมี ดา้ นแนวสมั ผัส ตวั อยา่ งกลมุ่ ท่ี 2 จากหลุมท่ี 2 และ 5 เนอ่ื งจากไมก้ ลายเปน็ หนิ ถกู จดั เปน็ วตั ถทุ างธรณวี ทิ ยา (Geological material) ถงึ แมว้ า่ ลักษณะทางกายวภิ าคศาสตรเ์ นอื้ ไมก้ ลายเปน็ หนิ ที่เทียบเคียงได้กบั ครง้ั หน่งึ ในอดตี มนั เคยเป็น วัตถุทางชีววิทยา (Biological material) กต็ าม ดงั น้นั การเรยี กชอ่ื ทาง : ไม้กลายเปน็ หนิ ชนิด Pahudioxylon sp. วทิ ยาศาสตร์ จงึ ตอ้ งเรยี กตามหลกั วชิ า บรรพชวี นิ วทิ ยา แตเ่ นอื่ งจากโครงสรา้ งเนอ้ื ไมก้ ลายเปน็ หนิ ลักษณะกายวิภาคศาสตรเ์ นอ้ื ไม้ทใ่ี กลช้ ิดกับ ยงั แสดงลกั ษณะทเ่ี ทียบเคยี งได้กับพชื ในปจั จุบัน ดังนนั้ นกั บรรพชีวินวิทยาจึงนยิ มต้ังชอ่ื ตามแบบ : เนอื้ ไมป้ จั จุบันของต้นมะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) 22 23
ตัวอย่างไมก้ ลายเป็นหิน หลมุ ที่ 7 ไม้กลายเปน็ หินชนดิ Koompassioxylon elegans ตัวอยา่ งไมก้ ลายเปน็ หิน หลุมท่ี 5 ไม้กลายเปน็ หินชนิด Pahudioxylon sp. ท�ำการศึกษาตัวอย่างไม้กลายเป็นหินผ่านกล้องจุลทรรศน์เทียบเคียงกับเน้ือไม้ทองบึ้ง ท�ำการศึกษาตัวอย่างไม้กลายเป็นหินผ่านกล้องจุลทรรศน์เทียบเคียงกับเนื้อไม้มะค่าโมง โดยเปรียบเทียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเวสเซลเมมเบอร์ ความยาวเวสเซลย่อย ขนาดและ โดยวดั เปรยี บเทยี บขนาด และสังเกตรูปแบบการวางตัวของเนอื้ เย่ือต่าง ๆ ดงั น้ี การเรียงตัวของพิท และเปรียบเทียบรูปแบบการวางตัวของ เนือ่ เยื่อต่าง ๆ ดังนี้ ภาพดา้ นสมั ผัส ภาพด้านสมั ผัส Ray parenchyma Ray parenchyma เรยี งตัวกันเปน็ แบบ 1-3 แถว เรียงตวั กนั เปน็ แบบ 1-3 แถว Pore พอร์เปน็ แบบ ภาพดา้ นตัดขวาง ภาพดา้ นตดั ขวาง Pore พอรเ์ ป็นแบบ พอรแ์ ฝด (Radial multiple pores) พอรเ์ ดย่ี ว (Solitary pores) พอร์เดย่ี ว (Solitary pores) พอรแ์ ฝด (Radial multiple pores) การกระจายตัวของพอร์ การกระจายตวั ของพอร์ เปน็ แบบกระจาย (Difuse porous) เป็นแบบกระจาย (Difuse porous) Ray parenchyma เสน้ เรย์ เหน็ ไดช้ ดั เจน Ray parenchyma Wood parenchyma เส้นเรย์เห็นชดั แบบปีก (Aliform) และจับกล่มุ จนเปน็ รปู เพชร (Lozenge) Wood parenchyma พาเรงคมิ าแบบปีกตอ่ เชอ่ื มถงึ กัน (Confluent) ชัดเจน มากมาย แบบปีก (Aliform) และจับกลุ่มจนเปน็ รปู เพชร (Lozenge) พาเรงคมิ าปลายฤดู (Marginal parenchyma) ไมช่ ัดเจน พาเรงคมิ าปลายฤดชู ดั เจน (Marginal parenchyma) ภาพดา้ นตดั ขวาง ตวั อยา่ งเนอื้ ไมท้ องบง้ึ (Koompassia malaccensis) ภาพดา้ นตัดขวาง ตัวอย่างเนอ้ื ไมม้ ะคา่ โมง (Afzelia xylocarpa) Pore พอรเ์ ปน็ แบบ Pore พอร์เป็นแบบ พอร์เดย่ี ว (Solitary pores) พอร์แฝด (Radial multiple pores) พอร์แฝด (Radial multiple pores) การกระจายตวั ของพอร์ เป็นแบบกระจาย (Difuse porous) พอรเ์ ด่ยี ว (Solitary pores) Ray parenchyma การกระจายตัวของพอร์ เสน้ เรย์ เหน็ ไดช้ ดั เจน Wood parenchyma เป็นแบบกระจาย (Difuse porous) แบบปีก (Aliform) และจบั กล่มุ จนเปน็ รูปเพชร (Lozenge) Ray parenchyma พาเรงคมิ าแบบปีกตอ่ เชอ่ื มถึงกนั (Confluent) ชัดเจน มากมาย เส้นเรย์ เหน็ ไดช้ ดั เจน พาเรงคมิ าปลายฤดู (Marginal parenchyma) ไม่ปรากฏ Wood parenchyma 24 แบบปีก (Aliform) และจับกลุ่มจนเปน็ รูปเพชร (Lozenge) พาเรงคมิ าปลายฤดชู ดั เจน (Marginal parenchyma) 25
พระราชบญั ญัติ การข้ึนทะเบียน คมุ ครองซากดึกดําบรรพ แหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นอกจากซากดึกด�ำบรรพ์แล้ว แหล่งท่ีพบ หรือแหล่งที่มีซากดึกด�ำบรรพ์อยู่ก็ได้รับ พระราชบญั ญตั ิ คมุ้ ครองซากดกึ ดำ� บรรพ์ พ.ศ. 2551 ถกู ตราขนึ้ เนอื่ งจากมกี ารคน้ การอนุรักษ์โดย พระราชบัญญัติฉบับน้ีเช่นกัน พแในลบกะซามารีศกสักดืบยกึ คภด้นำ�าคบพวรใานรมพกเท์าปรีส่็นพใ�ำมหัฒคาไญั ขนวอใา นเงณภปปป็นมูรรวะะแิพนั เวหททัตลลศ่ีิข่งอไ๓อเทรด๐งยียโลุลเนมพกรยกม่ิ ู้ รอเมแดาีกาคลทชกมะั้งขเยปน้ึพปัง็น.เสศปแ.มร.ห็นค.๒ลมว่งร๕รทดอ๕่อกน๑งทรุ เักาทงษี่ยธไ์วรวทร้ เมี่สพชร่อื ้าากงตาริขราอศยงึกไแดษผ้ใาห่นว้กดิจับินยั หนง่ึ ในวธิ กี ารอนรุ กั ษ์ แหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ คอื การประกาศใหแ้ หลง่ ทม่ี คี ณุ สมบตั ิ ประเทศ เปนปท่ี ๖๓ ในรัชกาลปจจุบนั ตรงตามเกณฑท์ ค่ี ณะกรรมการคมุ้ ครองซากดกึ ดำ� บรรพก์ ำ� หนด เปน็ “แหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ ท่ขี ้ึนทะเบียน” ตามมาตรา 14 ซ่ึงมมี าตรการทางกฎหมายใหค้ วามคุ้มครองอยา่ งเขม้ งวด พระบาแทลสะมเนเดื่อ็จงจพารกะกป่อรนมหินนท้ารนม้ันหยาังภไมูม่มิพีกลฎอหดมุลายยเเดพช่ือคมุ้มีพคระอบง รอมนรุราักชษโอ์ แงกละารกโาปรบรรดิหเกาลรา ฯ ใหป ระจกัดากศวาารซากดึกด�ำบรรพ์ไว้เป็นการเฉพาะ เป็นเหตุให้มีการลักลอบขุดค้นซากดึกด�ำบรรพ์ มาตรา ๑๔ เมื่อปรากฏว่าพื้นที่บริเวณใดเป็นแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ที่มีความส�ำคัญ ซง่ึ มาตหปกอราำ�ยรรโพหือ่ะา๒ดงโนรขยยมะ๙ุดดทชีปรคใเ่ีนหราปป้นชะ์ทม้รนโสบะดาีกกิทกงัฎญยากธอไรหญามิภบสมร่ัถาตกมาคพูกินบัคย้าหมวี้เมพลราทีบมตื่อัก�ำทรใีกวใหาบหิชฎ้กัาห้สญ๓ากูญมญร๓าาคเรัตยส้มุ มวิบียทคาามาดต�รำงรอใวรปดหยางกรก้ซอ๔ะขาานรกอก๑คุราดงุมักรแมึกษเคผาดกรต์่น�ำ่ียแอรดบวลงาินรกซะรทั๔บบาพก่ีมร๒ก์เดหิีคาหกึรุณาแลดรจล่าคาํจํานะบ่ากัดม้ันยรักด่ิงราถาสเตพูกรปิทรซท็นธาา�ำจิแกล�ำ๔ดลานึกยะ๓วดเนสห�ำขมรบรีอภาือรกงารนรพพ�ำัฐสขไ์เปปมธอน็รคเงพรไวบป่ือมรุคนคูญล ต่อการศึกษาประวัติของโลก บรรพชีวินวิทยา บรรพชีววิทยา หรือการล�ำดับช้ันหิน ตามหลัก แหง ราช อาณาจกั อราไศทัยอบ�ำนญั าญจตั ใิาหมก มราะตทรําาได2โ6ดแยหอ่งาพศัยรอะาํรนาชาจบตัญามญบัตทิฉบัญบนญ้ี ตัอิแธหิบงดกีกฎรหมมทารยัพยากรธรณี เกณฑ์ ทคี่ ณะกรรมการกำ� หนด ไมว่ า่ จะไดม้ กี ารประกาศเปน็ เขตสำ� รวจและศกึ ษาวจิ ยั ตามมาตรา มีอจ�ำึงนทารจงใพนรกะากรปรุณระากโปาศรขดึ้นเกทละาเบฯียนใซหาตกรดาึกพดร�ำะบรราชรพบ์ทัญี่สญ�ำัตคิขัญ้ึนไแวลโะดมยีคคุณําแคน่าะตนาํามแหลละักยินเกยณอม์ทข่ี อง ๑๒ หรือไม่ก็ตาม ให้อธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอ�ำนาจประกาศในราชกิจจา สภานิตคบิ ณัญะญกตัริแรมหกงชาราตคิุ้มดคงั รตอองไซปานก้ีดดึกด�ำบรรพ์ก�ำหนด นุเบกษาให้พ้ืนท่ีบริเวณนั้นเป็นแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ท่ีขึ้นทะเบียน พร้อมด้วยแผนท่ีแสดงเขต แหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนน้ันแนบท้ายประกาศด้วย มาตรา ม๑าตราพร๒ะ๖ราชเมบื่อัญอญธิบตั ดินีเี้เหร็นยี กวว่าซาา“กพดรึกะดร�ำาชบบรรญั พญ์ใดตั ทคิ ่ีพมุ บคใรนอรงาซชาอกาดณกึ ดาจําบักรรมรพีคว พาม.ศส.�ำ๒คัญ๕๕๑” หมราือตมรีคาุณค๒่าในกพารศะึกรษาาชปบรัญะวญัตัิขตอินง้ีใโลหกใชบบรรังพคชับีวเินมว่ือิทพยานบกรํารหพนชดีววหิทนยึ่งารหอรยือแกปารดลส�ำดิบับวชันั้นนหับินแตวัน ปจั จบุ นั แหลง่ ซากไมก้ ลายเปน็ หนิ จงั หวดั ตากทงั้ 7 หลมุ ไดร้ บั การพสิ จู นจ์ ากอธบิ ดี ประกาศใตน มนา้ันารมเตาปหรช็นลากซกั ิจเากจกเ๓ณมาดน่ือฑึกคเุดท์บณใ�ำคี่กนบะณษกพระารรรเกพรปะรม์ทรนรก่ีขามตาชึ้นกรนบาทเหไรัญะกป็นเญบำ�วหีย่าัตนนซนิ ดาแ้ี กใลดหะึกอ้ เดสธบิ�ำนบดอรปีใรหรพ้คะ์กทณาี่ขะศึ้นกใทรนระรมเาบกชียากนรจิ พตจาิจามนาวรเุ บณรรกาคษหานให่ึงซ้เปา็นกสด่ิงกึ ทดี่หำ� บายรราพก์ กรมทรพั ยากรธรณี และคณะกรรมการคมุ้ ครองซากดกึ ด�ำบรรพแ์ ลว้ ว่ามีความสำ� คญั ตอ่ การ และมีคุณค่าเป็นพิเศษ สมควรเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ ให้อธิบดีประกาศรายละเอียดของ ศึกษาประวัติของโลก บรรพชีวินวิทยา บรรพชีววิทยา และการล�ำดับช้ันหิน จึงได้รับการ ซากดึกด�ำบรรพ์ดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้เป็นแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ท่ีขึ้นทะเบียน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 133 ตอน พเิ ศษ 113 ง เมื่อวนั ที่ 16 พฤษภาคม 2559 26 27
28 29
30 31
32 33
เมอ่ื (ร้จู กั ) ไมก้ ลายเปน็ หิน เอกสารอา้ งอิง เมอ่ื มาถงึ หนา้ น้ี คำ� วา่ “ไมก้ ลายเปน็ หนิ ” คงไมใ่ ชส่ ง่ิ แปลกประหลาด เดน่ โชค มั่นใจ, 2559, รายงานธรณวี ิทยาควอเทอร์นารี แอง่ บ้านตาก อำ� เภอบา้ นตาก จงั หวัดตาก, ส�ำหรับเราอีกต่อไป แต่ว่ามันจะยังคงเป็น สิ่งมหัศจรรย์ อย่างมิอาจ สำ� นกั งานทรัพยากรธรณีเขต 1 ลำ� ปาง, กรมทรพั ยากรธรณี, 64 หน้า เปล่ยี นแปลงได้ และอาจจะมหศั จรรย์ยิ่งขน้ึ กว่ากอ่ นหนา้ ท่ีเราจะได้ท�ำความ ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2544, พจนานกุ รม ศพั ทธ์ รณวี ทิ ยา ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, 384 หนา้ ,กรงุ เทพฯ รจู้ ัก และเขา้ ใจไม้กลายเปน็ หินเสียอีก วิฆเนศ ทรงธรรม, 2553, ธรณีวิทยาและบรรพชีวินวิทยาแหล่งไม้กลายเป็นหิน อ�ำเภอบ้านตาก “เมอ่ื รจู้ กั แลว้ มกั เสยี ดาย”เสยี ดายทร่ี ชู้ า้ ไปหนอ่ ย เสยี ดายทไี่ มไ่ ดด้ แู ล จังหวดั ตาก, รายงานวิชาการ ที่ สคบ.ว. 2/2553, กรมทรัพยากรธรณี. รกั ษาตั้งแต่ต้น เสียดายทค่ี นอ่ืน ๆ ยงั ไมร่ จู้ กั “ไมก้ ลายเป็นหิน” อยา่ งท่เี รารู้ วโิ รจน์ ชาญเชงิ พานชิ , 2555, การตรวจพสิ จู นไ์ มใ้ นคดกี ฎหมายวา่ ดว้ ยการปา่ ไม,้ จากอนิ เทอรเ์ นต็ “เมื่อรู้จัก แล้วรู้รักษ์” คงจะช่วยลดความเสียดายลงไปได้บ้าง <http://forprod.forest.go.th/forprod/Picnews_1/NEW.html> คน้ วนั ที่ 30 มนี าคม 2560 แลว้ เราจะรรู้ กั ษไ์ ดอ้ ยา่ งไร การรกั ษาสงิ่ ทคี่ วรอนรุ กั ษไ์ มใ่ ชส่ ง่ิ ทยี่ าก โดยเฉพาะ George, E. M. 2008. Mineralogy and geochemistry of late Eocene silicified wood from อยา่ งยงิ่ ถา้ หากเรามคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เกยี่ วกบั สง่ิ ทค่ี วรอนรุ กั ษ์ จะไมม่ คี ำ� วา่ Florissant Fossil Beds National Monument, The Geological Society of America “รูเ้ ทา่ ไมถ่ ึงการณ”์ ซึง่ เป็นปจั จยั สำ� คัญทีน่ ำ� ความเสยี หายไปสูส่ ง่ิ ท่คี วรรักษ์ Special Paper 435, 127-140. การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ต้องอนุรักษ์เป็นวิธีการที่ George, E. M. 2015. Late Tertiary Petrified Wood from Nevada, USA: Evidence of Multiple ทำ� ไดเ้ มอ่ื เรามคี วามรู้ และความเขา้ ใจแลว้ คงนา่ ภมู ใิ จไมน่ อ้ ยหากเราไดท้ ำ� ให้ Silicification Pathways, Geosciences 5, no. 4: 286-309. Available from: คนไทยได้รอู้ ยา่ งทีเ่ ราไดม้ โี อกาสรู้ และได้รักษอ์ ย่างทเ่ี รามีโอกาสไดร้ กั ษ์ <http://www.mdpi.com/2076-3263/5/4/286/htm> accessed 30 April 2017 ไม้กลายเป็นหินจะได้ไม่กลายเป็นสินค้าราคาถูก ไม่สมคุณค่าท่ี Leo, R.F. & Barghoorn, E.S. 1976. Silicification of Wood. Botanical Museum Leaflets, ธรรมชาติได้เพียรสร้าง และทะนุถนอม ผ่านธรณีกาลที่นานแสนนาน Harvard University, vol. 25, no 1. Available from: <https://archive.org/details/ เพ่ือมนุษยท์ ุกคน mobot31753003541064> accessed 29 May 2017 กรมทรัพยากรธรณี Mike, V., Petrified Wood: The Silicification of Wood by Permineralization, Available from: <http://petrifiedwoodmuseum.org/pdf/permineralization.pdf> 34 accessed 31 March 2017 Sasada, M., Ratanasthien, B., Soponpongpipat, R. 1987. New K/Ar ages from the Lampang basalt, northern Thailand. Geological Survey of Japan Bulletin, 38(1), 13-20. The University of Tennessee Agricultural Extension Service, PB1692-1.5M-2/02 E12-4915-00-010-002,PB1692. WoodIdentificationforHardwoodandSoftwood Species Native to Tennessee, Available from: <http://trace.tennessee.edu/ utk_agexfores/10> accessed 31 March 2017 Wickanet, S., Dallas, C. M., Benjavun, R. 2011. Petrified Tree Trunks from a Gravel Deposit, Ban Tak Petrified Forest Park, Ban Tak–Sam Ngao Basin, Tak Province, Northern Thailand. https://en.wikipedia.org/wiki/Opal accessed, 31 March 2017 http://www.wood-database.com/, accessed 31 March 2017
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: