นางสาวจีรดา ตุพิมาย โรงเรียนหินดาดวทิ ยา สังกัดองคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวัดนครราชีมา
ผลการเรียนรู้ • มีความรู้ความเข้าใจเกย่ี วกับการใชค้ าและการใช้ประโยคไดถ้ กู ต้องตามหลกั เกณฑ์ การผูกประโยค • มคี วามร้คู วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั ความหมาย องคป์ ระกอบ ประเภท ลักษณะสาคัญ ของยอ่ หนา้ และเขียนยอ่ หน้าได้อย่างถกู ต้อง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑ คาและการใช้ประโยค คา หมายถึง เสยี งท่ีเปล่งออกมาแลว้ มีความหมาย อาจจะเปลง่ เพียงคร้ังเดียวเรียกว่าคาพยางคเ์ ดียว เชน่ ฉัน คณุ เธอ แม่ พี่ ฯลฯ หรอื เปล่งออกมาหลายคร้งั เรยี กวา่ คาหลายพยางค์ เช่น แสดง วชิ า อัธยาศยั ฯลฯ คาเป็นสารที่ผู้พูดหรอื ผเู้ ขยี นเจตนาหรอื ต้งั ใจสอ่ื ไปยังผู้ฟงั หรือผ้อู ่าน คาทุกคาจงึ มีความหมายทั้งส้นิ ซึง่ อาจจะมคี วามหมายนัยตรง (โดยตรง) และคาทม่ี ีความหมายโดยนัย(เชงิ เปรยี บเทียบ หรือ นัยประหวดั ) ๑. คาท่มี คี วามหมายนัยตรง(โดยตรง) หมายถงึ คาท่ีมคี วามหมายอันเป็นคณุ สมบตั ปิ ระจาของคา ไมเ่ กีย่ วขอ้ งกับปจั จัยวา่ ผพู้ ูดเปน็ ใคร และ ผ้ฟู งั เป็นใคร คาประเภทน้บี างคนเรียกว่า คาทม่ี ีความหมายประจารปู หรอื คาท่ีมีความหมายตรงตัวตัวอย่างคาทม่ี ี ความหมายนัยตรง คาทมี่ คี วามหมายนยั ตรง ความหมายของคา กิน เค้ยี วแล้วกลืนลงกระเพาะ ดาว ส่งิ ทเี่ หน็ เปน็ ดวงมแี สงระยิบระยับในท้องฟ้าเวลามืดนอกจากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หมู ชอ่ื สตั ว์เล้ยี งลกู ด้วยนม เปน็ สัตว์กบี คู่ ตัวอว้ น หาอาหารดว้ ยการใชจ้ มูกดนุ มีทั้งท่เี ป็นสัตว์เลี้ยงและสตั ว์ป่า เพชร ชือ่ แก้วหรือหินทีแ่ ข็งทสี่ ุด และมลี ักษณะแวววาวใชท้ าเครื่องประดบั บ้านเล็ก บา้ นทม่ี ีขนาดเลก็ ยน่ื ซองขาว ส่งซองจดหมายทมี่ ีสขี าวใหค้ นรับไป
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๑ คาและการใช้ประโยค ๒. คาท่ีมคี วามหมายโดยนัย หมายถึง คาท่ีมีความหมายไมต่ รงตามความหมายโดยตรงหรอื ความหมาย ประจารปู แตม่ ีความหมายอกี อยา่ งหน่ึง ซงึ่ ผสู้ ง่ สารมเี จตนาสง่ ไปยงั ผูร้ ับเพ่อื ตีความหมายเปรยี บเทียบเอง ตวั อย่างคาท่มี คี วามหมายโดยนัยความหมายของคา กนิ ฉอ้ ราษฎรบ์ งั หลวงหรือคอรัปชน่ั ดาว ความเด่น ความสวยงาม หมู ง่าย เพชร ส่งิ ท่ีมคี า่ มาก บ้านเล็ก ภรรยานอ้ ยของพ่อ ยน่ื ซองขาว ไลอ่ อกจากงาน
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี ๑ คาและการใช้ประโยค ความจาเป็นในการเลือกใช้คาให้ถกู ต้องตามความหมายและถูกตอ้ งตามบรบิ ท ในการพดู และการเขียนตอ้ งรจู้ ักเลือกใช้ถ้อยคาให้ถกู ตอ้ งตามความหมายและถูกตอ้ งตาม บริบท เพื่อจะให้การพูดและการเขียนน้ันดาเนินไปสู่จุดม่งุ หมาย ถ้าหากไมร่ ูจ้ ักเลอื กใชถ้ อ้ ยคาใหถ้ กู ต้องตามความหมายและ ถูกต้องตามบรบิ ท ขาดความรู้ ความรอบคอบในเรอื่ งเอกลักษณ์ของภาษาแลว้ จะนาไปสปู่ ญั หาท้ังตัวผู้พูด ผเู้ ขียน และส่งผล ไปยัง ผฟู้ ังและผู้อ่านด้วย
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๑ คาและการใชป้ ระโยค ประโยค คอื ถอ้ ยคาที่มคี วามเก่ยี วข้องกันถกู ตอ้ งตามระเบียบของภาษาและมีเนอ้ื ความบรบิ ูรณ์ ประกอบด้วยภาค ประธานและภาคแสดง 1. องค์ประกอบของประโยค คาทน่ี ามาเรยี งกันจะเป็นประโยคไดก้ ็ตอ่ เมอ่ื มภี าคประธานและภาคแสดง นอกจากน้ี ประโยคยงั มีองค์ประกอบอื่นๆอกี เชน่ แมวเลน่ ในสวน แยกได้ แมว(ประธาน) เลน่ (อกรรมกรยิ า) ในสวน(ขยายกริยา) อารีขายผลไมท้ ุกวนั แยกได้ อารี(ประธาน) ขาย(สกรรมกริยา) ผลไม(้ กรรม) ทกุ วัน(ขยายกรยิ า) ภารโรงสมนกึ เปน็ คนดี แยกได้ ภารโรง(ประธาน) สมนึก(ขยายประธาน) เปน็ (วิกตรรถกรยิ า) คนดี(ขยายกริยา)
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๑ คาและการใชป้ ระโยค การเรียบเรียงคาเขา้ ประโยค การสรา้ งประโยค เกดิ จากการเรยี บเรียงคาใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั ภาษา สื่อความหมายไดต้ รงกบั ท่ี ผู้รบั สารต้องการ ลักษณะของประโยคท่ีดี มดี ังน้ี 1. ชัดเจน แจม่ แจ้ง และถูกต้อง 2. กระชับ ไม่วกวนสับสน 3. ใชภ้ าษาง่าย ๆ 4. เป็นประโยคทรงพลัง คือ เสนอความคิดและเนือ้ หาได้อยา่ งเต็มทีจ่ ากคาที่มีจากดั 5. ถ้อยคาสละสลวย
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑ คาและการใช้ประโยค การเลอื กใช้คา 1. ใชค้ าให้ถกู ต้องตามชนดิ ของคาและตรงความหมายไมใ่ ช้คานามแทนคากริยา ดงั ตัวอยา่ ง คณุ พ่อใหช้ ่างมาซอ่ มประตูแผน่ ท่ีชารุด ควรใชว้ า่ คณุ พอ่ ใหช้ า่ งมาซอ่ มประตูบานทช่ี ารดุ เราต้องขืนใจกินทง้ั ๆท่ีไมห่ วิ เลย ควรใช้วา่ เราตอ้ งฝืนใจกนิ ทัง้ ๆที่ไม่หิวเลย ดฉิ นั ปณธิ านไว้ว่า จะไม่ขอ้ งแวะกับอบายมุข ควรใช้ว่า ดฉิ ันได้ตง้ั ปณธิ านไวว้ ่า จะไม่ขอ้ งแวะกบั อบายมขุ 2. ไม่ใช้คาฟุม่ เฟือย กลา่ วคือ ควรใชค้ าเท่าทีจ่ าเปน็ คาที่มีความหมายสมบรู ณ์อยู่แล้ว ไม่จาเป็นต้องเตมิ กลุ่มคาเข้าไป โดยท่ีความหมายยังคงเดิม เช่น บา้ นเรือนของผูค้ นปลกู เป็นระยะ ๆ คาวา่ ของผู้คน ไม่จาเปน็ ตอ้ งใช้ เพราะ บา้ นเรือน น้ันเป็นของ คน อย่แู ลว้
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๑ คาและการใช้ประโยค 3. ไมใ่ ช้คาหรอื รูปลกั ษณะของประโยคภาษาต่างประเทศ เชน่ ภาษาน้ีงา่ ยตอ่ การเขา้ ใจ ควรใชว้ ่า ภาษานเ้ี ขา้ ใจงา่ ย หลอ่ นเดนิ มาพรอ้ มกับรอยย้มิ บนใบหนา้ ควรใช้ว่า หลอ่ นเดินยมิ้ เขา้ มา เขาขานสะกอร์ผิด ควรใช้วา่ เขาขานคะแนนผดิ คุณอธบิ ายไม่เคลียร์ ควรใชว้ า่ คุณอธบิ ายไม่ชดั เจน 4. ไมใ่ ช้คาที่ทาให้ประโยคกากวม เช่น เขาเหน็ ไมเ่ หมอื นกนั หมายความวา่ 1. เขามองเหน็ ภาพตา่ งกัน 2. เขามี ความคิดเหน็ ตา่ งกนั 5. ใชค้ าสุภาพ หลีกเล่ยี งคาสแลง คาหยาบ เชน่ มาก แทนคาว่า ออื้ เพียบ โคตร บรรลยั ผิดหวัง แทนคาว่า แห้ว จ๋อย ไมด่ ี แทนคาว่า ห่วย เฟอะฟะ 6. ใชค้ าถูกหลกั ไวยากรณ์ เชน่ นักเรียน 3 คน ไม่ใช่ 3 นกั เรยี น 7. ไมใ่ ช้คาในรปู ยอ่ เช่น ร.ร. ควรใช้ว่า โรงเรียน ป.ท. ควรใชว้ ่า ประเทศ
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๑ คาและการใช้ประโยค การผกู ประโยค คือ การนาคาตา่ ง ๆ มาเรียบเรยี งให้เกดิ เปน็ ข้อความตามทีต่ ้องการ การผกู ประโยคนีเ้ ปน็ การดงึ ดดู ความสนใจของผ้อู า่ น เพื่อเน้นเนอ้ื ความ เพอื่ สรปุ หรือชวนให้คิด ดงั นี้ 1. ผกู ประโยคใหก้ ระชับ รดั กมุ นอกจากจะใชค้ าเท่าทจี่ าเปน็ แลว้ ในบางกรณียังทาใหป้ ระโยคกระชบั ได้อกี ดงั นี้ 1.1 ประโยคที่มีประธานหลายประธาน ควรขมวดรวมเขา้ ไวด้ ้วยกัน เช่น ช้างสาร งูเหา่ ขา้ เกา่ เมยี รกั ทัง้ หมดน้ี อยา่ ไดไ้ ว้วางใจบา้ น โรงเรียน วดั ล้วนเปน็ แหลง่ อบรมบม่ นสิ ยั เยาวชนท้ังสน้ิ 1.2 รวมความทเี่ กยี่ วข้องกันเขา้ เป็นประโยคเดยี วกัน เชน่ เขาไปวดั แตม่ รี สนิยมสงู (ความไม่เก่ียวข้องกัน) เขาไปวัด แตไ่ มไ่ ดน้ าอาหารไปถวายพระ (ความเกยี่ วข้องกนั ) 2. ผูกประโยคใหก้ ะทดั รัดชัดเจน คอื ประโยคทีไ่ มย่ ืดยาว ทาใหเ้ สียเวลาอา่ นหรอื ฟัง ทั้งๆ ทีม่ ีเนือ้ ความเทา่ กัน เชน่ อนั ธรรมดาคนเราเกิดมาในโลกน้ี บ้างก็จนเหลือเกนิ บ้างกร็ วยเหลอื ลน้ (ความไม่กะทัดรัด) มีคนทง้ั จนและรวย (ความกะทดั รดั ) 3. ผกู ประโยคใหม้ ีน้าหนกั คือ การสรา้ งประโยคใหข้ อ้ ความตอนท้ายมนี า้ หนกั มากกวา่ ส่วนอน่ื ๆ เป็นขอ้ ความสรุป น่นั เอง เช่น ชนชาวไทยร่วมชาติของขา้ พเจา้ จงตื่นเถิด ลูกทีป่ ระพฤตติ นเหลวแหลก ทาใหพ้ อ่ แมอ่ ายุส้ัน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ คาและการใช้ประโยค 4. ผูกประโยคข้อความ คอื การใชบ้ ทเชือ่ มที่ขดั แยง้ กัน ทาให้ผู้อา่ นฉุกคิดไดด้ ีกว่าการใชถ้ ้อยคาคลอ้ ยตาม กัน ทาใหเ้ กิดรสความดขี ึน้ เช่น ยาดขี มปาก แตเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ คนไข้ ผู้ตาหนิ คอื ผู้บอกทางสวรรคใ์ ห้ ชายควรมคี วามรกั เปน็ เครือ่ งนาความมีภรรยา ไม่ใชม่ ีภรรยาเปน็ เคร่อื งนาความรัก 5. ผกู ประโยคขนานความ คอื การสร้างประโยคให้มีเนือ้ ความตอ่ เน่ืองเปน็ แนวเดยี วกนั โดยใชส้ ันธานคู่ เปน็ คาเชือ่ ม ไดแ้ ก่ เม่อื ใด…เมื่อนั้น ฉันใด…ฉันนั้น คราวใด…คราวน้นั ฯ เชน่ เม่อื ใดไรพ้ ่อแม่ เมื่อนน้ั เธอจะรูว้ ่าชีวติ คอื อะไร ความรกั ของพอ่ แมม่ มี ากเพยี งใด ความทุกขท์ เี่ กดิ จากลูกประพฤตติ วั ไม่ดีก็มีมากเพียงนนั้
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๑ คาและการใชป้ ระโยค เราแบง่ ลกั ษณะของประโยคออกเปน็ 6 ชนิด ได้แก่ประโยคบอกเลา่ ,ประโยคปฏเิ สธ,ประโยคคาส่งั ,ประโยค แสดงความตอ้ งการ,และ ประโยคขอร้อง เรามาดูรายละเอียดของแต่ละตวั กนั ดีกวา่ ครับ 1. ประโยคบอกเลา่ คอื อะไร ประโยคบอกเล่า คือ ประโยคทม่ี ีเนอ้ื หารายละเอียดเพียงเพอื่ ให้คนฟังรับทราบ รับรู้ เพยี งเทา่ นนั้ วา่ ใคร ทาอะไร ทีไ่ หน อยา่ งไร เมื่อไหร่ เชน่ วนั นี้แม่พาเราไปกนิ สกุ ี้ MK ฉนั ชอบอ่านบทความของเว็บเด็กทนี มาก 2. ประโยคปฏเิ สธ คอื อะไร ประโยคปฏเิ สธ คือ ประโยคที่บอกถงึ การไม่ยอมรบั ขอ้ เสนอ หรอื ขอ้ ตกลงตา่ งๆ ซ่ึง มักจะมคี าวา่ ไม่ ไม่ใช่ ไมไ่ ด้ ประกอบอยู่ในประโยคด้วย เชน่ แมย่ งั ไม่ได้กลบั บา้ นเลย ฉนั ไมต่ อ้ งการทาการบา้ นตอนน้ี
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ คาและการใชป้ ระโยค 3. ประโยคคาถาม คืออะไร ประโยคคาถาม คอื ประโยคท่ีตอ้ งการ คาตอบในสงิ่ ท่ถี ามมอี ยู่ 2 ลักษณะ คอื 3.1 ประโยคคาถามทีต่ ้องการคาตอบเปน็ คาอ่ืนแทนที่ใช้คาถาม (คาถามปลายเปดิ ตอบแบบไหนก็ได้) มักจะมีคา ว่า ใคร อะไร เหตใุ ด เช่น อะไรอย่ใู นกล่องใบนี้ ? (คาตอบจะเป็นอะไรก็ได้) ใครตด? (อาจจะเปน็ ใครกไ็ ด้) เหตุใดถงึ มาโรงเรียนสาย (เหตผุ ลเปน็ ร้อยเปน็ พนั เก้าทจ่ี ะตอบ)3.2 ประโยคคาถามที่ต้องการคาตอบรับ หรอื ปฏเิ สธ ซึ่งจะมีคาวา่ ไหม หรือ หรอื ไม่ อยใู่ นประโยคคาถาม เช่น เธอจะไปดูหนงั กับฉันไหม ? (คาตอบคอื ไป กบั ไมไ่ ป ซงึ่ ถ้าไมไ่ ปก็จะได้ใช้ประโยคปฏเิ สธในขอ้ 2 มาเก่ยี วดว้ ย) เธอชอบดดู ารารึเปล่า ? (คาตอบคอื ชอบ กบั ไมช่ อบ) 4. ประโยคคาสั่ง คืออะไร ประโยคคาสงั่ คือ ประโยคทบี่ อกให้ผฟู้ ังไดป้ ฏบิ ัติตาม ใหท้ าในสงิ่ ใดส่ิงหนง่ึ หรอื ไม่ให้ ทาสิ่งใดสง่ิ หนึ่ง แบ่งออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๑ คาและการใชป้ ระโยค 4.1 ประโยคคาส่ังใหท้ า มักนิยมใช้ คากรยิ า ข้นึ ต้นประโยค หรอื ใชค้ าวา่ “จง” ขึน้ ตน้ และในประโยคมักจะมคี า ว่า ซิ นะ หนอ่ ย อยู่ในประโยคด้วยเช่นกัน เชน่ เธอ จง ทางานทคี่ รูสั่งให้เสรจ็ นะ เดิน ใหม้ ันดีๆ หน่อย 4.2 ประโยคหา้ ม หรือ ส่ังไมใ่ ห้ทา มกั ละประธานไว้ และ ใช้คาวา่ อยา่ ห้าม เชน่ ห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืน อยา่ ส่งเสียงดงั
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๑ คาและการใชป้ ระโยค 5. ประโยคแสดงความต้องการ คอื อะไร ประโยคแสดงความต้องการ คือ ประโยคท่บี อกถงึ ความตอ้ งการ ความยาก ได้ ความอยากมี ความอยากเป็น หรอื ต้องการส่ิงใดิส่งหนึ่ง ซึง่ เราจะพบคาวา่ ต้องการ ปรารถนา ประสงค์ อยใู่ น ประโยคดว้ ย เชน่ เขาตอ้ งการทีจ่ ะเปน็ ทมี่ ชี อื่ เสียง *สังเกตจะมีความต้องการอยใู่ นประโยค โตข้นึ มาหนอู ยากเป็นคณุ หมอ ผมอยากมรี ถสกั คนั เอาไว้ขบั ไปเที่ยว ฉันมคี วามปรารถนาที่ สอบได้ท่ี 1 6. ประโยคขอรอ้ ง คอื อะไร ประโยคขอรอ้ ง คอื ประโยทข่ี อใหผ้ ู้ฟังทาสิ่งหนงึ่ ส่งิ ใดให้ ซง่ึ ผฟู้ งั จะทาหรอื ไม่ทากไ็ ด้ จะแตกต่างจากประโยคคาสัง่ ซ่ึงประโยคขอรอ้ ง จะรว่ มไปถึงประโยคชกั ชวน และ ประโยคอนญุ าต ซ่ึงจะมคี าว่า กรุณา โปรด วาน ขอ ชว่ ย อยหู่ น้าประโยค และจะมีคาว่า ซิ หน่อย นะ น่า อยู่หลงั ประโยค เช่น ช่วยหยบิ ดนิ สอให้หน่อย กรุณาเขาแถว เธอชว่ ยฉนั ทาการบา้ นหนอ่ ยนะ
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ คาและการใชป้ ระโยค หลกั การใชป้ ระโยค ๑. การใช้ประโยคถกู หลักไวยากรณ์ ๒. การใชป้ ระโยคทีส่ ือ่ ความชัดเจน ๓. การใชป้ ระโยคกะทดั รัด ๔. การใชป้ ระโยคทม่ี ีเอกภาพและสมั พนั ธภาพ ๕. การใช้ประโยคทีจ่ บความ ๖. การใช้ประโยคทเ่ี ว้นวรรคตอนถกู ต้อง ๗. การใช้ประโยคทเี่ ปน็ สานวนไทย
การเขยี นประโยคและย่อหน้า การเขียนประโยค (writing sentences) การเขียนประโยคคือ การนาเอาคาหลาย ๆ คามาเรียงต่อกันเปน็ กลมุ่ คา มลี กั ษณะเปน็ วลี และประโยคอย่างถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณท์ ั้งในด้านรปู แบบและความหมาย โดยท่วั ไปประโยค ประกอบดว้ ยคาต้ังแต่ 2 คาข้ึนไป ท่มี ีทงั้ ภาคประธานและภาคแสดง
การเขียนประโยคและยอ่ หนา้ การเขยี นประโยคควรคานงึ ถึง ๑. สว่ นประกอบของประโยค คา (part of speech) วลี (phrases) ประโยคย่อย (clauses) ประโยค (sentences)
การเขยี นประโยคและย่อหนา้ การเขยี นประโยคควรคานงึ ถึง ๒. ประเภทของประโยค เชน่ ๒.๑ ประโยคบอกเล่า (declarative sentences) – อาจเปน็ ประโยคแสดงข้อเท็จจริง ๒.๒ ประโยคแสดงความคิดเห็น หรอื ประโยคขอรอ้ ง ๒.๓ ประโยคคาถาม (interrogative sentences) ๒.๔ ประโยคคาส่งั (imperative sentences) ๒.๕ ประโยคอุทาน (exclamatory sentences)
การเขยี นประโยคและยอ่ หนา้ การเขียนประโยคควรคานงึ ถงึ ๓. หนา้ ทขี่ องประโยคในย่อหนา้ ๓.๑ ประโยคใจความสาคญั ๓.๒ ประโยคขยายหลัก ๓.๓ ประโยคขยายรอง ๓.๔ ประโยคเช่อื ม ๓.๕ ประโยคคานา ๓.๖ ประโยคสรุป
การเขียนประโยคและยอ่ หนา้ การเขียนยอ่ หนา้ (writing paragraphs) การเขียนย่อหนา้ คอื การนาเอาประโยคหลาย ๆ ประโยคมาเรยี งตอ่ กันเปน็ ยอ่ หน้า การเขยี นยอ่ หน้าควรคานงึ ถงึ สว่ นประกอบของยอ่ หน้า ความสมบรู ณ์ในเนอ้ื หาสาระ ความสอดคลอ้ งตอ่ เน่ืองของเนอ้ื เร่อื ง ความถูกตอ้ งตามหลักวชิ าการ หลักตรรกะ และความมเี หตุผล
การเขยี นประโยคและย่อหน้า ประเภทของย่อหนา้ การแบ่งประเภทของยอ่ หนา้ ตามลักษณะการเขยี น การใหข้ อ้ สรุปกอ่ นนาไปส่รู ายละเอยี ด (deduction) การให้รายละเอยี ดกอ่ นนาไปสขู่ อ้ สรุป (induction) การแบง่ ประเภทของยอ่ หนา้ ตามจดุ ประสงคใ์ นการเขยี น มหี ลากหลาย อาทิ การเขยี นเพอ่ื ให้ข้อมลู การเขียนเพอ่ื โนม้ น้าวใจ การเขยี นเพอื่ โตแ้ ยง้ หนา้ ที่ของยอ่ หนา้ ประโยคในความเรียง ย่อหนา้ นาเร่อื ง (introductory paragraph) ย่อหนา้ เนือ้ เร่ือง (body paragraph) ย่อหนา้ สรุป (concluding paragraph)
นางสาวจีรดา ตุพิมาย โรงเรียนหินดาดวทิ ยา สังกัดองคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวัดนครราชีมา
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: