Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ม.6

หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ม.6

Description: หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ม.6

Search

Read the Text Version

ชดุ หลักสตู รต้านทจุ ริตศกึ ษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 หน้า 1

ชุดหลักสูตรต้านทจุ ริตศึกษา ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 คานา ตามที่สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาแจ้งให้โรงเรียนนวมินทราชินูทิศสตรวิทยา ๒ ดาเนินการสอนตาม หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti - Corruption Education) ของสานักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่รว่ มจดั ทากับสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน จากนโยบายดังกล่าว โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา ๒ จึงได้จัดทาชุดการสอน เร่ือง การ ป้องกันการทุจริต ประกอบกิจกรรมเสริมหลักสูตร “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา” (Anti - Corruption Education) ระดบั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ และ ทักษะในเรื่องการคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ความอายและความไม่ทน ต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเริ่มใช้ในปี การศึกษา 2562 เพื่อเป็นกลไกระยะยาวในการปลูกฝังวิธีคิดป้องกันการทุจริตให้แก่ผู้เรียน ร่วมกันสร้างประเทศ ไทยใสสะอาด ไทยทงั้ ชาติต้านทุจริต คณะผ้จู ดั ทา ครูกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม หนา้ 2

ชุดหลักสตู รต้านทุจรติ ศึกษา ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 สารบัญ เรอ่ื ง หน้า หน่วยที่ ๑ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ๑ ใบความรู้ที่ ๑ เร่อื ง การขัดกันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒ ใบความรู้ท่ี ๒ เร่อื ง รปู แบบของผลประโยชน์ทบั ซ้อน ๕ ๘ ใบงานท่ี ๑ เร่ือง ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ๙ หนว่ ยท่ี ๒ เรอื่ งความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต ๑๐ ๑๗ ใบความรู้ท่ี 3 เร่ือง ความหมาย รปู แบบ สาเหตุ ความหมายของความละอาย ๑๘ ใบงานที่ 3 ระดมพลงั ความคิดประเด็นการแสดงออกซ่ึงความไม่ทนต่อการทุจรติ ในการสอบ ๒๐ ๒๑ ใบความรู้ท่ี 4 เรอ่ื ง การลงโทษทางสงั คม ๒2 ใบงานท่ี 4 เรื่อง การลงโทษทางสงั คม ๒๖ ๒๗ หนว่ ยที่ ๓ STRONG จติ พอเพียงตา้ นทุจริต ๒๘ ใบความรู้ที่ 5 เร่ือง ความพอเพียงกับการต้านการทจุ ริต ๒๙ ใบงานที่ 5 เรอื่ ง ความพอเพยี งประสานเสยี งต้านความทุจริต ๓๒ ใบงานที่ 5.1 เรอื่ ง พอเพยี งเรยี นรู้ สูก่ ารปฏิบตั ิ ๓๓ หน่วยที่ ๔ พลเมืองกบั ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม ใบความรทู้ ี่ 6 เรอ่ื ง การเคารพสทิ ธิและเสรีภาพของจนเองและผู้อื่น ใบงานที่ 6 เรื่อง พลเมืองที่รับผิดชอบตอ่ การป้องกนั การทุจริต ใบงานที่ 6.๒ เรือ่ ง ถอดบทเรียนความเป็นพลเมอื งกับความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม หนา้ 3

ชุดหลักสตู รต้านทุจริตศกึ ษา ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 หน่วยที่ ๑ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชนส์ ว่ นรวม หน้า 1

ชุดหลักสตู รต้านทจุ รติ ศกึ ษา ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ใบความรู้ท่ี ๑ เรื่องการขัดกันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ความสัมพันธ์ระหว่าง “การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม” “จรยิ ธรรม” และ “การทจุ ริต การขดั กนั ระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม หมายถึง การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐ กระทาการใด ๆ ตามอานาจหน้าท่ีเพอื่ ประโยชน์สว่ นรวม แตก่ ลับเขา้ ไปมีสว่ นได้ส่วนเสียกับกิจกรรม หรือการ ดาเนนิ การทเี่ อ้ือผลประโยชน์ให้กบั ตนเองหรือพวกพ้อง ทาให้การใช้อานาจหน้าที่เป็นไปโดยไม่สุจริตก่อให้เกิด ผลเสียตอ่ ภาครัฐ จรยิ ธรรม เปน็ กรอบใหญท่ างสังคมท่ีเปน็ พน้ื ฐานของแนวคิดเกี่ยวกับการขดั กันระหว่างผลประโยชน์ สว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวมและการทุจริต เช่น ใช้ตาแหน่งหน้าที่ในการแสวงหา ผลประโยชนแ์ กต่ นเองและพวกพ้อง เป็นต้น รูปแบบของการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม การขัดกันระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวมมไี ดห้ ลายรปู แบบ ไมจ่ ากดั อยู่เฉพาะใน รูปแบบของตัวเงิน หรือทรัพย์สินเท่าน้ัน แต่รวมถึงผลประโยชน์อ่ืน ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงินหรือ ทรัพย์สินด้วย ท้ังนี้ John Langford และ Kenneth Kernaghan ได้จาแนกรูปแบบของการขัดกันระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ออกเป็น ๗ รปู แบบ คอื ๑) การรับผลประโยชน์ต่าง ๆ (Accepting benefits) เช่น การรับของขวัญจากบริษัท ธรุ กิจ บรษิ ทั ขายยาหรืออุปกรณ์การแพทย์สนบั สนุนค่าเดินทางให้ผบู้ ริหารและเจ้าหน้าท่ีไปประชุมเรื่องอาหาร และยาท่ีตา่ งประเทศ หรือหน่วยงานราชการรับเงินบริจาคสร้างสานักงานจากธุรกิจท่ีเป็นลูกค้าของหน่วยงาน หรือแมก้ ระทงั่ ในการใชง้ บประมาณของรัฐเพือ่ จดั ซอ้ื จดั จ้างแลว้ เจา้ หน้าท่ีไดร้ บั ของแถม หรือประโยชน์อื่นตอบ แทน เป็นต้น ๒) การทาธุรกิจกับตนเอง (Self - dealing) หรือเป็นคู่สัญญา (Contracts) หมายถึง สถานการณท์ ่ีผดู้ ารงตาแหนง่ สาธารณะ มสี ่วนได้เสยี ในสัญญาท่ที ากบั หนว่ ยงานทต่ี นสงั กดั ตัวอย่างเช่น การใช้ ตาแหน่งหน้าที่ทาให้หน่วยงานทาสัญญา ซื้อสินค้าจากบริษัทของตนเอง หรือจ้างบริษัทของตนเป็นท่ีปรึกษา หนา้ 2

ชดุ หลักสตู รต้านทุจริตศกึ ษา ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 หรือซ้ือท่ีดินของตนเองในการจัดสร้างสานักงาน สถานการณ์เช่นน้ีเกิดบทบาทท่ีขัดแย้ง เช่น เป็นทั้งผู้ซ้ือและ ผู้ขายในเวลาเดยี วกัน ๓) การทางานหลงั จากออกจากตาแหน่งหน้าที่สาธารณะหรือหลังเกษียณ (Post -employment) หมายถงึ การทีบ่ คุ คลลาออกจากหน่วยงานของรฐั และไปทางานในบริษทั เอกชนทดี่ าเนินธรุ กิจประเภทเดียวกัน เชน่ ผู้บรหิ ารหรอื เจา้ หน้าทีข่ ององคก์ ารอาหารและยา ลาออกจากงานราชการและไปทางานในบริษัทผลิตหรือ ขายยา หรือผ้บู ริหารกระทรวงคมนาคมหลังเกษียณออกไปทางานเป็นผู้บรหิ ารของบรษิ ัทธุรกจิ สือ่ สาร ๔) การทางานพิเศษ (Outside employment or moonlighting) ในรูปแบบน้ีมีได้ หลายลักษณะ เชน่ ผดู้ ารงตาแหน่งสาธารณะต้ังบรษิ ัทดาเนินธรุ กิจ ทเ่ี ปน็ การแขง่ ขันกบั หน่วยงานหรือองค์การ สาธารณะทีต่ นสงั กัด หรอื การรับจ้างเป็นที่ปรึกษาโครงการ โดยอาศัยตาแหน่งในราชการสร้างความน่าเชื่อถือ ว่าโครงการของผู้ว่าจ้างจะไม่มีปัญหาติดขัดในการพิจารณาจากหน่วยงานที่ท่ีปรึกษาสังกัดอยู่ หรือในกรณีที่ เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีของกรมสรรพากร ก็รับงานพิเศษเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นผู้ทาบัญชีให้กับบริษัทที่ต้องถูก ตรวจสอบ ๕) การรู้ข้อมูลภายใน (Inside information) หมายถึง สถานการณ์ที่ผู้ดารงตาแหน่ง สาธารณะใช้ประโยชน์จากการรู้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ของตนเอง เช่น ทราบว่ามีการตัดถนนผ่านบริเวณ ใด ก็จะเขา้ ไปซอื้ ที่ดนิ นน้ั ในนามของภรรยา หรอื ทราบว่าจะมกี ารซื้อขายทด่ี นิ เพือ่ ทาโครงการของรัฐก็จะเข้าไป ซอ้ื ทด่ี ินนัน้ เพ่ือเกง็ กาไรและขายให้กับรฐั ในราคาทีส่ งู ขนึ้ ๖) การใช้ทรัพย์สินของราชการเพ่ือประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว (Using your employer’s property for private advantage) เช่น การนาเคร่ืองใช้สานักงานต่าง ๆ กลับไปใช้ท่ีบ้าน การนารถยนต์ ราชการไปใชใ้ นงานส่วนตัว ๗) การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ทางการเมือง (Pork - barreling) เช่น การท่ีรัฐมนตรีอนุมัติโครงการไปลงพื้นท่ีหรือบ้านเกิดของตนเอง หรือการใช้งบประมาณ สาธารณะเพ่อื หาเสียง เมือ่ พิจารณา “รา่ งพระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม พ.ศ. ....” ตามมาตรา ๕ ๘) การใช้ตาแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์แก่เครือญาติหรือพวกพ้อง (Nepotism) หรือ อาจจะเรียกว่าระบบอุปถัมภ์พิเศษ เช่น การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้อิทธิพลหรือใช้อานาจหน้าท่ีทาให้หน่วยงานของ ตนเขา้ ทาสัญญากับบริษัทของพี่นอ้ งของตน ๙) การใช้อิทธิพลเข้าไปมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าท่ีรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐอื่น (influence) เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าท่ีข่มขู่ผู้ใต้บังคับ บัญชาให้หยดุ ทาการตรวจสอบบรษิ ัทของเครือญาติของตน ดังนั้น จึงสามารถสรุปรูปแบบของการกระทาท่ีเข้าข่ายเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of Interests) เปน็ ๙ รูปแบบ ดังน้ี หน้า 3

ชดุ หลกั สตู รต้านทจุ ริตศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ส่อื การเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ ๑) คลิปวิดโี อ \"กาฝาก\" สอ่ื การเรียนรคู้ วามแตกต่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม (https://www.youtube.com/watch?v=EHF9lTpTYkg) ๒) คลปิ วดิ โี อ \"คณุ วา่ ใครชนะ\" ส่ือการเรยี นรู้ความแตกต่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม (https://www.youtube.com/watch?v=u6L749nfVWk) สแกน QR Code ศกึ ษาเพิ่มเติม ด้วยนะคะ หนา้ 4

ชุดหลักสูตรตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ใบความรู้ที่ ๒ เรอ่ื ง รูปแบบของผลประโยชน์ทบั ซ้อน รปู แบบของผลประโยชนท์ ับซ้อน แบ่งออกเปน็ ๗ รปู แบบ ไดแ้ ก่ ๑. การรบั ผลประโยชน์ต่าง ๆ (Accepting benefits) คือ การรับสินบน หรือรับของขวัญหรือผลประโยชน์ ในรูปแบบอ่ืน ๆ ท่ีไม่เหมาะสมและมีผลต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ี เช่น หน่วยงานราชการรับเงินบริจาคสร้าง สานักงานจากนักธุรกิจหรือบริษัทธุรกิจท่ีเป็นคู่สัญญากับหน่วยงาน การใช้งบประมาณของรัฐเพ่ือจัดซ้ือจัดจ้างแล้ว เจ้าหน้าที่ไดร้ ับของแถมหรือผลประโยชนอ์ ่นื ตอบแทน ๒. การทาธุรกิจกับตัวเอง (Self - dealing) หรือเป็นคู่สัญญา (Contracts) หมายถึง สถานการณ์ท่ี เจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทากับหน่วยงานที่ตนสังกัด เช่น การใช้ตาแหน่งหน้าที่ที่ทาให้หน่วยงานทา สญั ญาซือ้ สนิ คา้ จากบรษิ ัทของตนเอง หรอื จ้างบริษัทของตนเองเป็นท่ีปรึกษา หรือซ้ือที่ดินของตนเองในการจัดสร้าง สานักงาน ๓. การทางานหลังจากออกจากตาแหน่งสาธารณะหรือหลังเกษียณ (Post - employment) หมายถึง การ ที่บุคลากรออกจากหน่วยงานของรัฐ และไปทางานในบริษัทเอกชนท่ีดาเนินธุรกิจประเภทเดียวกับ ท่ีตนเองเคยมี อานาจควบคุม กากับ ดแู ล ๔. การทางานพิเศษ (Outside employment or moonlighting) เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐต้ังบริษัทดาเนิน ธุรกิจท่ีเป็นการแข่งขันกับหน่วยงานหรือองค์กรสาธารณะท่ีตนสังกัด หรือการรับจ้างเป็นที่ปรึกษาโครงการ โดย อาศัยตาแหน่งในราชการสร้างความน่าเช่ือถือว่าโครงการของผู้ว่าจ้างจะไม่มีปัญหาติดขัดในการพิจารณาจาก หน่วยงานทตี่ นสังกัดอยู่ ๕. การรับรู้ข้อมูลภายใน (Inside information) หมายถึง สถานการณ์ที่ผู้ดารงตาแหน่งสาธารณะ ใช้ประโยชนจ์ ากการรู้ขอ้ มูลภายในเพือ่ ประโยชน์ของตนเอง เชน่ ทราบว่าจะมีการตัดถนนไปตรงไหนก็รีบไปซ้ือท่ีดิน โดยใส่ช่ือภรรยา หรือทราบว่าจะมีการซื้อท่ีดินเพื่อทาโครงการของรัฐก็รีบไปซ้ือที่ดินเพื่อเก็งกาไรและขายให้กับรัฐ ในราคาที่สูงขน้ึ หนา้ 5

ชดุ หลักสตู รต้านทุจริตศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ๖. การใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานเพ่ือประโยชน์ของธุรกิจส่วนตัว (Using your employer’s property for private advantage) เช่น การนาเคร่ืองใช้สานักงานต่าง ๆ กลับไปใช้ที่บ้าน การนารถยนต์ในราชการ ไปใช้เพอื่ งานสว่ นตวั ๗. การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตั้งเพ่ือประโยชน์ในทางการเมือง (Pork - belling) เช่น การท่ีรัฐมนตรีอนุมัติโครงการของกระทรวงไปลงในพ้ืนท่ีหรือบ้านเกิดของตนเอง หรือการใช้งบประมาณ สาธารณะ เพอื่ การหาเสยี งเลอื กตัง้ เม่ือพจิ ารณา “รา่ งพระราชบัญญัตวิ ่าด้วยความผิดเก่ียวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. ....” ตามมาตรา ๕ จะมีอีก 2 รปู แบบ คอื ๘. การใช้ตาแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์แก่เครือญาติหรือพวกพ้อง (Nepotism) หรืออาจจะ เรียกว่าระบบอุปถัมภ์พิเศษ เช่น การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้อิทธิพลหรือใช้อานาจหน้าท่ีทาให้หน่วยงานของตนเข้า ทาสัญญากับบรษิ ทั ของพ่นี อ้ งของตน ๙) การใช้อิทธิพลเข้าไปมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐอื่น (influence) เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าที่ข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาให้หยุด ทาการตรวจสอบบรษิ ทั ของเครือญาติของตน จากรูปแบบประเภทต่าง ๆ ของปัญหาความขัดแย้งกันในประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม จะเห็นว่าโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหามีสูงมากเพราะปัญหาดังกล่าวมีขอบเขตครอบคลุมพฤติกรรมท่ีเข้า ข่ายความขัดแย้งอย่างกว้างขวาง ดังน้ัน กลไกหรือเคร่ืองมือส่วนใหญ่ท่ีใช้ในการจัดการกับปัญหา ความขัดแย้ง ของผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม คือ การมีหลักคุณธรรมและจริยธรรม ในการทางานของบุคคล สาธารณะ รวมถึงการมกี ฎหมายทีส่ ามารถครอบคลุมถึงการกระทาผิดเกีย่ วกบั ผลประโยชนท์ บั ซ้อนทุกรปู แบบ สอ่ื การเรียนรู้ / แหลง่ การเรยี นรู้ ๑) คลิปวิดโี อ \"รู้ทันกนั โกง ตอน ผลประโยชน์ทับซ้อน (https://www.youtube.com/watch?v=34Ixr18MPOs) สแกน QR Code ศกึ ษาเพิ่มเตมิ ด้วยนะคะ หน้า 6

ชุดหลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศึกษา ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนภาพรปู แบบของผลประโยชน์ทับซ้อน การรับประโยชน์ต่างๆ รับของขวญั /เงนิ สนบั สนุน/ (Accepting benefits) เงินบรจิ าคจากลูกค้าของหนว่ ยงาน การทาธรุ กิจกับตวั เอง (Self-dealing) มสี ่วนได้เสยี ในสญั ญาที่ทากับ หรือเปน็ คู่สญั ญา (Contracts) หน่วยงานต้นสงั กดั การทางานหลังจากออกจากตาแหนง่ ลาออกจากหนว่ ยงานเพื่อไปทางาน สาธารณะหรือหลงั เกษียณ (Post- ในหน่วยงานทีด่ าเนินธรุ กจิ ประเภท employment) เดยี วกนั การทางานพเิ ศษ (Outside ต้งั บรษิ ัทดาเนนิ ธรุ กจิ ท่ีแข่งขันหรือ employment or moonlighting) รับงานจากหนว่ ยงานตน้ สงั กัด การรับรู้ข้อมลู ภายใน (Inside ใชป้ ระโยชน์จากขอ้ มลู ภายในเพื่อ information) ประโยชน์ของตนเอง การใช้สมบัติของหน่วยงานเพ่ือ นาทรัพย์สินของหนว่ ยงานไปใช้ ประโยชนข์ องธุรกิจส่วนตัว ในงานสว่ นตวั (Using your employer’s รฐั มนตรอี นุมตั ิโครงการไปลงในพ้ืนที่ property for private advantage) ตนเอง หรือการใชง้ บสาธารณะ เพ่อื หาเสยี ง การนาโครงการสาธารณะลงในเขต เลอื กต้ังเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ใชอ้ ิทธิพลหรือใช้ อานาจหน้าที่ใหห้ น่วยงานของตนเขา้ (Pork-belling) ทาสญั ญากบั บริษัทพ่นี อ้ งของตน การใช้ตาแหน่งหน้าท่ีแสวงหา เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ใชต้ าแหน่งหน้าท่ีข่มขู่ ประโยชน์แกเ่ ครือญาติหรือพวกพอ้ ง ผใู้ ต้บังคบั บัญชาใหห้ ยดุ ทาการ ตรวจสอบบรษิ ัทของเครือญาติของ (Nepotism) ตน หนา้ 7 การใชอ้ ิทธิพลเขา้ ไปมผี ลต่อการ ตดั สินใจของเจา้ หน้าที่รัฐ หรือ หน่วยงานของรัฐอื่น (influence)

ชดุ หลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศึกษา ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ใบงานที่ ๑ เรือ่ ง ผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ใหน้ กั เรยี นดคู ลปิ วดิ ีโอ \"กาฝาก\" สื่อการเรียนรู้ความแตกต่างระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม และ คลปิ วดี ีโอ \"คณุ ว่าใครชนะ\" สือ่ การเรียนร้คู วามแตกต่างระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมและตอบคาถามต่อไปน้ี ๑. เนอ้ื หาของคลิปวิดีโอเกี่ยวกบั เร่ืองอะไร และสะท้อนความคดิ ของนักเรยี นอย่างไร ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………. . ๒ ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม หมายถึงอะไร ............................................................................................ ............... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………. . ๓ ผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม เป็นอย่างไร และมีความสาคัญตอ่ ประเทศชาตแิ ละ สังคมโลกอยา่ งไร ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………. . หน้า 8

ชดุ หลักสตู รต้านทุจริตศกึ ษา ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 หนว่ ยท่ี ๒ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต หน้า 9

ชุดหลักสตู รต้านทจุ รติ ศกึ ษา ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ใบความรู้ท่ี 3 เรอ่ื ง ความหมาย รูปแบบ สาเหตุ ความหมายของ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต ๑.๑ การทุจริต ปัญหาการทุจริต เป็นปัญหาท่ีสาคัญทั้งของประเทศไทยและประเทศอ่ืน ๆ ทั่วโลก ปัญหาการทุจริต จะทาให้เกิดความเส่ือมในด้านตา่ ง ๆ เกิดข้ึน ท้ังสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนบั วนั ปญั หาดังกล่าว ก็ จะรุนแรงมากข้ึน และมีรูปแบบการทุจริตท่ีซับซ้อน ยากแก่การตรวจสอบมากข้ึน จากเดิมที่กระทาเพียงสองฝ่าย ปัจจุบันการทุจริตจะกระทากันหลายฝ่าย ทั้งผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชน โดย ประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ ๆ คือ ผู้ให้ผลประโยชน์กับผู้รับผลประโยชน์ ซ่ึงท้ังสองฝ่ายน้ีจะมีผลประโยชน์ ร่วมกัน ตราบใดที่ผลประโยชน์สมเหตุสมผลต่อกัน ก็จะนาไปสู่ปัญหาการทุจริตได้ บางคร้ังผู้ท่ีรับผลประโยชน์ ก็ เป็นผู้ให้ประโยชน์ได้เชน่ กัน โดยผู้รับผลประโยชน์และผ้ใู หผ้ ลประโยชน์ คือ ๑. ผู้รับผลประโยชน์ จะเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ซ่ึงมีอานาจหน้าท่ีในการกระทา การดาเนินการต่าง ๆ และรับประโยชนจ์ ะเป็นไปในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดซ้ือจัดจ้าง การเรียกรับประโยชน์โดยตรง การกาหนด ระเบยี บหรือคุณสมบตั ิท่เี ออ้ื ตอ่ ตนเองและพวกพ้อง ๒. ผู้ให้ผลประโยชน์ เช่น ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เงิน สิทธิ พิเศษอ่ืน ๆ เพ่ือจูงใจให้นักการเมือง เจ้าหน้าท่ีของรัฐ กระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดอย่างหน่ึงใน ตาแหน่งหน้าท่ี ซงึ่ การกระทาดงั กลา่ วเป็นการกระทาท่ีฝา่ ฝนื ต่อระเบยี บหรือผดิ กฎหมาย เปน็ ต้น ๑.๑.๑ ทจุ ริต คืออะไร คาว่า ทุจริต มีการให้ความหมายได้มากมาย หลากหลาย ข้ึนอยู่กับว่าจะมีการให้ ความหมายดังกล่าวไว้ว่าอย่างไร โดยที่คาว่าทุจริตนั้น จะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรือการให้ ความหมายโดยกฎหมายซ่ึงไม่ว่าจะเป็นการให้ความหมายจากแหล่งใด เน้ือหาสาคัญของคาว่าทุจริตก็ยังคงมี ความหมายท่ีสอดคล้องกันอยู่ นั่นคือ การทุจริตเป็นสิ่งที่ไม่ดี มีการแสวงหาหรือเอาผลประโยชน์ของส่วนรวม มาเป็นของสว่ นตัว ทั้ง ๆ ท่ีตนเองไม่ได้มีสิทธิในสิ่ง ๆ นั้น การยึดถือ เอามาดังกล่าวจึงถือเป็นสิ่งท่ีผิด ท้ังในแง่ ของกฎหมายและศลี ธรรม ในแงข่ องกฎหมายนั้น ประเทศไทยได้มกี ารกาหนดถึงความหมายของการทุจริตไว้หลัก ๆ ในกฎหมาย ๒ ฉบับ คือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๑) “โดยทุจริต” หมายถึง “เพ่ือแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผอู้ ื่น” พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ มาตรา ๔ “ทุจรติ ตอ่ หน้าท่ี” หมายความวา่ ปฏบิ ตั ิหรือละเวน้ การปฏิบตั อิ ย่างใดในตาแหน่งหรือหนา้ ที่ หรอื ปฏบิ ัติหรือ ละเวน้ การปฏบิ ตั ิอยา่ งใดในพฤติการณ์ทอ่ี าจทาให้ผู้อืน่ เชอ่ื วา่ มตี าแหนง่ หรอื หน้าท่ที ั้งท่ตี นมไิ ดม้ ีตาแหน่งหรือ หนา้ ทน่ี ้ัน หรอื ใชอ้ านาจในตาแหน่งหรอื หนา้ ท่ี ทั้งน้ี เพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสาหรบั ตนเอง หรือผ้อู ่นื หรอื กระทาการอนั เป็นความผดิ ต่อตาแหนง่ หน้าท่ีราชการหรือ ความผิดต่อตาแหน่งหนา้ ท่ใี นการ ยุตธิ รรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอ่นื นอกจากน้ี คาว่าทุจริต ยังได้มีการบัญญัติให้ความหมายเอาไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยระบไุ วว้ า่ ทจุ ริต หมายถงึ “ความประพฤตชิ ัว่ คดโกง ฉอ้ โกง” หนา้ 10

ชดุ หลักสูตรต้านทุจรติ ศกึ ษา ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ในคาภาษาองั กฤษ คาว่าทุจริตจะตรงกับคาว่า Corruption (คอร์รัปชัน) โดยในประเทศไทยมักมีการ กลา่ วถึงคาว่าคอร์รัปชนั มากกว่าการใช้คาว่าทุจรติ โดยการทุจริตน้ีสามารถใช้ได้กับทุกท่ีไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน ราชการ หน่วยงานของเอกชน หากเกิดกรณีการยึดเอา ถือเอาซ่ึงประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ไม่คานึง ถึงว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นของของตนเอง หรือเป็นสิทธิท่ีตนเองควรจะได้มาหรือไม่แล้วน้ัน ก็จะเรียกได้ว่าเป็นการ ทุจรติ เช่น การทุจรติ ในการเบิกจ่ายเงนิ ไมว่ า่ จะเกิดขึ้นในหน่วยงานของรัฐหรือของเอกชน การกระทาเช่นน้ีก็ ถือเปน็ การทุจริต อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากคอร์รัปชันมิได้เกิดเฉพาะในวงราชการเท่านั้น ดังน้ัน ในอีกมุมหนึ่ง คอร์รัปชัน จึงต้องหมายรวมถึงการแสวงหาผลประโยชน์ของภาคธุรกิจเอกชน ในรูปของการให้สินบนหรือสิ่งตอบแทนแก่ นักการเมืองหรือข้าราชการ เพ่ือให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ตนเองอยากได้ในรูปแบบของการประมูล การสัมปทาน เป็นต้น รูปแบบเหล่านี้จะสามารถสร้างกาไรให้แก่ภาคเอกชนเป็นจานวนมากหากภาคเอกชนสามารถเข้ามา ดาเนนิ งานได้ รวมถึงการทีเ่ จ้าหน้าที่ของรฐั มีความตอ้ งการทรัพย์สนิ หรอื ประโยชน์อืน่ นอกเหนือจากสิ่งที่ได้รับ ตามปกติ เมื่อเหตุผลของทัง้ สองฝ่ายสามารถบรรจบหากันได้ การทจุ รติ กเ็ กดิ ขนึ้ ได้ จากนิยามของการทุจริตคอร์รัปชันไม่เพียงแต่จะกินความถึงการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการ เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในภาคเอกชนอีกด้วย ซ่ึงอาจกล่าว ไดว้ ่าการทุจริตคอร์รปั ชันคือ การทุจรติ และ การประพฤตมิ ิชอบของข้าราชการ ดงั น้นั การทจุ รติ คอื การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระทาที่ผิดกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความได้เปรียบ ในการแข่งขัน การใช้อานาจหน้าที่ในทางท่ีผิดเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับสิ่งตอบแทน การให้หรือ การรบั สินบน การกาหนดนโยบายทเี่ อื้อประโยชน์แกต่ นหรือพวกพ้องรวมถึงการทุจริตเชิงนโยบาย ๑.๑.๒ รูปแบบการทุจรติ รปู แบบการทุจรติ ทีเ่ กิดข้นึ สามารถแบง่ ได้ ๓ ลักษณะ คือ แบ่งตามผูท้ ่เี กยี่ วข้อง แบ่งตาม กระบวนการทีใ่ ช้ และแบ่งตามลักษณะรูปธรรม ดังนค้ี ือ ๑) แบ่งตามผู้ท่ีเก่ียวข้อง เป็นรูปแบบการทุจริตในเร่ืองของอานาจและความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ระหว่างผู้ที่ให้การอุปถัมภ์ (ผู้ให้การช่วยเหลือ) กับผู้ถูกอุปถัมภ์ (ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ) โดยในกระบวนการ การทุจริตจะมี ๒ ประเภทคอื (๑) การทุจริตโดยข้าราชการ หมายถึง การกระทาที่มีการใช้หน่วยงานราชการเพ่ือมุ่งแสวงหา ผลประโยชน์จากการปฏิบัติงานของหน่วยงานน้ัน ๆ มากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคมหรือประเทศ โดย ลักษณะของการทจุ ริตโดยข้าราชการสามารถแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภทย่อย ดังน้ี ก) การคอร์รัปชันตามน้า (corruption without theft) จะปรากฏขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องการสนิ บนโดยให้มีการจ่ายตามช่องทางปกติของทางราชการ แต่ให้เพ่ิมสินบนรวมเข้าไว้กับการจ่ายค่าบริการ ของหน่วยงานนั้น ๆ โดยที่เงินค่าบริการปกติที่หน่วยงานน้ันจะต้องได้รับก็ยังคงได้รับต่อไป เช่น การจ่ายเงิน พเิ ศษใหแ้ กเ่ จ้าหน้าทใ่ี นการออกเอกสารต่าง ๆ นอกเหนือจากคา่ ธรรมเนียมปกตทิ ต่ี อ้ งจ่ายอยแู่ ลว้ เปน็ ต้น ข) การคอร์รัปชันทวนน้า (corruption with theft) เป็นการคอร์รัปชันในลักษณะที่เจ้าหน้าที่ ของรฐั จะเรยี กรอ้ งเงินจากผขู้ อรบั บรกิ ารโดยตรง โดยที่หนว่ ยงานน้ันไม่ได้มีการเรียกเก็บเงินค่าบริการแต่อย่าง ใด เชน่ ในการออกเอกสารของหน่วยงานราชการไม่ได้มีการกาหนดให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดาเนินการ แต่ กรณนี มี้ กี ารเรยี กเก็บคา่ ใชจ้ า่ ยจากผู้ทมี่ าใชบ้ ริการของหนว่ ยงานของรัฐ หนา้ 11

ชุดหลกั สูตรตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 (๒) การทุจริตโดยนกั การเมือง (political corruption) เป็นการใชห้ น่วยงานของทางราชการ โดยบรรดานักการเมืองเพ่ือมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในทางการเงินมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคมหรื อ ประเทศเช่นเดยี วกัน โดยรปู แบบหรือวิธีการทัว่ ไปจะมลี ักษณะเช่นเดยี วกบั การทุจริตโดยข้าราชการ แต่จะเป็น ในระดับที่สูงกว่า เช่น การทุจริตในการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีการเรียกรับ หรือยอมจะรับ ทรพั ยส์ ินหรือประโยชนต์ า่ ง ๆ จากภาคเอกชน เป็นตน้ ๒) แบ่งตามกระบวนการท่ีใช้ มี ๒ ประเภท คือ (๑) เกิดจากการใช้อานาจในการกาหนด กฎ กติกา พ้นื ฐาน เชน่ การออกกฎหมาย และกฎระเบยี บต่าง ๆ เพื่ออานวยประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจของตนหรือพวกพ้อง และ (๒) เกิดจากการใช้อานาจหน้าที่เพ่ือแสวงหาผลประโยชน์จากกฎ และระเบียบท่ีดารงอยู่ ซ่ึงมักเกิดจาก ความไม่ชัดเจนของกฎและระเบียบเหล่านั้นท่ีทาให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ความคิดเห็นของตนได้ และการใช้ ความคดิ เหน็ นั้นอาจไม่ถูกตอ้ งหากมีการใช้ไปในทางที่ผดิ หรือไม่ยุติธรรมได้ ๓) แบ่งตามลักษณะรปู ธรรม มที ั้งหมด ๔ รปู แบบคือ (๑) คอร์รัปชันจากการจัดซ้ือจัดหา (Procurement Corruption) เช่น การจัดซ้ือส่ิงของใน หน่วยงาน โดยมีการคิดราคาเพ่มิ หรือลดคณุ สมบตั แิ ต่กาหนดราคาซ้ือไว้เท่าเดิม (๒) คอร์รัปชันจากการให้สัมปทานและสิทธิพิเศษ (Concessionaire Corruption) เช่น การ ให้เอกชนรายใดรายหน่ึงเข้ามามีสทิ ธิในการจดั ทาสัมปทานเป็นกรณีพิเศษต่างกับเอกชนรายอื่น (๓) คอรร์ ัปชนั จากการขายสาธารณสมบตั ิ (Privatization Corruption) เช่น การขายกิจการ ของรฐั วิสาหกจิ หรือการยกเอาทดี่ นิ ทรพั ย์สินไปเป็นสทิ ธกิ ารครอบครองของต่างชาติ เป็นตน้ (๔) คอร์รัปชันจากการกากับดูแล (Regulatory Corruption) เช่น การกากับดูแลในหน่วยงาน แลว้ ทาการทุจรติ ต่าง ๆ เปน็ ต้น นักวิชาการที่ได้ศึกษาเก่ียวกับปัญหาการทุจริต ได้มีการกาหนดหรือแบ่งประเภทของการทุจริตเป็น รูปแบบต่าง ๆ ไว้ เช่น การวิจัยของรองศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ และคณะ ได้แบ่งการทุจริต คอร์รัปชันออกเป็น ๓ รูปแบบ ได้แก่ ๑) การใช้อานาจในการอนุญาตให้ละเว้นจากการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ของรัฐเพื่อลดต้นทุนการทาธุรกิจ ๒) การใช้อานาจในการจัดสรรผลประโยชน์ในรูปของส่ิงของ และบริการ หรือสิทธิให้แก่เอกชน และ ๓) การใช้อานาจในการสร้างอุปสรรคในการให้บริการแก่ภาคประชาชนและภาค ธุรกจิ เนอื่ งจากเงนิ เดือนและผลตอบแทนในระบบราชการต่าเกินไปจนขาดแรงจูงใจในการทางาน นอกจากนี้ จากผลการสอบสวนและศึกษาเรื่องการทุจริต ของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาสอบสวน และศึกษาเร่ืองเก่ียวกับการทุจริตของวุฒิสภา (วิชา มหาคุณ) มีการแบ่งรูปแบบการทุจริตคอร์รัปช่ันออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) การทุจริตเชิงนโยบาย เป็นรูปแบบใหม่ของการทุจริตที่แยบยล โดยอาศัยรูปแบบของกฎหมาย หรอื มตขิ องคณะรฐั มนตรี หรอื มติของคณะกรรมการเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ ทาให้ประชาชน สว่ นใหญ่เขา้ ใจผดิ วา่ เป็นการกระทาที่ถูกตอ้ งชอบธรรม ๒) การทุจริตตอ่ ตาแหนง่ หนา้ ที่ราชการ เป็นการใช้อานาจและหน้าท่ีในความรับผิดชอบของตนในฐานะของเจ้าหน้าท่ีของรัฐเอื้อประโยชน์ ให้แก่ตนเองหรือบุคคลใดบุคคลหน่ึงหรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ปัจจุบันมักเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง นกั การเมือง พอ่ ค้าและข้าราชการประจา ๓) การทุจรติ ในการจัดซ้อื จดั จ้าง หนา้ 12

ชุดหลกั สูตรตา้ นทจุ ริตศกึ ษา ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 การทุจริตประเภทนี้จะพบได้ท้ังรูปแบบของการสมยอมราคา ต้ังแต่ขั้นตอนการออกแบบ กาหนด รายละเอียดหรือสเป็กงาน กาหนดเง่ือนไข คานวณราคากลาง ออกประกาศประกวดราคา การขายแบบ การรบั และเปดิ ซอง การประกาศผล การอนุมัติ การทาสัญญาทุกข้ันตอนของกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้าง ล้วน มีช่องโหว่ให้มีการทุจริตกันได้อย่างง่าย ๆ นอกจากน้ี ยังมีการทุจริตท่ีมาเหนือเมฆ คือ การอาศัยความเป็น หนว่ ยงานราชการด้วยกัน จึงได้รับการยกเว้นและการไม่ถูกเพ่งเล็ง แต่ความจริง ผลประโยชน์จากการรับงาน และเงนิ ทไ่ี ดจ้ ากการรับงานไมไ่ ดน้ าส่งกระทรวงการคลงั ๔) การทจุ ริตในการใหส้ มั ปทาน เปน็ การแสวงหาหรือเอ้ือประโยชน์โดยมิชอบจากโครงการหรือกิจการของรัฐ ซ่ึงรัฐได้อนุญาตหรือมอบ ให้เอกชนดาเนินการแทนให้ลักษณะสัมปทานผูกขาดในกิจการใดกิจการหนึ่ง เช่น การทาสัญญาสัมปทาน โรงงานสุรา การทาสญั ญาสัมปทานโทรคมนาคม เป็นตน้ ๕) การทจุ ริตโดยการทาลายระบบตรวจสอบการใชอ้ านาจรัฐ เป็นการพยายามดาเนนิ การให้ไดบ้ ุคคลซ่งึ มีสายสัมพันธ์กับผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองในอันท่ีจะเข้า ไปดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระตามรฐั ธรรมนูญซง่ึ มีอานาจหน้าทใ่ี นการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ ๑.๑.๓ สาเหตุทที่ าใหเ้ กิดการทุจริต จากการศกึ ษาวจิ ัยโครงการประเมนิ สถานการณ์ด้านการทุจริตในประเทศไทยของ รศ.ดร. เสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ได้ระบุ เง่ือนไข/สาเหตุท่ีทาให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันอาจมาจากสาเหตุภายในหรือสาเหตุ ภายนอก ดงั นี้ (๑) ปจั จัยสว่ นบคุ คล ได้แก่ พฤติกรรมส่วนตัวของข้าราชการบางคนท่ีเป็นคนโลภมาก เห็นแก่ได้ ไม่ รู้จักพอ ความเคยชินของข้าราชการที่คุ้นเคยกับการท่ีจะได้ “ค่าน้าร้อนน้าชา” หรือ “เงินใต้โต๊ะ” จากผู้มา ติดตอ่ ราชการ ขาดจติ สานกึ เพ่อื สว่ นรวม (๒) ปัจจยั ภายนอก ประกอบดว้ ย ๑) ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ รายได้ของข้าราชการน้อยหรือต่ามากไม่ได้สัดส่วนกับการครองชีพ ที่สูงขึ้น การเติบโตของระบบทุนนิยมท่ีเน้นการบริโภค สร้างนิสัยการอยากได้ อยากมี เม่ือรายได้ไม่เพียงพอก็ ต้องหาทางใชอ้ านาจไปทจุ รติ ๒) ด้านสังคม ได้แก่ ค่านิยมของสังคมท่ียกย่องคนมีเงิน คนร่ารวย และไม่สนใจว่าเงินนั้น ได้มาอย่างไร เกดิ ลัทธิเอาอยา่ ง อยากไดส้ ่ิงที่คนรวยมี เมอื่ เงินเดอื นของตนไม่เพยี งพอ ก็หาโดยวธิ มี ชิ อบ ๓) ด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การนิยมจ่ายเงินของนักธุรกิจให้กับข้าราชการที่ต้องการความ สะดวกรวดเร็ว หรือการบรกิ ารทีด่ ีกวา่ ด้วยการลดตน้ ทนุ ทีจ่ ะตอ้ งปฏบิ ัติตามระเบยี บ ๔) ด้านการเมือง ได้แก่ การทจุ รติ ของข้าราชการแยกไม่ออกจากนักการเมือง การร่วมมือของ คนสองกลุ่มนเ้ี กิดขน้ึ ได้ในประเดน็ การใช้จา่ ยเงนิ การหารายได้และการตดั สนิ พจิ ารณาโครงการของรัฐ ๕) ด้านระบบราชการ ได้แก่ - ความบกพร่องในการบริหารงานเปิดโอกาสใหเ้ กดิ การทจุ ริต - การใช้ดลุ พนิ จิ มากและการผูกขาดอานาจจะทาให้อตั ราการทจุ รติ ในหน่วยงานสงู - การที่ขั้นตอนของระเบียบราชการมีมากเกินไป ทาให้ผู้ที่ไปติดต่อต้องเสียเวลามาก จึง เกิดการสมยอมกันระหว่างผูใ้ หก้ บั ผรู้ ับ - การตกอยู่ใต้ภาวะแวดล้อมและอิทธิพลของผู้ทุจริตมีทางเป็นไปได้ที่ผู้น้ันจะทาการทุจริต ดว้ ย หน้า 13

ชดุ หลกั สูตรตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 - การรวมอานาจ ระบบราชการมีลักษณะที่รวมศูนย์ ทาให้ไม่มีระบบตรวจสอบท่ีเป็นจริง และมีประสทิ ธิภาพ - ตาแหน่งหน้าท่ใี นลักษณะอานวยต่อการกระทาผิด เช่น อานาจในการอนุญาต การอนุมัติ จดั ซอื้ จดั จ้าง ผปู้ ระกอบการเอกชนมักจะยอมเสียเงินติดสนิ บนเจา้ หน้าทีเ่ พอ่ื ให้เกดิ ความสะดวกและรวดเร็ว - การทขี่ า้ ราชการผู้ใหญ่ทจุ รติ ใหเ้ ห็นเป็นตัวอย่างแล้วไม่ถูกลงโทษข้าราชการชนั้ ผนู้ อ้ ย จงึ เลียนแบบกลายเปน็ ความเคยชนิ และมองไมเ่ หน็ วา่ การกระทาเหล่านน้ั จะเปน็ การคอร์รัปชนั หรอื มคี วาม สบั สนระหวา่ งสินนา้ ใจกบั คอรร์ ปั ชนั แยกออกจากกนั ๖) กฎหมายและระเบยี บ ได้แก่ - กฎหมายหลายฉบบั ทใ่ี ชอ้ ยู่ยังมี “ชอ่ งโหว่” ทที่ าให้เกดิ การทจุ ริตท่ีดารงอยไู่ ด้ - การทุจริตไม่ได้เป็นอาชญากรรมให้คู่กรณีท้ังสองฝ่าย หาพยานหลักฐานได้ยาก ยิ่งกว่านั้น คู่กรณีท้ังสองฝ่ายมักไม่ค่อยมีฝ่ายใดยอมเปิดเผยออกมา และถ้าหากมีฝ่ายใดต้องการท่ีจะเปิดเผย ความจริงในเรื่องนี้ กฎหมายหม่ินประมาทก็ยับย้ังเอาไว้ อีกท้ังกฎหมายของทุกประเทศเอาผิดกับบุคคลผู้ให้ สนิ บนเท่า ๆ กบั ผู้รับสนิ บน จงึ ไม่ค่อยมีผู้ให้สนิ บนรายใดกล้าดาเนินคดกี บั ผู้รับสินบน - ราษฎรท่ีรู้เห็นการทุจริตก็เป็นโจทย์ฟ้องร้องมิได้เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย ย่ิงกว่าน้ัน กระบวนการพจิ ารณาพิพากษายังยุ่งยากซับซ้อนจนกลายเปน็ ผลดีแก่ผ้ทู จุ รติ - ขั้นตอนทางกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติยุ่งยาก ซับซ้อน มีข้ันตอนมาก ทาให้เกิด ช่องทางใหข้ า้ ราชการหาประโยชน์ได้ ๗) การตรวจสอบ ไดแ้ ก่ - ภาคประชาชนขาดความเข้มแขง็ ทาใหก้ ระบวนการตอ่ ต้านการทจุ ริตจากฝ่ายประชาชน ไม่เข้มแข็งเทา่ ท่ีควร - การขาดการควบคุมตรวจสอบ ของหน่วยงานท่มี ีหนา้ ทีต่ รวจสอบหรือกากบั ดูแลอยา่ ง จรงิ จงั ๘) สาเหตุอื่น ๆ - อทิ ธิพลของภรรยาหรอื ผู้หญงิ เนื่องจากเป็นผใู้ กลช้ ิดสามอี นั เป็นตัวการสาคัญท่ี สนบั สนุนและส่งเสรมิ ใหส้ ามีของตนทาการทจุ ริตเพ่ือความเปน็ อยูข่ องครอบครัว - การพนนั ทาให้ข้าราชการท่เี สียพนนั มีแนวโน้มจะทุจรติ มากข้ึน ๑.๒ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ การสร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต เป็นการปรับเปล่ียนสภาพสังคมให้เกิดภาวะ “ที่ไม่ทนต่อ การ ทุจริต” โดยเริ่มต้ังแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกช่วงวัย เพ่ือสร้างวัฒนธรรมต่อต้าน การทุจริต และปลูกฝังความพอเพียง มีวินัย ซ่ือสัตย์สุจริต ความเป็นพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ ผ่านทางสถาบันหรือกลุ่ม ตัวแทนท่ีทาหน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม เพ่ือให้เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ เกิดพฤติกรรม ที่ละอายต่อการ กระทาความผิด การไม่ยอมรบั และต่อต้านการทจุ ริตทกุ รปู แบบ ๑.๒.๑ ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริตคืออะไร คาวา่ “ความละอาย” และ “ความไม่ทน” ได้มีการให้ความหมายไว้ ดงั นี้ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่าละอาย หมายถึง การรู้สึกอายท่ีจะทาในส่ิงท่ี ไม่ถูก ไม่ควร เช่น ละอายท่ีจะทาผิด ละอายใจ หนา้ 14

ชดุ หลักสูตรตา้ นทจุ รติ ศึกษา ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ความละอาย เปน็ ความละอายและความเกรงกลวั ตอ่ ส่งิ ท่ีไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึงโทษ หรอื ผลกระทบที่จะได้รบั จากการกระทานนั้ จึงไม่กลา้ ท่ีจะกระทา ทาให้ตนเองไม่หลงทาในส่ิงท่ีผิด น่ันคือ มี ความละอายใจ ละอายตอ่ การทาผดิ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่า ทน หมายถึง การอดกลั้นได้ ทนอยู่ได้ เช่น ทนด่า ทนทกุ ข์ ทนหนาว ไมแ่ ตกหักหรอื บุบสลายงา่ ย ความอดทน คือ การรู้จักรอคอยและคาดหวัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความม่ันคง แน่วแน่ต่อสิ่งท่ี รอ คอย หรือส่ิงท่จี งู ใจให้กระทาในสง่ิ ท่ีไม่ดี ไมท่ น หมายถึง ไมอ่ ดกลั้น ไม่อดทน ไม่ยอม ดังนั้น ความไม่ทน หมายถึง การแสดงออกต่อการกระทาท่ีเกิดขึ้นกับตนเอง บุคคลที่เกี่ยวข้องหรือ สังคม ในลักษณะที่ไม่ยินยอม ไม่ยอมรับในสิ่งท่ีเกิดข้ึน ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะ ท้ังใน รปู แบบของกรยิ าท่าทางหรือคาพูด ความไม่ทนต่อการทุจริตหรือการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง ต้องมีการแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่น การแซงคิวเพื่อซื้อของ การแซงคิวเป็นการกระทาที่ไม่ถูกต้อง ผู้ถูกแซงคิวจึงต้องแสดงออกให้ผู้ ท่ีแซงคิว รับรู้ว่าตนเองไม่พอใจ โดยแสดงกิริยาหรือบอกกล่าวให้ทราบ เพื่อให้ผู้ที่แซงคิวยอมท่ีจะต่อท้ายแถว กรณีนี้ แสดงให้เหน็ วา่ ผู้ท่ถี กู แซงคิว ไมท่ นต่อการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง และหากผู้ท่ีแซงคิวไปต่อแถวก็จะแสดงให้เห็นว่า บคุ คลน้ันมีความละอายตอ่ การกระทาที่ไมถ่ ูกต้อง เปน็ ต้น ความไม่ทนต่อการทุจริต บุคคลจะมีความไม่ทนต่อการทุจริตมาก – น้อย เพียงใด ข้ึนอยู่กับจิตสานึก ของแต่ละบุคคลและผลกระทบท่ีเกิดข้ึนจากการกระทานั้น ๆ แล้วมีพฤติกรรมที่แสดงออกมา ซ่ึงการแสดง กริยาหรือการกระทาจะมีหลายระดับ เช่น การว่ากล่าวตักเตือน การประกาศให้สาธารณชนรับรู้ การแจ้ง เบาะแส การรอ้ งทุกข์กล่าวโทษ การชุมนุมประท้วงซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายท่ีรุนแรงที่สุด เนื่องจากมีการรวมตัว ของคนจานวนมาก และสรา้ งความเสียหายอย่างมากเชน่ กนั ความไมท่ นของบคุ คลตอ่ สงิ่ ตา่ ง ๆ รอบตัวที่ส่งผลในทางไม่ดีต่อตนเองโดยตรง สามารถพบเห็นได้ง่าย ซ่ึงปกติแล้วทุกคนมักจะไม่ทนต่อสภาวะแวดล้อมท่ีไม่ดีและส่งผลกระทบต่อตนเองแล้ว มักจะแสดงปฏิกิริยา ออกมา แต่การที่บุคคลจะไม่ทนต่อการทุจริตและแสดงปฏิกิริยาออกมาน้ันอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากปัจจุบัน สังคมไทยมีแนวโน้มยอมรับการทุจริต เพ่ือให้ตนเองได้รับประโยชน์หรือให้งานสามารถดาเนินต่อไปสู่ ความสาเร็จ ซ่ึงการยอมรับการทุจริตในสังคมไม่เว้นแม้แต่เด็กและเยาวชน และมองว่าการทุจริตเป็นเรื่องไกล ตัวและไม่มผี ลกระทบกับตนเองโดยตรง ๑.๒.๒ ลักษณะของความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริต ลักษณะของความละอายสามารถแบ่งได้ ๒ ระดับ คือ ความละอายระดับต้น หมายถึง ความละอาย ไม่กล้าท่ีจะทาในส่ิงที่ผิด เน่ืองจากกลัวว่าเม่ือตนเองได้ทาลงไปแล้วจะมีคนรับรู้ หากถูกจับได้จะได้รับ การ ลงโทษ หรือได้รับความเดือดร้อนจากส่ิงที่ตนเองได้ทาลงไป จึงไม่กล้าท่ีจะกระทาผิด และในระดับท่ีสองเป็น ระดับท่ีสูง คือ แม้ว่าจะไม่มีใครรับรู้หรือเห็นในส่ิงที่ตนเองได้ทาลงไป ก็ไม่กล้าท่ีจะทาผิด เพราะนอกจาก ตนเองจะได้รับผลกระทบแล้ว ครอบครัว สังคมก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ท้ังชื่อเสียงของตนเองและ ครอบครัวก็จะเส่ือมเสีย บางครั้งการทุจริตบางเรื่องเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การลอกข้อสอบ อาจจะไม่มีใครใส่ใจ หรอื สงั เกตเห็น แตห่ ากเปน็ ความละอายขัน้ สงู แลว้ บคุ คลนั้นกจ็ ะไมก่ ล้าทา สาหรับความไมท่ นต่อการทุจริต จากความหมายทไี่ ด้กล่าวมาแลว้ คอื เปน็ การแสดงออกอย่างใดอย่าง หน่ึงเกิดขึ้น เพื่อให้รับรู้ว่าจะไม่ทนต่อบุคคลหรือการกระทาใด ๆ ท่ีทาให้เกิดการทุจริต ความไม่ทน ต่อการ หนา้ 15

ชดุ หลกั สตู รต้านทุจรติ ศกึ ษา ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ทุจริตสามารถแบ่งระดับต่าง ๆ ได้มากกว่าความละอาย ใช้เกณฑ์ความรุนแรงในการแบ่งแยก เช่น หากเพื่อน ลอกขอ้ สอบเรา และเราเห็นซง่ึ เราจะไมย่ นิ ยอมให้เพอื่ นทจุ รติ ในการลอกข้อสอบ เราก็ใช้มือหรือกระดาษมาบัง ส่วนท่ีเป็นคาตอบไว้ เช่นน้ีก็เป็นการแสดงออกถึงการไม่ทนต่อการทุจริต นอกจาก การแสดงออกด้วยวิธี ดังกล่าวที่ถือเป็นการแสดงออกทางกายแล้ว การว่ากล่าวตักเตือนต่อบุคคลที่ทุจริต การประณาม การประจาน การชุมนุมประท้วงถือว่าเป็นการแสดงออกซึ่งการไม่ทนต่อการทุจริตทั้งสิ้น แต่จะแตกต่างกันไปตามระดับของ การทุจริต ความตื่นตัวของประชาชน และผลกระทบท่ีเกิดข้ึนจากการทุจริต โดยท้ายบทนี้ได้ยกตัวอย่าง กรณีศึกษาที่มสี าเหตมุ าจากการทจุ รติ ทาให้ประชาชนไมพ่ อใจและรวมตัวตอ่ ตา้ น ความจาเป็นของการท่ีไม่ทนต่อการทุจริตถือเป็นสิ่งสาคัญ เพราะการทุจริตไม่ว่าระดับเล็กหรือใหญ่ ย่อมกอ่ ให้เกดิ ความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติ ดังเช่นตัวอย่างคดีรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร ผลของการทุจริตสร้างความเสียหายไว้อย่างมาก รถและเรือดับเพลิงก็ไม่สามารถนามาใช้ได้ รัฐต้องสูญเสีย งบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ และประชาชนเองก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน หากเกิดเพลิงไหม้พร้อม กันหลายแห่ง รถ เรือและอุปกรณ์ดับเพลิงจะมีไม่เพียงพอท่ีจะดับไฟได้ทันเวลา เพียงแค่คิดจากมูลค่าความ เสียหายท่ีรัฐสูญเสียงบประมาณไป ยังไม่ได้คิดถึงความเสียหายที่เกิดจากความเดือดร้อนหากเกิดเพลงไม้แล้ว ถือเป็นความเสียหายท่ีสูงมาก ดังนั้น หากยังมีการปล่อยให้มีการทุจริต ยินยอมให้มีการทุจริตโดยเห็นว่าเป็น เร่ืองของคนอ่ืน เป็นเร่ืองของเจ้าหน้าท่ีรัฐ ไม่เก่ียวข้องกับตนเองแล้ว สุดท้ายความสูญเสียท่ีจะได้รับตนเองก็ ยังคงท่จี ะไดร้ ับผลน้ันอยู่ แม้ไม่ใช่ทางตรงก็เปน็ ทางออ้ ม ดังนนั้ การท่ีบุคคลจะเกิดความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริตได้ จาเป็นอยา่ งยง่ิ ท่ีจะต้องสร้างให้ เกดิ ความตระหนักและรบั รถู้ งึ ผลกระทบท่ีเกดิ ข้ึนจากการทุจริตในทกุ รูปแบบ ทุกระดับ ซึ่งหากสังคมเป็นสังคม ทมี่ ีความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ ริตแลว้ จะทาใหเ้ กดิ สงั คมท่ีนา่ อยู่ และมีการพัฒนาในทุก ๆ ดา้ น สแกน QR Code ศึกษาเพ่ิมเติม ด้วยนะคะ สอ่ื การเรยี นรู้ / แหลง่ การเรยี นรู้ ๑) คลปิ วิดีโอ เรือ่ ง Say no corruption Say, no to compromise ซง่ึ เปน็ การวาดภาพเพื่อสอ่ื ถึงการทจุ ริตใน รูปแบบต่าง ๆ (๓.๒๑ นาที) หนา้ 16

ชดุ หลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ใบงานที่ 3 ระดมพลงั ความคดิ ประเด็น “การแสดงออกซ่ึงความไม่ทนต่อการทุจรติ ในการสอบ” สถานการณท์ ี่ ๑ นกั เรียนจะทาอย่างไร เม่ือร้มู าว่าเพ่ือนในหอ้ งส่วนใหญ่วางแผนจะทุจรติ ในการสอบและ ได้ชวนใหน้ กั เรยี นเข้ารว่ มกระบวนการทุจริตด้วย ระดมความคดิ กลั่นกรองความคดิ สรปุ ความคิด ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ..................................................... ...................................................... หนา้ 17

ชุดหลักสูตรต้านทจุ รติ ศกึ ษา ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ใบความร้ทู ี่ 4 เร่อื ง การลงโทษทางสังคม การลงโทษทางสังคม (Social Sanctions) คาว่า “การลงโทษโดยสังคม” หรือเรียกว่า “การลงโทษทางสังคม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคาว่า “Social Sanctions” พจนานกุ รมศัพท์สังคมวิทยาฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๓๒: ๓๖๑-๓๖๒) ได้ให้ความหมายของ คา ว่า “Social Sanctions” เปน็ ภาษาไทยว่า สิทธานุมัติทางสังคมหมายถึง การขู่ว่าจะลงโทษหรือการสัญญาว่า จะให้รางวัลตามท่ีกลุ่มกาหนดไว้สาหรับการประพฤติปฏิบัติของสมาชิก เพ่ือชักนาให้สมาชิกกระทาตาม ข้อบังคับและกฎเกณฑ์ Radcliffe-Brown (๑๙๕๒: ๒๐๕) อธิบายการลงโทษโดยสังคมว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางสังคม อย่างหนง่ึ และเป็นการแสดงออกถงึ พฤติกรรมท่ีเป็นด้านตรงกันข้ามระหว่างการเห็นชอบกับการไม่เห็นชอบพูด อีกอย่างหน่ึงก็คือ การลงโทษโดยสังคมนั้นมีคุณลักษณะวิภาษ (Dialectic) คือ มีท้ังด้านบวกและด้านลบอยู่ ภายในความหมายของตัวเอง สาหรับการลงโทษโดยสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยู่ในรูป ของการให้การสนับสนุนหรือการสร้างแรงจูงใจฯลฯ ให้แก่ปัจเจกบุคคลและสังคมให้ประพฤติปฏิบัติให้สอดคล้อง กับปทัสถานของชมุ ชนหรือของสงั คม จากการศึกษายังพบด้วยว่าการลงโทษโดยสังคมเชิงบวกน้ันอาจเป็นการ สร้างแรงจูงใจให้แก่สังคม เพื่อยกระดับปทัสถานของสังคมในระดับท้องถ่ินให้ไปสอดคล้องกับปทัสถานใหม่ใน ระดับระหว่างประเทศ Whitmeyer (๒๐๐๒: ๖๓๐-๖๓๒) กล่าวว่า การลงโทษโดยสังคม มีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เป็นการ ทางานตามกลไกของสังคม การลงโทษโดยสังคมเป็นมาตรการควบคุมทางสังคมท่ีต้องการให้สมาชิกในสังคม ประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับร่วมกัน เมื่อสมาชิกปฏิบัติตามก็จะมีการให้รางวัล เป็นแรงจูงใจ และลงโทษเม่ือสมาชิกไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมและจะแสดงการไม่ยอมรับสมาชิกคน หนงึ่ หรอื กล่มุ คนกลุ่มหนงึ่ โดยสรุปแล้ว การลงโทษโดยสังคม (Social Sanctions) หมายถึง ปฏิกิริยาปฏิบัติทางสังคม เป็น มาตรการควบคุมทางสังคมที่ต้องการให้สมาชิกในสังคมประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ ท่ีสังคม กาหนด โดยมีทั้งด้านลบและด้านบวก การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanctions) เป็นการลงโทษ โดยการกดดันและแสดงปฏิกิริยาต่อต้านพฤติกรรมของบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม ทาให้บุคคล น้ันเกิดความอับอายขายหน้า สาหรับการลงโทษโดยสังคมเชิงบวกหรือการกระตุ้นสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) เป็นการแสดงออกในเชิงสนับสนุนหรือให้รางวัลเป็นแรงจูงใจเพ่ือให้บุคคลในสังคมประพฤติ ปฏบิ ัติตามกฎเกณฑข์ องสงั คม การลงโทษทางสังคม เปน็ การลงโทษกับบุคลท่ีปฏิบัติตนฝ่าฝืนกับธรรมเนียม ประเพณี หรือแบบแผน ท่ปี ฏบิ ัติตอ่ ๆ กนั มาในชุมชน มกั ใชใ้ นลักษณะการลงโทษทางสังคมเชิงลบมากกว่าเชิงบวก การฝ่าฝืนดังกล่าว อาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ด้วยธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาน้ันถูกละเมิด ถูกฝ่าฝืน หรือถูกดูหมิ่นเก่ียวกับ ความเช่ือของชุมชน ก็จะนาไปสู่การต่อต้านจากคนในชุมชน แม้ว่าการฝ่าฝืนดังกล่าวจะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม และทีส่ าคัญไปกวา่ น้นั หากการกระทาดังกล่าวผดิ กฎหมายด้วยแล้ว อาจสร้างให้เกิดความไม่พอใจข้ึนได้ ไม่เพียงแต่ หน้า 18

ชุดหลกั สตู รต้านทุจรติ ศึกษา ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ในชมุ ชนนนั้ แตอ่ าจเก่ยี วเน่ืองไปกบั ชุมชนอน่ื รอบข้าง หรอื เปน็ ชุมชนท่ีใหญ่ท่ีสุด น่ันคือ ประชาชนทั้งประเทศ ซ่ึงการลงโทษทางสังคมมที ง้ั ด้านบวกและด้านลบ ดังน้ี การลงโทษโดยสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยู่ในรูปของการให้การสนับสนุนหรือ การสร้างแรงจูงใจ หรือการให้รางวัล ฯลฯ แก่บุคคลและสังคม เพ่ือให้ประพฤติปฏิบัติสอดคล้องกับปทัสถาน (Norm) ของสังคมในระดับชุมชนหรือในระดบั สังคม การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanctions) จะอยู่ในรูปแบบของการใช้มาตรการต่าง ๆ ในการจัดระเบียบสังคม เชน่ การวา่ กลา่ วตกั เตือน ซึ่งเปน็ มาตรการขน้ั ต่าสุดเรื่อยไปจนถึงการกดดันและบีบคั้น ทางจิตใจ (Moral Coercion) การต่อต้าน (Resistance) และการประท้วง (Protest) ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่า จะโดยปัจเจกบคุ คลหรือการชุมนุมของมวลชน การลงโทษทางสงั คมทางลบ จะสร้างใหเ้ กิดการลงโทษต่อบคุ คลท่ีถกู กระทา การลงโทษประเภทน้ีเป็น ลงโทษเพอ่ื ให้หยุดกระทาในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และบุคคลที่ถูกลงโทษจะเกิดการเข็ดหลาบ ไม่กล้าที่จะทาในส่ิงน้ันอีก การลงโทษประเภทนม้ี คี วามรุนแรงแตกตา่ งกัน ต้งั แต่ การว่ากลา่ วตกั เตอื น การนนิ ทา การประจาน การชุมนุม ขับไล่ ซ่ึงเป็นการแสดงออกถึงการไม่ทน ไม่ยอมรับต่อส่ิงที่บุคคลอ่ืนได้กระทาไป ดังนั้น เม่ือมีใครท่ีทาพฤติกรรม เหลา่ นั้นขนึ้ จึงเปน็ การสรา้ งใหเ้ กดิ ความไมพ่ อใจแกบ่ ุคคลรอบขา้ ง หรือสังคม จนนาไปส่กู ารตอ่ ต้านดงั กลา่ ว การลงโทษทางสังคมจะมีความรุนแรงมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการกระทาของบุคคลน้ันว่าร้ายแรง ขนาดไหน หากเป็นเรื่องเลก็ นอ้ ยจะถกู ต่อตา้ นน้อย แตห่ ากเร่อื งน้นั เปน็ เร่ืองร้ายแรง เรื่องที่เกิดข้ึนประจา หรือ มีผลกระทบต่อสังคม การลงโทษก็จะมีความรุนแรงมากข้ึนด้วย เช่น หากมีการทุจริตเกิดขึ้นก็อาจนาไปเป็น ประเด็นทางสังคมจนนาไปสู่การต่อต้านจากสังคมได้ เพราะการทุจริตถือว่าเป็นส่ิงที่ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย และผิดต่อศีลธรรม บ่อยครั้งท่ีมีการทุจริตเกิดขึ้นจนเป็นสาเหตุของการชุมนุมประท้วง เพ่ือกดดัน ขับไล่ให้ บุคคลนั้นหยุดการกระทาดังกล่าว หรือการออกจากตาแหน่งน้ัน ๆ หรือการนาไปสู่การตรวจสอบและลงโทษ โดยกฎหมาย โดยในหวั ข้อสุดท้ายของชดุ วิชาน้ี ไดน้ าเสนอตัวอย่างท่ีได้แสดงออกถึงความไม่ทนต่อการทุจริตท่ี มีการชุมนุมประท้วง บางเหตุการณ์ผู้ท่ีถูกกล่าวหาได้ลาออกจากตาแหน่ง ซ่ึงการลาออกจากตาแหน่งนั้นถือ เปน็ ความรับผิดชอบอย่างหนึ่งและเป็นการแสดงออกถึงความละอายในส่งิ ท่ตี นเองไดก้ ระทา ส่อื การเรยี นรู้ / แหลง่ การเรียนรู้ ๑) คลปิ วดิ โี อ เรอ่ื ง “รายงานขา่ ว กกต.ใชย้ าแรงแก้ทจุ ริต การเลือกตั้ง” (https://www.youtube.com/watch?v=LD8iF2kkofc) สแกน QR Code ศึกษาเพ่ิมเตมิ ดว้ ยนะคะ หน้า 19

ชุดหลกั สูตรต้านทุจรติ ศกึ ษา ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ใบงานท่ี 4 เรือ่ ง การลงโทษทางสงั คม นักเรยี นศกึ ษาใบความรู้เรื่อง “การลงโทษทางสงั คม”และดคู ลิปวิดีโอ เรื่องโทษทุจริตการ เลอื กตั้ง แลว้ ตอบคาถามดงั น้ี ๑. การลงโทษทางสงั คม คืออะไร ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………. ๒. การลงโทษทางสังคมมกี ่ีดา้ น อะไรบ้าง และอธิบายพอสังเขป ........................................................................................................... ................................................................................................ ........... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………. . ๓. จากคลิปวดิ โี อนกั เรยี นคิดว่าการทจุ ริตการเลือกตั้งทางการเมืองสง่ ผลต่อนักเรยี น ประเทศ และ โลกอย่างไรบา้ ง ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ........................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………. . หนา้ 20

ชดุ หลักสตู รต้านทจุ ริตศกึ ษา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 หน่วยท่ี ๓ STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจริต หน้า 21

ชดุ หลกั สูตรตา้ นทุจริตศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ใบความรู้ท่ี 5 เร่ืองความพอเพียงกับการต้านการทุจริต ความพอเพียง (sufficient) พระราชดารัสพระราชทานแก่บุคคลต่าง ๆ ท่ีเข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระ ชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลัย สวนจติ รลดาฯ พระราชวังดุสิต วันศกุ รท์ ี่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ “...คาว่าพอเพียง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึงการมีพอสาหรับใช้ของตัวเอง มี ความหมายว่าพอมี พอกิน พอมีพอกินนี้ ถ้าใครได้มาอยู่ท่ีนี่ ในศาลานี้เมื่อ ๒๔ ปี ๒๕๑๗ ถึง ๒๕๔๑ ก็ ๒๔ ปี ใช่ไหม วันน้ันได้พูดถึงว่า เราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมี พอกินนี้ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงน่ันเองถ้า แต่ละคนพอมี พอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ย่ิงดีและประเทศไทยก็เวลานั้น ก็เร่ิมจะเป็นไม่พอมี พอกิน บางคนกม็ ีมาก บางคนก็ไม่มีเลย สมัยก่อนน้ีพอมีพอกิน มาสมัยน้ีชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมีนโยบาย ทจี่ ะทาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เพอ่ื ท่ีจะให้ทุกคนมพี อเพียงได.้ ..” “...คาว่าพอก็เพียง พอเพียงน้ีก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เม่ือมี ความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอ่ืนน้อย ถ้าทุกประเทศใดมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจมีความคิดว่า ทาอะไร ต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง ทาอะไร กพ็ อเพยี ง ปฏบิ ตั ิตนก็พอเพยี ง…” “...อย่างเคยพูดเหมือนกันว่า ท่านท้ังหลายที่น่ังอยู่ตรงน้ี ถ้าไม่พอเพียงคืออยากจะไปนั่งบนเก้าอี้ของ ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ อันน้ันไม่พอเพียงและทาไม่ได้ ถ้าอยากนั่งอย่างน้ันก็เดือดร้อนกันแน่เพราะว่าอึดอัด จะทาให้ ทะเลาะกัน และเมอื่ มกี ารทะเลาะกนั ก็ไมม่ ีประโยชน์เลย ฉะนน้ั ควรท่ีจะคิดวา่ ทาอะไรพอเพยี ง...” “...ถ้าใครมีความคดิ อย่างหนึง่ และต้องการให้คนอ่ืนมีความคิดอย่างเดียวกับตัวซ่ึงอาจจะไม่ถูก อันนี้ก็ ไม่พอเพียง การพอเพียงในความคิดก็คือแสดงความคิด ความเห็นของตัวและปล่อยให้อีกคนพูดบ้างและ มาพจิ ารณาวา่ ทเี่ ขาพูดกบั ท่ีเราพูด อันไหนพอเพยี งอนั ไหนเขา้ เรือ่ ง ถ้าไม่เข้าเรื่องก็แก้ไขเพราะว่าถ้าพูดกันโดย ทไี่ มร่ เู้ รอื่ งกัน ก็จะกลายเปน็ การทะเลาะ จากการทะเลาะด้วยวาจาก็กลายเป็นการทะเลาะด้วยกาย ซึ่งในที่สุด กน็ ามาสูค่ วามเสียหาย เสยี หายแกค่ นสองคนทเี่ ป็นตัวการ เป็นตวั ละครทั้งสองคน ถา้ เปน็ หมู่ก็เลยเป็นการตีกัน อย่างรุนแรง ซึ่งจะทาให้คนอนื่ อกี มากเดือดร้อน ฉะน้ันความพอเพียงน้ีก็แปลว่า ความพอประมาณและความมี เหตผุ ล...” สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประมวลและกล่ันกรองจาก พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียง และขอพระราชทาน หนา้ 22

ชดุ หลักสูตรตา้ นทุจริตศึกษา ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 พระบรมราชานุญาตนาไปเผยแพร่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาปรับปรุง แกไ้ ขและทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามท่ีขอพระมหากรุณา โดยมีใจความว่า “เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ ระดบั ครอบครัว ระดบั ชมุ ชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกิจเพอ่ื ให้กา้ วทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิด จากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ท้ังนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัด ระวังอย่างย่ิงในการนาวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะตอ้ งเสรมิ สรา้ งพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ คุณลักษณะที่สาคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข คือ แนวทาง การดาเนินชวี ติ ใหอ้ ยบู่ นทางสายกลางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือพ้นจากภัยและวิกฤติการณ์ ต่าง ๆ ทเี่ กดิ ข้ึนกอ่ ให้เกิดคุณภาพชีวิตท่ดี อี ยา่ งมั่นคงและยั่งยืน  ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดีต่อความจาเป็นไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และตอ้ งไมเ่ บียดเบียนตนเองและผู้อ่นื  ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตดั สนิ ใจดาเนินการเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลตามหลัก วิชาการ หลกั กฎหมาย หลักศีลธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงาม คิดถึงปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องอย่างถ่ีถ้วน โดย คานงึ ถงึ ผลท่คี าดวา่ จะเกิดขึน้ จากการกระทานนั้ ๆ อยา่ งรอบคอบ  มีภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการ เปลีย่ นแปลงด้านเศรษฐกจิ สงั คม ส่ิงแวดลอ้ มทจี่ ะเกิดข้ึน เพือ่ ใหส้ ามารถปรับตวั และรับมือไดอ้ ย่างทันท่วงที เง่อื นไขในการตัดสนิ ใจในการดาเนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เก่ียวกับวิชาการต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบท่ีจะนาความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวัง ในการปฏบิ ัติ ๒. เงอ่ื นไขคณุ ธรรม ท่ีจะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความ ซือ่ สตั ย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปญั ญาในการดาเนนิ ชวี ิต หนา้ 23

ชุดหลักสูตรต้านทจุ ริตศกึ ษา ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ที่มา: สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ *หมายเหตุ ศกึ ษาข้อมูลเพม่ิ เติมศนู ย์สถานศึกษาพอเพียง มลู นธิ ิยุวสถิรคุณ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงเป็นแนวทางดาเนินชีวิตทางสายกลาง การพึ่งตนเอง รู้จักประมาณตนอย่าง มีเหตุผล อยู่บนพ้ืนฐานความรู้และคุณธรรมในการพิจารณา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงดาเนินการไม่ได้ เฉพาะเจาะจงในเรื่องของเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังครอบคลุมไปถึงการดาเนินชีวิตด้านอื่น ๆ ของ มนุษย์ให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข อย่างเช่น หากเรามีความพอเพียง เราจะไม่ทุจริต คดโกง ไม่ลัก ขโมยของ เบยี ดเบยี นผู้อ่นื กจ็ ะสง่ ผลให้ผ้อู ืน่ ไมเ่ ดือดรอ้ น สังคมกอ็ ยู่ไดอ้ ย่างปกติสขุ การต้านการทจุ รติ การทุจริต (Corruption) หมายถึง การใช้อานาจท่ีได้มาหรือการใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ในทางมิชอบ เพ่ือ ประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว เพ่ือน คนรู้จัก หรือประโยชน์อื่นใดอันมิควรได้ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ประโยชนข์ องผู้อ่ืน การทุจริตอาจเกิดได้หลายลักษณะ เช่น การติดสินบนเจ้าพนักงานด้วยการให้หรือการรับสินบน ทั้งท่ีเป็นเงินและสิ่งของ การมีผลประโยชน์ท้ับซ้อน การฟอกเงิน การยักยอก การปกปิดข้อเท็จจริง การขัดขวาง กระบวนการยุตธิ รรม เปน็ ตน้ บรษิ ทั และบริษัทยอ่ ยไดต้ ระหนกั และให้ความสาคัญในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัท ไดก้ าหนด แนวทางในการประพฤติปฏิบัติที่เหมาะสมของ คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร และพนักงาน ในจรรยาบรรณ ทางธุรกิจและการกากับดูแลกิจการ นอกจากนั้น บริษัทได้คานึงถึงความเสียหายที่จะเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชัน จึงได้กาหนดนโยบายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยห้ามกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างของบริษัทและ บริษัทย่อย กระทาการอันใดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบ เพ่ือประโยชน์ทางตรงหรือทางอ้อมต่อ ตนเอง ครอบครัว เพ่ือน และคนรู้จัก ไม่ว่าตนจะอยู่ในฐานะผู้รับหรือผู้ให้ ท้ังท่ีเป็นตัวเงินหรือที่ไม่เป็นตัวเงิน แก่ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานเอกชน ท่ีบริษัทและบริษัทย่อยได้ดาเนินธุรกิจ หรือติดต่อด้วย โดยมีแนวทาง ปฏิบตั ิ ดงั นี้ หน้า 24

ชุดหลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ๑. สร้างวฒั นธรรมองคก์ รท่ซี ่ือสัตยแ์ ละยึดมน่ั ในความเปน็ ธรรม ๒. ไม่รับสินบนหรือติดสินบน แก่ผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องที่ตนทาหน้าท่ีรับผิดชอบ ทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม เพ่ือให้ได้มาซ่งึ ประโยชนใ์ นทางมิชอบ ๓. ในการจัดซื้อจัดจ้าง / การจา่ ยคา่ คอมมชิ ชั่น ต้องดาเนินการผ่านขั้นตอนตามระเบียบของบริษัท มี ความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ๔. หลีกเล่ียงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ซึ่งอาจนามาซ่ึงการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น ไม่ถือหุ้นใน บริษัทคู่แข่ง หลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลภายใน เพื่อประโยชน์ของตนในการซื้อ หรือขายหุ้นของบริษัท หรือให้ ข้อมลู ภายในแก่ผูอ้ นื่ ๕. มีความรับผิดชอบต่อการจัดทารายงานทางการเงินท่ีมีความถูกต้อง ครบถ้วน ตามมาตรฐานการ บญั ชที ่รี ับรอง ท่วั ไป ๖. จดั ใหม้ รี ะบบการควบคมุ ภายในท่ีรดั กุมมปี ระสทิ ธิภาพ และมีการประเมินความเพียงพอของระบบ การควบคุมภายในทุกปี ท้ังน้ีบริษัทได้มีการว่าจ้างบริษัทภายนอก (Outsource) ทาหน้าท่ีเป็นผู้ตรวจสอบ ภายใน เพ่อื ประเมนิ ความเส่ยี งและรายการท่ผี ิดปกติ โดยจะนาเสนอผลการตรวจสอบภายในต่อคณะกรรมการ ตรวจสอบอยา่ งนอ้ ยทุก ๆ ๓ เดือน ๗. หากพบเห็นการกระทาท่ีเข้าข่ายการทุจริตที่มีผลเก่ียวข้องกับบริษัททั้งทางตรงหรือทางอ้อม ควร แจ้งให้ประธาน เจ้าหน้าท่ีบริหารทราบทันที โดยบริษัทจะรักษาความลับของผู้แจ้งหรือร้องเรียนการทุจริต เพ่ือใหท้ ุกคนในองค์กรไดร้ ับทราบนโยบายการต่อต้านทุจรติ คอร์รัปชนั บรษิ ัทจะเผยแพรน่ โยบายดงั กล่าว ส่อื การเรยี นรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ ๑) คลิปวดิ ีโอ เร่อื ง “ภาพยนตรส์ ัน้ โรงเรยี นคณุ ธรรม สพฐ. เรอื่ งเลือก”https://www.youtube.com/watch?v=uiszoeKyLj ๒) คลิปวดิ โี อแอนเิ มชนั ตอ่ ต้านทุจรติ เร่ือง “สานึก” (https://www.youtube.com/watch?v=R-8fPPt1o-c) ๓) คลปิ วดิ โี อเร่อื ง“รณรงค์ต้านทจุ ริตคอรร์ ัปชนั ” (https://www.youtube.com/watch?v=ms9EYGsI8Zk) สแกน QR Code ศกึ ษาเพิม่ เติม ดว้ ยนะคะ หนา้ 25

ชดุ หลักสูตรตา้ นทจุ ริตศกึ ษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ใบงานที่ 5 เรื่อง “ความพอเพียงประสานเสียงต้านความทุจรติ ” คาชแ้ี จง ศึกษาใบความรู้ เร่ือง ความพอเพียงกบั การต่อต้านการทุจรติ แล้วตอบคาถามต่อไปนี้ ๑. ความพอเพยี ง หมายถงึ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ......................................................... ................................... ๒. “ ๓ หว่ ง ๒ เงอื่ นไขละ 4 มิติ คอื อะไร ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง จงอธิบายพอสังเขป .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ๓. การตา้ นการทุจริต หมายถึง ................................................................................................................................................................ .............. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ................................. ๔. จงบอกวิธกี ารตา้ นการทุจรติ มากลมุ่ ละ ๓ วิธี พรอ้ มอธบิ ายพอสงั เขป ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. หน้า 26

ชุดหลักสูตรตา้ นทุจริตศกึ ษา ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ใบงานท่ี 5.1 เรื่อง “พอเพียงเรียนรู้ สู่การปฏิบตั ิ” คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นช่วยกันระดมความคดิ จะนาหลักความพอเพยี งลงสูก่ ารปฏิบัติ แล้วเตมิ คาลงในช่องวา่ ง .............................................. พอเพียงเรยี นรู้ .............................................. .............................................. สู่การปฏิบตั ิ .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. .............................................. หนา้ 27

ชดุ หลักสตู รตา้ นทุจริตศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 หน่วยท่ี ๔ พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม หน้า 28

ชดุ หลักสตู รต้านทุจรติ ศึกษา ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ใบความรู้ที่ 6 เรอื่ ง การเคารพสทิ ธิและเสรภี าพของตนเองและผู้อ่ืน การปกครองระบอบประชาธิปไตยเปน็ การปกครองทมี่ รี ฐั ธรรมนญู เป็นแมบ่ ทกาหนดกรอบให้ ทกุ ภาคสว่ นของสงั คมยดึ ถือและปฏบิ ตั ิร่วมกนั โดยกรอบทีส่ าคัญในการดารงตนอย่างเหมาะสมของ ประชาชน คอื การยดึ มัน่ ในสิทธิ เสรีภาพ และหน้าท่ตี ามทร่ี ฐั ธรรมนูญกาหนด หากประชาชน ทุกคนรูถ้ งึ สทิ ธิ เสรีภาพ และหน้าท่ที ่ีรฐั ธรรมนูญบญั ญตั ิไวแ้ ละตา่ งปฏิบัติได้อย่างถูกตอ้ งครบถว้ น ประชาชนในชาตยิ อ่ มอยูร่ ว่ มกนั อยา่ งมีความสขุ และชาตบิ ้านเมืองก็จะพัฒนาและเจรญิ ก้าวหนา้ ได้อยา่ ง รวดเร็ว สิทธิของตนเองและผู้อ่ืนตามท่ีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การปฏิบัติตนตามสิทธิ ของตนเองภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ โดยไม่กระทบสิทธิบุคคลอื่น ย่อมได้ช่ือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีส่วนนาพา บา้ นเมอื งให้พัฒนา ในทน่ี ้ีจะกลา่ วถงึ การปฏบิ ตั ิตนในการรกั ษาและเคารพสทิ ธิเสรีภาพของตนเองและผู้อ่ืน ต่อ ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาตติ ามท่รี ัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยกาหนดไว้ ดังนี้ ๑. การเคารพสิทธิของตนเองและผอู้ ื่นท่มี ีตอ่ ครอบครวั ครอบครัวประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูก ทุกครอบครัวมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ในหลายประเด็นด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องการใช้ความรุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม หมายความว่า พ่อ แม่ และลูกจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงหรือปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เป็นธรรม กรณีระหว่างสามีภรรยาจะต้องเคารพ และรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ไม่ตัดสินปัญหาโดยใช้กาลัง กรณีระหว่างบุตรกับบิดามารดา บุตรต้อง เช่ือฟังคาส่ังสอนของบิดามารดา บิดามารดาจะต้องอบรมส่ังสอนบุตรโดยใช้เหตุผล ไม่ใช้การแก้ไขพฤติกรรม ลูกด้วยการเฆ่ียนตี เล้ียงลูกด้วยรักความเข้าใจ และใช้สิทธิเสรีภาพในการแสวงหาความสุขส่วนตัว แต่ต้องอยู่ ในขอบเขตและไม่ทาใหเ้ กดิ ความเดือดร้อนหรือสร้างปัญหาใด ๆ ให้แก่บิดามารดา ๒. การเคารพสิทธิของตนเองและผอู้ ื่นทีมีต่อชุมชนและสังคม สมาชิกทุกคนในสังคมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการดารงชีวิตในสังคม โดยสิทธิดังกล่าวจะต้องไม่ละเมิด สทิ ธิของสมาชกิ คนอนื่ ในสงั คม ในทน่ี ขี้ อยกตัวอย่างสทิ ธขิ องตนเองท่ีมตี ่อชมุ ชนบางประการ ดังน้ี ๑) เสรีภาพในเคหสถาน ชาวไทยทุกคนย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน ที่จะสามารถอาศัยและครอบครอง เคหสถานของตนโดยปกติสุข ไม่ว่าจะเกิดจาการเช่าหรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งบุคคลอื่นจะต้องให้ความ เคารพในสิทธินี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐหากจะต้องเข้าไปดาเนินการตามกฏหมายใด ๆ เช่น การตรวจค้น เคหสถานของประชาชนกจ็ ะทาการมไิ ด้ เว้นแต่จะมีหมายคน้ ทอ่ี อกโดยศาลเท่านั้น ๒) เสรภี าพในการเดนิ ทางและการติดตอ่ สื่อสาร ชาวไทยทกุ คนมเี สรภี าพทจ่ี ะเดินทางไปในท่ีต่าง ๆ บนผืน แผ่นดินไทยได้ทุกพ้ืนที่ของประเทศไทย และสามารถเลือกถิ่นท่ีอยู่อาศัย ณ ท่ีใดก็ได้ในประเทศไทย รวมทั้ง ชาวไทยทุกคนสามารถทจี่ ะติดต่อสอ่ื สารกบั บุคคลอืน่ ไม่วา่ จะเป็นทางจดหมาย โทรศพั ท์ หรืออนิ เทอรเ์ นต็ ๓) เสรีภาพในการนับถือศาสนา สมาชิกทุกคนในสังคมมีสิทธิ เสรีภาพท่ีจะนับถือศาสนาแตกต่างกันได้ ซึ่งบคุ คลอ่ืนในสังคมรวมท้ังรฐั จะตอ้ งใหค้ วามเคารพสิทธเิ สรภี าพในเรื่องนี้ดว้ ย ๔) เสรีภาพในทางวชิ าการ เยาวชนไทยทุกคนจะตอ้ งได้รบั การศกึ ษาข้ึนพื้นฐานไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี โดยไม่ เสียค่าใช้จ่าย นอกจากน้ีคนไทยทุกคนยังมีสิทธิในการที่จะศึกษาค้นหว้าหรือทาวิจัยตามท่ีต้องการ โดยไม่ขัด ตอ่ กฏหมาย หน้า 29

ชุดหลกั สูตรต้านทจุ ริตศกึ ษา ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ๕) เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบโดยปราศจากอาวุธ หมายถึง ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการ ชมุ นุมแต่ตอ้ งเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และต้องไม่รบกวนสทิ ธิของผู้อ่นื การปราศจากอาวุธนน้ั หมายรวมถึง ห้ามทุกคนที่มารว่ มชมุ นุมพกพาอาวุธเขา้ มามาในที่ชุมนุมเด็กขาด บุคคลใดพกพาอาวุธเข้ามา ใน ทช่ี มุ นุม บุคคลนัน้ จะไมไ่ ดร้ ับความคมุ้ ครองตามรฐั ธรรมนูญในกรณที ี่ไดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ ๖) สิทธิเสรีภาพในการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุกคนย่อมมีส่วนร่วมในการ อนุรักษ์ และร่วมสืบสานศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่นและของประเทศชาติเพื่อ ให้ดารงอยู่ต่อไป กับอนชุ นรุน่ หลงั ๗) สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ โดยเสรีภาพในการประกอบอาชีพจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อ่ืน เชน่ ผู้ประกอบการจะตอ้ งเคารพและซ่ือสตั ย์ต่อผู้บรโิ ภค และไม่เอาเปรียบผู้บรโิ ภค เป็นต้น ๓. การเคารพสิทธขิ องตนเองและผอู้ น่ื ท่มี ตี อ่ ประเทศชาติ ๑) สิทธิในการมีส่วนร่วมในท่ีนี้ หมายถึง สิทธิการมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่รัฐ เก่ียวกบั การปฏบิ ตั ริ าชการดา้ นการปกครอง อันมีผลกระทบตอ่ สิทธแิ ละเสรีภาพของคนในสังคมโดยตรง ๒) สิทธิที่จะฟ้องร้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถ่ิน เช่น เทศบาล องค์การบริหารส่วนตาบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์กรของรัฐท่ีเป็นนิติบุคคล ประชาชนมีสิทธิท่ีจะ ฟ้องร้องหน่วยงานต่าง ๆ เหล่าน้ีให้รับผิดชอบ หากการกระทาใด ๆ หรือการละเว้นการกระทาใด ๆ ของ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานน้ัน ส่งผลกระทบต่อการดาเนินชีวิตของประชาชนต่อ ศาลปกครอง ๓) สิทธิท่ีจะต่อต้านโดยสันติวิธี การกระทาใดจะที่เป็นไปเพ่ือให้ได้มาซึ่งอานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิไดเ้ ป็นไปตามวถิ ที างที่บญั ญัติไดใ้ นรัฐธรรมนูญ เชน่ การต่อต้านการทาปฏิวัติรัฐประหาร เป็น สิ่งท่ีประชาชนมสี ิทธทิ จี่ ะออกมาตอ่ ตา้ น แตต่ ้องเป็นไปโดยสันติวธิ ี แนวทางการปฏบิ ตั ติ นในการเคารพสทิ ธขิ องตนเองและผอู้ น่ื การปฏิบัตติ นตามสทิ ธิของตนเองและผอู้ ืน่ ในสังคม เป็นสิ่งที่ช่วยจัดระเบียบให้กับสังคมสงบสุข โดย มแี นวทางปฏิบตั ิ ดงั นี้ ๑. เคารพสิทธขิ องกนั และกัน โดยไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อ่ืนสามารถแสดงออกได้หลายประการ เช่น การแสดงความคิดเหน็ การยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผ้อู ่ืน เปน็ ต้น ๒. รูจ้ ักใชส้ ิทธขิ องตนเองและแนะนาให้ผอู้ น่ื รจู้ ักใช้สทิ ธิของตนเอง ๓. เรียนรู้และทาความเข้าใจเก่ียวกับหลักสิทธิเสรีภาพตามท่ีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น สิทธิเสรีภาพ ของความเปน็ มนษุ ย์ สทิ ธิเสรภี าพในเคหสถาน เป็นต้น ๔. ปฏิบัติตามหน้าท่ีของชาวไทยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น การออกไปใช้สิทธ์ิเลือกตั้ง การเสีย ภาษีใหร้ ฐั เพือ่ นาเงนิ มาพฒั นาประเทศ เปน็ ต้น ผลทไ่ี ดร้ บั จากการกฏิบตั ติ นเคารพสิทธิของตนเองและผู้อืน่ ๑. ผลที่เกิดกับประเทศชาติ หากประชาชนมีความสมัครสมานรักใคร่สามัคคี ไม่มีความแตกแยก ไม่ แบง่ เป็นพวกเปน็ เหล่า บ้านเมอื งก็จะสงบสุขเกิดสวสั ดิภาพ บรรยากาศโดยรวมก็จะสดใส ปราศจากการระแวง ต่อกนั การดาเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ สามารถดาเนินไปอย่างราบรื่น นักลงทุน นักท่องเท่ียวก็จะเดินทาง มาเยือน ประเทศของเราด้วยความมัน่ ใจ ๒. ผลท่ีเกิดขน้ึ กบั ชมุ ชนหรอื สังคม เมือ่ ประชาชนในสังคมรู้จกั สิทธิของตนเองและของคนอ่ืน ก็จะนาพาให้ ชุมชนหรือสงั คมเกดิ การพฒั นา เมอื่ สงั คมม่นั คงเขม้ แข็งก็จะมีส่วนทาให้ประเทศชาติเข้มแข็ง เพราะชุมชนหรือ สงั คมเปน็ ส่วนหนงึ่ ของประเทศชาติบ้านเมอื งโดยรวม หน้า 30

ชุดหลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศึกษา ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ๓. ผลที่เกดิ ข้นึ กับครอบครวั ครอบครัวเปน็ สถาบันแรกของสังคม เมื่อครอบครวั เข้มแข็ง และอบรมสั่งสอน ให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนรู้บทบาท สิทธิ เสรีภาพของตนเองและปฏิบัติตามที่กฎหมายและรัฐธรรมนูญได้ ให้ความคุ้มครองได้อย่างเคร่งครัด โดยไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกอื่นในสังคมก็จะนาพาให้สังคมและ ประเทศชาตเิ ขม้ แข็งตามไปดว้ ย สื่อการเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ ๑) คลปิ วดิ โี อ เร่อื ง “ เข้าใจสิทธหิ น้าท่ขี องตนเองและผู้อ่ืน https://www.youtube.com/watch?v=s6949GJdTlc&t=61s ๒) คลปิ วิดโี อ เรื่อง “ เหลอื อด! (https://www.youtube.com/watch?v=4FyJwBYJRlA) สแกน QR Code ศกึ ษาเพ่มิ เติม ดว้ ยนะคะ หนา้ 31

ชุดหลักสูตรตา้ นทุจริตศกึ ษา ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ใบงานท่ี 6 เร่อื ง “พลเมืองทร่ี ับผิดชอบต่อการป้องกนั การทจุ รติ ” คาชี้แจง ให้นักเรยี นเขยี นเลา่ เร่อื งการปฏิบตั ิตนของตนเองทีแ่ สดงถึงความเป็นพลเมอื งที่รบั ผดิ ชอบต่อการ ป้องกนั การทจุ รติ มาอย่างนอ้ ย ๑ เหตุการณ์ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ..................................................................................................................................................................... ......... .......................................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ................................................. หน้า 32

ชดุ หลกั สตู รต้านทุจรติ ศึกษา ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ใบงานท่ี 6.๒ เร่อื ง “ถอดบทเรยี นความเป็นพลเมืองกบั ความรับผิดชอบต่อสงั คม” คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นเขียนแผนผังมโนทัศน์ถอดบทเรยี นเก่ียวกับความเปน็ พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสงั คม หน้า 33

ชดุ หลักสตู รต้านทจุ ริตศกึ ษา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 หนา้ 34

ชดุ หลักสตู รตา้ นทุจรติ ศึกษา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 คุณครูให้คาปรึกษา เรื่อง การสอนหลักสูตรตา้ นหทนุจา้ ร3ิต5ศกึ ษา 1.นายสิทธชิ ยั ศรมี กุ ข์ 2.นางสาวศรนิ ยา วลั ภะ