Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วินทร์-เลียววาริณ

วินทร์-เลียววาริณ

Published by Guset User, 2021-10-07 12:13:20

Description: วินทร์-เลียววาริณ

Search

Read the Text Version

ศึกษาการใช้ถ้อยคา สานวนเพื่อการเขยี นเชิงสร้างสรรค์ จัดทาโดย นายกิตติพงศ์ แซ่คู รหสั นกั ศึกษา ๖๓๔๑๐๑๐๐๑ นายธนภทั ร พนั เปรม รหสั นกั ศึกษา ๖๓๔๑๐๑๐๐๒ นางสาวธิดารัตน์ ศกั ด์ิปรีชา รหสั นกั ศึกษา ๖๓๔๑๐๑๐๑๓ นางสาวพรทิพย์ สิริพฒั นาสมบตั ิ รหสั นกั ศึกษา ๖๓๔๑๐๑๐๑๘ นกั ศึกษาช้นั ปี ที่ ๒ สาขาวชิ าภาษาไทย เสนอ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพบูลยว์ รรณ จิตพฒั นกลุ รายงานเล่มน้ีเป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษารายวชิ า ความคิดสร้างสรรคก์ บั การสรรสร้างงานเขียน (TH ๖๒๖๐๕) ภาคเรียนที่ ๑ ปี การศึกษา ๒๕๖๔ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมูบ่ า้ นจอมบึง

ก คานา รายงานเล่มน้ีเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษารายวิชา ความคิดสร้างสรรคก์ บั การสรรสร้างงานเขียน (TH ๖๒๖๐๕) โดยนกั เขียนที่ศึกษา โดยมีวตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษาการใชถ้ ้อยคา สานวนเพ่ือการเขียนเชิง สร้างสรรคโ์ ดยนกั เขียนที่เลือกศึกษาผลงานน้นั คือ วินทร์ เลียววาริณ เป็ นกวแี ละนกั เขียนที่มีความสามารถ หลายดา้ น ท้งั เรื่องการเขียนเสียดสีสังคม เขียนแบบเปรียบเทียบ ใชค้ าเลียนเสียงพูด การใชค้ ายอ่ การใชค้ า ตดั การใชค้ าหยาบ การใชค้ าสแลง การใชค้ าทบั ศพั ทจ์ ากภาษาต่างประเทศการใชค้ าที่มีความหมายแฝงหรือ ความหมายโดยนยั และการใชค้ าอุทาน และมีผลงานหนงั สือหลายเร่ืองที่ไดร้ ับรางวลั ดว้ ยเหตุคณะผูจ้ ดั ทาจึงขออนุญาตนาการใช้ถอ้ ยคาและสานวนของ คุณวินทร์ เลียววาริณ มาเป็ น ตวั อย่างในการเขียนงานต่อไป เนื่องจากเป็ นเรื่องท่ีมีความน่าสนใจและเหมาะสาหรับผูท้ ี่สนใจเรื่องงาน เขียนที่มีคุณภาพ ท้งั น้ีขอขอบพระคุณอาจารยป์ ระจาวชิ า ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพบูลยว์ รรณ จิตพฒั นกุล ท่ีคอยให้ คาแนะนา ปรับปรุง และใหข้ อ้ เสนอแนะท้งั ในดา้ นการหาขอ้ มูล และการตรวจรายละเอียดของขอ้ มูล เพ่ือให้ รายงานฉบบั น้ีออกมาสมบูรณ์แบบและบรรลุวตั ถุประสงค์ตามที่ไดต้ ้งั ไว้ หากมีขอ้ ผิดพลาด คณะผจู้ ดั ทา ขออภยั มา ณ ที่น้ี คณะผ้จู ัดทา ๒ กนั ยายน ๒๕๖๔

สารบญั ข เรื่อง หน้า คานา ก สารบญั ข ขอบเขตการศึกษา การใชค้ า โวหารภาพพจน์ ๑-๒ วธิ ีดาเนินการวจิ ยั ๒ การศึกษาขอ้ มลู เบ้ืองตน้ แหล่งรวบรวมขอ้ มลู ข้นั วเิ คราะห์ขอ้ มูลและจดั กระทาขอ้ มลู ๓ ข้นั นาเสนอผลการวจิ ยั ๓ ผลการวจิ ยั ๓-๔ ดา้ นการใชค้ า ๔ การใชค้ าเลียนเสียงพดู ๔-๕ การใชค้ ายอ่ ๕-๖ การใชค้ าสแลง ๖-๗ การใชค้ าทบั ศพั ทจ์ ากภาษาตา่ งประเทศ ๗-๘ คาทบั ศพั ทท์ ว่ั ไป ๘ การใชค้ าที่มีความหมายแฝง ๘-๑๐ การใชค้ าอุทาน ๑๐-๑๑ การใชโ้ วหารภาพพจน์ ๑๑-๑๒ อปุ ลกั ษณ์ ๑๒-๑๓ อติพจน์ ๑๓-๑๔ คาถามเชิงวาทศิลป์ ๑๔-๑๗ อภิปรายผลการวจิ ยั ๑๗-๑๘ บรรณานุกรม ๑๙

๑ ขอบเขตการศึกษา ในการศึกษาคร้ังน้ี ผวู้ จิ ยั ไดก้ าหนดขอบเขต การศึกษาไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี ๑.ศึกษาลกั ษณะลีลาภาษาในเรื่องการใชค้ า และโวหารภาพพจน์ ซ่ึงประกอบดว้ ย ๒.ลีลาภาษา การใช้คา ๑.คาท่ีเลียนเสียงพูด ๒.คายอ่ ๓.คาตดั ๔.คาไม่สุภาพ ๕.คาสแลง ๖.คาทบั ศพั ทภ์ าษา ๗.คาต่างประเทศ ๘.คาที่มีความหมายแฝง ๙.คาอุทาน โวหารภาพพจน์ 1. อุปมา 2. อุปลกั ษณ์ 3. สญั ลกั ษณ์ 4. นามนยั

๒ 5. อติพจน์ 6. บุคลาธิษฐาน 7. ปฏิทรรศน์หรือ ปฏิภาคพจน์ 8. ปฏิพจน์ 9. คาถามเชิงวาทศิลป์ หรือปฏิปุจฉา 10. การเลียนเลียง ธรรมชาติ ผูว้ ิจยั จะศึกษาบทความของวินทร์ เลียววาริณ ท่ีไดร้ ับการตีพิมพต์ ้งั แต่ปี พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๕ ในชื่อ หนงั สือเสริมกาลงั ใจ จานวน ๗ เล่ม จดั พิมพ์โดย สานักพิมพ์ ๑๑๓ โดยทาการเลือกกลุ่มตวั อย่างแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) จากจานวนบทความ ท้งั หมด ๓๑๔ บทความ เหลือเพยี ง ๑๕๗ บทความ ดงั น้ี - เล่มท่ี ๑ รอยเทา้ เลก็ ๆ ของเราเอง จานวน ๒๓ บทความ (พ.ศ. ๒๕๔๘) - เล่มที่ ๒ ความฝันโง่ ๆ จานวน ๒๓ บทความ (พ.ศ. ๒๕๔๙) - เล่มท่ี ๓ เบ้ืองบนยงั มีแสงดาว จานวน ๒๒ บทความ (พ.ศ. ๒๕๕๐) - เล่มท่ี ๔ อาทิตยข์ ้ึนทางทิศตะวนั ตก จานวน ๒๔ บทความ (พ.ศ. ๒๕๕๑) - เล่มท่ี ๕ สองแขนที่กอดโลก จานวน ๒๔ บทความ (พ.ศ. ๒๕๕๓) - เล่มท่ี ๖ สองปี กแห่งความฝัน จานวน ๒๓ บทความ (พ.ศ. ๒๕๕๔) - เล่มที่๗ คาท่ีแปลวา่ รักจานวน ๑๘ บทความ (พ.ศ. ๒๕๕๕) วธิ ีดาเนินการวจิ ัย ในการดาเนินการวิจยั คร้ังน้ี ผูว้ ิจยั ใชว้ ิธีวิจยั จากเอกสาร (Documentary research) โดยมีข้นั ตอน การวจิ ยั ดงั น้ี

๓ การศึกษาข้อมูลเบื้องต้น 1. ศึกษาและรวบรวมเอกสารและงานวจิ ยั ที่ เกี่ยวขอ้ งกบั วนิ ทร์ เลียววาริณ และการศึกษาวเิ คราะห์ วรรณกรรม 2. ศึกษาหลกั เกณฑเ์ กี่ยวกบั การวเิ คราะห์ ลีลาภาษา แหล่งรวบรวมข้อมูล รวบรวมขอ้ มูลและศึกษาหนงั สือเสริมกาลงั ใจ ของวินทร์ เลียววาริณ ที่ไดร้ ับการตีพิมพต์ ้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๕ ในชื่อหนงั สือเสริมกาลงั ใจ จานวน ๗ เล่ม จดั พิมพโ์ ดยสานกั พิมพ๑์ ๑๓โดยเลือก จากกลุ่ม ตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จาก จานวนบทความรวมท้งั สิ้น ๓๑๔ บทความ เหลือ เพียง ๑๕๗ บทความ ข้นั วเิ คราะห์ข้อมูลและจัดกระทาข้อมูล 1. นาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการศึกษามาวเิ คราะห์ ลีลาภาษาในการเขียนบทความ ในประเดน็ ต่อไปน้ี 1.1 การใชค้ า 1.2 การใชโ้ วหารภาพพจน์ 2. นาผลการวเิ คราะห์มาเรียบเรียงตามหวั ขอ้ การวเิ คราะห์ ข้นั นาเสนอผลการวจิ ัย 1. สรุปผลและอภิปรายผลการศึกษาคน้ ควา้ 2. นาเสนอผลการศึกษาคน้ ควา้ แบบ พรรณนาวเิ คราะห์ (Descriptive analysis)

๔ ผลการวจิ ัย การศึกษาลีลาภาษาในบทความของ วนิ ทร์ เลียววาริณ ผูว้ ิจยั ไดแ้ บ่งงานศึกษาลีลาภาษา ออกเป็ น ๒ ด้าน คือ ในดา้ นการใช้คา และในดา้ นการใช้โวหารภาพพจน์ หลงั จากเก็บรวบรวมขอ้ มูล บนั ทึกตาม หมวดหมูท่ ่ีใชเ้ ป็นแนวทางในการวเิ คราะห์ แลว้ ผวู้ จิ ยั ไดน้ ามาวเิ คราะห์โดยใชเ้ กณฑใ์ น การพิจารณาที่ผวู้ ิจยั ประมวลความรู้และกาหนดข้ึน จากเอกสารและงานวจิ ยั ตา่ ง ๆ ดงั น้ี ด้านการใช้คา ผูว้ ิจยั ได้ศึกษาในเรื่องการใช้คาเลียนเสียงพูด การใช้คาย่อ การใช้คาตดั การใช้คาหยาบ การใช้ คาสแลง การใชค้ าทบั ศพั ทจ์ ากภาษาต่างประเทศ การใชค้ าท่ีมีความหมายแฝงหรือความหมายโดยนยั และ การใชค้ าอุทาน จากการศึกษาบทความของวินทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือเสริมกาลงั ใจ จานวน ๗ เล่ม ผูว้ จิ ยั พบการใชค้ าดงั ต่อไปน้ี การใช้คาเลยี นเสียงพดู คาเลียนเสียงพูด คือ การใชค้ าต่าง ๆ ตามการ ออกเสียง เช่น ดีที่ซู๊ด ใช่ม้ยั อยา่ งนึง ดีนะเนี่ย ฯลฯ จากการศึกษาลีลาภาษาจากบทความของ วนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือชุดเสริมกาลงั ใจ พบวา่ มี การ ใชค้ าเลียนเสียงพูด ตวั อย่างเช่น “เพื่อนบางคนซ่ึงเป็ นคนละเอียดรอบคอบ ระดบั ‘มก่ั มก่ั ’ เซ็กราคาในห้างสรรพสินคา้ ใหญ่แห่ง หน่ึง ซ่ึงชอบมีแคมเปญการตลาดลดแลกแจกสะบ้นั ไดค้ วาม วา่ สินคา้ ก่อนและหลงั ลดมีราคาเท่ากนั ” คาวา่ มกั่ มก่ั มาจากรูปเขียนวา่ มากมาก ซ่ึงคาวา่ มกั่ เป็นคาท่ีเขียนตามเสียงพูดโดยการ เปล่ียนเสียง สระอา มาจากคาเดิมวา่ มาก เป็นเสียง สระอะ และเปลี่ยนเสียงวรรณยกุ ตโ์ ทเป็นเสียงวรรณยกุ ตเ์ อก “ผพู้ ดู สาธิตท่าวธิ ีการปลดมีดจากมือศตั รู “...แลว้ กระแทกอยา่ งง้ีเท่าน้นั เองมนั กจ็ ะสิ้นฤทธ์ิ..”

๕ คาว่า อย่างง้ี มาจากรูปเขียนว่า อย่างน้ี ซ่ึง คาว่า ง้ี เป็ นคาท่ีเขียนตามเสียงพูดโดยการใช่วิธีการ กลมกลืนเสียงไปตามเสียงที่ใกลก้ นั ในท่ีน้ีคือการ เปล่ียนตวั พยญั ชนะจาก น เป็น ง จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าในบทความ ของวินทร์ เลียววาริณมีการใช้คา เลียนเสียงพูดที่ เลียนแบบการออกเสียงในภาษาพูด ทาให้การสะกดคา แตกต่างจากรูปแบบภาษาเขียน เน่ืองจากยึดเสียง ภาษาพดู เป็นหลกั ในการสะกดคา ซ่ึงมีท้งั การใชค้ า เลียนเสียงพดู ในลกั ษณะเม่ือใชร้ ถยนตย์ หี่ อ้ น้ี ชีวติ คุณจะ ดีข้ึนถา้ เลือกผมเป็น ส.ส. เปลี่ยนเสียงสระและเปลี่ยนเสียงพยญั ชนะ การใช้คาย่อ คาย่อ คือ การลดรูปของคาหรือการทาให้คา น้ันส้ันลง โดยทว่ั ไปการย่อคาจะปรากฏในรูปของ พยญั ชนะหน่ึงตวั ตามดว้ ยเครื่องหมายมหพั ภาค (.) เช่น พ.ศ. ยอ่ มาจาก พุทธศกั ราช, ต. ยอ่ มาจาก ตาบล เป็ น ตน้ จากการศึกษาลีลาภาษาจากบทความของ วนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือชุดเสริมกาลงั ใจ พบวา่ มี การ ใชค้ ายอ่ ตวั อย่างเช่น “องั ลี เกิดท่ีจงั หวดั เกษตรกรรมทางภาคใต้ ของไตห้ วนั ครอบครัวของเขามุ่งเน้นการศึกษาและ ขนบธรรมเนียมจีนเก่า พ่อแม่อพยพมาจากเมืองจีน หลงั จากคอมมิวนิสต์ยึดแผ่นดินจีนสาเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๙๒” คาว่า พ.ศ. เป็ นการใช้คาย่อ ซ่ึงมาจากคา เต็มว่า พุทธศกั ราช เป็ นการย่อคาท่ีปรากฏในรูปของ พยญั ชนะหน่ึงตวั ตามดว้ ยเคร่ืองหมายมหพั ภาค ( . ) “วนั จนั ทร์ที่สามของเดือนกรกฎาคม เป็ นวนั อู มิ โนะ ฮิ คือวนั มหาสมุทร ชาวญ่ีป่ ุนเฉลิมฉลอง ทะเล ในอดีตวนั น้ีเป็นวนั ที่จกั รพรรดิเมจีเสดจ็ ทางชลมารค กลบั จากฮอกไกโดในปี ค.ศ. ๑๘๗๖” คาว่า ค.ศ. เป็ นการใช้คาย่อ ซ่ึงมาจากคาเต็ม ว่า คริสตศกั ราช เป็ นการย่อคาท่ีปรากฏในรูปของ พยญั ชนะหน่ึงตวั ตามดว้ ยเคร่ืองหมายมหพั ภาค ( . ) “ม.ร.ว. คึกฤทธ์ิ ปราโมช เคยเปรียบเทียบคน ท่ีค่อนแคะท่านว่า “เหมือนหมาเย่ียวรดภูเขาทอง” ความหมายของทา่ นคือ เป็นคนตอ้ งไมห่ วนั่ ไหวตอ่ ลมปากคนอ่ืน ยงิ่ อยสู่ ูงตอ้ งหวน่ั ไหวนอ้ ยลง”

๖ คาวา่ ม.ร.ว. เป็ นการใชค้ าย่อซ่ึงมาจากคาเต็ม วา่ หม่อมราชวงศ์ เป็ นการยอ่ คาท่ีปรากฏในรูปของ พยญั ชนะหน่ึงตวั ตามดว้ ยเคร่ืองหมายมหพั ภาค ( . ) “เราอยใู่ นโลกของการหลอกลวง : คุณจะดูดี เพราะสวมชุดท่ีมีแบรนดเ์ นม คุณจะมีศกั ด์ิศรีในสงั คม เมื่อใชร้ ถยนตย์ ห่ี อ้ น้ี ชีวติ คุณจะดีข้ึนถา้ เลือกผมเป็น ส.ส. ฯลฯ” คาวา่ ส.ส. เป็นการใชค้ ายอ่ ซ่ึงมาจากคาเตม็ วา่ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เป็ นการยอ่ คาที่ปรากฏ ใน รูปของพยญั ชนะหน่ึงตวั ตามดว้ ยเคร่ืองหมาย มหพั ภาค ( . ) จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นไดว้ ่าในบทความ ของวินทร์ เลียววาริณมีการใช้คายอ่ ท่ีเป็ นการลดรูป ของคาน้นั ใหส้ ้นั ลง โดยวธิ ีการยอ่ คาจะปรากฏในรูป ของพยญั ชนะหน่ึงตวั ตามดว้ ยเครื่องหมายมหพั ภาค ( . ) ซ่ึงคายอ่ ท่ีพบน้นั ส่วนใหญจ่ ะเป็นคาสามญั ที่พบ ในงานเขียนทวั่ ไป การใช้คาสแลง คาสแลง คือ คาที่ใช้กบั เฉพาะบางคนบาง กลุ่ม คาสแลงเป็ นคาที่ใช้ผิดไปจากธรรมดาในด้าน ความหมายและดา้ นเสียง คาสแลงน้ีมกั นิยมใชช้ ว่ั คร้ัง ชวั่ คราวแลว้ ก็หมดความนิยมไป แต่จะมีคาสแลงเกิด ข้ึนมาใหมต่ ามยคุ สมยั เช่น เบ้ียว ซ่าส์ มนั ส์ เก่าก๊ึกก์ ชิงชิง ไมส่ น กูล่ะเบ่ือ แห้วไปเลย ซ่ือบ้ีอ ชว่ั บริสุทธ์ิข้ึน เป็ นตน้ จากการศึกษาลีลาภาษาจากบทความของ วนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือชุดเสริมกาลงั ใจ พบวา่ มี การ ใชค้ าสแลง ตวั อย่างเช่น “ในการทางานก็แซงหาทางลดั เสียบหาตาแหน่ง ท่ีตนหมายตา แลว้ นาหลกั การเดียวกนั น้ีมาใชใ้ น การดาเนินชีวติ ที่น่าประหลาดก็คือยงิ่ แซงยง่ิ เก่ง ยง่ิ เป็นที่ ยอมรับ สามารถรับเลือกทง่ั โดยกระบวนการ ซิกแซก นบั วา่ เก่ง” คาวา่ ซิกแซก ในบริบทน้ีหมายถึง การ หาทางลดั หรือการทาทุกวิถีทางเพ่ือไปใหถ้ ึงจุดหมาย โดย ไมค่ านึงถึงความถูกตอ้ ง ในบริบทน้ี วนิ ทร์ใด้ ยกตวั อยา่ งการเลือกทงั่ ท่ีมีการใชห้ าทางลดั หรือทา วธิ ีการใดก็ ตามท่ีจะใหต้ นเองชนะการเลือกทงั่ โดยไม่ คานึงถึงความถูกตอ้ ง “ผมเป็นคนท่ีไม่ ‘อิน’ กบั กีฬาทุกชนิด ไม่สนใจ และดอ้ ยความรู้เรื่องกีฬาโดยสิ้นเซิง (โปรดอยา่ เอา เป็น เยย่ี งอยา่ ง)”

๗ คาว่า อิน ในบริบทน้ีหมายถึง การอยู่ใน กระแสนิยมหรือมีความสนใจในเรื่องราวต่าง ๆ ที่สังคม กาลงั ใหค้ วามสนใจ ในบริบทน้ี วนิ ทร์กล่าวถึงตวั เองวา่ ไม่ไดส้ นใจในกีฬาและไม่มีความรู้ในดา้ นกีฬาเลย “ผูพ้ ูดเล่าต่อไป “สาหรับเรื่องผูห้ ญิงน้นั ชาย ชาตรีอยา่ งเราจะตอ้ งเช่ียวชาญ...” เขาบรรยายวธิ ี ลดั การสตรีใหห้ ลงรักและหลงใหล ดว้ ยลีลาทางเพศที่ ‘เดด็ สะระต่ี’ ยง่ิ นกั ” คาวา่ เด็ดสะระตี่ ในบริบทน้ีหมายถึง สุดยอด ยอดเยย่ี ม ในบริบทน้ี วนิ ทร์ไดบ้ รรยายวา่ ครูตนเองได้ บรรยายวธิ ีการลดั การหญิงสาวใหห้ ลงใหลดว้ ยลีลาทาง เพศที่สุดยอด จากตัวอย่างข้างด้น จะเห็นไดว้ ่ามีการใชค้ าสแลงท่ีดึงดูดความสนใจของผูอ้ ่านไดเ้ ป็ นอยา่ งดี เพื่อ เพ่มิ สีสนั ในงานเขียน ทาใหเ้ น้ือหามีความน่าสนใจและ สามารถดึงดูดความสนใจจากผอู้ ่านให้อยากดีดตาม เรื่องราวไดเ้ ป็นอยา่ งดี การใช้คาทบั ศัพท์จากภาษาต่างประเทศ คาทบั ศพั ท์จากภาษาต่างประเทศ เป็ นคาภาษาต่างประเทศท่ีเขียนเป็ นภาษาไทย โดยการทบั ศพั ท์ ตามการออกเสียงของคนไทย มีท้งั คาที่ใชท้ วั่ ๆ ไป และท่ีเป็นคาเฉพาะ จากการศึกษาลีลาภาษาจากบทความของ วนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือชุดเสริมกาลงั ใจ พบวา่ มี การ ใชค้ าทบั ศพั ทจ์ ากภาษาตา่ งประเทศ ตวั อยา่ งเช่น การใชค้ าทบั ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ คาทบั ศพั ทท์ ่ีเป็นช่ือเฉพาะ ตวั อย่างเช่น “จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นกั คิดนกั เขียนชาว องั กฤษ(๑๘๕๖-๑๙๕๐)เคยกล่าววา่ “คุณมองส่ิงของต่าง ๆ และคุณบอกวา่ ‘ทาไม?’ แต่ผมจินตนาการสิ่งตา่ ง ๆ ที่ไม่ เคยมีมาก่อน และผมบอกวา่ ‘ทาไมจะไมล่ ่ะ?’ ” จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เป็ นคาทบั ศพั ทท์ ่ีเป็ น ชื่อเฉพาะ คือช่ือคน มาจากคาภาษาองั กฤษวา่ George Bernard Shaw โดยนามาเขียนทบั ศพั ทด์ ว้ ยภาษาไทย “อยากรวยก็รวยได้ อยากเป็ นนกั เขียนก็เป็ นได้ อยากเป็ นนกั แสดงก็เป็ นได.้ ..แน่นอนคงไม่ง่าย แต่ รับรองวา่ ยากนอ้ ยกวา่ นกั กีฬาพิการท่ีไดร้ ับเหรียญ ทองโอลิมปิ ก คนตาบอดที่เรียนจบมหาวิทยาลยั คนเป็ น มะเร็งระยะสุดทา้ ยที่รอดชีวติ มาได้ นกั ร้องท่ี ไร้แขนขา ฯลฯ” โอลิมปิ ก เป็ นคาทบั ศพั ทท์ ่ีเป็ นช่ือเฉพาะคือ ช่ือการแข่งขนั กีฬาโอลิมปิ ก มาจากคาภาษาองั กฤษว่า Olympic โดยนามาเขียนทบั ศพั ทด์ ว้ ยภาษาไทย

๘ “เราควรเขา้ หาคนอื่นดว้ ยความคิดท่ีวา่ เขาอาจเป็นอลั ไซเมอร์ แนะนาตวั เองก่อนเสมอ โทรศพั ท์ หา ผูอ้ ่ืนโดยคิดวา่ เขาอาจกาลงั นอนหลบั อยู่ เขียนจดหมายถึงเขาเหมือนกบั เขาเป็ นครูสอนภาษา เล็ก ๆ นอ้ ย ๆ เหล่าน้ีทาใหก้ ารส่ือสารไมว่ า่ จะเลก็ นอ้ ยแค่ ไหนมีคุณค่าข้ึน” อลั ไซเมอร์ เป็ นคาหบั ศพั ทท์ ่ีเป็ นชื่อเฉพาะ คือชื่อของโรคภาวะสมองเส่ือม มาจากคาภาษาองั กฤษ วา่ Alzhei mer โดยนามาเขียนทบั ศพั ทด์ ว้ ยภาษาไทย คาทบั ศัพท์ทวั่ ไป ตัวอย่างเช่น “สาเหตุที่ไม่สวมนาฬิกาขอ้ มือ ไม่ใช่เพราะ แอนต้ีคนขายนาฬิกาหรือดดั จริตต่อตา้ นสังคม (ท่ีหลาย คนบน่ วา่ ตกเป็นทาสของเวลา) หรือเพ่ือความเท่ แตป่ ระการ” แอนต้ี เป็นคาทบั ศพั ทท์ ว่ั ไป มาจากคา ภาษาองั กฤษวา่ anti ในบริบทน้ีหมายถึง การไม่ชอบ คนขาย นาฬิกา “เปล่า ผมไมไ่ ดป้ ฏิเสธนาฬิกาโดยสิ้นเชิง ตรง ขา้ มกลบั ชอบดูดีไซน์นาฬิกาสวย ๆ บางคร้ังก็ซ้ือมาดู เล่น เพราะชอบการออกแบบ เม่ือเดินทางข้ามประเทศก็พกมัน ไปด้วยเพื่อเทียบเวลา แต่ยดั มนั ใส่ใน กระเป๋ า” ดีไซน์ เป็ นคาทบั ศพั ทท์ ว่ั ไป มาจากคา ภาษาองั กฤษวา่ design ในบริบทน้ีหมายถึง การ ออกแบบ และรูปแบบของนาฬิกา “ละครโทรทศั น์ท่ีผหู้ ญิงสามคนตบตีกนั แย่งชายคนเดียว หรือชายห้าคนหมายปองสตรีคนเดียว จึง ไม่เคยตกยุค การอกหักเป็ นองคป์ ระกอบท่ีขายได้ หนงั ย่ิงเศร้า หลงั่ น้ีตาเป็ นปิ๊ บ ๆ คนดูย่ิงชอบ ราวกบั วา่ เป็นพวกซาดิสตช์ อบดูคนอื่นบาดเจบ็ ทางใจ” ซาดิสต์ เป็ นคาทบั ศพั ทท์ วั่ ไป มาจากคา ภาษาองั กฤษวา่ sadist ในบริบทน้ีหมายถึง กลุ่มคนท่ี ชอบ กระทาการทารุณผอู้ ื่นใหเ้ จบ็ ปวดทรมาน จากตัวอย่างข้างต้ น จะเห็นได้ว่าในบทความ ของวินทร์ เลียววาริ ณ มีการใช้คาทับศัพท์ ภาษาต่างประเทศ คือ ภาษาองั กฤษ แบ่งออกเป็ น ๒ ประเภท คือ คาทบั ศพั ทท์ ี่เป็ นชื่อเฉพาะและคาทบั ศพั ท์ ทว่ั ไป โดยนามาเขียนทบั ศพั ทด์ วั ยภาษาไทย การใช้คาทมี่ คี วามหมายแฝง

๙ คาที่มีความหมายแฝง เป็ นความหมายอีก ความหมายหน่ึงนอกเหนือจากความหมายตรงหรือ ความหมายประจาคา จากการศึกษาลีลาภาษาจากบทความของ วนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือชุดเสริมกาลงั ใจ พบวา่ มี การ ใชค้ าที่มีความหมายแฝง ตวั อย่างเช่น “ทนั ใดน้นั ทุกคนกพ็ ากนั กลบกล่ินตวั สวม เส้ือผา้ ตามกระแสที่คนกลุ่มหน่ึงสร้าง กิน ดื่ม เล่น นอน ตามตารางที่ถูกกาหนดมา ราวกบั หุ่นยนตท์ ี่ ออกมาจากโรงงานเดียวกนั ” กล่ินตวั ในบริบทน้ีมีความหมายแฝงว่า สิ่งท่ี เป็ นตวั ตนที่แท้จริงของตนเอง ซ่ึงเป็ นสิ่งท่ีคนอื่น อาจจะ มองวา่ ไม่ดี ไมท่ นั สมยั ไมม่ ีคุณค่า “โลกหมุนไม่หยดุ เพราะมีคนกลุ่มหน่ึง พยายามว่ิงหนีเงาของตนเองไปขา้ งหนา้ คนพนั ธุ์น้ี เชื่อวา่ มี อะไรใหม่ ๆ รอใหเ้ ราสร้างอยเู่ สมอ ไมม่ ีวนั หมด น่ีจึงทาใหก้ ารสร้างสรรคม์ ีความหมาย” วง่ิ หนีเงา ในบริบทน้ีมีความหมายแฝงวา่ การพฒั นาตนเอง พฒั นาความคิด สร้างสรรคส์ ่ิงใหม่ ๆ อยู่ ตลอดเวลา “คนที่วา่ งเปล่าคนน้ียงั ร้องเพลง เล่นหนงั เพลง แลว้ ลอกคราบอีกคร้ัง เมื่อเขาสลดั เปลือกของดารา หนงั มาเป็นผกู้ ากบั ภาพยนตร์ ลอกคราบ ในบริบทน้ีมีความหมายแฝงว่า การเปล่ียนแปลงบทบาท หนา้ ที่, เปลือก ในบริบทน้ีมี ความหมายแฝงว่า บทบาท ในบริบทน้ี วินทร์ได้ กล่าวถึงคลินท์ อีสต์วูด ท่ีได้เปล่ียนแปลงบทบาทของ นกั แสดงมาเป็นผกู้ ากบั ภาพยนตร์” การสวม ‘แวน่ ตาดา’ นาน ๆ คร้ังไม่ใช่เร่ือง เลวร้าย อาจช่วยทาให้ระวงั ตนในระดบั หน่ึง แต่สวม บอ่ ย ๆ อาจทาใหต้ าไม่ชินกบั ความสวา่ ง อยใู่ นช่วงที่ น่าจะมีความสุขก็ไม่เป็ นสุข อยใู่ นช่วงเวลาทุกขก์ ็ทุกข์ กวา่ ที่ควรเป็น “แว่นตาดา ในบริบทน้ีมีความหมายแฝงว่า การมองโลกดา้ นลบ ในบริบทน้ีวินทร์ เลียววาริณ ได้ กล่าวถึงการมองโลกในดา้ นลบจะช่วยใหเ้ รามีความระมดั ระวงั ตนเองได้ แตถ่ า้ มองโลกในดา้ นลบบ่อย ๆ จะ ทาให้กลายเป็ นคนหวาดระแวงอยูต่ ลอดเวลา เวลามี ความสุขก็ไม่เป็ นสุข เวลามีความทุกขก์ ็ทุกข์มากกวา่ ควรที่จะเป็ น”

๑๐ จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นไดว้ า่ ในบทความ ของวนิ ทร์ เลียววาริณ มีการใชค้ าที่มีความหมายแฝง ซ่ึงเป็นความหมายอีกความหมายหน่ึงท่ีไมต่ รงกบั รูป คาที่ปรากฏ เป็นการใชค้ าอยา่ งหน่ึงแต่ไม่ไดม้ ุ่งที่จะให้ มีความหมายตามน้นั ผเู้ ขียนมุ่งแฝงความหมายอื่นและ ใหเ้ ขา้ ใจความหมายตามความหมายแฝงน้นั ซ่ึงเป็ น การสร้างความน่าสนใจในงานเขียนอีกวธิ ีหน่ึง การใช้คาอทุ าน คาอุทานหมายถึง คาที่เปล่งออกมาโดยไม่มี ความหมาย แต่บอกอาการหรือความรู้สึกของผูก้ ล่าว ได้ จาแนกเป็น ๒ ชนิด ดือ อุทานบอกอาการและ อุทานเสริมบท จากการศึกษาลีลาภาษาจากบทความของ วนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือชุดเสริมกาลงั ใจ พบวา่ มี การ ใชค้ าอุทานท้งั ประเภทอุทานบอกอาการและอุทาน เสริมบท อทุ านบอกอาการ อุทานบอกอาการ คือ คาอุทานที่ผูพ้ ูดเปล่ง ออกมา เพื่อให้รู้จกั อาการต่าง ๆ ของผูพ้ ูด และเป็ นคา อุทานบอกอาการท่ีมีลกั ษณะ คือ ใชบ้ อกอาการในเวลา พดู จากนั เช่น นี่แน่! (แสดงอาการเรียกร้องหรือบอก ให้ รู้ตวั ) เหม่! (แสดงอาการโกรธเคือง) ตัวอย่างเช่น “ท่ีน่าตลกคือ วนั ท่ี ๓๑ ธนั วาคมปี ถดั มาหลายคนพบว่า รายการกลบั เน้ือกลบั ตวั ชุดใหม่มกั ซ้ากบั รายการเดิม แสดงวา่ ท่ีผา่ นมา ๓๖๕วนั ไมม่ ีอะไรใหม่ ๆ เกิดข้ึน (ตามแผน) เลยหรือเพราะมีแผนมากเกินไป จนไม่มีการเปล่ียนแปลงเกิดข้ึนเลยสักอยา่ งเดียวจนถึงเท่ียงคืนวนั ที่ ๓๑ ธนั วาคม บางคนถอน ใจเพราะเพ่ิง นึกไดว้ า่ เอะ๊ ! ปี น้ีก็เขา้ ข่าย “Same old shit, different year.” คาว่า เอ๊ะ หมายถึง คาที่เปล่งออกมาแสดง ความฉงน ไม่เขา้ ใจ หรือไม่พอใจ เป็ นตน้ ใน บริบทน้ี เป็ นการใช้คาอุทานบอกอาการสงสัย โดยสงสัยวา่ แผนการต่าง ๆ ที่จะทาในปี น้ียงั คงเหมือน แผนการเดิม ของปี ท่ีผา่ น ๆ มา “เฮอ้ ! มนุษยเ์ รากแ็ ปลก! ไมม่ ีปัญหาก็หาปัญหา มาแบกไวโ้ ดยใช่เร่ือง! ” คาวา่ เฮอ้ หมายถึง คาท่ีเปล่งออกมาแสดง ความเบื่อหน่ายหรือไมถ่ ูกใจ เป็นตน้ ในบริบทน้ี เป็ นการ ใชค้ าอุทานบอกอาการเหน่ือยใจกบั มนุษยท์ ่ี ชอบสร้างแต่ปัญหา

๑๑ อทุ านเสริมบท อุทานเสริมบท คือ อุทานที่ผูพ้ ดู กล่าว เพิม่ เติมถอ้ ยคาเสริมข้ึน เช่น ลูกเตา้ แขนแมน เลขผา ตวั อยา่ งเช่น คนแก่จานวนมากแก่ตามกติกาของสงั คม คนไม่นอ้ ยมองคนแก่เป็นคนไร้ค่า ดว้ ยประโยคที่วา่ “อยบู่ า้ นเล้ียงหลานเถอะ” หรือ “ถึงเวลาเขา้ วดั เขา้ วา ไดแ้ ลว้ ” คาวา่ เขา้ วดั เขา้ วา เป็ นคาอุทานเสริมบท มาจากคาวา่ เขา้ หมายถึง อาการที่เคลื่อนไปขา้ งหนา้ หรือ ทาใหเ้ คลื่อนไปขา้ งในและคาวา่ วดั หมายถึง สถานท่ีทางศาสนา โดยปกติมีโบสถ์วิหารและท่ีอยู่ ของสงฆ์ หรือนกั บวช เป็นตน้ ในบริบทน้ีเป็นการ ใชค้ าอุทานเสริมบท ท่ีกล่าวถึงคนจานวนไม่นอ้ ยท่ีชอบ มองคนแก่ เป็นคนไร้ค่า และชอบใหค้ นแก่เล้ียงหลาน หรือไม่กเ็ ขา้ วดั “ความเสียหายบางเร่ืองเป็นเพยี งน้าผ้งึ หยดเดียว ขยายตวั ลามออกไปเพียงเพราะคนที่ประสบปัญหา ไม่ สามารถหุบปากตวั เอง ยกตวั อยา่ งเช่น เม่ือถูกตารวจ จราจรจบั ขอ้ หาทาผดิ กฎจราจร กด็ ่าตารวจวา่ โง่เง่าที่ จบั สุ่มส่ีสุ่มหา้ (ซ่ึงบางคร้ังอาจเป็นความจริง!) กอ็ าจ ไดร้ ับขอ้ หาอีกหน่ึงคือดูหมิ่นเจา้ พนกั งาน” คาวา่ สุ่มสี่สุ่มหา้ เป็นคาอุทานเสริมบท มา จากคาวา่ สุ่ม หมายถึง อาการที่ทาไปโดยไม่แน่ใจวา่ จะ ถูกหรือไม่,ไม่เฉพาะเจาะจง ในบริบทน้ีเป็ น การใช้คาอุทานเสริมบท ที่กล่าวถึงนิสัยของคนท่ีลงมือ กิจกรรมบางอยา่ งโดยไมม่ ีการคิดและวางแผนมาอยา่ งรอบคอบ จากตวั อย่างข้างต้น จะเห็นไดว้ า่ ในบทความ ของวนิ ทร์ เลียววาริณ มีการใชค้ าอุทานบอกอาการที่ผู้ พูดเปล่งออกมา เพ่ือบอกอาการต่าง ๆ ในเวลาพูดคุย กนั และคาอุทานเสริมบทท่ีผพู้ ูดกล่าวเพิ่มเติมถอ้ ยคา เสริมข้ึน การใชค้ าในบทความของวนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือเสริมกาลงั จานวน ๗ เล่ม พบการใชค้ า ไดแ้ ก่ การใชค้ าเลียนเสียงพูด การใชค้ ายอ่ การใช้ คาหยาบ การใชค้ าสแลง การใชค้ าทบั ศพั ทจ์ าก ภาษาต่างประเทศ การใชค้ าที่มีความหมายแฝง และ การใชค้ าอุทาน การใช้โวหารภาพพจน์ ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษานาเกณฑใ์ นการใชโ้ วหาร ภาพพจน์ของจุไรรัตน์ ลกั ษณะสิริ มาเป็ นแนวทาง ในการ วเิ คราะห์ จากการศึกษาบทความของวนิ ทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือเสริมกาลงั ใจ จานวน ๗ เล่ม ผูว้ ิจยั พบการ ใชโ้ วหารภาพพจน์ดงั ตอ่ ไปน้ี

๑๒ ตัวอย่างเช่น “ไส้เดือนไม่วา่ ระบายสีตวั เองอยา่ งไร กย็ งั คง เป็นไส้เดือน มิใช่วา่ มีจานวนมากเท่าใด ก็เพียงส่ายหวั ยกึ ยอื ไปมา ไมอ่ าจผงาดบินไดด้ งั่ มงั กรหน่ึงตวั ” จากตัวอย่างนี้ เป็นการเปรียบเทียบถึงคนที่คดโกงเหมือนกบั ไส้เดือน ถึงแมจ้ ะมีจานวนมาก อยา่ งไร กต็ าม คุณค่าและศกั ด์ิศรีกไ็ ม่สามารถเทียบเทา่ กบั คนท่ีฉลาดและไมค่ ดโกงที่เปรียบเหมือนมงั กรได้ “คนอย่างเขามีนอ้ ยลงไปทุกวนั เหมือนพืช- สัตวป์ ่ าหายากที่กาลงั ใกลส้ ูญพนั ธุ์ คร้ันจะวา่ คนขบั แทก็ ซี่บางคนั ท่ีเลือกงาน ก็พดู ไมเ่ ตม็ ปากดูเหมือนคน ท้งั โลกก็เลือกงาน” จากตัวอย่างนี้ เป็ นการเปรียบเทียบถึงคนท่ีขยนั ทางานหายากเหมือนกบั พืชหรือสัตวป์ ่ าที่ใกล้ สูญ พนั ธุ์ “สัมมาวาจากเ็ ช่นน้าเยน็ พรมใส่ตน้ ไม้ นอกจากจะสร้างความชุ่มฉ่าต่อใบหรือดอก ยงั ไหล ยอ้ นลง ดินเป็ นอาหารแก่ราก” จากตัวอย่างนี้ เป็ นการเปรียบเทียบถึงการกล่าวถอ้ ยคาที่สุภาพเหมือนกบั น้าเยน็ ที่สดชื่น พรมใส่ ตน้ ไมก้ ส็ ร้างความชุ่มฉ่าใหก้ บั ดอก ใบและราก ทาให้ ตน้ ไมน้ ้นั เจริญเติบโตไดด้ ี เหมือนกบั การพูดจาสุภาพ แก่กนั ไม่วา่ ผพู้ ูดหรือผฟู้ ังก็จะมีแต่ความสุข สดชื่น “เม่ือประกาศผลออกมา ชาวเมืองท่ีชนะการ ประกวดก็เฉลิมฉลองเป็ นการใหญ่ ส่วนเมืองท่ีพา่ ยแพ้ ก็หงอยเหงาราวกบั ห่าลงเมือง ถือวา่ เป็นภาพที่ถ่างตา ผมออกกวา้ งในรอบปี ” จากตัวอย่างนี้ เป็นการเปรียบเทียบถึงเมืองที่ ผดิ หวงั จากการคดั เลือกใหเ้ ป็ นเจา้ ภาพจดั งานโอลิมปิ ก วา่ เงียบเหมือนเมืองท่ีมีโรคระบาดแพร่กระจาย ผคู้ น ลม้ ตายเป็นจานวนมาก จนทาใหเ้ มืองน้นั เงียบสงดั จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นไดว้ า่ มีการใช้ อุปมาโวหารท่ีมีลกั ษณะเด่นในการเปรียบเทียบส่ิงหน่ึง ให้เหมือนกบั อีกสิ่งหน่ึง เพ่ือทาใหเ้ ขา้ ใจถึงความหมาย ของคาท่ีนามาเปรียบเทียบไดง้ ่าย และทาให้ผูอ้ ่าน เห็น ภาพไดช้ ดั เจนมากยงิ่ ข้ึน อุปลกั ษณ์ อุปลกั ษณ์ (metaphor) คือ การเปรียบเทียบ ดว้ ยการกล่าววา่ ส่ิงหน่ึงเป็ นอีกส่ิงหน่ึง โดยใชแ้ สดง การเปรียบเทียบวา่ เป็ น หรือ คือ ความหมายจึงลึกซ้ึง กวา่ อุปมา เช่น ลูกคือดวงตาดวงใจของพอ่ แม่ เป็ นตน้ ตัวอย่างเช่น

๑๓ “...กไ็ ม่น่าจะขา เพราะจากสถิติ ผหู้ ญิง จานวนมากพบประสบการณ์คบั แคน้ คลา้ ย ๆ กนั นน่ั คือ เมื่อ อายยุ า่ งเขา้ เลข ๔ มกั ถูกมองเป็นหวั สิว คือ ตอ้ งบีบออกเร็วที่สุด...” จากตัวอย่างนี้ เป็ นการเปรียบเทียบถึงผูห้ ญิง ท่ีมีอายุยา่ งเขา้ เลย ๔ เป็ นหัวสิวท่ีตอ้ งบีบออกให้เร็ว ที่สุด เนื่องจากผหู้ ญิงในวยั น้ีเป็นวยั ที่เริ่มไม่สดใส มองแลว้ ก็มีความรู้สึกหดหู่ ไม่สดช่ืนเหมือนผูห้ ญิงใน วยั สาว “รักก็คือไฟ เล่นกบั ไฟหน่ึงกองกย็ ากแลว้ ท่ี ไมใ่ หไ้ หมต้ วั เอง ไฟหลายกองยงิ่ เล่นยาก ชา้ หรือเร็ว ใน สงั คมปัจจุบนั ก็ตอ้ งเลือกเอาเพียงกองเดียว” จากตัวอย่างนี้ เป็นการเปรียบเทียบถึงความ รักคือกองไฟ ย่ิงรักหลายคนก็เหมือนกบั เล่นกบั กองไฟ หลายกอง คนท่ีเล่นกบั ความรัก สุดทา้ ยก็จะโดนไฟ ไหมต้ วั เองในท่ีสุด “ทะนง โคตรชมพู ใชค้ วามเพียรขบั เคลื่อนชีวติ ใชค้ วามอดทนสร้างทางเดินใหต้ วั เอง ใชศ้ ิลปะเป็ น พาหนะ ปลดปล่อยชีวติ เป็นอิสระและอยเู่ หนือ‘กรรมเก่า’ใด ๆ” จากตัวอย่างนี้ เป็ นการเปรียบเทียบถึงการใช้ ศิลปะเป็ นตวั ขบั เคล่ือนชีวิต เนื่องจาก ทะนง โคตร ชมพู เป็นคนพกิ าร ป่ วยเป็นโรคแขนขาลีบ ไม่สามารถ ช่วยเหลือตวั เองได้ แต่เขาใชศ้ ิลปะเป็ นแรงบนั ดาลใจ ในการทางาน ทาใหเ้ ขามีความหวงั ท่ีจะใชช้ ีวติ ต่อไปได้ “ความอดทน ความเมตตาต่อกนั การเอาใจ เขามาใส่ใจเรา เสมอด้นเสมอปลาย มองคู่ชีวิตเป็ น หุน้ ส่วน เป็นเพ่อื นร่วมทาง เหล่าน้ีคือคาถาสาคญั ท่ี ไดผ้ ลกวา่ สญั ลกั ษณ์มงคลท้งั หลายท้งั ปวง” จากตัวอย่างนี้ เป็ นการเปรียบเทียบคู่ชีวิตวา่ จะเป็ นผูท้ ี่ไดร้ ับผลจากการกระทา ไม่วา่ จะดีหรือร้าย เนื่องจากคู่ชีวิตจะตอ้ งอยู่ดว้ ยกนั ไปตลอดชีวิต ดงั น้นั จึงตอ้ งช่วยกนั สร้างครอบครัว สร้างฐานะ คอยให้ คาปรึกษาและดูแลกนั ไปตลอดชีวติ จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นไดว้ า่ มีการใช้ อุปลกั ษณ์โวหารท่ีมีลกั ษณะในการเปรียบเทียบวา่ ส่ิง หน่ึง เป็นอีกส่ิงหน่ึง ซ่ึงการใชโ้ วหารอุปลกั ษณ์ในงาน เขียนน้ี ทาใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจเน้ือหาไดง้ ่ายข้ึนและทาให้ ผอู้ ่าน อยากติดตามยงิ่ ข้ึน อติพจน์ อติพจน์ (hyperbole) คือ การกล่าวเกินจริง ซ่ึงเป็ นความรู้สึกหรือความคิดของผูก้ ล่าวที่ตอ้ งการย้า ความหมายให้ฟังหนกั แน่นจริงจงั ทง่ั ท่ีผูก้ ล่าวและผูฟ้ ัง ก็เขา้ ใจวา่ มิใช่เป็ นการกล่าวเท็จ เช่น “ฉนั หิวไส้จะ ขาด แลว้ นะ หรือ “ชาติหนา้ ตอนบา่ ย ๆ จึงจะไดพ้ บคน เช่นน้ีอีก” เป็นตน้ ตวั อยา่ งเช่น

๑๔ “ภาพยนตร์รักโหมใส่เราว่า รักทาให้เราเป็ น คนโดยสมบูรณ์ ละครรักตอกย้าว่า คนท่ีไร้รักน่า สงสารท่ีสุดในโลก เป็ นเร่ืองน่าสนใจยิ่งท่ีจากประชากรกวา่ หกหันลา้ นคนในโลก มีเพียงคนเดียวท่ี ทาให้ ชีวติ ของเรามีความหมาย” จากตวั อย่างนี้ เป็นการกล่าวถึงคนที่ไร้ซ่ึงรัก เป็ นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก เป็ นการกล่าวเกินจริง อาคารทุกหลงั มีนาฬิกา โทรศพั ทม์ ือถือทุกเครื่องมีนาฬิกา และเกือบทุกคนที่เดินผา่ นคุณสวมนาฬิกา นาฬิกา ทว่ มโลกเสียจนหาคนแปลกหนา้ ท่ีมาถามเวลาเรานอ้ ยลงทุกที “ฝ่ ายพระเอกจะรู้สึกสดช่ืนเหมือนกินยาบา้ เขา้ ไปสักร้อยเม็ด สารอะดรีนาลีนหลงั่ ไหลพล่านทวั่ ร่าง เมื่อสะบดั ฝ่ ามือ หินผาที่อยูไ่ กลออกไปหลายเชียะก็ แตกร้าว กระโดดเบา ๆ ก็วิ่งไปร้อยสิบล้ีโดยไม่ เหนื่อยหอบ เพราะพลงั ภายในแบบ ‘สะสมทรัพย’์ ของตนรวมดอกเบ้ียพลงั หกสิบปี ของอาจารยเ์ ขา้ ไปดว้ ย” จากตัวอย่างนี้ เป็ นการกล่าวถึงลูกศิษยท์ ี่ ไดร้ ับพลงั ลมปราณจากอาจารย์ ทาใหร้ ่างกายแข็งแรง มี พละกาลงั เพิ่มข้ึน สะบดั ฝ่ ามือก็สามารถทาให้หินผาท่ีอยู่ไกลแตกร้าวได้หรือเพียงแค่กระโดดเบา ๆ ก็ สามารถวงิ่ ไปหลายร้อยกิโลเมตรโดยไม่เหน่ือยหอบ เป็นการกล่าวเกินจริง จากตวั อย่างข้างต้น จะเห็นไดว้ า่ มีการใช้ อติพจน์โวหารท่ีมีลกั ษณะเป็ นการกล่าวเกินจริงซ่ึงการใช้ โวหารลกั ษณะน้ีจะช่วยทาให้มองเห็นภาพและ เขา้ ใจความหมายของคาไดช้ ดั เจนยิ่งข้ึนและเป็ นการ เพ่ิม สีสนั ใหบ้ ทความมีความน่าสนใจยงิ่ ข้ึน คาถามเชิงวาทศิลป์ คาถามเชิงวาทศิลป์ หรือปฏิปุจฉา (rhetorical question) คือ การต้งั คาถาม แต่มิไดห้ วงั คาตอบ หรือ ถา้ มีคาตอบกต็ อ้ งเป็นคาตอบท่ีทง่ั ผถู้ ามและผตู้ อบรู้ดี อยแู่ ลว้ นกั เขียนจะใชค้ าถามเชิงวาทศิลป์ หรือปฏิปุจฉา เพ่ือเร้าอารมณ์ผูอ้ ่านหรือส่ือความหมายและขอ้ คิดท่ี ตอ้ งการ เช่น เราจะยอมให้มีการฉ้อราษฎร์บงั หลวง ตอ่ ไปอีกหรือ เป็นตน้ ตัวอย่างเช่น “ความสวยงามของความฝันที่ดีคือมนั เปล่ียน ชีวิตผูท้ ี่ฝันได้ และก็เปล่ียนชีวิตของมนุษยช์ าติไป ในทางท่ีดีข้ึนได้ ถา้ เช่นน้นั ทาไมไมล่ องใชป้ ระโยชน์ จากความฝันใหเ้ ตม็ ที่ล่ะ?” จากตวั อย่างนี้ มีการใชป้ ฏิปุจฉาตรงประโยค ท่ีวา่ ถา้ เช่นน้นั ทาไมไม่ลองใชป้ ระโยชน์จากความฝัน ให้เต็มที่ล่ะ ในบริบทน้ีหมายความว่า คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีความฝันหากความฝันน้ันสามารถ เปลี่ยนแปลงชีวติ ใหด้ ีข้ึนได้ ทาไมไม่ลองทาความฝัน น้นั ใหเ้ ป็นจริง

๑๕ “ความจริงการเปล่ียนแปลงของชีวติ ไม่ไดถ้ ูกขีดคน่ั ดว้ ยตวั เลข ๓๑ กบั ๑๒ บนปฏิทินหรือฤกษย์ าม ใด ๆ ฤกษท์ ี่ดีที่สุดคือ ‘เดี๋ยวน้ี’ และ ‘ทนั ที’ หากเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีดี ก็สมควรทาเลยเด๋ียวน้ีไมใ่ ช่ หรือ?” จากตัวอย่างนี้ มีการใชป้ ฏิปุจฉาตรงประโยคท่ีวา่ หากเป็ นการเปล่ียนแปลงที่ดี ก็สมควรทาเลย เด๋ียวน้ีไม่ใช่หรือ ในบริบทน้ีหมายความวา่ การ เปลี่ยนแปลงตวั เองให้ดีข้ึน ไม่ตอ้ งรอเวลาหรือฤกษ์ใด ๆ ควรท่ีจะรีบทาทนั ที “คนจานวนมากชอบทางานใหญ่มากกว่า งานเล็ก บางคนถึงกบั เหยียดหยามงานเล็กว่าต่าตอ้ ย โดยเฉพาะผทู้ ี่เชื่อวา่ ปริญญาบตั รคือตวั กาหนดความ แตกต่างระหวา่ งงานใหญ่กบั งานเล็ก สถาปนิกไม่นอ้ ย ไม่อยากออกแบบงานเล็ก ๆ ทนายความไม่นอ้ ย ไม่อยากวา่ ความคดีเล็ก เพราะไดเ้ งินนอ้ ยกวา่ และ ไม่ช่วย สร้างชื่อเสียงให้ ทวา่ หากทุกคนในโลกไป ทางานใหญก่ นั หมดใครจะทางานเล็ก?” จากตัวอย่างนี้ มีการใช้ปฏิปุจฉาตรงประโยค ท่ีว่า ทวา่ หากทุกคนในโลกไปทางานใหญ่กนั หมด ใครจะทางานเล็ก ในบริบทน้ีหมายความวา่ หากทุกคนในโลกสนใจแต่งานใหญ่ ๆ ทางานข้ึนใหญ่ ๆ แลว้ ใคร จะมาทางานข้ึนเลก็ ๆ ซ่ึงงานทุกอยา่ งลว้ นแลว้ แต่มี ความสาคญั เทา่ กนั ทงั่ น้นั “หลายคนมีความสุขมากเมื่อไดร้ ถยนตค์ นั ใหม่ แตง่ งาน เลื่อนตาแหน่ง เงินเดือนข้ึน ขายหุน้ ไดร้ าคา ดี ฯลฯ หากนี่ไมใ่ ช่ ‘ความสุข’ แลว้ มนั คืออะไร” จากตัวอย่างน้ี มีการใชป้ ฏิปุจฉาตรงประโยค ท่ีวา่ หากนี่ไมใ่ ช่ความสุข แลว้ มนั คืออะไร ในบริบทน้ี หมายความวา่ หากความสุขของคนเราไม่ได้อยู่ที่การ ครอบครองทรัพยส์ มบตั ิหรือสิ่งของมากมาย แลว้ ความสุขของคนเราน้นั อยทู่ ี่ใด “รักแลว้ เขาตอ้ งรักตอบ หากเขาไม่รักเราก็เกิด สถานการณ์ที่เรียกวา่ ‘อกหกั ’ ออกอาการมากนอ้ ย แลว้ แต่ คน บา้ งรุนแรงถึงขนาดฆ่าตวั ตาย หากความรักไม่มีขอ้ แม้ จริง หากความรักเป็ นความรู้สึกที่ไม่ใช่ เพอื่ ตวั เราเองจริง ทาไมตอ้ งเจบ็ ปวดใจถึงขนาดน้นั ดว้ ย?” จากตัวอย่างนี้ มีการใชป้ ฏิปุจฉาตรงประโยค ที่วา่ ทาไมตอ้ งเจบ็ ปวดใจถึงขนาดน้นั ดว้ ย ในบริบทน้ี หมายถึง ความรักไม่มีขอ้ แมไ้ ม่มีเหตุผล ความรักเป็ น ความรู้สึกดี ๆ ที่มอบให้แก่คนอ่ืน แลว้ คร้ังหน่ึงที่ ผดิ หวงั ข้ึนมา ทาไมคนท่ีเจบ็ ปวดมากท่ีสุดคือตวั เราเอง “เมื่อสวมแวน่ ตาดา มองไปทางไหนก็เห็นทุก อยา่ งมืดกว่าท่ีเป็ นจริง แต่มนุษยจ์ านานมากก็นิยม สาม ‘แวน่ ตาดา’ มิใช่หรือ?”

๑๖ จากตัวอย่างนี้ มีการใชป้ ฏิปุจฉาตรงประโยค ที่วา่ มนุษยจ์ านวนมากก็นิยมสวมแวน่ ตาดามิใช่หรือ ในบริบทน้ีหมายความวา่ คนส่วนใหญจ่ ะชอบมองทุก อยา่ งในแง่ร้ายเสมอ ทาใหไ้ ม่มีความสุขในการใชช้ ีวติ “ความรักมิไดอ้ ยูท่ ี่การจดทะเบียนตีตราแต่ก็ มิใช่สักแต่วา่ ต่อตา้ นค่านิยมประเพณีทุกอยา่ ง เพราะ หากรักกนั จริงและการจดทะเบียนสมรส ทาให้อีก ฝ่ ายรู้สึกดี ไยตอ้ งปฏิเสธ? เพราะความรักคือการให้ไม่ใช่ รับฝ่ ายเดียว” จากตัวอย่างนี้ มีการใชป้ ฏิปุจฉาตรงประโยค ที่วา่ หากรักกนั จริงและการจดทะเบียนสมรส ทาให้ อีก ฝ่ ายรู้สึกดี ไยตอ้ งปฏิเสธ ในบริบทน้ีหมายความวา่ การจดทะเบียนสมรสถือเป็ นค่านิยมที่ปฏิบตั ิกนั อยา่ ง แพร่หลาย หากการแสดงความรักโดยการจดทะเบียน สมรสเป็ นเร่ืองที่ทาให้อีกฝ่ ายรู้สึกดีและเป็ นการให้ เกียรติ ทาไมตอ้ งปฏิเสธการจดทะเบียนสมรส “บ่อยคร้ังในชีวิต เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ กลืนไม่เขา้ คายไม่ออก จาเป็ นตอ้ งโกหกเพื่อทาให้ สถานการณ์ดีข้ึน หรือเพื่อมนุษยธรรม หรือไม่ตอ้ งการ ทาร้ายใจคนโดยไม่จาเป็ น white lie ต้งั คาถามวา่ เรา วดั การทาดีชว่ั ที่อะไร การกระทาหรือผลลพั ธ์ ถา้ วดั ที่ผลลพั ธ์ มนั จะสร้างบรรทดั ฐานใหม่ท่ีไม่ดี ต่อสังคม หรือไม?่ ” จากตวั อย่างนี้ มีการใชป้ ฏิปุจฉาตรงประโยค ท่ีวา่ เราวดั การทาดีชวั่ ท่ีอะไร การกระทาหรือผลลพั ธ์ ถา้ วดั ที่ผลลพั ธ์ มนั จะสร้างบรรทดั ฐานใหม่ท่ีไม่ดีต่อ สังคมหรือไม่ ในบริบทน้ีหมายความวา่ การวดั การทา ความดีความชว่ั น้นั เราใช้อะไรเป็ นตวั ตดั สินว่าสิ่งไหน เป็ นสิ่งท่ีดีหรือชว่ั โดยให้ตดั สินท่ีการกระทาหรือ ผลลพั ธ์ และถา้ หากใชผ้ ลลพั ธ์เป็นตวั วดั การโกหกเพอื่ ทาใหส้ ถานการณ์ดีข้ึนก็จะกลายเป็นการสร้างบรรทดั ฐานท่ีไมด่ ีใหก้ บั สงั คมหรือไม่ จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นไดว้ ่ามีการใช้ คาถามเชิงวาทศิลป์ ซ่ึงเป็ นการใช้คาถามที่ไม่ตอ้ งการ คาตอบ แต่เป็ นการเรียกร้องความสนใจจากผอู้ ่าน โดย ตอ้ งการให้ผูอ้ ่านคิดและติดตามเน้ือหาน้นั ๆ จนจบ เรื่อง การใชภ้ าพพจน์โวหารในบทความของ วินทร์ เลียววาริณ ในหนงั สือเสริมกาลงั ใจจานวน ๗ เล่ม พบ การใช้ภาพพจน์โวหาร ๔ ประเภท ได้แก่ อุปมา อุปลักษณ์ อดิพจน์ และคาถามเชิงวาทศิลป์ หรือ ปฏิปุจฉา จากตัวอย่างท้งั หมด จะเห็นไดว้ า่ ในการเขียน บทความของวินทร์ เลียววาริณน้นั เป็ นงานเขียนที่มี ศิลปะและมีช้นั เชิงในการเขียนที่หลากหลาย ซ่ึงเป็ นเสน่ห์ท่ีช่วยดึงดูดความสนใจจากผอู้ ่านเป็ นจานวนมาก

๑๗ สิ่งเหล่าน้ีลว้ นเป็นสิ่งท่ีช่วยยนื ยนั ใหผ้ อู้ า่ นทราบวา่ วนิ ทร์ เลียววาริณเป็ นนกั เขียนท่ีมีคุณภาพและ เหมาะสม ท่ีจะไดร้ ับการคดั เลือกใหเ้ ป็นศิลปิ นแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจาปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ อภิปรายผลการวจิ ัย จากการศึกษาบทความของวินทร์ เลียววาริณ ที่ไดร้ ับการตีพิมพต์ ้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๕ ใน ช่ือ หนงั สือเสริมกาลงั ใจ จานวน ๗ เล่ม ทาใหท้ ราบวา่ บทความเป็ นวรรณกรรมประเภทหน่ึงที่มีคุณค่าต่อ สังคม โดยใหค้ วามรู้ ความคิดเห็น เสนอเรื่องราวและเหตุการณ์ ต่าง ๆ แก่ผอู้ ่านไดเ้ ป็ นอยา่ งดี และบทความ ของ วินทร์ เลียววาริณ ยงั เป็ นงานเขียน ที่ไดร้ ับความนิยมจากผูอ้ ่าน เป็ นจานวนมาก ท้งั น้ีเนื่องจากบทความมี ขนาดส้ัน หลากหลายเน้ือหา เหมาะสาหรับการเลือกอ่าน และยงั ตอบสนองต่อความตอ้ งการของคนใน สังคมปัจจุบนั นนั่ คือ มีความเร่งรีบในการใช้ชีวิต การนงั่ เรียน การทางาน การติดต่อส่ือสาร ฯลฯ สภาพ สังคมในปัจจุบนั ลว้ น แลว้ แตป่ ระสบปัญหาต่าง ๆ ในการดาเนินชีวติ ท้งั ปัญหาสงั คม เศรษฐกิจ การเมือง ซ่ึง ลว้ นแลว้ แต่ทาให้ สภาพจิตใจของคนในสังคมน้นั เสื่อมถอยลง คนในสังคม จึงตอ้ งหาวิธีการในการช่วย บาบดั จิตใจโดยวิธีการต่าง ๆ กนั ออกไปตามแต่ความสนใจ ซ่ึงการเลือกอ่านบทความ ก็เป็ นวิธีการหน่ึงท่ี ผคู้ นในสังคมนิยมกระทา ซ่ึงเน้ือหา ในบทความน้นั ลว้ นมีความเก่ียวขอ้ งกบั สภาพสังคมใน ปัจจุบนั มีการ แสดงทศั นะความคิดเห็น ตลอดจนการให้ กาลงั ใจในการดาเนินชีวิต ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ความเห็น ของประ สิทธิ กาพยก์ ลอน ที่ไดแ้ สดงทศั นะเก่ียวกบั บทความไวว้ า่ บทความเป็ นวรรณกรรมท่ีเขียนข้ึนเพ่ือ มุ่งเสนอ ขอ้ คิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองราวหรือเหตุการณ์ที่ เกิดข้ึน เร่ืองท่ีจะนามาเขียนบทความจึงตอ้ งเป็ นเร่ืองท่ี คนกาลงั สนใจ ทนั ต่อเหตุการณ์ มีสาระแทรกทศั นะที่ ชวนอ่าน ชวนคิด ไม่ใช่เป็ นเร่ืองต่าง ๆ ทวั่ ไป ซ่ึงในการ นาเสนอบทความน้นั ผเู้ ขียนอาจใชก้ ลวธิ ีในการนาเสนอ และศิลปะลีลาภาษาที่แตกต่างกนั ไปตามแต่ความรู้ ความสามารถและวตั ถุประสงคข์ องผเู้ ขียน ในขณะเดียวกนั ก็ให้ความเพลิดเพลินแก่ผูอ้ ่านไปพร้อม ๆ กบั ความรู้โดยบทความบางบทความของผูเ้ ขียนท่ีมี ช่ือเสียงอาจมีอิทธิพลต่อสังคม มีบทบาทในการสนบั สนุน และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในสังคมให้กบั ผูอ้ ่านและยงั อาจเป็ นเคร่ืองมือที่ กระตุน้ ใหผ้ อู้ ่านสนใจและใส่ใจกบั ปัญหารอบขา้ งอีกดว้ ย บทความของวินทร์ เลียววารีณ นอกจากจะมี เน้ือหาท่ีสอดคลอ้ งกบั สภาพการณ์ในปัจจุบนั กบั ยงั ช่วยเสริมกาลงั ใจใหก้ บั ผอู้ ่านแลว้ ในการใชล้ ีลาภาษา การนาเสนอบทความ ก็เป็ นส่วนหน่ึงที่ช่วยทาให้งาน เขียนบทความของวนิ ทร์ เลียววาริณ มีเสน่ห์น่าดึงดูดใจผอู้ า่ นเป็นอยา่ งยงิ่ กล่าวคือวนิ ทร์ เลียววารีณ มีศิลปะ ในการเลือกสรรใช้คาที่ช่วยดึงดูดความสนใจ ให้กบั ผอู้ ่าน ซ่ึงในการใชค้ าน้นั วินทร์ เลียววาริณ จะนิยมใช้ คาทบั ศพั ท์ในภาษาต่างประเทศมากที่สุดท้งั น้ี เน่ืองจากวินทร์ เลียววาริณ เคยมีประสบการณ์ในการไป

๑๘ ทางานในตา่ งประเทศ จึงทาใหว้ นิ ทร์ เลียววาริณ ได้ เห็นโลกกวา้ ง อีกท้งั วนิ ทร์ เลียววาริณ ยงั เป็ นนกั อ่านท่ี ชอบอ่านหนงั สือต่างประเทศและติดตามเหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในต่างประเทศอยู่เสมอ จึงทาให้งาน เขียนของวินทร์ เลียววาริณน้นั มีการใชค้ าทบั ศพั ท์ ภาษาต่างประเทศมากท่ีสุด โดยนามาบอกเล่าโดย แสดง ความเป็ นกนั เองโดยการใชค้ าที่แสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผูเ้ ขียนท่ีถ่ายทอดออกมาผ่านตวั อกั ษร ทาให้ เน้ือความมีความหมายท่ีหนกั แน่น กระชับและได้ ใจความท่ีสมบูรณ์ อีกท้งั ยงั เป็ นการแสดงภูมิความรู้ ของผเู้ ขียนในการเลือกสรรคามาใชใ้ นการเขียน บทความ เพื่อให้ผูอ้ ่านเกิดความสงสัยและอยากจะ ติดตาม เร่ื องราวและค้นหาคาตอบจากเน้ือเรื่ องต่อไป และในการใช้โวหารภาพพจน์ในงานเขียนของ วนิ ทร์ เลียววาริณ พบการใชโ้ วหารแบบอุปมามากที่สุด ซ่ึงใน การใชภ้ าพพจน์จะช่วยทาให้ผูอ้ ่านสามารถ เขา้ ใจ เร่ืองราวและเขา้ ถึงอารมณ์ความรู้สึกของผูเ้ ขียนได้ อยา่ งลึกซ้ึงกวา่ ลีลาภาษาแบบตรงไปตรงมา เป็ น การ ทาใหผ้ อู้ ่านเกิดภาพในใจ เกิดอารมณ์สะเทือนใจ และ เกิดจินตนาการไปกบั เน้ือหาในบทความ จากลกั ษณะดงั กล่าวขา้ งตน้ เป็ นส่ิงที่ทาให้ ผลงานการเขียนบทความของวินทร์ เลียววาริณไดร้ ับ ความนิยมจากผอู้ า่ นเป็ นจานวนมาก อีกนง่ั บทความ เสริมกาลงั ใจ ชุดที่ ๕ “สองแขนท่ีกอดโลก” ก็ยงั ไดร้ ับ คดั เลือกจากสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน (สพฐ.) ใหเ้ ป็นหนงั สืออ่านนอกเวลาใน ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ประจาปี พุทธศกั ราช ๒๕๕๔ และดว้ ยศิลปะในลีลาภาษา เน้ือหาในการเขียน รวมท้งั กลวิธีในการเขียนท่ีมีลกั ษณะโดดเด่น มีทกั ษะ และช้นั เชิงในการเขียนที่แยบยล จึงทาใหวั ินทร์ เลียววาริณ ไดร้ ับรางวลั ซีไรต์ถึงสองคร้ัง และยงั ไดร้ ับ การคดั เลือกใหเ้ ป็ นศิลปิ นแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจาปี พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกดว้ ย

๑๙ บรรณานุกรม พทิ ยา ดวงตาดา. ลีลาภาษาในบทความของวินทร์ เลียววาริณ: ไดจ้ าก file:///C:/Users/User/Downloads/๑๙๘๘๗๘-Article-Text-๖๐๔๔๓๙-๑-๑๐-๒๐๑๙๐๖๒๘-๒%๒๐(๑).pdf ๑ มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook