Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทดสอบ e-book

ทดสอบ e-book

Published by กิตติพงศ์634101001, 2021-10-07 14:25:21

Description: ทดสอบ e-book

Search

Read the Text Version

บทที่ 1 แนวคดิ พน้ื ฐานในการวดั และประเมนิ การเรียนรู้ การวดั และประเมินผลเปน็ กระบวนการที่ดาเนินการควบคู่กับการจัดการเรียนรู้ ในยุคปัจจุบัน มุ่งเน้นให้ผลจากการประเมินถูกนามาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุง พัฒนาการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพ ดังนั้นครูควรมีความรู้ความเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อเป็นพื้นฐานสาคัญในการออกแบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ 1. ความหมายของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1.1 ความหมายของการวดั (measurement) นกั วชิ าการศึกษาไดใ้ หค้ วามหมายของการวัดหรือการวดั ผลไว้อยา่ งหลากหลายดังเช่น ศิริชัย กาญจนวาสี (2556, หน้า 9) ได้ให้ความหมายของการวัด คือ กระบวนการกาหนดค่า เป็นตัวเลขให้แก่ส่ิงต่าง ๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ การวัดส่ิงใดก็ตามจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 สว่ น ได้แก่ 1) เคร่อื งมอื 2) หนว่ ยการวดั และ 3) มาตราเปรยี บเทยี บ โชตกิ า ภาษผี ล (2559, หนา้ 2) ได้ใหค้ วามหมายของการวดั คือ กระบวนการกาหนดค่าให้แก่ สิ่งต่าง ๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ การวัดสิ่งใดก็ตามจะเกิดได้ต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) จุดมุ่งหมายของการวดั 2) เครอื่ งมือท่ใี ช้วัด 3) การแปลผลท่ไี ด้ออกมาเปน็ ปริมาณ (quantity) ซ่ึงก็คือ จานวนตัวเลข (number) เพ่ือแทนจานวนหรือปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะหรือคุณสมบัติ ของวตั ถุ บคุ คลหรอื เหตุการณต์ า่ ง ๆ พิชติ ฤทธจ์ิ รูญ (2559, หน้า 3) ได้ให้ความหมายของการวัด คือ กระบวนการกาหนดตัวเลข หรือสัญลักษณ์ให้กับบุคคล สิ่งของ หรือเหตุการณ์อย่างมีกฎเกณฑ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีแทนปริมาณ หรือ คุณภาพของคุณลักษณะท่ีจะวัด โดยมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) ปัญหาหรือสิ่งท่ีต้องการวัด 2) เครอื่ งมือหรือเทคนิควิธีในการรวบรวมข้อมูล 3) ข้อมูลเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ หากเป็นข้อมูลเชิง ปรมิ าณจะต้องมีจานวนและหนว่ ยวัด หากเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพจะต้องมีรายละเอียดที่แสดงคุณลักษณะ ซง่ึ อาจไมใ่ ช่ตัวเลข ฮอปกินส์และแอนทิส (Hopkins & Antes, 1990, p. 7) ได้ให้ความหมายของการวัด คือ กระบวนการกาหนดตวั เลขจากการสังเกตคุณลักษณะบางประการของบุคคล หรือเหตุการณ์ จากความหมายข้างต้นทาให้พอสรุปได้ว่า การวัด คือ กระบวนการกาหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ ใหก้ บั ส่ิงทต่ี ้องการวดั โดยใชเ้ คร่อื งมอื หรอื วิธกี ารตา่ ง ๆ เพ่อื ให้ได้ข้อมูลท่ีแทนปริมาณหรือคุณภาพของ ส่ิงท่ีต้องการจะวัด โดยมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) ส่ิงที่ต้องการวัด 2) เคร่ืองมือท่ีใช้วัด และ 3) ผลการวดั 1

ตวั อยา่ ง ก. “ครูสมร ตรวจข้อสอบกลางภาควิชาภาษาไทย พบว่า ด.ช.นนท์ ทาข้อสอบไดถ้ ูกต้อง 9 ข้อ จงึ ได้คะแนนสอบ 9 คะแนนจากคะแนนเตม็ 10 คะแนน” ข. “ด.ช.ธนู ได้รับการทดสอบสมรรถภาพทางกาย โดยกระโดดตบได้ 15 ครัง้ ภายในเวลา 1 นาที” ค. “ครูประจาชั้นให้สัญลักษณ์รูปดาว ด.ญ.ลลนา แทนคะแนนในการเข้าเรียนแต่ละครั้ง นับรปู ดาวได้ 11 ดวง” ตารางท่ี 1.1 สรุปองคป์ ระกอบของการวัดในแต่ละสถานการณ์ องค์ประกอบของการวัด ก. สถานการณ์ ค. 1) สง่ิ ที่ตอ้ งการวดั ความสามารถทาง ข. ความตรงต่อเวลา 2) เคร่ืองมือวดั ภาษาไทย สมรรถภาพทางกาย 3) ผลการวัด แบบทดสอบ 9 คะแนน แบบบันทึกคะแนน แบบบันทกึ การเข้าชั้นเรยี น 15 ครงั้ /นาที สัญลักษณร์ ปู ดาว 11 ดวง 1.2 ความหมายของการประเมิน (evaluation) นกั วชิ าการศกึ ษาได้ใหค้ วามหมายของการประเมินหรือการการประเมินผลไว้อย่างหลากหลาย ดงั นี้ ศิรชิ ยั กาญจนวาสี (2556, หนา้ 9) ได้ให้ความหมายของการประเมิน คือ กระบวนการตัดสิน คุณค่าของส่ิงต่าง ๆ โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐาน การประเมินจึงเป็นเร่ืองเก่ียวกับ “คุณค่า” ของสง่ิ ต่าง ๆ การประเมินส่งิ ใดก็ตามจะต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) ผลการวัด 2) เกณฑ์ที่ตั้งไว้ และ 3) การตัดสินคุณค่า สอดคล้องกับ โชติกา ภาษีผล (2559, หน้า 2) ได้ให้ความหมาย ของการประเมิน คือ กระบวนการตัดสินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือ มาตรฐานโดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการวัด การประเมินสิ่งใดก็ตาม จะตอ้ งอาศัยองค์ประกอบ 3 สว่ น ไดแ้ ก่ 1) ผลการวัด 2) เกณฑ์ทีต่ ั้งไว้ และ 3) การตัดสินคณุ คา่ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2559, หน้า 5) ได้ให้ความหมายของการประเมิน คือ การตัดสินคุณค่าหรือ คุณภาพของผลที่ได้จากการวัดโดยการเปรียบเทียบกับผลการวัดอื่น ๆ หรือเกณฑ์ที่ ตั้งไว้ โดยมี องคป์ ระกอบ 3 ส่วน ไดแ้ ก่ 1) ขอ้ มลู 2) เกณฑ์ และ 3) การตดั สินคณุ คา่ หรือการตัดสินใจ กัลโล (Gullo, 1994, p. 11) ได้ให้ความหมายของการประเมิน คือ กระบวนการตัดสินค่านิยม และคุณค่าขั้นสุดท้ายซ่ึงการตัดสินและสรุปผลนั้นเป็นการประเมินที่มีหลักฐานต่าง ๆ ได้มาท้ังวิธีการ เกบ็ ขอ้ มลู อย่างเป็นระบบและไมเ่ ป็นระบบ 2

จากความหมายข้างต้นทาให้พอสรุปได้ว่า การประเมินเป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการวัด การประเมินหมายถึง กระบวนการนาตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่ได้จากการวัดมาตีค่าหรือตัดสินคุณค่า อย่างมีเหตุผลโดยเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กาหนดไว้ โดยมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ ผลที่ ได้มาจากการวัด 2) เกณฑห์ รอื มาตรฐาน และ 3) การตดั สนิ คุณค่า ตัวอย่าง ก. “ครสู มร ตรวจขอ้ สอบกลางภาควิชาภาษาไทย พบว่า ด.ช.นนท์ ทาข้อสอบไดถ้ ูกต้อง 9 ข้อ จึงได้คะแนนสอบ 9 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ครูสมรกาหนดเกณฑ์ตามช่วงคะแนนไว้ 3 ระดับ คือ เก่ง ปานกลาง อ่อน” ข. “ด.ช.ธนู ได้รับการทดสอบสมรรถภาพทางกาย โดยกระโดดตบได้ 15 ครั้ง ภายในเวลา 1 นาทีผูเ้ รียนตอ้ งกระโดดตบได้มากกวา่ 10 ครัง้ จึงจะผา่ น” ค. “ครูประจาช้ันให้สัญลักษณ์รูปดาว ด.ญ.ลลนา แทนคะแนนในการเข้าเรียนแต่ละครั้ง นับรูปดาวได้ 11 ดวง ผู้เรียนท่ีได้ดาวมากกว่า 10 ดวง หมายถึง เป็นผู้เรียนที่มีวินัยดี” ตารางท่ี 1.2 สรปุ องคป์ ระกอบของการประเมนิ ในแต่ละสถานการณ์ องคป์ ระกอบของการวัด ก. สถานการณ์ ค. 1) ผลทไี่ ดม้ าจากการวดั 9 คะแนน ข. สญั ลักษณร์ ปู ดาว 2) เกณฑห์ รอื มาตรฐาน 15 ครง้ั /นาที 11 ดวง 3) การตดั สินคณุ คา่  มากกวา่ 10 ดวง 0-4 คะแนน คือ 1-10 คร้งั /นาที คือ มวี ินยั ออ่ น คือ ไม่ผา่ น  น้อยกว่าหรอื 5-7 คะแนน คอื มากกวา่ 10 ครัง้ / เทา่ กบั 10 ดวง ปานกลาง นาที คอื ผ่าน คอื ไมม่ วี ินัย 8-10 คะแนน คือ เก่ง ไม่ผา่ น มีวนิ ัย เก่ง ปจั จบุ นั มีการใชค้ าว่า assessment ซ่ึงหมายถึงการประเมินเช่นเดียวกับคาว่า evaluation ประเด็นความแตกตา่ งอยทู่ ี่ assessment ไม่ได้เปน็ การประเมินเพื่อตัดสินคุณค่าว่า ผ่าน-ไม่ผ่าน เก่ง- อ่อน สอบได้-สอบตกเท่านั้น แต่เป็นการประเมินเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนว่ามีจุดท่ีควรพัฒนาและ จุดท่ีควรปรับปรุงอย่างไร เน้นการใช้วิธีการและเคร่ืองมือที่หลากหลายในการวัดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อ การประเมินความก้าวหน้าและประเมินเพื่อสรุปผล แอปเป้ิลและครัมซีค (Apple & Krumsieg, 1998, cited in Scanlan, 2012, p. 8) ได้สรุปความแตกต่างระหว่าง assessment และ evaluation ไวด้ ังนี้ 3

ตารางท่ี 1.3 ความแตกตา่ งระหว่าง assessment และ evaluation มิติ assessment evaluation ระหวา่ งเรยี นเพือ่ ปรบั ปรุง หลงั เรียนเพื่อตัดสนิ ผล 1. ช่วงเวลา (Formative) (Summative) เนน้ กระบวนการ เนน้ ผลผลติ 2. จุดมุง่ หมายของการวัด เชงิ การสะท้อนผล เชงิ การรายงานผล 3. ความสมั พันธ์ระหวา่ งการทดสอบ เพอื่ วนิ จิ ฉัย เพื่อตดั สินคณุ คา่ และผรู้ ับการทดสอบ ยดื หยนุ่ เกณฑต์ ายตวั ไม่ยืดหย่นุ 4. ขอ้ คน้ พบและการใช้ผลการประเมนิ เชิงสมั บรู ณ์ (ส่วนบคุ คล) เชิงเปรยี บเทียบ 5. ความสามารถในการปรบั เกณฑ์ การวัด 6. มาตรฐานของการวัด นอกเหนือจากการวัดและการประเมินผลแล้วยังมีการทดสอบ (testing) เข้ามาเกี่ยวข้องกับ กระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้วย กล่าวคือ การทดสอบเป็นกระบวนการในการเก็บ รวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการต่าง ๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมหรือคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้ ปรากฏออกมาเพื่อให้ผู้สอนวัดพฤติกรรมหรือคุณลักษณะนั้นได้ เช่น สอบสัมภาษณ์ผู้เรียนท่ีสมัคร ขอรบั ทุนการศึกษา สอบภาคปฏิบตั ริ ายวิชาพลศึกษา สงั เกตพฤตกิ รรมสนใจเรยี นของผูเ้ รยี น เป็นตน้ ตวั อย่าง ครสู มร เปน็ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ต้องการคัดเลอื กผเู้ รยี นท่ีมฐี านะยากจนและมี ความสามารถทางวทิ ยาศาสตรไ์ ปแขง่ ขนั เพ่ือชงิ ทนุ การศึกษา ตารางที่ 1.4 คุณลกั ษณะทตี่ อ้ งการวดั และวิธีการทดสอบ คุณลักษณะทต่ี ้องการวัด วธิ ีการทดสอบ 1. ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครวั  สอบถามจากผู้เรยี น  สมั ภาษณ์ผ้ปู กครองและครปู ระจาชน้ั 2. ความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์  ทาแบบทดสอบวชิ าวิทยาศาสตร์  ดแู ฟม้ สะสมผลงานของผู้เรียน  สังเกตปฏภิ าณไหวพริบในการตอบคาถาม 4

2. ความสมั พนั ธ์ระหว่างการวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ศิริชัย กาญจนวาสี (2556, หน้า 9-10) ได้อธิบายว่าการวัดเป็นองค์ประกอบส่วนหน่ึงของ การประเมิน โดยการประเมินจาเป็นต้องใช้ข้อมูลจากการวัด ซ่ึงอาจเป็นข้อมูลจากการวัดอย่างเป็น ทางการ เช่น การวัดด้วย การสอบข้อเขียน การสอบภาคปฏิบัติ การสัมภาษณ์ หรือข้อมูลจากการไม่ใช้ การวัด เช่น การคาดคะเน การสอบถามจากผู้อื่น ซึ่งข้อมูลจากทั้งสองส่วนถูกนาไปใช้ในการประเมิน ดว้ ยการตัดสินคุณค่าโดยการเปรยี บเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานท่ีกาหนดไว้ เช่น เทียบกับค่าร้อยละ ระดบั ความสามารถ คา่ เฉล่ยี เป็นตน้ คณุ ลกั ษณะท่ีต้องการประเมนิ (traits) การวัด ไม่ใชก้ ารวดั (measurement) (non-measurement) การเปรยี บเทยี บกบั เกณฑห์ รือมาตรฐาน การตัดสนิ คณุ คา่ ภาพประกอบที่ 1.1 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างการวัดและการประเมนิ ท่ีมา : ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี (2556, หนา้ 11) สอดคล้องกับ กรอนลนั ด์ (Gronlund 1976, อ้างถึงใน ราตรี นันทสุคนธ์, 2555, หน้า 13) ท่ีได้ แสดงสมการความสัมพันธร์ ะหวา่ งการวัดและการประเมนิ ดังนี้ การประเมนิ = การบอกทางด้านปริมาณหรือคณุ ภาพ + การตดั สนิ คุณคา่ (การวดั , ไมใ่ ช้การวดั ) 3. ธรรมชาตขิ องการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 3.1 เปน็ การวัดทางจติ วิทยา การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีลักษณะเป็นนามธรรมไม่สามารถวัดได้โดยตรงเหมือนกับ การวัดทางกายภาพ เช่น ส่วนสูง น้าหนัก มีเคร่ืองมือวัดได้โดยตรง ดังน้ันการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้จาเป็นต้องตีความหมายหรือแปลความหมายของส่ิงท่ีต้องการวัดให้ได้เสียก่อนแล้วจึงแปลผล ออกมา เช่น ต้องการทราบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจเรื่องการแก้สมการในรายวิชาคณิตศาสตร์หรือไม่ ผ้สู อนใช้แบบทดสอบเรือ่ งสมการวัดความรู้หากผู้เรียนทาได้ถูกต้องก็แปลผลได้ว่ามีความรู้ความเข้าใจ เร่ืองสมการ 5

3.2 เป็นการวัดทีไ่ ม่สมบูรณ์ เน่ืองจากในการเรยี นการสอนนน้ั มสี ่งิ ที่ต้องการวัดจากผู้เรียนหลากหลายประเด็นแต่เคร่ืองมือ ท่ีใช้วัดความรู้ไม่สามารถครอบคลุมในเนื้อหาวิชาท้ังหมดที่สอนได้จึงจาเป็นต้องเลือกคาถามเป็น บางส่วนเท่านั้นท่ีคาดว่าวัดความรู้ครอบคลุมในเนื้อหาวิชา เช่น วิชาภาษาไทยบทหนึ่งอาจมีคาศัพท์ 100 คา แต่ผู้สอนไม่สามารถนามาถามผู้เรียนได้ทั้งหมด ผู้สอนจึงนาคาศัพท์บางคามาถามผู้เรียน โดยมี ความเชอ่ื มั่นว่าสง่ิ ทนี่ ามาถามน้นั เป็นตวั แทนของคาศัพท์ท้ังหมดได้ 3.3 เปน็ การวดั ผลทีไ่ ม่มศี ูนย์แท้ ผลการวดั พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของผู้เรยี นมักอย่ใู นรูปของคะแนน ซ่ึงคะแนนจัดอยู่ในมาตรวัด ระดับอันตรภาค (interval scale) ซ่งึ ไม่มีศนู ยแ์ ทห้ รอื ศนู ยส์ มบูรณ์ (absolute zero) มีแต่ศูนย์สมมติ (arbitrary zero) ดังน้ัน การที่ผู้เรียนสอบได้ 0 คะแนน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความรู้ในเร่ืองน้ันเลย เพียงแต่ตอบคาถามไม่ถูกหรือส่ิงที่ผู้เรียนรู้นั้นข้อสอบไม่ได้ถาม และการท่ีผู้เรียนที่มีคะแนนแตกต่างกัน เช่น สมบัติสอบได้ 40 คะแนน สมศรีสอบได้ 20 คะแนน ไม่ได้หมายความว่า สมบัติเก่งเป็น 2 เท่า ของสมศรี ซง่ึ ตา่ งจากการวดั ทางกายภาพ หากโต๊ะสูง 50 เซนติเมตร เก้าอี้สูง 25 เซนติเมตร แสดงว่า โตะ๊ สงู เป็น 2 เท่าของเก้าอ้ี 3.4 เป็นการวดั เชงิ สัมพัทธ์ คะแนนซ่ึงเป็นตัวเลขแสดงแทนระดับความสามารถของผู้เรียนจะไม่มีความหมายใด ๆ ไม่ สามารถอธิบายความหมายได้ หากไม่นาคะแนนไปเปรียบเทียบกับสิ่งใดสิ่งหน่ึงเพ่ือเป็นจุดอ้างอิงหรือ จุดเปรียบเทียบ เช่น สมบัติสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ 20 คะแนน ไม่สามารถบอกได้ว่าได้คะแนนมาก- น้อย เกง่ -ออ่ น เพียงใด แต่ถ้าหากจะให้คะแนนนี้มีความหมายต้องนาไปเปรียบเทียบกับข้อมูลอื่นจึงมี ความหมาย โดยท่ัวไปนยิ มนาคะแนนไปเปรยี บเทยี บ 3 ลักษณะ คือ - นาคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทียบกับคะแนนเต็ม เรียกว่า ระบบเปอร์เซ็นต์ เช่น สมบัติสอบได้ 20 คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนนหรือได้ 40% แสดงว่าทาคะแนนได้คอ่ นข้างนอ้ ย - นาคะแนนท่ีได้เปรียบเทียบกับคะแนนเฉล่ียของกลุ่มเรียกว่า ระบบอิงกลุ่ม เช่น สมบัติสอบ ได้ 20 คะแนน คะแนนเฉล่ียของกลุ่มเท่ากับ 13 คะแนน แสดงว่าสมบัติทาคะแนนได้ค่อนข้างสูงกว่า ความสามารถของกลุม่ - นาคะแนนทไ่ี ดเ้ ปรียบเทียบกับเกณฑ์ทีก่ าหนดขึน้ เรียกว่า ระบบอิงเกณฑ์ เช่น สมบัติสอบได้ 20 คะแนน ผู้สอนต้ังเกณฑ์การผ่านไว้ว่าต้องได้ต้ังแต่ 18 คะแนนขึ้นไป แสดงว่าทาคะแนนได้ผ่าน เกณฑ์ 3.5 มีความคลาดเคลื่อนในการวดั เสมอ เน่ืองจากธรรมชาติของการวัดผลเป็นการวัดทางจิตวิทยา วัดส่ิงที่เป็นนามธรรม พฤติกรรม ส่วนใหญ่ที่ต้องการวัดมีลักษณะซับซ้อน สังเกตหรือจับต้องไม่ได้ เช่น ความรู้ ความเชื่อ ความคิดเห็น ในการวัดจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมออกมาเป็นคาตอบเมื่อมีใช้ส่ิงเร้า เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบวัดเจตคติ คาตอบท่ีแสดงออกมาน้ันอาจไม่ชัดเจนเพียงพอท่ีจะวัดได้อย่างสมบูรณ์ 6

หรือผู้ถูกวัดอาจแกล้งแสดงออกมาจึงทาให้ผลการวัดจึงมีความคลาดเคลื่อนมาก เพราะผลที่ได้จาก การวัดทางจิตวิทยาประกอบด้วยผลการวัดที่แท้จริงซึ่งเกิดจากพฤติกรรมท่ีต้องการวัด (คะแนนจริง) กับความคลาดเคลอื่ นท่ไี ด้จากการวัดทต่ี อ้ งเกดิ ขน้ึ เสมอ (คะแนนความคลาดเคล่ือน) ดังน้ัน คะแนนที่ ได้จากการวัด (คะแนนท่ีสอบได้) จึงเท่ากับผลรวมของความสามารถที่แท้จริง กับความคลาดเคลื่อน เขียนเป็นสมการไดด้ ังน้ี X= T+ E คะแนนที่สอบได้ = คะแนนจริง + คะแนนความคลาดเคล่อื น องค์ประกอบของความคลาดเคลื่อน มีหลายประการและเป็นความคลาดเคลื่อนทางบวก หรือทางลบก็ได้ เชน่ 1) ความคลาดเคลื่อนของเคร่ืองมือวัด คือ การใช้เครื่องมือที่ใช้วัดไม่มีคุณภาพ เช่น ข้อสอบ ยากหรอื ง่ายเกนิ ไป คาถามไม่ชดั เจน พมิ พผ์ ิด 2) ความคลาดเคลอื่ นทมี่ าจากผสู้ อบ เช่น มีความเครียด ความวติ กกงั วล อาการเจบ็ ปว่ ย 3) ความคลาดเคลื่อนจากการบริหารจัดการสอบ เช่น การสอบไม่รัดกุมทาให้เกิดการทุจริต การเฉลยขอ้ สอบผดิ 4) ความคลาดเคล่ือนจากส่ิงแวดล้อมอ่ืน ๆ เช่น อากาศรอ้ นหนาวเกินไป เสียงรบกวนขณะสอบ 4. หลักการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ โชตกิ า ภาษีผล (2559, หน้า 3-4) ไดส้ รปุ หลักการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ในแต่ละขั้นตอน ไวด้ ังน้ี 1. กาหนดจุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลให้ชัดเจน หลักการสาคัญของข้ันตอนน้ี คือ ต้องตอบคาถามว่า วดั และประเมินผลไปทาไม จดุ มุง่ หมายของการวัดและประเมินผล มีหลายประการ เช่น เพ่ือตรวจสอบความรู้พื้นฐาน เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการ หรือเพื่อตัดสินผลการเรียน ซึ่งต้อง สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงคข์ องหลักสตู ร และวตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน เพ่ือนาไปใช้ได้ตรงกับวัตถุประสงค์ ทตี่ ้องการ 2. วิเคราะห์เป้าหมายของการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดข้ึน หลักการสาคัญของขั้นตอนนี้ คือ ต้องตอบคาถามว่า สิ่งท่ีต้องการวัดและประเมินผลคืออะไร เช่น ต้องการวัดความสามารถทางสติปัญญา ความรสู้ กึ หรือพฤติกรรมทีเ่ กี่ยวกับทักษะการปฏิบัติทต่ี อ้ งสอดคล้องกับจุดประสงคก์ ารสอน 3. เลือกใช้และสร้างเคร่ืองมือท่ีมีคุณภาพและเหมาะสม หลักการสาคัญในขั้นตอนนี้ คือ ต้องตอบคาถามว่า ควรวัดและประเมินอย่างไร ตั้งแต่การเลือกใช้เครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นแบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แล้วจึงลงมือสร้างเครื่องมือ ทดลองใช้ และตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ เพือ่ ใหไ้ ดเ้ ครอ่ื งมอื ทีม่ ีคุณภาพ ท้ังในด้านความตรงและความเท่ียงของเคร่ืองมือ 7

4. นาไปทดสอบ เป็นขั้นตอนท่ีทาหลังจากตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือแล้ว การนา เคร่ืองมือไปใช้ สิ่งที่ต้องคานึงถึงคือปัจจัยรอบด้านต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงความสามารถของ ผู้เรียน โดยจะต้องจัดส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ และจิตวิทยาท่ีส่งเสริมการแสดงความสามารถที่มีอยู่ และควบคมุ ปัจจยั ต่าง ๆ ทีจ่ ะมาแทรกแซงความถูกต้องของการวัด 5. ตรวจให้คะแนน เป็นข้ันตอนท่ีต้องคานึงถึง คือ ความยุติธรรมท่ีต้องทาด้วยใจเป็นกลาง ไมล่ าเอยี งหรอื อคติ ตรวจใหค้ ะแนนโดยใช้หลกั เกณฑ์เดียวกนั 6. ตัดสินคณุ ค่าผลการเรยี นรู้ หลกั สาคัญของข้ันตอนน้ี คือ ต้องตอบคาถามว่าควรตัดสิน ผลด้วยวิธีการใดซึ่งต้องพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนที่จะสรุปผลการเรียนรู้ โดยคานึงถึงหลักเกณฑ์และ วธิ กี ารแปลความหมายเป็นสาคญั 7. รายงานและนาผลไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนสาคัญ เนือ่ งจากการวัดและประเมินผลเปน็ กระบวนการทตี่ ้องใชท้ รัพยากรมาก ดังน้ันจึงควรนาผลไปใช้อย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ เช่น ใช้สาหรับปรบั ปรงุ การพฒั นาการเรยี นรขู้ องผู้เรียน ปรับปรุงพัฒนาการสอนของผู้สอน เป็นขอ้ มูลสาหรับการแนะแนว ผ้เู รียนและผปู้ กครอง หรอื ปรับปรงุ การบรหิ ารงานของสถานศึกษา ตารางท่ี 1.5 แนวคดิ พ้ืนฐาน/หลักการ และขน้ั ตอนสาคญั ในการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ แนวคดิ พนื้ ฐาน/หลกั การ ขน้ั ตอนสาคญั วดั และประเมินผลไปทาไม วัดและประเมนิ ผลอะไร 1. กาหนดจุดม่งุ หมายของการวดั และประเมินผล วัดและประเมินผลอย่างไร 2. วิเคราะหเ์ ป้าหมายของการเรยี นรู้ท่ตี ้องการให้เกดิ ขน้ึ วดั และประเมนิ ผลด้วยวธิ ีใด 3. เลอื กใชเ้ คร่ืองมอื และสร้างเครอ่ื งมือ 3.1 ออกแบบสรา้ งเครอื่ งมอื 3.2 ลงมอื สร้างเครอื่ งมือ 3.3 ทดลองใช้ และตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมอื 4. นาไปทดสอบ 5. ตรวจให้คะแนน 6. ตัดสินคณุ ค่าของผลการเรยี นรู้ 7. รายงานและนาผลไปใช้ในการพัฒนาและปรบั ปรงุ การเรยี นรู้ จากหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการวัดให้ตรงตาม จุดประสงค์การสร้างและใช้เครื่องมือท่ีมีคุณภาพ ความยุติธรรมในขั้นตอนการวัดและประเมิน และ การใชผ้ ลของการวดั และประเมินให้คุ้มค่า 8

5. ประเภทของการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โชติกา ภาษีผล (2559, หน้า 4-8) ได้จาแนกประเภทของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ไว้ 3 รูปแบบ ดงั นี้ 1. จาแนกตามจุดมงุ่ หมายของการวัดและประเมนิ ผล 1.1 วัดและประเมินผลเพ่ือจัดอันดับหรือจัดตาแหน่ง (placement) เป็นการวัดและ ประเมินเพ่ือตรวจสอบความรู้ความสามารถพ้ืนฐานของผู้เรียนเพื่อทราบว่าผู้เรียนมีความรู้อยู่ในระดับ ใด เพื่อเป็นประโยชน์ในการพื้นฐานหรือออกแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสมเชื่อมโยงกับความรู้ เดมิ ของผู้เรียน 1.2 การวัดและประเมินผลเพือ่ คดั เลือก (selection) เป็นการวัดและประเมินผลเพื่อใช้ในการ คดั เลอื ก ผู้เรียนที่มีคณุ ลกั ษณะเหมาะสมผ่านตามเกณฑท์ ่ีกาหนด เช่น การคดั เลือกผู้เรียนเข้าศึกษาต่อ โรงเรยี นสาธติ 1.3 การวัดและประเมินผลเพ่ือวินิจฉัย (diagnosis) เป็นการวัดและประเมินเพื่อวิเคราะห์ หาสาเหตขุ อ้ บกพรอ่ งในการเรียนการสอน เพอื่ ให้ไดท้ ราบว่าผเู้ รียนเก่ง-อ่อนในจดุ ใด ดังน้ันเครื่องมือท่ี ใช้ต้องสร้างให้ละเอียด เพ่ือให้ทราบว่าผู้เรียนมีจุดอ่อนในข้ันตอนใดและหาวิธีการปรับปรุงการเรียน การสอนตอ่ ไป 1.4 การวัดและประเมินผลเพ่ือเปรียบเทียบ (assessment) เป็นการวัดและประเมินเพ่ือ ตรวจสอบพัฒนาการของผ้เู รยี นแตล่ ะคน เพื่อใหท้ ราบว่าผ้เู รียนมีพัฒนาการเพียงใด โดยอาจเปรียบเทียบ ในชว่ งเวลากอ่ นเรยี นและหลงั เรียน 1.5 การวัดและประเมินผลเพื่อพยากรณ์ (prediction) เป็นการวัดและประเมินเพื่อนา ผลการวัดในปัจจุบันทานายหรือคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของผู้เรียน เช่น การวัดความถนัด ทางอาชีพ 1.6 การวัดและประเมินผลเพ่ือตัดสินผล (evaluation) เป็นการวัดและประเมินเพ่ือสรุปผล ภายหลงั จบการจดั การเรยี นการสอนว่าผเู้ รียนบรรลุตามจุดมุง่ หมายของรายวิชาหรือไม่ โดยปกติจะนา ผลการวัดตลอดภาคเรียนมาตัดสินผลในขน้ั สดุ ท้ายในรปู ของเกรด 2. จาแนกตามข้ันตอนกระบวนการเรยี นการสอน 2.1 การวัดและประเมินผลก่อนเรียน (pre-evaluation) หรือก่อนการจัดการเรียนรู้ เป็นการวัดและประเมินก่อนเริ่มต้นการเรียนการสอนของแต่ละบทเรียน เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมี ความรู้พ้ืนฐานเพียงพอในการเรียนรายวิชาใหม่หรือไม่ หรืออาจเป็นประเมินก่อนเร่ิมต้นรายวิชา เพ่ือ ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ในรายวิชาที่จะเรียนมากน้อยเพียงใด ประโยชน์ของการวัดและประเมินผล กอ่ นเรยี น คอื ครูใช้ผลการประเมนิ เพ่ือกาหนดรูปแบบการจดั การเรยี นรู้ให้เหมาะสมกับผเู้ รยี น 9

2.2 การวัดและประเมินผลระหว่างเรียน (formative evaluation) เป็นการวัดและ ประเมินระหว่างการจัดการเรียนการสอน เพ่ือตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ ท่ีกาหนดไว้ในระหว่างการจัดการเรียนการสอนหรือไม่ หากผู้เรียนไม่ผ่านจุดประสงค์ท่ีต้ังไว้ ผู้สอนก็ จะหาวธิ ีการทจ่ี ะช่วยให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนร้ตู ามเกณฑ์ทตี่ ้ังไว้ ผลการประเมินเป็นการให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) ไปยังผู้เรียนและยังเป็นการตรวจสอบครูผู้สอนเองว่ากระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างไร มีจดุ ใดบกพรอ่ งท่ตี อ้ งปรบั ปรุงแกไ้ ขต่อไป 2.3 การวัดและประเมินผลหลังเรียน (summative evaluation) เป็นการวัดและประเมิน หลังสิ้นสุดการเรียนการสอน เป็นการประเมินหลังจากผู้เรียนได้ผ่านการเรียนไประยะหน่ึงแล้วอาจ เป็นการประเมินหลังจบหน่วยการเรียนรู้หน่วยใดหน่วยหน่ึง หรือการประเมินปลายภาคเรียนผลจาก การประเมนิ ประเภทน้ีใชใ้ นการตัดสินผลการจัดการเรียนการสอน หรือตัดสินใจว่าผู้เรียนผ่าน-ไม่ผ่าน หรอื มีความสามารถในระดบั ใด อทุ มุ พร จามรมาน และสมหวัง พิธยิ านวุ ัฒน์ (2534, หน้า 725-727) ได้สรุปความแตกต่าง ของการประเมินกอ่ นเรยี น ระหว่างเรียน และหลงั เรยี นไว้ดงั นี้ ตารางท่ี 1.6 สรุปความแตกต่างของการประเมนิ ก่อนเรียน ระหวา่ งเรยี น และหลงั เรียน รายการ การประเมิน จดุ มุง่ หมาย กอ่ นเรียน ระหว่างเรยี น หลังเรยี น 1. เพื่อวเิ คราะห์และสรปุ 1. เพอื่ เป็นขอ้ มูลปรับปรงุ 1. เพื่อสรปุ ผลการเรียนของผเู้ รียน พนื้ ฐานของผู้เรยี น วธิ ีการสอน อุปกรณ์ เนอ้ื หา สผู่ สู้ อน ผปู้ กครอง ผู้บรหิ ารและ 2. เพอ่ื วนิ จิ ฉัยจุดแขง็ /จุดอ่อน ของผูส้ อน ผู้เกี่ยวขอ้ ง ของผเู้ รยี น 2. เพอ่ื ตดิ ตามพฒั นาการ 2. เพื่อใช้ในการตดั เกรด 3. เพอ่ื เปน็ ขอ้ มลู ให้ผูส้ อนได้ เป็นระยะ ๆ ของผู้เรยี น 3. เพื่อใช้ในการพจิ ารณาความ รจู้ ักผ้เู รยี นก่อนเรียน แต่ละคน สอดคลอ้ งระหว่างจดุ มุ่งหมาย 4. เพื่อเป็นขอ้ มูลในการจดั กลุ่ม 3. เพ่ือเป็นขอ้ มลู ยอ้ นกลับ การเรียนการสอนและวธิ ีการวดั เลอื กวิธสี อน อปุ กรณ์ เนือ้ หา สผู่ สู้ อน ผปู้ กครอง และ ประเมนิ ผลในหนว่ ยหมวดวิชา ใหเ้ หมาะสมกับผู้เรียน ผู้เรียนในการเรยี นการสอน หลกั สตู รนั้น ๆ 5. เพ่อื ใหข้ อ้ มลู กับผเู้ รียนและ 4. เพื่อเปน็ ขอ้ มูลสาหรับ 4. เพอ่ื สรปุ มาตรฐาน (standards) ผู้ปกครอง เตรียมการสอนคราวตอ่ ไป 5. เพื่อใชป้ ระมวลขอ้ มูลสาหรับ 6. เพอ่ื เปน็ ขอ้ มลู สาหรับ 5. เพือ่ เปน็ ขอ้ มูลประกอบ การออกใบรบั รอง (certification) การแนะแนว การประเมนิ หลงั เรยี น 6. เพอื่ เป็นข้อมูลสาหรับการแนะแนว 7. เพอ่ื ใช้ในการเปรยี บเทยี บผล 7. เพอ่ื ใช้เป็นขอ้ มลู เปรยี บเทยี บผล ก่อนเรยี นและหลังเรยี น การเรยี นภายในโรงเรยี นและ ระหวา่ งโรงเรยี น 8. เพื่อเปน็ ขอ้ มลู กอ่ นเรียน 9.เพอ่ื เป็นข้อมลู การวจิ ัยทาง การศกึ ษา 10

ตารางท่ี 1.6 (ตอ่ ) รายการ กอ่ นเรียน การประเมิน หลังเรียน เครอ่ื งมือวดั แบบทดสอบแบบสมั ภาษณ์ ระหวา่ งเรยี น เช่นเดียวกับการประเมิน แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสงั เกต ก่อนเรียน วดั ผลสมั ฤทธ์ิ แบบวัดทางจิตวิทยา เชน่ เดยี วกบั การประเมิน ก่อนเรียนและการประเมิน การนาไปใช้ ตามสภาพจรงิ ง่าย คลมุ เน้อื หาทเี่ ปน็ ยากปานกลาง คลมุ เนื้อหาที่ ยากปานกลาง คลมุ เน้อื หา พ้นื ฐานก่อนเรียนหรือ เนอ้ื หาที่เคยเรียน เรยี นไปแลว้ ทัง้ หมดในวิชา 1. ผูส้ อนสรปุ ผลและนาไป 1. ผสู้ อนสรปุ ผลและนา 1. ผูส้ อนสรปุ ผลการเรียนและ เป็นข้อมูลในการจดั การ ขอ้ มลู ไปปรบั ปรุงการจดั การ ตัดสนิ ใจใหเ้ กรดเพอ่ื เล่อื นชนั้ / เรียนการสอนใหเ้ หมาะสม เรียนการสอนในหน่วยใหม่ ซา้ ชั้น กับพ้ืนฐานของผูเ้ รียน 2. ผสู้ อนสอนเสรมิ ให้กบั 2. ผบู้ ริหารสรุปผลการเรียนของ 2. ผู้บรหิ ารนาผลไปใชเ้ พอื่ ผูเ้ รยี นในเน้ือหาที่ขาด ผูเ้ รยี นและแจ้งผปู้ กครอง สร้างโปรแกรมสอนเสรมิ 3. ผู้สอนแจ้งผู้ปกครอง 3. นกั การศึกษานาผลสรปุ มา ให้กับผู้เรยี นที่ยงั ขาดพ้นื ฐาน ใหช้ ่วยผู้เรยี นในจดุ ที่เดน่ / พิจารณาคุณภาพและ 3. ผู้บริหารระบปุ ญั หาของ ด้อย ประสิทธภิ าพของการจดั การเรยี นการสอน ในอดีตท่ี การศกึ ษา เกยี่ วข้องและหาทางแก้ไข 4. นักวิจยั นาผลสรปุ มาวเิ คราะห์ 4. นกั การศกึ ษาวิเคราะห์ เพ่ือชคี้ ณุ ภาพและประสิทธิภาพ ปัญหาของหลกั สูตร การ ของการศกึ ษา จัดการเรียนการสอน ส่ือการ สอน และการวดั ประเมนิ ผล 3. จาแนกตามการแปลความหมายของคะแนน 3.1 การวดั และประเมนิ แบบอิงกลมุ่ (norm-referenced) เป็นการวัดและประเมินผลท่ี มีแนวคิดว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ได้แตกต่างกันในเวลาที่แตกต่างกัน การวัดและประเมินแบบอิงกลุ่ม เป็นการพิจารณาว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถมากน้อยเพียงใด เม่ือเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ถูกวัด ด้วยการบริหารจัดการสอบเดียวกัน การแปลความหมายของการวัดและประเมินผลประเภทนี้ขึ้นอยู่ กบั ความรู้ความสามารถของผเู้ รยี นในกลุม่ เป็นสาคญั ดงั นนั้ คะแนนที่แทนความสามารถของผู้เรียน จึง ควรมีการแจกแจงเข้าใกล้การแจกแจงแบบโค้งปกติ กล่าวคือ ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถปานกลาง จานวนมาก ส่วนผเู้ รียนทม่ี คี วามสามารถสูงและตา่ มจี านวนนอ้ ยกว่า 3.2 การวัดและประเมินแบบอิงเกณฑ์ (criterion-referenced) เป็นการวัดและประเมินผล ทมี่ แี นวคดิ ว่าการเรียนทาให้บุคคลเกดิ การรอบรู้ ดงั นน้ั ในจึงเป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความสามารถ อยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่กาหนดไว้ เช่น ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังและมาตรฐานการเรียนรู้ ไม่จาเปน็ ต้องคานึงถึงความสามารถของกล่มุ 11

3.3 การวัดและประเมินแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม (criterion and norm-referenced) เป็นรูปแบบที่ใช้ทั้งวิธีการแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่มผสมกัน โดยมีแนวคิดตั้งอยู่บนทฤษฎีที่ว่าการ เปรียบเทียบคะแนนของผู้เรียนกันเองภายในกลุ่มจะมีความหมายสมบูรณ์ขึ้น ถ้าผู้เรียนได้มีความรู้ ความสามารถตามคณุ สมบตั ขิ ั้นต่าแล้ว 6. ความสาคญั ของการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้มีความสาคัญต่อการพัฒนาการศึกษามากมายผลท่ีได้ จากการวัดและประเมนิ นาไปใช้พัฒนาผเู้ รียนและผมู้ ีส่วนเกีย่ วขอ้ งได้หลากหลายซง่ึ วริ ชั วรรณรัตน์ (2557, หนา้ 9-11) ได้สรุปสาระสาคญั ไว้ดังนี้ 1. ด้านการเรียนการสอน การวัดและประเมินนับว่ามีความสาคัญท่ีให้ประโยชน์โดยตรงต่อ การจัดการเรียนการสอน ท้ังนี้ เพราะกระบวนการวัดและประเมินจะช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นผลการเรียนรู้ ของผเู้ รียน อันเกิดจากการจัดกระบวนการเรยี นการสอนท่ีนบั วา่ มคี ุณคา่ ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องในการนา ผลการเรียนรู้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาด้านการเรียนการสอน หรือการจัดการศึกษา ซงึ่ พอสรุปประเด็นได้ ดังนี้ 1.1 ตวั ผ้เู รียน ผลการวัดท่ีแสดงผลการเรียนรู้จะช่วยบ่งบอกระดับความสามารถในการ เรียนรู้ ความก้าวหน้า ความงอกงามของการเรียนรู้ และศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยผลการ วดั หรอื ผลการเรียนรูท้ ีเ่ กิดจากการเรียนการสอนจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผูเ้ รยี น ดังนี้ 1.1.1 การพัฒนาปรับปรงุ การเรยี นรู้ เมอื่ ผ้เู รียนไดร้ รู้ ะดับสามารถ จุดเด่นหรือจุดด้อย ของตนเอง 1.1.2 การตัดสนิ ใจเลือกแผนการเรยี นหรือการประกอบอาชีพ เม่ือผู้เรยี นได้รรู้ ะดับ ความสามารถ ความถนัดหรือความสนใจของตนเอง 1.1.3 สภาพการเรยี นหรือความสาเรจ็ ในการเรยี น เมือ่ ผเู้ รยี นได้รรู้ ะดับความสามารถ ความกา้ วหนา้ หรอื งอกงามในการเรยี น ระดบั ผลการเรยี น และศักยภาพในการเรยี นรู้ของตนเอง 1.2 ครูผู้สอน ผลการวัดหรือผลการเรียนรู้จากการเรียนการสอนที่ได้มาและที่บ่งบอก ระดับความสามารถของผู้เรียน ความเด่นด้อยของผู้เรียน ทั้งทางด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะปฏิบัติ ลักษณะนิสยั โดยผลการวดั หรอื ผลการเรยี นรูจ้ ะเป็นประโยชนต์ ่อครผู สู้ อน ดังน้ี 1.2.1 การแก้ไขข้อบกพร่องของผเู้ รียน การพัฒนาหรือปรับปรุงการเรยี นการสอนใน การเลือกวธิ สี อนและการจัดกิจกรรมใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ความสามารถของผเู้ รยี น 1.2.2 การสรุปหรือตัดสินผลการเรียน ในการบ่งบอกระดับความสามารถการตัดสินผล ผ่าน-ไม่ผ่าน ในรายวิชาท่ีทาการสอน ตลอดจนการเล่อื นขน้ั หรือการจบหลกั สตู รการศกึ ษา 1.2.3 การรายงานผลสรปุ ในการจดั การเรยี นการสอน ใหผ้ บู้ รหิ ารสถานศึกษาและให้ ผ้ปู กครองไดร้ ับทราบ 12

1.3 ผู้ปกครอง การรายงานผลการวัดหรือผลการเรียนรู้ท่ีบ่งบอกระดับความสามารถ และ จุดเด่น จุดด้อยของผู้เรียน มีความสาคัญและเป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครอง ทาให้ผู้ปกครองเข้าใจในตัว บุตรหลานได้รับทราบผลการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ และทาให้ผู้ปกครองมีโอกาสในการ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน ชี้แนะแนวทางแก่บุตรหลานได้ถูกต้องตามระดับความสามารถ ความ ถนดั และความสนใจของบตุ รหลานของตน 2. ด้านการบริหารจัดการ ในการจัดการศึกษาการบรหิ ารจัดการนับเป็นหัวใจสาคัญท่ีจะทา ใหก้ ารดาเนินงานบรรลุตามเป้าหมายที่กาหนดผลการวัดหรือผลการเรียนรู้จากการวัดและประเมิน มี ความสาคัญ และเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการท้ังด้านการบริหารงาน การแนะแนวและการจัด กจิ กรรม พอสรุปประเดน็ ได้ดังน้ี 2.1 การบริหารงาน จากข้อมูลและข้อสรุปสภาพการจัดการเรียนการสอนสามารถใช้ เป็นข้อมูลสารสนเทศในการวางแผนการปฏิบัติงาน การส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงกา ร การประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน ตลอดจนการประเมินคุณภาพในการจัดการศึกษา ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อ การพฒั นาภาระงานและการจดั การศึกษาของสถานศกึ ษา หรอื หนว่ ยงานทีเ่ กย่ี วขอ้ ง 2.2 การแนะแนวและการจัดกิจกรรม ผลการวัดหรือผลการเรียนรู้ที่บ่งบอกระดับ ความสามารถ ความถนัด ความสนใจของผู้เรียน มีประโยชน์ต่อครูผู้ทาหน้าที่ และรับผิดชอบในส่วน งานการจัดกจิ กรรม การแนะแนวการศึกษาและอาชีพ และตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ดังนี้ 2.2.1 การชี้แนะแนวทางในการเรียน การเลือกแผนการเรียน การศึกษาต่อการ เลอื กอาชีพ ซง่ึ จะช่วยใหผ้ ้เู รยี นมีความม่ันใจ มกี าลงั ใจในการเรยี นรมู้ ากยงิ่ ขึ้น 2.2.2 สนับสนุนหรือส่งเสริมการจัดกิจกรรม ทั้งในกิจกรรมวิชาการและกิจกรรม สร้างลักษณะนสิ ัย เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นมีคุณภาพเต็มตามศกั ยภาพของตน 2.2.3 การสร้างสัมพนั ธภาพและความรว่ มมือระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง ชมุ ชน ท้องถิ่นในการพฒั นาการศกึ ษา และการมสี ่วนรว่ มในการจัดการศึกษา 3. ด้านการศึกษาคน้ ควา้ วจิ ยั ผลการวดั หรอื ผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียนนับว่าเป็นข้อมูลสาคัญยิ่ง ต่อการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา ในการ ค้นหาวิธสี อน ส่อื กจิ กรรม แบบฝกึ ที่มีประสทิ ธิภาพทเี่ หมาะกับความสามารถของกลุ่มผู้เรียน หรือคิดค้น ทดลองนวัตกรรม ส่ือเทคโนโลยีในการพัฒนาการศึกษา กล่าวคือ ถ้าผลการวัดหรือผลการเรียนรู้บ่งบอก ระดบั ความสามารถของผเู้ รียน ก็สามารถนาข้อมูลมาเป็นเหตุผลในการคิดค้นวิธีสอนเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้ มีความสามารถเพิ่มข้ึน ถ้ามีเทคนิควิธีสอน หรือสื่อการสอนที่หลากหลาย ก็สามารถค้นคว้าหรือสรุป เพ่ือบอกประสทิ ธผิ ลของวิธีสอน นอกจากนั้น การรายงานสรุปผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียน สามารถ สรปุ รายงานในเชิงวจิ ัยหรือนาข้อมูลมาศกึ ษาคน้ คว้าเพอ่ื จดั ทางานวิจัยได้อีกดว้ ย 13

7. คณุ ธรรมในการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จาเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีคุณธรรมเป็นกลไกการขับเคล่ือนที่ สาคัญในทุกข้ันตอน ตั้งแต่การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือ การบริหารจัดการสอบ จนถึงการใช้ผลการ ประเมินเพื่อพฒั นาผู้เรียน เชน่ ในการบริหารจดั การสอบผู้คมุ สอบตอ้ งละเอียดรอบคอบในการป้องกัน การทุจรติ ในการสอบของผเู้ ข้าสอบ ในการตรวจให้คะแนนต้องกาหนดเกณฑ์ท่ีมีความยุติธรรมกับผู้เข้าสอบ ทุกกลุ่ม เป็นต้น ซึ่ง สมนึก ภัททิยธนี (2551, หน้า 10) ได้สรุปคุณลักษณะของผู้ท่ีทาการวัดและประเมินผล การเรยี นรูไ้ วด้ ังน้ี 1. มคี วามซอ่ื สัตย์สุจริต เป็นผู้มีจิตใจบริสุทธ์ิต่องานด้านวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ไม่เห็น แก่สินจ้างรางวัล ทรัพย์สินเงินทอง ไม่คดโกง เช่น ไม่นาแบบทดสอบไปขายหรือคัดลอกแบบทดสอบ ออกจากห้องสอบ แกค้ ะแนนผลการสอบ 2. มีความยุติธรรม ให้ความยุติธรรมกับผู้เข้ารับการทดสอบทุกคน เช่น การตรวจให้คะแนน ตอ้ งไมม่ คี วามลาเอยี งสาหรับบางคน ไมใ่ ชอ้ ารมณ์ในการตรวจให้คะแนน 3. มีความขยันและอดทน เน่ืองจากงานด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้มักจะกระทาใน ช่วงส้นั ๆ หรือต้องทาอยา่ งสม่าเสมอ ดงั นั้นต้องทาดว้ ยความขยันและอดทน มีความมุมานะ ไม่เฉื่อยชา 4. มีความละเอียดและรอบคอบ เนื่องจากหากงานด้านการวัดและประเมินผลผิดพลาดจะ ทาให้เกดิ ปญั หาตามมามากมาย เช่น การบรรจุซองข้อสอบวิชา การกรอกคะแนนผิดพลาดจะส่งผลกระทบ เชงิ บคุ คลและเชิงระบบ ดังนนั้ ตอ้ งทาด้วยความระมดั ระวงั 5. มีความรับผิดชอบสูง ผทู้ ่ีทาการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรูต้ ้องถือว่าเป็นงานสาคัญ ต้อง เก็บความลับเกีย่ วกับงานได้เป็นอย่างดี หากเป็นผูอ้ อกข้อสอบตอ้ งพยายามป้องกันไม่ใหข้ ้อสอบรั่วไหล หากเป็นผูค้ มุ สอบตอ้ งปฏิบตั ิหนา้ ทต่ี ามกฎระเบียบการทดสอบอยา่ งเคร่งครัด 6. ตรงตอ่ เวลา เชน่ การนัดหมายส่งตน้ ฉบับข้อสอบ การสง่ คะแนน การนัดวนั เวลาสอบผ้เู รยี น 7. สนใจเทคนิคการวดั ผลอย่างสม่าเสมอ พยายามใชเ้ ทคนคิ ทางวชิ าการอยา่ งเหมาะสม มใิ ช่ พยายามทาเพื่อให้งานเสรจ็ ตามกาหนดเพยี งอย่างเดยี ว บทสรุป การวัดผล (measurement) และการประเมินผล (evaluation) เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง สัมพันธ์กัน เมื่อครูจะวัดผลโดยกาหนดค่าเป็นตัวเลข (คะแนน) เพื่อแทนคุณลักษณะท่ีต้องการวัดที่ แสดงออกมาแล้วเมื่อนาคะแนนไปเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กาหนดไว้เพื่อตัดสินคุณลักษณะ ท่ี ตอ้ งการวัดวา่ มคี ณุ คา่ หรือมคี ณุ ภาพอย่ใู นระดบั ใดจึงเปน็ การประเมนิ ผล ในการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้มีธรรมชาติของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ท่ีเป็นส่ิงที่ควรคานึงถึง ได้แก่ ลักษณะของการ วดั ทางจติ วทิ ยา ผลทไี่ ดจ้ ากการวัดท่ีไม่สมบูรณ์ เป็นการวัดที่ไม่มีศูนย์แท้ เป็นการวัดเชิงสัมพัทธ์ และ 14

มีความคลาดเคลือ่ นในการวดั เสมอ ในปัจจุบันผลกระทบจากการประเมินในชั้นเรียนและการประเมิน ระดับชาติมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อผู้เรียนเองและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังน้ันความรู้ความเข้าใจในหลักการ สาคัญการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ทต่ี ้องดาเนินการ เช่น การวัดให้ตรงตามจุดประสงค์ การสร้าง และใช้เครื่องมือท่ีมีคุณภาพ ความยุติธรรมในข้ันตอนการวัดและประเมิน และการใช้ผลของการวัด และประเมินให้คุ้มค่าเป็นสิ่งจาเป็น แต่อย่างไรก็ตามการมีความรู้ความเข้าใจอย่างเดียวไม่สามารถทา ให้เกิดการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพได้ ผู้สอนต้องมีท้ังความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ หลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และมีคุณลักษณะของนักวัด และประเมินท่ีดีด้วยจึงจะทาให้กระบวนการวัดและประเมินมีคุณภาพ ผลการประเมินมีความน่าเชื่อถือ สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในดา้ นการเรียนการสอน การบริหารจัดการ และด้านการศึกษาคน้ คว้าวิจัยได้ คาถามท้ายบท 1. การทดสอบ การวดั ผล การประเมนิ ผลคืออะไรและมีความสัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร 2. พิจารณากจิ กรรมต่อไปนี้ว่ากจิ กรรมใดเปน็ การทดสอบ (testing) การวดั ผล (measurement) และการประเมนิ ผล (evaluation) ................2.1 ครตู รวจใหค้ ะแนนโครงงานส่งิ ประดิษฐข์ องนักเรียนชั้น ม.3 ................2.2 ครใู ห้ ด.ช.ออ๋ ง อ่านหนงั สือภาษาอังกฤษหน้าช้ันเรียน ................2.3 ด.ช.บอย มผี ลการเรยี นต่ากวา่ ด.ช.จอย ................2.4 เพ่อื นนกั เรียนมีสว่ นร่วมในการให้คะแนนสมาชกิ ในห้องเรียน ................2.5 ครคู ัดเลือกผลงานออกแบบโลโก้ผลติ ภัณฑ์ของ ด.ช.ปติ ิ ใหเ้ ปน็ แบบ ที่ชนะเลิศ 3. พิจารณาวตั ถปุ ระสงคข์ องครูแตล่ ะขอ้ ต่อไปนีว้ ่า ต้องใช้การวัดและประเมนิ ผล ก่อนเรียน ระหวา่ งเรียน หรือหลงั เรยี น แล้วทาเคร่อื งหมาย  ลงในชอ่ งที่ตรงกับคาตอบ พฤติกรรม ก่อนเรยี น ระหวา่ ง หลงั เรียน เรยี น 3.1 ต้องการทราบว่าใครมคี วามสามารถจัดอยอู่ ันดบั ใดของชนั้ 3.2 ต้องการทราบวา่ ผู้เรียนเขา้ ใจแตล่ ะข้ันตอนทสี่ อนหรอื ไม่ 3.3 ตอ้ งการทราบว่าผู้เรยี นมีความรู้พนื้ ฐานเพียงพอหรอื ไม่ 3.4 ต้องการทราบวา่ ผูเ้ รียนมผี ลสมั ฤทธอิ์ ยู่ในระดับใด 3.5 ตอ้ งการทราบว่าผ้เู รียนมพี ืน้ ฐานความรูเ้ ดมิ บา้ งหรือไม่ 15

4. พจิ ารณาข้อมูลในแตล่ ะข้อตอ่ ไปนว้ี า่ ข้อใดเป็นการวดั ผลที่ทาเพ่ือปรบั ปรงุ การเรยี น การสอน หรอื ทาเพื่อตดั สินผลการเรียน โดยให้เขยี นเครื่องหมาย  ในชอ่ งที่กาหนดให้ พฤติกรรม ปรบั ปรุง ตัดสนิ ผลการเรียน การเรยี นการสอน 4.1 ทดสอบแล้วเฉลยคาตอบใหผ้ เู้ รียนทราบ 4.2 ทดสอบแล้วเอาคะแนนมาเรียงอันดบั 4.3 ทดสอบแล้วครูเปลีย่ นมาใช้วิธีสอนใหเ้ หมาะสมยง่ิ ขึน้ 4.4 ทดสอบแล้วบอกว่าใครไม่ผ่านจดุ ประสงคใ์ ดเพราะอะไร 4.5 ทดสอบแล้วนาคะแนนมาจัดกลมุ่ วา่ ใครอยู่ในกลุ่มเกง่ กลุ่มกลาง กลุ่มอ่อน 4.6 ทดสอบแลว้ แจกกระดาษคาตอบคนื ให้ผเู้ รยี นไปดูและ ค้นหาคาตอบ 4.7 ทดสอบแล้วบอกวา่ ผู้เรยี นตอ้ งการซ่อมเสรมิ ตรงไหน 4.8 ทดสอบแลว้ บอกว่าใครได้ระดบั คะแนนใด 4.9 ทดสอบแลว้ บอกว่าผเู้ รียนคนใดควรปรับปรงุ ตนอยา่ งไร 4.10 ทดสอบแลว้ แจ้งว่าผเู้ รยี นผ่านจุดประสงคห์ รือไมผ่ า่ น 5. ยกตวั อย่างความคลาดเคลื่อนในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และเสนอแนวทาง การลดความคลาดเคลือ่ นนน้ั โดยคานงึ ถึงธรรมชาติและหลกั การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 6. อธิบายคุณธรรมในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สาคัญท่ีสุดในมิติผู้สอนและ ผูเ้ รยี น พรอ้ มใหเ้ หตุผลสนับสนนุ 7. ยกตัวอย่างความสาคัญของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มีต่อผู้เรียนและผู้มีส่วน เกยี่ วขอ้ งด้านการเรยี นการสอน ด้านการบรหิ ารจดั การ และด้านการศึกษาคน้ คว้าวิจัย เอกสารอ้างอิง โชติกา ภาษีผล. (2559). การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พิชิต ฤทธ์ิจรูญ. (2559). หลักการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (พมิ พ์คร้ังท่ี 10). กรุงเทพฯ : เฮา้ ส์ ออฟ เคอร์มิสท.์ ราตรี นันทสุคนธ.์ (2555). หลกั การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (ฉบับปรบั ปรุง). กรุงเทพฯ : จดุ ทอง. วิรชั วรรณรตั น.์ (2557). การประเมนิ ผลการเรียนและการรายงานผลการเรยี น. ใน เอกสารการสอน ชุดวิชาการประเมินและวจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน (หน่วยที่ 1, หนา้ 1- 35). นนทบุรี : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. ศริ ิชยั กาญจนวาส.ี (2556). ทฤษฎกี ารวดั แบบด้ังเดิม (พมิ พ์ครงั้ ที่ 7). กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สมนกึ ภัททยิ ธนี. (2553). การวดั ผลการศึกษา (พิมพ์ครงั้ ท่ี 7). กาฬสินธ์ุ : ประสานการพิมพ.์ 16

อทุ มุ พร จามรมาน, และ สมหวงั พธิ ิยานุวฒั น์. (2534). การวัดและประเมินผลในชัน้ เรียน. ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาสถติ ิ วจิ ัย และการประเมนิ ผลการศึกษา (หน่วยท่ี 13, หน้า 714-748). นนทบรุ ี : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. Gullo, D. F. (1994). Understanding assessment and evaluation in early childhood education. New York: Teacher College Columbia University. Hopkins, D. C., & Antes, C. R. (1990). Classroom measurement and evaluation. Illinois: F.E. Peacock. Scanlan, C. L. 2012. Assessment, evaluation, testing and grading. Retrieved May 27, 2016, from https://www.umdnj.edu/idsweb/idst5350/assess_eval_test_grade.htm 17

18


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook