มหาวิทยาลัยบูรพา เ รื่ อ ง ค ว า ม ดั น ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อ ง ล้ อ เ ล่ น HYPERTENSION CORONARY ARTERY DISEASE CORONARY HEART DISEASE โรคความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจ นำ เ ส น อ โ ด ย นักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์
โรคความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่ความดันช่วงบน มีค่าตั้งแต่ 130 mmHgขึ้นไป หรือความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 80 mmHgขึ้นไป
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง 1.ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ 90-95% แพทย์จะตรวจไม่พบ โรค หรือภาวะผิดปกติ หรือสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า “ความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิ” (Primary hypertension) หรือ“ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด”(Essential hypertension) โรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุนี้ เชื่อว่าน่าจะเกิดจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน ที่สำคัญ คือ อิทธิพลของเอนไซม์ ที่เรียกว่า “เรนิน” (Renin) และฮอร์โมนแองจิโอเท็นซิน (Angiotensin) จากไตซึ่งทั้งสองสารนี้ จะทำงานร่วมกับต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองในการควบคุมน้ำ เกลือแร่โซเดียมและการบีบตีวของหลอดเลือดในร่างกายซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อการ ควบคุมความดันโลหิต ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออายุได้ประมาณ 25-55 ปี พบได้มากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป) และยิ่งอายุมากขึ้นก็จะมีโอกาสเป็นได้มากขึ้น
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง 2.ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนน้อยประมาณ 5-10% แพทย์อาจตรวจ พบโรค หรือภาวะผิดปกติ หรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งเรียก ว่า “ความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ” (Secondary hypertension) หรือ “ความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ” ในผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ความดันช่วงบนมีค่า ≥ 180 หรือความดันช่วงล่างมีค่า ≥ 110 มม.ปรอท ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นก่อนอายุ 30 ปี หรือหลังอายุ 50 ปี - มีความดันโลหิต สูงซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที ควบคุมความดันไม่ได้หลังจากเคยคุมได้ดีมาก่อน หรือใช้ยาลดความดันมาหลายชนิดแล้วแต่ยังควบคุมความดันไม่ได้ พบภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น หัวใจห้องล่างซ้ายโต มีค่าครีอะตินีนในเลือด มากกว่า 1.5 มก./ดล. จอตาเสื่อม (Hypertension retinopathy) ระดับ 3 หรือ 4 มีอาการที่สงสัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง 1. สาเหตุของความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุนั้นอาจเกิดได้จากหลายสภาวะ ได้แก่ โรคไต หลอดเลือดแดงไตตีบ (Renal artery stenosis) หลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta) เนื้องอกบางชนิดของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง โรคคุชชิง / การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน โรคของต่อมไทรอยด์/พาราไทรอยด์ ภาวะแอลโดสเตอโรนสูงชนิดปฐมภูมิ (Primary aldosteronism) ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea) ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่ สเตียรอยด์, ยาเม็ดคุมกำเนิด/เอสโตรเจน, อะดรีนาลิน/ซูโดอีเฟดรีน รวมไป ถึงการใช้สารเสพติดอย่างแอมเฟตามีน/โคเคน 3.ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว มักพบในผู้สูงอายุยิ่งมีอายุมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมี โอกาสพบได้มากขึ้นเท่านั้น ภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (Coarctation of aorta), ลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว (Aortic insufficiency), โรคคอพอกเป็นพิษ (Toxic goiter) 4.ความดันโลหิตสูงเพียงชั่วคราว ความดันโลหิตอาจสูงเพียงชั่วคราวได้เมื่อมีภาวะ ที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เช่น ไข้ ซีด เกิดอารมณ์เครียด เช่น โกรธ ตื่นเต้น ออกกำลังกายใหม่ ๆ ฯลฯ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรักษาแต่อย่างใด และความ ดันจะกลับมาเป็นปกติได้เองเมื่อปัจจัยเหล่านี้ได้หมด
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคความ ดันโลหิตสูง พันธุกรรม โอกาสจะสูงมากขึ้นเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ โรคเบาหวาน เพราะก่อให้เกิดการอักเสบตีบแคบของหลอดเลือดต่าง ๆ รวมทั้งหลอดเลือดของไต โรคไตเรื้อรัง เพราะส่งผลถึงการสร้างเอนไซม์และฮอร์โมนที่ควบคุมความดัน โลหิตดังที่กล่าวไป น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เพราะเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานและโรคหลอด เลือดต่าง ๆ ตีบจากภาวะไขมันเกาะผนังหลอดเลือด ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea) การขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารเค็มอย่างต่อเนื่อง การสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ส่งผลให้เกิดการอักเสบตีบตันของ หลอดเลือดต่าง ๆ รวมทั้งหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดไต การดื่มแอกอฮอล์ เพราะส่งผลให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติและมีโอกาสเป็นโรค ความดันโลหิตสูงถึงประมาณ 50% ของผู้ที่ติดสุราทั้งหมด ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
อาการความดันโลหิตสูง ในรายที่เป็นความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (พบได้เป็นส่วนใหญ่) ส่วน ใหญ่จะมีไม่อาการแสดงแต่อย่างใด และมักตรวจพบได้โดยบังเอิญจากการ ตรวจคัดกรองโรคหรือเมื่อมาพบแพทย์ด้วยปัญหาอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง มีส่วนน้อยที่อาจมีอาการปวดมึน ท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ ซึ่ง มักจะเป็นตอนตื่นนอนใหม่ ๆ พอ ตอนสายอาการจะทุเลาไปเอง บางรายอาจมีอาการปวด ศีรษะตุบ ๆ แบบไมเกรน ส่วนในรายที่เป็นมานาน ๆ หากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ โดย หรือมีความดันโลหิตสูงมาก ๆ ไม่ได้รับการรักษา อาจแสดง อาจจะมีอาการอ่อนเพลีย อาการของภาวะแทรกซ้อนได้ เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ เช่น หอบเหนื่อบ เจ็บหน้าอก ตามัว มือเท้าชา หรือมีเลือด บวม แขนขาเป็นอัมพาต กำเดาไหล เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนจาดโรคความดัน โลหิตสูง สมอง อาจเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือ แตก กลายเป็นโรคอัมพาตครึ่งซีกซึ่งเป็นภาวะ แทรกซ้อนที่พบได้บ่อย บางรายถ้าเป็นเรื้อรัง อาจกลายเป็นโรคความจำเป็นเสื่อม สมาธิลดลง นอกจากนี้ ในรายที่มีหลอดเลือดฝอยในสมอง ส่วนสำคัญแตกก็อาจทำให้เสียชีวิตได้อย่าง รวดเร็ว หรือในรายที่มีความดันโลหิตสูงรุนแรงที่ เกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็อาจทำให้เกิดอาการปวด ศีรษะ ซึม เพ้อ ชัก หรือหมดสติได้ ซึ่งเรียกว่า “Hypertensive encephalopathy” หัวใจ จะทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายโต (LVH) ซึ่งถ้า ปล่อยให้เป็นมากขึ้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ร้ายแรงอื่น ๆ เกี่ยวกับหัวใจตามมาได้ และโรคนี้ ยังอาจทำให้หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบกลายเป็น โรคหัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ซึ่ง ถ้าเป็นรุนแรงอาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย ซึ่งจะ ทำให้มีอาการบวม หอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ ส่วนในรายที่มีความดันโลหิตสูงรุนแรง อาจตรวจ พบหัวใจเต้นมากกว่า 120 ครั้งต่อนาที และ จังหวะไม่สม่ำเสมอจากหัวใจห้องบนเต้นแผ่นระรัว
ภาวะแทรกซ้อนจาดโรคความดัน โลหิตสูง ตา จะเกิดภาวะเสื่อมของหลอด เลือดแดงภายในลูกตาอย่างช้า ๆ ในระยะแรกหลอดเลือดจะตีบ แต่ ต่อมาอาจแตกมีเลือดออกที่ตา ทำให้ประสาทตาเสื่อม ตามัวลง เรื่อย ๆ จนถึงขั้นตาบอดได้ ไต อาจเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง เนื่องจากหลอดเลือดแดงแข็ง เลือด ไปเลี้ยงไตไม่พอ ซึ่งไตที่วายจะยิ่ง ทำให้ความโลหิตของผู้ป่วยสูงขึ้น กลายเป็นวงจรที่เลวร้าย หลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดเลือดแดงส่วนปลาย หลอดเลือดแดงใหญ่เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง และภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายถึงเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ หลอดเลือดแดงส่วนที่มาเลี้ยงขาและปลายเท้าอาจเกิด ภาวะแข็งตัวและตีบได้ ทำให้เลือดไปเลี้ยงที่ขาและ ปลายเท้าได้น้อย อาจเป็นตะคริวบ่อย หรือปวดน่อง ขณะเดินมาก ๆ หากหลอดเลือดแดงเกิดการอุดตันก็ อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือดจนกลายเป็นเนื้อ ตายเน่า (Gangrene) ได้
หลักการดูแลโภชนาการสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มุ่งเน้นที่การจำกัดโซเดียม เนื่องจากโซเดียมสูงจะกระตุ้นให้หลั่งฮฮร์โมนแนทรียูเรติค (Natriureyic hormone) มีผลเพิ่มแรงตึงตัวของหลอดเลือด เกิดการคั่งของน้ำและโซเดียม เพิ่มปริมาตรของเลือดในร่างกาย ทำให้ระดับความดัน โลหิตสูง และยังเกี่ยวข้องกับระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน (Renin angiotensin aldosterone system : RAAS) ทำให้หลอดเลือดหดตัว เพิ่มแรงต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย เพิ่มการดูดกลับของโซเดียมที่ไต ทำให้ระดับความดัน โลหิตเพิ่ม โดยหลักการดูแลโภชนาการในผู้ป่วยโรคคามดันโลหิตสูง มีดังนี้ 1.ควบคุมโซเดียม องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณการบริโภคโซเดียมที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไว้ คือ รับ ประทานโซเดียมไม่เกินวันละ 2 กรัม หากผู้ป่วยมีความจำเป็นในการจำกัดโซเดียมอย่างเข้มงวดให้ปริมาณได้ไม่เกินวัน ละ 1.5 กรัม ในระยะเริ่มต้นอาจมีการกำหนดเป้าหมายที่ 3-4 กรัมต่อวัน หลังจากนั้นค่อย ๆ ลดปริมาณการบริโภค โซเดียมลงมาให้น้อยกว่า 2 กรัมต่อวัน การแปลหน่วยของโซเดียมจากเกลือที่ใช้ในการประกอบอาหาร ในการคำนวณเกี่ยวกับโซเดียม มักพบปัญหา ของความไม่เข้าใจเกี่ยวกับหน่วยของโซเดียม อาจพบว่าบางครั้งแสดงค่าเป็นหน่วยมิลลิกรัม (mg) บางครั้งอาจแสดง ค่าเป็นหน่วยมิลลิอิควิวาเลนต์ (miliequivalennt: mEq.) วิธีการคำนวณที่ 1 การคำนวณน้ำหนักโซเดียมจากเกลือแกง (Sodium chloride: NaCl) เกลือแกงปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม มีโซเดียม 400 มิลลิกรัม หรือเกลือแกงหนัก 1 กรัม จะมีโซเดียม 0.4 กรัม โดยมีสูตรคำนวณหาโซเดียมในเกลือแกงที่จะใส่ลงในอาหารดังนี้ น้ำหนักของโซเดียม = น้ำหนักของเกลือแกง (กรัม) x 0.4 ตัวอย่าง : เกลือแกง 5 กรัมคิดเป็นโซเดียมเท่ากับ 2 กรัม (5 x 0.4 = 2) วิธีการคำนวณที่ 2 การแปลงหน่วยมิลลิกรัม (mg.) ของโซเดียม เป็นมิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) ของโซเดียม ค่ามิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq) เป็นค่าสมมูลของโซเดียม นั่นคือ ปริมาณสารนั้นหนักเท่ากับน้ำหนัก สมมูลที่คิดเป็นมิลลิกรัม ค่าสมมูลจึงเท่ากับ น้ำหนักอะตอมหารด้วยวาเลนซีของอะตอมนั้น (น้ำหนักอะตอม ของโซเดียม = 23, วาเลนซี = 1) น้ำหนัก สมมูลของโซเดียมคิดเป็นมิลลกรัม จึงเท่ากับ 23 มิลลิกรัม ดังนั้น การคำนวณเพื่อเปลี่ยนหน่วยของมิลลิกรัม ให้เป็นมิลลิอิควิวาเลนต์ สามารถทำได้ โดยนำค่ามิลลิกรัมหาร ด้วยน้ำหนักอะตอมของโซเดียม (โซเดียมมีน้ำหนักอะตอม = 23) ดังนั้นสูตรในการแปลง คือ มิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) โซเดียม = น้ำหนักมิลลิกรัม (mg.) ของโซเดียม / 23 ตัวอย่าง: เกลือแกง 1,000 mg. มีโซเดียมอยู่ 400 มิลลิกรัม คิดเป็นกี่มิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) โซเดียม แทนค่าสูตรในการคำนวณ 400 / 23 = 17.39 mEq. ดังนั้น โซเดียม 400 มิลลิกรัม คิดเป็น 17.39 mEq. เป็นต้น
วิธีการคำนวณที่ 3 การแปลงหน่วยมิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) ของโซเดียม เป็นมิลลิกรัม (mg.) เมื่อ 1 มิลลิอิควิวาเลนต์ของโซเดียมเท่ากับโซเดียม 23 มิลลิกรัม ดังนั้นการแปลงหน่วย มิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) ของโซเดียมให้เป็นมิลลิกรัม (mg.) ทำได้โดยนำค่ามิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) ของโซเดียม มาคูณด้วยน้ำหนักอะตอมของโซเดียม (23) สูตรที่ใช้ในการแปลงคือ น้ำหนักมิลลิกรัม (mg.) ของโซเดียม = มิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) โซเดียม x 23 ตัวอย่าง: เกลือแกง 2,000 mg. มีโซเดียมอยู่ 34.78 mEq. คิดเป็นกี่มิลลิกรัมของโซเดียม แทนค่าสูตรในการคำนวณ 34.78 x 23 = 799.9 หรือประมาณ 800 มิลลิกรัมของโซเดียม ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีความจำเป็นต้องควบคุมการรับประทานอาหารที่มีโซเดียม ให้เหมาะสมกับสภาวะของโรค ความดันโลหิตสูง ลักษณะของการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมให้เหมาะสมกับสภาวะของโรคความดันโลหิตสูง มีดังนี้ 1.1.อาหารไม่เติมเกลืออีกเมื่อปรุงเสร็จ (No extra salt) เหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงระดับ 1 ให้โซเดียมประมาณ 4 กรัมต่อวัน ประมาณ 174 มิลลิอิควิวาเลนต์ การปรุงอาหารสามารถใช้เกลือหรือน้ำปลาหรือซีอิ๊วได้ เล็กน้อยเพื่อให้มีรสชาติ โดยให้ใช้เกลือได้ประมาณ 3 ช้อนชาต่อวัน แต่ไม่ให้มีการเติม เมื่อปรุงเสร็จหรือขณะรับประทาน และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มหรือโซเดียมสูง 1.2.อาหารจำกัดโซเดียมเล็กน้อย (Mild sodium restriction) เหมาะกับผู้ป่วย Hypertension ระดับ 2 เป็นอาหารที่มีโซเดียมได้ประมาณ 2-3 กรัมต่อวัน ประมาณ 87-130 มิลลิอิควิวาเลนต์ (mEq.) โดยให้ใส่เกลือ น้ำปลา หรือซีอิ๊วในการปรุงอาหารได้ประมาณ 2 ช้อนชาต่อวัน เมื่อปรุงเสร็จจะไม่มีการเติม เกลืออีก และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มหรืออาหารที่มีโซเดียมมากทุกชนิด 1.3.อาหารจำกัดโซเดียมปานกลาง (Moderate sodium restriction) เหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงระดับ 3 เป็นอาหารที่มีโซเดียมได้ประมาณ 1 กรัม/วัน หรือ 43.5 มิลลิอิควิวาเลนต์ ไม่มีการเติมเครื่องปรุงรส 1.4.อาหารจำกัดโซเดียมมาก (Severe sodium restriction) เหมาะกับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงระดับ 3 ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วม เป็น อาหารที่มีโซเดียมได้ประมาณ 500 มิลลิกรัม/วัน หรือ 22 มิลลิอิควิวาเลนต์ ไม่มีการเติมเครื่องปรุงรส
2. อาหารที่จำกัดไขมัน ควรควบคุมอาหารไขมัน โดยใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว เป็นต้น ไม่ควรใช้น้ำมันจากสัตว์เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลสูง และควร หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากกะทิ 3. อาหารประเภทโปรตีน ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เนื่องจากมีปริมาณโซเดียมสูง ควรรับประทานอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพที่ได้จากถั่วและเนื้อสัตว์ชนิดที่ ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา ถั่วเหลือง และถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่าง ๆ เป็นต้น 4. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น บะหมี่ ขนมปัง มะกะโรนี เป็นต้น เนื่องจากมีการเติมโซเดียมในกรรมวิธีการผลิต และควรหลีกเลี่ยง คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเชิงเดี่ยว เช่น ขนมปังขาว เครื่องดื่มที่มีรสหวาน เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน เป็นต้น 5. ผักและผลไม้ ควรระมัดระวังผักและผลไม้ที่มีโซเดียมมาก ได้แก่ แครอท บีทรูท ขึ้นฉ่ายฝรั่ง ผักที่ใช้ในการประกอบอาหารควรเป็นผัก สด ผักแช่แข็ง ไม่ควรรับประทานผักที่แปรรูป เช่น ผักดอง กิมจิ เป็นต้น 6. น้ำและเครื่องดื่ม ผู้ที่ลดหรือจำกัดโซเดียมในระดับเข้มงวด ควรเลือกดื่มน้ำที่ผ่านกระบวนการกลั่น เป็นหลัก งดการดื่มน้ำประปา น้ำบาดาล เนื่องจากมีปริมาณโซเดียมปนอยู่มาก 7. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงควรจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ให้เกิน 1 ดื่มมาตรฐาน (Standard drink) ต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 ดื่มมาตรฐานต่อวันสำหรับผู้ชาย โดยปริมาณ 1 ดื่มมาตรฐาน หมายถึง เครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 10 กรัม เบียร์ 1 กระป๋อง หรือเหล้า 30 มิลลิลิตร หรือไวน์คูลเลอร์ 240 มิลลิลิตร หรือ ไวน์ 120 มิลลิลิตร หรือ สาเก 100 มิลลิลิตร หรือสุรา บรั่นดี วิสกี้ 60 มิลลิลิตร หรือสุราขาว 30-40 มิลลิลิตร เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลให้หัวใจบีบตัว แรงมากขึ้น กระตุ้นการทำหน้าที่ของระบบประสาทซิมพาเทติค
หลักการรับประทานอาหารประเภท DASH เพื่อควบคุมระดับความดันโลหิต โดย National Heart, Lung, and Blood Institute (NHLBI) ของ สหรัฐอเมริกา เสนอแนะให้ผู้ที่เป็นหรือเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงควรรับประทานอาหาร ที่เรียกว่า “Dietary Approaches to Stop Hypertension: DASH)” หรือเรียกว่า “แดช” หรือ “DASH” เนื่องจากการรับประทานอาหารประเภท DASH เป็นการรับ ประทานอาหารที่ปริมาณโซเดียมต่ำ เน้นการรับประทานธัญพืชชนิดต่างๆ ผักและผลไม้ เป็นหลัก รับประทานเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ นมไขมันต่ำและผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ ถั่วชนิด ต่างๆ และของ หวานในปริมาณที่เหมาะสม สัดส่วนของการบริโภคตามหลัก DASH ในผู้ที่ต้องการปริมาณพลังงานไม่เกิน 2,000 กิโลแคลลอรี่ต่อวัน จะประกอบด้วยการรับประทานอาหาร หมวดต่างๆ ดังนี้ 1. ธัญพืชชนิดต่างๆ เน้นธัญพืชชนิดที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น สามารถบริโภค 7-8 ส่วนบริโภคต่อวัน (หรือประมาณ 7-8 ทัพพี) เพื่อเป็นแหล่ง พลังงานหลักและเพิ่มกากใย 2. ผักและผลไม้ สามารถบริโภคอย่างละ 4-5 ส่วนบริโภค (หรือประมาณ 4-5 ทัพพี และผลไม้ 3-4 ส่วน) เนื่องจากผักและผลไม้เป็นแหล่งที่สำคัญให้โพแทสเซียม แมกนีเซียม 3. เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา สามารถบริโภค 2-3 ส่วนบริโภคต่อวัน (หรือประมาณ 4-6 ช้อนโต๊ะ) 4. นมไขมันต่ำและผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ สามารถบริโภค 2 – 3 ส่วนบริโภคต่อวัน 5.. น้ำมันหรือไขมัน สามารถบริโภค 2-3 ส่วนบริโภคต่อวัน หรือไม่เกิน 6 ช้อนชา 6. ถั่วชนิดต่างๆ ไม่ควรบริโภคเกิน 4-5 ส่วนบริโภคหรือประมาณ 4-5ฝ่ามือต่อสัปดาห์ 7. ของหวานชนิดต่างๆ ไม่ควรบริโภคเกิน 5 ส่วนบริโภคต่อสัปดาห์
หลักการรับประทานอาหารประเภท DASH เพื่อควบคุมระดับความดันโลหิต รูปแบบอาหารแดช ช่วยลดความดันโลหิตได้เนื่องมาจาก... 1. เป็นอาหารประเภทเกลือโซเดียมต่ำทำให้การดึงน้ําเข้าในหลอดเลือดลดลง 2. มีโพแทสเซียสูงซึ่งช่วยดึงน้ําได้ ในเซลล์จึงไม่ขาดน้ําทําให้ร่างกายขับโซเดียมและน้ํานอก เซลล์ออก 3. มีแมกนีเซียมสูงซึ่งมีฤทธิ์เป็น calciumchannelblocker ทําให้เส้นเลือด ขยายตัว ความดันโลหิตจึงลดลงได้ 4. มีแคลเซียมสูงช่วยลดระดับพาราไทรอยด์ฮอร์โมนซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มความดัน โลหิต 5. มีnitrateขนาดตํ่าๆซึ่งพบมากในผักใบมีฤทธิ์ช่วยยขยายหลอดเลือดโดยถ้า มีมากเกินไปจะเกิดพิษในร่างกาย แต่ปริมาณที่มีในผักทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ และปลอดภัย 6. มีการจํากัดน้ําตาลซึ่งหากได้รับมากเกินไปอาจทําให้ไขมันในเลือดสูงเพิ่มความเสี่ยงในการ เกิดหลอดเลือดตีบ ความดันโลหิตสูง
วางแผนรับประทานอาหารใน 1 วันโดย สัดส่วนของการบริโภคตามหลัก DASH ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ต้องการ ปริมาณพลังงานไม่เกิน 2,000 กิโลแคลอรี่ ต่อวัน ขั้นตอนการวางแผนรับประทานอาหารแบบ DASH ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้ 1. ประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วย เพื่อทราบว่ามีโภชนาการระดับใดด้วยสูตร คำนวณดัชนีมวลกาย(BMI : Body Mass Index) กิโลกรัม/เมตร2 ค่า BMI ที่คำนวณได้มีความสัมพันธ์ค่อนข้างสูงกับปริมาณไขมันในร่างกาย องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้กำหนดค่าการแปลผล ตามตาราง
2. ประเมินพลังงานขั้นพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ (Basal Metabolic Rate : BMR) BMR คือ อัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ขณะพักผ่อน เมื่อร่างกายอยู่ นิ่ง ไม่มีกิจกรรม อื่นๆ ซึ่งเป็นพลังงานที่ถูกใช้ไปเพียงเพื่อรักษาระดับการมีชีวิต เช่น หัวใจเต้น ปอด ตับ กล้ามเนื้อ ผิวหนังและอื่นๆ สูตรคำนวณ BMR ของ The Mifflin St Jeor Equation BMR เพศชาย (10 x น้ำหนัก (กิโลกรัม)) + (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร)) – (5 x อายุ) + 5 BMR เพศหญิง (10 x น้ำหนัก (กิโลกรัม)) + (6.25 x ส่วนสูง (เซนติเมตร)) – (5 x อายุ) – 161 3. ประเมินพลังงานที่ร่างกายต้องการทั้งหมดต่อวัน (Total Daily Energy Expenditure : TDEE) TDEE คือ ค่าพลังงานที่ร่างกายต้องการในการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวันทั้งการ เดิน วิ่ง นอนทำงานหรือว่า ออกกำลังกาย ซึ่งในคนที่ไม่ค่อยขยับร่างกายจะ ต้องการใช้พลังงานในส่วนนี้น้อยกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ สำหรับคนที่ ควบคุมน้ำหนักจึงไม่ควรรับประทานอาหารเกินค่า TDEE ที่คำนวณได้ของบุคคล นั้น สูตรคำนวณ TDEE มีดังนี้ พลังงานที่ร่างกายต้องการทั้งหมดต่อวัน (TDEE) = BMR x ตัวแปรตารางค่าตัวแปร การออกกำลังกาย
4. วางแผนการรับประทานอาหาร DASH Diet ให้เหมาะสมกับตัวเอง โดย พิจารณาดังนี้ ต้องเพิ่มน้ำหนัก ให้รับประทานอาหารมากกว่า TDEE ต้องการคงน้ำหนักเดิม ให้รับประทานอาหารเท่ากับ TDEE ต้องการลดน้ำหนัก ให้รับประทานอาหารน้อยกว่า TDEE แต่ต้องไม่น้อยกว่า พลังงานขั้นพื้นฐานที่ร่างกายต้องการ + เพิ่มกิจกรรมทางกายเพื่อเผาผลาญ พลังงานให้มากขึ้น เมื่อทราบว่าพลังงานที่จะได้รับในวันหนึ่งเป็นเท่าไร นำค่าที่ได้มาเทียบกับ ตารางแสดงสัดส่วน DASH ที่รับประทานต่อวันแยกตามจำนวนแคลอรี่ที่ใช้ โดย DASH จะจัดอาหารเป็น 8 หมวด
การวางแผนรับประทานอาหารแบบ DASH ตัวอย่าง หญิงอายุ 62 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนสูง 150 เซนติเมตร น้ำ หนัก 62.9 กิโลกรัม ไม่ได้ทำงานและไม่ได้ออกกำลังกายเลย ขั้นตอนการ วางแผน กระทำได้ดังนี้ 1. คำนวณดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม/ส่วนสูง เมตร2 = 62.9/(1.50)2= 62.9/2.25 = 27.95 ผลการประเมิน BMI = อ้วนระดับ 1 2. คำนวณ BMR (อัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายขณะพักผ่อน) สูตรเพศหญิง (BMR) = (10 x น้ำหนัก (กก.)) + (6.25 x ส่วนสูง (ซม.)) – (5 x อายุ) – 161 = 10(62.9)+(6.25x150)-(5x62)-161 = 629+937.5-310-161 = 1,095.5
3. คำนวณ TDEE (ค่าพลังงานที่ต้องการในการทำกิจกรรมในแต่ละวัน) สูตร พลังงานที่ร่างกายต้องการทั้งหมดต่อวัน TDEE = BMR x ตัวแปร กรณีตัวอย่างเป็นบุคคลที่ไม่ได้ทำงานและไม่ออกกำลังกายดังนั้นตัวแปรที่มาคูณ คือ 1.2 TDEE = 1,095.5 x 1.2 = 1,314.6 เนื่องจากกรณีศึกษามีภาวะโภชนาการอ้วนระดับ 1 อาหารที่รับประทานจึงควรมีพลังงาน น้อย กว่าค่า TDEE พิจารณาในตารางที่4 ควรรับประทานอาหาร 1200 Kcal ซึ่งประกอบด้วย อาหารต่อวันดังนี้ 1) ข้าว (ข้าวกล้อง) 4-5 ทัพพี 2) ผักสด 3-4 ทัพพี 3) ผลไม้ 3-4 ส่วน ≤4) อาหารแคลเซียมสูง (นมไขมันต่ำ) 2-3 ส่วน 5) เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน 3 ส่วน (1 ส่วนเท่ากับ 2 ช้อนโต๊ะ) 6) ถั่วเมล็ด 3 ส่วน/สัปดาห์ ≤7) น้ำมัน 1 ช้อนชา 8) น้ำตาล 3 ส่วน/สัปดาห์ (น้ำตาล 1 ส่วน = 1 ช้อนโต๊ะ) 9) โซเดียม 2/3 ช้อนชา (1500 มิลลิกรัม)
มื้อเช้า ข้าวกล้อง พลังงานที่ได้รับ : 2 ทัพพี 140 kcal ประโยชน์ที่ได้รับ : ช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ฟื้ นฟูกำลัง ป้องกันอาการอ่อนเพลีย มีส่วนช่วยให้ร่างกายใช้ในการลำเลียงออกซิเจนใน เลือด ต้มจืดไข่น้ำ พลังงารที่ได้รับ : 1 ถ้วย 294 Kcal (ไข่ไก่ 1 ฟอง ผักกาดขาว 2 ถ้วยตวง อกไก่ 1 ส่วน ซีอิ้วขาว ½ ช้อนชา เกลือ ¼ ช้อนชา) ประโยชน์ที่ได้รับ : ไข่ไก่ ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล และความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคอัมพาต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ใน เลือด ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ผักกาดขาว ช่วยทำให้กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ มีส่วนช่วยในการลด ความดันโลหิตสูง ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผนังหลอดเลือด
มื้อกลางวัน ข้าวกล้อง พลังงานที่ได้รับ : 2 ทัพพี 140 kcal ประโยชน์ที่ได้รับ : ช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มพลังงานให้กับ ร่างกาย ฟื้ นฟูกำลัง ป้องกันอาการอ่อนเพลีย มีส่วนช่วยให้ ร่างกายใช้ในการลำเลียงออกซิเจนในเลือด แกงเลียงกุ้ง พลังงานที่ได้รับ : 1 ถ้วย = 392 kcal ประโยชน์ที่ได้รับ : ช่วยขับเสมหะ ป้องกันหวัด บำรุงหัวใจ บำรุงสมองให้มี ความจำที่ดีขึ้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ ทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และแก้อาการท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ
อาหารว่าง มะม่วงหิมพานต์ พลังงานที่ได้รับ : 1 กำมือ ได้รับพลังงาน 140 kcal ประโยชน์ที่ได้รับ : ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอด เลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ได้ มีธาตุแมกนีเซียมในปริมาณมากช่วยบำรุงสุขภาพฟันและ กระดูกให้แข็งแรง สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ ป้องกันการเกิดโรค กระดูกพรุนในผู้สูงอายุได้ แตงโม พลังงานที่ได้รับ : 2 ส่วน ได้รับพลังงาน 60 kcal ประโยชน์ที่ได้รับ : มีเส้นจำนวนมาก ทานแล้วอิ่มไวช่วยในเรื่อง การขับถ่ายป้องกันการสะสมไขมันในเลือดควบคุมระดับความ ดันโลหิต
มื้อเย็น โยเกิร์ตไขมันต่ำ พลังงานที่ได้รับ : 1 ถ้วย ได้รับพลังงาน 110 kcal ประโยชน์ที่ได้รับ : ช่วยให้อิ่มท้อง กระตุ้นการทำงาน ของลำไส้ มีแคลเซียมสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอลLDL ช่วยลดความดันโลหิตสูง มะละกอ พลังงานที่ได้รับ : 1 ส่วน(6-8 ชิ้นคำ) ได้รับพลังงาน 43 kcal ประโยชน์ที่ได้รับ : มะละกอมีสารไลโคปีน ที่จะช่วยในการต้านมะเร็งได้ เป็นอย่างดี บำรุงหัวใจให้แข็งแรง และสามารถป้องกันการเกิดไขมันอุด ตันเส้นเลือด หรือโรคหัวใจขาดเลือดได้เป็นอย่างดี มีฤทธิ์เป็นยาระบา ยอ่อนๆ และมีเส้นใยสูง
โรคหลอดเลือดหัวใจ Coronary Artery Disease : CAD Coronary Heart Disease : CHD คือ โรคที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจมีการตีบแคบ หรืออุด ตัน จากการสะสมของคราบไขมัน ส่งผลให้เลือดผ่านหลอดเลือด แดงโคโรนารีที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง ทำให้กล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือด มีการตายของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เป็นเหตุให้ ประสิทธิภาพการบีบตัวของหัวใจลดลง สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เพศและอายุ ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจจะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเพศชายอายุมากกว่า 45 ปีและเพศหญิงอายุ 55 ปี เพศหญิงจะมากกว่าเพศชาย เนื่องจากในช่วง นี้เพศหญิงจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งจะช่วย ป้องกันการตีบแคบของหลอดเลือด
กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวมีโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีสาย เลือดเดียวกัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มากกว่าผู้ที่มีประวัติกรรมพันธุ์ในครอบครัว การสูบบุหรี่ สารนิโคตินและคาร์บอนมอนนอกซ์ไซด์จะทำให้ผิวหนัง หลอดเลือด แดงด้านในเสียหาย ส่งผลให้หลอดเลือดแดงตีบเเข็งได้ง่าย ความผิดปกติของระดับไขมันในเลือด ระดับไขมันที่สูงจะก่อให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด โดยเฉพาะไข มัน Low Density Lipoprotein Cholesterol (LDL-C) ร่างกายได้รับ จากการรับประทานอาหารที่มีคอลเลสเตอรอลสูง ไขมันอิ่มตัวสูง หรือโปรตีน มากเกินไป LDL-C ที่มากเกินไปจะไปเร่งกระบวนการตีบแคบและอุดตันที่ ผนังหลอดเลือดแดง โดยจะไปจับบริเวณผนังชั้นในของหลอดเลือดแดง โคโรนารี เกิดการสะสมของคราบ พอกหนาขึ้น หลอดเลือดแดงขาดความ ยืดหยุ่น ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มิลลิเมตรปรอท ทำให้ผนัง หลอดเลือดแดงโคโรนารีรับแรงกระแทกมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิด โรคหลอดเลือดตีบและเเข็งมากขึ้น การขาดการออกกำลังกาย
เบาหวาน มีผลต่อการเผาผลาญไขมันในหลอดเลือดที่ผิดปกติ ส่งผลให้ไขมัน ในเลือดสูง ทำให้เกิดหลอดเลือดโคโรนารีตีบแข็งได้ ความอ้วนและน้ำหนักเกินมาตรฐาน ระดับ Cholesterol ที่สูงและระดับ HDL-C ที่ต่ำ พบว่ามีความเสี่ยงต่อการ เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การรักษาและเป้าหมาย ในการควบคุมโรคหลอดเลือดหัวใจ 1.การรักษาในระยะวิกฤต เพื่อเปิดทางเดินของหลอดเลือดหัวใจที่อุดตันให้เร็วที่สุด มี3 วิธีคือ การรักษาด้วยการละลายลิ่มเลือด การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยสายสวน การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี 2. การรักษาระยะยาว เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ผู้ป่วยควรมีการรักษาด้วยยา ร่วมกับการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต
หลักการดูแลโภชนาการสำหรับ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 1. การกำหนดสัดส่วนของสารอาหาร ในสารอาหารที่ให้พลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน ควรมีสัดส่วนของ คาร์โบไฮเดรตเท่ากับ ร้อยละ 55-65 โปรตีนเท่ากับ ร้อยละ 12-15 และไขมันเท่ากับร้อยละ 20-30 2. อาหารจำกัดไขมัน ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงาน ทั้งหมด ควรได้จากกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ที่มีกรดไลโนเลอิคสูง เนื่องจากสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ใน เลือดได้ -หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว เพราะส่งผล ให้ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันหมู เนย นม เนื้อสัตว์ติดมัน ไข่แดง เป็นต้น -หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ เพราะจะทำให้เพิ่ม Total Cholesterol, LDL-C, Triglyceride และยังมีผลทำให้ HDL-C ลดลง • ไขมันทรานส์ที่มีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติ จะพบในเนื้อวัว ควาย นม ผลิตภัณฑ์นม เช่น เนย ชีส • ไขมันทรานส์ที่ได้จากกระบวนการการอุตสาหกรรม มีการเพิ่ม ไฮโดรเจนเข้าไป ทำให้หืนช้า เก็บรักษาได้นานขึ้น เช่น เนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่
-การเลือกใช้น้ำมันเพื่อการประกอบอาหารที่ถูกต้อง • น้ำมันที่มี PUFAs มาก เหมาะสำหรับอาหารผัด เนื่องจากถ้า ผ่านความร้อนสูงเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดไขมันทรานส์ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง • น้ำมันที่มี MUFAs มาก เหมาะกับการรับประทานสด ไม่ เหมาะในการผ่านความร้อน เช่น น้ำมันมะกอก • น้ำมันที่มี SFAs มาก เหมาะในการใช้ทอดอาหารไฟแรง เนื่องจากผ่านความร้อนสูงไม่ทำให้เกิดไขมันทรานส์ เช่น น้ำมัน ปาล์ม *ซึ่งวิธีการประกอบอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคหลอด เลือดหัวใจ คือ การนึ่ง ต้ม ตุ๋น แทนการทอด - หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่ไก่แดง เนื่องจากจะ ทำให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักเกินและอ้วน จะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมาก ขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจต้องเพิ่มขนาดขึ้น เพื่อให้มีออกซิเจนไปเลี้ยง เนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ส่งผลให้หลอดเลือดหัวใจมีความรุนแรงยิ่งขึ้น 3. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ควรได้รับร้อยละ 55-65 ของพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน ควรเป็น คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช ต่างๆ หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเชิงเดี่ยว ได้แก่ ขนมปังขาว น้ำอัดลม ขนมหวาน เนื่องจากจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและ ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและแข็งตัว 4. อาหารประเภทโปรตีน ควรรับประทานโปรตีนที่ได้จากถั่วและเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น ปลา ถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ เนื่องจากมีไขมันต่ำ ย่อย ง่าย ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรได้รับโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนัก ตัว 1 กิโลกรัม หรือวันละ 60-70 กรัม และควรรับประทานโปรตีน ที่มาจากไข่ ไม่เกินสัปดาห์ละ 3 ฟอง นมสดไม่เกินวันละ 1 ถ้วยตวง
5. ผักและผลไม้ ควรเพิ่มอาหารที่มีกากใยให้มากขึ้น โดยเฉพาะผัก จะช่วยลด หรือชะลอการดูดซึมของน้ำตาลและคอเลสเตอรอลจากอาหาร ได้ ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น น้อยหน่า ลำไย ทุเรียน ขนุน • หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจล้มเหลว และมีภาวะน้ำเกินร่วมด้วย ทำให้เกิดการสูญเสียเสียโพแทสเซียม ควรรับประทานผักและ ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมเพิ่ม เช่น ส้ม กล้วย 6. การจำกัดน้ำ จะช่วยลดการคั่งของน้ำในส่วนต่างๆของร่างกาย โดยการจำกัดน้ำขึ้นอยู่ กับระดับความรุนแรงของภาวะหัวใจล้มเหลว • กรณีที่ภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรงมาก อาจจำกัดน้ำดื่มไม่เกิน 1,000 มิลลิลิตรต่อวัน • หากไม่รุนแรง มีปัสสาวะออกได้ดี จำกัดน้ำโดยดื่มน้ำไม่เกิน 2,000 มิลลิลิตรต่อวัน โดยน้ำที่ได้รับจะรวมน้ำเปล่า น้ำที่ผสมอยู่ในอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งสาร น้ำที่ให้ทางหลอดเลือดดำด้วย 7. จำกัดปริมาณโซเดียมจากอาหาร หากผู้ป่วยยังไม่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ควรบริโภคโซเดียมไม่ เกินวันละ 2 กรัม เนื่องจากมีโอกาสคั่งของโซเดียมใน ร่างกายจากหลอดเลือดฝอยส่วนต้นและส่วนปลายของไต ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนัก 8. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ เนื่องจากมีผลกดการ ทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และยังทำให้ LDL-C สูง
“ภายนอกที่ดีต่อสุขภาพเริ่มต้นจากภายใน” จัดทำโดย 63010149 มัตริณีย์ นกแก้ว 63010160 สุดารัตน์ วิบูลย์อรรถ 63010162 สุภัทรา ทวีสุข 63010168 อาลียา หม่าหลี 63010193 ปริยาภัทร ดุสิตจิตธิวัฒน์ 63010205 สวรส ทิพย์ถา ชั้นปีที่ 2 เซค02 พยาบาลศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: