Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 39093_รายงานชนกพร

39093_รายงานชนกพร

Published by suttita kaewketpong, 2021-02-09 12:48:34

Description: 39093_รายงานชนกพร

Search

Read the Text Version

รายงาน เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง จดั ทาโดย เดก็ หญงิ ชนกพร จงวฒั นะกิจ ม.3/7 เลขที่22 เสนอ คุณครูศิริรักษ์ สมพงษ์ รายงานน้ีเป็นส่วนประกอบของรายวชิ าอาชีพ 3 รหสั วชิ า ง23201 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ

คานา รายงานนฉี้ บบั นี้ เป็นสว่ นหน่งึ ของรายวชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยีชนั้ มธั ยมปีท่ี 3 มีจดุ ประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาความรูท้ ่ไี ดจ้ ากเรอ่ื งเศรษฐกจิ พอเพียงช่วยพฒั นาใหผ้ เู้ รียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ มีทกั ษะพนื้ ฐานท่จี าเป็นต่อการดารงชวี ิต การงานอาชพี และรูเ้ ทา่ ทนั การ เปลย่ี นแปลง สามารถนาความรูเ้ ก่ยี วกบั ผศู้ กึ ษาขอขอบพระคณุ คณุ ครู ศิรริ กั ษ์ สมพงษ์ ท่ไี ดก้ รุณาใหแ้ นวคดิ ต่างๆขอ้ แนะนา หลายประการ ทาใหร้ ายงานเลม่ นสี้ มบรู ณม์ ากย่งิ ขนึ้ สดุ ทา้ ยนี้ ขา้ พเจา้ หวงั วา่ เนอื้ หาในรายงานฉบบั นที้ ่ไี ดเ้ รยี บเรยี งมาเป็นประโยชนต์ ่อ ผสู้ นใจเป็นอยา่ งดี หากมสี ่งิ ใดในรายงานฉบบั นจี้ ะตอ้ งปรบั ปรุง ขา้ พเจา้ ขอนอ้ มรบั ในขอ้ ชแี้ นะ และจะนาไปแกไ้ ขหรือพฒั นาใหถ้ กู ตอ้ งสมบรู ณต์ อ่ ไป ผจู้ ดั ทา เดก็ หญิงชนกพร จงวฒั นะกิจ

สารบญั หนา้ 1 เรื่อง 2 เศรษฐกิจพอเพยี ง 3 จุดเร่ิมตน้ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 4 ความหมายของเศรษฐกิจพอเพยี ง พระราชดารัสเก่ียวกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง 5-7 หลกั ปรัชญา 8-9 การนาไปใช้ 10 หลกั เศรษฐกิจพอเพยี งกบั การวางแผนการเงินของคนไทย แนวทางการทาการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง 12-14 การผลิตตามทฤษฎีใหม่ 15-22 เกษตรทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพยี งระดบั บุคคลและครอบครัว 23 เศรษฐกิจพอเพยี งระดบั ชุมชน 24 เศรษฐกิจพอเพยี งระดบั ประเทศ 25 บรรณานุกรม 26

1 เศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง เป็นปรชั ญาที่พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมพี ระราชดารสั แก่ ชาวไทยนบั ตงั้ แต่ พ.ศ. 2517 เป็นตน้ มา และถกู พดู ถึงอยา่ งชดั เจนในวนั ที่ 4 ธนั วาคม พ.ศ. 2540 เพ่ือเป็น แนวทางการแกไ้ ขวกิ ฤตการณท์ างการเงนิ ในเอเชีย พ.ศ. 2540 ใหส้ ามารถดารงอย่ไู ดอ้ ย่างม่นั คงและย่งั ยืน ในกระแสโลกาภิวตั นแ์ ละความเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงนีไ้ ดร้ บั การเชิดชจู ากองคก์ ารสหประชาชาติ วา่ เป็นปรชั ญาที่มีประโยชนต์ อ่ ประเทศไทยและนานาประเทศ และสนบั สนนุ ใหป้ ระเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสกู่ ารพฒั นาแบบย่งั ยนื โดย มีนกั วิชาการและนกั เศรษฐศาสตรห์ ลายคนเห็นดว้ ยกบั แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แตใ่ นขณะเดยี วกนั บาง ส่ือตงั้ คาถามถึงการยกยอ่ งขององคก์ ารสหประชาชาติ รวมทงั้ ความนา่ เช่ือถือของรายงานศกึ ษาและทา่ ที ขององคก์ าร

2 จุดเริ่มตน้ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ผลจากการใชแ้ นวทางการพฒั นาประเทศไปสคู่ วามทนั สมยั ไดก้ ่อใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงแก่ สงั คมไทยอย่างมากในทกุ ดา้ น ไมว่ า่ จะเป็นดา้ นเศรษฐกิจ การเมอื ง วฒั นธรรม สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม อกี ทง้ั กระบวนการของความเปลย่ี นแปลงมคี วามสลบั ซบั ซอ้ นจนยากทจ่ี ะอธิบายใน เชิงสาเหตแุ ละผลลพั ธ์ ได้ เพราะการเปลยี่ นแปลงทงั้ หมดตา่ งเป็นปัจจยั เชื่อมโยงซ่งึ กนั และกนั สาหรบั ผลของการพฒั นาในดา้ นบวกนน้ั ไดแ้ ก่ การเพิ่มขนึ้ ของอตั ราการเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจ ความ เจรญิ ทางวตั ถุ และสาธารณปู โภคตา่ งๆ ระบบสื่อสารท่ีทนั สมยั หรือการขยายปริมาณและกระจาย การศกึ ษาอยา่ งท่วั ถงึ มากขนึ้ แตผ่ ลดา้ นบวกเหลา่ นีส้ ว่ นใหญ่กระจายไปถงึ คนในชนบท หรือผดู้ อ้ ยโอกาส ในสงั คมนอ้ ย แตว่ า่ กระบวนการเปลย่ี นแปลงของสงั คมไดเ้ กิดผลลบตดิ ตามมาดว้ ย เชน่ การขยายตวั ของรฐั เขา้ ไปใน ชนบท ไดส้ ง่ ผลใหช้ นบทเกิดความออ่ นแอในหลายดา้ น ทงั้ การตอ้ งพง่ึ พิงตลาดและพอ่ คา้ คนกลางในการ ส่งั สินคา้ ทนุ ความเส่ือมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติ ระบบความสมั พนั ธแ์ บบเครือญาติ และการรวมกลมุ่ กนั ตามประเพณเี พ่ือการจดั การทรพั ยากรท่ีเคยมอี ยแู่ ต่เดมิ แตก สลายลง ภมู ิความรูท้ ่ีเคยใชแ้ กป้ ัญหาและ ส่งั สมปรบั เปลย่ี นกนั มาถกู ลมื เลอื นและเรมิ่ สญู หายไป ส่ิงสาคญั ก็คือ ความพอเพียงในการดารงชีวติ ซงึ่ เป็นเง่ือนไขพืน้ ฐานท่ีทาใหค้ นไทยสามารถพึ่งตนเอง และ ดาเนินชีวติ ไปไดอ้ ย่างมีศกั ดศิ์ รภี ายใตอ้ านาจและความมอี ิสระในการกาหนด ชะตาชีวติ ของ ตนเอง ความสามารถในการควบคมุ และจดั การเพ่ือใหต้ นเองไดร้ บั การสนองตอบตอ่ ความตอ้ ง การ ตา่ งๆ รวมทง้ั ความสามารถในการจดั การปัญหาตา่ งๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง ซึ่งทงั้ หมดนีถ้ ือวา่ เป็นศกั ยภาพ พืน้ ฐานที่คนไทยและสงั คมไทยเคยมอี ยแู่ ต่ เดมิ ตอ้ งถกู กระทบกระเทือน ซึง่ วิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟอง สบ่แู ละปัญหาความออ่ นแอของชนบท รวมทง้ั ปัญหาอ่นื ๆ ท่ีเกิดขนึ้ ลว้ นแตเ่ ป็นขอ้ พิสจู นแ์ ละยนื ยนั ปรากฎการณน์ ีไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี

3 ความหมายของเศรษฐกิจพอเพยี ง 1. ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดที ี่ไมน่ อ้ ยเกินไปและไมม่ ากเกินไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเองและ ผอู้ ืน่ เชน่ การผลติ และการบริโภคที่อยใู่ นระดบั พอประมาณ 2. ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตดั สนิ ใจเก่ียวกบั ระดบั ความพอเพียงนน้ั จะตอ้ งเป็นไปอย่างมีเหตผุ ล โดย พิจารณาจากเหตปุ ัจจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ตลอดจนคานงึ ถึงผลท่คี าดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการกระทานน้ั ๆ อยา่ ง รอบคอบ 3. การมีภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ท่ีดี หมายถึง การเตรียมตวั ใหพ้ รอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลย่ี นแปลงดา้ นตา่ งๆ ที่ จะเกิดขนึ้ โดยคานงึ ถงึ ความเป็นไปไดข้ องสถานการณต์ า่ งๆ ท่ีคาดวา่ จะเกิดขนึ้ ในอนาคต โดยมี เง่ือนไข ของการตดั สนิ ใจและดาเนินกจิ กรรมตา่ งๆ ใหอ้ ยใู่ นระดบั พอเพียง ๒ ประการ ดงั นี้ 1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรูเ้ กี่ยวกบั วชิ าการตา่ งๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งรอบดา้ น ความรอบคอบทจี่ ะ นาความรูเ้ หลา่ นน้ั มาพิจารณาใหเ้ ช่ือมโยงกนั เพื่อประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในการปฏิบตั ิ 2. เง่ือนไขคณุ ธรรม ที่จะตอ้ งเสรมิ สรา้ ง ประกอบดว้ ย มีความตระหนกั ใน คณุ ธรรม มีความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ และมคี วามอดทน มคี วามเพียร ใชส้ ติปัญญาในการดาเนินชีวติ

4 พระราชดารัสเก่ียวกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง “...ตามปกตคิ นเราชอบดสู ถานการณใ์ นทางดี ท่ีเขาเรียกวา่ เลง็ ผลเลิศ ก็เหน็ วา่ ประเทศไทย เราน่ีกา้ วหนา้ ดี การเงินการอตุ สาหกรรมการคา้ ดี มกี าไร อีกทางหน่ึงก็ตอ้ งบอกวา่ เรากาลงั เสื่อมลงไปสว่ นใหญ่ ทฤษฎี วา่ ถา้ มเี งินเทา่ นน้ั ๆ มกี ารกเู้ ท่านนั้ ๆ หมายความวา่ เศรษฐกิจกา้ วหนา้ แลว้ กป็ ระเทศกเ็ จริญมีหวงั วา่ จะเป็น มหาอานาจ ขอโทษเลยตอ้ งเตือนเขาวา่ จริงตวั เลขดี แตว่ า่ ถา้ เราไมร่ ะมดั ระวงั ในความตอ้ งการพืน้ ฐานของ ประชาชนนน้ั ไมม่ ที าง...” พระราชดารสั เน่ืองในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ดิ าลยั วนั ที่ ๔ ธนั วาคม ๒๕๓๖ \"...พอเพียง มีความหมายกวา้ งขวางย่ิงกวา่ นีอ้ กี คอื คาวา่ พอ ก็พอเพียงนีก้ ็พอแคน่ นั้ เอง คนเราถา้ พอใน ความตอ้ งการกม็ ีความโลภนอ้ ย เมื่อมีความโลภนอ้ ยกเ็ บียดเบียนคนอื่นนอ้ ย ถา้ ประเทศใดมคี วามคดิ อนั นี้ มีความคดิ วา่ ทาอะไรตอ้ งพอเพียง หมายความวา่ พอประมาณ ซ่ือตรง ไมโ่ ลภอย่างมาก คนเรากอ็ ย่เู ป็น สขุ พอเพียงนีอ้ าจจะมี มมี ากอาจจะมีของหรหู รากไ็ ด้ แตว่ า่ ตอ้ งไมไ่ ปเบียดเบียนคนอื่น...” พระราชดารสั เน่ืองในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ิดาลยั วนั ท่ี ๔ ธนั วาคม ๒๕๔๑ “...ฉนั พดู เศรษฐกจิ พอเพียงความหมายคือ ทาอะไรใหเ้ หมาะสมกบั ฐานะของตวั เอง คอื ทาจาก รายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขนึ้ ไปเป็นสองหมนื่ สามหม่นื บาท คนชอบเอาคาพดู ของฉนั เศรษฐกิจพอเพียงไป พดู กนั เลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทาเป็น Self-Sufficiency มนั ไมใ่ ชค่ วามหมายไมใ่ ชแ่ บบท่ีฉนั คิด ที่ ฉนั คิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถา้ เขาตอ้ งการดทู ีวี กค็ วรใหเ้ ขามีดู ไมใ่ ช่ไปจากดั เขา ไมใ่ หซ้ ือ้ ทีวีดู เขาตอ้ งการดเู พ่ือความสนกุ สนาน ในหมบู่ า้ นไกลๆ ที่ฉนั ไป เขามีทีวดี แู ตใ่ ชแ้ บตเตอร่ี เขาไมม่ ี ไฟฟ้า แตถ่ า้ Sufficiency นน้ั มีทีวีเขาฟ่ มุ เฟื อย เปรียบเสมือนคนไมม่ ีสตางคไ์ ปตดั สทู ใส่ และยงั ใสเ่ นคไท เวอรซ์ าเช่ อนั นีก้ เ็ กินไป...” พระตาหนกั เป่ียมสขุ วงั ไกลกงั วล ๑๗ มกราคม ๒๕๔๔

5 หลกั ปรัชญา การพัฒนาประเทศจาเป็ นต้องทาตามลาดับขัน้ ต้องสร้างพืน้ ฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของ ประชาชนส่วนใหญ่เป็ นอันพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจ ขัน้ ท่ีสูงขึน้ โดยลาดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึน้ ให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิด ความไม่สมดุลในเร่ืองต่าง ๆ ขึน้ ซึ่งอาจกลายเป็ นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด... — พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีท่ี 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรชั ญาท่ยี ึดหลกั ทางสายกลาง ท่ีชแี้ นวทางการดารงอยแู่ ละปฏบิ ตั ิของ ประชาชนในทกุ ระดบั ใหด้ าเนินไปในทางสายกลาง มคี วามพอเพียง และมคี วามพรอ้ มที่จะจดั การตอ่ ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลง ซึง่ จะตอ้ งอาศยั ความรอบรู้ รอบคอบ และระมดั ระวงั ในการวางแผนและ ดาเนินการทกุ ขน้ั ตอน ทงั้ นี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดาเนินชีวิตอย่างสมดลุ และย่งั ยืน เพ่ือใหส้ ามารถอยู่ ไดแ้ มใ้ นโลกโลกาภวิ ตั นท์ ี่มีการแขง่ ขนั สงู ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงท่ีทรงปรบั ปรุงพระราชทานเป็นท่ีมาของนิยาม \"3 ห่วง 2 เง่ือนไข’’ ท่ี คณะอนกุ รรมการขบั เคลอื่ นเศรษฐกิจพอเพียง สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คม แห่งชาติ นามาใชใ้ นการรณรงคเ์ ผยแพรป่ รชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงผา่ นชอ่ งทางสอื่ ตา่ ง ๆ อยใู่ นปัจจบุ นั ซึ่งประกอบดว้ ยความ \"พอประมาณ มเี หตผุ ล มภี มู ิคมุ้ กนั \" บนเง่ือนไข \"ความรู\"้ และ \"คณุ ธรรม\" ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดี พอเหมาะไมม่ ากหรอื นอ้ ยเกินไปจนเบียดเบยี นตนเองและผอู้ น่ื ซึง่ เป็นไปตามพทุ ธเศรษฐศาสตร์ ยดึ หลกั ทางสายกลางและความไมโ่ ลภ ความมีเหตผุ ล หมายถึงการตดั สินใจดาเนินการใดอยา่ งมเี หตผุ ล คานงึ ถงึ ผลท่ีคาดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการกระทาอย่างรอบคอบ ใชห้ ลกั เหตผุ ลตามความพอเพียง ตามหลกั วชิ าการ กฎหมาย ศลี ธรรม จริยธรรมและวฒั นธรรมที่ดงี าม ซง่ึ เป็นไปตามพทุ ธเศรษฐศาสตร์ ใชป้ ัญญาในการพจิ ารณาตดั สนิ ใจ ใชห้ ลกั เหตผุ ลมิใช่คานงึ ถงึ ความอยาก ความโลภ หรือตณั หา การมภี มู คิ มุ้ กนั ทีด่ ี หมายถงึ การเตรยี มตวั พรอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลยี่ นแปลงทางดา้ น เศรษฐกิจ สงั คม ส่ิงแวดลอ้ มและวฒั นธรรมเพ่ือใหส้ ามารถปรบั ตวั และรบั มอื ไดอ้ ย่างทนั ทว่ งที ซ่งึ เป็นไปตามพทุ ธเศรษฐศาสตรท์ ี่มีความไมป่ ระมาทตอ้ งเตรียมพรอ้ มและเขา้ ใจถงึ การเปล่ยี นแปลงท่ี เป็นไปตามธรรมชาติ

6 เงื่อนไขความรู้ หมายถงึ ความรอบรเู้ กี่ยวกบั วิชาการตา่ งๆท่ีเก่ยี วขอ้ ง และมีความรูใ้ นการ ตดั สนิ ใจไดถ้ กู ตอ้ ง ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั พทุ ธเศรษฐศาสตรท์ ่เี นน้ การใชป้ ัญญา เงื่อนไขคณุ ธรรม หมายถงึ การยึดหลกั คณุ ธรรมเป็นแนวทาง มีความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต ไมโ่ ลภ รูจ้ กั แบ่งปันใหผ้ อู้ ื่น มคี วามสามคั คี ดาเนนิ ชีวติ ดว้ ยความอดทน พากเพยี ร ใชส้ ติปัญญาในการดาเนินชีวติ ซึ่งเป็นไปตามพทุ ธเศรษฐศาสตร์ ดร.จิรายุ อิศรางกรู ณ อยธุ ยา ประธานคณะอนกุ รรมการขบั เคลื่อนเศรษฐกจิ พอเพียง อธิบายถงึ การ พฒั นาตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง วา่ เป็นการพฒั นาท่ีตง้ั อยบู่ นพืน้ ฐานของทางสายกลางและความไม่ ประมาท โดยคานงึ ถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล และการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ที่ดใี นตวั ตลอดจนการใช้ ความรู้ ความรอบคอบละคณุ ธรรมประกอบการวางแผน การตดั สินใจและการกระทาตา่ ง ๆ ความ พอประมาณ หมายถงึ ความพอดี ที่ไมม่ ากและไมน่ อ้ ยจนเกินไป ไมเ่ บียดเบียนตนเองและผอู้ ื่น เช่น การ ผลติ และการบริโภคท่ีพอประมาณ ความมีเหตผุ ล หมายถงึ การใชห้ ลกั เหตผุ ลในการตดั สนิ ใจเรือ่ งตา่ ง ๆ โดยพิจารณาจากเหตปุ ัจจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ตลอดจนผลทีค่ าดวา่ จะเกิดขนึ้ อย่างรอบคอบ การมภี มู ิคมุ้ กนั ท่ี ดี หมายถึง การเตรียมตวั ใหพ้ รอ้ มรบั ตอ่ ผลกระทบที่เกิดขนึ้ จากการเปลยี่ นแปลงรอบตวั ปัจจยั เหลา่ นจี้ ะ

7 เกิดขนึ้ ไดน้ นั้ จะตอ้ งอาศยั ความรู้ และคณุ ธรรม เป็นเงื่อนไขพืน้ ฐาน กลา่ วคือ เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวงั ในการดาเนินชีวิตและการประกอบการงาน สว่ นเง่ือนไข คณุ ธรรม คือ การยดึ ถือคณุ ธรรมตา่ ง ๆ อาทิ ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ ความอดทน ความเพยี ร การมงุ่ ตอ่ ประโยชนส์ ว่ นรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ ตลอดเวลาท่ปี ระยกุ ตใ์ ชป้ รชั ญา อภิชยั พนั ธเสน ผอู้ านวยการสถาบนั การจดั การเพื่อชนบทและสงั คม ไดจ้ ดั แนวคดิ เศรษฐกจิ พอเพียงวา่ เป็น \"ขอ้ เสนอในการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพทุ ธธรรมอยา่ งแทจ้ ริง\" ทงั้ นี้ เนื่องจากในพระราชดารสั หน่งึ ไดใ้ หค้ าอธิบายถงึ เศรษฐกจิ พอเพียง วา่ \"คือความพอประมาณ ซ่ือตรง ไม่ โลภมาก และตอ้ งไมเ่ บียดเบียนผอู้ นื่ ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมงุ่ เนน้ ใหบ้ คุ คลสามารถประกอบอาชีพไดอ้ ย่างย่งั ยืน และใชจ้ ่ายเงินให้ ไดม้ าอย่างพอเพียงและประหยดั ตามกาลงั ของเงินของบคุ คลนน้ั โดยปราศจากการกหู้ นีย้ ืมสนิ และถา้ มี เงินเหลือ กแ็ บ่งเก็บออมไวบ้ างสว่ น ชว่ ยเหลือผอู้ ่นื บางสว่ น และอาจจะใชจ้ า่ ยมาเพ่ือปัจจยั เสริมอีก บางสว่ น สาเหตทุ ี่แนวทางการดารงชีวติ อยา่ งพอเพียง ไดถ้ กู กลา่ วถึงอย่างกวา้ งขวางในขณะนี้ เพราะ สภาพการดารงชีวติ ของสงั คมทนุ นิยมในปัจจบุ นั ไดถ้ กู ปลกู ฝัง สรา้ ง หรือกระตนุ้ ใหเ้ กิดการใชจ้ ่ายอย่าง เกินตวั ในเรอื่ งที่ไมเ่ ก่ยี วขอ้ งหรือเกนิ กวา่ ปัจจยั ในการดารงชีวิต เช่น การบรโิ ภคเกินตวั ความบนั เทิง หลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแตง่ ตวั ตามแฟช่นั การพนนั หรอื เสย่ี งโชค เป็นตน้ จนทาใหไ้ ม่ มเี งินเพียงพอเพื่อตอบสนองความตอ้ งการเหลา่ นนั้ สง่ ผลใหเ้ กิดการกหู้ นยี้ ืมสิน เกิดเป็นวฏั จกั รท่ีบคุ คล หนึ่งไมส่ ามารถหลดุ ออกมาได้ ถา้ ไมเ่ ปลีย่ นแนวทางในการดารงชีวติ

8 การนาไปใช้ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงนีถ้ กู ใชเ้ ป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพฒั นาระบบเศรษฐกิจมห ภาคของไทย ซ่งึ บรรจอุ ยใู่ นแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ที่ 10 เพื่อมงุ่ สกู่ ารพฒั นาท่ีสมดลุ ย่งั ยืน และมภี มู ิคมุ้ กนั เพื่อความอยดู่ มี ีสขุ มงุ่ สสู่ งั คมที่มคี วามสขุ อยา่ งย่งั ยืน หรือทเี่ รียกวา่ \"สงั คมสเี ขยี ว\" ดว้ ยหลกั การดงั กลา่ ว แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 10 นีจ้ ะไมเ่ นน้ เรื่องตวั เลขการ เจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจ แตย่ งั คงใหค้ วามสาคญั ตอ่ ระบบเศรษฐกจิ แบบทวลิ กั ษณ์ หรือระบบเศรษฐกจิ ที่ มีความแตกตา่ งกนั ระหวา่ งเศรษฐกิจชมุ ชนเมืองและชนบท แนวปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งยงั ถกู บรรจใุ นรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 ในสว่ นท่ี 3 แนวนโยบายดา้ นการบริหารราชการแผน่ ดิน มาตรา 78 (1) ความวา่ : \"บรหิ ารราชการ แผน่ ดนิ ใหเ้ ป็นไปเพอื่ การพฒั นาสงั คม เศรษฐกิจ และความมน่ั คง ของประเทศอยา่ งย่งั ยนื โดยตอ้ ง สง่ เสรมิ การดาเนนิ การตามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งและคานงึ ถงึ ผลประโยชนข์ องประเทศชาตใิ นภาพรวม เป็นสาคญั \" สรุ เกียรติ เสถียรไทย ในฐานะรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงตา่ งประเทศ กลา่ วเมื่อวนั ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ในการประชมุ สดุ ยอด The Francophonie Ouagadougou ครง้ั ท่ี 10 ที่ประเทศบรู ก์ ินาฟา โซ วา่ ประเทศไทยไดย้ ดึ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงควบคกู่ บั \"การพฒั นาแบบย่งั ยืน\" ในการพฒั นาประเทศ ทง้ั ทางดา้ นการเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และการแขง่ ขนั ซ่ึงเป็นการสอดคลอ้ งเปา้ หมายแนวทางของ นานาชาตใิ นประชาคมโลก โดยยกตวั อย่างการแกป้ ัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ซ่งึ เม่อื ยึดหลกั ปรชั ญาในการแกป้ ัญหาสามารถทาใหผ้ ลิตภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศ ของไทยเตบิ โตไดถ้ ึงรอ้ ยละ 6.7 นอกจากเศรษฐกจิ พอเพียงจะมปี ระโยชนต์ อ่ ประเทศไทย ทงั้ ยงั มคี วามสาคญั ตอ่ การพฒั นาใน ตา่ งประเทศ การประยกุ ตน์ าหลกั ปรชั ญาเพื่อนาไปพฒั นาประเทศในตา่ งประเทศเหลา่ นนั้ ประเทศไทยได้ เป็นศนู ยก์ ลางการแลกเปล่ยี นผา่ นทางสานกั งานความรว่ มมอื เพื่อการพฒั นาระหวา่ งประเทศ โดยมหี นา้ ท่ี คอยประสานงานรบั ความชว่ ยเหลอื ทางวชิ าการดา้ นตา่ ง ๆ จากตา่ งประเทศมาสภู่ าครฐั แลว้ ถ่ายทอด ตอ่ ไปยงั ภาคประชาชน และยงั สง่ ผา่ นความรูท้ ี่มไี ปยงั ประเทศกาลงั พฒั นาอน่ื ๆ เร่ืองปรชั ญาเศรษฐกิจ พอเพียงนนั้ สานกั งานความรว่ มมือเพ่ือการพฒั นาระหวา่ งประเทศไดถ้ า่ ยทอดมาไมต่ า่ กวา่ 5 ปี และ ประสานกบั สานกั งานคณะกรรมการพิเศษเพ่ือประสานงานโครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ และ คณะอนกุ รรมการขบั เคลื่อนเศรษฐกจิ พอเพียง ซึง่ ตา่ งชาตกิ ็สนใจเรอ่ื งเศรษฐกิจพอเพียง เพราะพิสจู นแ์ ลว้ วา่ เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ซึ่งแตล่ ะประเทศมคี วามตอ้ งการประยกุ ตใ์ ชป้ รชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงไม่ เหมอื นกนั ขนึ้ อยกู่ บั วิถีชีวติ สภาพภมู ศิ าสตรข์ องแตล่ ะประเทศ โดยไดใ้ หผ้ แู้ ทนจากประเทศเหลา่ นีไ้ ดม้ าดู

9 งานในหลายระดบั ทง้ั เจา้ หนา้ ที่ปฏิบตั งิ าน เจา้ หนา้ ที่ฝ่ายนโยบาย จนถึงระดบั ปลดั กระทรวง และรฐั มนตรี ประจากระทรวงตา่ ง ๆ นอกจากนนั้ อดเิ ทพ ภาณพุ งศ์ เอกอคั รราชทตู ไทยประจากรุงเวียนนา ประเทศออสเตรยี ไดก้ ลา่ ววา่ ตา่ งชาตสิ นใจเร่อื งเศรษฐกิจพอเพียง เน่ืองจากมาจากพระราชดารใิ นพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ท่ที รง หว่ งใยราษฎรของพระองค์ และทราบสาเหตทุ ่ีรฐั บาลไทยนามาเป็นนโยบาย สว่ นประเทศพฒั นาแลว้ ก็ ตอ้ งการศกึ ษาเพื่อนาไปช่วยเหลือประเทศอ่ืน

10 หลกั เศรษฐกิจพอเพยี งกบั การวางแผนการเงินของคนไทย จากขอ้ มลู ที่กลา่ วมาแลว้ จะเหน็ วา่ หลกั เศรษฐกจิ พอเพียงที่พระองคท์ รงใหไ้ วก้ บั ปวงชนชาวไทย นน้ั แมว้ า่ พระองคจ์ ะเนน้ ที่ภาคเกษตรกรรมเป็นหลกั เพราะอยากใหค้ นสว่ นใหญ่ของประเทศมคี วามม่นั คง ทางเศรษฐกจิ เสยี กอ่ น แตห่ ลกั เศรษฐกิจพอเพียงก็ยงั สามารถมาประยกุ ตใ์ หก้ บั คนในทกุ ๆสาขาอาชีพได้ เช่นกนั เพราะเป็นเนน้ ที่การพง่ึ ตนเองใหไ้ ดเ้ ป็นหลกั ดงั นนั้ จึงเรยี กไดว้ า่ หลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง คอื พืน้ ฐานท่ีสาคญั ของการจดั การในทกุ ๆอาชีพเลย ทีเดยี ว แลว้ ถา้ พิจารณาหลกั เศรษฐกิจพอเพียงกบั เร่ืองวางแผนการเงนิ จะย่ิงเหน็ ไดช้ ดั เจนเลยวา่ มนั เป็น เร่ืองเดียวกนั เลย โดยเปรยี บเทยี บไดด้ งั นี้ ความพอประมาณ ก็ คอื การใชจ้ ่ายอย่างประหยดั ตามรายไดท้ ี่เรามี อย่าใชจ้ า่ ยเกินตวั อย่าเป็น หนี้ แตถ่ า้ มีรายจา่ ยเยอะ กต็ อ้ งหาเยอะตามไปดว้ ย ท่ีสาคญั คอื อยา่ ทาใหต้ อ้ งไปเบียดเบียนผอู้ ืน่ เชน่ ไปกู้ คนอ่นื มา และไมส่ ามารถใชห้ นีไ้ ด้ เป็นตน้ ความมเี หตผุ ล กเ็ สริมขอ้ แรก คอื การจะใชเ้ งินนนั้ มเี หตผุ ลท่ีดพี อไหม เชน่ จะซือ้ รถ เพ่ือ อะไร อะไรคอื Need หรอื เป็น Want คืออยากไดม้ ากกวา่ แตก่ ็ไมไ่ ดห้ มายความวา่ จะรวยไมไ่ ด้ สรุปง่ายๆ คือ ถา้ มเี หตผุ ลอยากใชเ้ งนิ ซือ้ อะไรกต็ อ้ งหารายไดใ้ หม้ ากพอน่นั เอง มีภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ท่ีดี ขอ้ นีจ้ ะตรงกบั ความไมป่ ระมาทในการใชช้ ีวติ ซง่ึ ถา้ เป็นเรอ่ื งการเงิน กไ็ ดแ้ ก่ การจดั การความเส่ียงทงั้ หลาย เชน่ รถ บา้ น เรามปี ระกนั เพียงพอไหม หรือ ถา้ เจ็บป่ วยเป็นโรครา้ ยแรงหรอื โรคมะเรง็ เรารบั มือไหวไหม หรอื ใครจะชว่ ยเรา รวมไปถงึ การมเี งินสารองฉกุ เฉินที่มากพอ เพราะหากตก งานกะทนั หนั เรามเี งนิ เตรยี มไวก้ ่ีเดอื น รวมไปถงึ เรอื่ งความขยนั กไ็ ด้ เชน่ ช่วงท่ีเราอายนุ อ้ ยๆ ก็ตอ้ งรีบ ทางานหาเงินเยอะๆ เพ่ือเตรยี มเงินไวใ้ ชใ้ นยามเกษียณอยา่ งเพียงพอ ก็ถือเป็นการสรา้ งภมู ิคมุ้ กนั ของเรา ก็ ได้ หรือใครท่ีเป็นนกั ลงทนุ ก็อาจตอ้ งศกึ ษาสนิ คา้ การเงนิ นนั้ ใหด้ ี เพราะถา้ เรามคี วามรูม้ าก เรากถ็ ือวา่ เรามี ภมู ิคมุ้ กนั มาก หรือ อาจจะมองเป็นการกระจายการลงทนุ Asset Allocation ก็ได้ กถ็ ือวา่ เป็นการกระจาย ความเส่ยี ง ซึง่ ก็เป็นการลดความเสีย่ งในการลงทนุ กเ็ ทา่ กบั วา่ เรามภี มู คิ มุ้ กนั ดา้ นการเงินมากขนึ้ ไปดว้ ย สว่ น 2 เงื่อนไข ไมว่ า่ จะเป็นเรื่องการมีความรู้ และ มคี ณุ ธรรม ถา้ เป็นมมุ มองดา้ นวางแผน การเงิน ก็คอื การมีความรูใ้ นเร่อื งท่ีลงทนุ อย่างดีพอ รวมไปถงึ มีความรูใ้ นการหารายไดเ้ พิ่มขนึ้ ดว้ ย ซ่ึงตอ้ ง มีพรอ้ มดว้ ยคณุ ธรรม ไมโ่ กง ไมเ่ อาเปรียบผอู้ ่ืน

11 แนวทางการทาการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง 1.การทาไรน่ าสวนผสมและการเกษตรผสมผสานเพ่ือใหเ้ กษตรกรพฒั นาตนเองแบบเศรษฐกิจพอเพียง 2.การปลกู พืชผกั สวนครวั ลดคา่ ใชจ้ ่าย 3.การทาป๋ ยุ หมกั ป๋ ยุ คอกและใชว้ สั ดเุ หลอื ใชเ้ ป็นปัจจยั การผลิต(ป๋ ยุ )เพื่อลดคา่ ใชจ้ า่ ยและบารุงดนิ 4.การเพาะเหด็ ฟางจากวสั ดเุ หลอื ใชใ้ นไรน่ า 5.การปลกู ไมผ้ ลสวนหลงั บา้ น และไมใ้ ชส้ อยในครวั เรอื น 6.การปลกู พืชสมนุ ไพร ชว่ ยสง่ เสริมสขุ ภาพอนามยั 7.การเลยี้ งปลาในรอ่ งสวน ในนาขา้ วและแหลง่ นา้ เพ่ือเป็นอาหารโปรตีนและรายไดเ้ สรมิ 8.การเลยี้ งไกพ่ ืน้ เมอื ง และไกไ่ ข่ ประมาณ 10-15 ตวั ตอ่ ครวั เรือนเพื่อเป็นอาหารในครวั เรอื น โดยใชเ้ ศษ อาหาร รา และปลายขา้ วจากผลผลิตการทานา ขา้ วโพดเลยี้ งสตั วจ์ ากการปลกู พืชไร่ เป็นตน้ 9.การทาก๊าซชีวภาพจากมลู สตั ว์

12 การผลิตตามทฤษฎีใหม่ การผลติ ตามทฤษฎใี หมส่ ามารถเป็นตน้ แบบการคดิ ในการผลิตที่ดไี ด้ ดงั นี้ 1. การผลติ นนั้ มงุ่ ใชเ้ ป็นอาหารประจาวนั ของครอบครวั เพือ่ ใหม้ พี อเพยี งในการบรโิ ภคตลอดปี เพ่ือใชเ้ ป็น อาหารประจาวนั และเพ่ือจาหน่าย 2. การผลิตตอ้ งอาศยั ปัจจยั ในการผลิต ซึง่ จะตอ้ งเตรียมใหพ้ รอ้ ม เชน่ การเกษตรตอ้ งมนี า้ การจดั ใหม้ แี ละ ดแู หลง่ นา้ จะกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนท์ งั้ การผลติ และประโยชนใ์ ชส้ อยอน่ื ๆ 3. ปัจจยั ประกอบอ่นื ๆ ที่จะอานวยใหก้ ารผลิตดาเนินไปดว้ ยดี และเกิดประโยชนเ์ ชื่อมโยง (Linkage) ท่ีจะ ไปเสริมใหเ้ กิดความย่งั ยนื ในการผลิต จะตอ้ งรว่ มมอื กนั ทกุ ฝ่ายทง้ั เกษตรกร ธรุ กิจ ภาครฐั ภาคเอกชน เพื่อ เช่ือมโยงเศรษฐกจิ พอเพียงเขา้ กบั เศรษฐกิจการคา้ และใหด้ าเนินกิจการควบคไู่ ปดว้ ยกนั ได้ การผลติ จะตอ้ งตระหนกั ถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง “บคุ คล” กบั “ระบบ” การผลิตนนั้ ตอ้ งยดึ ม่นั ใน เร่อื งของ “คณุ คา่ ” ใหม้ ากกวา่ “มลู คา่ ” ดงั พระราชดารสั ซงึ่ ไดน้ าเสนอมากอ่ นหนา้ นีท้ ี่วา่ “…บารมนี นั้ คอื ทาความดี เปรียบเทียบกบั ธนาคาร …ถา้ เราสะสมเงนิ ใหม้ ากเรากส็ ามารถที่จะใชด้ อกเบีย้ ใชเ้ งินทีเ่ ป็นดอกเบีย้ โดยไมแ่ ตะตอ้ งทนุ แตถ่ า้ เราใชม้ ากเกิดไป หรอื เราไมร่ ะวงั เรากิน เขา้ ไปในทนุ ทนุ มนั กน็ อ้ ยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกินบญั ชีเขากต็ อ้ งเอาเรอื่ ง ฟอ้ งเราใหล้ ม้ ละลาย เราอยา่ ไปเบิกเกินบารมี ท่ีบา้ นเมอื ง ที่ประเทศไดส้ รา้ งสมเอาไวต้ งั้ แตบ่ รรพบรุ ุษของเราใหเ้ กนิ ไป เราตอ้ งทาบา้ ง หรือเพ่ิมพนู ให้ ประเทศของเราปกตมิ ีอนาคตที่มน่ั คง บรรพบรุ ุษของเราแตโ่ บราณกาล ไดส้ รา้ งบา้ นเมอื งมาจนถึงเรา แลว้ ในสมยั นีท้ ีเ่ รากาลงั เสยี ขวญั กลวั จะไดไ้ มต่ อ้ งกลวั ถา้ เราไมร่ กั ษาไว…้ ” การจดั สรรทรพั ยากรมาใชเ้ พื่อการผลติ ท่ีคานงึ ถงึ “คณุ คา่ ” มากกวา่ “มลู คา่ ” จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง “บคุ คล” กบั “ระบบ” เป็นไปอยา่ งย่งั ยืน ไมท่ าลายทง้ั ทนุ สงั คมและทนุ เศรษฐกจิ นอกจากนีจ้ ะตอ้ งไมต่ ดิ ตารา สรา้ งความรู้ รกั สามคั คี และความรว่ มมอื รว่ มแรงใจ มองกาลไกลและมี ระบบสนบั สนนุ ท่เี ป็นไปได้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงปลกู ฝังแนวพระราชดาริใหป้ ระชาชนยอมรบั ไปปฏบิ ตั อิ ยา่ ง ตอ่ เนื่อง โดยใหว้ งจรการพฒั นาดาเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กลา่ วคอื ทรงสรา้ งความตระหนกั แก่ ประชาชนใหร้ บั รู้ (Awareness) ในทกุ คราเมื่อ เสดจ็ พระราชดาเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทกุ ภมู ภิ าคตา่ ง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสนั ถารใหป้ ระชาชนไดร้ บั ทราบถงึ สงิ่ ท่ีควรรู้ เชน่ การปลกู หญา้ แฝกจะช่วยป้องกนั ดิน พงั ทลาย และใชป้ ๋ ยุ ธรรมชาตจิ ะช่วยประหยดั และบารุงดนิ การแกไ้ ขดนิ เปรยี้ วในภาคใตส้ ามารถกระทาได้ การ ตดั ไมท้ าลายป่ าจะทาใหฝ้ นแลง้ เป็นตน้ ตวั อยา่ งพระราชดารสั ที่เก่ียวกบั การสรา้ งความตระหนกั ใหแ้ ก่ ประชาชน ไดแ้ ก่

13 “….ประเทศไทยนเี้ ป็นท่ีทเ่ี หมาะมากในการตงั้ ถิน่ ฐาน แตว่ า่ ตอ้ งรกั ษาไว้ ไมท่ าใหป้ ระเทศไทยเป็นสวนเป็น นากลายเป็นทะเลทราย ก็ปอ้ งกนั ทาได…้ .” ทรงสรา้ งความสนใจแกป่ ระชาชน (Interest) หลายท่านคงไดย้ ินหรือรบั ฟัง โครงการอนั เนื่อง มาจาก พระราชดาริในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ที่มนี ามเรยี กขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจติดตามอยเู่ สมอ เชน่ โครงการแกม้ ลงิ โครงการแกลง้ ดนิ โครงการเสน้ ทางเกลอื โครงการนา้ ดีไลน่ า้ เสยี หรือโครงการนา้ สามรส ฯลฯ เหลา่ นี้ เป็นตน้ ลว้ นเชิญชวนใหต้ ดิ ตามอยา่ งใกลช้ ิด แตพ่ ระองคก์ จ็ ะมพี ระราชาธบิ ายแต่ ละโครงการอย่างละเอยี ด เป็นท่ีเขา้ ใจง่ายรวดเรว็ แกป่ ระชาชนทงั้ ประเทศ ในประการตอ่ มา ทรงใหเ้ วลาใน การประเมินคา่ หรอื ประเมนิ ผล (Evaluate) ดว้ ยการศกึ ษาหาขอ้ มลู ตา่ ง ๆ วา่ โครงการอนั เน่ืองมาจาก พระราชดาริของพระองคน์ น้ั เป็นอย่างไร สามารถนาไปปฏิบตั ิไดใ้ นสว่ นของตนเองหรือไม่ ซ่ึงยงั คงยึด แนวทางท่ใี หป้ ระชาชนเลอื กการพฒั นาดว้ ยตนเอง ที่วา่ “….ขอใหถ้ ือวา่ การงานท่ีจะทานน้ั ตอ้ งการเวลา เป็นงานทม่ี ีผดู้ าเนินมากอ่ นแลว้ ทา่ นเป็นผทู้ ่ีจะเขา้ ไปเสริม กาลงั จึงตอ้ งมคี วามอดทนท่ีจะเขา้ ไปรว่ มมือกบั ผอู้ น่ื ตอ้ งปรองดองกบั เขาใหไ้ ด้ แมเ้ หน็ วา่ มจี ดุ หน่ึงจดุ ใด ตอ้ งแกไ้ ขปรบั ปรุงกต็ อ้ งคอ่ ยพยายามแกไ้ ขไปตามท่ีถกู ที่ควร….” ในขน้ั ทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบวา่ งานในพระราชดารทิ ่ีทรงแนะนานนั้ จะไดผ้ ลหรือไมซ่ ง่ึ ในบาง กรณีหากมกี ารทดลองไมแ่ นช่ ดั กท็ รงมกั จะมิใหเ้ ผยแพรแ่ กป่ ระชาชน หากมีผลการทดลองจนแนพ่ ระราช หฤทยั แลว้ จึงจะออกไปสสู่ าธารณชนได้ เชน่ ทดลองปลกู หญา้ แฝกเพ่ืออนรุ กั ษด์ นิ และนา้ นนั้ ไดม้ กี าร คน้ ควา้ หาความเหมาะสมและความเป็นไปไดจ้ นท่วั ทง้ั ประเทศวา่ ดยี ิ่งจงึ นาออกเผยแพรแ่ ก่ประชาชน เป็น ตน้ ขน้ั ยอมรบั (Adoption) โครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดารนิ นั้ เม่ือผา่ นกระบวนการมาหลาย ขนั้ ตอน บ่ม เพาะ และมกี ารทดลองมาเป็นเวลานาน ตลอดจนทรงใหศ้ นู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาอนั เน่ืองมาจาก พระราชดารแิ ละสถานท่ีอน่ื ๆ เป็นแหลง่ สาธิตท่ีประชาชนสามารถเขา้ ไปศกึ ษาดไู ดถ้ ึงตวั อย่างแหง่ ความสาเรจ็ ดงั นน้ั แนวพระราชดารขิ องพระองคจ์ งึ เป็นสงิ่ ที่ราษฎรสามารถพิสจู นไ์ ดว้ า่ จะไดร้ บั ผลดตี อ่ ชีวิต และความเป็นอยขู่ องตนไดอ้ ยา่ งไร แนวพระราชดารทิ ง้ั หลายดงั กลา่ วขา้ งตน้ นี้ แสดงถึงพระวริ ยิ ะอตุ สาหะที่พระบาทสมเดจ็ พระ เจา้ อยหู่ วั ทรงทมุ่ เทพระสติปัญญา ตรากตราพระวรกาย เพื่อคน้ ควา้ หาแนวทางการพฒั นาใหพ้ สกนิกร ทง้ั หลายไดม้ ีความรม่ เย็นเป็นสขุ สถาพรย่งั ยืนนาน นบั เป็นพระมหากรุณาธิคณุ อนั ใหญ่หลวงที่ได้ พระราชทานแกป่ วงไทยตลอดเวลามากกวา่ 50 ปี จงึ กลา่ วไดว้ า่ พระราชกรณียกจิ ของพระองคน์ นั้ สมควร อยง่ ย่ิงที่ทวยราษฎรจกั ไดเ้ จรญิ รอยตามเบือ้ งพระยคุ ลบาท ตามท่ีทรงแนะนา ส่งั สอน อบรมและวาง แนวทางไวเ้ พื่อใหเ้ กิดการอยดู่ มี สี ขุ โดยถว้ นเช่นกนั โดยการพฒั นาประเทศจาเป็นตอ้ งทาตามลาดบั ขนึ้ ตอน

14 ตอ้ งสรา้ งพืน้ ฐาน คอื ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนสว่ นใหญ่เป็นเบือ้ งตน้ กอ่ น โดยใชว้ ิธีการและ อปุ กรณท์ ่ีประหยดั แตถ่ กู ตอ้ งตาหลกั วิชาการ เพ่ือไดพ้ ืน้ ฐานท่ีม่นั คงพรอ้ มพอสมควรและปฏิบตั ไิ ดแ้ ลว้ จงึ คอ่ ยสรา้ งคอ่ ยเสริม ความเจรญิ และฐานะทางเศรษฐกิจขนึ้ ที่สงู ขนึ้ ไปตามลาดบั จะกอ่ ใหเ้ กิดความย่งั ยืน และจะนาไปสคู่ วามเขม้ แขง็ ของครอบครวั ชมุ ชน และสงั คม สดุ ทา้ ยเศรษฐกิจดี สงั คมไมม่ ปี ัญหา การ พฒั นาย่งั ยนื

15 เกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีใหม่ ทฤษฎใี หม่ คือ ตวั อย่างที่เป็นรูปธรรมของ การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกจิ พอเพียงทเ่ี ดน่ ชดั ท่ีสดุ ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานพระราชดารนิ ี้ เพ่ือเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรท่ีมกั ประสบ ปัญหาทง้ั ภยั ธรรมชาตแิ ละปัจจยั ภาย นอกที่มีผลกระทบตอ่ การทาการเกษตร ใหส้ ามารถผา่ นพน้ ชว่ งเวลา วกิ ฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนนา้ ไดโ้ ดยไมเ่ ดอื ดรอ้ นและยากลาบากนกั ความเส่ยี งท่เี กษตรกร มกั พบเป็นประจา ประกอบดว้ ย 1. ความเสย่ี งดา้ นราคาสินคา้ เกษตร 2. ความเส่ยี งในราคาและการพง่ึ พาปัจจยั การผลติ สมยั ใหมจ่ ากตา่ งประเทศ 3. ความเสี่ยงดา้ นนา้ ฝนทิง้ ชว่ ง ฝนแลง้ 4. ภยั ธรรมชาตอิ ่นื ๆ และโรคระบาด 5. ความเสี่ยงดา้ นแบบแผนการผลติ 6. ความเสี่ยงดา้ นโรคและศตั รูพืช 7. ความเสี่ยงดา้ นการขาดแคลนแรงงาน 8. ความเสี่ยงดา้ นหนีส้ ินและการสญู เสยี ที่ดนิ ทฤษฎใี หม่ จึงเป็นแนวทางหรอื หลกั การในการบรหิ ารการจดั การทดี่ นิ และนา้ เพื่อการเกษตรในที่ดนิ ขนาด เลก็ ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ ความสาคญั ของทฤษฎีใหม่ 1. มกี ารบริหารและจดั แบ่งท่ีดินแปลงเลก็ ออกเป็นสดั สว่ นท่ีชดั เจน เพ่ือประโยชนส์ งู สดุ ของเกษตรกร ซงึ่ ไม่ เคยมใี ครคิดมาก่อน 2. มีการคานวณโดยใชห้ ลกั วิชาการเกี่ยวกบั ปรมิ าณนา้ ที่จะกกั เกบ็ ใหพ้ อเพยี งตอ่ การเพาะปลกู ไดอ้ ยา่ ง เหมาะสมตลอดปี 3. มกี ารวางแผนท่ีสมบรู ณแ์ บบสาหรบั เกษตรกรรายยอ่ ย โดยมีถึง 3 ขนั้ ตอน ทฤษฎีใหมข่ น้ั ตน้ ใหแ้ บ่งพนื้ ที่ออกเป็น 4 สว่ น ตามอตั ราสว่ น 30:30:30:10 ซงึ่ หมายถึง พืน้ ที่สว่ นที่หนง่ึ ประมาณ 30% ใหข้ ดุ สระเกบ็ กกั นา้ เพื่อใชเ้ กบ็ กกั นา้ ฝนในฤดฝู น และใชเ้ สรมิ การปลกู พืช ในฤดแู ลง้ ตลอดจนการเลยี้ งสตั วแ์ ละพืชนา้ ตา่ งๆ

16 พืน้ ที่สว่ นที่สอง ประมาณ 30% ใหป้ ลกู ขา้ วในฤดฝู นเพ่ือใชเ้ ป็นอาหารประจาวนั สาหรบั ครอบครวั ให้ เพียงพอตลอดปี เพ่ือตดั คา่ ใชจ้ า่ ยและสามารถพ่งึ ตนเองได้ พืน้ ท่ีสว่ นท่ีสาม ประมาณ 30% ใหป้ ลกู ไมผ้ ล ไมย้ ืนตน้ พชื ผกั พืชไร่ พืชสมนุ ไพร ฯลฯ เพื่อใชเ้ ป็นอาหาร ประจาวนั หากเหลือบรโิ ภคกน็ าไปจาหนา่ ย พืน้ ที่สว่ นที่ส่ี ประมาณ 10% เป็นที่อยอู่ าศยั เลยี้ งสตั ว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ ทฤษฎใี หมข่ น้ั ท่ีสอง เมื่อเกษตรกรเขา้ ใจในหลกั การและไดป้ ฏบิ ตั ใิ นที่ดนิ ของตนจนไดผ้ ลแลว้ ก็ตอ้ งเรม่ิ ขน้ั ท่ีสอง คือใหเ้ กษตรกร รวมพลงั กนั ในรูป กลมุ่ หรือ สหกรณ์ รว่ มแรงรว่ มใจกนั ดาเนินการในดา้ น (1) การผลติ (พนั ธพุ์ ืช เตรยี มดิน ชลประทาน ฯลฯ) - เกษตรกรจะตอ้ งรว่ มมอื ในการผลิต โดยเร่มิ ตงั้ แตข่ น้ั เตรยี มดิน การหาพนั ธพุ์ ชื ป๋ ยุ การจดั หานา้ และอืน่ ๆ เพ่ือการเพาะปลกู (2) การตลาด (ลานตากขา้ ว ยงุ้ เครือ่ งสีขา้ ว การจาหนา่ ยผลผลติ ) - เม่อื มผี ลผลิตแลว้ จะตอ้ งเตรยี มการตา่ งๆ เพื่อการขายผลผลติ ใหไ้ ดป้ ระโยชนส์ งู สดุ เชน่ การเตรยี มลาน ตากขา้ วรว่ มกนั การจดั หายงุ้ รวบรวมขา้ ว เตรียมหาเครือ่ งสีขา้ ว ตลอดจนการรวมกนั ขายผลผลติ ใหไ้ ด้ ราคาดแี ละลดคา่ ใชจ้ ่ายลงดว้ ย (3) การเป็นอยู่ (กะปิ นา้ ปลา อาหาร เครื่องนงุ่ ห่ม ฯลฯ) - ในขณะเดยี วกนั เกษตรกรตอ้ งมีความเป็นอยทู่ ี่ดีพอสมควร โดยมีปัจจยั พืน้ ฐานในการดารงชีวิต เช่น อาหารการกินตา่ งๆ กะปิ นา้ ปลา เสอื้ ผา้ ท่ีพอเพียง (4) สวสั ดิการ (สาธารณสขุ เงินก)ู้ - แตล่ ะชมุ ชนควรมสี วสั ดภิ าพและบรกิ ารท่ีจาเป็น เชน่ มสี ถานีอนามยั เมื่อยามป่ วยไข้ หรอื มีกองทนุ ไวก้ ยู้ ืม เพื่อประโยชนใ์ นกจิ กรรมตา่ งๆ ของชมุ ชน

17 (5) การศกึ ษา (โรงเรียน ทนุ การศกึ ษา) - ชมุ ชนควรมบี ทบาทในการสง่ เสริมการศกึ ษา เชน่ มีกองทนุ เพ่ือการศกึ ษาเลา่ เรยี นใหแ้ กเ่ ยาวชนของชม ชนเอง (6) สงั คมและศาสนา - ชมุ ชนควรเป็นท่ีรวมในการพฒั นาสงั คมและจิตใจ โดยมศี าสนาเป็นที่ยดึ เหนี่ยวโดยกิจกรรมทง้ั หมด ดงั กลา่ วขา้ งตน้ จะตอ้ งไดร้ บั ความรว่ มมอื จากทกุ ฝ่ายทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ไมว่ า่ สว่ นราชการ องคก์ รเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชมุ ชนนนั้ เป็นสาคญั ทฤษฎใี หมข่ นั้ ที่สาม เมื่อดาเนินการผา่ นพน้ ขน้ั ที่สองแลว้ เกษตรกร หรือกลมุ่ เกษตรกรก็ควรพฒั นากา้ วหนา้ ไปสขู่ น้ั ที่สามตอ่ ไป คือติดตอ่ ประสานงาน เพ่ือจดั หาทนุ หรอื แหลง่ เงนิ เช่น ธนาคาร หรือบริษัท หา้ งรา้ นเอกชน มาชว่ ยในการ ลงทนุ และพฒั นาคณุ ภาพชีวิต ทง้ั นี้ ทงั้ ฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรอื บรษิ ัทเอกชนจะไดร้ บั ประโยชน์ รว่ มกนั กลา่ วคอื - เกษตรกรขายขา้ วไดร้ าคาสงู (ไมถ่ กู กดราคา) - ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซือ้ ขา้ วบริโภคในราคาตา่ (ซือ้ ขา้ วเปลอื กตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง) - เกษตรกรซือ้ เคร่ืองอปุ โภคบริโภคไดใ้ นราคาต่า เพราะรวมกนั ซือ้ เป็นจานวนมาก (เป็นรา้ นสหกรณร์ าคา ขายสง่ ) - ธนาคารหรือบรษิ ทั เอกชน จะสามารถกระจายบคุ ลากร เพ่ือไปดาเนินการในกิจกรรมตา่ งๆ ใหเ้ กิดผลดี ยิ่งขนึ้ หลักการและแนวทางสาคญั 1. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลยี้ งตวั เองไดใ้ นระดบั ที่ประหยดั กอ่ น ทงั้ นี้ ชมุ ชนตอ้ งมคี วามสามคั คี รว่ มมือรว่ มใจในการช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ทานองเดยี วกบั การ ลงแขก แบบ ดงั้ เดมิ เพ่ือลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการจา้ งแรงงานดว้ ย 2. เนื่องจากขา้ วเป็นปัจจยั หลกั ที่ทกุ ครวั เรือนจะตอ้ งบริโภค ดงั นน้ั จงึ ประมาณวา่ ครอบครวั หน่ึงทานา ประมาณ 5 ไร่ จะทาใหม้ ีขา้ วพอกนิ ตลอดปี โดยไมต่ อ้ งซือ้ หาในราคาแพง เพ่ือยึดหลกั พ่งึ ตนเองไดอ้ ย่างมี อสิ รภาพ 3. ตอ้ งมีนา้ เพื่อการเพาะปลกู สารองไวใ้ ชใ้ นฤดแู ลง้ หรอื ระยะฝนทิง้ ช่วงไดอ้ ยา่ งพอเพียง ดงั นน้ั จงึ จาเป็นตอ้ งกนั ที่ดนิ สว่ นหนง่ึ ไวข้ ดุ สระนา้ โดยมีหลกั วา่ ตอ้ งมนี า้ เพียงพอที่จะเพาะปลกู ไดต้ ลอดปี ทง้ั นี้ ได้ พระราชทานพระราชดารเิ ป็นแนวทางวา่ ตอ้ งมีนา้ 1,000 ลกู บาศกเ์ มตร ตอ่ การเพาะปลกู 1 ไร่

18 โดยประมาณ ฉะนนั้ เมื่อทานา 5 ไร่ ทาพืชไร่ หรือไมผ้ ลอีก 5 ไร่ (รวมเป็น 10 ไร)่ จะตอ้ งมีนา้ 10,000 ลกู บาศกเ์ มตรตอ่ ปี ดงั นนั้ หากตงั้ สมมตฐิ านวา่ มีพืน้ ท่ี 5 ไร่ กจ็ ะสามารถกาหนดสตู รครา่ วๆ วา่ แตล่ ะแปลง ประกอบดว้ ย - นาขา้ ว 5 ไร่ - พืชไร่ พืชสวน 5 ไร่ - สระนา้ 3 ไร่ ขดุ ลกึ 4 เมตร จนุ า้ ไดป้ ระมาณ 19,000 ลกู บาศกเ์ มตร ซึ่งเป็นปริมาณนา้ ที่เพยี งพอท่ีจะ สารองไวใ้ ชย้ ามฤดแู ลง้ - ที่อย่อู าศยั และอ่นื ๆ 2 ไร่ รวมทง้ั หมด 15 ไร่ แตท่ ง้ั นี้ ขนาดของสระเก็บนา้ ขนึ้ อยกู่ บั สภาพภมู ปิ ระเทศและสภาพแวดลอ้ ม ดงั นี้ - ถา้ เป็นพืน้ ที่ทาการเกษตรอาศยั นา้ ฝน สระนา้ ควรมีลกั ษณะลกึ เพื่อปอ้ งกนั ไมใ่ หน้ า้ ระเหยไดม้ ากเกนิ ไป ซึง่ จะทาใหม้ นี า้ ใชต้ ลอดทง้ั ปี - ถา้ เป็นพืน้ ท่ีทาการเกษตรในเขตชลประทาน สระนา้ อาจมีลกั ษณะลกึ หรอื ตนื้ และแคบ หรือกวา้ งกไ็ ด้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมนี า้ มาเตมิ อยเู่ รอ่ื ยๆ การมสี ระเก็บนา้ กเ็ พื่อใหเ้ กษตรกรมนี า้ ใชอ้ ยา่ งสม่าเสมอทงั้ ปี (ทรงเรยี กวา่ Regulator หมายถงึ การ ควบคมุ ใหด้ ี มีระบบนา้ หมนุ เวยี นใชเ้ พ่ือการเกษตรไดโ้ ดยตลอดเวลาอย่างตอ่ เนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน หนา้ แลง้ และระยะฝนทิง้ ช่วง แตม่ ิไดห้ มายความวา่ เกษตรกรจะสามารถปลกู ขา้ วนาปรงั ได้ เพราะหากนา้ ในสระเก็บนา้ ไมพ่ อ ในกรณีมเี ขือ่ นอย่บู รเิ วณใกลเ้ คียงก็อาจจะตอ้ งสบู นา้ มาจากเขอ่ื น ซงึ่ จะทาใหน้ า้ ใน เข่ือนหมดได้ แตเ่ กษตรกรควรทานาในหนา้ ฝน และเมอ่ื ถงึ ฤดแู ลง้ หรือฝนทงิ้ ช่วงใหเ้ กษตรกรใชน้ า้ ทีเ่ ก็บตนุ นนั้ ใหเ้ กิดประโยชนท์ างการเกษตรอย่างสงู สดุ โดยพิจารณาปลกู พืชใหเ้ หมาะสมกบั ฤดกู าล เพ่ือจะไดม้ ี ผลผลิตอ่นื ๆ ไวบ้ ริโภคและสามารถนาไปขายไดต้ ลอดทง้ั ปี 4. การจดั แบ่งแปลงทีด่ นิ เพื่อใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ นี้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงคานวณและคานงึ จากอตั ราการถือครองที่ดนิ ถวั เฉลี่ยครวั เรอื นละ 15 ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมพี นื้ ท่ีถือครองนอ้ ยกวา่ นี้ หรือมากกวา่ นี้ กส็ ามารถใชอ้ ตั ราสว่ น 30:30:30:10 เป็นเกณฑป์ รบั ใชไ้ ด้ กลา่ วคอื รอ้ ยละ 30 สว่ นแรก ขดุ สระนา้ (สามารถเลยี้ งปลา ปลกู พชื นา้ เช่น ผกั บงุ้ ผกั กะเฉด ฯลฯ ไดด้ ว้ ย) บนสระ อาจสรา้ งเลา้ ไก่และบนขอบสระนา้ อาจปลกู ไมย้ ืนตน้ ที่ไมใ่ ชน้ า้ มากโดยรอบได้ รอ้ ยละ 30 สว่ นท่ีสอง ทานา รอ้ ยละ 30 สว่ นท่ีสาม ปลกู พืชไร่ พืชสวน (ไมผ้ ล ไมย้ ืนตน้ ไมใ้ ชส้ อย ไมเ้ พื่อเป็นเชือ้ ฟื น ไมส้ รา้ งบา้ น พืชไร่ พืชผกั สมนุ ไพร เป็นตน้ )

19 รอ้ ยละ 10 สดุ ทา้ ย เป็นท่ีอยอู่ าศยั และอื่นๆ (ทางเดนิ คนั ดนิ กองฟาง ลานตาก กองป๋ ยุ หมกั โรงเรือน โรง เพาะเห็ด คอกสตั ว์ ไมด้ อกไมป้ ระดบั พชื สวนครวั หลงั บา้ น เป็นตน้ ) อยา่ งไรกต็ าม อตั ราสว่ นดงั กลา่ วเป็นสตู ร หรือหลกั การโดยประมาณเท่านนั้ สามารถปรบั ปรุงเปลย่ี นแปลง ไดต้ ามความเหมาะสม โดยขนึ้ อย่กู บั สภาพของพืน้ ท่ีดนิ ปริมาณนา้ ฝน และสภาพแวดลอ้ ม เชน่ ในกรณี ภาคใตท้ ่ีมฝี นตกชกุ หรือพืน้ ท่ีท่ีมแี หลง่ นา้ มาเตมิ สระไดต้ อ่ เน่ือง ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรอื สระเกบ็ นา้ ให้ เลก็ ลง เพื่อเก็บพืน้ ที่ไวใ้ ชป้ ระโยชนอ์ ื่นตอ่ ไปได้ 5. การดาเนินการตามทฤษฎใี หม่ มปี ัจจยั ประกอบหลายประการ ขนึ้ อยกู่ บั สภาพภมู ปิ ระเทศ สภาพแวดลอ้ มของแตล่ ะทอ้ งถ่ิน ดงั นนั้ เกษตรกรควรขอรบั คาแนะนาจากเจา้ หนา้ ที่ดว้ ย และท่ีสาคญั คอื ราคาการลงทนุ คอ่ นขา้ งสงู โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการขดุ สระนา้ เกษตรกรจะตอ้ งไดร้ บั ความช่วยเหลือจาก สว่ นราชการ มลู นิธิ และเอกชน 6. ในระหวา่ งการขดุ สระนา้ จะมีดินท่ีถกู ขดุ ขนึ้ มาจานวนมาก หนา้ ดินซึ่งเป็นดินดี ควรนาไปกองไวต้ า่ งหาก เพ่ือนามาใชป้ ระโยชนใ์ นการปลกู พืชตา่ งๆ ในภายหลงั โดยนามาเกลยี่ คลมุ ดนิ ชนั้ ลา่ งทเี่ ป็นดนิ ไมด่ ี หรือ อาจนามาถมทาขอบสระนา้ หรอื ยกรอ่ งสาหรบั ปลกู ไมผ้ ลกจ็ ะไดป้ ระโยชนอ์ กี ทางหน่ึง ตวั อยา่ งพืชที่ควรปลกู และสตั วท์ ่ีควรเลยี้ ง ไมผ้ ลและผกั ยืนตน้ : มะมว่ ง มะพรา้ ว มะขาม ขนนุ ละมดุ สม้ กลว้ ย นอ้ ยหน่า มะละกอ กระทอ้ น แคบา้ น มะรุม สะเดา ขเี้ หลก็ กระถิน ฯลฯ

20 ผกั ลม้ ลกุ และดอกไม้ : มนั เทศ เผือก ถ่วั ฝักยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรือง บานไมร่ ูโ้ รย กหุ ลาบ รกั และ ซอ่ นกลน่ิ เป็นตน้ เหด็ : เหด็ นางฟ้า เห็ดฟาง เหด็ เป๋ าฮือ้ เป็นตน้ สมนุ ไพรและเครือ่ งเทศ : หมาก พลู พรกิ ไท บกุ บวั บก มะเกลือ ชมุ เหด็ หญา้ แฝก และพชื ผกั บางชนิด เชน่ กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลกั และตะไคร้ เป็นตน้ ไมใ้ ชส้ อยและเชือ้ เพลิง : ไผ่ มะพรา้ ว ตาล กระถินณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจรุ ี กระถิน สะเดา ขเี้ หลก็ ประดู่ ชิงชนั และยางนา เป็นตน้ พืชไร่ : ขา้ วโพด ถ่วั เหลือง ถ่วั ลสิ ง ถ่วั พ่มุ ถ่วั มะแฮะ ออ้ ย มนั สาปะหลงั ละห่งุ น่นุ เป็นตน้ พชื ไรห่ ลายชนิด อาจเกบ็ เกีย่ วเมือ่ ผลผลติ ยงั สดอยู่ และจาหน่ายเป็นพืชประเภทผกั ได้ และมรี าคาดกี วา่ เกบ็ เมอ่ื แก่ ไดแ้ ก่ ขา้ วโพด ถวั เหลือง ถ่วั ลิสง ถ่วั พ่มุ ถ่วั มะแฮะ ออ้ ย และมนั สาปะหลงั พืชบารุงดนิ และพืชคลมุ ดิน : ถ่วั มะแฮะ ถ่วั ฮามาตา้ โสนแอฟรกิ นั โสนพืน้ เมอื ง ปอเทือง ถ่วั พรา้ ขเี้ หลก็ กระถิน รวมทง้ั ถ่วั เขียวและถ่วั พมุ่ เป็นตน้ และเมื่อเกบ็ เก่ียวแลว้ ไถกลบลงไปเพื่อบารุงดนิ ได้ หมายเหตุ : พืชหลายชนิดใชท้ าประโยชนไ์ ดม้ ากกวา่ หนึง่ ชนิด และการเลอื กปลกู พืชควรเนน้ พืชยืนตน้ ดว้ ย เพราะการดแู ลรกั ษาในระยะหลงั จะลดนอ้ ยลง มผี ลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลอื กพชื ยนื ตน้ ชนิดตา่ งๆ กนั ใหค้ วามรม่ เยน็ และช่มุ ชืน้ กบั ที่อยอู่ าศยั และสิง่ แวดลอ้ ม และควรเลอื กตน้ ไมใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั สภาพของ พืน้ ท่ี เชน่ ไมค่ วรปลกู ยคู าลปิ ตสั บรเิ วณขอบสระ ควรเป็นไมผ้ ลแทน เป็นตน้ สตั วเ์ ลยี้ งอื่น ๆ ไดแ้ ก่ สตั วน์ า้ : ปลาไน ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาดกุ เพื่อเป็นอาหารเสรมิ ประเภท โปรตีน และยงั สามารถนาไปจาหน่ายเป็นรายไดเ้ สรมิ ไดอ้ กี ดว้ ย ในบางพืน้ ท่ีสามารถเลยี้ งกบได้ สกุ ร หรือ ไก่ เลยี้ งบนขอบสระนา้ ทง้ั นี้ มลู สกุ รและไก่สามารถนามาเป็นอาหารปลา บางแหง่ อาจเลยี้ งเป็ด ได้ ประโยชนข์ องทฤษฎีใหม่ 1. ใหป้ ระชาชนพออยพู่ อกินสมควรแกอ่ ตั ภาพในระดบั ท่ีประหยดั ไมอ่ ดอยาก และเลยี้ งตนเองไดต้ ามหลกั ปรชั ญา เศรษฐกิจพอเพียง 2. ในหนา้ แลง้ มนี า้ นอ้ ย ก็สามารถเอานา้ ทีเ่ กบ็ ไวใ้ นสระมาปลกู พืชผกั ตา่ งๆ ทใี่ ชน้ า้ นอ้ ยได้ โดยไมต่ อ้ ง เบียดเบยี นชลประทาน

21 3. ในปีที่ฝนตกตามฤดกู าลโดยมนี า้ ดีตลอดปี ทฤษฎีใหมน่ ีส้ ามารถสรา้ งรายไดใ้ หแ้ ก่เกษตรกรไดโ้ ดยไม่ เดอื ดรอ้ นในเรอื่ งคา่ ใชจ้ า่ ยตา่ งๆ 4. ในกรณีที่เกดิ อทุ กภยั เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตวั และช่วยตวั เองไดใ้ นระดบั หนึง่ โดยทางราชการไม่ ตอ้ งชว่ ยเหลือมากนกั ซ่งึ เป็นการประหยดั งบประมาณดว้ ย ทฤษฎีใหม่ทสี่ มบูรณ์ ทฤษฎใี หมท่ ี่ดาเนินการโดยอาศยั แหลง่ นา้ ธรรมชาติ นา้ ฝน จะอยใู่ นลกั ษณะ หมนิ่ เหม่ เพราะหากปีใดฝน นอ้ ย นา้ อาจจะไมเ่ พียงพอ ฉะนน้ั การท่จี ะทาใหท้ ฤษฎใี หมส่ มบรู ณไ์ ดน้ น้ั จาเป็นตอ้ งมีสระเกบ็ กกั นา้ ที่มี ประสิทธิภาพและเตม็ ความสามารถ โดยการมแี หลง่ นา้ ขนาดใหญท่ ี่สามารถเพ่ิมเตมิ นา้ ในสระเกบ็ กกั นา้ ให้ เตม็ อยเู่ สมอ ดงั เช่น กรณีของการทดลองท่ีโครงการพฒั นาพืน้ ท่ีบรเิ วณวดั มงคลชยั พฒั นาอนั เน่ืองมาจาก พระราชดาริ จงั หวดั สระบรุ ี ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงเสนอวธิ ีการ ดงั นี้ ระบบทฤษฎีใหม่ทสี่ มบูรณ์ อ่างใหญ่ เตมิ อ่างเลก็ อา่ งเลก็ เตมิ สระนา้ จากภาพ วงกลมเลก็ คือสระนา้ ทีเ่ กษตรกรขดุ ขนึ้ ตามทฤษฎีใหม่ เมือ่ เกิดช่วงขาดแคลนนา้ ในฤดแู ลง้ เกษตรกรสามารถสบู นา้ มาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ และหากนา้ ในสระนา้ ไมเ่ พียงพอกข็ อรบั นา้ จากอา่ งหว้ ยหินขาว (อา่ งเลก็ ) ซ่ึงไดท้ าระบบสง่ นา้ เชื่อมตอ่ ทางทอ่ ลงมายงั สระนา้ ที่ไดข้ ดุ ไวใ้ นแตล่ ะแปลง ซ่งึ จะชว่ ยใหส้ ามารถ มนี า้ ใชต้ ลอดปี

22 กรณีทเ่ี กษตรกรใชน้ า้ กนั มาก อา่ งหว้ ยหินขาว (อา่ งเลก็ ) กอ็ าจมปี รมิ าณนา้ ไมเ่ พียงพอ ก็สามารถใชว้ ิธีการ ผนั นา้ จากเขื่อนป่ าสกั ชลสทิ ธิ์ (อา่ งใหญ่) ตอ่ ลงมายงั อา่ งเกบ็ นา้ หว้ ยหินขาว (อา่ งเลก็ ) กจ็ ะชว่ ยใหม้ ี ปริมาณนา้ มาเตมิ ในสระของเกษตรกรพอตลอดทงั้ ปีโดยไมต่ อ้ งเสีย่ ง ระบบการจดั การทรพั ยากรนา้ ตามแนวพระราชดารพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สามารถทาใหก้ ารใชน้ า้ มี ประสทิ ธิภาพอยา่ งสงู สดุ จากระบบสง่ ทอ่ เปิดผา่ นไปตามแปลงไรน่ าตา่ งๆ ถึง 3 - 5 เทา่ เพราะยามหนา้ ฝน นอกจากจะมนี า้ ในอา่ งเกบ็ นา้ แลว้ ยงั มนี า้ ในสระของราษฎรเก็บไวพ้ รอ้ มกนั ดว้ ย ทาใหม้ ปี รมิ าณนา้ เพ่ิม อยา่ งมหาศาล นา้ ในอา่ งที่ตอ่ มาสสู่ ระจะทาหนา้ ท่ีเป็นแหลง่ นา้ สารอง คอยเตมิ เท่านนั้ เอง

23 เศรษฐกิจพอเพียงระดบั บุคคลและครอบครัว ความพอเพียงระดบั บคุ คลและครอบครวั มงุ่ เนน้ ใหบ้ คุ คลและครอบครวั อย่รู ว่ มกนั อย่างมี ความสขุ ทง้ั ทางกายและทางใจ พึ่งพาตนเองอยา่ งเตม็ ความสามารถ ไมท่ าอะไรเกินตวั ดาเนินชีวิตโดยไม่ เบียดเบยี นตนเองและผอู้ น่ื รวมทงั้ ใฝ่รูแ้ ละมีการพฒั นาตนเองอย่างตอ่ เนื่อง เพื่อความม่นั คงในอนาคต และ เป็นที่พึง่ ใหผ้ อู้ ื่นไดใ้ นที่สดุ เชน่ หาปัจจยั สม่ี าเลยี้ งตนเองและครอบครวั จากการประกอบสมั มาชีพ รู้ ขอ้ มลู รายรบั -รายจา่ ย ประหยดั แตไ่ มใ่ ช่ตระหน่ี ลด-ละ-เลกิ อบายมขุ สอนใหเ้ ดก็ รจู้ กั คณุ คา่ รูจ้ กั ใชแ้ ละ รูจ้ กั ออมเงินและส่ิงของเครือ่ งใชด้ แู ลรกั ษาสขุ ภาพ มกี ารแบง่ ปันภายในครอบครวั ชมุ ชน และสงั คมรอบ ขา้ ง รวมถึงการรกั ษาวฒั นธรรม ประเพณีและการอย่รู ว่ มกบั ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม

24 เศรษฐกิจพอเพยี งระดบั ชุมชน ความพอเพียงระดบั ชมุ ชน คนในชมุ ชนมกี ารรวมกลมุ่ กนั ทาประโยชนเ์ พ่ือสว่ นรวม ชว่ ยเหลอื เกือ้ กลู กนั ภายในชมุ ชนบนหลกั ของความรูร้ กั สามคั คี สรา้ งเป็นเครือขา่ ยเชื่อมโยงกนั ในชมุ ชนและ นอก ชมุ ชน ทง้ั ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม เชน่ การรวมกลมุ่ อาชีพ องคก์ ร การเงิน 20สวสั ดกิ ารชมุ ชน การช่วยดแู ลรกั ษาความสงบความสะอาด ความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย รวมทง้ั การ ใช้ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ินและทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มในชมุ ชนมาสรา้ งประโยชนไ์ ดอ้ ย่างเหมาะสม เพื่อสรา้ งเสริมชมุ ชนใหม้ คี วามเขม้ แขง็ และมคี วามเป็นอยทู่ ่ีพอเพียง

25 เศรษฐกิจพอเพียงระดบั ประเทศ ความพอเพียงระดบั ประเทศ เป็นการบรหิ ารจดั การประเทศ โดยเร่มิ จากการวางรากฐานให้ ประชาชนสว่ นใหญ่อย่อู ยา่ งพอมีพอกินและพึ่งตนเองได้ มคี วามรูแ้ ละคณุ ธรรมในการดาเนินชีวิต มีการ รวมกลมุ่ ของชมุ ชนหลายๆ แหง่ เพื่อแลกเปล่ยี นความรู้ สืบทอดภมู ปิ ัญญา และรว่ มกนั พฒั นาตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียงอยา่ งรู้ รกั สามคั คเี สริมสรา้ งเครอื ขา่ ยเช่ือมโยงระหวา่ งชมุ ชนใหเ้ กิดเป็นสงั คมแหง่ ความ พอเพียงในที่สดุ

26 บรรณานุกรม https://aommoney.com/stories/kevindadd https://www.chaipat.or.th/site_content/item/ https://th.wikipedia.org/wiki https://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sec/Alternative/04-04-01.html https://sites.google.com/site/soponk99/khwam-phx-pheiyng-radab-bukhkhl-laea- khrxbkhraw


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook