Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้-สุขศึกษา-พลศึกษา

แผนการจัดการเรียนรู้-สุขศึกษา-พลศึกษา

Published by An Dutsadee, 2021-01-24 23:15:15

Description: แผนการจัดการเรียนรู้-สุขศึกษา-พลศึกษา

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้แ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ สาระทักษะการดำเนินชวี วนั ที่ เดือน พ.ศ. หัวเรื่อง ตวั ชว้ี ดั เน้อื หา ขั้นตอน ร่างกาย 1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและ เรือ่ งที่ 1 วัฏจักรชวี ิตของ กอ่ นเข้าสูข่ ้ันตอ ของเรา นักเรียนนำเสน พฒั นาการตามวยั ของรางกาย มนุษย ครัง้ ทีผ่ ่านมา ร คิดเห็นและสรปุ ได เรื่องที่ ๒ โครงสรางหนาที่ ขัน้ ท่ี ๑ การกำ ความตอ้ งการใน 2. อธบิ ายโครงสรางและการ และการทํางานของอวยั วะ ๑. ทบทวนเนื้อ แบง่ กลุ่มศึกษาพ ทาํ งานของอวยั วะภายใน และ ภายนอก ภายในท่สี ําคัญของ ต่างๆ แล้วให้แต กลมุ่ ได้ ภายนอกได รางกาย ๒. ครูถามผู้เรีย เพียงใด 3. อธบิ ายวิธีการดแู ลรักษา เร่ืองท่ี 3 การดูแลรักษาปอง ข้ันที่ ๒ การแส ปองกันความผิดปกติของอวัยวะ กัน ความผิดปกติของอวยั วะ ๑. ครแู ละ การเปลีย่ นแป ท่ี สําคัญของรางกาย ทงั้ ภายใน สําคญั ของรางกาย อวยั วะ กายได โครงสร ภายใน และภา และภายนอกได ภายนอกและภายใน ปองกันความผดิ กาย ทง้ั ภายในแ

แบบพบกลุ่ม ครง้ั ที่ ๑๒ วิต รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ทช ๑100๒ เวลา น. นการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ส่ือการเรียนรู้ วัดผลและประเมินผล หมายเหตุ อนการจดั กระบวนการเรยี นรคู้ รูให้ - แบบเรยี นวิชา - ใบงานแบบฝึกหดั นองานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย (กรต)ใน สขุ ศกึ ษา พลศึกษา - แบบบนั ทกึ การ ร่วมสนทนาแลกเปลยี่ นความ - ใบความรู้ เรียนรู้ ปเป็นองค์ความรู้ - ใบงาน ำหนดสภาพปัญหา แบบฝึกหัด นการเรียนรู้ อหาสปั ดาห์ท่ีแลว้ ผู้เรยี นสามารถ พัฒนาการของมนุษย์ ตามวัย ตล่ ะกลุ่ม นาํ เสนอผลงานแต่ละ ยนเขา้ ใจในเน้ือหามากน้อย สวงหาข้อมูลและการเรียนรู้ ะผูเ้ รียนทบทวนเนอ้ื หาเก่ียวกับ ปลงและพฒั นาการตามวยั ของราง รางและการทาํ งานของอวัยวะ ายนอกได และวธิ กี ารดูแลรักษา ดปกติของอวัยวะที่ สําคญั ของราง และภายนอกได

หวั เร่อื ง ตวั ช้วี ัด เน้อื หา ขั้นตอนกา ๓. ขน้ั ท่ี ๓ การปฏ ๑. ผเู้ รียนทำแบบ มอบหมายให้ ขน้ั ท่ี ๔ การประเม ๑. สังเกตพฤตกิ รร ๒. ตรวจสอบความ ๓. บันทึกการเรยี น ๔. แบบทดสอบ

ารจดั กระบวนการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ วดั ผลและประเมนิ ผล หมายเหตุ ฏิบัติและการนำไปประยุกต์ใช้ บฝกึ หดั ตามใบงานที่ครูได้ มินผล รมการมีสวนรว่ ม มถกู ตอ้ งของใบงาน นรู้

แผนการจัดการเรยี นรู้แบ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ สาระทักษะการดําเนนิ ชีวติ วนั ท่ี เดือน หวั เรอื่ ง ตัวชว้ี ัด เน้ือหา ขั้นตอนการ พัฒนาการ 1.เรียนรู้ เกย่ี วกบั การ เร่ืองที่ 1 กอ่ นเขา้ สู่ขัน้ ตอนการจดั กร ทางเพศของ พัฒนาการทางเพศ พฒั นาการทางเพศ งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย (กรต วัยรุ น และการดูแลสุขภาพ ของวัยรุ่น แลกเปล่ียนความคิดเหน็ แล ของวัยรุ่น ขน้ั ที่ ๑ การกำหนดสภาพป 2.เรียนรู้ เกี่ยวกับการ เรอ่ื งที่ 2 การดูแล ความต้องการในการเรยี นรู้ ป้องกนั ปัญหาทีจ่ ะเกิด สขุ ภาพเบ้ืองต้นใน ๑. ผ้เู รยี นทบทวนเกย่ี วกับก จากสาเหตตุ ่างๆ ของ วยั รุ่น เพศ และการดูแลสุขภาพขอ วัยรุ่น และเรียนรู้ เกย่ี วกบั การป้อง ของวยั รุ่น ข้นั ที่ ๒ การแสวงหาข้อมูล ทางเพศของวยั รุ่นและ การ

บบพบกล่มุ ครั้งท่ี ๑๓ ต รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ทช ๑100๒ พ.ศ. เวลา น. รจัดกระบวนการเรยี นรู้ ส่ือการเรียนรู้ วดั ผลและ หมายเหตุ ประเมนิ ผล ระบวนการเรียนรู้ครูใหน้ กั เรียนนำเสนอ - แบบเรียนวชิ าสขุ ต)ในคร้งั ทผ่ี ่านมา ร่วมสนทนา ศึกษา พลศกึ ษา - ใบงาน ละสรุปเป็นองค์ความรู้ - ใบความรู้ แบบฝึกหดั ปัญหา - ใบงาน - แบบบันทกึ การ แบบฝกึ หดั เรียนรู้ การเรยี นรู้ เกี่ยวกบั การพฒั นาการทาง องวัยรุ่น งกันปัญหาท่ีจะเกิดจากสาเหตตุ ่างๆ ลและการเรียนรู้ ครูอธบิ ายถึงพัฒนาการ รดูแลสขุ ภาพเบอื้ งต้นในวยั รุ่น

หวั เร่อื ง ตวั ช้วี ัด เน้อื หา ขั้นตอนกา ๓. ขน้ั ท่ี ๓ การปฏ ๑. ผเู้ รียนทำแบบ มอบหมายให้ ขน้ั ท่ี ๔ การประเม ๑. สังเกตพฤตกิ รร ๒. ตรวจสอบความ ๓. บันทึกการเรยี น ๔. แบบทดสอบ

ารจดั กระบวนการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ วดั ผลและประเมนิ ผล หมายเหตุ ฏิบัติและการนำไปประยุกต์ใช้ บฝกึ หดั ตามใบงานที่ครูได้ มินผล รมการมีสวนรว่ ม มถกู ตอ้ งของใบงาน นรู้

แผนการจัดการเรียนรูแ้ บ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ สาระทักษะการดาํ เนินชีวติ วันที่ เดือน พ.ศ. หัวเรอ่ื ง ตัวชว้ี ดั เนื้อหา ขน้ั ตอนกา การดูแล ๑. เรียนรู้การดูแลสุขภาพ การดูแลสุขภาพและ กอ่ นเขา้ สู่ขัน้ ตอนก สขุ ภาพ นักเรียนนำเสนองา และส่งเริมสขุ ภาพ สง่ เสริมสุขภาพ ครง้ั ท่ีผา่ นมา รว่ ม และสรุปเป็นองค์ค ความตอ้ งการในกา ขั้นท่ี ๑ การกำหน ความต้องการในกา ๑. ทบทวนเนือ้ หา เรยี นรูก้ ารดูแลสุขภ ๒. ครถู ามผู้เรยี นเ เกย่ี วกับการดูแลสุข ขน้ั ที่ ๒ การแสวง ครูและผูเ้ รียนทบท ดูแลสุขภาพและกา

บบพบกล่มุ ครั้งท่ี ๑๔ ต รายวิชา สุขศกึ ษา พลศึกษา ทช ๑100๒ . เวลา น. ารจัดกระบวนการเรียนรู้ สื่อการเรยี นรู้ วัดผลและประเมินผล หมายเหตุ การจัดกระบวนการเรียนรคู้ รูให้ - แบบเรียนวิชา - ใบงานแบบฝกึ หัด - แบบบันทึกการ านทีไ่ ด้รับมอบหมาย (กรต)ใน สุขศึกษา พลศึกษา เรยี นรู้ มสนทนาแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ - ใบความรู้ ความรู้ - ใบงานแบบฝึกหัด ารเรียนรู้ นดสภาพปัญหา ารเรียนรู้ าสัปดาห์ทแี่ ลว้ ผูเ้ รยี นสามารถ ภาพและส่งเริมสุขภาพ เขา้ ใจในเนื้อหามากนอ้ ยเพยี งใด ขภาพและการส่งเสริมสขุ ภาพ งหาข้อมลู และการเรียนรู้ ทวนเน้อื หาเก่ียวกับเก่ียวกบั การ ารส่งเสรมิ สุขภาพ

หวั เร่อื ง ตวั ช้วี ัด เน้อื หา ขั้นตอนกา ๓. ขน้ั ท่ี ๓ การปฏ ๑. ผเู้ รียนทำแบบ มอบหมายให้ ขน้ั ท่ี ๔ การประเม ๑. สังเกตพฤตกิ รร ๒. ตรวจสอบความ ๓. บันทึกการเรยี น ๔. แบบทดสอบ

ารจดั กระบวนการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ วดั ผลและประเมนิ ผล หมายเหตุ ฏิบัติและการนำไปประยุกต์ใช้ บฝกึ หดั ตามใบงานที่ครูได้ มินผล รมการมีสวนรว่ ม มถกู ตอ้ งของใบงาน นรู้

แผนการจัดการเรยี นรูแ้ บ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ สาระทักษะการดำเนินชีว วนั ท่ี เดอื น หวั เรื่อง ตวั ช้ีวัด เนือ้ หา ขน้ั ตอนกา โรคตดิ ต่อ 1.เรยี นรู้ เร่ืองโรคตดิ ตอ่ โรคตดิ ตอ่ สาเหตุ กอ่ นเขา้ สขู่ ัน้ ตอนก ตา่ งๆ ที่เปน็ ปญั หาต่อ สขุ ภาพของครอบครัว การปอ้ งกัน อาการรักษา นักเรยี นนำเสนองา ชุมชน และ คร้ังทผี่ ่านมา ร่วม และสรุปเปน็ องคค์ ข้นั ที่ ๑ การกำหน ความตอ้ งการในกา ครูพดู คุยซักถามเก ตา่ งๆ ทีเ่ ปน็ ปัญหา และขนั้ ที่ ๒ การแ 1. ครอู ธิบายเรอื่ ง สขุ ภาพของครอบค 2. ครูมอบหมายใบ การป้องกัน อาการ

บบพบกลมุ่ ครัง้ ท่ี ๑๕ วิต รายวิชา สุขศกึ ษา พลศกึ ษา ทช ๑100๒ พ.ศ. เวลา น. ารจัดกระบวนการเรยี นรู้ สือ่ การเรียนรู้ วดั ผลและ หมายเหตุ ประเมนิ ผล การจดั กระบวนการเรยี นรคู้ รใู ห้ -หนงั สอื แบบเรยี นวิชา - ใบงานแบบฝึกหัด านที่ไดร้ ับมอบหมาย (กรต)ใน สุขศกึ ษา พลศึกษา - แบบบันทกึ การ มสนทนาแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ -ใบงาน เรยี นรู้ ความรู้ -อนิ เตอรเ์ นต็ นดสภาพปัญหา ารเรยี นรู้ ก่ียวกบั เร่อื งโรคตดิ ต่อ าต่อสุขภาพของครอบครัวชุมชน แสวงหาขอ้ มลู และการเรียนรู้ งโรคตดิ ต่อต่างๆ ที่เปน็ ปญั หาต่อ ครัวชมุ ชน และ บงานเรื่องโรคติดตอ่ สาเหตุ รรกั ษา

หวั เร่อื ง ตวั ช้วี ัด เน้อื หา ขนั้ ตอนกา ๓. ข้นั ท่ี ๓ การปฏ ๑. ผเู้ รยี นทำแบบ มอบหมายให้ ข้นั ท่ี ๔ การประเม ๑. สงั เกตพฤตกิ รร ๒. ตรวจสอบความ ๓. บันทึกการเรยี น ๔. แบบทดสอบ

ารจดั กระบวนการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ วดั ผลและประเมนิ ผล หมายเหตุ ฏิบัติและการนำไปประยุกต์ใช้ บฝกึ หดั ตามใบงานที่ครูได้ มินผล รมการมีสวนรว่ ม มถกู ตอ้ งของใบงาน นรู้

ใบความรู้ บทที่ 1 รางกายของเรา รางกายของมนษุ ยประกอบดวยอวัยวะตางๆ ท้ังภายใน และภายนอกท่ีทาํ หนาทต่ี างๆ ตาม ความสาํ คัญของโครงสรางรางกายมนษุ ย รวมถงึ การปองกันดแู ลรกั ษาไมใหเกดิ อาการผดิ ปกติ เพื่อให รางกายไดมกี ารพฒั นาและเปลย่ี นแปลงตามวัฏจักรชีวติ ของมนษุ ยและมีสขุ ภาพกายทส่ี มบูรณตามวยั เร่อื งท่ี 1 วัฎจักรชวี ิตของมนษุ ย ธรรมชาติของชีวิตมนุษย ธรรมชาตขิ องมนษุ ยประกอบไปดวยการเกดิ แก เจ็บ ตาย ซง่ึ เปนธรรมดาของชีวติ ที่ ทุกคนหลีกไมพน ดังนั้นควรเรียนรูและปฏบิ ัตติ นดวยความไมประมาท 1. การเกดิ ทุกคนเกดิ มาจากพอซึ่งเปนเพศชาย และแมซง่ึ เปนเพศหญิงโดยธรรมชาติได กําหนดใหเพศหญงิ เปนคนอุ มทองตามปกติประมาณ 9 เดือน จะคลอดจากครรภมารดา เจริญเติบโตเปนทารก แลวพัฒนาการเปน วยั เดก็ วัยรุน วัยผใู หญ วยั ชรา ตามลาํ ดบั รางกายของคนเราก็จะคอยๆเปล่ียนไปตามวัย 2. การแก เมื่ออายุมากขน้ึ รางกายจะมกี ารเปลยี่ นแปลงที่เหน็ ไดชดั เชน เมอ่ื อยูในชวงชรารางกายจะเส่ือมสภาพลง ผิวหนังเหีย่ วยน การเคลื่อนไหวชาลง คนสวนใหญเรยี กวา “คนแก” 3. การเจบ็ การเจ็บปวยของมนุษยสวนใหญเกิดจากการขาดดูแลรกั ษาสขุ ภาพทีถ่ ูกตองและสมำ่ เสมอ คนสวนใหญ มกั เคยเจ็บปวย บางคนเจ็บปวยเลก็ ๆ นอยๆ หรือมาก จนตองรับการรกั ษาจากแพทย ถาไมดูแลรักษาสุขภาพ ตนเอง รางกายยอมออนแอและมีโอกาสจะรับเชื้อโรคเขาสูรางกายไดงายกวาบุคลท่ีรักษาสุขภาพสม่ำเสมอ 4. การตาย ความตายเปนสงิ่ ทท่ี ุกคนหนีไมพน เกดิ แลวตองตายดวยกนั ทุกคน แตการตายน้นั ตองถงึ วยั ที่รางกาย เส่อื มสภาพไปตามธรรมชาติ เมื่ออยูในวยั หนุมสาวจงึ ควรดูแลรักษาสขุ ภาพและดํารงชวี ติ ดวยความไมประมาท การเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวยั การเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการของมนษุ ย จะเร่ิมต้ังแตเกดิ ซึ่งแบงไดเปน 5 ชวงวยั โดยแตละวัยจะมลี ักษณะและพัฒนาการเฉพาะของวัย การเจรญิ เตบิ โต (Growth) หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงในขนาดรปู ราง สดั สวนตลอดจนกระดกู กลาม เนือ้ และอวัยวะทุกสวนของรางกายตามลําดับขน้ั พฒั นาการ (Development) หมายถงึ การเปลีย่ นแปลงของมนุษยทุกสวนทีต่ อเน่ืองกัน ตัง้ แตแรกเกิดจนตลอดชีวติ ซึง่ เปนกระบวนการเปล่ียนแปลงทงั้ รางกายและจิตใจผสมผสานกนั ไปเปน ขนั้ ๆ จากระยะหนึ่งไปสูอีกระยะหน่ึง ทาํ ใหเกดิ การเจรญิ กาวหนาเปนลาํ ดบั ซึ่งแบงเปน 5 ชวงวยั ดังนี้

1. วยั ทารก (Infancy) ตงั้ แตเกิด – 2 ป เดก็ ในวัยนจ้ี ะมีพัฒนาการทางดานรางกายท่รี วดเร็วมากในขวบปแรกเปน 2 เทาจากแรกเกิด ป ถดั มาพฒั นาการจะเพิ่มขนึ้ เพียง 30 % จากน้ันจะเจริญเติบโตข้ึนตามลําดบั ตามแผนของการพฒั นา วัยทารก จะสามารถรับรูสง่ิ ตางๆ ไดในระดับเบือ้ งตน เชน รูจักสาํ รวจ คนหา ทาํ ความเขาใจและปรับตวั ใหเขากบั สภาพ แวดลอมรอบๆ ตวั รูจักใชอวัยวะสัมผสั สง่ิ ตางๆ วยั น้ีตองอาศัยการเลย้ี งดเู อาใจใสมากที่สดุ 2. วัยเด็ก (Childhood) ตัง้ แต 3-12 ป การเจริญเติบโตในวยั น้สี วนใหญเปนเร่ืองของกระดกู กลามเน้อื และการประสานกับ ระบบต างๆ ในรางกาย ความแตกตางระหวางบุคคลและเพศตรงกันขาม จะปรากฏชัดเจน โดยวัยเดก็ แบงออกเปน 3 ชวง ดังนี้ 2.1 วยั เด็กตอนตน (3-5 ป) รจู กั ใชภาษา หดั พูด กินขาว ลางมือ รูจักสังเกต อยากรู อยาก ทดลอง และเลน 2.2 วัยเด็กตอนกลาง (6-9 ป) เรมิ่ ไปโรงเรียนตองปรับตวั เขากับคนแปลกหนา และทํา ความเขาใจกับระเบยี บของโรงเรยี น รูจกั เลอื กตัดสินใจ รับผิดชอบการทํางานของตนเองได 2.3 วัยเดก็ ตอนปลาย (10-12 ป) เพศชาย-หญงิ จะแสดงความแตกตางชัดเจนในดานพฤติ กรรมและความสนใจ เดก็ หญิงจะโตกวาเด็กชาย มีทกั ษะการใชภาษาทด่ี ขี ึ้น ทาํ ตามคําสัง่ ได เรยี นรูบทบาทท่ี เหมาะสมกบั เพศของตน และจะเลนเฉพาะกลุมทเี่ พศเดียวกนั 3. วัยรนุ (Adolescence) อายรุ ะหวาง 13-20 ป วัยนีเ้ ปนชวงหัวเลี้ยวหัวตอของชีวติ เนอ่ื งจากเปนวัย ที่มกี ารเปล่ยี นแปลงทางรางกายจิตใจและตองปรบั ตวั เขากับสิ่งใหมๆ ทเ่ี กิดขนึ้ รวมท้ังปรับตวั ใหเขากับสงั คม บางครัง้ ทําใหเกดิ ปญหาตางๆ ขนึ้ โดยเฉพาะปญหาทางเพศ เรม่ิ ใหความสนใจกบั เพศตรงกันขาม เริ่มมอง อนาคต คิดถึงการมีอาชพี ของตน คดิ ถึงครอบครัว อยากรู อยากเหน็ อยากแสดงความสามารถ บางครั้ง แสดงออกในทางท่ี ไมถูกตอง จงึ ทําใหเกิดปญหาขึ้น ผูปกครองหรือผูใหญ ควรใหแนะนําท่ีเหมาะสม 4. วยั ผใู หญ (Adulthood) อายรุ ะหวาง 21-60 ป วยั นีร้ างกายเจริญเติบโตเต็มทแ่ี ลว มีรูปรางสมส วน รางกายแขง็ แรง แตเน่ืองจากความเจรญิ เติบโตและพัฒนาการทางกาย และใจของแตละคนตางกนั เชนคนที่ เปนลูกคนโต ตองดูแลนองๆ ก็ อาจจะเปนผูใหญเร็วกวานองคนเล็ก หรือคนที่กาํ พราพอแม กย็ อมเปนผูใหญ เร็วกวาคนทม่ี ีพอแมอยูใกลชิด สรุปไดวาวัยนี้ เปนวัยทม่ี ีความเจริญดานตางๆ ท้ังดานความสนใจ ทศั นคติ และค านยิ มโดยเฉพาะเรื่องอาชีพ การเลือกคูครอง และการมีชวี ิตครอบครวั เปนวัยที่มีพละกําลัง มคี วามสามารถใน การทํางานมากที่สดุ เพราะเปนวยั ท่ีตองรับผิดชอบในหนาท่ี เพือ่ ครอบครัวและประเทศชาติ 5. วัยชรา (Old Age) อายุ 60 ปขึ้นไป วัยน้ีเปนวยั ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงทางดานรางกาย จติ ใจ อารมณ รวมทงั้ สมองในทางเลื่อมลง จึงประสบปญหาสุขภาพมากกวาวัยอื่น มอี าการหลงลมื มักจะจําเรื่องราวในอดีต เหมาะท่จี ะเปนที่ปรกึ ษาใหคําแนะนาํ แกผูอน่ื เพราะเปนผูที่ประสบการณมากอน วยั น้มี ักมีอารมณคอนขาง เครียด โกรธ และนอยใจงาย

เรื่องท่ี 2 โครงสราง หนาทแ่ี ละการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ท่สี าํ คัญของรางกาย อวยั วะและระบบตางๆ ในรางกาย อวยั วะภายนอกและอวัยวะภายใน อวยั วะภายนอก เปนอวยั วะท่ีมองเหน็ ได เชน ตา หู จมูก ปากและผิวหนัง อวยั วะ เหลาน้ีมี หนาที่การทํางานตางกัน อวัยวะภายใน เปนอวยั วะท่ีอยูในรางกายท่ีมีความสําคัญมาก เพราะเปนสวนหนง่ึ ของระบบ ต่างๆ ภายในรางกาย โดยอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในมกี ารทํางานที่สัมพนั ธกนั หากสวนใดสวนหนึ่งบก พรอง หรือไดรับอนั ตรายกอ็ าจมผี ลกระทบตอสวนอนื่ ได 1. อวยั วะภายนอก มีดังน้ี 1.1 ตา เปนอวัยวะที่ทาํ ใหมองเหน็ ส่งิ ตางๆ และชวยใหเกิดการเรยี นรู เพราะถาไมมีดวงตา สมองจะไม สามารถรับรูและจดจําสิ่งทอ่ี ยูรอบตวั นอกจากนน้ั ตายังแสดงออกถึงอารมณความรูสกึ ตางๆ เชน ดีใจ เสียใจ ตกใจ สวนประกอบของตา ทสี่ าํ คัญมดี งั นี้ (1) ค้ิว เปนสวนประกอบท่ีอยูเหนอื หนงั ตาบน ทาํ หนาทป่ี องกนั อันตราย ไมใหเกดิ กับดวงตา โดยป องกนั ส่ิงสกปรก เหงื่อ น้ำ และสง่ิ แปลกปลอมท่ีอาจไหลหรือตกมาจากหนาผาก หรือศีรษะ เขาสูดวงตาได (2) หนงั ตา และเปลอื กตา ทําหนาที่เปดปดตา เพอ่ื รบั แสง และปองกันอนั ตรายทีอ่ าจเกดิ ขน้ึ แกตา และกระจกตา โดยอัตโนมตั ิเมอื่ มีสง่ิ อนั ตรายเขามาใกลตา (3) ขนตา เปนสวนประกอบท่ีอยูหนังตาบน หนงั ตาลาง ทําหนาทปี่ องกันอันตราย เชนฝุนละออง ไมใหทําอนั ตรายแกตา (4) ตอมน้ำตา เปนสวนประกอบของตาที่อยูในเบาตา ทางดานหางควิ้ บรเิ วณหนงั ตาบน ทําหนาที่ ซบั น้ำตา มาชวยใหตาชุมชน้ื และขับส่ิงสกปรกออกมากับน้ําตา 1.2 หู เปนอวัยวะรบั สัมผัสท่ที าํ ใหไดยนิ เสียงตางๆ เชน เสยี งเพลง เสยี งพูดคยุ การไดยนิ เสียง ทําใหเกดิ การสอ่ื สารระหวางกัน ถาหผู ิดปกติไมไดยินเสยี งใดเลย สมองไมสามารถแปลความไดวาเสียงตางๆ เปนอยางไร สวนประกอบของหู สวนประกอบของหูแบงเปน 3 สวน คือ หชู ัน้ นอก หชู ั้นกลาง หูชัน้ ใน (1) หชู น้ั นอกประกอบดวยสวนตางๆ ดงั นี้ • ใบหู ทาํ หนาทร่ี ับเสียงสะทอนเขาสูรหู ู • รหู ู ทาํ หนาที่เปนทางผานของเสยี ง ใหเขาไปสูสวนตางๆ ของรหู ู ภายในรหู ูจะมตี อมน้ำมนั ทาํ หนาท่ี ผลิตไขมันทําใหหชู ุมช้ืน และดกั จบั ฝุนละออง และส่งิ แปลกปลอมทีเ่ ขามาภายในรหู ู และเกดิ เปนขี้หู นอกจากนั้น ภายในรูหูยังมเี ยื่อแกวหู ซึง่ เปนเยื่อแผนกลมบางๆ ก้ันอยูระหวางหชู น้ั นอก กบั หูช้ันกลาง ทําหน าที่ถายทอดเสยี งผานหูช้ันกลาง

(2) หูช้นั กลาง มีลกั ษณะเปนโพรง ประกอบดวยสวนตางๆ ไดแก กระดูกรูปคอน กระดกู รปู ทั่ง และ กระดรู ปู โกลน เปนกระดูกชิ้นนอกติดอยูกบั หูช้ันใน กระดูกทั้ง 3 ชนิ้ ดงั กลาว ทาํ หนาที่รับคลืน่ เสียงตอจากเยอ่ื แกวหู (3) หชู นั้ ใน มลี ักษณะเปนรปู หอยโขง เปนสวนท่ีอยูดานในสุด ทําหนาท่ีขบั คลื่นเสยี งโดยผานประสาท รับเสียงสงตอไปยังสมอง และสมองก็แปลผลทาํ ใหรวู าเสยี งทีไ่ ดยินคือ เสยี งอะไร 1.3 จมูก เปนอวัยวะรบั สัมผสั ทาํ หนาที่หายใจเอาอากาศเขาและออกจากรางกายและมีหนาทีร่ บั กลน่ิ ตางๆ ถาจมูกไมสามารถทําหนาที่ไดตามปกติ จะไมไดกลน่ิ อะไรเลย หรอื ทําใหระบบการหายใจและการ ออกเสยี งผิดปกติ สวนประกอบของจมูก จมกู เปนอวัยวะภายนอกท่ีอยูบนใบหนา ชวยเสริมใหใบหนาสวยงาม จมกู แบงออกเปน 3 สวน ดังน้ี (1) สนั จมกู เปนสวนท่ีมองเห็นจากภายนอก เปนกระดูกออน ทําหนาที่ปองกันอันตรายใหกบั อวัยวะ ภายในจมูก (2) รจู มกู รูจมกู มี 2 ขาง ทําหนาทเ่ี ปนทางผานของอากาศ ทหี่ ายใจเขาออกภายในรูจมูกมีขนจมกู และ เยื่อจมกู ทาํ หนาที่กรองฝุนและเชอ้ื โรคไมใหเขาสูหลอดลมและปอด (3) ไซนสั เปนโพรงอากาศครอบจมูกในกะโหลกศีรษะ จํานวน 4 คู ทาํ หนาท่ีพัดอากาศเขาสูปอด และปรบั ลมหายใจใหมอี ุณหภมู แิ ละความชน้ื พอเหมาะ 1.4 ปากและฟน เปนอวยั วะสาํ คญั ของรางกายทใ่ี ชในการพดู ออกเสยี ง และรบั ประทานอาหาร โดยฟนของคนเราจะมี 2 ชดุ คอื ฟนน้ำนมและฟนแท (1) ฟนน้ำนม เปนฟนชดุ แรก มีทัง้ หมด 20 ซี่ เปนฟนบน 10 ซี่ ฟนลาง 10 ซ่ีงฟนนำ้ นมเริ่มงอก เมอ่ื อายปุ ระมาณ 6-8 เดือน จะงอกครบเมอ่ื อายุ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบครงึ่ และจะคอยๆหลุดไปเม่ืออายุประมาณ 6 ขวบ (2) ฟนแท เปนฟนชดุ ท่สี อง ท่ีเกิดขึ้นมาแทนฟนน้าํ นมท่หี ลุดไป ฟนแทมี 32 ซ่ี ฟนบน 16 ซี่ง ฟนล าง 16 ซฟ่ี นแทจะครบเมื่ออายปุ ระมาณ 21-25 ป ถาฟนแทผุหรอื หลดุ ไป จะไมมีฟนงอกขึ้นมาอีก หนาท่ขี องฟน ฟน มหี นาท่ีในการเคี้ยวอาหาร เชน ฉกี กัด บดอาหารใหละเอยี ด ฟนจึงมหี นาท่แี ละรูปรางตางกนั ไป ไดแก ฟนหนา มลี ักษณะคลายลมิ่ ใชกดั ตัด ฟนเขี้ยว มลี กั ษณะปลายแหลม ใชฉกี อาหาร และฟนกราม มี ลักษณะแบน กวาง ตรงกลางมีรองใชบดอาหาร 1.5 ผิวหนงั เปนอวัยวะรบั สัมผัส ทําใหรสู ึก รอน หนาว เจ็บปวด เพราะภายใต ผิวหนังเปนท่ีรวมของ เซลลประสาทรับความรูสึก นอกจากนั้นผิวหนงั ยงั ทาํ หนาที่ปกคลุมรางกาย และชวยปองกนั อวัยวะภายในไมให ไดรับอันตราย และยังชวยระบายความรอนภายในรางกายทางรเู หง่อื ตามผิวหนงั อีกดวย

สวนประกอบของผิวหนังแบงออกเปน 2 ชั้น ดังนี้ (1) ชน้ั หนังกําพรา เปนชนั้ บนสดุ เปนชน้ั ทีจ่ ะหลดุ เปนขีไ้ คล แลวมีการสรางขนึ้ มาทดแทนขนึ้ เร่ือยๆ และเปนผิวหนงั ช้ันทีบ่ งบอกความแตกตางของสีผิวในแตละคน (2) ช้นั หนงั แท เปนผิวหนังที่หนากวาชั้นหนงั กาํ พรา เปนแหลงรวมของตอมเหง่อื ตอมไขมนั และเซลล ประสาทรบั ความรูสึกตางๆ 2. อวยั วะภายใน อวยั วะภายในเปนอวยั วะทอ่ี ยูใตผิวหนัง ซ่ึงเราไมสามารถมองเห็น อวัยวะภายใน เหลานี้มีมากมาย และทาํ งานประสานสัมพนั ธกันเปนระบบ 2.1 ปอด ปอดเปนอวัยวะภายในอยางหน่งึ อยูในระบบหายใจ ปอดมี 2 ขาง ตง้ั อยูบรเิ วณทรวงอก ทั้ง ทางดานซา้ ยและดานขวา จากตนคอลงไปจนถึงอก ปอดมีลักษณะน่ิมและหยุนเหมือนฟองน้ำ ขยายใหญเทากับ ซี่โครงเวลาทีข่ ยายตวั เต็มท่ี มีเยือ่ บางๆ หุม เรยี กวา เยอื่ หุมปอด ปอด ประกอบดวยถุงลมเลก็ ๆ จํานวนมากมาย เวลาหายใจเขาถงุ ลมจะพองออกและเวลาหายใจออกถงุ ลมจะแฟบ ถุงลมนปี้ ระสานตดิ กันดวยเยอ่ื ประสาน ละเอียดเต็มไปดวยเสนเลือดฝอยมากมาย เลือดดําจะไหลผานเสนเลอื ดฝอยเหลานน้ั แลวคายคารบอนไดออก ไซดออก และรับเอาออกซิเจนจากอากาศท่ีเราหายใจเขาไปในถุงลมไปใชในกระบวนการเคมใี นการสนั ดาป อาหารของรางกาย กระบวนการทีเ่ ลือดคายคารบอนไดออกไซด และรบั ออกซเิ จนขณะทอี่ ยูในปอดน้ี เรียกวา การฟอกเลือด หนาท่ขี องปอด ปอดจะทาํ หนาท่สี บู และระบายอากาศ ฟอกเลอื ดเสยี ใหเปนเลือดดี การหายใจ มอี ยู 2 ระยะ คอื หายใจเขาและหายใจออก หายใจเขา คือ การสดู อากาศเขาไปในปอดหรือถงุ ลมปอด เกิดข้ึนดวยการหดตวั ของ กลามเนื้อกะบงั ลม ซ่ึงกัน้ อยูระหวางชองอกกับชองทอง เมื่อกลามเนื้อกะบงั ลมหดตวั จะทาํ ใหชองอกมีปริมาตร มากขนึ้ อากาศจะวิง่ เขาไปในปอด เรยี กวาหายใจเขา เม่ือหายใจเขาสดุ แลว กลามเนื้อกะบังลมจะคลายตัวลง กล ามเนื้อทองจะดนั เอากลามเน้ือกะบงั ลมข้นึ ทําใหชองอกแคบลง อากาศจะถกู บีบออกจากปอด เรยี กวา หายใจ ออก ปกติผูใหญหายใจประมาณ 18-22 ครัง้ ตอนาที ผูท่ีมอี ายนุ อยการหายใจจะเร็วขึ้นตามอายุ 2.2 หวั ใจ เปนอวัยวะทีป่ ระกอบดวย กลามเนอ้ื ภายในเปนโพรง รปู รางเหมือนดอกบวั ตูม มีขนาด ราวๆ กาํ ปนของเจาของ รอบๆ หัวใจมีเย่ือบางๆ หุมอยูเรยี กวา เยือ่ หุมหัวใจ ซงึ่ มีอยู 2 ชนั้ ระหวางเยือ่ หุมทัง้ สองชนั้ จะมีชอง ซ่งึ มีน้ําใสสีเหลอื งออนหลออยูตลอดเวลาเพ่ือมิใหเย่อื ท้งั สองช้ันเสยี ดสกี ัน และทําใหหัวใจเตนได สะดวกไมแหงตดิ กบั เยื่อหุมหัวใจ หัวใจตัง้ อยูระหวางปอดทั้งสองขาง แตคอนไปทางซายและอยูหลังกระดูก ซ่โี ครงกับกระดกู อก โดยปลายแหลมชเี้ ฉียงลงทางลาง และชีไ้ ปทางซาย ภายในหวั ใจจะมีโพรง ซึ่งภายในโพรงน้ี จะมีผนังกน้ั แยกออกเปนหองๆ รวม 4 หอง คือ หองบน 2 หอง และหองลาง 2 หอง สําหรับหองบนจะมีขนาด เลก็ กวาห้องลางหนาท่ีของหัวใจ หวั ใจมจี งั หวะการบบี ตัว หรือท่เี ราเรียกวาการเตนของหัวใจ เพอื่ สบู ฉีดเลือด แดงไปหลอเลีย้ งรางกายตามสวนตางๆ ของรางกาย ขณะที่คลายตวั หวั ใจหองบนขวาจะรับเลอื ดดาํ มา จากท่วั ร

างกาย และจะถูกบีบผานลนิ้ ท่ีกนั้ อยูลงไปทางหองลางขวา ซ่ึงจะถูกฉีดไปยงั ปอดเพ่ือคายคารบอนไดออกไซด และรบั ออกซเิ จนใหมกลายเปนเลอื ดแดง ไหลกลับเขามายงั หัวใจหองบนซายและถูกบีบผานลิน้ ทก่ี นั้ อยูไปทางห องลางซาย จากนั้นก็จะถูกฉีดออกไปเลีย้ งทว่ั รางกาย ถาเราใชน้ิวแตะบริเวณเสนเลือดใหญ เชน ขอมือ หรือข อพับตางๆ เราจะรูสึกไดถงึ จงั หวะการบบี ตวั ของหัวใจ ซง่ึ เรา เรียกวา ชีพจร หวั ใจเปนอวยั วะทสี่ าํ คญั ท่ีสดุ เพราะเปนอวยั วะท่ีบอกไดวาคนนนั้ ยังมชี ีวิตอยูไดหรอื ไม ถาหากหวั ใจหยุดเตนกห็ มายถึงวา คนคนน้นั เสียชวี ติ แลว การเตนของหวั ใจนั้น ในคนปกติ หัวใจจะเตนประมาณ 70-80 ครัง้ ตอนาที หวั ใจตองทาํ งานหนักตลอดชีวติ ทั้งเวลาหลบั และตื่น เวลาที่หัวใจจะ ไดพักผอนบางก็คือตอนท่เี รานอนหลับ หวั ใจจะเตนชาลง เราจึงตองระมดั ระวงั รกั ษาหัวใจใหแข็งแรงอยูเสมอ โดยอยา่ ใหหวั ใจตองทํางานหนกั มากจนเกนิ ไป 2.3 กระเพาะอาหาร มรี ูปรางเหมือนนํ้าเตา คลายกระเพาะหมู มีความจุประมาณ 1 ลติ ร อยูตอห ลอดอาหารและอยูในชองทองคอนไปทางดานซาย หนาทีส่ าํ คญั ของกระเพาะอาหารคือ มีหนาที่ในการยอยอาหารท่ีมขี นาดเล็กลง และละลายใหเป นสารอาหาร แลวสงอาหารท่ียอยแลวไปยังลําไสเล็ก แลวลาํ ไสเล็กจะดูดซึมไปใชประโยชนแกรางกายตอไป สวน ทีไ่ มเปน ประโยชนทเี่ รยี กวากากอาหารจะถูกสงตอไปยงั ลําไสใหญเพ่ือขบั ถายออกจากรางกายเปนอุจจาระตอไป สง่ิ ทชี่ วยให้อาหารก็คือ น้ำยอยซ่ึงมสี ภาพ เปนกรด น้ำยอยในกระเพาะจะมีเปนจํานวนมากเม่ือถึงเวลา รบั ประทานอาหาร ถาไมรบั ประทานอาหาร ใหตรงเวลาน้ำยอยจะกดั เนื้อเย่ือในบรเิ วณกระเพาะไดเชนกัน อาจจะทาํ ใหเกิดเปนแผลในกระเพาะอาหารได วธิ ที ่ีจะชวยปองกนั ไดก็คอื ดื่มน้ำสะอาดใหมากๆ และ รับประทานอาหารใหตรงเวลา งดรบั ประทานอาหารที่มีรสจัด 2.4 ลาํ ไสเล็ก มลี กั ษณะเปนทอกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยูในชองทองตอนบน ปลายบน เชอ่ื มกบั กระเพาะอาหาร สวนปลายลางตอกับลาํ ไสใหญหนาทีส่ าํ คญั ของลําไสเลก็ คือ ยอยอาหารตอจากกระ เพาะอาหาร จนอาหาร มีขนาดเล็กพอท่ีจะดูดซมึ เขาสูกระแสเลอื ด เพือ่ นําไปเลย้ี งสวนตางๆ ของรางกาย 2.5 ลาํ ไสใหญ เปนอวัยวะที่อยูในระบบทางเดินอาหาร ลาํ ไสใหญของคนมีความยาวประมาณ 1.5 เมตร เสนผานศูนยกลางประมาณ 6 เซนตเิ มตร แบงออกเปน3สวน คือ (1) กระเปาะลําไสใหญ เปนลาํ ไสใหญสวนแรก ตอจากลาํ ไสเลก็ ทาํ หนาท่รี ับกากอาหารจากลาํ ไส เลก็ (2) โคลอน (Colon) เปนลําไสใหญสวนทยี่ าวท่สี ดุ ประกอบดวยลาํ ไสใหญขวา ลาํ ไสใหญกลาง และ ลําไสใหญซาย มหี นาท่ดี ดู ซมึ นํ้าและพวกวติ ามนิ บี12 ที่แบคทีเ่ รียในลาํ ไสใหญสรางข้ึน และขับกากอาหารเขาสู ลาํ ไสใหญสวนตอไป (3) ไสตรง เมอ่ื กากอาหารเขาสูไสตรงจะทาํ ใหเกดิ ความรูสกึ อยากถายขนึ้ เพราะความดนั ในไสตรง เพ่มิ ขนึ้ เปนผลทําใหกลามเนือ้ หรู ดู ทีท่ วารหนกั ดานใน ซ่ึงจะทาํ ใหเกดิ การถาย อจุ จาระออกทางทวารหนักตอไป หนาที่ของลําไสใหญ (1) ชวยยอยอาหารเพียงเล็กนอย (2) ถายระบายกากอาหาร ออกจากรางกาย

(3) ดูดซึมนำ้ และสารอเิ ลค็ โตรลยั ต เชน โซเดียม และเกลือแรอื่น ๆ จากอาหารท่ีถูกยอยแลว ทเี หลอื อยูใน กากอาหาร รวมทัง้ วิตามนิ บางอยางทส่ี รางจากแบคทีเรยี ซึ่งอาศยั อยูในลาํ ไสใหญ ไดแก วิตามนิ บรี วม วิตามินเค ดวยเหตุน้ีจึงเปนชองทางสาํ หรบั ใหนำ้ อาหารและยาแก ผูปวยทางทวารหนักได (4) ทําหนาท่ีเกบ็ อจุ จาระไวจนกวาจะถึงเวลาอนั สมควรทจ่ี ะถายออกนอกรางกาย 1.5 ไต เปนอวยั วะสวนหนงึ่ ในระบบขับถาย จะขับถายของเสียจากรางกายออกมาเปนน้ำปสสาวะ ไตของ คนเรามี 2 ขาง มรี ปู รางคลายเมล็ดถวั่ แดง ยาวประมาณ 12 เซนตเิ มตรอยูตดิ ผนังชองทองดานหลังตํ่ากวา กระดูกซโี่ ครงเล็กนอย หนาท่ีสําคัญของไต คือ กรองของเสยี ออกจากเลอื ดแดง แลวขบั ของเสียออกนอกรางกายในรูปของป สสาวะ เร่อื งท่ี 3 การดูแลรกั ษาปองกัน ความผิดปกติของอวัยวะสาํ คญั ของรางกาย อวัยวะภายนอก และภายใน การดแู ลรักษาปองกนั ความผดิ ปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวยั วะภายนอกและภายในมี ความสาํ คัญของรางกาย จําเปนตองดแู ลรักษาใหสามารถทํางานไดตามปกติ เพราะถาอวัยวะสวนใดสวนหน่งึ เกิด ความบกพรองหรือเกิดความผิดปกติ ระบบการทํางานนั้นก็จะบกพรองกจ็ ะบกพรองหรือผดิ ปกตดิ วย มวี ิธกี ารง าย ๆ ในการดูแลรกั ษาอวยั วะตาง ๆ ดงั น้ี 1. การดแู ลรักษาตา ตามคี วามสําคญั ทาํ ใหมองเหน็ สิ่งตางๆ จงึ ควรดูแลรกั ษาตาใหดดี วยวธิ ี ดงั ต อไปน้ี 1. ไมควรใชสายตาจองหรือเพงสิ่งตางๆ มากเกนิ ไป ควรพกั สายตาโดยการหลบั ตา หรอื มองออกไปยังทีก่ วางๆ หรือพ้ืนทส่ี เี ขยี ว 2. ขณะอานหรอื เขยี นหนังสือ ควรใหแสงสวางอยางเพียงพอ และควรวางหนงั สือใหหางจากตา ประมาณ 1 ฟุต 3. ไมควรอานหนงั สือขณะอยูบนยานพาหนะ เชน รถ หรือรถไฟท่ีกาํ ลงั แลน 4. ดโู ทรทศั นใหหางจากจอภาพไมนอยกวา 3 เทา ของขนาดจอภาพ 5. เมื่อมฝี ุนละอองเขาตา ไมควรขยี้ตา ควรใชวธิ ีลืมตาในน้ำสะอาด หรือลางดวยน้ำยาลางตา 6. ไมควรใชผาเช็ดหนารวมกบั ผูอนื่ เพราะอาจติดโรคตาแดงจากผูอ่นื ได 7. หลีกเลย่ี งการมองบรเิ วณที่แสงจา หรอื หลีกเล่ียงสถานที่ที่มีฝุนละอองฟุงกระจาย 8. อยาใชยาลางตาเมื่อไมมีความจาํ เปน เพราะตามธรรมชาติน้ำในเปลือกตาทําหนาทล่ี าง ตาดี ทสี่ ุด 9. บรหิ ารเปลอื กตาบนและเปลือกตาทกุ วันดวยการใชนวิ้ ช้รี ดู กดไปบนเปลอื กตาจากควิ้ ไปทาง หางตา 2. การดูแลรกั ษาหู

หูมคี วามสาํ คญั ตอการไดยิน ถาหผู ดิ ปกตจิ นไมสามารถไดยนิ เสียงตางๆ การทํากิจกรรมใน ชีวิตประจําวนั กไ็ มราบรืน่ เกิดอปุ สรรค ดงั น้ันจงึ ควรดแู ลรกั ษาหใู หทําหนาท่ีใหดีอยูเสมอ 1. หลกี เล่ียงแหลงที่มเี สียงดังอึกทกึ ถาหลกี เลย่ี งไมไดควรปองกันตนเอง โดยหาอุปกรณมา อุดหูหรอื ครอบหู เพอ่ื ปองกันไมใหแกวหฉู กี ขาด 2. ไมควรแคะหูดวยวสั ดุใดๆ เพราะอาจทาํ ใหหอู ักเสบเกดิ การติดเชื้อ 3. เมอ่ื มีแมลงเขาหู ใหใชน้ำมันมะกอก หรือน้ำมนั พาราฟลหยอดหู ท้ิงไวสักครแู มลงจะตาย แลวจึงเอยี งหใู หแมลงไหลออกมา 4. ขณะวายน้ำ หรืออาบน้ำ พยายามอยาใหนำ้ เขาหู ถามนี ้ำเขาหูใหเอียงหูใหนำ้ ออกมาเอง 5. เมอื่ เปนหวดั ไมควรสัง่ น้ำมูกแรงๆ เพราะเช้ือโรคอาจผานเขาไปในรูหู เกิดอักเสบ ติดเชอื้ กลายเปนหนู ้ำหนวก และเมื่อมีส่ิงผดิ ปกตเิ กิดขึ้นกับหู ควรปรกึ ษาแพทย 3. การดูแลรกั ษาจมกู จมูกเปนอวัยวะรับสมั ผัสท่มี ีความสําคญั ทาํ ใหไดกล่นิ และหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ เขาสู ปอด ควรดูแลรกั ษาจมูกใหทาํ หนาที่ไดตามปกติดวยวธิ ีดังน้ี 1. หลกี เล่ียงบรเิ วณทม่ี ฝี ุนละอองฟุงกระจาย 2. ไมควรแคะจมูกดวยวสั ดุแข็ง เพราะอาจทําใหจมูกอักเสบ 3. ไมควรส่งั น้ำมูกแรงๆ ถาเปนหวัดเร้อื รัง ไมควรปลอยทิง้ ไว ควรปรึกษาแพทย 4. ถามคี วามผดิ ปกติเกิดขน้ึ กบั จมกู ควรปรึกษาแพทย 4. การดูแลรกั ษาปากและฟน 1. ควรแปรงฟนใหถูกวิธหี ลงั อาหารทุกมื้อ หรอื ควรแปรงฟนอยางนอยวันละ 2 ครงั้ 2. ไมควรกดั หรอื ฉีกของแขง็ ดวยฟน และควรพบทนั ตแพทยเพอื่ ตรวจฟนทุก 6 เดือน 3. ออกกาํ ลังเหงือกดวยการถู นวดเหงือก ตอนเชา และกลางคืนกอนนอน โดยการอม เกลือ หรือเกลอื ปนผสมสารสมปนประมาณ 5 นาที แลวนวดเหงือก 4. รับประทานผกั ผลไมสดมากๆ และหลีกเลีย่ งรบั ประทานลกู อม ชอ็ คโกแลตและขนม หวานๆ 5. การดูแลรกั ษาผวิ หนงั 1. อาบน้ำอยางนอยวนั ละ 2 ครง้ั หลงั จากอาบน้ําเสร็จ ควรเชด็ ตวั ใหแหง 2. สวมเสอื้ ผาที่สะอาด ไมเปยกช้นื และไมรัดรปู จนเกินไป 3. รบั ประทานอาหารท่ีมีประโยชนและด่ืมน้ํามากๆ ออกกําลังกายอยางสม่ำเสมอหลกี เล่ยี ง แสงแดดจา และระมดั ระวงั ในการใชเครื่องสําอาง 4. เม่อื ผิวหนงั ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย 6. การดแู ลรกั ษาปอด มีขอควรปฏบิ ตั ิดังน้ี 1. ควรอยูในสถานทีท่ ี่มีอากาศบรสิ ุทธิถ์ ายเทไดเสมอ หลีกเลี่ยงอยูในสถานที่ทีม่ ฝี งู ชนแออัด

2. ควรหายใจทางจมกู เพราะในจมูกมขี นจมูกและเยื่อเสมหะซงึ่ จะชวยกรองฝุนละออง และ เชื้อโรคไมใหเขาไปในปอด หลกี เลีย่ งการหายใจทางปาก 3. ไมควรนอนควา่ํ นานๆ จะทาํ ใหปอดถูกกดทับทาํ งานไมสะดวก 4. ไมควรสบู บุหรี่ เพราะจะสงผลใหเปนอันตรายตอปอด 5. ควรน่ังหรอื ยนื ตวั ตรง ไมควรสวมเสือ้ ผาทรี่ ดั แนน เพราะจะทําใหปอดขยายตวั ไมสะดวก 6. ควรรักษารางกายใหอบอนุ เพ่อื ปองกันการเปนหวดั 7. ควรบริหารปอด ดวยการหายใจยาวๆ วันละ 5-6 ครงั้ ทุกวัน ทาํ ใหปอดขยายตัวไดเต็มท่ี 8. ควรระวงั การกระทบกระเทือนอยางรุนแรงจากภายนอก เชน หนาอก แผนหลงั เพราะจะ กระทบกระเทือนไปถึงปอดดวย 9. ควรพักผอนใหเตม็ ที่ การออกกาํ ลงั กายหรอื การเลนใดๆ อยาใหเกินกําลงั หรอื เหน่อื ยเกนิ ไป เพราะจะทําใหปอดตองทํางานหนักจนเกนิ ไป 10. ควรตรวจสขุ ภาพ หรอื เอก็ ซเรยปอดอยางนอยปละ 1 ครัง้ 7. การดแู ลรกั ษาหวั ใจ มีวิธีการปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1. ควรออกกําลังกายสม่ำเสมอ เหมาะสมกับสภาพรางกาย และวยั ไมหักโหมเกนิ ไปจะทาํ ให หัวใจตองทาํ งานมาก อาจเปนอนั ตรายได 2. ไมดม่ื นำ้ ชา กาแฟ สบู บุหรี่ ด่ืมสรุ าหรือเคร่ืองดื่มท่ีมสี ารกระตุน เพราะมีสารกระตุน ทําให หวั ใจทาํ งานหนกั จนอาจเปนอันตรายแกกลามเนือ้ หวั ใจได 3. ไมรับประทานยา ท่จี ะกระตุนในการทํางานของหัวใจโดยไมปรึกษาแพทย 4. การนอนควํ่า เปนเวลานานๆ จะสงผลทาํ ใหหัวใจถกู กดทับทํางานไมสะดวก 5. ไมควรนอนในสถานที่อากาศถายเทไมสะดวก หรือสวมเสอ้ื ผาที่รดั รูปจนเกินไป จะทาํ ใหระบบ การทํางานของหัวใจไมสะดวก 6. ระมัดระวงั ไมใหหนาอกไดรบั ความกระทบกระเทือน เพราะอาจเปนอันตรายกับหวั ใจได 7. ไมควรวติ กกงั วล กลัว ตกใจ เสียใจมากเกินไป เพราะจะสงผลตอการทํางานของหัวใจ 8. ไมควรรบั ประทานอาหารทมี่ ีไขมนั และนํ้าตาลมากเกินไป เพราะจะทําใหเกดิ ไขมันเกาะภายใน เส้นเลือดและกลามเน้ือหัวใจ ทําใหหวั ใจตองทาํ งานหนักข้นึ จะเปนอนั ตรายได 9. เมื่อเกิดอาการผดิ ปกติของหวั ใจ ควรปรึกษาแพทย 8. การดูแลรักษากระเพาะอาหารและลําไส ควรปฏิบตั ิดังน้ี 1. ควรรบั ประทานอาหาร ที่มีประโยชน ไมแข็ง ไมเหนียว หรือยอยยาก หรอื มรี สจดั เกินไป เพราะทําใหกระเพาะอาหารทํางานหนกั หรอื ทาํ ใหเกิดเปนแผลได 2. ควรใหรางกายอบอุน ในเวลานอนตองสวมเสื้อผาหรือหมผาเสมอ เพอื่ มใิ หทองรับความเย็น จนเกินไป จนอาจเกิดอาการปวดทอง 3. ควรควบคมุ อารมณ เพราะความเครียด ความวติ กกังวล กท็ ําใหกระเพาะอาหารหลง่ั น้ำยอยออก มามาก

4. เคีย้ วอาหาร ใหละเอียดกอนกลนื และไมรีบรับประทาน เพราะจะทําใหอาหารยอยยาก 5. ไมควรสวมเสอื้ ผาคบั หรอื รัดเขม็ ขัดแนนเกินไป จะทาํ ใหกระเพาะอาหารทาํ งาน ไมสะดวก 6. ไมควรรับประทานจุบจิบ เพราะจะทําใหกระเพาะอาหารตองทาํ งานอยูเสมอไมมี เวลาพัก 7. ควรรบั ประทานอาหารใหเปนเวลา ไมปลอยใหหิวมาก หรอื รบั ประทานอาหาร มากเกนิ ไป จะ ทําใหกระเพาะอาหารตองทาํ งานหนัก หรอื เกดิ อาการอาหารไมยอย แนนทองได 8. ไมรบั ประทานของหมักดอง จะทําใหเกิดอาการทองเสยี หรือทองรวงได 9. ปฏิบตั ิตนตามหลักสขุ นิสัยทด่ี ี โดยรักษาความสะอาดมอื ภาชนะและอาหรที่รบั ประทานเพ่ือป องกนั เชื้อโรคจะเปนอันตรายตอกระเพาะอาหารได 10. ควรรบั วคั ซนี ปองกันโรค เมื่อเกิดโรคติดตอระบาดในชมุ ชน เชน อหิวาตกโรค บดิ พยาธติ างๆ ทอ้ งรวง 9. การดูแลรักษาไต ควรปฏบิ ตั ดิ งั นี้ 1. ควรรบั ประทานอาหาร นำ้ เกลอื แร ใหเหมาะสมตามสภาวะของรางกาย 2. ควรหลีกเลย่ี งการใชยาหรือรับประทาน ยาท่ีมีผลเสียตอไต เชน ยาซลั ฟา ยาแกปวด และแก อกั เสบตอเน่ืองเปนเวลานาน 3. ไมควรกลนั้ ปสสาวะเอาไวนานๆหรือสวนปสสาวะ 4. ผทู มี่ ีอาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหติ สงู ควรรกั ษาเพราะจะสงผล กระทบตอการ ทาํ งานของไต 5. เมอื่ เกิดอาการผิดปกติท่สี งสยั วาจะเปนโรคไต เชน เทา ตัว หรอื หนาบวมปสสาวะเปนสีคล้ํา เหมือนสนี ้ําลางเน้ือ หรอื ปสสาวะบอยผดิ ปกติ ควรปรึกษาแพทย 6. ควรตรวจสขุ ภาพ ตรวจปสสาวะ อยางนอยประจาํ ปละ 1-2 ครง้ั

ใบงานท่ี ๑ ใหน้ ักศึกษาจงตอบคำถามดังต่อไปนี้ 1. ใหผเู รียนแบงกลุมศกึ ษาพัฒนาการของมนุษยตามวัยตางๆ แลวใหแตละกลุมอภปิ ราย นาํ เสนอผลงานแตละกลุม …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………….. 2. ใหผเู รียนเปรียบเทยี บความแตกตางท่ีเกดิ ขึน้ ในแตละวัย และชวยกันสรปุ ผล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………. 3. ใหผเู รียนบอกความแตกตางของการดแู ลรักษาอวยั วะภายในและภายนอกพรอม อภิปรายวิธกี ารปองกันและดูแลรกั ษา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ช่ือ…………………………………… สกุล………………………… ระดับ………………………….กศน.ตำบล………………………

บทที่ 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรุน การคุมกาํ เนิดและโรคติดตอทางเพศสัมพันธ เรื่องท่ี 1 พฒั นาการทางเพศของวยั รุน วยั รนุ ชวงอายุระหวาง 8 -18 ป เปนวยั ทีร่ างกายเปลีย่ นจากเดก็ ไปเปนผูใหญ เรยี กวาวัยรุนหรอื วยั เจรญิ พันธุ มกี ารเปลี่ยนแปลงเกดิ ขน้ึ หลายอยางท้งั ทางรางกายและจิตใจ โดยมีฮอรโมนเปนตวั กระตุน การท่ีจะ บอกใหแนชัดลงไปวา เด็กชายและเดก็ หญิงเขาสูวัยรุนเม่ือใดน้นั เปนเร่ืองคอนขางยาก เพราะเด็กทัง้ สองเพศ นอกจากจะแตกเน้ือหนุมสาวไมพรอมกนั แลว คนแตละคนในเพศเดยี วกนั กย็ ังแตกเน้ือหนุมสาวไมพรอมกนั อีกด วย แตพอจะกลาวโดยท่วั ไปไดวา เดก็ หญิงจะเขาสูวยั รุนในอายรุ ะหวาง 13 - 15 ป และเดก็ ชายจะเริ่มเม่ืออายุ 15 ป โดยเด็กหญงิ จะมีอตั ราการเจริญเตบิ โตทางดานรางกายในชวงนีเ้ ร็วกวาเด็กชายประมาณ 1 - 2 ป แต ทง้ั นข้ี ึน้ อยูกบั ลกั ษณะหรือแบบแผนการเจริญเติบโตของแตละคน ฮอรโมนเพศ หญิงและชายเมอ่ื เขาสูชวงวัยรุน ตอมไฮโปเตลามัส (Hypothalamus) ซง่ึ เปนตอมเล็กๆ ในสมอง เร่มิ สงสัญญาณผานตอมใตสมองพทิ ูอิตารี(Pituitary gland หรือ Master gland) ซง่ึ เปนตอมไรทอที่ สาํ คญั ทสี่ ุดของรางกายเพราะมหี นาทผี่ ลติ ฮอรโมนท่ีแตกตางกัน เพ่ือไปกระตุนและควบคมุ การทํางานของ อวยั วะตางๆ รวมถึงอวัยวะที่เก่ยี วกับเพศคือรังไขสําหรับผูหญิงในการผลิต ฮอรโมนเพศ เอสโทรเจน (Estrogen) และลูกอัณฑะสาํ หรบั ผูชายผลิตฮอรโมนเพศ เทสทอสเทอโรน (Testosterone) ฮอรโมนเอสโทรเจน และฮอรโมนเทสทอสเทอโรน ซ่งึ เปนฮอรโมนเพศนี้ ทําใหรางกายวัยรุนเจ ริญเติบโตอยางรวดเรว็ มีไขมันและกลามเนื้อเพม่ิ ข้นึ ตัวสงู ข้ึน มขี นขนึ้ บรเิ วณอวัยวะเพศรกั แรและสวนตางๆ ของรางกาย มีกลนิ่ ตวั มสี วิ ผูหญงิ จะมีสะโพกผาย ตนขา หนาอกและกนใหญข้ึน และมีประจาํ เดือน สวนผูชาย เสยี งจะแตกหาว ฝนเปยกและทง้ั หญงิ ชายจะเรมิ่ มคี วามรูสึกตองการ ทางเพศ หรือ มีอารมณเพศ นอกจากการเปลยี่ นแปลงทางรางกายแลววยั รุนหญิงชายยังมกี ารเปล่ียนแปลงทางดานจติ ใจ อารมณ และความรูสึกโดยเริ่มมคี วามสนใจ หรือความรูสึกพึงพอใจเปนพเิ ศษตอบางคนทอ่ี าจเปนทั้งเพศเดียวกนั และตาง เพศ วยั รุนเปนวยั ที่รางกายมคี วามพรอมในการผลิตเซลลเพศเพื่อการสืบพันธุคนทว่ั ไปจึงตัดสินการเขาสูวัยรุน โดย พิจารณาจากการมีประจําเดือนครง้ั แรก (เด็กหญิงราว 13 ป) และการหลง่ั น้ำอสจุ คิ ร้งั แรก (เด็กชายอายุ ประมาณ11 ป) แตปรากฏการณทัง้ สองไมคอยแนนอนนัก เชน การหลง่ั น้ำอสจุ ิอาจเกิดชากวาการเปลีย่ นแปลง ทางรางกาย ดานอ่นื ๆ สําหรับการมาของประจําเดือนครง้ั แรกของเด็กหญิงกเ็ ชนกัน การสุกของไข (ไขตก) ในบางคนอาจไมมี ความสมั พันธกับการมปี ระจาํ เดือนเสมอไป และการตกไขฟองแรกๆ อาจไมทําใหเกิดประจาํ เดือนกเ็ ปนได รวมทัง้ การมีประจาํ เดือนคร้งั แรกอาจเกิดขึน้ กอนหรือหลังการเปลี่ยนแปลงของรางกายสวนอนื่ ๆ เม่ือเขาสูวัยรุ นแลว ไดเป็นเวลานาน การมปี ระจําเดอื นคร้งั แรก

ขณะแรกคลอดรงั ไขของเด็กหญิงจะมีไขทยี่ งั ไมเจรญิ อยูแลวหลายพันใบ เมื่อนบั จากชวงวัยรุนเปนต นไป ทุกๆ 28วนั จะมไี ข1 ใบท่เี จริญเตม็ ที่แลวหลุดออกมาเขาสูทอนาํ ไข เรียกวา การตกไขขณะเดยี วกนั เย่ือบุ โพรงมดลูกจะมหี ลอดเลอื ดงอกมาหลอเล้ยี งมากมาย เพ่ือเตรียมรับไขทผี่ สมกับอสุจิ หากไมไดรับการผสม เย่ือบุ โพรงมดลกู จะลอกหลุดออกมาเปนเศษเน้ือเย่ือและเลือดไหลออกมาทางชองคลอด เรยี กวา ประจาํ เดือน อายุ ของเด็กหญงิ ทป่ี ระจําเดือนมาคร้ังแรกยอมแตกตางกนั สวนมากจะมอี ายุ 12-13 ป แตบางคนอาจเร่ิมต้ังแต อายุ 10 ป บางคนก็ลาชาไปถงึ 16 ป ซง่ึ ยังไมนบั วาเปนเรื่องผิดปกติ การฝนเปยก การหลง่ั น้ำอสจุ นิ น้ั จะเริ่มเกิดขึน้ ในชวงอายุประมาณ 11 ป แตก็อาจเกิดขนึ้ เร็วหรือชากวานีด้ ังท่ี กลาวมาแลวขางตน ข้ึนอยูกับแตละคน การฝนเปยกเปนลกั ษณะทางธรรมชาตขิ องเด็กผูชายทแ่ี ตกเนื้อหนุม เมอื่ รางกายผลติ น้ำอสจุ ิและเกบ็ สะสมไว เม่อื มีปริมาณมากเกนิ ไป รางกายจะขบั ออกมาตามกลไกธรรมชาติ มัก เกดิ ขน้ึ ในชวงท่ีกําลังฝนโดยอาจนกึ ถงึ สง่ิ ที่กระตุนอารมณทางเพศ เม่ือต่นื ขึน้ มากพ็ บวามีของเหลวเปยกชนื้ ตรงเป ากางเกงนอน หรือเปอนบนท่ีนอน จงึ เรียกวา “ฝนเปยก” หรอื อีกกรณีการเลนตอสูกบั เพ่ือนๆ อาจปลกุ เราและ กระตุนองคชาตได จะทาํ ใหน้ำอสุจิเลด็ ลอดออกมาตามธรรมชาติ ทเ่ี รียกวา “การหลั่งอยางไมรตู วั ” ท้ังนี้ เดก็ ชายแตละคนอาจมีความถใ่ี นการฝนเปยกแตกตางกนั ตง้ั แตไมเคยฝนเปยกเลยจนกระท่ังสปั ดาหละหลายๆ ครง้ั จงึ ไมควรถือเร่ืองนี้เปนเร่ืองความผดิ ปกติทางเพศของวัยรุนชาย น้ำอสจุ ิเปนของเหลวสขี าวขุน ประกอบ ดวยตัว อสุจแิ ละสารคดั หลง่ั จากต่อมลกู หมากและตอมพักตัวอสจุ ิ ซง่ึ จะถูกขบั ออกมาพรอมกันผานทางทอนาํ อสุจิ ในน้ำ อสจุ ิเพยี งหยดเดียวจะมสี เปรมหรอื ตวั อสุจปิ ระมาณ 1,500 ตวั ขณะทผ่ี ูชายถงึ จุดสุดยอด จะหลง่ั น้ำอสจุ ิ ออกมาประมาณ 1 ชอนชา ซ่งึ มีอสุจิอยูถึง 300 ลานตวั และเชือ้ อสุจิเพียงหนง่ึ ตวั กส็ ามารถเขาไปผสมกบั ไขได เม่ือมี เพศสมั พันธแบบสอดใสวยั รุนชายจะมอี สจุ ทิ ่ีสมบูรณเมื่ออายุราว13 -14 ป การจดั การอารมณเพศ หรือการชวยตวั เอง วยั รนุ หญิงชายตางกเ็ รม่ิ มีความรูสกึ หรืออารมณทางเพศเพ่ิมมากข้นึ ตามลาํ ดับ (วัยรุนเปนวัยทีม่ ีความ รสู ึกทางเพศสงู สุด) การชวยตวั เอง เปนวิธกี ารจดั การเพ่อื ผอนคลายอารมณเพศ ซ่ึงเปนเร่อื งปกติธรรมดาของทัง้ หญิงและชาย โดยการลบู คลําอวยั วะเพศของตนเองจนถึงจุดสดุ ยอด แตละคนอาจมี วิธีการแตกตางกนั ไป การตั้งครรภ เกิดขนึ้ จากการมเี พศสมั พันธระหวางชายและหญิง เมอื่ มีการหลงั่ นา้ํ อสจุ ใิ นชองคลอด ตัวอสจุ ิจะวาย เขา้ ไปในมดลูกจนถึงทอนําไข และพบไขของฝายหญงิ พอดี กจ็ ะเกดิ การผสมระหวางอสจุ ิกับไขหรือทีเ่ รียกวา “การปฏิสนธิ”แตถาไมมีไข อสจุ ิจะตายไปเองภายในเวลา 2 -3วนั เรอ่ื งท่ี 2 การดแู ลสขุ ภาพเบือ้ งตนในวัยรุน วิธีการดูแลผวิ หนาใหสะอาดเพอื่ ลดการมีสวิ การลางหนาดวยน้ำสะอาดเพยี งอยางเดียว และซบั หนาใหแหงอยางเบามอื เปนการถนอมผวิ ที่ไดผลดี เป็นวิธีทแ่ี พทยผวิ หนังแนะนําใหใช เพือ่ ลดการระคายเคืองแตการลางหนาดวยสบูหรือครมี ลางหนาบอยคร้ัง ซึง่ จะไปชะลางไขมันที่ผิวสรางขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อผวิ แหงตึง ก็จะกระตุนใหตอมไขมันยงิ่ ทาํ งานมากข้ึน การทาํ ความสะอาดอวยั วะเพศหญิง

ใหลางจากดานหนาไปดานหลังดวยสบูและนำ้ สะอาด ไมจําเปนตองใชสเปรยหรอื น้ำยาลางทําความ สะอาดชองคลอดอีก เนื่องจากชองคลอดมีระบบทําความสะอาดตามธรรมชาติอยูแลว บางคนใชแลวอาจเกิด อาการระคายเคอื งจากสารเคมเี หลาน้นั เพราะผิวบริเวณนั้นบอบบางมาก ระหวางมีประจําเดือน ควรเปล่ียนผ าอนามยั ทุก 2 -3 ชั่วโมงเพื่อปองกนั กลิน่ การทําความสะอาดอวยั วะเพศชาย ที่บริเวณใตหนงั หุมปลายของผูชายจะมีเมือกขาวเหลืองขุนๆ เรยี กวา ‘ขี้เปยก’ ซงึ่ ทาํ ใหมีกล่นิ การล างทาํ ความสะอาดอวยั วะเพศชายจงึ ตองดงึ หนังหุมปลายอวัยวะเพศขน้ึ เพื่อทาํ ความสะอาดบรเิ วณสวนหวั ของ อวัยวะเพศ (ถาหนังหุมปลายตึงเกนิ ไป ใหคอยๆ ดึงข้นึ ทลี ะนอยในระหวางอาบน้ำโดยใชสบูชวย) อาการผิดปกติบริเวณอวยั วะเพศ เชน คนั ในชองคลอด ตกขาวมากจนผิดสงั เกต อวัยวะเพศมกี ลิ่นเหม็นมาก มีสีผดิ ไปจากเดิม หรอื เวลาปัสสาวะแลวรสู ึกเจบ็ เหมือนปสสาวะไมสุด สามารถขอคําปรึกษาจากหนวยงานที่ใหบริการดานสุขภาพ วยั รุน หรอื คลกิ เขาไปท่ีคลินิกสขุ ภาพ www.teenpath.netกลน่ิ ตวั เมอื่ เขาสูวัยรุน ตอมไขมนั จะผลติ ความมนั ออกมาตามรขู ุมขนเพิม่ ขึ้น ตอมเหงอ่ื กเ็ ชนกนั ผลติ เหงื่อ ออกมามากโดยเฉพาะเวลาว่งิ เลน เดินเร็วในอากาศรอน เหงื่อออกมาจากรเู ปดของตอมเหงื่อซง่ึ อยูไมหางจากรู เปิดขุมขนมากนักเม่ือท้ังความมันและนา้ํ เหง่ือไหลซึมออกมาจากรูเปดบนผิวพรรณสักระยะเวลาหนงึ่ และมสี ภาพ แวดลอมที่อับชน้ื นานพอเหมาะ บรรดาเชื้อจลุ นิ ทรยี ตางๆ ที่อาศยั อยูตามธรรมชาตบิ นผวิ พรรณเราก็จะพากัน เจริญเตบิ โตแพรพนั ธุออกมาจํานวนมาก พรอมทั้งสงกลิ่นเหมน็ อับออกมาเปนกลน่ิ ตัวแรงๆ นอกจากน้นั อาหารประเภท เครือ่ งเทศ กระเทียม ทเุ รียน ซึ่งเปนอาหารที่มีกล่นิ แรงอาจระเหย ออกมาจากลมหายใจ ขับถายออกมาทางตอมเหง่ือ ตอมไขมัน ตอมกลน่ิ หรอื เปนบอเกิดในการสราง สารประกอบมีกลิน่ ไดแลว จึงปลดปลอยออกมาทางชองระบายของรางกายไดอีกทอดหน่ึง รวมทัง้ รองเทาหุมสน รองเทาผาใบ ลวนเปนบอเกิดของกล่ินเหม็นอับไดเชนกนั วธิ ีการทําความสะอาดดวยการอาบน้ำ ฟอกสบูทกุ ครัง้ ทม่ี เี หง่ือออกมาก โดยเฉพาะผูท่มี ผี วิ มันตอง หมน่ั สระผม ถรู กั แรซง่ึ เปนจดุ อับทีม่ ักสงกล่ินรุนแรงเสมอดวยสารสมเปนวิธีพนื้ บานท่ีไดผลดี เร่ืองท่ี 3 การคุมกําเนดิ การแสวงหาขอมลู เกี่ยวกบั วธิ กี ารคุมกาํ เนดิ ถอื เปนการแสดงความรับผิดชอบทั้งตอตวั เองและคนที่ เรามคี วามสัมพันธดวย มคี นจํานวนมากยงั เช่ือวาเรื่องเพศเปนเรื่องนาอาย ทาํ ใหไมกลาหาความรูในเร่อื งนีอ้ ย างเปดเผย จงึ สงผลใหขาดความรู หรือมคี วามเช่ือท่ผี ดิ ๆ จนสงผลตอสุขภาพทางเพศ ทั้งทีก่ ารมีขอมูลถกู ตอง รอ บดานและเพียงพอในเรื่องเพศจะชวยใหทกุ คนมีทางเลอื กท่เี หมาะสมท่ีสุดกบั เงอื่ นไขของตนเองเมอ่ื ตองตัดสนิ ใจ ในเรือ่ งเพศ เช่น การสอื่ สารกับคู/คนรอบขาง การมเี พศสมั พนั ธท่ปี ลอดภยั ฯลฯ วิธีการคุมกําเนิดแบบตางๆ ถงุ ยางอนามยั • มหี ลายขนาด ควรเลอื กขนาดท่ีเหมาะสมกับอวัยวะเพศ ควรดวู นั ผลิต หรือวันหมดอายุกอนการใช

• ใชสวมเมอ่ื อวยั วะเพศแข็งตวั โดยใหบบี ปลายถุงยางอนามยั เพ่อื ไลลมขณะสวม เริม่ สวมจากตรง ปลายอวยั วะเพศรูดเขาหาตัว แลวรูดใหสดุ โคนอวัยวะเพศ • เมือ่ เสรจ็ กจิ ใหถอดถุงยางอนามัยขณะทอ่ี วัยวะเพศยังแข็งตัว โดยจบั ท่ีขอบถุงยางและคอยๆรูดออก หากปลอยใหอวยั วะเพศออนตัวในชองคลอดอาจทาํ ใหถงุ ยางอนามัยหลดุ ได • ในขณะนี้ ถงุ ยางอนามยั เปนวธิ คี มุ กําเนิดแบบช่ัวคราวทม่ี ีประสทิ ธภิ าพในการคุมกําเนิดและสามารถ ป้องกันการตดิ เช้ือเอชไอวี รวมทงั้ โรคติดตอทางเพศสัมพันธอ่นื ๆ เชน เรมิ หูดหงอนไก หนองใน ซิฟลสิ แผลริมอ อน ไปพรอมกนั ได ยาเม็ดคุมกาํ เนิดทัว่ ไป • ยาคุมกาํ เนดิ ชนิดเม็ดมี 2 แบบคือ แบบ 21 เม็ด และแบบ 28 เม็ด ซ่ึงมีประสิทธภิ าพไม แตกตางกัน • ยาคุมชนดิ 28 เม็ด เมด็ ยาทเี่ พม่ิ ขึน้ มา 7 เมด็ เปนวิตามินที่ชวยใหกนิ ยาตอเนอ่ื งโดยไมลืม • วธิ กี ารกินยาคุมแผงแรก ใหเริ่มกินเม็ดแรก • สาํ หรบั ยาคมุ 21 เมด็ เมื่อกนิ หมดแผง ใหเวนไป 7 วนั แลวจึงเร่ิมแผงใหม สวนยาคมุ 28 เม็ดให กินแผงใหมติดตอไปไดเลยภายใน 5 วันแรกของการมปี ระจาํ เดอื น แลวกนิ ติดตอกนั ทกุ วัน วนั ละ 1 เมด็ จนหมด แผง • ออกฤทธ์คิ ุมกาํ เนิดโดย 1)ยับยัง้ ไมใหมกี ารเจริญเติบโตของไข และปองกันไขตก 2) ทาํ ใหเยื่อบุโพรง มดลกู บางลงไมเหมาะแกการฝงตวั ของตวั ออน 3) ทําใหมกู ท่ปี ากมดลูกเหนยี วขนไมเหมาะแกการใหอสจุ ิ เคล่ือนผานเขาไปในโพรงมดลูก 4) เปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นไหวของทอนําไข ทําใหไขทีผ่ สมแลวเดนิ ทางไปถงึ มดลูกเรว็ เกนิ ไปจนไมสามารถฝงตวั ได • ถาลมื กนิ 1 วนั ใหกนิ 2 เม็ดในวันถัดไป • ถาลืมกนิ 2 วนั ใหกนิ 2 เม็ดในวันท่สี าม และอกี 2 เม็ดในวนั ที่ 4 • ถาลมื กนิ 3 วันข้ึนไป ควรหยุดกินยาคุมแผงน้ันไปเลย และใชวิธคี ุมกําเนิดชนิดอนื่ ไปกอน เชน ใช ถงุ ยาง แลวจงึ เริ่มกนิ แผงใหมในการมีประจาํ เดือนรอบถัดไปหากเริ่มกนิ เปนครงั้ แรก ตองกินไป 14 วนั แลวจึง จะมผี ลต่อการปองกันการต้ังครรภ หากมเี พศสัมพันธในชวงเวลาดังกลาว ควรใชถงุ ยางอนามยั ควบคูไปดวย • แมผูหญิงจะเปนคนกนิ ยาคุม แตผูชายควรมสี วนรวมในการชวยเตอื นใหกนิ ยาตอเนื่องยาเมด็ คุมกาํ เนิดแบบฉุกเฉิน • ตองกนิ 2 เม็ด จงึ มีประสิทธิภาพในการคุมกําเนิด • เม็ดแรกกินทนั ทหี รือภายใน 72 ชัว่ โมง (สามวนั ) หลงั การมเี พศสัมพันธ ประสิทธิภาพจะข้ึนกบั เวลา ที่กนิ ภายหลังการมีเพศสมั พันธ หากกนิ ไดเรว็ เทาไร ความสามารถในการปองกันการต้งั ครรภก็จะสงู ขึ้นเทาน้ัน เมด็ ทสี่ อง • หากกินถูกวิธี มปี ระสิทธิภาพปองกนั การตัง้ ครรภ กนิ หางจากเมด็ แรก 12 ช่วั โมง • การกนิ ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธภิ าพต่ำกวาวธิ ีคุมกําเนดิ แบบปกติทัว่ ๆ ไป 75% ดังนนั้ ควรใชใน กรณี ฉกุ เฉนิ เทานัน้ ไมควรใชเปนวิธีการคุมกําเนดิ ประจํา

การนับระยะปลอดภยั หรอื นับหนา 7 หลัง 7 เปนวธิ คี มุ กาํ เนดิ แบบธรรมชาติ วธิ นี ้ีใชไดผลเฉพาะผูหญงิ ที่มรี อบเดือนมาสม่ำเสมอเทานั้นซึ่งไมเหมาะ กบั วยั รุน ซึง่ รางกายยังอยูในชวงฮอรโมนเพศปรบั ตัว อาจมีรอบเดือนไมสม่ำเสมอการนบั หนาเจ็ดหลงั เจด็ ใหใช “วนั แรก”ของการมีประจําเดือน นบั เปนวนั ท่ี 1 หนาเจ็ดคือ นบั ยอนขึน้ ไปใหครบเจ็ดวนั สวนหลงั เจ็ด ใหนับตอจากวันแรกท่มี ีประจาํ เดือนไปใหครบ 7 วนั การหลัง่ ขางนอก การหล่ังขางนอก เปนวธิ ีการคุมกาํ เนิดแบบธรรมชาติ ไดผลไมแนนอน เพราะขณะท่ีสอดใสฝายชาย จะมนี ้ำคัดหล่ังจํานวนหน่งึ ออกมากอน ซ่งึ จะมีอสุจปิ ะปนอยูดวย ตวั อสุจินัน้ สามารถวายไปผสมกับไข การตั้ง ครรภจึงเกิดขน้ึ ไดกอนผูชายจะหล่งั น้ำอสจุ ิภายนอกเสียอีก นอกจากน้นั การหลง่ั ภายนอกยังเปนวิธกี ารที่ข้ึนอยูกบั ฝายชาย โดยทฝ่ี ายหญิงไมสามารถควบคุมได เลย - การกนิ ยาคมุ กาํ เนิดชนิดเม็ด ยาคุมกาํ เนดิ แบบฉุกเฉนิ การนับวนั และการหลั่งขางนอกลวนเปนวธิ ี คุมกําเนิดท่ไี มสามารถปองกนั การติดเช้อื เอชไอวี และเชื้อโรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธ - ถงุ ยางอนามยั เปนวิธเี ดยี วท่ชี วยปองกันการตั้งครรภ ปองกนั การตดิ เชอื้ เอชไอวี และเชอื้ โรคติดตอทางเพศสมั พันธ เร่อื งท่ี 4 วิธีการสรางสมั พันธภาพทดี่ รี ะหวางคนในครอบครัว ครอบครัว หมายถึง กลุมคนตัง้ แต 2 คนข้นึ ไปมาเก่ียวพันกัน และสืบสายเลือด ไดแก พอ แมลูก และอาจมญี าติ หรือไมใชญาติมาอาศยั อยูดวยกนั ซง่ึ ถือเปนสมาชิกครอบครัว เชนกัน มคี วามรัก มีความผูกพัน ซ่งึ กนั และกนั ครอบครัวมีหนาท่หี ลอหลอม ขัดเกลาสมาชิกในครอบครวั ใหเปนคนดี รูระเบยี บและกฎเกณฑของ สังคม อีกท้งั ยังสรางความเปนตัวตนของทุกคน เชน ลักษณะนิสยั ความคิด ความเช่ือ ความสนใจเปนตน การสรางสัมพันธภาพในครอบครวั ความขดั แยงระหวางพอแมและลูกเปนเร่ืองทเ่ี กิดขึน้ เสมอ เพราะความแตกตางของวยั และประสบ การณ ความหวงใยของพอแมทปี่ รากฏผานการวากลาว ตกั เตอื น หามปราม ใหความรูสกึ ไมไวใจและกังวลเกิน ความจําเปนตอลูกโดยเฉพาะลกู ทอ่ี ยูในวัยรุนเปล่ียนพฤติกรรม เนอื่ งจากพอแมใชประสบการณของตนมาคาด เดาถึงผลท่อี าจเกดิ ขนึ้ เมื่อเห็นการกระทําของลูก การตาํ หนิจึงมกั มาพรอมกบั ทาทีขนุ เคือง โมโห บน ทําใหดู เหมือนวาพอแม ชอบใชอารมณ ไมใชเหตุผล ไมคอยยอมรบั ส่งิ ทเี่ ปนอยูของลกู วยั รุนความตองการของตัวเองเปนท่ีต้ัง ไมพยายาม เขาใจอีกฝายหน่ึงวาตองการอะไร ยอมทาํ ใหเกดิ ความขัดแยงกัน การหาทางออกจึงตองเริ่มจากตัวเองกอนใน การเปดใจมองหาความหมายที่อีกฝายพยายามสอ่ื สารผานการกระทาํ ซงึ่ เราอาจไมชอบใจ การเขาใจความหมาย ทีแ่ ทจริงจะชวยใหเกิดการส่ือสารระหวางกนั ไมตดิ กับอารมณและทาทีของกันและกัน

การเรยี นรถู งึ ความแตกตางของวยั และประสบการณของทง้ั สองฝาย จะชวยสรางความเขาใจลดข อขัดแยง และสื่อสารกันไดมากขนึ้ ปจจัยท่ชี วยสงเสริมใหมสี ัมพันธภาพทดี่ ีตอกนั ไดแก • การชมเชยหรือชนื่ ชมอยางเหมาะสม • การตเิ พือ่ กอ • การแกไขความขัดแยงในเชิงสรางสรรค การชมเชยหรือช่ืนชม คนสวนใหญไมวาจะอยูในครอบครัวหรืออยูในสังคมภายนอกครอบครัว มักจะไมคอยช่ืนชมหรือ ชมเชยกัน พอแมสวนใหญเชอ่ื วาถาชมลกู บอยๆ เดก็ จะเหลงิ อาจกลายเปนคนไมดีไดทาํ ใหพอแมไมชมเมื่อลูก กระทําส่ิงทด่ี ีหรอื มพี ฤติกรรมในลักษณะทเ่ี ปนสง่ิ ท่ีพอแมตองการ จึงทาํ ใหเด็กขาดกําลงั ใจ ขาดน้ำหลอเล้ียง จติ ใจคนเราโดยทวั่ ไปตองการคาํ ชมเชย โดยการชมเชยท่จี ะสรางเสริมสมั พนั ธภาพใหดีควรมี ลกั ษณะดงั น้ี • ชมพฤตกิ รรมท่เี พิ่งเกดิ ขนึ้ ใหมๆ • การชมควรเนนทพ่ี ฤติกรรมทีท่ ําไดดี และชมทีละ 1 พฤตกิ รรม • บอกความรูสึกของเราตอพฤตกิ รรมนัน้ อยางจริงใจ • ชมเฉพาะสง่ิ ท่ีควรชม • ไมชมมากเกนิ กวาความเปนจริง ตวั อยาง เชน ลกู บอกกบั แมวา “วนั นี้ แมทาํ กบั ขาวอรอยมาก ทําใหกนิ ไดมาก ลูกรูสึกมคี วามสุข ภูมใิ จท่ีมี แมทํากับขาวอรอย” แมบอกกบั ลูกวา “วนั นี้แมรสู กึ ภมู ิใจทลี่ กู ชวยลางชามในตอนเยน็ ไดสะอาดเรยี บรอยดีมาก โดยทแี่ มไมตองเรียกใหทํา การตเิ พ่ือกอ คนสวนใหญ ไมชอบฟงคําติ การติติงท่ีไมเหมาะสม มักจะทาํ ใหเกิดผลเสยี หายตามมา เชน เกดิ การ ทะเลาะกันได แตการตใิ นเชิงสรางสรรคกม็ ปี ระโยชน และสามารถเสริมสรางสมั พนั ธภาพทด่ี ีได โดยมลี กั ษณะดังน้ี • ตองแนใจวา เขาสนใจที่จะรบั ฟงคาํ ติ และพรอมท่ีจะรบั ฟง • เรอื่ งทจี่ ะติ ตองเปนเรือ่ งทเี่ พ่ิงเกดิ ข้นึ ไมใชเกดิ ข้ึนเมอื่ นานมาแลว • สิง่ ทีจ่ ะติ ตองเปนส่งิ ทเี่ ปลย่ี นแปลงได • พดู ถึงพฤติกรรมท่ีติใหชดั เจน เปนรปู ธรรม • บอกทางแกไขไวดวย เชน ควรทําอยางไรใหดีข้ึน • รกั ษาหนาของผูรับคําตเิ สมอ เชน ไมสมควรตติ อหนาคนอน่ื • เลือกเวลาและจงั หวะท่ีเหมาะสม เชน ผูรับคําตมิ ีอารมณสงบหรอื แจมใส ไมตใิ นชวงทีม่ ี อารมณโกรธ

ตัวอยาง เชน หากพอหรือแมตองการติลูกวัยรุนในเรือ่ งการคุยโทรศัพทนาน ควรเลือกเวลาทีล่ ูกมีอา รมณสงบ พรอมท่ีจะรับฟง และพดู ติในเชิงสรางสรรควา “วนั นลี้ ูกคยุ โทรศัพทกับเพ่อื นมานาน 2 ชัว่ โมงแลวแมคดิ วาลกู ควรหยดุ คุยโทรศัพทไดแลว และหนั มาทาํ การบาน อานหนงั สือแลวเขานอน จะดีกวาไหม”การแกไขความขดั แยงในเชิงสรางสรรค หนทางในการแกไขปญหา เมือ่ เกดิ ความขัดแยงในครอบครัวคือ การส่ือสารทด่ี ีซ่งึ ตองอาศัย ทกั ษะและความสามารถ ดงั ตอไปนี้ • แสดงความปรารถนาอยางแนวแนทีจ่ ะรวมกนั รักษาความสัมพันธท่ีดีตอกันไว • มุงม่ันเชิงสรางสรรค เปนไปในทางการปรึกษากนั • ใหความสาํ คญั และตง้ั ใจฟงความคิดเหน็ ของอกี ฝายหนึง่ • แสดงความคิดเห็นของเราใหชัดเจนและสือ่ สารใหอกี ฝายหนึง่ ไดรับทราบ • ไมถือวาการยอมรับความคิดเหน็ ของผูอื่นเปนเร่ืองแพหรือเปนเร่อื งที่เสียหาย • ยอมรบั ฟงความคดิ เห็นของกันและกนั • หลกี เลย่ี งการใชอารมณ ขู คุกคาม ด้ือรั้น • ชวยกันเลือกหาทางออกที่ยอมรบั ไดทั้ง 2 ฝาย ตัวอยางการแกไขความขัดแยงระหวางคสู มรส • คูสมรสทง้ั 2 คนจะตองเปดใจรบั ฟงกนั กอนโดยการพูดทีละคน และรบั ฟงกันโดยพูดใหจบประโยคหรือจบ ประเด็นทลี ะคน และรบั ฟงใหเขาใจวาอีกคนตั้งใจจะสื่ออะไรใหทราบ • ถาฝายหนง่ึ พูดแทรกในขณะที่อกี คนพูดไมจบประเด็น ก็จะทาํ ใหส่ือสารกนั ไมได • ถาคนหนึง่ หรือทั้ง 2 คน โกรธ โมโห ขมขกู จ็ ะย่ิงทําใหไมสามารถแกไขความขัดแยงไดตองหลกี เล่ียงการใชอา รมณ พยายามพูดคยุ กันดวยอารมณที่สงบ และตงั้ ใจฟงความคิดเหน็ ของอีกฝายหนึ่ง • ทายที่สดุ ชวยกนั เลือกหรอื ตัดสนิ ใจมองหาทางออกที่ทงั้ คูยอมรบั ไดเร่ืองท่ี 5 การสื่อสารเรอื่ งเพศในครอบครัว พอแมท่ีมลี กู กาํ ลงั เปนวัยรุน ลวนพบปญหาเดียวกนั คือ “พูดกบั ลูกไมคอยจะรูเรื่อง คยุ กันไดแปบๆ กข็ ัดคอกัน ทะเลาะกนั แลว” ชวงเวลาแหงการเชือ่ ฟง ไมวาพอแมพดู อะไร ลกู ก็ เออ ออ หอหมกไปดวยไดหมดไปแลวเมื่อ ลูกยางเขาสูวัยที่กําลังจะเริ่มเปนหนุมเปนสาว และยงิ่ ยากมากข้นึ เม่ือหวั ขอของการพดู คุยเกี่ยวกับความประพฤติ ทพ่ี อแมเปนหวง เพราะลูกกําลังจะเปนหนุมเปนสาวน่เี องเพราะไมเคยมใี ครสอนเราซ่ึงเปนพอแมมากอนวาตอง คุยกบั ลูกยังไง ดังน้ัน เมื่อเกดิ ความไมสบายใจ กงั วลใจกบั พฤติกรรมของลกู เราจึงมักเลือกวธิ ีเดยี วกบั ท่ีพอแม ปฏิบัติกับเราเมื่อเราเปนเด็ก คือเงยี บ บน หรอื ดาวา ซ่งึ วธิ ีการเหลาน้นั เปนการสรางกาํ แพงระหวางเรากับลูกให ย่ิงสูงข้นึ และยากตอการปนปายขาม โดยเฉพาะเมือ่ เปนเร่ืองเพศ ซ่งึ เปนเรอ่ื งที่หลายครอบครวั ไมเคยเอยปาก สนทนาเมอ่ื อยดู วยกันพรอมหนาลองเรมิ่ ตนจากการตอบคําถามตัวเองกอน การกอบกชู วงเวลาดีๆ ทเี่ คยมีเม่ือตอนลกู ยังเปนเด็กเล็กๆ ใหกลับมาแมลกู จะเขาสูวยั รุนแลวเป นเรื่องที่ทําได แตตองอาศัยการฝกฝน ทําบอยๆ และแมจะยากเพยี งใด ก็เปนเรื่องที่พอแมควรตองเรยี นรู ตองฝ

กการพูดคุยกับลูกดวยทาทีที่แสดงใหลกู เหน็ ถึงความรกั ความหวงใย และสรางความไววางใจ เพราะผลดจี ะ ตกอยูทล่ี ูกของเรา เม่ือความสัมพนั ธในครอบครัวดขี ึ้น กอนจะเริ่มตนคยุ กบั ลกู ลองทบทวน ถามตัวเองในใจวา • มีเรอื่ งอะไรบางท่ีเราพูดไดอยางสบายใจ • มเี รื่องอะไรทเ่ี หน็ ๆ อยูตําตา แตไมเคยพูดเลย • มเี รือ่ งอะไรท่ีเปนความลับสดุ ยอดของครอบครวั ซ่ึงตองปดไว ไมสามารถเปดเผยไดจรงิ ๆ เพราะจะสงผลกระ ทบถงึ สมาชิกในครอบครวั • มคี วามลบั อะไรในครอบครัวทีเ่ กีย่ วของกบั เร่ืองศาสนา • มีศลี ธรรม จริยธรรมขอไหนบางทเ่ี ราไดแตพดู แตทาํ ตามไมได เรือ่ งท่ี 6 ปญหาทีเ่ กย่ี วของกบั พฒั นาการทางเพศของวัยรุน เมื่อรางกายเจริ ญเตบิ โตเขาสูวัยรุนหญิงและชายมีการเปลีย่ นแปลงหลายดานทงั้ ทางรางกายจิตใจ สงั คม และพฒั นาการทางเพศ ซงึ่ เปนพฒั นาการตามธรรมชาติของมนษุ ย การเปล่ียนแปลงทส่ี ําคัญคือในผูชายมี การฝนเปยก และใ นผูหญิงมีประจําเดือนซึง่ หมายถึงภาวะทน่ี ําไปสูการต้งั ครรภไดพัฒนาการทางร างกายนี้มี ความจําเปนท่แี ตละบคุ คลตองดแู ลสขุ อนามยั สวนบุคคลและเขาใจกลไก การสืบพันธุของรางกายเพอ่ื ท่ีจะดํารง อยูไดประจาํ เดือน การตง้ั ครรภ และการแทง ผูหญิงมีประจําเดือนไดอยางไร การมีประจําเดือน หรอื ระดู (Menstruation) เป นกระบวนการทางธรรมชาติ ทีเ่ กิดขึน้ ในสตรโี ดย รงั ไขจะผลิตไขขึน้ มาทกุ เดือนเมอื่ ไขสุกรางกายเตรียมพรอมเพ่ือรองรับไขที่อาจถูกผสมโดยเชื้ออสุจิของฝายชาย โดยผนังมดลกู จะเกิดการเปล่ียนแปลงถาไมมีการผสมระหว างไขและเชื้ออสจุ ิของ อยางมสี ุขภาวะที่ดี ฝายชาย ผนังมดลูกจะลอกหลุดออกมาเปนเลอื ดทเี่ รยี กวา “ประจาํ เดื อน” กระบวนการท้ังหมดกินเวลา ประมาณ 28 วั น หรอื คลาดเคลื่อนมากหรือนอยกวา 7 วนั และมกั จะมีครั้งละ 3 – 7 วนั จํานวนเลือด ทีอ่ อกมาในแตละ เดอื นประมาณ 30 – 80 มิลลลิ ิตร เมอ่ื รางกายของผูหญิงเรมิ่ มกี ารเปล่ยี นแปลงจากเดก็ หญิงเขาสูวัยสาว นอกเหนือจากการ เปลย่ี นแปลงทางสรีระภายนอกแลว การเปลี่ยนแปลงทส่ี ําคัญอีกอยางหนง่ึ คอื การมปี ระจําเดือนน่ันเองเด็กผู หญงิ จะเรม่ิ มปี ระจาํ เดือนคร้ังแรกในอายรุ าว 11 – 15 ป การมปี ระจําเดือนครั้งแรกจะชาหรอื เร็วขน้ึ กบั พัฒนาการของสมองกรรมพนั ธุและสุขภาพกายและใจของคนๆ นนั้ ในชวงป แรกๆ ทมี่ ีประจาํ เดือนใหม ๆ และ ในวยั ใกลหมดประจาํ เดอื นรอบเดอื นมักจะไมสม่ำเสมอและบางเดือนอาจไม มีการตกไขและโดยเฉล่ยี แลววัย หมดประจาํ เดือนจะเกดิ ขึ้นเมื่อมีอายุประมาณ 45 – 50 ป ซง่ึ เปนเวลาท่ีรงั ไขหยดุ สรางไขออกมา วงจรการเกิดประจาํ เดอื น การตกไขชวงประมาณกึง่ กลางของรอบเดอื นตอมใตสมองจะหลั่งฮอรโมนออกมาตวั หนงึ่ ซึ่งมผี ล ทาํ ใหรังไขปลดปลอยไขออกมาเพ่ือรอการผสม หลังจากตกไขหลังจากไขตกกจ็ ะเคล่ือนไปตามทอนําไข ไปสู มดลูก ขณะเดยี วกันรังไขก็เร่ิมผลิตฮอร โมน เพื่อทําใหผนังมดลกู เริ่มสรางตวั ใหหนาข้ึน ขณะเดยี วกันกม็ ีเลือด มาหลอเลี้ยงมดลูกมากข้ึนและพร อมทจ่ี ะรองรับไขทอ่ี าจถูกผสมระหวางมปี ระจาํ เดือน เมื่อไขเดนิ ทางมาถึง มดลกู และไม ไดรบั การผสมซงึ่ อาจเปนเพราะไม ไดมีเพศสัมพันธหรอื มีเพศสัมพันธโดยมีการปองกันการตง้ั ครรภระดับฮอรโมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดลง อยางรวดเรว็ ทําใหผนังมดลูกหลดุ ลอกออกกลายเป นประจาํ เดือนโดยปกติผูหญงิ จะมีประจําเดือน อยูในชวง 3 - 5 วัน หลงั จากหมดประจาํ เดือน หลงั จากหมด

ประจาํ เดือน ฮอรโมนจากตอมใตสมองในกระแสเลือด ก็เริ่มกระตุนใหไขในรงั ไขเจรญิ ข้ึน ขณะเดยี วกนั ฮอรโมน จากรังไขกเ็ ริ่มกระตุนการสรางตวั ของผนังมดลกู

ใบงานคร้ังที่ ๒ ให้นกั ศึกษาจงตอบคำถามดงั ต่อไปน้ี ๑.ให้นกั ศกึ ษาอธบิ ายการพฒั นาการทางเพศของวยั รนุ่ มาพอเข้าใจ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………. ๒.ใหน้ กั ศึกษาบอกปัญหาทเี่ กิดขนึ้ จากการเปลยี่ นแปลงทางอารมณ์และจติ ใจของวยั รุ่น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………… ๓. ยาคมุ กาํ เนิดชนิดเมด็ มีก่แี บบ แบบใดบ้าง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ชื่อ…………………………….……………………สกุล……………………………………………ระดบั ……………………………………

บทที่ ๓ การดูแลสุขภาพ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ เป็นมติ ิหน่ึงทางสขุ ภาพที่มีความสำคญั มากที่จะชว่ ยใหเ้ ราดำรงชีวิตอยู่อย่าง ปกติสุข ในการส่งเสริมสขุ ภาพจะต้องมีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั ความหมายของมิตสิ ุขภาพ เข้าใจหลกั และวิธี ปฏิบัติในการสง่ เสรมิ สขุ ภาพ เพ่ือนำไปสกู่ ารปฏบิ ัติในการส่งเสริมสุขภาพไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ความหมายของสุขภาพและการสง่ เสรมิ สุขภาพ สขุ ภาพ หมายถึง ภาวะแห่งความสมบูรณแ์ ละความสมดลุ ของบคุ คลทั้งรา่ งกาย จิตใจ อารมณแ์ ละ สงั คม รวมท้ังสภาวะท่ปี ราศจากโรคและความพิการ และการใช้ชีวิตอยรู่ ว่ มกบั คนอ่ืนในสังคมอยา่ งปกติสุข การมี สุขภาพดีเปน็ สิง่ ที่แสดงให้เห็นถงึ การมีคุณภาพชีวิตที่ดอี นั เป็นผลมาจากการมีพฤตกิ รรมสุขภาพที่ดี รวมท้ังการมี ปฏสิ ัมพันธก์ ับสภาพแวดลอ้ มได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม ขอบเขตของสขุ ภาพ จากความหมายของสุขภาพดังกลา่ ว ข้างตน้ แสดงใหเ้ หน็ ว่าคนและส่ิงแวดลอ้ มมีความสัมพนั ธก์ ันซงึ่ นำไปสสู่ ภาวะสุขภาพ การส่งเสรมิ สขุ ภาพเป็นมิติหนงึ่ ของสขุ ภาพ หมายถึง การกระทำของบุคคลเพื่อให้มีสุขภาพดีทัง้ ทางด้านรา่ งกาย จติ ใจ และสังคม การดูแลสุขภาพตนเองเพ่ือส่งเสรมิ สขุ ภาพ และสมรรถภาพทางกาย การดแู ลสขุ ภาพตนเอง เปน็ กระบวนการท่บี คุ คลกระทำกจิ กรรมต่างๆ ที่เป็นการส่งเสรมิ สขุ ภาพ การป้องกันการเกดิ โรคและการเจ็บป่วย การรกั ษาอาการผิดปกตแิ ละการเจบ็ ป่วย การดแู ลสขุ ภาพตนเองแบง่ ออกเป็น 3 ลกั ษณะ คือ 1. การดแู ลสขุ ภาพตนเองในภาวะปกติ 2. การดูแลสุขภาพตนเองเม่ือรู้สกึ ว่าผิดปกติ 3. การดูแลสุขภาพตนเองเม่ือเจ็บปว่ ยและไดร้ ับการกำหนดวา่ เปน็ ผปู้ ่วย ประโยชนข์ องการส่งเสริมสุขภาพ 1. มสี ขุ ภาพดที ั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสงั คม ทำใหด้ ำรงชวี ติ อยูร่ ว่ มกับคนอื่นในสงั คมได้อยา่ งสขุ 2. โอกาสเกิดโรค การเจ็บปว่ ย และความผิดปกตติ ่างๆมนี ้อยมาก 3. ไมเ่ สียเวลาในการเรียน เนื่องจากไม่เจ็บป่วย 4. ไม่เสยี ค่าใชจ้ ่ายในการรักษาอาการเจบ็ ปว่ ยตา่ งๆ 5. มพี ฒั นาการทางด้านรา่ งกายเป็นไปตามปกติ ลักษณะของผู้มภี าวะสขุ ภาพกายทีด่ ี 1. สภาพร่างกายมีความสมบูรณแ์ ข็งแรง 2. อวยั วะต่างๆท้ังภายในและภายนอกรา่ งกายสามารถทำงานได้ตามปกติ 3. ร่างกาย ไมท่ ุพพลภาพ 4. ความเจรญิ ทางด้านรา่ งกายเป็นไปตามปกติ 5. ร่างกายไดร้ บั การพักผ่อนอยา่ งเพียงพอ

ลักษณะของผ้มู ีภาวะสขุ ภาพจิตท่ดี ี 1. มอี ารมณ์ม่นั คง และสามารถควบคมุ อารมณไ์ ด้ดี 2. มีความตง้ั ใจและกระตอื รือร้นในการทำงาน ไมย่ ่อท้อเหน่ือยหน่ายหรือหมดหวังในชีวิต 3. มีความสดช่นื เบกิ บาน แจม่ ใส ไมเ่ ครียด ไม่มคี วามวิตกกังวลใจจนเกนิ ไปมีอารมณ์ขนั บา้ งตามสมควร 4. มคี วามรู้สกึ ตอ่ ผู้อื่นในแงด่ ี มองโลกในแงด่ ี 5. รู้จักตนเองดีและมคี วามเข้าใจผูอ้ น่ื ดีเสมอ 6. มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความเชื่อม่นั ในตนเองอยา่ งมีเหตุผล 7. สามารถปรับตวั เขา้ กบั สงั คมและส่งิ แวดล้อมได้ดี 8. กล้าเผชิญกบั ปญั หา และสามารถตัดสนิ ใจแกป้ ัญหาได้อย่างรวดเร็วและถกู ต้อง 9. มีการแสดงออกอย่างเหมาะสม เมื่อมคี วามสะเทือนใจ 10. สามารถแสดงความยนิ ดีต่อผูอ้ ื่นอยา่ งจรงิ ใจเม่อื ประสบความสุข ความสมหวงั หรอื ความสำเร็จ โดยธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ เมือ่ เกดิ ปญั หาต่างๆ ขึ้น ในชวี ิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเองเป็น อนั ดับแรกเมอ่ื รูว้ ่า ไม่สามารถแก้ปญั หาได้เอง กจ็ ะแสวงหาความชว่ ยเหลอื จากผอู้ นื่ ในเร่อื งความเจบ็ ป่วย หรอื ปญั หาสขุ ภาพกเ็ ช่นเดียวกัน ทกุ คนตอ้ งการทจี่ ะดแู ลตนเอง ใหม้ ีสุขภาพดีอยู่ เสมอ ดังนั้น กลา่ วได้วา่ \"การดแู ลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมทีบ่ ุคคลแตล่ ะคนปฏบิ ตั ิ และยดึ เปน็ แบบแผนใน การปฏบิ ตั ิ เพื่อให้มีสขุ ภาพดี\" อาจแบง่ ขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลกั ษณะคือ 1. การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ เป็นการดูแลสขุ ภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มสี ขุ ภาพแขง็ แรง สมบรู ณ์อยู่เสมอ ได้แก่ การ ดูแลสง่ เสริมสุขภาพ เพ่ือใหส้ ุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การ สร้างสขุ วทิ ยาส่วนบุคคลท่ีดี ไมด่ ่มื สุรา ไม่สูบบุหรี่ หลกี เลี่ยงจากสงิ่ ทเี่ ป็นอันตรายต่อสขุ ภาพ - การป้องกนั โรค เพ่ือไม่ใหเ้ จ็บปว่ ยเปน็ โรค เช่น การไปรบั ภมู ิคุ้มกันโรคตา่ งๆ การไปตรวจสุขภาพ การปอ้ งกนั ตนเองไมใ่ หต้ ิดโรค 2. การดูแลสุขภาพตนเองเม่ือเจ็บปว่ ย การดูแลสขุ ภาพตนเอง ให้มีสขุ ภาพสมบรู ณ์ และแข็งแรงอยูเ่ สมอ จะตอ้ งปฏบิ ัติกิจกรรม ในด้านการ ส่งเสรมิ สขุ ภาพอย่างสมำ่ เสมอ ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักสุขบัญญตั ิ 10 ประการ และสำรวจสุขภาพตนเอง ดังน้ี 1. ดูแลรกั ษารา่ งกาย และของใชใ้ ห้สะอาด • อาบนำ้ ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครง้ั การรกั ษาอนามยั ของดวงตา ดวงตาเปน็ อวัยวะสำคญั เราควรหวงแหน และใหค้ วามเอาใจใส่ ควรปฏิบตั ดิ งั นี

• อ่าน หรอื เขียนหนังสือในระยะหา่ งประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสวา่ งเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือ ตรงข้ามกบั มือทถ่ี นัด หากรู้สึกเพลยี สายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ช่วั ครู่ • ดโู ทรทศั น์ในระยะหา่ งอยา่ งน้อย 1 เมตรครึง่ • บำรุงสายตาด้วยการรบั ประทานอาหารท่ีมีคณุ ค่า เช่น มะละกอสกุ ฟักทอง และผักบุ้ง เปน็ ต้น • ใสแ่ วน่ กันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในท่ีๆ มีแสงสว่างมากเกินไป • ตรวจสายตาอยา่ งนอ้ ยปีละ 1 ครั้ง โดยแผน่ ทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผดิ ปกติ ใหพ้ บจกั ษุ แพทย์ เพอ่ื ตรวจสอบ และประกอบแวน่ สายตา • การรักษาอนามัยของหู หูเป็นอวยั วะท่สี ำคัญอยา่ งหนึ่งของร่างกาย ทจ่ี ะต้องเอาใจใส่ดแู ลใหถ้ กู ต้อง ดงั น้ี • เชด็ บรเิ วณใบหู และรหู ู เท่าทีน่ ้วิ จะเขา้ ไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขยี่ ใบหู รูหู • คนทมี่ ปี ระวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไมใ่ หน้ ้ำเข้าหูเด็ดขาด • หากมีนำ้ เข้าหู ใหเ้ อียงหูขา้ งน้ันลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรอื ใชไ้ ม้พนั สำลเี ช็ดบริเวณช่องหู ดา้ นนอก • ใส่เสื้อผา้ ทีส่ ะอาด ไม่อับชื้น และใหค้ วามอบอุ่นเพยี งพอ การรกั ษาความสะอาดของเส้ือผา้ เคร่อื งนุง่ หม่ และเคร่ืองนอนเปน็ สิ ่งสำคัญ เส้ือผา้ ท่ีใช้แลว้ ทง้ิ ชั้นนอก และชน้ั ใน ต้องมกี ารทำความสะอาดด้วยสบู่ หรอื ผงซักฟอกทกุ ครั้ง นำไปผงึ่ หรือตากแดดให้แห้ง ประการ สำคญั การสวมเส้อื ผา้ ต้อใช้ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพอากาศ ไม่ใส่เส้ือผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับช้นื เพราะ จะทำใหเ้ กดิ โรคผวิ หนังได้ 2. รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟนั ทุกวันอย่างถูกต้อง แปรงฟนั อย่างนอ้ ยวนั ละ 2 คร้งั หลกี เล่ียงขนมหวาน เช่น ลูกอม แปรงฟัน หรอื บ้วนปากหลงั รบั ประทานอาหาร ไม่ใช้ฟนั ขบเคีย้ วของแข็ง 3. ล้างมอื ใหส้ ะอาดก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถา่ ย ควรลา้ งมอื ให้สะอาดทุกครัง้ กอ่ นและหลงั การปรุงอาหาร รวมท้ังก่อนรับประทานอาหาร และหลงั การขับถ่าย เป็นการปอ้ งกันการแพร่เช้ือ และติดเชื้อโรคได้ ควรล้างมือใหถ้ ูกวธิ ี ดงั นี้ • ให้มือเปยี กน้ำ ฟอกสบู่ ถูให้ท่ัวฝ่ามือ ด้านหนา้ และด้านหลังมือ • ถูตามงา่ มน้วิ มือ และซอกเล็บใหท้ ่วั เพ่ือใหส้ ่งิ สกปรกหลุดออกไป พร้อมทั้งถูกข้อมอื • ล้างน้ำใหส้ ะอาด แล้วเฃ็ดมอื ให้แหง้ ดว้ ยผ้าท่สี ะอาด 4. รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอนั ตราย และหลีกเลีย่ งอาหารรสจัด สีฉดู ฉาด • เลือกซ้ืออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถงึ หลัก 3 ป. คือ ประโยชน์ ปลอดภยั ประหยัด • ปรงุ อาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใชเ้ คร่ืองปรงุ รสทถ่ี ูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก 3 ส. คอื สงวนคณุ ค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภยั • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพยี งพอต่อความต้องการของร่างกาย • รับประทานอาหารปรงุ สกั ใหม่ และใชช้ อ้ นกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน • หลกี เล่ียงการรับประทานอาหารสกุ ๆ ดบิ ๆ อาหารรสจัด อาหารใสส่ ีฉดู ฉาด • ดมื่ น้ำสะอาดอย่างน้อยวนั ละ 8 แกว้ 5. งดบุหร่ี สรุ า สารเสพย์ตดิ การพนัน และการสำส่อนทางเพศ

• ไม่เสพสารเสพยต์ ดิ ทุกชนิด เชน่ บุหร่ี สุรา ยาบา้ กญั ชา กาว ทินเนอร์ • งดเลน่ การพนันทกุ ชนิด • ไมม่ ว่ั สมุ ทางเพศ 6. สรา้ งความสัมพนั ธใ์ นครอบครัวให้อบอนุ่ • ทุกคนในครอบครวั ช่วยกนั ทำงานบ้าน • มกี ารปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นรว่ มกัน • การเผื่อแผน่ ้ำใจซ่งึ กนั และกัน • การทำบุญ และได้ทำกจิ กรรมสนุกสนานร่วมกนั 7. ป้องกนั อุบตั เิ หตุด้วยความำมป่ ระมาท • ดแู ล ตรวจสอบ และระมัดระวังอุปกรณเ์ ครอื่ งใช้ภายในบา้ น เชน่ ไฟฟา้ เตาแกส๊ ของมีคม ธูปเทยี นท่จี ดุ บชู าพระ และไม้ขีดไฟ • ระมดั ระวังเพื่อป้องกนั อบุ ตั ิภัยในทสี่ าธารณะ เชน่ การใช้ถนน โรงฝกึ งาน สถานทกี่ ่อสร้าง และชุมชนแออดั เปน็ ต้น 8. ออกกำลงั กายสม่ำเสมอ และตรวจสขุ ภาพประจำปี การออกกำลังกายชว่ ยใหร้ า่ งกายแขง็ แรง เจรญิ เตบิ โตสมวัย กระตุ้นให้กระดูกยาวขนึ้ และเขง็ แรงข้ึน ทำให้สูง สงา่ บคุ ลิกดี และยังชว่ ยผ่อนคลายความเครียด จากการทำงาน ตลอดจนเพิ่มภูมติ ้านทานแกร่ า่ งกาย โดย • ออกกำลังกายอย่างนอ้ ยสปั ดาห์ละ 3 วนั ครงั้ ละ 20-30 นาที • ออกกำลังกาย และเลน่ กฬี าให้เหมาะสมกับสภาพรา่ งกาย และวยั • ตรวจสอบสุขภาพประจำปีอย่างนอ้ ยปลี ะครั้ง 9. ทำจติ ใจใหร้ ่าเรงิ แจ่มใสอยู่เสมอ • พักผ่อน และนอนหลบั ใหเ้ พียงพอ • จดั สิง่ แวดล้อมท้ังในบา้ น และนอกบ้านใหน้ ่าอยู่ • มองโลกในแง่ดี ให้อภยั และยอมรบั ข้อบกพร่องของคนอื่น • เมือ่ มีปัญหาไมส่ บายใจ ควรหาทางผอ่ นคลาย ในทางท่ีถูกต้องเหมาะสม 10. มีสำนึกตอ่ สว่ นรวม ร่วมสรา้ งสรรคส์ ังคม ใชท้ รพั ยากร เช่น นำ้ ไฟ อย่างประหยัด หลีกเลย่ี งการใช้วสั ดุ อปุ กรณ์ทก่ี ่อให้เกดิ พิษต่อ สิ่งแวดล้อม เชน่ ถงุ พลาสติก โฟม ตลอดจนการร่วมมอื กนั รกั ษาความสะอาด และเป็นระเบียบของสถานท่ี ทำงาน และทพ่ี ัก เปน็ ตน้

ใบงานคร้ังท่ี ๓ ให้นกั ศึกษาจงตอบคำถามดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. สขุ ภาพ หมายถึง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………..... ๒.การดแู ลสุขภาพตนเองแบง่ เป็นกล่ี ักษณะ มีอะไรบ้าง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………….... ๓.ประโยชนข์ องการสง่ เสริมสุขภาพมีอะไรบ้าง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ช่ือ…………………………………………..สกลุ ………………………………………………..ระดับ……………………………………………

บทที่ ๔ โรคตดิ ต่อ เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) เปน็ ภาวะปว่ ยขน้ั สดุ ทา้ ยของการตดิ เชอื้ ไวรัสเอชไอวี (HIV) ท่ีไปทำลายเมด็ เลือดขาว ทำใหม้ ภี ูมิคุ้มกนั บกพร่องจนไมส่ ามารถต่อสู้กำจดั การติดเชื้อท่เี ข้าสู่ ร่างกาย จงึ เกดิ อาการเจบ็ ปว่ ยต่าง ๆ ซ่ึงนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ปจั จุบนั ยังไม่มีวิธีการใดรักษาเอดสใ์ ห้หายขาด มี เพยี งแตย่ าท่ชี ่วยชะลอการพัฒนาโรคและลดอตั ราการเสยี ชีวติ จากเอดส์ หากผตู้ ดิ เชอื้ รู้ตวั และไดร้ บั การรักษาแต่ แรกเร่มิ ก็อาจชว่ ยไม่ให้การติดเชอื้ เอชไอวีลุกลามไปสู่ระยะท่ีเป็นเอดส์ได้ ส่วนเชือ้ เอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV) เป็นเชอ้ื ไวรัสทน่ี ักวิทยาศาสตรเ์ ชอ่ื วา่ มที ี่มาจากลิง ชิมแปนซใี นทวปี แอฟริกา ซึ่งแต่เดมิ คือไวรสั เอสไอวี (Simian Immunodeficiency Virus: SIV) ท่ีมีการระบาด และพัฒนาสายพนั ธสุ์ ู่ HIV แลว้ แพรก่ ระจายมายงั มนษุ ย์ เชอ้ื เอชไอวีจะทำลายระบบภูมิคุ้มกนั ของร่างกาย ทำให้ระบบภมู ิคุ้มกนั ทำงานบกพร่อง ไม่สามารถ ตอ่ สปู้ อ้ งกันหรอื กำจดั การติดเช้ือได้ตามปกติ เสีย่ งต่อการป่วยโรคต่าง ๆ สามารถติดต่อกันไดผ้ ่านทางของเหลว ในรา่ งกายที่ติดเชอ้ื อยา่ งเลือด นำ้ อสจุ ิ หรอื ของเหลวในช่องคลอด โดยร่างกายจะไม่สามารถกำจดั เชอื้ เอชไอวี ออกไปได้ ไม่เหมือนไวรสั บางชนดิ ทท่ี ำใหป้ ว่ ยเปน็ ไข้หวัดและจะหายดเี มอื่ เวลาผ่านไป เพราะหากได้รับเชอื้ เข้าสู่ รา่ งกายแลว้ เชือ้ เอชไอวจี ะคงอย่ตู ลอดไป ประเทศไทยเปน็ หนงึ่ ในประเทศที่มสี ถานการณ์การแพร่ระบาดของเชอ้ื เอชไอวีทที่ ำใหเ้ ป็นเอดส์ โดย จากรายงานในปลี า่ สดุ ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบวา่ ตั้งแตป่ ี 2527-2557 ตลอด 30 ปีท่ีผ่านมามผี ู้ป่วยเอดส์เข้ารับการรกั ษาในสถานพยาบาลของทั้งภาครัฐและเอกชนทง้ั สน้ิ 388,621 ราย และมีผูป้ ่วยเสยี ชีวติ 100,617 ราย โดยในปถี ดั มา (ปี 2558) มีการคาดประมาณจำนวนผ้ปู ว่ ยเอดส์และติด เชอ้ื เอชไอวใี นประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งสิน้ ประมาณ 1,500,000 คน อาการของเอดส์ เอดส์เปน็ ภาวะปว่ ยขั้นสุดทา้ ยของการตดิ เชอื้ ไวรัสเอชไอวี ซงึ่ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกเริม่ ติดเชื้อ จะมีอาการ เช่น มีไข้ ปวดหวั เจบ็ คอ มผี น่ื ปวดตามกลา้ มเนื้อและขอ้ ต่อ ระยะอาการสงบ มักจะไม่มีอาการแสดงทเ่ี ดน่ ชัด หรือแทบจะไมม่ ีอาการปว่ ยเลย แต่ยังคงมเี ชื้อพัฒนา อยู่ภายในร่างกาย ระยะเอดส์ เป็นระยะที่ภมู คิ ุ้มกนั ถูกทำลายจนเสียหายหนกั ทำให้เกิดการติดเช้ือและเจบ็ ปว่ ยด้วยโรค ตา่ ง ๆ และเส่ยี งต่อการเสยี ชีวิต โดยเอดส์มีอาการสำคญั เชน่ มไี ข้อยตู่ ลอดเวลา เหนอ่ื ยล้า หมดแรง น้ำหนักลด มเี หงื่อไหลตลอดทั้งคนื ท้องร่วงเรอ้ื รัง มีฝ้าสีขาว หรอื แผลบริเวณล้ินและปาก สาเหตุของเอดส์ เอดส์เกดิ จากการตดิ เชื้อเอชไอวซี ึ่งเป็นเช้อื ไวรัสท่ีทำลายเมด็ เลือดขาว ทำใหร้ ะบบภูมคิ ุม้ กนั ทอี่ ยู่ในเม็ด เลอื ดขาวทำงานบกพร่อง โดยเชอื้ เอชไอวสี ามารถติดตอ่ กนั ไดผ้ า่ นทางการรบั ของเหลวอย่างเลอื ด และผา่ น

ทางการมเี พศสัมพนั ธ์กับผ้ทู ตี่ ิดเชื้อ การติดเชอื้ จากแมส่ ลู่ กู ผ่านการตั้งครรภ์ การคลอด การใหน้ ม การใช้เขม็ ฉีด ยาหรอื สิ่งของที่มีเลือดและของเหลวของผู้ทีต่ ิดเช้ืออยู่ เป็นตน้ การวนิ ิจฉยั เอดส์ การตรวจหาเชอ้ื เอชไอวีและเอดส์ทำได้ดว้ ยการเจาะเลอื ด ซง่ึ แบ่งเป็นการตรวจหาปริมาณ CD4 (CD4 Count) เปน็ การตรวจเซลล์เม็ดเลอื ดขาวท่ีอยู่ในเลือด เพ่อื ดูความเสยี หายท่เี กดิ จากไวรัสเอชไอวีทำลาย เม็ดเลือดขาว ซึง่ เปน็ ที่อยขู่ องระบบภมู คิ ุ้มกัน การตรวจหาปรมิ าณไวรสั ที่อย่ใู นเลือด (Viral Load: VL) และ การตรวจหาสารพนั ธกุ รรมของไวรัส (Nucleic Acid Test: NAT) การรกั ษาเอดส์ ในปจั จบุ ันไม่มยี าหรือวธิ กี ารรักษาใดทีจ่ ะกำจัดเชือ้ เอชไอวีใหห้ มดไปได้ มเี พียงแตย่ าทีจ่ ะช่วยชะลอ การพัฒนาของโรค คอื ยาตา้ นเอชไอวี หรอื ยาตา้ นรโี ทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) หากผู้ป่วยไดร้ บั ยาตัง้ แต่ ในระยะเริ่มแรกทไ่ี ดร้ บั เชอื้ ยาจะออกฤทธค์ิ วบคุมไม่ให้ไวรัสมีการแพรก่ ระจายและพัฒนาไปสกู่ ารเจบ็ ปว่ ยในขั้น ทร่ี นุ แรงอย่างเอดส์ โดยการรับประทานยา PEP (Post-exposure Prophylaxis) ซง่ึ เปรยี บเสมือนเปน็ ยาฉุกเฉนิ ท่ตี อ้ งรับประทานหลงั ได้รับเช้ือเอชไอวเี ข้าสูร่ ่างกาย ส่วนวิธีการใช้ยา ต้องรักษาด้วยการใชย้ าตา้ นร่วมกันหลาย ตวั (Antiretroviral Therapy: ART) ภาวะแทรกซ้อนของเอดส์ เนื่องจากเอดส์เป็นภาวะขั้นสดุ ท้ายของการตดิ เชอื้ เอชไอวี ระบบภมู ิคุ้มกนั ร่างกายของผู้ป่วยเอดสจ์ ะ ถูกทำลายเสียหายจนไม่สามารถต้านทานต่อโรคและการตดิ เชอ้ื ต่าง ๆ ได้ ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและโรคแทรก ซ้อนต่าง ๆ ได้งา่ ย เชน่ การติดเช้ือราทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยอื่ ปาก ลิ้น หลอดอาหาร หรือช่องคลอด การ ติดเชอ้ื ไซโตเมกะโลไวรัสทเ่ี ป็นอันตรายต่อดวงตา ระบบทางเดินอาหาร ปอด หรืออวยั วะอ่ืน ๆ วัณโรค ซ่ึงเปน็ การตดิ เชื้อแบคทเี รียอนั ตรายเร้อื รงั ท่ีทำลายอวยั วะ โดยเฉพาะปอดและระบบทางเดินหายใจ เป็นสาเหตสุ ำคญั ที่ ทำให้ผ้ปู ่วยเอดส์เสยี ชีวิตได้ ในระหว่างทีอ่ วัยวะส่วนตา่ ง ๆ ไดร้ ับความเสยี หายจากการเจบ็ ป่วย การตดิ เช้อื ท่ลี ุกลามเหล่านยี้ ัง สามารถสง่ ผลกระทบต่อระบบประสาทของผูป้ ว่ ยได้อีกดว้ ย ทำให้มีอาการอยา่ งการสับสนมึนงง หลงลืม ซึมเศร้า วติ กกังวล มีพฤติกรรมท่เี ปลีย่ นไป หรือมีการแสดงออกทางจติ ใจ อารมณ์ ความร้สู กึ ที่ลดลง การป้องกนั เอดส์ นอกจากจะสามารถปอ้ งกันการพฒั นาโรคหลงั ได้รับเชอ้ื ไม่ให้พฒั นาไปสู่ภาวะเอดสไ์ ดด้ ้วยการ รับประทานยาควบคุมอาการอยา่ งถูกต้องสม่ำเสมอแลว้ วธิ ีการสำคญั ในการป้องกันเอดส์ คอื ป้องกนั ไมใ่ ห้ได้รับ เช้ือเอชไอวีเขา้ สูร่ า่ งกาย หรือป้องกันไมใ่ ห้มีการแพร่กระจายตดิ ต่อไปยงั บคุ คลอนื่ เช่น การรบั ประทานยา PrEP เป็นการรับประทานยาเพอื่ ป้องกันการตดิ เชอื้ สำหรบั ผทู้ ่ีมีความเส่ยี งสงู ทจ่ี ะได้รบั เช้ือเอชไอวีเข้าสูร่ า่ งกาย ต้อง รบั ประทานยาทกุ วนั เพื่อลดโอกาสในการตดิ เชื้อ การป้องกันระมัดระวังในเรอ่ื งเพศสมั พันธ์ หากจำเปน็ ตอ้ งใช้ เขม็ ฉดี ยา ต้องใชเ้ ข็มทสี่ ะอาด และไม่ใช้เขม็ ฉดี ยาร่วมกบั ผู้อนื่ และหากคุณแม่ที่ตงั้ ครรภ์มเี ชอื้ เอชไอวี ต้อง ปรกึ ษาแพทยเ์ พ่ือรับยาหรือรักษาตามทแ่ี พทยแ์ นะนำอย่างเคร่งครดั

ใบงานที่ ๔ ให้นักศึกษาจงตอบคำถามดังตอ่ ไปนี้ ๑. เอดส์ หมายถึง …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………… ๒.จงบอกสาเหตุของโรคเอดส์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………… ๓.ให้นกั ศึกษาบอกวิธกี ารปอ้ งกันโรคเอดส์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ช่อื …………………………………………….สกุล……………….……………………………….ระดับ………………………………………


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook