การวจิ ัยในชน้ั เรยี น ศาสตราจารยก ิตตคิ ุณ ดร.วัลลภา เทพหัสดนิ ณ อยุธยา ความสําคญั ของการวิจยั ในช้นั เรยี น การวิจัยในช้ันเรียนมีความสําคัญตอวงการวิชาชีพครูเปนอยางย่ิง เนื่องจากครูจําเปนตองพัฒนา หลักสตู ร วธิ ีการเรยี นการสอน การจงู ใจใหผ เู รยี นเกิดความอยากรอู ยากเรยี น การพัฒนาพฤติกรรม ผูเรียน การเพ่ิมสัมฤทธิผลการเรียน และการสรางบรรยากาศการเรียนรู เพ่ือใหเกิดการเรียนรูไดอยางมี ประสิทธภิ าพ การวจิ ัยในชั้นเรียนเปนการเปลี่ยนแปลงบทบาทดั้งเดิมของครทู ี่มีความเชย่ี วชาญ และสนใจเร่ืองการสอนโดยเนนเนื้อหาสาระของบทเรียน จึงทุมเทการศึกษา คนควา หาขอมูล ทฤษฎี ท่ี เปนสวนหนึ่งของหลักสูตร มากกวาการศึกษาวิธีการพัฒนาหรือปรับปรุงการเรียนรูของผูเรียน ผลงานของ อาจารยส วนใหญจ งึ เปน ผลงานหนงั สือ ตํารา บทความหรอื เอกสารทางวิชาการมากกวาผลงานวิจยั ปจ จบุ ัน การวิจยั มบี ทบาทเพ่มิ ข้นึ เนื่องจากการขยายตัวทางการศึกษา ทเ่ี ปด ระดบั การศึกษาถึงขั้น ปริญญาโทและปริญญาเอกในประเทศไทย ทําใหมีการเรียนการสอนระเบียบวิธีวิจัย ตลอดจนการ กําหนดใหทําวิทยานิพนธในระดับบัณฑิตศึกษา จึงมีผูรูวิธีการทําวิจัยเพิ่มข้ึน ท่ีสําคัญคือการขอกําหนด ตําแหนงทางวิชาการ หรือ การเลื่อนระดับของผูอยูในสายวิชาชีพทางการศึกษา มีขอกําหนดใหสงผลงาน วิชาการและงานวิจัย เปนสวนหน่ึงของการพิจารณา ผูที่อยูในแวดวงการศึกษาจึงตองหันมาสนใจเร่ืองของ การวิจัยเพิม่ ขึน้ ประกอบกับการทก่ี ฎหมายไดก าํ หนดใหมีการสงเสรมิ การวจิ ยั ในมาตรา ๒๔ ดงั นี้ มาตรา ๒๔ การจดั กระบวนการเรยี นรู ….(๕) สง เสริมสนบั สนนุ ใหผสู อนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ ม ส่ือการเรียน และอาํ นวยความสะดวกเพ่ือใหผเู รยี นเกิดการเรียนรู และ มคี วามรอบรู รวมทั้งความสามารถใชก ารวจิ ัย เปน สวนหนงึ่ ของ กระบวนการเรียนรู ทัง้ นผ้ี สู อนและผูเรียนอาจเรียนรไู ปพรอมกนั จากส่อื การเรียนการสอน และแหลงวิทยาการตา งๆ ดว ยปจ จยั ดงั กลา วจึงทําใหครอู าจารยตอ งเปลีย่ นบทบาทจากผสู อนมาเปนผวู จิ ัย เพือ่ มสี ว นรวมในการพฒั นาการสอน การเรยี นรูของผูเ รียน และการพฒั นาวิชาชพี ครเู พมิ่ ขนึ้ 1
ความหมายของการวิจยั ในช้ันเรยี น การวจิ ัยทางการศึกษา (Educational Research) ในความหมายกวางหมายถงึ การเสาะแสวงหา ความรโู ดยใชัวิธีการทางวทิ ยาศาสตร ใชก ระบวนการวจิ ยั เชิงปริมาณ หรอื เชงิ คุณภาพ การออกแบบการ วิจัยเชิงทดลอง ก่ึงทดลอง หรอื การวจิ ัยแบบผสมผสาน การวิจัยปฏิบัติการทางการศึกษา (Action Research in Education )หมายถึงการคนควาหา คําตอบที่เชื่อมโยงทฤษฎีทางการศึกษาสูการปฏิบัติจริงในสถานศึกษา โดยการคิดสะทอน (Reflective Thinking) การสอนของครู มีลักษณะสําคัญคือ เปนปรับปรุงการปฏิบัติงานการศึกษา เปนการเพ่ิมพลัง ความสามารถของครู และเปน ความกา วหนา ในวชิ าชีพทางการศกึ ษา การวจิ ยั ในชน้ั เรียน (Classroom Action Research) หมายถงึ การสืบสอบเชงิ ธรรมชาติ ( Natural Inquiry) จากปรากฎการณท่ีเกิดขึ้นในการเรียนการสอน การเรียนรู หรือ พฤติกรรมผูเรียน โดยทีค่ รเู ปน ผูวจิ ยั ในสิ่งท่ีครปู ฏิบตั อิ ยู มผี ูเรยี น ผูบรหิ ารหรือ ครใู นโรงเรียนมีสว นรว มในการวจิ ยั ดวย Patricia Cross ( อางถึงใน Bruce Kochis, nd. www.evergreen.edu ) ผูซ่ึงบุกเบกิ การวจิ ยั ใน ช้ันเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกา ไดเนนย้ําวา “การวิจัยในช้ันเรียน แตกตางจากการวิจัยทางการศึกษา แบบด้งั เดิม ในเร่ืองจดุ มงุ หมายของการวิจัย และการออกแบบการวิจยั ” โดยท่ีการวิจัยแบบด้ังเดิมสวน ใหญน ําไปสกู ารสรปุ ในภาพกวาง เนือ่ งจากตัวแปรบางตัวไดถูกสกัดออกไป ผลการวิจัยจึงไมสามารถนําไป ปฏิบตั จิ ริงในช้นั เรยี นได การวิจัยในชั้นเรียนจึงเปนการสืบสอบเชิงธรรมชาติที่ตองใชความคิดวิเคราะหท่ีละเอียดถ่ีถวน ขึ้นอยูกับเน้ือหาสาระของวิชา การมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน มีจุดเนนที่หลากหลายเชื่อมโยงกัน และเปน รปู ธรรม ลกั ษณะสาํ คญั ของการวิจัยในช้ันเรียน ลักษณะของการวิจยั ในช้ันเรียนมจี ุดเดน ทแี่ ตกตา งจากการวจิ ยั อนื่ ๆ ดังนี้ ๑. ครูเปนผวู ิจยั เอง เพ่ือเพ่ิมพนู ความรใู หแกว งการวิชาชีพครู ๒. ผลการวจิ ัยสามารถแกปญ หาผเู รียนไดทนั เวลา และตรงจุด ๓. การวจิ ัยชว ยเชอ่ื มชอ งวางระหวา งทฤษฏแี ละการปฏบิ ตั ิ ๔. การเพม่ิ ศักยภาพการคิดสะทอ น(Reflective Thinking) ของครตู อปญ หาท่ีเกิดในหอ งเรยี น ๕. การเพ่ิมพลงั ความเปน ครใู นวงการการศกึ ษา ๖. การเปด โอกาสใหครกู า วหนา ทางวชิ าการ ๗. การพฒั นา และทดสอบการแกป ญหาในช้ันเรียน ๘. การเปด โอกาสใหผเู รยี นแสดงความคดิ เรอื่ งการเรียนการสอน และทางแกป ญ หา ๙. การนาํ เสนอขอ คนพบและการรบั ฟง ขอ เสนอแนะจากกลุมครู ๑๐. การวิจยั และพัฒนาเปนวงจร (Cycle) เพือ่ ทาํ ใหขอคน พบสมบูรณข นึ้ 2
โดยท่ีจุดมุงหมายของการวจิ ยั เปนการพัฒนาการเรียนรขู องผเู รียน ดังน้ันการเขียนรายงานการ วจิ ัยจงึ ข้นึ อยูก บั ผูวจิ ยั วาจะนาํ ผลวจิ ัยไปทําอะไร แตล กั ษณะของการวิจัยตอ งสอดคลองตามที่ไดก ลาวแลว การดาํ เนนิ การวิจัย ผูที่ไมเคยชินกับการวิจัยมักจะมองการวิจัยเปนสิ่งที่ยาก ตองใชเวลาในการศึกษาทฤษฎีท่ี เกี่ยวของ การออกแบบวิจัย การสรางเครื่องมือสําหรับการวิจัย การใชสถิติในการวิเคราะห การอภิปราย ผลและขอเสนอแนะ ดังนั้นเพ่ือใหการวิจัยในชั้นเรียนเปนเร่ืองที่งายขึ้นจึงขอเสนอแนะแนวทางที่เริ่มจาก การฝก วิจยั ไปจนถงึ การวจิ ัยท่มี ลี ําดับขัน้ ตอนยงุ ยากขน้ึ โดยพิจารณาวตั ถปุ ระสงคและผลวจิ ยั ทีจ่ ะนําไปใช การเรม่ิ ตนการวิจยั สําหรับผูที่ไมมีประสบการณการวิจัยในชั้นเรียนมากอนจะเร่ิมการวิจัยไดโดยการยอนนึกถึง ประสบการณ หรือปรากฏการณท่ีเกิดข้ึนในชั้นเรียนหรือในสถานศึกษา และกําหนดขอบเขตของการวิจัย หรอื ปรบั ปรุงกอนตามความสนใจทอี่ ยากจะคน ควาหาคาํ ตอบในเรือ่ งน้ัน ๑. กาํ หนดหัวขอ ของการวิจัย หัวขอ การวิจัยในชั้นเรียนเปนเร่ืองของการปรับปรุง พัฒนางานในวงการวิชาชีพครู เชนการพัฒนา หลักสูตรทอ งถน่ิ ที่ครูอยากไดคําตอบวา การจัดหลักสูตรอยางไรจึงสอดคลองกับความตองการของทองถิ่น ควรมีรูปแบบการเรียนการสอนใดที่จูงใจใหผูเรียนเกิดความอยากรูอยากเรียน จะมีวิธีการพัฒนา พฤติกรรมผูเรียนใหใฝรูใฝเรียนไดอยางไร มีวิธีการเพิ่มสัมฤทธิผลการเรียนของ ผูเรียนไดอยางไร และ การสรา งบรรยากาศการเรยี นรู แบบใดเพื่อใหเกิดการเรียนรไู ดอยางมีประสิทธิภาพ ขอบเขตหัวขอ ที่สนใจแบงเปน ดา นตา งๆ ดงั นี้ ๑.๑ ดานผูเรียน ขอบเขตทคี่ น ควาวิจยั เกย่ี วกับผูเรียนแยกเปน ดา นยอยๆ อกี ไดค ือ ๑) เรื่องการเรียน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผูเรียนอาจเปนประเด็นที่ผูวิจัยอยากได คําตอบวาทําไมนักเรียนคนนี้หรือกลุมน้ีจึงมีสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนสูง มีปจจัยอะไรบางที่เสริม ความสามารถในการเรียนของผูเรียนในทางตรงกันขามอาจารยอาจเกิดขอสงสัยวา ทําไมผูเรียนคนน้ีหรือ กลุมน้ีจึงมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา ตํ่าวิชาเดียวที่อาจารยสอนหรือต่ําทุกวิชา มีปจจัยใดท่ีทําใหผูเรียน มผี ลสัมฤทธิ์ในการเรียนตาํ่ ทําไมผูเรียนจึงไมตั้งใจเรียน ไมยอมทําแบบฝกหัด ไมยอมสงงาน มีปญหาอะไร ผูเรียน ตองการอะไร ทาํ ไมจงึ ไมยอมพดู ในช้ันเรียน หรือไมยอมทํางานกลุม กับเพ่อื น ๒) เรอื่ งพฤติกรรมผูเรียน อาจารยอาจสนใจแกป ญ หาพฤตกิ รรมผเู รียนท่ีชอบ แกลงเพอื่ น เกเรชอบทะเลาะวิวาท ชกตอ ยกบั เพ่ือน พฤตกิ รรมท่เี ปน ปฏปิ ก ษก บั อาจารย การเขา ช้นั เรียนสาย 3
การปฏเิ สธการเรยี น การหนีเรยี น การตดิ เกมส การไมเขา หอ งเรยี นการแอบหนไี ปสูบบหุ รใ่ี นหอ งน้ํา การประพฤตผิ ดิ ระเบยี บของโรงเรยี น การพูดจากา วรา ว การไมช ว ยเหลืองานของโรงเรียน ๑.๒ ดา นวธิ กี ารสอน ประเดน็ ทนี่ า สนใจเก่ยี วกบั การสอน อาจารยอ าจจะสนใจวา การสอน แบบใดทผี่ ูเรยี นพึงพอใจ การสอนที่เนน ผเู รยี นเปน สําคัญทําใหผูเรยี นพฒั นาดานใดบา ง ครูสวนใหญใ ช วธิ ีการสอนแบบใด การสอนแบบใดทผี่ ูเ รยี นอยากเรยี นและเรยี นไดผ ลดที ส่ี ดุ การสอนทีใ่ หแ บบฝก เปน รายบคุ คลกบั แบบฝก เปน กลมุ จะทาํ ใหผ ูเรียน เรยี นรแู ตกตา งกนั หรอื ไมก ารใชส อ่ื แบบใดจะทาํ ใหผเู รยี น เขา ใจบทเรียนไดด ียิ่งขึน้ ทาํ อยา งไรผเู รยี นจะมีความสขุ ในการเรียน การเปรยี บเทยี บการสอนแบบการให อิสระในการเลอื กหวั ขอ การเรยี นตามลาํ ดบั กอนหลังตามความสนใจของผูเรียนกับการสอนปกติ หรือผล การสอนแบบตา งๆ ทค่ี รทู ดลองใช ๑.๓ ดานผูสอน อาจารยอาจสนใจวาผูเรียนตองการการสอนท่ีมีคุณลักษณะอยางไร ผูเรียน ตองการใหผูสอนปฏิบัติตอผูเรียนอยางไร พฤติกรรมแบบใดของอาจารยที่สงเสริมใหผูเรียนเรียนรูได อยางดีที่สุด อาจารยผูสอนดีเดนตองมีพฤติกรรมอยางไร ผูเรียนชอบใหผูสอนปฏิบัติตอผูเรียนอยางไร ผเู รียนตอ งการใหผ สู อนดแู ลอยางไรนอกช้นั เรียน ๑.๔ ดานแหลงเรียนรู วัสดุอุปกรณ และการจัดการตางๆ สําหรับดานนี้ อาจารยควรมีคําถาม ปญหา หรือขอทอ่ี าจารยอ ยากทราบวา แหลง เรยี นรูประเภทใด กระตุนความสนใจของผูเรียน การใชวัสดุ อุปกรณประกอบการสอนแบบใด จึงทําใหผูเรียนสามารถพัฒนาการเรียนรูไดอยางดี การจัดกิจกรรม หรือโครงการมีผลตอสัมฤทธ์ิผลทางการเรียนของผูเรียนหรือไม การจัดตารางเรียนชวงเชาและบายมีผล ตอพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตรหรือไม การศึกษายังแหลงเรียนรูมีปญหาอุปสรรค และไดผลดี ตอการเรียนอยางไร เมื่ออาจารยสํารวจความสนใจของตนเองไดแลววาอยูในขอบเขตใด ก็ลองพิจารณา ลึกลงไปแตละดานวามีขอมูลมีความรู และมีความสนใจจริงหรือไม เลือกเรื่องท่ีสนใจ อยากไดคําตอบ หรือแนวทางแกไ ขปญ หาอยา งแทจ รงิ อาจารยต องแนใจ ๒ ประการ คือ ๑. หาเหตผุ ลท่จี ะทํา คือ เปนปญหาทีส่ ําคญั จําเปน ตอ งไดคาํ ตอบ มีเวลาท่จี ะทํา ผลจะเปน ประโยชนต อลกู ศิษย และวงการวิชาชีพครู ๒. ความชดั เจนของหวั ขอ อาจารยต องพจิ ารณาวา หวั ขอ กวา งไป หรอื แคบไป พอที่จะศึกษาได ในกําหนดเวลาของทาน ๒. การฝก สงั เกตและบนั ทึก ผเู ริ่มวิจยั ตอ งฝกฝนการสังเกต และการจดบนั ทึกโดยเร่มิ จากเหตุการณป ระจาํ วันในชั้นเรียน ผูวจิ ัยฝกการจดงายๆทุกวนั หลักจากเลิกการสอน ตัวอยา ง วันนี้สังเกตเห็นนายพันพร น่ังหลับในชั้นเรียน ครูไดเดินไปปลุก เพื่อนๆ ในช้ันเรียน หวั เราะชอบใจ ครไู มไดดนุ ักเรยี นท่หี วั เราะ และไมไดดพุ นั พรทีห่ ลบั อยู 4
การสะทอนความคิดของครูในวันน้ี ครูนาจะใหพันพรมาพบตอนเลิกเรียนแลว เพื่อคุยกันถึง สาเหตุการหลับในช้ันเรียน อีกประการหน่ึง ครูนาจะหาหนังสือมาอานท่ีเก่ียวกับเร่ืองเด็กหลับใน หองเรยี น หรอื คุยกบั อาจารยท านใดดี ตอ งไปถามเพื่อนอาจารย ทําไมเมื่อครูเดนิ ไปปลกุ พันพร เพ่อื นๆ ในช้ันเรียนหัวเราะ ครูนาจะดุนักเรียนท่ีหัวเราะหรือเปลา วาเปนมารยาททไ่ี มด ี แตค รูไมไ ดส อนผูเ รยี นเม่ือสถานการณน้นั เกิดขนึ้ ครูควรฝกการสังเกต และจดบันทึกส่ิงท่ีสังเกตไดทุกวัน เพ่ือใหเคยชินกับการมองสถานการณ หรือผูเรียนอยางวิเคราะหทุกครั้งท่ีจดเหตุการณ ตองพยายามคิดสะทอน เพ่ือหาเหตุผล หรือวิธีการ ตลอดจนทฤษฏีทางการศึกษา ๓. วางแผนการทาํ วจิ ยั หลักจากการฝกสังเกต จดบันทึกขอมูลไดระยะหนึ่งผูวิจัยจะคอยๆ เคยชินกับการวิเคราะห และ การเขียนจนแนใจวาอาจารยสนใจจริงในเรื่องท่ีอาจารยมักจะสังเกตและจดบันทึกเร่ืองไดมากวาเร่ืองอื่น อาจารยคงคิดวา สิง่ ท่อี าจารยจ ะทํานั้นเปน แนวคดิ ใหมท ต่ี อบคาํ ถามของอาจารยห รือเปลา และจะพัฒนาไป อยา งไร การศึกษาของอาจารยจ ะเปนที่จดุ ใด มขี อบเขตเพียงใด และใชเวลาในการศึกษาเทาใด ตัวอยางแผนการวิจัย การวิจยั ในช้ันเรียนอยา งงา ยๆ เร่ิมตน ดงั น้ี ๑. เดือนแรก ซึ่งอาจจะเริ่มเดือนพฤษภาคม ในภาคเรียนท่ี ๑ หรือเดือนพฤศจิกายน ในภาค เรียนท่ี ๒ เริ่มสํารวจขอมูลท่ัวไปที่เกี่ยวของกับนักเรียน ทะเบียน ระเบียนสะสม ลักษณะของผูเรียน คะแนนเฉลยี่ ท่ีผานมา ตารางเรยี น หองเรยี น ปายประกาศ สงิ่ แวดลอ มรอบหอ งเรยี น ลกั ษณะการเรยี น การสอนของอาจารย พฤติกรรมของผูเรียน อาจารยใชการสํารวจน้ีเปนการกําหนดความสนใจของ อาจารย และยนื ยันความคิดของอาจารย ๒. เดือนท่ี ๒ หลังจากสํารวจสภาพหรือปญหาในชั้นเรียนของอาจารยแลว ใหจับประเด็นท่ี อาจารยคิดวาสําคัญที่สุดเขียนอธิบายในเรื่องนั้นวาเปนปญหาอยางไร นาสนใจเพียงใด มีประโยชนใน การวิจัยเพยี งใด มีขอมูลเพียงพอหรือไมจ ะใชเ วลาศกึ ษาในเรื่องนน้ั มากนอยเพียงใด ๓. เดือนท่ี ๓ ต้ังคําถามที่ตองการอยากรูมากท่ีสุด เพื่อใหแนใจวา อยากศึกษาจริงๆ จะมีขอมูล อยูทใ่ี ดบาง นักเรียนเปน ผูใหขอมูลและมสี ว นรวมในการศึกษาครง้ั นีอ้ ยางไร จะทําอะไรกับขอมลู ท่ีได ๔. เดือนท่ี ๔ พิจารณาวาเมื่อศึกษาเบ้ืองตนเรียนรูอะไรบาง ทบทวนประเด็นที่สังเกตไวใน ๓ เดือนทีผ่ านมา จะศกึ ษาทฤษฏที างการศกึ ษาเพิ่มเตมิ เพียงใด จะปรึกษาใคร แนใ จวา ทําเรือ่ งนน้ั จรงิ ๕. เดือนท่ี ๕ กําหนดแผนการทาํ วิจยั ใหช ดั เจน เชน จะตองทําแบบเรียนใหมหรือไม ใชเวลาทํา นานเทาใด จะเริ่มทดลองเมื่อใด เวลาท่ีทํานั้นเหมาะสมหรือไม เชนการเก็บขอมูลใกลสอบปลายภาค อาจไมสะดวกหรือการทดลองสอนโดยวิธีการใด หากใชเพียงคร้ังเดียวอาจจะสรุปไมได ควรจะใชการ สังเกตดวยตนเองหรือใหใ ครสงั เกต แผนควรกาํ หนดใหชัดเจน ดงั แผนภาพ 5
สาํ รวจปญหา วางแผน ดาํ เนนิ การ กําหนดหัวขอ เขียนขอคนพบ สะทอนความคิด นาํ เสนอ แผนภาพที่ ๑ ลําดับการวิจยั ในชน้ั เรยี น ๖. เดือนท่ี ๖ เลือกชวงเวลาทวี่ ิจัยอยา งเหมาะสมเชน ควรเลือกการสงั เกต หลงั จากเปดภาค การศึกษาไดป ระมาณ ๑ เดอื น ทผี่ ูเรียนตอ งไมมกี ารสอบหรือไมม กี ิจกรรมเสริมหลกั สตู ร กฬี าสี ที่ทาํ ใหก ารสังเกตหรือการทดลองบทเรียนในชนั้ เรียนไมส ามารถทาํ ได ๗. เดือนที่ ๗ เขียนขอ คน พบทไี่ ด และเขียนสะทอนความคดิ ทไ่ี ดจากขอคน พบการเขียนให ขนึ้ อยูกบั วัตถปุ ระสงควา จะนาํ ขอเขยี นไปทาํ อะไร กรณที ่นี ําขอ เขียนนาํ เสนอในวงวิชาชพี ครูอาจนาํ เสนอ ในรปู ของบทความที่มหี ัวขอ มวี ตั ถุประสงควธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ มูล ขอ คนพบ ความคดิ สะทอ นจากขอ คน พบ และขอ เสนอแนะ กรณีทีจ่ ะนาํ สง เปนผลงานเพอื่ ขอเลอ่ื นระดับ วธิ กี ารเขยี นจะตองเปน ไปตามขอกําหนดของ หนว ยงานซง่ึ สว นใหญ ใชรูปแบบของการวจิ ยั ท่ัวไป หมายเหตุ ตัวอยางระยะเวลาอาจจะเลอ่ื นไดเ หลอื เพียง ๓ เดอื น ตง้ั แตสาํ รวจปญ หา จนถึงการ นําเสนอท้งั นีข้ นึ้ อยกู ับหวั ขอ และการออกแบบการวิจยั ของผนู นั้ ๔. การดําเนินการวิจัย การดําเนินการวิจัย ผูวิจัย จะตองพิจารณาวาจะเก็บขอมูลประเภทใด จึงตอบคําถามการวิจัยท่ี กาํ หนดไวไดแ หลง ขอ มูลมาจากไหน จะไดกรอบคําถามอยางไรจึงชว ยใหคดิ วิเคราะหไดถกู ตอง การเก็บขอมูลไดแลว ทานเรียนรูอะไรใหมจากขอมูลที่ได ผลจากการเรียนรูใหประโยชนตอ ผูเ รียนของทา นหรอื สาํ หรับวงการวิชาชพี ครอู ยางไร ทา นมหี ลกั ทางการศกึ ษาในการวเิ คราะหข อ มลู ทา นวิจยั ไดห รือไม ส่งิ ทา นพบเปนการปด ชอ งวา ง ระหวางทฤษฏีและการปฏบิ ตั ิหรือเปลา 6
๕. การเขียนขอคน พบ บางทีก่ ารวิจยั ที่ดเู หมอื นยากเม่ือดาํ เนนิ ไปแลวก็ดไู มย าก กลบั เปนผลจากการวจิ ัยทผี่ ูวจิ ัยไมทราบ วาจะเรม่ิ ตน อยางไร และจะเขยี นอยา งไร ดงั ทไ่ี ดก ลา วแลว หากเปนการเพ่มิ พนู ขอคดิ เหน็ ความรทู ่ปี ระมวลได จากปฏบิ ตั กิ ารของอาจารย กอ็ าจเขียนในรปู ของการอธบิ ายปรากฏการณตามแผนการวจิ ัยของอาจารย ๖. การสะทอนความคดิ ลกั ษณะเดน ของการวิจยั ในชัน้ เรยี น คอื การสะทอ นความคดิ ท่ีไดจ ากขอคนพบ ความคดิ ทไี่ ดอ าจ เปนการนาํ เสนอหลักการใหมท างการศกึ ษา ดังนน้ั ทานจะตองฝกฝนการสะทอนความคิดใหช ดั เจนใน ผลงานของทา น ๗. การขยายผลการวจิ นั สชู มุ ชนนกั ปฏบิ ัติ การวิจัยในชั้นเรียนจะไมค รบถวนหากไมม กี ารนําเสนอขอคนพบในวงการวิชาชีพครู แตละหมวด สาระการเรยี นรู ดงั นนั้ โรงเรยี นหรือกลมุ โรงเรยี นจะตอ งจดั เวทใี หอาจารยไดเสนอผลการวิจัย และชว ยให ขอ มลู ยอ นกลับเพือ่ ใหอาจารยไ ดพัฒนาขอ คนพบใหดขี นึ้ ๘. การศกึ ษากรณตี ัวอยา ง การวิจัยในชน้ั เรยี นของอาจารยโ ดยวิธกี ารศึกษากรณีตัวอยา งไดม าจากปรากฏการณท ่ี เกดิ ข้นึ ในชน้ั เรยี นซึง่ การเกบ็ เรือ่ งราวเปนลกั ษณะ “เรอื่ งเลาของครู ทมี่ ีการทาํ แบบฟอรม ของ กระบวนการธรรมชาติ โดยวเิ คราะหแ ละเขียน” นักการศกึ ษาช่ือวา (Compoy, Renee., 2005:5) เรอ่ื ง เลา ทเี่ กดิ ขึน้ ในช้นั เรียนเปน เครอ่ื งมอื ท่ีสําคญั ทีค่ รูสามารถใชเปนการเรียนรูเกี่ยวกบั การสอนของครูและ นักเรียนท่ีครสู อนดังกรณตี ัวอยาง การตดั สินใจของครู ดดั แปลงจาก หนา ๑-๒ (Compoy, Renee., 2005:2) เร่อื งท่ี ๑ เด็กหญิงมะลิ เปนเดก็ ทม่ี ีวุฒิภาวะดอ ยกวา เด็กคนอนื่ ๆ ในช้ันเรียนประถมปที่ ๑ แต ก็เรียนไปไดเรื่อยๆ วันหน่ึง คุณแมของเด็กหญิงมะลิมาพบและบอกวาเธอกําลังจะแตงงานใหม คุณพอ ของเด็กหญิงมะลิเสียตั้งแตเธอยังอยูในครรภ คุณแมเล้ียงดูเธอมาจนในปน้ีจึงไดตัดสินใจแตงงาน ดู เหมอื นคุณพอ ใหมเอ็นดเู มตตามะลิอยา งดี หลังจากน้ันมา เด็กหญิงมะลิ มักนั่งเหมอลอยในช้ันเรียน ไมทําการบาน ไมสนใจเรียน หยุกหยิก ไมอยูเปนท่ี ครูถามวาเปนอะไร มะลิบอกวา “นองชายปวย กําลังจะตายหนูเลยทําอะไรไมได” ครูตอง หาคําตอบใหไดว า จริงหรอื ไม ครูกําลงั คดิ วาจะลงโทษหนูมะลดิ วยวธิ กี ารใดดี จะตีรกึ ็ขัดกับทฤษฏีนักการ ศึกษาไทย เชนทานเจาพระยาธรรมศักดิ์มนตรีกลาวไววา “ไมเรียว มีโทษมากกวามีคุณ” จะใหหนูมะลิ คัด ๑๐๐ จบวา “หนูจะตั้งใจเรียน”ก็อาจจะไมไดผล แตทฤษฏีการเรียนรูบอกวาใหทําซํ้าๆ บอยๆจะเกิด 7
การเรียนรูเอง ครูเลยชักงงๆ กับทฤษฏีตางๆ ท่ีจะนํามาปฏิบัติในชั้นเรียน จะยังไมตัดสินใจที่จะลงโทษ หรือจดั การกบั หนูมะลอิ ยา งไร ตอนเย็นครกู ็เดินไปสง เดก็ หญิงมะลิ พบคุณพอ คนใหมข องหนูมะลิ ก็ถาม วา ลูกชายนองของหนูมะลิปวยเปนอะไรคะ คุณพอทําหนางง “มะลิยังไมมีนองครับ” ฝายหนูมะลิ หวั เราะชอบอกชอบใจ ไมรูสกึ วาตวั เองทําผิดอะไร ครชู กั เดอื ดปดุ ๆ ทาํ ไมตัวแคนี้พูดปดเปนเรื่องเปนราว พรุงน้ีจะตอ งทําโทษใหเ ขด็ หลาบ คณุ ครูกลบั มาน่ังทบทวนทฤษฏพี ฒั นาการเด็กทเ่ี รียนมาวา “เด็กจะมจี ินตนาการสงู บางคร้งั กจ็ ะ คิดฝนในเรื่องตางๆไปเอง” เด็กทตี่ องปรบั ตัวกบั ครอบครัว หรอื กาํ ลงั รสู ึกวา ตนเองไมมคี วามปลอดภัย มั่นคง ตามทฤษฏขี องมาสโลวก ็เปนไปไดท จ่ี ะทาํ ใหเ ดก็ เกิดความไมมน่ั คงในชวี ติ มีผลกระทบตอ จิตใจ และพฤติกรรมของเดก็ ได ครูจงึ ไดเ รียนรูจากมะลิ วาการตัดสนิ ใจลงโทษนักเรียนควรมกี ารคดิ สะทอนกลับใหด กี อ นจะตดั สนิ สรปุ พฤติกรรมของผูเรยี น คณุ คาของการศึกษากรณตี ัวอยา ง อยูท่คี รูไดค ดิ ใครครวญหรอื คิดสะทอ น (Reflective Thinking) ในเหตกุ ารณท เ่ี กิดข้ึนและสามารถหาขอ สรุปในการแกป ญ หาไดอ ยา งถกู ตองและเหมาะสม เรื่องที่ ๒ (ดดั แปลงจาก E-mail) เด็กชายทองดี นักเรียนประถมศึกษาปที่ ๓ ท่ีครูนิตยาเปนครูประจําช้ันเปนเด็กท่ีเหมอลอย ไม สนใจเรียน ชอบรังแกเพ่ือน ครูนิตยาสังเกตพฤติกรรมของเด็กชายทองดี ท่ีเพื่อนๆ มักจะมาฟองเธอ บอยๆ วา ชอบแกลงผลักเพอ่ื น แยงของเลน และแหยเพื่อนบอยๆ เธอเขียน F สีแดงตัวโตบนกระดาษสอบกลางภาคของเด็กชายทองดี นึกสมน้ําหนาท่ีไมต้ังใจ เรียนแลว ยงั เกเรอีก แตธ รรมชาติของการเปน ครู เธออยากรูวา เด็กคนนี้มีพฤติกรรมอยางนี้มาต้ังแตเมื่อใด และครูประจําชั้น ป.๑ ป.๒ ไดวิจารณหรือแกปญหาอะไรมาบาง เธอจึงกลับไปดูทะเบียนสมุดประจําตัว ของนักเรียนพบวา ป.1 ครูประจําชั้นเขียนไววา เด็กชายทองดี เรียบรอยตั้งใจเรียนและผลการเรียนอยูใน ระดับดีมาก ครูประจําช้ัน ป.๒ เขียนไววา เด็กชายทองดีเรียบรอยตั้งใจเรียน ราเริง อัธยาศัยดี เออ้ื เฟอ เผ่ือแผ ตอนภาคปลายเขยี นไววา คุณแมของทองดีปว ยเปนมะเรง็ และเสยี ชีวิตลง ครูนิตยารูสึกตกใจที่ไดขอมูลเชนนั้น จึงเปล่ียนพฤติกรรมใหมโดยดูแลเอาใจใส พูดจาให กาํ ลังใจ เดก็ ชายทองดมี ากขน้ึ ผลคอื เด็กชายทองดี ตัง้ ใจเรียน ผลการเรียนดขี น้ึ เมื่อจบชั้นประถมศึกษา ไป กส็ ามารถไปเขาโรงเรียนมัธยมศึกษาท่ีมีชื่อเสียงตอมาอีกไมนาน เด็กชายทองดี ก็สงจดหมายมาขอบ คุณครูวาครูเปนครูที่ดีท่ีสุดท่ีเขาพบมา บัดน้ีเขาสําเร็จการศึกษาเปนนายแพทย ครูนิตยาดีใจมาก และ รสู ึกขอบคุณเดก็ ชายทองดที ท่ี าํ ใหครูเรียนรทู จ่ี ะเปน ครทู ่ดี ไี ดสมบรู ณข ึน้ ๙. การแกไ ขปญหาในช้ันเรียน ปญหาท่ีเกิดขึ้นในช้ันเรียนมีความหลากหลายแตกตางกัน อาจารยผูสอนอาจจะคิดหาวิธีการ ตามที่ครเู หน็ วา เหมาะสมกบั วัยของผูเรยี น ธรรมชาตขิ องวิชาทสี่ อน และปญ หาทเี่ กดิ ขึ้น 8
ตัวอยา งการเก็บขอมูลและการแกไ ขพฤตกิ รรมการเขา หอ งเรียนชา อาจารยผ ูสอนวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓ สังเกตวามีนักเรียนเกินกวา ๑๐ คน มักจะ เขาหอ งเรยี นชาเสมอ ตัง้ แตเ ขาหองชา ๕ นาที่ ไปจนเกอื บ ๒๐ นาที ในคาบการสอน ๕๐ นาที อาจารยเ หน็ วา การเขาหองเรยี นชา เปน ปญ หาตอ ผูเรียนทีจ่ ะไมไ ดรับประโยชนในการเรยี น แลว ยงั เปน ปญ หาตอสว นรวม ที่รบกวนสมาธขิ องผเู รยี น และทําใหผ สู อนตองชะงักไปดวย จึงคดิ หาวธิ ีแกไ ข ปญหาดังกลาวโดยท่ี เมอื่ อาจารยเ ขา ชั้นเรียน อาจารยไ ดกะเวลาการเปล่ียนชน้ั เรยี นของนกั เรยี น ๕ นาที แลว จึงเริม่ ดว ยการแจกใบงานใหเ ฉพาะนกั เรียนทม่ี า คนละ ๑ แผน อาจารยบอกใหน ักเรยี นเขียน ศพั ท ๕ คํา ใหนกั เรยี นทม่ี าเวลาในช้ันเรียน เขียนตามคาํ บอกโดยอาจารยบอกนกั เรยี นวาใหเขยี นไป ตามทไี่ ดย นิ และไมหกั คะแนนหากเขียนศัพทผดิ วตั ถุประสงคเ พยี งเพื่อใหผ านตา เมอื่ นกั เรยี นเขามาชา ไมท นั เขยี นคําท่ี ๑ อาจารยจะทําเครือ่ งหมายผดิ ไวตามชอ งทท่ี าํ ไวในใบงาน สวนคนท่เี ขาไมทันทัง้ ๕ คาํ อาจารยจะขดี ผิดไวใ นใบทแี่ จกใหน ักเรียนทีม่ าชา ดงั ตวั อยา งแบบฟอรม ที่สําหรบั บนั ทกึ การมาชาของ ผเู รียนตามกจิ กรรมท่ีอาจารยด าํ เนนิ ในใบงาน ๕ นาทแี รก ตวั อยาง และเกบ็ สะสมใบบันทึก ผูเ รยี นก็จะปรับตวั เองใหมาเรว็ ข้นึ ใบงาน.... เพอ่ื ใหท ํางานในใบงานได วนั ท.ี่ ................ ชอ่ื .......................................................... ๑........................... .......................... ๒......................... ........................... ๓......................... .......................... ๔ ........................ ........................... ๕ ........................ .......................... ใบบนั ทกึ การเขาชัน้ เรยี นและคําท่ีเขียนถูก จาํ นวนคําท่เี ขยี น ชอื่ ................................................................................... คร้งั ที่ คาํ คาํ ทถ่ี กู ๕๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ 9
ขอ สงั เกต ๑. อาจารยไมด วุ า หรอื ตาํ หนิทนี่ กั เรยี นเขาชั้นชา อาจารยจะสอนตามปกติทุกอยาง ๒. อาจารยเ กบ็ ระเบียนการเขา ชน้ั เรียนเปนรายบคุ คลเพือ่ ดพู ฤตกิ รรมทที่ ําซาํ้ ๆ ไม เปล่ียนแปลงหรือมีการเปลยี่ นแปลงในทางท่ีดีขึน้ ๓. อาจารยพ บปะพดู คยุ เปนรายบุคคลหากเหน็ วามพี ฤตกิ รรมเขาหอ งเรียนชา เปน ประจาํ ๔. กจิ กรรมที่อาจารยท าํ ในใบงานจะเปลย่ี นไปตามความเหมาะสมของบทเรยี น อาจ เปน การใหค ัดลายมอื ท่ีสวยงาม การใหคาํ จาํ กดั ความของศพั ท หรือการอธบิ าย อื่นๆ ๕. จากการใชก ิจกรรมนอ้ี าจารยพ บวาแกไ ขพฤตกิ รรมการเขา หองเรยี นชาไดโ ดยไมต อ ง ดวุ า หรือบอกใหแ กไ ขพฤตกิ รรม และสง่ิ ที่เปน ผลดใี นวิธีการนคี้ ือการทาํ ใหนกั เรยี น สนใจเร่อื งท่ีจะเรียนเพ่มิ ขึน้ มีคาํ ศพั ทท ่ผี า นสายตาผูเรียนทีอ่ าจทาํ ใหน ักเรียนสะกด คาํ ถูก และเขา ใจความหมายของเรอื่ งเรยี นมากขนึ้ จากตัวอยา งดงั กลา วก็สามารถนํามาเปน การวจิ ยั ในชน้ั เรยี นไดวา อาจารยแ กป ญหาผเู รยี นอยางไร ผูเรยี นปรบั พฤตกิ รรมหรือไม มีความคดิ สะทอนในเรอื่ งดงั กลาวอยางไร สรุป การวิจัยในช้ันเรียนเปนการสืบสอบเชิงธรรมชาติ (Natural Inquiry) ซ่ึงพึ่งพิงเนื้อหาสาระของ รายวิชาทีจ่ ะสอน โดยอาจารยเปน ผูว ิจยั งานที่อาจารยป ฏบิ ตั อิ ยใู นชั้นเรยี น เพื่อพฒั นาการสอน การเรียนรู และผูเรียนอันนําไปสูความกาวหนาในวิชาชีพครู ผูวิจัยจะเลือกวิธีการรายงานตามรูปแบบที่สถาบันที่ เก่ียวของกําหนดหรือเลือกการเขียนขอคนพบตามสภาพธรรมชาติข้ึนอยูกับวัตถุประสงคของการวิจัย และ ข้นึ อยกู ับเปาหมายของการวิจยั วาทําใหใ ครอา น แตการวิจัยในช้ันเรียนตองมีลักษณะสําคัญคือ ผลการวิจัย เปนการเพิ่มความรูและประสิทธิภาพการเรียนการสอน การพัฒนาผูเรียน ความคิดสะทอนในการวิจัย ตลอดจนการแลกเปลย่ี นเรยี นรูใ นวงการครู 10
บรรณานกุ รม พชิ ิต ฤทธิ์จรญู . (๒๕๔๔). การวิจยั เพอื่ พัฒนาการเรยี นรู: ปฏบิ ัตกิ ารวจิ ัยในชั้นเรยี น. กรงุ เทพฯ: ศนู ยหนังสือจฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั . ไพฑรู ย สนิ ลารัตน, บรรณาธิการ. ( ๒๕๔๖). การเรียนการสอนทม่ี กี ารวจิ ัยเปนฐาน. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม หาวทิ ยาลยั . ลัดดา ภูเกยี รต,ิ สมศรี เพชรยม้ิ , บรรณาธกิ าร. (๒๕๔๖). ครแู ละนกั เรยี นสาธติ จุฬาเรยี นรผู าน กระบวนการวิจัย. กรงุ เทพฯ: เพอรฟ อรมอารต . วัลลภา เทพหสั ดิน ณ อยุธยา. (๒๕๔๔). การพัฒนาการเรยี นการสอนทางการอดุ มศกึ ษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพแหงจฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย. สรชัย พศิ าลบตุ ร. ( ๒๕๔๗). การวิจัยในช้นั เรียน. กรุงเทพฯ: วทิ ยพัฒน. สมั มา รธนติ ย. ( ๒๕๔๖). การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาการเรยี นรู: จากประสบการณส ปู ฏบิ ัตกิ าร. กรงุ เทพฯ: ขา วฟาง. Campoy,Renee. (2005). Learning and Teaching Research-based Methods. Boston: Pearson Education. Merter, Craig. (2006). Action Research: Teachers as Researchers in the Classroom. London: Sage. Kauchak,Donald P. and Eggen, Paul D. (2003). Case Study Analysis in the Classroom. London: Sage. http://trochim.humasn.cornell.edu/kb/dedind.html http://www.madison.k12.wi.us/sod/car/carstartingpoints.html http://www.madison.k12.wi.us/sod/car/carhomepage.html 11
12
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: