ผ้งึ และศัตรขู องผ้งึ
โดยทั่วไปพบ 4 ประเภท ประเภทของผึ้ง 1. ผง้ึ หลวง 2. ผึง้ มม้ิ 3. ผง้ึ โพรง 4. ผง้ึ พันธุ์
ผง้ึ หลวง เปน็ ผ้งึ ทีม่ ีขนาดใหญท่ ี่สุด มีประชากรผ้งึ ประมาณ 10,000-80,000 ตัวตอ่ รงั มรี วงเดยี ว ชอบทารงั ที่โลง่ แจ้ง อยทู่ สี่ งู ที่มเี งาและไม่รอ้ นเกนิ ไป จะดรุ า้ ยเม่อื ถกู รบกวนหรือถกู ทาลาย เหลก็ ในมีพษิ มาก ผ้ึงหลวงไม่สามารถนามาลยี้ งได้
ผึง้ มมิ้ เป็นผ้งึ ท่ีมขี นาดเล็กทส่ี ุด มรี วงเดยี ว ทารังค่อมก่ิงไมพ้ ่มุ ไม้เล็กๆ บินหาอาหารไดไ้ ม่ไกลหนกั มปี ระชากรผง้ึ ประมาณ 3,000- 15,000 ตัวตอ่ รงั มีการอพยพทง้ิ รังบ่อย ไม่สามารถนามาเล้ยี งได้
ผง้ึ โพรง เปน็ ผงึ้ ท่ีมขี นาดกลาง ตวั เล็กกว่าผง้ึ พันธ์ุ แต่ใหญ่กวา่ ผึง้ มิ้ม เป็นผ้ึงท่มี ีวิวัฒนาการสูง สร้างรังในทมี่ ดื ตามโพรงหิน หรือโพรงไม้ มีรวงหลายรวง จานวนตง้ั แต่ 5-15 รวง สามารถนามาเลี้ยงได้
ผง้ึ พันธ์ุ เป็นผงึ ้ ที่มีขนาดใหญ่กวา่ ผงึ ้ โพรง แตเ่ ลก็ กวา่ ผงึ ้ หลวง สร้างรังในที่มืด จานวนประชากรผงึ ้ 20,000 – 60,000 ตวั ตอ่ รัง นิสยั ไมด่ ุ ไมท่ งิ ้ รัง สามารถนามาเลยี ้ งได้
ผ้งึ พันธ์ุ
ลกั ษณะลำตวั ของผง้ึ พนั ธุ์ หวั • ตารวม มี 2 ตา ประกอบด้วยตาเลก็ ๆ เป็นรูปหกเหลย่ี มหลายพนั ตา ทาให้มองเหน็ รอบทิศ • ตาเดย่ี ว เป็นจดุ เลก็ ๆ 3 จดุ สาหรับรับรู้ความเข้มของแสง • หนวด มี 10 ปล้อง หน้าที่รับความรู้สกึ ท่ีไวมาก • ปาก แบบกดั เลีย อก • ประกอบด้วยปล้อง 4 ปล้อง ด้านลา่ งอกปล้องแรกเป็นขาคหู่ น้า อกปล้องกลางมีขาคกู่ ลาง ด้านบนปล้องมปี ี กคหู่ น้าขนาดใหญ่ 1 คู่ ด้านลา่ งปล้องท่ี 3 มีขาคทู่ ี่ 3 ซงึ่ มีตระกร้อเกบ็ เกสร ด้านบนมปี ี กคหู่ ลงั 1 คู่ ขนาดเลก็ กวา่ ปี กหน้า ท้อง • นางพญาผงึ ้ และผงึ ้ งาน จะเหน็ ภายนอก 6 ปล้อง (ปล้องท่ี 8-10 จะหบุ รวมในปล้องท่ี 7) • ผงึ ้ งานจะมีตอ่ มสร้างไขผงึ ้ ที่ปล้องที่ 4 5 6 และ 7 (ปล้องละ 2 ตอ่ ม) • อวยั วะเพศจะอย่ทู ี่ท่ีปล้องที่ 10 ทงั้ เพศผ้แู ละเพศเมยี
วงจรชีวิตของผง้ึ พันธุ์ การเจรญิ เตบิ โตแบ่งออกเปน็ 4 ระยะ ระยะตวั เตม็ วยั : เมอ่ื ดกั แดโ้ ต ระยะไข่ : ผึง้ นางพญา เต็มที่ จะใช้กรามกดั ไขผึ้งทีป่ ิด ถา้ ตอ้ งการวางไข่ เพศเมยี จะ หลอดรวงออกมาเปน็ ตวั เตม็ วนั นาน้าเชอ้ื ของผง้ึ ตัวผอู้ อกมา ผสมกับไข่ ระยะดกั แด้ : ระยะแรกจะมสี ี ระยะหนอน : เมือ่ ไขไ่ ด้ 3 วัน ขาว เมอื่ อายุมากข้นึ จะ จะฝักออกมาเปน็ ตัวหนอน เปลี่ยนเปน็ สนี ้าตาล ขนาดเลก็ สีขาว นอนลอยบน อาหารที่กอ้ นหลอดรวง มกี าร ลอกคาบ 5 คร้งั
วรรณะของผ้ึงพนั ธ์ุ แบ่งออกเป็น 3 วรรณะ • เกิดจากไข่ที่ได้ผสมกับผึ้งตัวผู้ มี • เกิดจากไข่ท่ีไม่ได้ผสมกับน้าเชื้อ ขนาดเล็ก และปริมาณมากสุดใน ตัวผู้ มีขนาดอ้วนกว่าผ้ึงนางพญา • เกิดจากไข่ท่ีได้รับการผสมกับเช้ือ รังผึ้ง เป็นเพศเมียท่ีไม่สมบูรณ์ และผ้ึงงาน ไม่มีเหล็กใน ไม่ ตัวผู้ และได้รับอาหารพิเศษจาก รังไข่มีขนาดเล็กไม่สามารถสร้าง ออกไปหาอาหารนอกรัง คอยรับ ผ้ึงงาน เป็นเพศเมีย ลาตัวยาว ไข่ได้ มีต่อมไขผึ้ง ตระกร้อเก็บ อ า ห า ร จ า ก ผึ้ ง ง า น ห รื อ ดู ด กิ น กว่าผ้ึงตัวผู้และผ้ึงงาน มีเหล็กใน เกสร ต่อมกล่ิน และเหล็กใน มี น้าหวานจากในรวงเท่าน้ัน ไม่มีท่ี ไว้ต่อสู้กับนางพญาตัวอ่ืน ไม่ออก หน้าที่ทาความสะอาดรัง ให้ เก็บละอองเกสร มีหน้าที่ผสม หาอาหาร ไม่เก็บละอองเกสร ไม่ อาหารตัวอ่อน ซ่ อมแ ซมรัง พันธ์ุ หลังผสมพันธ์ุเสร็จจะตกลง มีตอ่ มผลติ ไขผ้ึง มหี น้าท่ผี สมพนั ธุ์ ป้องกันรัง หาน้าหวาน เกสร น้า มาตาย โดยอวัยวะสืบพันธ์ุติดคา วางไข และควบคุมสังคมผงึ้ และยางไม้ อยู่ท่ผี ึ้งนางพญา ผึ้งนำงพญำ ผึ้งงำน ผึง้ ตัวผู้
ผ้งึ โพรง
ลักษณะทัว่ ไปของผง้ึ โพรง • ธรรมชาตขิ องผงึ ้ โพรงจะทารังซ้อนเรียงกนั ในโพรงไม้ หรือโพรงหนิ • ผงึ ้ โพรงมอี ตั ราการแยกรังคอ่ นข้างบอ่ ย จะทิง้ รังเดมิ เม่อื สภาพแวดล้อม ไมเ่ หมาะสม เพ่ือหาแหลง่ อาหารท่ีสมบรู ณ์ • วงจรชีวิตและวรรณะเหมอื นกบั ผงึ ้ พนั ธ์ุ ผึง้ นำงพญำ ผึง้ งำน ผึง้ ตัวผู้
ชนั โรง
ลักษณะท่ัวไปของชันโรง เป็ นแมลงวงศ์เดียวกบั ผงึ ้ พฤตกิ รรมเก็บนา้ หวานจากดอกไม้มาเป็ นอาหาร ไมม่ ีเหลก็ ในจงึ ไมส่ ามารถตอ่ ยได้
วงจรชีวติ ของชนั โรง ตวั เต็มวยั ไขช่ นั โรง 26-27 วนั 6.5 วนั ดักแด้ชนั โรง หนอนชนั โรง 6-7 วนั
วรรณะของชนั โรง ชนั โรงมี 3 วรรณะ มีขนาดใหญ่กว่าวรรณะอื่นๆ ทาหน้าที่วางไข่ ควบคมุ การปฏบิ ตั ิงานของประชากรภายในรัง หากรังขาดนางพญา การทางานจะไมเ่ ป็นระบบ มีประชากรมากสดุ ในรัง เลก็ กว่านางพญา หน้าท่ีทางานทงั ้ ภายในและภายนอกรัง ชนั โรงงาน อายนุ ้อยจะทางานอยใู่ นรัง ทาหน้าท่ีทาความสะอาด ซอ่ มแซมรัง เลยี ้ งตวั หนอน ป้ อนอาหาร นางพญา สว่ นชนั โรงที่อายมุ าก จะบนิ ออกไปหานา้ หวาน เกสรดอกไม้ ยางไม้ และคาบเศษ ขยะมาทิง้ นอกรัง ทาหน้าทีผสมพนั ธ์กุ บั ชนั โรงนางพญา ขนาดเลก็ กว่าทกุ วรรณะ และมปี ริมาณน้อย
ผลผลติ จำกผ้งึ
ผลผลติ จากผงึ้ นา้ ผงึ ้ เกสรผงึ ้ นมผงึ ้ หรือรอยลั เยลล่ี พรอพอริส ไขผงึ ้ พิษผงึ ้
นา้ ผงึ ้ นา้ หวานท่ีผงึ ้ เก็บจากตอ่ มนา้ หวานของดอกไม้ ผา่ นกระบวนการยอ่ ย ภายในตวั ผงึ ้ และคายออกมาเก็บไว้ในหลอดรวงรังผงึ ้ ผา่ นการบม่ (การ ระเหยนา้ ออกจากนา้ หวาน) โดยผงึ ้ ช่วยกนั กระพือปี กไลค่ วามชืน้
เกสรผงึ ้ ละอองเกสร หรือเซลล์สบื พนั ธ์เุ พศผ้ขู องพืช ผงึ ้ ใช้ขาคหู่ น้าตะกยุ เกสร ใช้ขาคกู่ ลางรวบรวมเป็ นก้อน และเก็บเกสรไว้ ที่ขาคหู่ ลงั หรือตะกร้อเก็บเกสร แล้วจะนาเกสรเก็บสะสมในหลอดรวง และนามาเป็ นอาหารให้กบั ตวั ออ่ นผงึ ้ นมผงึ ้ หรือรอยลั เยลล่ี เป็นอาหารท่ีผลติ จากตอ่ มใต้สมองของผงึ ้ งาน เพ่อื นามาเป็ นอาหารแก่ นางพญาผงึ ้
พรอพอริส เป็นสารท่ีผงึ ้ งานรวบรวมมาจากยางไม้แล้วนามาผสมกบั นา้ ยอ่ ยและไข ผงึ ้ จนได้เป็ นพรอพอริส นามาใช้ประโยชน์ภายในรัง เช่น กาแพงกนั้ ชอ่ งทางเดนิ ภายในรัง ทา ปากทางเข้ารัง เพือ่ ให้รังอบอนุ่ ในฤดหู นาว ไขผงึ ้ สารที่ผงึ ้ ผลติ มาจากตอ่ มไขผงึ ้ เพ่ือใช้สร้างซอ่ มแซมและปิดาา หลอดรวง
พิษผงึ ้ เป็นสารประกอบโปรตนี ที่ผลติ จากตอ่ มพษิ ท่ีอยบู่ ริเวณโคนเหลก็ ใน พิษผงึ ้ ถกู ปลอ่ ยออกมาผา่ นทางเหลก็ ในของผงึ ้ งาน ผงึ ้ จะสร้างนา้ พิษได้ในชว่ งท่ีผงึ ้ งานตวั เตม็ วยั อายุ 10-14 วนั และมี ปริมาณมากที่สดุ ในชว่ งที่ผงึ ้ งานอายุ 15 วนั โดยจะผลติ มาเผ่ือป้ องกนั ตวั และป้ องกนั รังเทา่ นนั้ เหลก็ ในผงึ ้ มเี พียง 1 อนั เทา่ นนั้ ผงึ ้ สามารถปลอ่ ยเหลก็ ในได้เพยี งครัง้ เดยี ว และเม่ือผงึ ้ ปลอ่ ยเหลก็ ในออกมาแล้วผงึ ้ ก็จะตาย
ศตั รขู องผ้งึ
ไรตวั เบยี นผงึ ้ จะเข้าทาลายผงึ ้ โดยตรง โดยใช้สว่ นของปากดดู กิน เจาะเข้าไปบริเวณ รอบตวั ระหวา่ งปล้อง ทาให้ผงึ ้ ตายก่อนเจริญเติบโตเป็นตวั เต็มวยั ถ้าผงึ ้ สามารถรอดชีวิตอยกู่ ็มกั จะพิการ มด มดเป็นแมลงสงั คมชนั้ สงู สามารถเข้าทาลายและกินผงึ ้ ไมว่ ่าผงึ ้ จะมี ชีวิตอยหู่ รือตายแล้ว
ตวั ตอ่ ศตั รูผงึ ้ ในฤดาู น ตวั ตอ่ จะบินวนบริเวณทางเข้า-ออกรังผงึ ้ และจบั ผงึ ้ กิน นกจาบคา นกพบได้บอ่ ยครัง้ บริเวณใกล้กบั แหลง่ นา้ ขนาดใหญ่ กินแมลงชนิด ตา่ งๆเป็ นอาหารเหมือนนกจาบคาชนิดอื่น โดยเฉพาะผงึ ้ ตอ่ และแตน โดยจะบนิ มาจบั เหยอื่ กลางอากาศ
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: