ประวัติพระสุนทรโวหาร ( สนุ ทรภู่ ) ประวัติพระสนุ ทรโวหาร ( สนุ ทรภู่ ) สุนทรภู่ มชี ือ่ เดิมว่า ภู่ เกิดในสมยั รัชกาลท่ี ๑ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ เมอื่ วันจันทร์ เดือน ๘ ข้นึ ๑ ค่ำ ปีมะเมีย จลุ ศกั ราช ๑๑๔๘ เวลาเช้า ๒ โมง เมอ่ื วันที่ ๒๖ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๓๒๙ เขตพระราชวงั หลงั กรงุ รตั นโกสินทร์ ณ บรเิ วณด้านเหนอื ของพระราชวงั หลงั ซง่ึ เป็นบริเวณสถานรี ถไฟบางกอกนอ้ ย ปัจจุบันน้ี บิดาเปน็ ชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเปน็ ชาวเมืองอื่น เช่ือว่าหลงั จาก สุนทรภ่เู กิดได้ไมน่ าน บิดามารดากห็ ยา่ รา้ งกนั บิดาออกไปบวชอยู่ท่วี ดั ป่ากรำ่ อนั เป็นภมู ิลำเนาเดมิ สว่ น มารดาได้เขา้ ไปอยู่ในพระราชวังหลงั ถวายตวั เป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธดิ าในเจ้าฟ้า กรมหลวงอนุรักษเ์ ทเวศร์ ดงั นนั้ สุนทรภ่จู ึงไดอ้ ยใู่ นพระราชวงั หลังกบั มารดา และไดถ้ วายตัวเปน็ ขา้ ใน กรมพระราชวงั หลงั สุนทรภู่ยังมีนอ้ งสาวตา่ งบดิ าอกี สองคน ช่ือฉมิ และนิ่ม
ดา้ นการศึกษาสนุ ทรภู่ วยั เดก็ สนุ ทรภูไ่ ดร้ ำ่ เรียนหนังสือกบั พระในสำนักวดั ชปี ะขาว ซ่งึ ตอ่ มาได้รับพระราชทานนาม ในรัชกาลท่ี ๔ วา่ วัดศรสี ดุ าราม อยูร่ มิ คลองบางกอกน้อย ตอ่ มาไดเ้ ข้ารับราชการเปน็ เสมียนนายระวาง กรมพระคลงั สวน ในกรมพระคลงั สวน แตไ่ มช่ อบทำงานอ่ืน นอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแตง่ ได้ ดีต้งั แตย่ ังรุ่นหนุม่ ด้านครอบครัวสนุ ทรภู่ สนุ ทรภ่ไู ดล้ อบรกั กบั นางขา้ หลวงในวงั หลังคนหนงึ่ ช่ือแม่จนั ชะรอยว่าหลอ่ นจะเป็นบุตรหลานผูม้ ี ตระกลู จงึ ถกู กรมพระราชวังหลังกรวิ้ จนถงึ ใหโ้ บยและจำคกุ คนทัง้ สอง แตเ่ มอื่ กรมพระราชวังหลงั เสดจ็ ทวิ งคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ จึงมีการอภยั โทษแก่ผู้ถูกลงโทษท้ังหมดถวายเป็นพระราชกศุ ล หลังจาก สนุ ทรภู่ออกจากคุกก็เดินทางไปหาบดิ าทเี่ มืองแกลง จังหวดั ระยอง การเดินทางครง้ั นีส้ นุ ทรภไู่ ด้แต่ง นิราศเมืองแกลง พรรณนาสภาพการเดนิ ทางต่างๆ เอาไว้โดยละเอยี ด และลงท้ายเรือ่ งวา่ แตง่ มาใหแ้ ก่ แม่จัน “เปน็ ขนั หมากมิ่งมิตรพิสมยั ” ในนริ าศไดบ้ ันทกึ สมณศักด์ขิ องบิดาของสุนทรภ่ไู วด้ ว้ ยว่า เปน็ “พระครูธรรมรงั ษี” เจ้าอาวาสวัดปา่ กรำ่ กลบั จากเมอื งแกลงคราวนี้ สุนทรภูจ่ ึงได้แม่จันเป็นภรรยา สุนทรภู่กับแมจ่ ันมีบุตรด้วยกัน ๑ คน ชอื่ หนพู ัด ไดอ้ ยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ สว่ นหนุ่ม สาวทั้งสองมีเรอื่ งระหองระแหงกนั เสมอ จนภายหลังกเ็ ลกิ รากนั ไป สุนทรภมู่ ีบตุ รชายสามคน คือพ่อพัด เกดิ จากภรรยาคนแรกคือแม่จนั พ่อตาบ เกิดจากภรรยาคนท่สี อง คอื แมน่ ิม่ และพ่อนลิ เกิดจากภรรยาท่ชี อื่ แม่ม่วง นอกจากนปี้ รากฏช่ือบตุ รบุญธรรมอีกสองคน ช่ือพ่อ กลัน่ และพอ่ ชุบ พ่อพดั น้ีเป็นลกู รัก ไดต้ ิดสอยหอ้ ยตามสุนทรภูอ่ ยู่เสมอ เม่อื ครงั้ สุนทรภู่ออกบวช พอ่ พดั กอ็ อกบวชด้วย เมือ่ สุนทรภไู่ ดม้ ารับราชการกบั เจ้าฟ้าน้อย พ่อพดั กม็ าพำนกั อยู่ด้วยเช่นกนั สว่ นพอ่ ตาบน้ันปรากฏว่าได้ เปน็ กวมี ีชอ่ื อยพู่ อสมควร เม่อื ถงึ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยูห่ วั ทรงตรา พระราชบญั ญัตนิ ามสกลุ ขึ้น ตระกลู ของสนุ ทรภ่ไู ดใ้ ช้นามสกลุ ต่อมาว่า ภ่เู รือหงส์ เรือ่ งนามสกลุ ของ สนุ ทรภนู่ ้ี ก.ศ.ร. กุหลาบ เคยเขยี นไวใ้ นหนังสือสยามประเภท อา้ งถึงผถู้ ือนามสกุล ภเู่ รอื หงส์ ทไ่ี ดร้ บั บำเหน็จจากหมอสมิทเป็นคา่ พมิ พห์ นงั สือเรอื่ ง พระอภยั มณี แต่หนังสือของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ไมเ่ ปน็ ที่
ยอมรับของราชสำนัก ด้วยปรากฏอยูบ่ ่อยคร้ังวา่ มักเขียนเรือ่ งกุ เรอ่ื งนามสกลุ ของสุนทรภู่จงึ พลอยไมไ่ ด้ รบั การเช่ือถือไปดว้ ย จนกระท่ัง ศจ.ผะอบ โปษะกฤษณะ ยนื ยันความขอ้ นเี้ นอ่ื งจากเคยไดพ้ บกบั หลาน ปขู่ องพ่อพดั มาด้วยตนเอง ด้านการงานสุนทรภู่ สุนทรภไู่ ดเ้ ขา้ รับราชการในกรมพระอาลกั ษณเ์ มื่อ พ.ศ. 2359 ในรชั สมยั รัชกาลที่ 2 มูลเหตใุ นการได้ เขา้ รับราชการน้ี ไม่ปรากฏแนช่ ัด แตส่ ันนิษฐานวา่ อาจแต่งโคลงกลอนไดเ้ ป็นที่พอพระทัย ทราบถึงพระ เนตรพระกรรณจงึ ทรงเรยี กเขา้ รับราชการ แนวคดิ หนึง่ ว่าสนุ ทรภเู่ ป็นผแู้ ตง่ กลอนในบตั รสนเท่ห์ ซึ่ง ปรากฏชกุ ชมุ อย่ใู นเวลานั้น อกี แนวคิดหนึ่งสืบเนอื่ งจาก “ช่วงเวลาที่หายไป” ของสุนทรภู่ ซ่ึงนา่ จะใช้ วชิ ากลอนทำมาหากินเปน็ ท่ีรจู้ ักเลือ่ งชื่ออยู่ ชะรอยจะเปน็ เหตใุ ห้ถกู เรยี กเข้ารบั ราชการก็ได้ ระหวา่ งรบั ราชการ สุนทรภ่ตู อ้ งโทษจำคุกเพราะถูกอุทธรณว์ า่ เมาสุราทำรา้ ยญาตผิ ูใ้ หญ่ แตจ่ ำคุก ไดไ้ ม่นานกโ็ ปรดพระราชทานอภัยโทษ เล่ากันวา่ เนอ่ื งจากพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรง ตดิ ขดั บทพระราชนพิ นธเ์ รื่องสงั ข์ทอง ไม่มีใครแตง่ ได้ตอ้ งพระทัย ภายหลังพ้นโทษ สุนทรภไู่ ดเ้ ป็น พระอาจารย์ถวายอกั ษรสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ อาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลท่ี 2 เชื่อวา่ สนุ ทรภู่แตง่ เรื่อง สวัสดิรักษา ในระหว่างเวลาน้ี
ด้านช่วงชวี ิตสุนทรภู่ สุนทรภูร่ ับราชการอยู่เพยี ง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัยเสดจ็ สวรรคต หลังจากนน้ั สุนทรภู่ก็ออกบวช แต่จะไดล้ าออกจากราชการก่อนออกบวชหรือไม่ยงั ไมป่ รากฏ แนช่ ัด แมจ้ ะไมป่ รากฏโดยตรงวา่ สุนทรภไู่ ดร้ บั พระบรมราชูปถมั ภจ์ ากราชสำนักใหมใ่ น พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว แตก่ ไ็ ดร้ ับพระอุปถมั ภ์จากพระบรมวงศานวุ งศ์พระองคอ์ น่ื อยู่ เสมอ เช่น ปี พ.ศ. 2372 สุนทรภไู่ ด้เป็นพระอาจารยถ์ วายอกั ษรเจา้ ฟา้ กลางและเจ้าฟา้ ปวิ๋ พระโอรสใน เจา้ ฟา้ กุณฑลทพิ ยวดี ปรากฏความอยู่ใน เพลงยาวถวายโอวาท นอกจากนน้ั ยังไดอ้ ย่ใู นพระอุปถัมภ์ของ พระองค์เจ้าลกั ขณานคุ ุณ และกรมหม่นื อัปสรสดุ าเทพ ซ่ึงปรากฏเนือ้ ความในงานเขียนของสุนทรภู่บาง เร่ืองว่า สุนทรภแู่ ต่งเรื่อง พระอภยั มณี และ สงิ หไตรภพ ถวาย สนุ ทรภบู่ วชอยูเ่ ป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนน้ั ไดย้ ้ายไปอยวู่ ดั ต่างๆ หลายแหง่ เทา่ ท่ีพบระบุในงาน เขียนของท่านไดแ้ ก่ วัดเลยี บ วดั แจง้ วัดโพธ์ิ วัดมหาธาตุ และวดั เทพธิดาราม งานเขยี นบางช้ินส่ือให้ ทราบวา่ ในบางปี ภกิ ษภุ เู่ คยต้องเร่รอ่ นไม่มที ีจ่ ำพรรษาบ้างเหมอื นกัน ผลจากการที่ภิกษุภเู่ ดินทางธดุ งค์ ไปทีต่ ่างๆ ท่ัวประเทศ ปรากฏผลงานเปน็ นิราศเรือ่ งต่างๆ มากมาย และเชื่อวา่ น่าจะยงั มนี ริ าศท่คี น้ ไม่ พบอกี เปน็ จำนวนมาก งานเขียนช้ินสุดท้ายทภี่ ิกษุภแู่ ต่งไวก้ ่อนลาสิกขาบท คอื รำพันพิลาป โดยแตง่ ขณะจำพรรษาอยทู่ ี่ วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ปี พ.ศ. 2385 ภิกษุภ่จู ำพรรษาอยทู่ ่ีวดั เทพธดิ าราม คนื หนึ่งหลบั ฝนั เห็นเทพยดาจะมารบั ตัวไป เมื่อ ตน่ื ข้ึนคดิ วา่ ตนถงึ ฆาตจะตอ้ งตายแล้ว จงึ ประพนั ธ์เรอื่ ง รำพนั พิลาป พรรณนาถึงความฝันและเล่า เรอื่ งราวต่างๆ ทีไ่ ด้ประสบมาในชวี ิต หลงั จากน้ันก็ลาสกิ ขาบทเพอื่ เตรียมตัวจะตาย ขณะนัน้ สุนทรภู่มี อายุได้ 56 ปี หลังจากลาสกิ ขาบท สนุ ทรภู่ไดร้ ับพระอุปถมั ภจ์ ากเจา้ ฟา้ น้อย หรอื สมเด็จเจ้าฟ้าจฑุ ามณี กรม ขนุ อิศเรศรังสรรค์ รับราชการสนองพระเดชพระคุณทางดา้ นงานวรรณคดี สุนทรภู่แต่ง เสภาพระราช พงศาวดาร บทเหก่ ล่อมพระบรรทม และบทละครเรื่อง อภัยนุราช ถวาย รวมถึงยังแต่งเร่อื ง พระอภยั มณี ถวายให้กรมหมนื่ อปั สรสดุ าเทพดว้ ย
เมอื่ ถึงปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจา้ อย่หู ัวเสดจ็ สวรรคต เจา้ ฟา้ มงกุฎเสดจ็ ขึน้ ครองราชยเ์ ปน็ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั และทรงสถาปนาเจา้ ฟา้ น้อยขึน้ เป็น พระบาทสมเดจ็ พระป่นิ เกล้าเจ้าอยหู่ ัว สุนทรภ่จู งึ ได้รับแตง่ ต้งั เป็นเจ้ากรมอาลักษณฝ์ ่ายพระราชวงั บวร มบี รรดาศกั ดเ์ิ ปน็ พระสุนทรโวหาร ชว่ งระหวา่ งเวลาน้สี นุ ทรภู่ได้แต่งนริ าศเพิม่ อกี 2 เรอื่ ง คือ นริ าศ พระประธม และ นิราศเมอื งเพชร สนุ ทรภ่พู ำนักอยู่ในเขตพระราชวงั เดิม ใกล้หอน่งั ของพระยามนเทยี รบาล (บัว) มหี ้องสว่ นตัวเป็น หอ้ งพกั ก้นั เฟย้ี มทเี่ รยี กชื่อกนั วา่ “หอ้ งสุนทรภู่” เชือ่ ว่าสนุ ทรภู่พำนกั อยู่ทน่ี ่ตี ราบจนสิน้ ชวี ติ เมอื่ ปี พ.ศ. 2398 สริ ริ วมอายุได้ 69 ปี ผลงานสุนทรภู่ งานประพนั ธข์ องสุนทรภู่เท่าทมี่ กี ารค้นพบในปัจจุบันมีปรากฏอยเู่ พยี งจำนวนหน่ึง และสูญหายไปอีก เปน็ จำนวนมาก ถงึ กระนัน้ ตามจำนวนเท่าท่ีค้นพบก็ถือวา่ มีปรมิ าณคอ่ นข้างมาก เรยี กไดว้ ่า สนุ ทรภู่เป็น “นักเลงกลอน” ท่สี ามารถแต่งกลอนไดร้ วดเร็วหาตัวจบั ยาก ผลงานของสุนทรภู่เทา่ ทีค่ ้นพบในปัจจุบัน มีดงั ตอ่ ไปน้ี กลอนสนุ ทรภู่ • บางส่วนบางตอนจาก นริ าศภูเขาทอง ถงึ โรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มคี ันโพงผูกสายไวป้ ลายเสา โอบ้ าปกรรมนำ้ นรกเจียวอกเรา ใหม้ วั เมาเหมอื นหนงึ่ บ้าเป็นนา่ อาย • บางสว่ นบางตอนจาก ขุนชา้ งขุนแผน แม่รกั ลกู ลกู ก็รู้ อย่วู า่ รัก ใครอืน่ สกั หมน่ื แสน ไม่แม้นเหมอื น จะกนิ นอน วอนวา่ เมตตาเตือน จะจากเรือน ร้างแม่ ก็แตก่ าย • บางส่วนบางตอนจาก สดุ สาคร แลว้ สอนวา่ อยา่ ไว้ใจมนุษย์ มนั แสนสดุ ลกึ ลำ้ เหลือกำหนด ถงึ เถาวลั ยพ์ นั เกีย่ วท่ีเลย้ี วลด กไ็ ม่คดเหมือนหน่ึงในนำ้ ใจคน
กลอนสุนทรภู่ ท้ังหมด นิราศ • นริ าศเมืองแกลง (พ.ศ. 2349) – แต่งเม่ือหลงั พ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพอ่ ท่เี มอื งแกลง • นิราศพระบาท (พ.ศ. 2350) – แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และตอ้ งตามเสดจ็ พระองคเ์ จา้ ปฐมวงศ์ไปนมสั การรอยพระพุทธบาททจี่ ังหวดั สระบุรใี นวันมาฆบชู า • นริ าศภเู ขาทอง (ประมาณ พ.ศ. 2371) – แตง่ โดยสมมุตวิ า่ เณรหนพู ดั เปน็ ผู้แตง่ ไปนมัสการ พระเจดยี ภ์ เู ขาทองทจี่ ังหวัดอยธุ ยา • นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ. 2374) – แต่งเมอื่ คร้ังยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวฒั นะที่ จงั หวดั สพุ รรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสนุ ทรภ่ทู ี่แต่งเป็นโคลง • นริ าศวัดเจา้ ฟา้ (ประมาณ พ.ศ. 2375) – แต่งเมอ่ื ครั้งยงั บวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวฒั นะตาม ลายแทงทว่ี ัดเจ้าฟา้ อากาศ (ไมป่ รากฏวา่ ทจี่ รงิ คือวัดใด) ทจี่ งั หวัดอยธุ ยา • นริ าศอเิ หนา (ไมป่ รากฏ, คาดวา่ เปน็ สมยั รชั กาลที่ 3) – แต่งเปน็ เน้ือเรอ่ื งอเิ หนารำพันถงึ นาง บุษบา
รำพันพลิ าป (พ.ศ. 2385) – แตง่ เมื่อครัง้ จำพรรษาอยู่ทว่ี ดั เทพธิดาราม แล้วเกิดฝันรา้ ยวา่ ชะตา ขาด จึงบันทึกความฝันพรอ้ มรำพนั ความอาภพั ของตวั ไว้เป็น “รำพนั พลิ าป” จากนั้นจึงลา สกิ ขาบท • นิราศพระประธม (พ.ศ. 2385) – เชอื่ วา่ แตง่ เมือ่ หลังจากลาสกิ ขาบทและเข้ารับราชการใน พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกล้าเจา้ อยู่หัว ไปนมสั การพระประธมเจดยี ์ (หรอื พระปฐมเจดีย์) ท่เี มือง นครชัยศรี • นริ าศเมืองเพชร (พ.ศ. 2388) – แตง่ เม่ือเขา้ รบั ราชการในพระบาทสมเด็จพระปนิ่ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว เชอ่ื วา่ ไปธุระราชการอย่างใดอยา่ งหน่ึง นิราศเรื่องนี้มีฉบบั คน้ พบเน้ือหาเพม่ิ เตมิ ซง่ึ อ.ล้อม เพง็ แก้ว เช่ือว่า บรรพบรุ ษุ ฝา่ ยมารดาของสุนทรภเู่ ป็นชาวเมืองเพชรบรุ ี นทิ าน • โคบตุ ร : เชือ่ วา่ เปน็ งานประพันธ์ช้ินแรกของสุนทรภู่ เป็นเร่ืองราวของ “โคบตุ ร” ซ่ึงเปน็ โอรส ของพระอาทติ ยก์ บั นางอัปสร แต่เติบโตข้นึ มาด้วยการเลยี้ งดขู องนางราชสหี ์ • พระอภัยมณี : คาดวา่ เร่ิมประพนั ธใ์ นสมยั รชั กาลท่ี 2 และแต่งๆ หยุดๆ เรอ่ื ยมาจนถึงสมัยรชั กาล ที่ 4 เป็นผลงานชน้ิ เอกของสุนทรภู่ ไดร้ ับยกย่องจากวรรณคดสี โมสรใหเ้ ป็นสุดยอดวรรณคดี ไทยประเภทกลอนนิทาน • พระไชยสุรยิ า : เปน็ นทิ านท่สี นุ ทรภู่แตง่ ดว้ ยฉนั ทลักษณป์ ระเภทกาพยห์ ลายชนดิ ไดแ้ ก่ กาพย์ ยานี 11 กาพยฉ์ บงั 16 และกาพยส์ รุ างคนางค์ 28 เป็นนิทานสำหรับสอนอา่ น เน้อื หาเรียงลำดับ ความง่ายไปยาก จากแม่ ก กา แมก่ น กง กก กด กบ กม และเกย เชือ่ ว่าแตง่ ข้ึนประมาณ พ.ศ. 2383 – 2385 • ลักษณวงศ์ : เปน็ นทิ านแนวจักรๆ วงศๆ์ ที่นำโครงเรื่องมาจากนทิ านพื้นบา้ น แต่มีตอนจบท่ี แตกต่างไปจากนทิ านทวั่ ไปเพราะไมไ่ ด้จบด้วยความสุข แต่จบด้วยงานสมโภชศพนางทพิ เกสร ชายาของลกั ษณวงศ์ท่สี ิ้นชีวิตด้วยการสงั่ ประหารของลักษณวงศ์เอง • สิงหไกรภพ : เชอื่ ว่าเร่ิมประพันธ์เมอ่ื คร้งั ถวายอกั ษรแดเ่ จา้ ฟ้าอาภรณ์ ภายหลงั จงึ แต่งถวายกรม หม่นื อปั สรสดุ าเทพ และน่าจะหยดุ แต่งหลังจากกรมหมืน่ อปั สรสดุ าเทพส้ินพระชนม์ สิงหไตร ภพเป็นตัวละครเอกท่ีแตกตา่ งจากตัวพระในเร่ืองอ่ืนๆ เน่อื งจากเป็นคนรักเดียวใจเดยี ว
สุภาษิต • สวสั ดิรกั ษา : คาดว่าประพันธใ์ นสมยั รัชกาลท่ี 2 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแดเ่ จา้ ฟ้า อาภรณ์ • เพลงยาวถวายโอวาท : คาดวา่ ประพนั ธใ์ นสมยั รัชกาลที่ 3 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่ เจา้ ฟา้ กลางและเจา้ ฟ้าปิว๋ • สุภาษติ สอนหญิง : เปน็ หนึง่ ในผลงานซงึ่ ยังเปน็ ที่เคลอื บแคลงว่า สนุ ทรภูเ่ ป็นผู้ประพันธ์จรงิ หรอื ไม่ บทละคร • มีการประพันธไ์ วเ้ พยี งเรื่องเดยี วคือ อภัยนรุ าช ซง่ึ เขียนขน้ึ ในสมยั รัชกาลที่ 4 เพอื่ ถวายพระองค์ เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปน่ิ เกล้าเจ้าอย่หู ัว บทเสภา • ขนุ ช้างขุนแผน • เสภาพระราชพงศาวดาร บทเหก่ ล่อมพระบรรทม นา่ จะแตง่ ข้ึนสำหรบั ใชข้ ับกลอ่ มหม่อมเจา้ ในพระองคเ์ จ้าลกั ขณานคุ ณุ กับพระเจา้ ลูกยาเธอใน พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกล้าเจา้ อย่หู วั เทา่ ทีพ่ บมี 4 เร่อื งคอื • เห่เรือ่ งพระอภยั มณี • เห่เรื่องโคบตุ ร • เหเ่ รอ่ื งจับระบำ • เห่เร่ืองกากี
นิราศเมอื งเพชร-พระสนุ ทรโวหาร นริ าศเมืองเพชร-พระสุนทรโวหาร นิราศเมอื งเพชร เรอ่ื งนีแ้ ต่งเมือ่ ช่วง พ.ศ. ๒๓๘๘ - ๒๓๙๒ ความมุ่งหมาย บันทึกการเดนิ ทางตามพระราชประสงค์พระบาทสมเดจ็ พระป่นิ เกล้าเจา้ อยู่หัว
ลกั ษณะการแต่ง กลอนนริ าศ เนือ้ หาสาระ ออกจากวัดอรณุ รวราราม แลน่ เรอื ผ่านบางกอกใหญ่ คลองบางลำเจยี ก คลองขวาง คลองมหาชัย คลองสามสิบสองคด คลองสุนัขหอน แม่นำ้ แมก่ ลอง จนถงึ บ้านใหม่ บ้านตาล และเพชรบุรี ไหวพ้ ระแลว้ จึงเดินทางกลับ นริ าศเมืองเพชร นิราศเมืองเพชร เปน็ ผลงานการประพนั ธป์ ระเภทกลอนนิราศของสนุ ทรภู่ มีความยาว ๔๑๘ คำกลอน เลา่ เรอื่ งการเดนิ ทางไปเพชรบรุ ี ราวเดือนยี่หรอื เดือนสามในปี พ.ศ. ๒๓๗๔ ซ่ึงขณะนัน้ สนุ ทรภู่มีอายไุ ด้ ๔๖ ปี การเดนิ ทางครง้ั นเ้ี ดนิ ทางโดยเรือ โดยอาสาพระองคเ์ จ้าลักขณานคุ ุณไปขอสงิ่ ของแทนความรกั จากลกู สาวขุน แพ่ง เพราะพระองคท์ รงหมายปองหญงิ คนนอ้ี ยู่ เหตุทสี่ นุ ทรภ่อู าสาเดนิ ทางไปครั้งนกี้ เ็ พราะคิดถงึ พระคณุ ที่ได้ ทรงอปุ การะตน ในการเดนิ ทางครัง้ น้ีเปน็ การเดนิ ทางโดยมีหนูพดั หนนู ลิ และลกู ศิษยต์ ามไปดว้ ย เขา้ ใจว่าเป็นชว่ งเวลาท่ี สุนทรภไู่ ม่มภี รรยาแล้วเพราะมีขอ้ ความหลายตอนในนิราศที่แสดงอารมณต์ ัดพอ้ โดดเดย่ี วเปลีย่ วคู่ มีการกล่าวถงึ อดีตภรรยาอยา่ งแมจ่ นั โดยอาจารยฉ์ ันท์ ขำวไิ ล ได้สนั นษิ ฐานว่าในเวลาน้ันแม่จนั คงจะไดม้ าอยู่กนิ กบั สามใี หมท่ ี่ เพชรบุรี แลว้ มาขออาศยั อยทู่ ี่บา้ นหม่อมบุนนาค เมอื่ สุนทรภู่เดินทางผา่ นมาจงึ ไมก่ ล้าเข้าไปเยีย่ มเหตทุ เี่ คย
เข้าใจวา่ เปน็ เพราะมขี องฝากนัน้ คงจะไมจ่ ริง เพราะกบั คนอืน่ ๆสุนทรภู่มขี องฝากให้ แล้วกับหม่อมบนุ นาคซึ่งเปน็ ผมู้ พี ระคุณทา่ นหน่งึ จะไมม่ ขี องฝากใหไ้ ดอ้ ยา่ งไร ดงั นน้ั ทส่ี ุนทรภไู่ ม่เขา้ ไปเย่ยี มควรจะเปน็ เหตเุ พราะแมจ่ นั เสยี มากกวา่ นอกจากนี้นริ าศเรือ่ งนยี้ ังมกี ารคน้ พบฉบับลายมอื เขยี นเพ่ิมเตมิ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ โดย อ.ลอ้ ม เพง็ แก้ว ซ่ึงจากเนอ้ื หาสว่ นทเี่ พ่ิมเตมิ ขนึ้ มาหลังจากนำไปใหอ้ าจารย์เปลอ้ื ง ณ นคร ผ้เู ชย่ี วชาญด้านผลงานของ สุนทรภมู่ าเปน็ เวลาช้านานมาตรวจสอบทำใหเ้ ชอื่ ไดว้ า่ เป็นสำนวนกลอนของสนุ ทรภจู่ รงิ และเม่ือมกี ารนำกลอน สว่ นท้ายทค่ี น้ พบนีม้ าตอ่ เขา้ กับตัวบทกลอนฉบบั ของราชบณั ฑิตยสถานท่ีรวมพมิ พ์อยูใ่ นหนงั สือ ประชุมกลอน นริ าศเมืองเพชร ซง่ึ อำมาตยเ์ อก พระยาสรุ พนั ธ์เสนี (อิน้ บุนนาค) พิมพใ์ นงานศพคณุ หญงิ สุรพันธ์เสนี (เจียม บุนนาค) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๐ เปน็ ฉบบั ทอ่ี าจารยล์ ้อม เพ็งแกว้ ทา่ นว่าเป็นฉบับที่ถกู ต้องทส่ี ดุ กต็ าม ก็สามารถตอ่ เข้ากันไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ นบั ว่าเปน็ ขอ้ มูลใหม่ทท่ี ำให้นกั วิชาการบางทา่ นเช่ือว่าบรรพชนฝ่ายมารดาของสนุ ทรภู่ น้นั นา่ จะเปน็ ชาวเมืองเพชรบรุ ี เสน้ ทางในนิราศ การเดนิ ทางเรม่ิ ตน้ ออกจากทา่ เรอื หนา้ วัดอรุณราชวรารามไปทางคลองบางกอกใหญ่ คลองบางลำเจียก คลองขวาง คลองมหาไชยออกแม่นำ้ ทา่ จนี เข้าคลองสามสิบสองคด คลองสนุ ขั หอน ออกแมน่ ้ำแมห่ ลองไป ปากอา่ ว ปากคลองโคน ปากคลองชอ่ ง ข้ามอา่ วยี่สาน เข้าคลองตะบนู ถงึ เพชรบรุ ี ขอ้ มูลท่วั ไปของจงั หวัดเพชรบุรี จงั หวัดเพชรบรุ ตี ้ังอย่ทู างทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ของกรุงเทพมหานคร เปน็ เมอื งด่านสำคัญระหว่างภาค กลางและภาคใต้ มีชอ่ื เสียงในฐานะเปน็ แหลง่ ผลิตนำ้ ตาล เนือ่ งจากมตี ้นตาลหนาแนน่ และยงั เปน็ เมืองทอ่ งเทย่ี ว ทส่ี ำคัญ เพชรบรุ มี แี หลง่ ทอ่ งเที่ยวทม่ี ชี ่อื เสยี งมากมายและหลากหลายรปู แบบ ทง้ั ยงั อยไู่ มไ่ กลจากกรงุ เทพฯ จงึ เป็นอีกจงั หวดั หนงึ่ ทนี่ กั ทอ่ งเทยี่ วทงั้ ชาวไทยและชาวต่างประเทศ นิยมไปเทย่ี วพกั ผอ่ นหยอ่ นใจกันมาก จงั หวัดเพชรบรุ มี เี นอ้ื ท่ีประมาณ 6,225,138 ตารางกโิ ลเมตร หรอื ประมาณ 3,890,711 ไร่ จัดเปน็ จงั หวัด ทม่ี ีขนาดใหญเ่ ปน็ อันดบั ท่ี 36 ของประเทศไทย โดยมสี ่วนทกี่ ว้างทส่ี ุดในแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก เป็น ระยะทาง 103 กิโลเมตร และส่วนทีย่ าวท่ีสุดในแนวทิศเหนือ-ใต้ เป็นระยะทาง 80 กโิ ลเมตร ลกั ษณะภมู ิประเทศของเพชรบุรี แบง่ เป็น 3 เขต คอื เขตภูเขาและท่ีราบสูงทางดา้ นตะวันตก เปน็ เทอื กเขาทอดยาวจากเหนือลงใต้ เป็นตน้ กำเนดิ ของแม่นำ้ เพชรบุรีและแม่นำ้ ปราณบรุ ี เขตที่ราบลุ่มแมน่ ำ้ บริเวณ ตอนกลางของจังหวัด เป็นบรเิ วณทอี่ ุดมสมบรู ณท์ ่สี ุดและเป็นเขตเกษตรกรรมทสี่ ำคัญของจงั หวัด เพราะมแี มน่ ำ้ เพชรบรุ ีไหลผ่าน มเี ขอื่ นแก่งกระจานและเขือ่ นเพชรบรุ ี และเขตทรี่ าบชายฝ่งั ทะเลทางดา้ นทิศตะวันออก พื้นที่
ตดิ ชายฝงั่ ทะเลอา่ วไทย ความยาวรวมประมาณ 80 กโิ ลเมตร อุดมไปดว้ ยป่าโกงกางและชายหาดทีส่ วยงาม เปน็ แหลง่ เศรษฐกจิ ท่ีสำคัญของจงั หวัดท้ังในดา้ นการประมงและการท่องเท่ียว เพชรบรุ เี ปน็ เมืองทม่ี ีประวตั ิศาสตรย์ าวนานกว่า 2,000 ปี นบั ตง้ั แตส่ มัยทวารวดี เดมิ เปน็ หน่งึ ในเมือง ศูนยก์ ลางของพระพทุ ธศาสนา มีชื่อทช่ี าวตา่ งประเทศใช้เรยี กตา่ งๆ กนั เช่น ชาวฮอลันดาเรียกว่า “พิพรยี ์”ชาว ฝรง่ั เศสเรยี กว่า “พพิ พีล์” และ “ฟฟิ รี” จึงสันนิษฐานกนั วา่ ชื่อ “เมืองพริบพรี” เป็นช่ือเดมิ ของเมอื งเพชรบรุ ี ซึง่ สอดคลอ้ งกับชอ่ื วดั พริบพลี ทีเ่ ป็นวดั เก่าแก่วัดหนึง่ ของจงั หวัด ในสมยั สุโขทยั และกรุงศรีอยธุ ยา เพชรบรุ เี ปน็ เมอื งหนา้ ด่านท่สี ำคญั ในกลมุ่ หัวเมอื งฝ่ายตะวนั ตก เจ้า เมอื งผู้ปกครองเพชรบุรลี ้วนเป็นผทู้ ี่สืบเช้ือพระวงศ์ ตอ่ มาในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ จงั หวัดเพชรบุรไี ด้เปลี่ยนเป็น เมืองแหง่ การทอ่ งเทย่ี ว พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัวทรงโปรดปรานเมืองเพชรบุรีต้งั แต่ครงั้ ยงั ทรง ผนวชอยู่ เมอื่ เสดจ็ ขนึ้ ครองราชยจ์ ึงโปรดใหส้ รา้ งพระราชวงั วดั และพระเจดยี ใ์ หญ่ขน้ึ บนเขาเต้ยี ๆ ใกลก้ ับตวั เมือง และพระราชทานนามว่า “พระนครคีรี” ตอ่ มาในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดให้สรา้ งพระราชวงั ขนึ้ อีกแหง่ หนง่ึ ในตัว เมอื งเพชรบรุ ี คอื “พระรามราชนิเวศน์” หรือท่ีเรยี กกนั วา่ “วังบา้ นปืน” และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ก็ไดโ้ ปรดใหส้ ร้างพระราชวงั “พระราชนเิ วศน์มฤคทายวัน” ขึน้ ทชี่ ายหาดชะอำในเวลาต่อมา เพื่อใชเ้ ป็น ที่ประทบั รกั ษาพระองค์ ดว้ ยทรงเชอื่ ว่า อากาศชายทะเลและนำ้ ทะเลอาจบรรเทาอาการเจบ็ ปว่ ยได้ จงั หวัดเพชรบุรีจึงถกู เรยี กอกี ช่อื หนง่ึ ว่า “เมอื งสามวัง” นับแตน่ ้นั มา ปัจจบุ นั จงั หวดั เพชรบรุ ีแบ่งการปกครองออกเปน็ 8 อำเภอ คือ อำเภอเมอื งเพชรบรุ ี อำเภอเขายอ้ ย อำเภอหนองหญา้ ปลอ้ ง อำเภอชะอำ อำเภอทา่ ยาง อำเภอบ้านลาด อำเภอบ้านแหลม และอำเภอแก่งกระจาน
บทวเิ คราะหน์ ริ าศเมืองเพชร บทวเิ คราะหค์ ุณค่าดา้ นตา่ งๆ ๑. คณุ ค่าทางด้านวรรณศิลป์ ๑.๑ การสรรคำ ทา่ นสุนทรภูช่ อบใช้คำง่ายๆ ธรรมดาๆ ท่ีชาวบ้านใช้กัน โดยไม่นิยมใช้ศัพท์ทีเ่ ปน็ คำศัพท์ซึง่ มา จากภาษาอ่นื ดงั เช่นท่ใี ชใ้ นการแต่งฉันท์ เนอื่ งจากเหน็ ว่าคำศพั ท์เหล่าน้นั หากชาวบ้านทัว่ ไปฟงั ก็จะไมค่ อ่ ยรเู้ ร่อื ง แตค่ ำ ทท่ี า่ นใชน้ น้ั กม็ ใิ ช่คำพน้ื ๆ แต่หากเป็นคำทีส่ ุนทรภเู่ ลอื กสรรแล้ววา่ มีความหมายเข้มขน้ ลกึ ซงึ้ และสะเทอื นอารมณ์ ยกตวั อย่างเชน่ เมื่อตอนทสี่ ุนทรภเู่ ดินทางไปเมอื งเพชรบุรี ผ่านถำ้ แลว้ รำลกึ ถึงความหลงั เมอื่ ครง้ั ท่เี คยพาแมจ่ ันหนมี า ดงั น้ี ๏ แล้วเดนิ ดภู ูผาศิลาเลอื่ ม บ้างงอกเง้อื มเงาระยบั สลับสี เปน็ หอ้ งนอ้ ยรอยหนงั สือลายมือมี คดิ ถึงปเี ม่ือเปน็ บ้าเคยมานอน ชมลกู จันกล่นั กลนิ่ ระรินร่ืน จนเท่ยี งคนื แขนซ้ายกลายเปน็ หมอน เห็นห้องหนิ ศลิ าน่าอาวรณ์ เคยกลา่ วกลอนกลอ่ มชา้ โอ้ชาตรี ( นิราศเมืองเพชร : ๓๖๘-๓๖๙ ) สุนทรภู่ออกเดนิ ทางผา่ นวดั กก เห็นสภาพของวัดท่รี ้าง แล้วรำพงึ ออกมาว่า ๏ ถงึ วัดกกรกร้างอยขู่ ้างซา้ ย เป็นรอยรายปืนพม่าทีฝ่ าผนัง ถูกทะลปุ รไุ ปแตไ่ ม่พัง แต่โบสถ์ยังทนปนื อยู่ยืนนาน แมน้ มง่ั มีมใิ หร้ า้ งจะสรา้ งฉลอง ให้เรอื งรองรุ่งโรจน์โบสถว์ หิ าร ดว้ ยท่ีนที่ ี่เคยตงั้ โขลนทวาร ไดเ้ บกิ บานประตปู า่ พนาลยั ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๕ ) สนุ ทรภไู่ ด้เดนิ ทางผ่านแมน่ ำ้ แมก่ ลอง ล่องเรอื ชมห่ิงห้อย ดงั นี้ ห่งิ หอ้ ยจับวบั วามอร่ามเหลือง ดรู ุ่งเรอื งรายจำรสั ประภัสสร เหมอื นแหวนก้อยพลอยพรายเมอ่ื กรายกร ยงั อาวรณ์แหวนประดับดว้ ยลับตา ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๕ )
๑.๒ เสียงเสนาะ มสี ัมผสั ลีลาจงั หวะ การเลียนเสียงธรรมชาติ และการเลน่ คำ สมั ผสั ลีลาและจงั หวะ สนุ ทรภ่เู ลน่ ทงั้ เสยี งสมั ผัสสระและสัมผสั พยญั ชนะ รวมท้งั จดั ช่วงจงั หวะอยา่ ง เหมาะเจาะทำให้บทรอ้ ยกรองเกดิ ความไพเราะ เช่น โอ้เอน็ ดูปไู ม่มซี ึ่งศรี ษะ เท้าระกะกอ้ มโกงโมง่ โค่งขัน ไมม่ ีเลือดเชอื ดฉะปะแต่มัน เปน็ เพศพนั ธไ์ุ รผ้ วั เพราะมัวเมา โอ้นึกนึกดกึ เงยี บยะเยยี บอก ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๗ ) เห็นแต่กกกอปรงเปน็ พงไสว ลดาวลั ย์พันพุ่มชอมุ่ ใบ เรไรไพเราะรอ้ งซ้องสำเนียง ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๕๕ ) การเลียนเสียงธรรมชาติ สนุ ทรภู่สามารถสอดใส่คำทีม่ เี สียงเลียนธรรมชาติไวใ้ นบทรอ้ ยกรองของทา่ นได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผูอ้ ่านเขา้ ถึงการพรรณนาในตอนน้นั ๆ มากยง่ิ ขนึ้ เช่น เสยี งกรอดเกรยี ดเขียดกบเข้าขบเข้ยี ว เหมือนกรบั เกรยี้ วกรอดกรดี วะหวเี สยี ง หริง่ หริ่งแรแ่ ม่มา่ ยลองไนเรยี ง แซส่ ำเนยี งหนาวในใจรำจวน เหมอื นดนตรปี ่ีป่าประสายาก ทั้งสองฟากฟังใหอ้ าลยั หวน ดงั ขับขานหวานเสยี งสำเนียงนวล เมอ่ื โอดครวญคราวฟังให้วังเวง ทัง้ ยุงชมุ รุมกดั ปัดเปรียะประ ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๕ ) เสียงผัวะผะพบึ พบั ปบุ ปับแปะ ทเ่ี ขน็ เรยี งเคยี งลำขยำแขยะ มนั เกาะแกะกนั จรงิ จรงิ หญงิ กบั ชาย ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๕๘ ) การเล่นคำ สนุ ทรภเู่ ล่นคำในบทรอ้ ยกรองของท่านหลายแบบท้ังซำ้ คำ ซ้ำความ และซำ้ อกั ษร ซง้ึ ทำใหเ้ กดิ เสียงเสนาะ และความหมายท่ีลกึ ซึง้ เช่น ๏ ถึงวดั บางนางชมี แี ต่สงฆ์ ไม่เห็นองคน์ างชอี ยู่ท่ไี หน หรือหลวงชมี บี า้ งเป็นอย่างไร คดิ จะใคร่แวะหาปรกึ ษาชี ก็มืดค่ำอำลาทิพาวาส เลยลีลาศล่วงทางกลางวิถี ถงึ วดั บางนางนองแมน้ น้องมี มาถงึ ทก่ี ็จะต้องนองนำ้ ตา
๏ บางประทนุ เหมอื นประทนุ ไดอ้ ุ่นจิต ( นิราศเมอื งเพชร : ๓๕๔ ) หนาวนำ้ ค้างพร่างพรมลมรำเพย พอปอ้ งปดิ เปน็ หลังคานิจจาเอ๋ย ๏ ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา ได้พงิ เขนยนอนอุ่นประทนุ บัง ทกุ วนั นว้ี ิตกเพียงอกพัง ใครหนอมาแนะแหนกนั แตห่ ลัง แนะให้มงั่ แลว้ กเ็ หน็ จะเปน็ การ ๏ ถงึ บางบอนบอนที่นมี่ แี ตช่ ื่อ อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมัน ( นริ าศเมอื งเพชร : ๓๕๔ ) เขาเล่อื งลอื บอนข้าบางยี่ขัน แตป่ ากคนั แกไ้ ขมิใครฟ่ ัง ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๕ ) ๏ ถึงคลองนามสามสบิ สองคดคุ้ง ชะวากวุง้ เวียนซา้ ยมาฝ่ายขวา ให้หนูนอ้ ยคอยนบั ในนาวา แต่หนึง่ มาถ้วนสามสิบสองคด อันคดอ่นื หมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจมนษุ ย์สดุ กำหนด ท้งั ลวงลอ่ งอเง้ียวทัง้ เล้ยี วลด ถึงคลองคดก็ยงั ไมเ่ หมอื นใคน ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๗ ) ๑.๓ ความหมายอนั ลึกซ้งึ กนิ ใจ สุนทรภมู่ ีกลวธิ ีการแตง่ บทรอ้ ยกรองที่สามารถทำใหผ้ อู้ า่ นเกิดความรู้สกึ ซาบซ้ึงประทบั ใจหลายประการเช่น การใชโ้ วหารภาพพจน์ การสะท้อนความรู้สกึ และการสร้างบรรยากาศ เปน็ ต้น การใช้โวหาร ในบทรอ้ ยกรองสนุ ทรภสู่ ุนทรภู่มกี ารใช้ทัง้ อุปมา อปุ ลกั ษณ์ สัทพจน์ และปฏิปุจฉาดังน้ี อุปมา คือ การเปรยี บเทยี บว่าสง่ิ หนึ่งเหมือนกบั สิ่งหนงึ่ โดยใช้คำเชื่อมท่มี ีความหมายเช่นเดยี วกับคำวา่ “เหมอื น” เช่น ดุจ ดง่ั ราว ราวกับ เปรียบ ประดจุ เฉก เล่ห์ ปาน ประหนึ่ง เพียง เพ้ยี ง พ่าง ปูน ถนดั หม้าย เสมอ ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น เวลาเยน็ เหน็ นกวิหคบิน ไปหากินแลว้ กพ็ ากันมารัง บา้ งเคียงคูช่ ูคอเสยี งซ้อแซ้ โอ้แลแลแลว้ กใ็ ห้อาลยั หลัง แมน้ ร่วมเรือนเหมือนนกทีก่ กรัง จะได้นง่ั แนบข้างเหมือนอยา่ งนก น่ีกระไรไมม่ เี ท่าก่กี อ้ ย โอ้บุญน้อยนึกน่านำ้ ตาตก ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๕๙ ) อันคดอ่ืนหมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด ท้ังลวงลอ่ งอเงีย้ วทั้งเล้ยี วลด ถึงคลองคดก็ยงั ไม่เหมือนใจคน ( นริ าศเมอื งเพชร : ๓๕๗ ) อปุ ลักษณ์ คือเปน็ การเปรียบเทียบเหมือนกัน แตเ่ ปน็ การเปรียบเทยี บสง่ิ หนึง่ เป็นอีกส่ิงหน่ึง ใหค้ วามรูส้ ึกหนักแน่นกว่า อุปมา (คำทใ่ี ชส้ งั เกต : เปน็ คอื เท่า) * อปุ ลักษณ์จะไม่กลา่ วโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใชว้ ิธกี ลา่ วเป็นนัยใหเ้ ข้าใจเอาเอง ท่ีสำคญั อปุ ลักษณจ์ ะไมม่ ี คำเช่ือมเหมอื นอุปมา ตัวอย่างเช่น ถึงศรี ษะกระบือเปน็ ชื่อบา้ น ระยะยา่ นยงุ ชมุ รุมขม่ เหง ทัง้ กมุ ภากลา้ หาญเขาพานเกรง ใหว้ ังเวงวิญญาณ์เอกากาย ( นริ าศเมอื งเพชร : ๓๕๕ ) สัทพจน์ ภาพพจนท์ ่ีเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงดนตรี เสียงสัตว์ เสียงคลน่ื เสยี งลม เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล ฯลฯ การใชภ้ าพพจน์ประเภทน้ีจะทำให้เหมือนไดย้ นิ เสียงน้นั จรงิ ๆ
ตัวอย่างเช่น เหมอื นกรับเกรี้ยวกรอดกรดี วะหวีเสยี ง เสียงกรอดเกรยี ดเขียดกบเข้าขบเข้ยี ว หริง่ หริง่ แรแ่ ม่มา่ ยลองไนเรยี ง แซ่สำเนยี งหนาวในใจรำจวน เหมือนดนตรปี ่ีป่าประสายาก ทั้งสองฟากฟังใหอ้ าลยั หวน ดังขบั ขานหวานเสยี งสำเนียงนวล เม่อื โอดครวญคราวฟังใหว้ ังเวง ฯ ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๕ ) เสียงชะนีที่เหลา่ เขาย่ีสาน วเิ วกหวานหวัวหววั ผวั ผัวโหวย หวิวหวิวไหวไดย้ นิ ยง่ิ ดน้ิ โดย ชะนโี หยหาคไู่ ม่ร้วู าย ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๖๐ ) ปฏปิ ุจฉา หมายถึง การใช้คำถามถามออกไปเพื่อใหเ้ กดิ ผลอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ แต่มใิ ช่คำตอบของคำถามน้ันตรงๆ ซึ่งกค็ อื “คำถามท่ไี ม่ตอ้ งการคำตอบ” นัน่ เอง ตวั อยา่ งเช่น ถึงวดั บางนางชีมีแตส่ งฆ์ ไม่เหน็ องคน์ างชอี ยู่ท่ีไหน หรอื หลวงชมี บี ้างเปน็ อยา่ งไร คิดจะใคร่แวะหาปรกึ ษาชี ถงึ คลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๔ ) ใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง ทกุ วันนี้วติ กเพยี งอกพัง แนะใหม้ ่งั แลว้ ก็เหน็ จะเป็นการ ๚ ( นิราศเมอื งเพชร : ๓๕๔ ) การใช้ภาพพจน์ สุนทรภู่สามารถบรรยายหรือพรรณนาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนจนผู้อา่ นแลเหน็ ภาพไดอ้ ย่างลกึ ซ้ึง
พรรณนาโวหาร สนุ ทรภูไ่ ด้เล่าการทัศนาชมทะเล ชมธรรมชาติ ท่ตี นพบเจอผ่านบทร้อยกรองดังนี้ ๏ ข้างฝง่ั ซ้ายชายทะเลเปน็ ลมคลื่น นภางคพ์ นื้ เผือดแดงดังแสงเสน แมน่ ำ้ กว้างว้างเวิง้ เป็นเชงิ เลน ลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า หยดุ ประทับยับยัง้ อย่ฝู ง่ั ซา้ ย แสนสบายบงั ลมร่มรกุ ขา บรรดาเรอื เหนอื ใต้ทั้งไปมา คอยคงคาเกล่อื นกลาดไมข่ าดคราว บ้างหุงต้มงมงายทง้ั ชายหญิง บ้างแกงป้งิ ปากเรยี กกันเพรียกฉาว เสียงแต่ตำน้ำพรกิ อยู่กรกิ กราว เหมอื นเสยี งส้าวเกราะโกร่งที่โรงงาน ๏ เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ มาคอยขอโภชนากระยาหาร คนทั้งหลายชายหญิงทงิ้ ให้ทาน ตา่ งลนลานลว้ งไดเ้ อาไพล่พลิ้ว เวทนาวานรอ่อนน้อยนอ้ ย กระจ้อยร่อยกระจริ ดิ จดิ จีดจิ๋ว บ้างเกาะแมแ่ ลโลดกระโดดปลิว ดูหอบห้ิวมใิ หถ้ กู ตัวลกู เลย ๏ โอพ้ ่อแม่แต่ชน้ั ลงิ ไม่ทง้ิ บตุ ร เพราะแสนสดุ เสนห่ านิจจาเอ๋ย ท่ีลกู อ่อนป้อนนมนงั่ ชมเชย กระไรเลยแลเหน็ นา่ เอ็นดู แตล่ งิ ใหญ่อ้ายทโมนมนั โลนเหลือ จนชาวเรือเมินหมดดว้ ยอดสู ทงั้ ลิงเผือกเทอื กเถามนั เจา้ ชู้ ใครแลดมู นั นกั มนั ยกั ค้ิว บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว เขาโหเ่ กรยี วประเด๋ยี วใจก็ไพลพ่ ล้ิว กลบั ชีน้ ิว้ ให้ดอู ดสูตา ( นริ าศเมอื งเพชร : ๓๕๖ ) การบรรยายโวหาร ในระหว่างการเดนิ ไปเพชรบุรี สุนทรภไู่ ด้ไปบา้ นทา่ นขนุ เพ่งผู้ทตี่ นเคยมาพึง่ ใบบญุ อาศยั ด้วย แลว้ สนุ ทรภไู่ ดร้ ำลึกถงึ ความหลังมกี ารบรรยายการทำขา้ วเม่ากบั ท่านขนุ เพง่ ครง้ั เมื่อทา่ นยังมีชีวติ อยู่ ดังน้ี
๏ โอ้คิดถึงพึ่งบุญทา่ นขุนแพ่ง ไปหน้าแลง้ รบั แขกแรกวสนั ต์ ตำขา้ วเมา่ เคล้านำ้ ตาลท้งั หวานมัน ไดช้ ว่ ยกนั ค้ันขยำน้ำกะทิ เขาไปเที่ยวเกย่ี วขา้ วอยเู่ ฝา้ หอ้ ง เหมือนพ่ีน้องนึกโออ้ โหสิ ( นริ าศเมอื งเพชร : ๓๖๖ ) การสะทอ้ นอารมณ์ความรู้สึกและการสร้างบรรยากาศ ในบทรอ้ ยกรองของสุนทรภ่โู ดยเฉพาะนริ าศ ซ่ึงสนุ ทรภู่ แตง่ ข้นึ จากความร้สู ึกที่แทจ้ ริงน้นั ไดส้ ะท้อนออกมาให้เหน็ อยา่ งชดั แจ้ง นอกจากนท้ี า่ นยังสรา้ งบรรยากาศท่ีเหมาะสม และสอดคล้องกับเน้อื เรือ่ งได้เปน็ อย่างดี เช่น ในตอนท่สี ุนทรภู่ได้รำพงึ รำพนั รำลกึ ถงึ ความหลัง ผา่ นภูเขาทตี่ นเคยพาแม่จนั หนีมาอาศัยท่ถี ำ้ ดังน้ี ๏ แล้วเดนิ ดูภูผาศิลาเล่ือม บ้างงอกเง้อื มเงาระยบั สลบั สี เป็นหอ้ งนอ้ ยรอยหนงั สอื ลายมือมี คดิ ถึงปเี มอ่ื เปน็ บ้าเคยมานอน ชมลกู จนั กล่ันกลิ่นระรินร่ืน จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน เหน็ หอ้ งหินศิลาน่าอาวรณ์ เคยกลา่ วกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี พอจวนรุง่ ฝูงนกวิหครอ้ ง เรไรซ้องเสียงจังหรดี ดงั ดีดสี คิดคะนึงถึงตัวกลวั ตอ้ งตี ตอ่ ชา้ ปีจงึ ค่อยวายฟายน้ำตา ( นิราศเมอื งเพชร : ๓๖๘-๓๖๙ )
และตอนท่ีสนุ ทรภไู่ ด้ไปเย่ียมบ้านหม่อมบุนนาคไดร้ ำพนั ถงึ บญุ คุณของหมอ่ มบญุ นาคครัน้ ตอนวยั หนุ่มที่ตนเคย รกั กับแมจ่ ันแลว้ หม่อมบุนนาคเคยชว่ ยเหลอื ไว้ ๏ ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุนนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย มารดาเจา้ คราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนาทา่ นการุญ เม่ือเจบ็ ป่วยชว่ ยรักษาจะหาคู่ จะขอสู่ใหเ้ ปน็ เน้ือชว่ ยเก้ือหนุน ยังยากไรไ้ ม่มีของสนองคุณ ขอแบ่งบุญให้ทา่ นทว่ั ทกุ ตัวตน ท้ังนารที ี่ได้รักลกั รำลึก เปน็ แต่นึกลบั หลังหลายครั้งหน ขอสมาอยา่ ได้มรี าคีปน เป็นต่างคนต่างแคล้วแล้วกนั ไป แตป่ รางทองน้องหญงิ ยงั จรงิ จิต แนบสนทิ นับเช้ือว่าเน้ือไข จะแวะหาสารพัดยงั ขดั ใน ตอ้ งอายใจจำลากลวั ช้าการ ( นิราศเมืองเพชร : ๓๖๔ ) ๒. คณุ ค่าทางด้านความรแู้ ละข้อคิด ๒.๑ ความรูเ้ กี่ยวถ้อยคำและสำนวน สุนทรภู่ไดใ้ ห้ความรูเ้ กย่ี วกบั ทีม่ าของสำนวนบางสำนวน เช่น สำนวนปากบอน ทีห่ มายถึง อาการปากอยู่ไมส่ ุข ชอบพดู ชอบฟอ้ ง ชอบนนิ ทา สุนทรภูก่ ล่าวไว้ในบทประพันธ์ ดงั น้ี ๏ ถงึ บางบอนบอนที่นมี่ แี ต่ช่ือ เขาเลื่องลือบอนข้างบางยี่ขัน อันบอนต้นบอนน้ำตาลยอ่ มหวานมัน แตป่ ากคนั แก้ไขมใิ คร่ฟัง ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๕๘ ) และสำนวนปน้ั น้ำเปน็ ตวั ท่หี มายถึง โกหก แต่งเรอื่ งขน้ึ สุนทรภกู่ ล่าวไวใ้ นบทประพันธ์ ดงั นี้ ถงึ บางขวางข้างซ้ายชายชลา ไขคงคาขงั นำ้ ไว้ทำเกลือ หรอื บา้ นนีท้ ีเ่ ขาวา่ ตำราร่ำ ชา่ งปน้ั นำ้ เป็นตวั น่ากลัวเหลือ ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๗ )
๒.๒ ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ ธรรมชาตขิ องสัตว์ วรรณกรรมของสนุ ทรภใู่ ห้ความรเู้ กย่ี วกับข้อเทจ็ จริงของธรรมชาติหลายอย่าง ดงั ต่อไปนี้ เมอ่ื ตอนท่ีสนุ ทรภเู่ ดนิ ทางปากอ่าวแม่กลอง ได้เหน็ ปชู ุกชุม จึงไดก้ ล่าวถึงธรรมชาตขิ องปูตามทท่ี า่ นได้ทราบมา ดงั ปรากฏไวว้ ่า โอ้เอ็นดูปูไมม่ ซี งึ่ ศรี ษะ เท้าระกะกอ้ มโกงโมง่ โคง่ ขัน ไมม่ ีเลอื ดเชือดฉะปะแตม่ ัน เปน็ เพศพันธไ์ุ ร้ผัวเพราะมวั เมา แมน้ เมียออกลอกคราบไปคาบเหย่ือ เอามาเผอื่ ภรรยาเมตตาเขา ระวังดอู ย่ปู ระจำทุกค่ำเช้า อตุ สา่ ห์เฝา้ ฟูมฟกั เพราะรักเมีย ถึงทผี ัวตวั ลอกพอออกคราบ เมยี มนั คาบคบี เน้ือเป็นเหยอื่ เสีย จงึ เกดิ ไข่ไรผ้ ัวเทีย่ วยว้ั เย้ีย ยงั แตเ่ มียเคลอื่ นคลอ้ ยขึ้นลอยแพ ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๕๗ ) และสัตว์อีกชนิดหนง่ึ ท่สี ุนทรภู่ไดใ้ หค้ วามรูเ้ กย่ี วกับธรรมชาตขิ องมนั ไว้อย่างนา่ สนใจคือลงิ ท่านไดก้ ลา่ วถงึ ลิงไว้ และตอ่ ท้ายดว้ ยการกล่าวถึงแมงดาอีกคร้งั หน่งึ ว่า ๏ เหน็ ฝูงลิงวิง่ ตามกันสอสอ มาคอยขอโภชนากระยาหาร คนท้งั หลายชายหญงิ ทง้ิ ใหท้ าน ตา่ งลนลานลว้ งไดเ้ อาไพลพ่ ลิ้ว เวทนาวานรออ่ นนอ้ ยนอ้ ย กระจอ้ ยรอ่ ยกระจริ ิดจดิ จีดจ๋ิว บ้างเกาะแมแ่ ลโลดกระโดดปลิว ดูหอบหิว้ มิใหถ้ ูกตวั ลกู เลย ๚ ๏ โอพ้ ่อแม่แตช่ ัน้ ลิงไมท่ ิง้ บตุ ร เพราะแสนสุดเสนห่ านจิ จาเอ๋ย ทล่ี ูกออ่ นปอ้ นนมนัง่ ชมเชย กระไรเลยแลเห็นน่าเอน็ ดู แต่ลงิ ใหญ่อ้ายทโมนมนั โลนเหลือ จนชาวเรอื เมินหมดดว้ ยอดสู ทง้ั ลงิ เผือกเทอื กเถามนั เจ้าชู้ ใครแลดูมันนักมันยกั คิ้ว ( นริ าศเมอื งเพชร : ๓๕๖ )
ตลอดหลามตามตลง่ิ ล้วนลิงโลน อา้ ยทโมนนำหน้าเทย่ี วควา้ ปู ครั้นล้วงชุดสดุ อย่างเอาหางยอน มันหนีบนอนรอ้ งเกลอื กเสือกหัวหู เพอ่ื นเขา้ คร่าหนา้ หลังออกพร่งั พรู ลากเอาปอู อกมาไดไ้ อ้กะโต ทงั้ หอยแครงแมงดามันหาคลอ่ ง ฉีกกระดองกนิ ไขม่ ใิ ชโ่ ง่ ไดอ้ ม่ิ อ้วนท้วนหมดไมอ่ ดโซ อกเอย๋ โอเ้ อ็นดหู มู่แมงดา ให้สามีขี่หลังเทยี่ วฝ่งั แฝง ตามหลา้ แหลง่ เลนเค็มเลม็ ภักษา เขาจบั เปน็ เห็นสมเพชเวทนา ท้งิ แมงดาผัวเสียเอาเมียไป ฝา่ ยตวั ผอู้ ยู่เดยี วเที่ยวไม่รอด เหมือนตาบอดมิไดแ้ จง้ ตำแหน่งไหน ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ กบ็ รรลยั แลกลาดดาษดา ( นิราศเมืองเพชร : ๓๖๑ ) ๓.๓ คุณค่าทางดา้ นความคิด สุนทรภู่ไดส้ อดแทรกข้อคิด คติชวี ิต และธรรมชาติของมนษุ ยไ์ วใ้ นรูปแบบสำนวนและสภุ าษิต เช่นในตอนท่ี สุนทรภู่ได้เดนิ ทางผา่ นย่านบางซ่ือ กล่าวในบทประพันธไ์ ว้ดงั นี้ ถงึ ย่านซ่ือสมชื่อด้วยซ่อื สุด ใจมนุษยเ์ หมอื นกระนี้แลว้ ดีเหลือ เป็นป่าปรงพงพ่มุ ดูครมุ เครือ เหมอื นซุม้ เสอื ซ่อนรา้ ยไวภ้ ายใน ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๕๕ ) สุนทรภู่ไดส้ อนเรือ่ งคณุ ธรรมจริยธรรม สจั ธรรมแหง่ ชีวติ ใหก้ บั หนูน้อยในเรื่องของใจคด กล่าวในบทประพนั ธ์ ไวด้ งั น้ี ๏ ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง ชะวากวุ้งเวยี นซา้ ยมาฝา่ ยขวา ให้หนูนอ้ ยคอยนบั ในนาวา แตห่ นง่ึ มาถว้ นสามสบิ สองคด อันคดอ่นื หม่นื คดกำหนดแน่ เว้นเสยี แต่ใจมนุษยส์ ดุ กำหนด ทง้ั ลวงล่องอเงยี้ วท้งั เล้ียวลด ถึงคลองคดก็ยังไม่เหมือนใจคน ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๗ )
กล่าวถงึ สำนวนไทยป้ันนำ้ เป็นตวั ไวด้ ังนี้ ไขคงคาขังน้ำไวท้ ำเกลือ ถงึ บางขวางขา้ งซ้ายชายชลา ช่างป้นั นำ้ เป็นตัวนา่ กลวั เหลือ หรือบ้านนีท้ ี่เขาว่าตำราร่ำ ( นิราศเมอื งเพชร : ๓๕๗ ) สอดแทรกข้อคิดความรกั ของแมท่ ี่มีต่อลูกไว้ดงั นี้ เวทนาวานรออ่ นนอ้ ยนอ้ ย กระจ้อยร่อยกระจริ ิดจดิ จีดจิ๋ว บ้างเกาะแมแ่ ลโลดกระโดดปลิว ดหู อบห้ิวมิให้ถกู ตวั ลูกเลย โอ้พอ่ แม่แตช่ ้ันลงิ ไมท่ ง้ิ บตุ ร เพราะแสนสุดเสนห่ านิจจาเอ๋ย ทล่ี กู ออ่ นป้อนนมนัง่ ชมเชย กระไรเลยแลเห็นนา่ เอน็ ดู สอดแทรกสัจธรรม มเี กดิ ขนึ้ มดี บั ไปไว้ดงั นี้ ( นิราศเมืองเพชร : ๓๕๖ ) ๏ ถงึ ที่วังตง้ั ประทบั รับเสด็จ ใหป้ ลอ่ ยไปในทะเลเอาเพดาน มาทรงเบ็ดปลากะโห้ไม่สังหาร แตเ่ ด๋ียวนี้ทีว่ ังก็รง้ั ร้าง แตโ่ บราณเรยี กวา่ องคพ์ ระทรงปลา ยังแลเล่ยี นเตียนดีที่พลบั พลา เป็นรอยทางทุบปราบราบรุกขา เดมิ เปน็ ป่ามาเป็นวังตงั้ ประทับ นกึ ระอาอนจิ จงั ไมย่ งั่ ยนื เหมอื นมียศลดลงไม่คงคืน แลว้ ก็กลับไปเปน็ ป่าไม่ฝ่าฝืน นึกสะอืน้ อายใจมาในเรือ ( นริ าศเมืองเพชร : ๓๖๒ )
นริ าศภเู ขาทอง-พระสุนทรโวหาร ความเป็นมา สนุ ทรภู่แตง่ นิราศภเู ขาทองในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อยหู่ ัว เมอื่ ราวปลาย พ.ศ. ๒๓๕๓ โดยเลา่ ถงึ การเดินทางเพอ่ื ไปนมสั การเจดียภ์ เู ขาทองท่ีเมืองกรุงเก่าหรือจังหวัดพระนครศรอี ยุธยาในปัจจบุ ัน หลงั จากจำพรรษาอยทู่ ่วี ัดราช-บรุ ณะหรอื วดั เลยี บ นริ าศ นิราศเรื่องแรกของไทยนน้ั ได้แก่ โคลงนิราศหริภุญชยั เนอื้ หาของนิราศส่วนใหญ่มกั เป็นการครำ่ ครวญ ของกวี ต่อ สตรีอันเป็นท่รี ัก เน่ืองจากต้องพลดั พรากจากนางมาไกล อย่างไรก็ตาม นางในนิราศท่ีกวีพรรณนาว่า จากมานนั้ อาจมีตัวตนหรอื ไม่มกี ไ็ ด้ แต่กวีส่วนใหญถ่ อื วา่ นางเป็นที่รักเป็นปัจจยั สำคัญทจ่ี ะเอือ้ ให้กวีแต่งนิราศได้ ไพเราะแม้ในสมยั หลงั กวีอาจไม่ได้ใหค้ วามสำคัญเร่ืองการคร่ำครวญถงึ นาง แต่เน้นทีก่ ารบนั ทกึ ระยะทางการ เดินทาง
ลักษณะคำประพนั ธ์ แตง่ ดว้ ยคำประพนั ธ์ประเภทกลอนนิราศซง่ึ มลี ักษณะคลา้ ยกลอนสภุ าพแตม่ คี วามแตกต่างกันตรงทีก่ ลอนนริ าศจะ แตง่ ขึน้ ต้นเรื่องด้วยกลอนวรรครับและจะจบลงดว้ ยคำว่า”เอย” เร่ืองยอ่ สนุ ทรภู่เริม่ เรือ่ งด้วยการปรารภถึงสาเหตทุ ่ตี อ้ งออกจากวดั ราชบรุ ณะและการเดนิ ทางโดยเรอื พร้อมหนูพัด ซึ่งเป็นบตุ รชาย ล่องไปตามลำน้ำเจ้าพระยาผ่านพระบรมมหาราชวงั จนมาถึงวดั ประโคนปกั ผา่ นโรงเหล้า บางจาก บางพลู บางโพ บา้ นญวน วัดเขมา ตลาดแก้ว ตลาดขวญั บางธรณี เกาะเกรด็ บางพูด บา้ นใหม่ บางเดอ่ื บางหลวง เชงิ ราก สามโคก บา้ นงว้ิ เกาะใหญ่ราชคราม จนถึงกรงุ เกา่ เมื่อเวลาเยน็ โดยจอดเรือพักที่ท่านำ้ วัดพระเมรุ ครัน้ รงุ่ เชา้ จงึ ไปนมสั การเจดยี ์ภเู ขาทองส่วนขากลบั สนุ ทรภ่กู ลา่ วแต่เพยี งวา่ เม่อื ถงึ กรงุ เทพ ไดจ้ อดเทยี บเรือท่าน้ำหนา้ วัด อรุณราชวรารามราชวรมหาวหิ าร คณุ ค่าดา้ นเนื้อหา ๑ สะท้อนวถิ ชี วี ิตและวัฒนธรรมแสดงให้เหน็ ถึงสภาพบ้านเมอื ง สงั คม วัฒนธรรม และวถิ ชี วี ติ ของผูค้ น อาทิ ๑.๑ การตดิ ต่อคา้ ขาย ภาพการคา้ ขายดำเนนิ ไปอย่างคึกคกั ๑.๒ ชมุ ชนชาวต่างชาติ กล่าวถงึ หญงิ สาวชาวมอญ ซ่ึงอาศัยอยใู่ นย่านปากเกร็ด (เขตจังหวดั นนทบรุ ี) ๑. ๓ การละเล่นและงานมหรสพ อาทิ งานลองผา้ ป่า มกี ารประดบั ประดาโคมไฟ การขบั เสภา รอ้ งเพลงเรอื เกี้ยว กัน ๒ ตำนานสถานที่ อาทิ วดั ประโคนปัก เหตทุ ีว่ ดั ชอื่ ว่าประโคนปัก เน่อื งจากมกี ารเลา่ สบื ตอ่ กนั มาวา่ บริเวณนเี้ ป็นท่ี ปกั เสาประโคนเพื่อปักเขตแดน ๓ ความเช่ือของไทย มกั เกย่ี วเนือ่ งในพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะเรอื่ งนรก-สวรรค์ อาทิ ความเช่อื ท่วี ่าหากใครคบ ชู้ คอื ผนู้ น้ั จะตกนรกและต้องปนี ตน้ ง้วิ ๔.แง่คิดเกย่ี วกับความจริงในชวี ติ บทประพันธข์ องสนุ ทรภู่มกั ได้รบั การยกย่องอยู่เสมอว่ามี เน้อื หาท่สี อดแทรกข้อคิด คตกิ ารดำเนินชีวติ และช่วยยกระดบั จติ ใจของผูอ้ า่ น สุนทรภู่ยงั ให้แง่ คดิ เรอ่ื งการเลอื กคบคนวา่ ไม่ควรประมาทและไมควรวางใจผใู้ ดงา่ ยๆเนือ่ งจากบางคนพดู หรอื ทำให้เราเห็นว่าเขา เปน็ คนดี แต่แท้จรงิ แล้วเขาอาจเป็นคนทม่ี ีจิตใจไม่ดี
นริ าศเมอื งแกลง-พระสนุ ทรโวหาร นริ าศเมืองแกลง สนุ ทรภแู่ ตง่ เมื่อคร้งั เดนิ ทางไปเยีย่ มบิดาท่ีบ้านกร่ำ เมืองแกลง จงั หวดั ระยอง ในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ผแู้ ต่ง สุนทรภู่ เดมิ มีชื่อว่า ภู่ เกดิ เมอื่ วนั ท่ี ๒๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ทีเ่ มืองแกลง มีอุปนสิ ยั ไม่ชอบทำงาน ตดิ เหล้า สุนทรภมู่ ีภรรยาถึง 2 คนด้วยกันชอ่ื นมิ่ กบั จัน ต่อมาในรชั กาลที่ ๒ สนุ ทรภู่ เป็นคนที่โปรดปรานและได้รบั ตำแหนง่ เป็น ขุนสุนทรโวหาร ในกรมอาลกั ษณ์ เมอ่ื ส้นิ รัชกาลท่ี ๒ ชีวติ สุนทรภ่เู รม่ิ ตกต่ำ ถกู ถอดออกตำแหนง่ ขนุ สุนทรโวหาร จากนั้นสุนทรภไู่ ดม้ าอยู่ทว่ี ัดพระเชตุพนฯ เพราะดว้ ยความปรานีของพระองคเ์ จ้าลักขณานุคณุ คงได้บวชเปน็ พระทว่ี ดั นัน้ ด้วย เมอ่ื พระองค์เจ้า
ลกั ขณานุคณุ สน้ิ พระชนมล์ ง ชีวติ ของสนุ ทรภู่กต็ กต่ำลงอีกดว้ ย ตอ้ งรอ่ นเรข่ ายกลอนเล้ยี งชีพ ต่อมา ในสมัยรชั กาลที่ ๔ ไดท้ รงแตง่ ต้ังสนุ ทรภ่เู ขา้ รบั ราชการอกี เป็นกรมอาลักษณฝ์ ่ายพระราชวงั บวร มี ตำแหนง่ เป็นสนุ ทรโวหารสูงกวา่ เดมิ สุนทรภู่รบั ราชการอยกู่ บั รัชกาลท่ี ๔ เป็นเวลาถึง ๕ ปี กถ็ งึ กรรมใน พ.ศ. ๒๓๙๘ มีอายไุ ด้ ๗๐ ปี ทำนองแตง่ แตง่ เปน็ กลอนนิราศ วัตถุประสงคใ์ นการแต่ง แตง่ เพอ่ื บนั ทึกการเดนิ ทางและแสดงความรู้สกึ นกึ คิดของตน นิราศเมอื งแกลง มีความยาว ๔๙๖ คำกลอน เป็นนริ าศเร่ืองแรกของสุนทรภแู่ ละเป็นนริ าศท่ี ยาวที่สุดของสุนทรภู่ สุนทรภู่เขียนเม่ือเดินทางไปพบบิดาซ่ึงบวชเป็นพระอยู่ท่ีบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง ภายหลังท่ีพ้นโทษเพราะไปรกั ใคร่กับแม่จันทรส์ าในพระราชสำนักสมเด็จฯ เจา้ ฟ้าฯ กรม หลวงอนุรักษ์ทเวศร์ กรมพระราชวัง เม่ือกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๕๐ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชจึงทรงปลอ่ ยนักโทษตามโบราณราชประเพณี
สาระสำคัญ พรรณนาถึงการเดนิ ทางไปบา้ นกร่ำเมืองแกลง เพ่ือเยี่ยมบดิ า โดยไปทางเรอื กบั ศษิ ยส์ องคน คอื น้อย กบั พมุ่ มีนายแสงเป็นคนนำทางไป การเดนิ ทางคร้งั นีผ้ า่ นสถานที่ต่างๆ มากมาย ไปขึน้ บกท่ตี ำบลบางปลาสร้อย เมอื งชลบุรี เดนิ ทาต่อไปจนถึงบ้านกร่ำ อยูท่ ี่น้นั สุนทรภปู่ ว่ ยตอ้ งรอ รกั ษาใหห้ ายดเี สยี กอ่ นจงึ กลบั คุณค่าของนิราศเมอื งแกลง ๑. ในทางอกั ษรศาสตร์ พรรณนาเกี่ยวกบั ธรรมชาติไดด้ ีมาก แตอ่ ย่างอืน่ ๆ ยงั ไม่ดีนกั เพราะเป็นนิราศ เร่อื งแรกที่แตง่ ๒. ในทางวิถชี วี ิต ไดแ้ สดงถึงความเปน็ อยู่ การประกอบอาชีพของผคู้ นสมัยนั้น ๓. ในทางคตธิ รรม ไดใ้ ห้แงค่ ดิ คตธิ รรม คำสอนตา่ งๆ ไวพ้ อสมควร
ขอบคุณข้อมูลจาก https://momchaowochoro.blogspot.com/2019/03/blog-post_57.html
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: