TENSES IN ENGLISH
คาํ นาํ รายงานนีเ้ ป็นสว่ นหน่งึ ของวิชา ภาษาองั กฤษ ซง่ึ มีเนือ้ หาเก่ียวกบั present simple Past simple Present continuous Future simple Past perfect Future going to ในรายงานเลม่ นีจ้ ะนาํ ตวั อยา่ งประโยคมาใหไ้ ดศ้ กึ ษากนั โดยมีโครงสรา้ ง ประโยค และคาํ แปล เพ่ืองา่ ยตอ่ การศกึ ษา การพูด อา่ น เขยี นภาษาองั กฤษมหี ลกั การใชท้ ตี่ อ้ งใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์นนั้ หรอื เหตกุ ารณ์นนั้ ซ่งึ แตล่ ะสถานการณจ์ ะมกี ารใชก้ รยิ า และ โครงสรา้ งรูปแบบประโยคไมเ่ หมอื นกนั ซ่ึงคนสว่ นใหญ่มกั จะใช้ tense ผดิ สถานการณ์ หรอื ไมถ่ ูกรูปแบบโครงสรา้ ง จงึ ทาํ ใหบ้ างทอี าจจะสอื่ สารกนั ไม่เขา้ ใจ ใน บทเรยี นของเดก็ ไทยก็มเี รอื่ ง tense เขา้ มาเป็นเนอื้ หาในการสอน ซ่ึงเดก็ ๆสว่ นใหญ่จะไม่คอ่ ยใสใ่ จใน เรอื่ งนี้ ทาํ ใหไ้ มเ่ ขา้ ใจในเนอื้ หาทเี่ รยี น และ ไมส่ ามารถทาํ ขอ้ สอบตา่ งๆ เกยี่ วกบั เรอื่ ง tense ไดก้ ระผม จึงจดั ทาํ เวบ็ เควส เรอื่ งนขี้ นึ้ มา เพอื่ ใหค้ นสว่ นใหญ่มที ศั นคตทิ ดี่ เี กยี่ วกบั วชิ าภาษาองั กฤษ และ เพอื่ ใหค้ น มเี่ ขา้ มาศกึ ษาสามารถเขา้ ใจเกยี่ วกบั เรอื่ ง tense มากขนึ้ และนาํ ไปใชก้ บั ชวี ติ ประจาํ วนั ได้
สารบัญ หนา้ ท่ี 1.PRESENT SIMPLE TENSE 4 1. ประโยคบอกเล่า 5 2. ประโยคคาํ ถาม 6 3. ประโยคปฏเิ สธ 7 2.PRESENT CONTINUOUS TENSE 9 1. ประโยคบอกเล่า 10 2. ประโยคคาํ ถาม 11 3. ประโยคปฏิเสธ
3.PRESENT PERFECT TENSE 12 หลักการใช้ 13 4.PRESENT PERFECT CONTINUOUS TENSE หลักการใช้ 15 19 5. PAST SIMPLE TENSE 6. PAST CONTINUOUS
PRESENT SIMPLE TENSE ลกั ษณะการใช้ PRESENT SIMPLE TENSE PRESENT แปลวา่ ปัจจบุ นั ดงั นนั้ PRESENT SIMPLE TENSE จงึ เป็นประโยคท่ีมีโครงสรา้ งแบบง่าย ๆ เพ่ือใชพ้ ดู ถงึ เหตกุ ารณใ์ นปัจจบุ นั น่นั เอง โดยมลี กั ษณะต่าง ๆ ดงั นี้ 1. ใช้เพื่อพดู ถงึ ความเป็ นจริงในชีวติ ประจาํ วนั หรือความเป็ นจริงตามธรรมชาติ ถงึ แม้ว่าเหตุการณ์น้ันจะเป็ นอดตี หรืออนาคตกต็ าม 2. ใชเ้ พอ่ื พดู ถงึ เหตุการณ์ นิสัย หรือการกระทาํ ทเี่ กดิ ขนึ้ ซา้ํ ๆ บ่อย ๆ เป็ นประจาํ ทุกวัน 3. ใช้เพอื่ ใหค้ าํ แนะนําหรือการบอกทศิ ทาง รูปประโยคของ PRESENT SIMPLE TENSE ดงั ท่ีไดก้ ลา่ วขา้ งตน้ วา่ PRESENT SIMPLE TENSE คือประโยคท่ีบอกเลา่ เร่อื งราวตา่ ง ๆ เช่น ฉนั ว่ายนา้ํ ทกุ ๆ วนั โดยรูปประโยคของ PRESENT SIMPLE TENSE มีรูปแบบดงั ตอ่ ไปนี้
• 1. ประโยคบอกเล่า • โครงสร้างของประโยคบอกเล่า : SUBJECT + VERB.1 + OBJECT + (คาํ บอกเวลา) ทงั้ นีค้ าํ กรยิ าช่องท่ี 1 นน้ั จะมีการเติม S หรอื ES ถา้ หากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (HE, SHE, IT) แตถ่ า้ ประธานเป็น I, YOU หรอื ประธานพหพู จน์ (YOU (หลายคน), WE, THEY) ใหค้ งรูปคาํ กรยิ านน้ั ๆ ไวเ้ ชน่ เดมิ เช่น I GO TO UNIVERSITY BY BUS EVERY MORNING. (ฉนั ไปมหาวทิ ยาลยั โดยรถโดยสารประจาํ ทางทกุ เชา้ ) **ประโยคนีป้ ระธานคือ I แมจ้ ะเป็นเอกพจนแ์ ตเ่ ป็นขอ้ ยกเวน้ ดงั กรยิ า GO จงึ ไมต่ อ้ งเติม S หรอื ES • ความรู้เพมิ่ เตมิ : หลกั การเติม S,ES นนั้ งา่ ยนิดเดียว คือ คาํ กรยิ าท่ีลงทา้ ยดว้ ย CH, O, S, SS, SH, X ใหเ้ ติม ES เม่อื ประธานของ ประโยคเป็นเอกพจน์ (HE, SHE, IT) เชน่ SHE WASHES HER CAR. ประธานของประโยคคอื SHE ซง่ึ เป็นเอกพจน์ คาํ กรยิ าคือ WASH ท่ีลงทา้ ยดว้ ย SH จงึ ตอ้ งเติม ES ตอ่ ทา้ ย
2. ประโยคคาํ ถาม โครงสรา้ งของประโยคคาํ ถามใน PRESENT SIMPLE TENSE มสี องรูปแบบคือ แบบที่ 1 : VERB TO BE + SUBJECT + OBJECT/ส่วนขยาย + (คาํ บอกเวลา) ? ใชเ้ ม่ือในประโยคนน้ั มี V. TO BE (IS, AM, ARE) ปรากฎอยู่ เชน่ SHE IS MY SISTER. ---> IS SHE YOUR SISTER ? (หลอ่ นเป็นนอ้ งสาวคณุ หรอื เปลา่ ?) เม่ือเห็น V. TO BE ในประโยคใหน้ าํ V. TO BE ขนึ้ ตน้ ประโยคนาํ หนา้ ประธานไดเ้ ลย เพียงเท่านีก้ ็จะกลายเป็นประโยคคาํ ถาม (และอยา่ ลืมเปล่ยี น คาํ สรรพนามดว้ ยนะคะ จาก MY เป็น YOUR) แบบที่ 2 : VERB TO DO + SUBJECT + VERB.1 + OBJECT + (คาํ บอกเวลา)? ใชเ้ ม่อื ประโยคนน้ั ไมม่ ี V. TO BE จงึ ตอ้ งนาํ V. TO DO ไดแ้ ก่ DO กบั DOES เขา้ มาช่วย โดยขนึ้ ตน้ ประโยคนาํ หนา้ ประธาน ซ่งึ มวี ธิ ีการใชท้ ่ี แตกตา่ งกนั คือ DO ใชน้ าํ หนา้ I, YOU และประธานท่ีเป็นพหพู จน์ (YOU, WE, THEY) สว่ น DOES ใชน้ าํ หนา้ ประธานท่ีเป็นเอกพจน์ (HE, SHE, IT) และคาํ กรยิ าคงรูปช่องท่ี 1 เหมือนเดมิ โดยไมต่ อ้ งเติม S, ES
3. ประโยคปฏเิ สธ • รูปแบบประโยคปฏเิ สธใน PRESENT SIMPLE TENSE มสี องรูปแบบคลา้ ยกบั รูปแบบประโยคคาํ ถามคือ แบบที่ 1 : SUBJECT + VERB TO BE + NOT + OBJECT/ส่วนขยาย + (คาํ บอกเวลา) ใชเ้ ม่ือในประโยคนนั้ มี V. TO BE (IS, AM, ARE) ปรากฎอยู่ เช่น I AM YOUR SERVANT. ---> I AM NOT YOUR SERVANT. (ฉนั ไมไ่ ดเ้ ป็นคนรบั ใชข้ องคณุ ) เม่อื เหน็ V. TO BE ในประโยคใหเ้ ตมิ NOT ไวห้ ลงั V. TO BE ไดท้ นั ที เพียงเท่านีก้ ็จะกลายเป็นประโยคปฏิเสธ แบบท่ี 2 : SUBJECT + VERB TO DO + NOT + VERB.1 + OBJECT + (คาํ บอกเวลา) แบบท่ีสองใชเ้ ม่อื ประโยคนนั้ ไมม่ ี V. TO BE จงึ ตอ้ งนาํ V. TO DO ไดแ้ ก่ DO กบั DOES เขา้ มาชว่ ยแลว้ ตามหลงั ดว้ ย NOT เพ่ือบอก ความปฏิเสธ สว่ นคาํ กรยิ าใหค้ งรูปช่องท่ี 1 เหมือนเดมิ โดยไมต่ อ้ งเตมิ S,ES
PRESENT CONTINUOUS TENSE • ลกั ษณะการใช้ PRESENT CONTINUOUS TENSE • PRESENT CONTINUOUS TENSE หรอื หลายคนอาจจะรูจ้ กั ในช่ือ PRESENT PROGRESSIVE TENSE อย่างท่ีเรารูว้ ่า PRESENT แปลวา่ ปัจจบุ นั สว่ น CONTINUOUS/PROGRESSIVE แปลวา่ ดาํ เนินอยา่ งตอ่ เน่ือง ดงั นน้ั TENSE นีจ้ งึ เป็นการบอกเลา่ ส่งิ ท่ีกาํ ลงั เกิดขนึ้ อยใู่ นปัจจบุ นั โดยมีลกั ษณะการใชด้ งั นี้ 1. ใชเ้ พอื่ บอกเล่าเหตุการณห์ รือการกระทาํ ในปัจจุบันทกี่ าํ ลังดาํ เนินอยู่และยงั ไม่จบลง (จะจบลงในอนาคต) โดยอาจพบคาํ บอกเวลา (ADVERBS OF TIME) 2. ใชก้ ับเหตุการณห์ รือการกระทาํ ทกี่ าํ ลังเป็ นกระแสหรือเป็ นทนี่ ิยมอยใู่ นขณะนั้น 3. ใช้กับเหตุการณห์ รือการกระทาํ ทกี่ าํ ลังจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคต โดยมกี ารเตรียมและวางแผนไวล้ ่วงหน้าอยา่ งแน่นอนแล้ว และมักพบคาํ บอกเวลา (ADVERBS OF TIME) เชน่ TONIGHT, THIS EVENING, TOMORROW, NEXT WEEK 4. ใช้กับเหตุการณห์ รือการกระทาํ ทเี่ กิดขนึ้ บอ่ ยจนเกนิ ไป ทาํ ใหซ้ าํ้ ซากและน่าเบอ่ื
• รูปประโยคของ PRESENT CONTINUOUS TENSE • ลกั ษณะเดน่ ของรูปประโยค PRESENT CONTINUOUS TENSE คอื การใช้ V. TO BE (IS, AM, ARE) และตามดว้ ยคาํ กรยิ าท่ีมีการเตมิ - ING โดยรูปประโยค PRESENT CONTINUOUS TENSE มี 3 รูปแบบ ดงั นี้ 1. ประโยคบอกเล่า • โครงสร้างประโยคบอกเลา่ : SUBJECT + V. TO BE + VERB. เตมิ ING + OBJECT + (คาํ บอกเวลา) ส่งิ ท่ีเราตอ้ งคาํ นงึ ในรูปประโยคของ PRESENT CONTINUOUS TENSE คอื การใช้ V. TO BE ซง่ึ ประกอบดว้ ย IS, AM, ARE โดยจะเลอื กใช้ V. TO BE ตวั ใดนนั้ ใหส้ งั เกตท่ีประธานของประโยค ถา้ ประธานเป็น HE, SHE, IT ใหใ้ ช้ IS แตถ่ า้ ประธานเป็น I ใหใ้ ช้ AM และถา้ ประธานเป็น YOU, WE, THEY ใหใ้ ช้ ARE และเปล่ยี นรูปคาํ กรยิ าโดยการเตมิ ING ความรู้เพม่ิ เตมิ : หลักการเตมิ ING ทา้ ยคาํ กริยาโดยท่วั ไปสามารถเตมิ ING ไดเ้ ลย แตม่ ีขอ้ ยกเวน้ บางกรณี ดงั นี้ • 1. คาํ กรยิ านนั้ มีสระเสยี งสน้ั (อะ อิ อุ เอะ โอะ ฯลฯ) และโดยมากมกั เป็น A, E, I, O, U อยหู่ นา้ พยญั ชนะทา้ ย หรอื คาํ กรยิ านนั้ ๆ มีตวั สะกดเพยี งตวั เดียว ก่อนเติม ING ใหเ้ พ่ิมตวั สะกดของคาํ นนั้ ซา้ํ อีกตวั หนง่ึ แลว้ จงึ เติม ING • 2. คาํ กรยิ านนั้ ลงทา้ ยดว้ ย E ใหต้ ดั E ทิง้ แลว้ เติม ING • 3. คาํ กรยิ าท่ีมีสระ 2 ตวั (A, E, I, O, U) ใหเ้ ตมิ ING ไดเ้ ลย • 4. คาํ กรยิ าท่ีลงทา้ ยดว้ ย IE ใหเ้ ปล่ียน IE เป็น Y แลว้ จงึ เตมิ ING • 5. คาํ กรยิ าท่ีมีสองพยางค์ และออกเสียงหนกั (STRESS) ท่ีพยางคห์ ลงั โดยพยางคน์ น้ั มีสระและตวั สะกดเพียงตวั เดยี ว ใหเ้ พ่ิมตวั สะกดของคาํ นน้ั ซา้ํ อีกตวั หนง่ึ แลว้ จงึ เตมิ ING
2. ประโยคคาํ ถาม • โครงสร้างประโยคคาํ ถาม : V. TO BE + SUBJECT + VERB. เตมิ ING + OBJECT + (คาํ บอกเวลา)? ประโยคคาํ ถามใน PRESENT CONTINUOUS TENSE ไมม่ ีกฎอะไรมากมายเลยค่ะ เพียงแค่สลบั ท่ี V. TO BE ขนึ้ มาไวต้ น้ ประโยค โดยตอ้ ง พิจารณาการเลือกใช้ V. TO BE ตามประธานของประโยคดว้ ย เพียงเทา่ นีก้ ็จะไดป้ ระโยคคาํ ถาม 3. ประโยคปฏิเสธ • โครงสร้างประโยคปฏเิ สธ : SUBJECT + V. TO BE + NOT + VERB. เตมิ ING + OBJECT + (คาํ บอกเวลา) สาํ หรบั รูปประโยคปฏเิ สธคงรูปเดิมคลา้ ยกบั ประโยคบอกเลา่ แตเ่ พ่มิ NOT ขนึ้ มาหลงั V. TO BE เพียงเท่านีก้ ็จะเป็นประโยคปฏเิ สธใน PRESENT CONTINUOUS TENSE ข้อควรจาํ : คาํ กริยาบางตวั ไม่สามารถนาํ มาใช้ในรูปประโยค PRESENT CONTINUOUS TENSE ได้ ดังนี้ • 1. กรยิ าท่ีแสดงถงึ ประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ เชน่ SEE, HEAR, FEEL, TASTE, SMELL เป็นตน้ 2. กรยิ าท่ีแสดงความรูส้ กึ นึกคิด เชน่ BELIEVE, KNOW, UNDERSTAND, FORGET, REMEMBER, RECOGNIZE, FEAR เป็น ตน้ 3. กรยิ าท่ีแสดงความชอบและไมช่ อบ เช่น LOVE, LIKE, HATE, DISLIKE, DESIRE เป็นตน้ 4. กรยิ าท่ีแสดงความตอ้ งการ เชน่ WANT, WISH, PREFER
PRESENT PERFECT TENSE หลกั การใช้ PRESENT PERFECT TENSE คือ 1. ใชก้ บั เหตุการณ์ท่ีเพ่งิ จบไป หรือเพิง่ จบลงใหม่ ๆ มกั จะมีคาํ วา่ JUST, ALREADY หรือ YET ในประโยค เช่น HAS THE TRAIN ARRIVED YET? (รถไฟมาถึงหรือยงั ) 2. ใชก้ บั เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนต้งั แต่อดีตและมีผลหรือยงั คงสภาพจนถึงปัจจุบนั แต่เหตุการณ์น้นั ไดจ้ บลงไปแลว้ โดยส่วนใหญ่จะมีคาํ วา่ SINCE, FOR, EVER SINCE, SO FAR อยใู่ นประโยค เช่น I’VE KNOWN HER FOR YEARS. (ฉนั รู้จกั เธอมาหลายปี แลว้ ) 3. ใชใ้ นการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมีคาํ วา่ NEVER, EVER, ONCE, TWICE รวมอยดู่ ว้ ย เช่น HAVE YOU EVER BEEN TO JAPAN? (คุณเคยไปประเทศญ่ีป่ ุนไหม) 4. ใชใ้ นโครงสร้าง IF-CLAUSE แบบที่ 1 ในส่วนของเงื่อนไขท่ีแสดงวา่ ถา้ ทาํ เหตุการณ์หน่ึงเสร็จแลว้ อีกเหตุการณ์จะเกิดข้ึน เช่น THE CHILDREN CAN GO OUT, IF THEY HAVE FINISHED THEIR HOMEWORK. (เดก็ ๆ สามารถออกไปเล่นขา้ งนอกได้ ถา้ พวกเขาทาํ การบา้ นเสร็จ)
PRESENT PERFECT CONTINUOUS TENSE หลกั การใช้ PRESENT PERFECT CONTINUOUS TENSE 1. ใชก้ บั เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนเรื่อย ๆ ต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั เช่น LISA HAS BEEN LIVING IN NEW YORK SINCE 2004. ลิซ่าอาศยั อยทู่ ี่นิวยอร์กต้งั แต่ปี 2004 (อาศยั อยตู่ ้งั แต่ปี 2004 และตอนน้ีกย็ งั อาศยั อยทู่ ่ีนิวยอร์ก) 2. ใชพ้ ูดแทน PRESENT PERFECT ไดใ้ นความหมายท่ีเหมือนกนั HOW LONG HAVE YOU BEEN LEARNING ENGLISH? หรือ HOW LONG HAVE YOU LEARNED ENGLISH? คุณเรียนภาษาองั กฤษมาเท่าไหร่แลว้ NOTE: กริยาท่ีไม่แสดงความต่อเนื่องของการกระทาํ จะไม่สามารถใช้ TENSE น้ีได้ เช่น เราจะไม่พูดวา่ THE CLOCK HAS BEEN STOPPING เน่ืองจากคาํ วา่ STOP เป็นกริยาท่ีไม่แสดงความต่อเน่ือง ดงั น้นั เราจึงตอ้ งพูดวา่ THE CLOCK HAS STOPPED เพื่อบอกวา่ นาฬิกาหยดุ ทาํ งาน ซ่ึงผลของการกระทาํ คือเขม็ นาฬิกาไม่เดิน
ตวั อย่างของกรยิ าท่ีไมแ่ สดงความต่อเน่ือง เช่น BELIEVE, COST, DISLIKE, ENVY, FORGET, HATE, KNOW, LIKE, LOVE, NEED, SEE, TASTE, UNDERSTAND หรอื WANT เป็นตน้ นอกจากนีจ้ ะไมใ่ ช้ JUST, ALREADY, NEVER, FINALLY กบั PRESENT PERFECT CONTINUOUS TENSE ความแตกต่างระหว่าง PRESENT PERFECT กบั PRESENT PERFECT CONTINUOUS PRESENT PERFECT จะอธิบายถงึ ส่งิ ท่ีเกดิ ขนึ้ และจบลงไปแลว้ แต่ผลของการกระทาํ ดงั กลา่ วยงั แสดงใหเ้ หน็ อยู่ แต่ PRESENT PERFECT CONTINUOUS จะอธิบายถงึ สง่ิ ท่ีเกิดขนึ้ หรอื สง่ิ ท่ีทาํ ตงั้ แต่ในอดีตและยงั คงทาํ ต่อมาเร่อื ย ๆ จนถงึ ปัจจบุ นั เนน้ ว่ากาํ ลงั กระทาํ ส่งิ นนั้ อยู่ ไมใ่ ชผ่ ล ของสง่ิ ท่ีทาํ เชน่ HOW LONG HAVE YOU KNOWN HER? คณุ รูจ้ กั เธอมานานแคไ่ หนแลว้ **คาํ วา่ KNOWN เป็นกิรยิ าท่ีไมแ่ สดงความต่อเน่ือง และการทาํ ความรูจ้ กั นน้ั คือไดท้ าํ ความรูจ้ กั กนั ไปตง้ั แตค่ รง้ั แรกท่ีเจอกนั และจบลงไปแลว้ แต่ สถานะความเป็นเพ่ือนยงั คงอยมู่ าจนถึงปัจจบุ นั ซ่งึ ความเป็นเพ่ือนคือผลของการทาํ ความรูจ้ กั จงึ ตอ้ งใช้ PRESENT PERFECT TENSE
PAST SIMPLE TENSE หลกั การใช้และโครงสร้างของ Past Simple Tense 1. ใชก้ บั เรื่องที่เกิดข้ึนในอดีตและจบสิ้นลงไปเรียบร้อยแลว้ สงั เกตง่าย ๆ วา่ มกั จะมีการระบุช่วงเวลาไวด้ ว้ ยวา่ เกิดข้ึนเม่ือไหร่ และใชก้ ริยาช่อง 2 ลองมาดูโครงสร้างและตวั อยา่ งประโยคกนั ก่อนค่ะ ประโยคบอกเล่า S. + V.2 I went to the theme park yesterday. ประโยคปฎิเสธ S. + did not + V.1 She didn’t come to Thailand last year. ประโยคคาํ ถาม Did + S + V.1 Did you see Jane at the bank last hour? จาํ ง่าย ๆ วา่ ประโยคบอกเลา่ ใชก้ รยิ าช่อง 2 สว่ นประโยคปฏเิ สธและประโยคคาํ ถาม ใช้ did รว่ มกบั กรยิ าช่อง 1
• นอกจากนีแ้ ลว้ KEY WORD บอกเวลาซง่ึ จบไปแลว้ ท่ีพบบอ่ ย ๆ ในประโยค PAST SIMPLE TENSE ไดแ้ ก่ YESTERDAY, LAST , AGO โดยใชร้ ว่ มกบั คาํ บอกเวลาอ่ืน ๆ มาดตู วั อยา่ งกนั เลยคะ่ last + เวลา/ วนั / สปั ดาห/์ เดือน/ last hour, last night, last ฤด/ู ปี Last Monday, last week, last month, Did they study Science last Monday last summer, last winter, last . year Ago วนิ าที / นาที/ ช่วั โมง/ วนั / สปั ดาห/์ 5 minutes ago, 3 day ago, 2 The bus arrived thirty minutes ago. เดือน/ ปี + ago weeks ago, 1 month ago, 4 years ago
• เม่ือกริยาช่อง 2 เป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั เราจึงตอ้ งท่องคาํ กริยาที่อยใู่ นช่อง 2 ใหด้ ีวา่ เติม –ED หรือ -D หรือไม่ อยา่ งไร ดูตวั อยา่ งกริยาช่อง 2 กนั คะ่ ช่องท่ี 1 ช่องท่ี 2 ช่องท่ี 3 ความหมาย eat ate eaten กิน feel felt felt รูส้ กึ be was, were been เป็น,อย,ู่ คือ get got gotten ได้ give gave given ให้ become became become กลายเป็น leave left left ออกจาก break broke broken แตก, หกั run ran run ว่งิ bring brought brought นาํ มา sell sold sold ขาย build built built sit sat sat น่งั buy bought bought สรา้ ง sleep slept slept นอน come came come ซอื้ done มา do did driven ทาํ drive drove ขบั รถ
EX. THEY CAME HERE YESTERDAY. (พวกเขามาที่นี่เมื่อวานน้ี) EX. HE LEFT HOME TEN MINUTES AGO. (เขาออกจากบา้ นเม่ือ 50 นาทีที่แลว้ ) EX. I BOUGHT A NEW PHONE TWO DAYS AGO. (ฉนั ซ้ือโทรศพั ทใ์ หม่มาเม่ือ 2 วนั ก่อน) 2. ใชพ้ ดู ถึงนิสยั หรือกิจวตั รท่ีเคยทาํ ในอดีต หรือการบอกวา่ ใครเคยทาํ อะไร เคยไปไหนในอดีตมาแลว้ และเหตุการณ์น้นั จบลงแลว้ EX. WE COOKED EVERY DAY LAST YEAR. (พวกเราทาํ อาหารกนั ทุกวนั เมื่อปี ที่แลว้ ) EX. HE ALWAYS WENT TO OFFICE LATE LAST MONTH. (เขาไปสาํ นกั งานสายเสมอเม่ือเดือนที่แลว้ ) EX. I WAS IN LONDON IN 2017. (ฉนั อยทู่ ี่ลอนดอนในปี 2017)
PAST CONTINUOUS TENSE โครงสร้างประโยค PAST CONTINUOUS TENSE He was playing football yesterday at 10 am. ประโยคบอกเลา่ S + was/were + V.ing ประโยคปฏเิ สธ S + was/were + not + He was not playing football yesterday at V.ing 10 am. ประโยคคาํ ถาม Was/Were+ S + V.ing Was he playing football yesterday at 10 am? ก่อนจะไปกันตอ่ ขอจอดแวะทบทวนเพมิ่ เตมิ หลักการใช้ Was / Were Subject ประธานประโยค Verb to be ทใ่ี ช้ (กริยาช่อง 2 ของ is และ are) I, He, She, It, A cat (ประธานเอกพจน)์ was You, We, They, Cats (ประธานพหพู จน)์ were
PAST CONTINUOUS TENSEใช้เล่าถงึ เหตุการณ์ในอดตี ซึ่งมีด้วยกนั 3 แบบ คือ 1. เหตุการณ์ท่กี าํ ลงั เกดิ ในอดตี เช่น IT WAS RAINING YESTERDAY AT NOON. (ฝนตกลงมาเมื่อวานตอนเที่ยง) 2. เหตุการณ์ทีก่ าํ ลงั เกดิ ต่อเน่ืองอยู่ในอดตี ซึ่งเกดิ ขนึ้ อยู่ก่อน แล้วกม็ อี กี เหตุการณ์หน่ึงเข้ามาแทรก เช่น I WAS HAVING A BEAUTIFUL DREAM WHEN THE ALARM CLOCK RANG. (ฉนั กาํ ลงั ฝันดีอยเู่ ชียว นาฬิกาปลุกกด็ นั ดงั ข้ึน) 3. เหตุการณ์กาํ ลงั เกดิ ไปพร้อม ๆ กนั ในอดตี ไม่มอี นั ไหนเกดิ ก่อนเกดิ หลงั เช่น WHILE MY MOM WAS COOKING, MY DAD WAS WASHING HIS CAR. (ขณะที่แม่กาํ ลงั ทาํ อาหาร พอ่ กก็ าํ ลงั ลา้ งรถ) การใช้ WHILE, WHEN, AS WHILE, WHEN, AS ถือวา่ เป็น KEY WORD สาํ คญั ท่ีบง่ บอกวา่ ประโยคนีเ้ ป็นประโยค PAST CONTINUOUS TENSE เลยก็วา่ ได้ เชน่ WHEN THE POLICE ARRIVED, WE WERE SLEEPING. (ตอนท่ีตาํ รวจมาถึง พวกเรากาํ ลงั นอนหลบั กนั อย่)ู
เทคนิคการจาํ - ประโยคทอี่ ยู่หลงั WHILE และ AS ใช้ PAST CONTINUOUS (SUBJECT + WAS/WERE +V.ING) เพราะเป็นเหตุการณ์ท่ียงั จะเกิดต่อเนื่องไปอีกระยะหน่ึง เช่น WE WERE SLEEPING, THE CAR WAS RUNNING, SHE WAS DRAWING A PICTURE - ประโยคทอี่ ยู่หลงั WHEN ใช้ PAST SIMPLE (SUBJECT + V.2) เพราะเป็นเหตุการณ์ท่ีแทรกเขา้ มาส้นั ๆ และจบไปแลว้ พดู ง่าย ๆ วา่ เกิดข้ึนแป๊ บเดียว เช่น THE POLICE ARRIVED, THE PHONE RANG, - I CAME IN THE ROOM, IT STARTED TO RAIN
สมาชิกกลุ่ม 1. นางสาวอนัญพร ผดุ ผ่อง เลขท่ี 16 2. นางสาว คณติ า โยยรัมย์ เลขที่ 26 3. นางสาว ประภากร เผือกเลก็ เลขท่ี 12 4.นางสาว ธาราทพิ ย์ ปักษา เลขท่ี 17 5. นางสาว ไพลนิ กงศรี เลขที่ 25 6.นางสาว ณฐั วภิ า จันทกมุ มาร เลขที่ 10 7.นางสาว สายรุ้ง ชมภู เลขท่ี 19 8.นาย เจษฎา ถุยลา เลขที่ 6 9.นาย ธีรภัทร ศิริวฒั น์ เลขที่ 1 10.นาย ธนพงศ์ จงประโคน เลขท่ี 28 11.นาย สุรพงษ์ เรืองสวสั ด์ิ เลขท่ี 5 12.นาย ภูสิน บัวลอย เลขท่ี 7 13.นาย เรวตั ิ แก้ววชิ ัย เลขที่ 4 14.นาย อนุศร วรเวก เลขที่ 3
บรรณานุกรม • HTTPS://WWW.TRUEPLOOKPANYA.COM/KNOWLEDGE/CONTENT/72173/-BLO-LANENG- LAN- • HTTPS://WWW.TRUEPLOOKPANYA.COM/KNOWLEDGE/CONTENT/72111/-BLO-LANENG- LAN- • HTTPS://WWW.TRUEPLOOKPANYA.COM/KNOWLEDGE/CONTENT/68506/-BLO-LANENG- LAN- • HTTPS://WWW.TRUEPLOOKPANYA.COM/KNOWLEDGE/CONTENT/68559/-BLO-LANENG- LAN- • HTTPS://WWW.TRUEPLOOKPANYA.COM/KNOWLEDGE/CONTENT/69707/-BLO-LANENG- LAN- • HTTPS://WWW.TRUEPLOOKPANYA.COM/KNOWLEDGE/CONTENT/69706/-BLO-LAN
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: