คำปปรระพะัเนภธท์
คำประพันธ์ประเภทร่ายสันนิษฐานว่า เป็นการพัฒนาคำคล้องจองมาเป็น ร้อยกรองดังในศิลาจารึก เป็นร้อยแก้ว แต่ความบางตอนมีลักษณะคล้องจอง เช่น ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ส่วนสุภาษิตพระร่วงก็เป็นร้อยกรองประเภทร่าย แม้จะมีนักวิชาการให้ข้อสังเกตว่า ไม่ได้แต่งสมัยสุโขทัยก็ตาม ร่ายมีในวรรณคดีสมัยอยุธา โดยนำร่ายไปแต่งร่วมกับคำประพันธ์ ร่ายเป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งไม่กำหนดว่ามีบทหรือบาทเท่านั้นเท่านี้จะแต่งให้ยาว เท่าไรก็ได้เป็น แต่ต้องเรียงคำให้คล้องกันตามข้อบังคับเท่านั้น
ความหมายของร่าย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของ “ร่าย” ว่าชื่อคำประพันธ์ประเภท ร้อยกรองแบบหนึ่ง เช่น ร่ายยาว ร่ายสุภาพ ร่ายดั้น ร่ายโบราณ ร่าย คือ คำประพันธ์ประเภทร้อยกรองแบบหนึ่งที่แต่งง่ายที่สุด และมีฉันทลักษณ์น้อยกว่าร้อยกรองประเภทอื่น ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า ร่ายมีลักษณะใกล้เคียงกับคำประพันธ์ประเภทร้อยแก้วมาก เพียงแต่กำหนดที่คล้องจองและบังคับวรรณยุกต์ในบางแห่ง
ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของร่าย พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) สันนิษฐานว่าร่ายเป็นของไทยแท้ มีมาแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง ด้วยปรากฏหลักฐานครั้งแรกในวรรณคดีสุโขทัย คือสุภาษิตพระร่วง และต่อมาจึงปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในวรรณคดีอยุธยา เรื่องโองการแช่งน้ำในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) สันนิษฐานว่าร่ายเป็นของไทยแท้ เพราะคนไทยนิยมพูดเป็นสัมผัสคล้องจอง ดังปรากฏประโยคคล้องจองในสำนวนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง กาพย์พระมุนีเดินดงของภาคเหนือ และคำแอ่วของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่า คำว่า \"ร่าย\" ตัดมาจาก \"ร่ายมนต์\" สังเกตจาก โองการแช่งน้ำที่มีร่ายดั้นปรากฏเป็นเรื่องแรกและมีเนื้อหาเป็นคำประกาศในการดื่มน้ำสาบาน วิวัฒนาการของร่ายน่าจะเริ่มจากสำนวนคล้องจองในศิลาจารึกและ ความนิยมพูดคล้องจองของคนไทยแต่โบราณ ในบทที่พระภิกษุใช้เทศนาก็ปรากฏ ลักษณะการคล้องจองอยู่เป็นการรับส่งสัมผัสจากวรรคหน้าไปยังวรรคถัดไป โดยไม่ได้กำหนดความสั้นยาวของพยางค์อย่างตายตัว ซึ่งลักษณะนี้ ใกล้เคียงกับร่ายประเภท \"ร่ายยาว\" มากที่สุด จึงมีการสันนิษฐานว่า ร่ายยาวเป็นร่ายที่เกิดขึ้นในอันดับแรกสุด ต่อมาจึงเกิด \"ร่ายโบราณ\" ซึ่งกำหนดจำนวนพยางค์และจุดสัมผัมคล้องจองตายตัว และตามมาด้วย \"ร่ายดั้น\" ซึ่งมีการประยุกต์กฎเกณฑ์ของโคลงดั้นเข้ามา สุดท้ายจึงเกิด \"ร่ายสุภาพ\" ซึ่งมีการประยุกต์กฎเกณฑ์ของโคลงสุภาพเข้ามา
ร่ายเป็นคำประพันธ์ที่นิยมประพันธ์ร่วมกับโคลง พบมากในสมัยอยุธยาตอนต้น วรรณคดีที่แต่งเป็นร่าย คือ กาพย์มหาชาติ ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม จินดามณี ซึ่งถือว่าเป็นแบบเรียนของไทยเล่มเเรก กล่าวถึงร่ายไว้ คือ ร่ายกาพย์ ร่ายสุภาพ ร่ายดั้น ร่ายกาพย์นี้มีวรรคละ ๓ คำ และจบด้วยบทที่ ๓ และบทที่ ๔ ของโคลงสี่ดั้น ร่ายกาพย์นี้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์ใน โคลงดั้นปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพนด้วยร่ายที่นำไปแต่งร่วมกับโคลงมักใช้ แต่งนำเรื่อง หรือบรรยายในเรื่อง ไม่เป็นคำประพันธ์หลัก เช่น ลิลิตพระลอ ลิลิตยวนพ่าย กำสรวล ศรีปราชญ์ ส่วนพระมาลัยคำหลวงและนันโทปนันทสูตร คำหลวง บทพระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธเบศร์อยู่ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในสมัยรัตนโกสินทร์มีร่ายที่นำไปแต่งร่วมกับโคลง เช่น นิราศนรินทร์ ลิลิตตะเลงพ่าย สามกรุง เป็นต้น ส่วนร่ายยาวที่เราคุ้นเคยกันคือ เรื่องมหาเวสสันครชาดก
ร่ายเป็นร้อยกรองที่มีฉันทลักษณ์บังคับ จำนวนคำและสัมผัสบางชนิดบังคับคำเอก โท ไม่จำกัดจำนวนวรรคแบ่งเป็น ๔ ชนิด คือ
ร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพ คือ ร่ายที่กำหนดคำในวรรคและการสัมผัสเหมือนร่ายดั้นทุกประการ ส่วนการจบบท ใช้โคลงสองสุภาพจบ และนิยมมีคำสร้อยปิดท้ายด้วย และอาจแต่ง ให้มีคำสร้อยสลับวรรคก็ได้ ดังแผนผังและตัวอย่าง ดังนี้ ตัวอย่าง เจ้าฟ้าราชภาดินัย เฉลิมอภิชัยเถลิงอาศน์ กรมพระราชวังหลัง รังสฤษดิ์อิสสริยไท้ สมแก่ความชอบได้ ช่วยบ้านเมืองคราว เข็ญนาฯ อนึ่งทรงสถาปนา กรมพระยาเทพสุดาวคี กรมพระศรีสุดารักษ์ กรมหลวงจักรเจษฎา อีกภาคินัยทรงเดช กรมหลวงธิเบศร์บดินทร์ กรมหลวง นรินทร์รณเรศร์ หนึ่งพระเชษฐโอรส เถลิงพระยศเลื่องหล้า เจ้าฟ้ากรมหลวง- อิศริสุนทร ขจรพระเกียรติเกรื่องแกล้ว ราชสกุลบุญแพร้ว เพริศเรื้องรังสีฯ สามกรุง (พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพี่ทยาลงกรณ, ๒๕๑๑, หน้า ๑๖๕)
นิราศนรินทร์ ของ นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) ศรีสิทธิ์พิศาลภพ เลอหล้าลบล่มสวรรค์ จรรโลงโลกกว่ากว้าง แผนแผ่นผ้างเมืองเมรุ ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า แจกแสงจ้าเจิดจันทร์ เพียงรพิพรรณผ่องด้าว ขุนหาญห้าวแหนบาท สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน ส่ายเศิกเหลี้ยนลงหลัา.... ( นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน), ๒๕๑๗,หน้า ๑ ) จะเห็นว่า วรรค จรรโลงโลกกว่ากว้าง แผนแผ่นผ้างเมืองเมรุ ส่งสัมผัสด้วยคำว่า กว้าง ซึ่งเป็นวรรณยุกต์โท จึงต้องรับสัมผัส ด้วยวรรณยุกต์โท คือ ผ้าง ซึ่งเป็นโทโทษ คำปกติคือ พ่างทำเป็นผ้าง และอีกกตอนหนึ่งคือ สระทุกข์ราษฎรอนเสี้ยน ส่ายเศิกเหลี้ยนล่งหล้า เหลี้ยน คำปกติคือ เลี่ยน ทำเป็น โทโทษ คือ เหลี้ยน เพื่อให้สัมผัสกับ เสี้ยน
ร่ายดั้น ร่ายดั้น คือ ร่ายที่กำหนดคำในวรรคและการสัมผัสเหมือนร่ายโบราณ แต่ไม่เคร่งเรื่องการรับ สัมผัสระหว่างชนิดคำ คือ คำเอกไม่จำเป็นต้องรับด้วยคำเอก เป็นต้น ส่วนการจบบท ใช้บาทที่ สามและสี่ของโคลงดั้นมาปิดท้ายบท และอาจแต่งให้มีคำสร้อยสลับวรรคก็ได้ร่ายดั้น มี ฉันทลักษณ์เหมือนร่ายสุภาพ แต่งจบด้วยบาทที่ ๓ และบาทที่ ๔ ของโคลงสี่ดั้น ดังแผนผังและตัวอย่าง ดังนี้ ตัวอย่าง ศรีสิทธิวิวิธบวร นครควรชม ไกรพรหมรังสรรค์ สวรรค์แต่งแต้ม ย้มพื้นแผ่นพสุธา มหาคิลกภพ นพรัดนราชธานี บุรีรมย์เมืองมิ่ง แล้วแฮ ราเมศร์ไท้ท้าวตั้ง แต่งเอง กำสรวลศรีปราชญ์ (นายตำรา ณ เมืองใต้(รวบรวม), ๒๔๙๔, หน้า ๓๘)
ร่ายยาว ร่ายยาวเป็นร่ายที่ไม่จำกัดจำนวนคำในวรรค แต่มักไม่น้อยกว่า ๕ คำ บังคับสัมผัส คือ คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่ง ยกเว้นคำสุดท้ายในวรรค ต่อไป ร้อยเรียงไปยาวเท่าใดไม่มีข้อกำหนดจนจบบท ดังแผนผังและตัวอย่าง ดังนี้ ตัวอย่าง ในปีจออัฐศก พม่าขกทัพขยับเข้ามา ใกล้อยุธยาเข้าทุกที่ ดีปล้นสดมภ์ข่มขู่ ไทยออกสู้ดูกำลังปรปักษ์ แต่เมื่อประจักข์แน่แล้ว ก็หนีแน่วกลับบ้าน มิฉะนั้นก็พถ่านสู่ป่า อาศัยพงเป็นที่พึ่ง สิงชุ่มซ่อนนอนดิน สินทรัพย์ยับเยินย่อย ร่อยหรอกำลังวังชา ชาวอยุธยาบ่มีใจสู้ หดหู่ต่อปฏิปักษ์ หนักในใจอิดระอา เพราะผู้บัญชาสูงสุด ดุจไม้หลักปักเลน ไกวโยนโอนเอน ไม่เป็นแก้วเป็นการ ในอยุธยาวสานสมัยนั้นฯ สามกรุง (พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ, ๒๕๑๑, หน้า ๗ - ๘)
ร่ายโบราณ ร่ายโบราณ คือ ร่ายที่กำหนดให้วรรคหนึ่งมีคำห้าคำเป็นหลัก บทหนึ่งต้องแต่ง ให้มากกว่าห้าวรรคขึ้นไป การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำที่หนึ่ง สอง หรือสาม คำใดคำหนึ่งของวรรคถัดไป และยังกำหนดอีกว่า หากส่งด้วยคำเอก ต้องสัมผัสด้วยคำเอก คำโทก็ด้วยคำโท คำตายก็ด้วยคำตาย ในการจบบทนั้น ห้าม ไม่ให้ใช้คำที่มีรูปวรรณยุกต์ประสมอยู่เป็นคำจบบท อาจจบด้วยถ้อยคำ และอาจแต่ง ให้มีสร้อยสลับวรรคก็ได้ ดังแผนผังและตัวอย่าง ดังนี้ ตัวอย่าง ขมข่าวสองพี่น้อง ต้องหฤทัยจอมราช พระบาทให้รางวัล ปินผ้าเสื้อสนอบ ขอบใจสูเอาข่าว มากล่าวต้องติดใจ บารมี ลิลิตพระลอ (กรมศิลปากร, ๒๕๔๒, หน้า ๑๑)
ลักษณะบังคับของร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพบังคับ ๓ ลักษณะ คือ คณะ สัมผัสนอกหรือสัมผัสบังคับ รูปวรรณยุกต์เอก โท
๑. คณะ ร่ายสุภาพบทหนึ่งจะแต่งยาวเท่าใดก็ได้โดยแต่ละวรรคจะมีจำนวน คำ ๕ คำ ร้อยสัมผัสไปจนเมื่อจะจบความให้จบด้วยโคลงสองสุภาพ ลักษณะบังคับของร่ายสุภาพ เป็นดังนี้ ๒. สัมผัสนอกหรือสัมผัสบังคับ สัมผัสบังคับ คำสุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำที่ ๓ ของวรรคต่อไป หรือจะสัมผัสกับคำในตำแหน่งที่ ๑, ๒ ก็ได้ การส่งสัมผัสและรับสัมผัสจะมีกฎเกณฑ์ว่าต้องส่งสัมผัสและ รับสัมผัสด้วยรูปวรรณยุกค์เดียวกัน เช่น กิ่ง - ยิ่ง , ฟ้า - อ้า ร้อยสัมผัสไปจนจบ เมื่อจบให้จบด้วยโคลงสองสุภาพ โดยคำสุดท้ายในวรรคสุคท้ายของร่ายส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๒ ของวรรคแรกในโคลงสองสุภาพ และคำสุดท้ายในวรรคแรก ของโคลงสองส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของโคลงสอง
๓. รูปวรรณยุกต์เอก โท รูปวรรณยุกค์เอก โทบังคับตามฉันทลักษณ์ของโคลงสองสุภาพ “โคลงสองเป็นอย่างนี้ แสดงแก่กุลบุตรชี้ เช่น ให้เห็นเลบง แบบนา” จะมีคำรูปวรรณยุกต์เอก ๓ คำและรูปวรรณยุกค์โท ๓ คำ การสัมผัสในของร่ายจะใช้สัมผัสสระและอักษร แต่นิยมสัมผัสอักษรมากกว่า เนื่องจากวรรคหนึ่งมีเพียง ๕ คำ ถ้าสัมผัสสระเสียงจะซ้ำใกล้กันเกินไป จึงนิยมใช้สัมผัสอักษร ให้เสียงเสนาะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
การแต่งร่ายสุภาพมีวิธีการคิดเช่นเดียวกับคำประพันธ์ประเภทอื่น ๆ จึงได้กล่าวไว้แล้ว คือ การเริ่มที่วรรคแรก ถ้าเป็นร่ายที่ใช้ในการบวงสรวงหรือ ไหว้ครูมักใช้คำขึ้นต้นว่า โอม หรือ ศรีศรี - นิราศนรินทร์ ขึ้นต้นร่ายด้วยวรรคแรกว่า ศรีสิทธิพิศาลภพ - ลิลิตตะเลงพ่าย ขึ้นต้นร่ายด้วยวรรคแรกว่า ศรีสวัสดีเดชะ - ลำนำภูกระดึง ขึ้นต้นร่ายด้วยวรรคแรกว่า โอมศรีสิทธิ์ศุภฤกษ์ - สามกรุง ขึ้นต้นร่ายด้วยวรรคแรกว่า แถลงการปวงคัสกร
กฎเกณฑ์การเเต่งร่ายสุภาพ ๑ บทหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไปจัดเป็นวรรคละ ๕ คำ หรือจะเป็น ๕ คำบ้างก็ได้ แต่ไม่ควรให้เกิน ๕ จังหวะในการอ่าน จะแต่งยาววรรคก็ได้ แต่ตอนจบจะต้องเป็นโคลงสองสุภาพเสมอ ๒ สัมผัสมีดังนี้ คำสุดท้ายของวรรคหน้าต้องสัมผัสผสมที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ของวรรคถัดไปทุกวรรคนอกจากตอนจบต้องให้สัมผัส แบบโคลงสองสุภาพ ๓ เอกโทมีบังคับเอก ๓ แห่งและคำโท ๓ แห่งตามแบบของ โคลงสองสุภาพ ๔ ถ้าคำที่ส่งสัมผัสเป็นคำเป็นหรือคำตายคำที่รับสัมผัสจะต้อง เป็นคำเป็นหรือคำตายด้วยและคำสุดท้ายของบทห้ามใช้คำตาย ๕ เติมสร้อยในตอนสุดท้ายของบทได้อีก ๒ คำ หรือจะเติม ทุก ๆ วรรคก็ได้ แต่พอถึงโคลงสองต้องงดเว้นไว้ แต่สร้อยของ โคลงสองเองสร้อยชนิดนี้จะต้องให้เหมือนกันทุกวรรคเรียกชื่อว่า “สร้อยสล ับวรรค”
ครั้นยางยื่นคำปู่ ใจพระลออยู่บมิกลม ปู่เอาลูกลมปักปลายยาง วางมือบัดเดี๋ยวคาย ปลายไม้ผายยะยัน ใบไม้ผันยะย้าย คล้ายลุกตรงตระบัด ลมพัดลูกลมผัน กลกังหันคะคว้าง ลอบพิตรเจ้าช้าง ปั่นเพียงลมผัน (ลิลิตพระลอ)
ตัวอย่างร่ายสุภาพ ตัวอย่างที่ ๑ จากเรื่อง สามกรุง ดังนี้ ออสเตรียราชาธิราช ประกาศศึกเซอร์เบีย รัสเซียราชาธิราช ประกาศระดมพลพลัน เยอรมันราชาธิราช ประกาศศึกรัสเซีย เยียให้เกิดเป็นเหตุ ฝรั่งเศสประกาศยุทธ ฉุคอังกฤษเข้าไป ในที่สุดสงคราม สามสิบแปดประเทศ เหตุอุตลุดสุดก้ำ โอบเอื้อเติบยิ่งล้ำ กว่าครั้งคราวใด (พระราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ, ๒๕๑๑,หน้า ๒๖๙)
ตัวอย่างที่ ๒ จากเรื่อง พระมาลัยคำหลวง พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ดังนี้ สมเด็จพระมาลัยวิสุทธิ์ จึ่งนำประวุติข่าวสาร แห่งพระศรีอาริย์เมศไครย มาแถลงไขมฤธู แก่ชาวชมพูทวีปนั้น ทุกสิ่งพรรณอาการ ชบฟังสารโสมนัส ยกยอหัคถ์วันทา โสมนัสสาทุกชน ชวนกันทำผลบุญญา มีทานาเป็นอาทิ สิ้นขนมชาติอาสัญ อุบัติสวรรค์เสวยรมย์ ดามกุศลนิยมส่งให้ พูนอาตมเป็นเทพไท้ ทิพแท้สมบูรณ์ฯ (เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์, ๒๕๑๓, หน้า ๒๙๐)
๒. สัมผัสเหมือนกับร่ายสุภาพ นอกจากตอนจบเท่านั้นที่ต่างกัน ๓. บังคับเอกโทตามบาทที่ ๓ และ ๔ ของโคลงดั้นวิวิธมาลี ๔. ถ้าคำที่ส่งสัมผัสเป็นคำเป็นหรือคำตายคำที่รับสัมผัสจะต้องเป็น คำเป็นหรือคำตายด้วยและคำสุดท้ายของบทห้ามใช้คำตาย ๕. เติมคำสร้อยในตอนสุดท้ายของบทได้อีก ๒ คำ หรือจะเติมสร้อยระหว่างวรรคก็ได้
ศรีสวัสดิวัฒนวิวิธ ชวลิตโลกเลื่อง เฟื่องฟูภูมิมณฑล สกลแผ่นภพ สบพิสัยสยาม รามนรินทร์ภิญโญยศ ปรากฏกระเดื่อง เปรื่องปราชญ์ปรีชาชาญ ขานคุณทั่วทุกทิศ ขจรขจ่าง ลือตระลอดฟ้าล้น แหล่งธร (บาท ๓ โคลงสี่ดั้น) (บาท ๔ โคลงสี่ดั้น) (หลักภาษาไทย: พระยาอุปกิตศิลปะสาร)
๑. บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่มักไม่น้อยกว่า ๕ วรรคขึ้นไป จำนวนคำในวรรคหนึ่งก็ไม่กำหนดตายตัวแน่นอนจะมีกี่คำก็ได้ แล้วแต่จะเห็นเหมาะมักจะอยู่ระหว่าง ๗-๑๓ คำ ๒. สัมผัสมีดังนี้ คำสุดท้ายของวรรคต้นจะส่งสัมผัสไป ยังวรรคต่อไปคำใด ก็ได้ยกเว้นคำแรกและคำสุดท้ายซึ่งไม่นิยมรับสัมผัสส่วนการ ส่งและการรับสัมผัสด้วยเอกโทอย่างร่ายที่กล่าวมาแล้วนั้นไม่ ถือเป็นระเบียบเคร่งครัดนักการแต่งร่ายยาวผู้แต่งจะต้องรู้จัก เลือกใช้ถ้อยคำและสัมผัสในให้มีจังหวะรับกันอย่างสละสลวย และจำนวนคำที่ใช้ในวรรคหนึ่ง ๆ ก็ไม่ควรยาวเกินกว่าช่วง ระยะหายใจครั้งหนึ่ง ๆ หมายเหตุ: ร่ายยาวที่ใช้แต่งเทศน์หรือบทสวดที่ต้องว่าเป็นทำนองเช่นเทศน์มหาชาติเป็นต้น ฉะนั้นเมื่อจบความตอนหนึ่ง ๆ มักลงท้ายด้วยคำว่า“ นั้นแล” “ นั้นเถิด” “ นั่นแล” “ ฉะนี้แล” “ ด้วยประการฉะนี้\" “คำ“ นั้นแล” นิยมใช้เมื่อสุดกระแสความตอนหนึ่ง ๆ หรือจบเรื่องเมื่อลง“ นั้นแล” ครั้งหนึ่งเรียกว่า“ แหล่” หนึ่งซึ่งเรียกย่อมาจากคำ“นั่นแล” เพราะเวลาว่าทำนองจะได้ยินเสียงเป็น“ นั่นแหล่\"
โสโพธิสตฺโตส่วนสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ตรัสได้ทรงฟังพระสุรเสียงแก้วกัณ หาเสียวพระสกลกายาเย็นระย่อ เศร้าสลดระทดท้อพระทัยเธอถอยหลังพระนาสิกอึดตั้งอัสสาสปัสสาส พระเนตรเธอไหลหยาดหยด เป็นสายเลือดไม่เว้นวายหายเลือดซึ่งโศกา จึงเอาพระปัญญาวินิจฉัยเข้ามาข่มโศกว่าบุตรวิโยคครั้งนี้บังเกิด มีเพราะความรักจำจะเอาอุเบกขาเข้ามาประหารหักให้เสื่อมหาย ท้าวเธอก็กลับสุขเกษมเปรมสบายพระกายก็ใสสดดั่งพระจันทร์ทรงกลดนั้นแล (มหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์กุมาร)
๑ ๒ สัมผัสเหมือนกับร่ายสุภาพดังกล่าวมาเเล้วส่วนคำสุดท้ายบทนั้น ห้ามใช้คำตายเเละคำที่ผันด้วยวรรณยุกต์เอกโทตรี จัตวา ๓ เติมได้ ๒ คำตอนท้ายบทหรือจะเติมสลับไปทุกวรรคก็ได้
ชมข่าวสองพี่น้อง ต้องหฤทัยจอมราช พระบาทให้รางวัล ปันเสื้อผ้าสมอบ ขอบใจสูเอาข่าว มากล่าวต้องติดใจบารมี (ลิลิตพระลอ)
ร่ายที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงนิพนธ์“ ลิลิตค่าหลวง” โดยใช้ร่ายยาว ลงท้ายด้วยโคลงสองสุภาพแทนร้ายสุภาพและทรงให้ชื่อรายชนิดนี้ว่า “ร่ายคำหลวง” ดังตัวอย่าง ร่ายคำหลวง ฝูงมนุษย์พุทธศาสนิกชน ต่างพร้อมกมลมาสโมสรสันนิบาตใน พระพุทธาวาสคลาคล่ำเพื่อจะฟังพระสิทธรรมยกบุญทานแผ่ทักษิณ บรรณาการธรรมพลีอุทิศส่วนกุศลบุญราศีสุจริตปฏิบัติ .... อันเป็นปิยมหาราชเจ้า สมเด็จจอมเกล้า ปกเกล้าเราเกษม โสดถิ์แลฯ
ลิลิต คือกวีนิพนธ์ที่มีเนื้อเรื่องยาว ๆ ซึ่งแต่งเป็นรายและโคลงสลับกัน ไปทั้งร่ายและโคลงเหล่านั้นจะต้องมีสัมผัสเกี่ยวข้องกันในระหว่างท้ายบทกับต้นบท ตั้งแต่ต้นจนจบคือต้องให้คำสุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับคำที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ของวรรคแรกของบทต่อไปยกเว้นบทไหว้ครู ลิลิตมี ๒ ชนิดคือ ลิลิตสุภาพ ลิลิตดั้น ลิลิตที่ใช้ร่ายสุภาพกับโคลงสุภาพ ลิลิตที่ใช้ร่ายดันและ แต่งสลับอยู่ในเรื่องเดียวกัน โคลงดั้นแต่งสลับ อยู่ในเรื่องเดียวกัน เช่น ลิลิตพระลอลิลิตตะเลงพ่าย เช่น ลิลิตยวนพ่าย เป็นต้น ลิลิตนิทราชาคริตเป็นต้น
๑ ๒ ถ้าแต่งเป็นลิลิตสุภาพต้องใช้ร่ายสุภาพขึ้นต้นแล้วใช้โคลงสุภาพ กับร่ายสุภาพแต่งสลับกันถ้าแต่งเป็นลิลิตนั้นต้องใช้ร่ายนั้นขึ้นต้น แล้วต่อไป ก็ใช้โคลงดั้นกับร่ายดั้นแต่งสลับกัน ๓ ถ้าเป็นโคลงสี่ดั้นนอกจากจะให้สัมผัสเกี่ยวกันระหว่างบท ดังกล่าวแล้วยังต้องให้คำสุดท้ายของโคลงบทต้นสัมผัสกับคำที่ ๓ หรือ ๔ หรือ ๕ ของบาทที่ ๒ ของบทต่อไปตามแบบลงท้ายและชนิด ของโคลงดั้นชนิดนั้น ๆ ด้วย
ร่าย ลิลิตตะเลงพ่าย พระเหลียวแลไม้ดอก ออกช่อแซมแนมผล ไขสุคนธ์เสาวรพย์ เลองตระลบแหล่งพนัศ วาขุพานพัครำเพย รเหยนอมฟุ้งเฟื่อง เปลื่องหฤไทยรำจวญ เหล่าลำควนคาษคง แก้วกาหลงชงโฆ ยี่สุ่มขี่โถโยทกา พุดจีบลาลาญเนตร เกษพิกุลแบ่งกลีบ ปีบจำปาจำปี มถุดีประดู่ดง ปรูประยงยมโคย โรยเรณูร่วงเร้า เย้ากระมลชวนชื่น สุรภีรื่นรศสุคนธ์ บุนนากปนปะแปม การะเกดแกมกรรณิการ์ มลิวัลย์ลาห์ลายหลาก มากมวลหมู่แมกไม้ ถวิลถึงองค์อ่อนไท้ ธิราชร้อนทรวงเสรียว อยู่นา ฯ (สมเด็จพระมหาสมณเข้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส, ๒๕๔๙,หน้า ๓๔)
ข้อควรทราบอีกประการหนึ่ง คือ สร้อยคำของร่ายปกติ เป็นสร้อยคำในโคลงสอง เรามักไม่พบสร้อยคำในร่าย แต่ในร่ายก็อาจมีสร้อยคำระหว่างวรรคได้ เช่น ในลิลิตตะเลงพ่าย ดังนี้ ชวนกันผันกันผาย แลนา ชวนกันขจายขจัด แลนา ชวนกันกระพัดกระเพิ่น แลนา ชวนกันเกริ่นกันเกรียว แลนา บเหลียวหลังมาร้า แลนา บกลับหน้ามาราญ แลนา บอยู่ทานมือรบ แลนา บอยู่รบมือรอน แลนา มรณ์ด้วยคาบเหลือหลาย แลนา ตายด้วยหอกเหลือหลาก แลนา มากปืนต้องอนันต์ แลนา ครันทวนถูกเอนก แลนา เฉถฟางฟอดทอดไฟ ฟูมไผทถั่งท้น พันคะเนคะแนน แกลนเคชไททุกผู้ บมีใครรอสู้ แต่ตั้งตื่บหนี สิ้นนา (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส, ๒๕๕๙, หน้า ๙๖) จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า มีสร้อยคำคั่น ระหว่างวรรคของร่าย คือคำว่า แลนา
ลิลิตสุภาพ
ตัวอย่างลิลิตสุภาพ หมายเหตุ: คำที่พิมพ์ตัวหนาเป็นการสัมผัสร้อยโคลงหรือการเข้าลิลิต
ร่ายและโคลงที่ใช้ในลิลิตนั้น มีลักษณะดังกล่าว มาแล้วข้างต้น เพียงแต่เพิ่มสัมผัสระหว่างบท ให้เกี่ยวข้องติดต่อกันตั้งแต่ต้นจนจบ คือให้คำสุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับคำที่ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ของวรรคแรกของบทต่อไป เข้าลิลิต ร้อยโคลง
ลิลิตดั้น คือลิลิตที่ใช้ร่ายดั้นกับโคลงดั้นแต่งสลับกัน โดยมีการร้อยโคลงตั้งแต่บทแรกจนบทลิลิตนสุดท้าย เช่น ลิลิตยานพ่าย เป็นต้น
ตัวอย่างลิลิตดั้น หมายเหตุ: สัมผัสร้อยโคลงที่ส่งไปยังโคลงดั้นด้นมี ๒ แบบคือ ๑.ส่งไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบาทที่หนึ่งของโคลงสี่ดั้นธรรมดา ๒.ส่งไปยังวรรคแรกของบาทสองของโคลงสี่ดั้นพิเศษ กล่าวคือถ้าเป็น โคลงวิวิธมาลีและบาทกุญชรจะส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๕ ของบาทที่ ๒ ในโคลงบทต่อไป ถ้าเป็นโคลงตรีพิ ธ พรรณส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓ ในบาทที่ ๒ และถ้าเป็นโคลงจัตวา ทัณฑ์ส่งไปยังคำที่ ๔ บาทที่ ๒
ประเภ ทร่าย คำประพันธ์ประเภทร่ายมีบทบัญญัติไม่ยุ่งอย่างเขาคำประพันธ์ประเภทอื่น คือไม่มีข้อบังคับคำเอก คำโท เหมือนโคลง ไม่มีข้อบังคับคำครุคำละหุเหมือนฉันท์ ไม่บังคับเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค และวิธีสัมผัสแบบกลอน อีกทั้งกวีมักใช้ร่ายบรรจุเนื้อหามากกว่าความคิด การอ่านร่ายจึงดูเหมือนว่าจะง่าย แต่แท้จริงกลับต้องระมัดระวังเรื่องการแบ่งจังหวะ เนื่องจากไม่ได้บังคับเรื่องสัมผัส โดยเฉพาะร่ายยาวซึ่งไม่บังคับจำนวนคำ แต่เราวรรค การอ่านจึงเป็นไปได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับใจความและเสียงของคำแต่ละคำในวรรคนั้น ๆ ร่ายที่นิยมนำมาอ่านได้แก่ ร่ายดั้น ร่ายสุภาพและร่ายยาว
จังหวะการอ่านร่าย จังหวะหลัก จังหวะเสริม คำท้ายวรรคแต่ละวรรค คำรับสัมผัสในวรรคถัดมา ร่ายส่วนใหญ่มีจำนวนคำวรรคละ ๕ คำจะอ่านให้จบวรรคภายในหนึ่งช่วง ลมหายใจยกเว้นร่ายยาวซึ่งแต่ละวรรคจะมีคำเกิน ๕ คำจะอ่านคำทั้งหมดใน วรรคภายในหนึ่งช่วงลมหายใจ โดยเว้นช่วงหายใจ ช่วงเน้นคำที่รับสัมผัสและ ไปถอดเสียงที่คำท้ายวรรคหากคำในวรรคยาวเกินกว่าช่วงลมหายใจของผู้อ่าน ให้พิจารณาแบ่งจังหวะจากใจความ
ตัวอย่างการอ่านร่าย
ร่า ย ร่ายแต่ละประเภทมีทำนองเหมือนกัน คือ อ่านด้วยเสียงระดับเดียวกัน และต้องถอดเสียงท้ายวรรคทุกวรรค เมื่ออ่านถึงคำรับสัมผัส ให้เน้นเสียงหรือถอดเสียงเมื่อพบคำที่มีเสียงสูงท้ายวรรคนิยม อ่านขึ้นเสียง หากเป็นร่ายสุภาพ ช่วงที่จบด้วยโคลงสองสุภาพ จะอ่านช้าลงกว่าเดิมและทอดเสียงต่อเนื่องไปจนจบ การอ่านคำภาษาบาลีในร่ายยาวใช้หลักการอ่านคำภาษาบาลี คืออ่านเรียงพยางค์เครื่องหมายพินธุ (.) ใต้พยัญชนะตัวใด ตัวนั้นเป็นตัวควบกล้ำหรือเป็นตัวสะกด เครื่องหมายนิคหิต ( ° ) บนตัวพยัญชนะตัวใดตัวนั้นอ่านเหมือนมีตัว ง หรือ ม สะกด สนฺติกํ อ่า นว่า สัน-ติ-กัง
๑. ร่ายยาว เช่น - ร่ายยาว มหาเวสสันดรชาดก หรือมหาชาติกลอนเทศน์ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๒. ลิลิต ในตอนที่เป็นร่าย เช่น - ลิลิตโองการแช่งน้ำ (ประกาศโองการแช่งน้ำโคลงห้า) สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) - ลิลิตยวนพ่าย สมัยพระรามาธิบดีที่ ๒ - ลิลิตพระลอ สมัยอยุธยาตอนต้น - ลิลิตเพชรมงกุฎ, ลิลิตศรีวิชัยชาดก, ลิลิตพยุหยาตรา เพชรพวง ของเจ้าพระยาพระคลัง(หน) - ลิลิตตะเลงพ่าย พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส - ลิลิตนิทราชาคริต พระราชนิพนธ์สมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส - ลิลิตสามกรุง พระนิพนธ์พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่น พิทยาลงกรณ - ลิลิตภควตี ของวันเพ็ญ เซ็นตระกูล
๓. คำหลวง ในตอนที่เป็นร่าย เช่น - มหาชาติคำหลวง สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ - นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ - พระมาลัยคำหลวง พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ - พระนลคำหลวง พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔. อื่น ๆ เช่น - สุภาษิตพระร่วง หรือบัญญัติพระร่วง สมัยสุโขทัย - กาพย์มหาชาติ หรือกลอนสวด สมัยสมเด็จ พระเจ้าทรงธรรม
ร่าย คือ คำประพันธ์ประเภทร้อยกรองแบบหนึ่ง ที่แต่งง่ายที่สุด และมีฉันทลักษณ์น้อยกว่าร้อยกรองประเภทอื่น ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าร่ายมีลักษณะใกล้เคียงกับคำประพันธ์ ประเภทร้อยแก้วมาก เพียงแต่กำหนดที่คล้องจองและบังคับ วรรณยุกต์ในบางแห่ง โดยร่ายมี ๔ ประเภท เรียงลำดับตามการกำเนิดจากก่อนไปหลังได้ คือ ร่ายยาว ร่ายโบราณ ร่ายดั้น และร่ายสุภาพ คำประพันธ์ประเภทร่ายมีบทบัญญัติไม่ยุ่งยากอย่าง คำประพันธ์ประเภทอื่น คือไม่มีข้อบังคับคำเอก คำโท เหมือนโคลง ไม่มีข้อบังคับคำครุคำลหุเหมือนฉันท์ ไม่บังคับเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค และวิธีสัมผัสแบบกลอน อีกทั้งกวีมักใช้ร่ายบรรจุเนื้อหามากกว่าความคิด การอ่านร่ายจึงดูเหมือนว่าจะง่าย แต่แท้จริงกลับต้องระมัดระวัง เรื่องการแบ่งจังหวะ เนื่องจากไม่ได้บังคับเรื่องสัมผัส โดยเฉพาะร่ายยาวซึ่งไม่บังคับจำนวนคำ แต่ละรรค การอ่านจึงเป็นไปได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับใจความ และเสียงของคำแต่ละคำในวรรคนั้น ๆ
กำชัย ทองหล่อ. (๒๕๓๗). หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น. จนัญญา งามเนตร. (พฤศจิกายน ๒๕๖๓). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การอ่าน และการเขียนร้อยกรองไทย. ช่อฟ้า ประยงค์. (๒๕๓๗). กลอนและวิธีแต่งกลอน. กรุงเทพฯ : รวมสาส์ฯ. ราชบัณฑิตย์สถาน. (๒๕๕๖). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔. เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน. วีเชียร เกษประทุม. (๒๕๕๐). ลักษณะคำประพันธ์ไทย. กรุงเทพฯ: ธนธัชการพิมพ์จำกัด. เศรษฐ์ พลอินทร์. (๒๕๒๔). ลักษณะคำประพันธ์ไทย. กรุงเทพฯ: กรมการฝึกหัดครู สุภาพร มากแจ้ง. (๒๕๓๕). กวีนิพนธ์ไทย ๑. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์. สำนักงานส่งเสริมเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. (๒๕๔๓). จินดามณี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. อัศนี พลจันทร (นายผี). (๒๕๔๑). รวมบทกวี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สามัญชน. อังคาร กัลยาณพงศ์ . (๒๕๑๓). กวีนิพนธ์. พระนคร : ศึกษิดสยาม. อุปกิตศิลปสาร, พระยา. (๒๕๒๔). คำประพันธ์บางเรื่อง. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนา พานิชจำกัด. อุปกิตศิลปสาร, พระยา. (๒๕๑๑). หลักภาษาไทย. พระนคร : ไทยวัฒนาพานิชจำกัด.
สมาชิกในกลุ่ม นางสาวปฐมาภรณ์ ปิจจวงค์ รหัส ๐๐๙ นางสาวสาวิตรี ประกอบเพชร รหัส ๐๑๐ นางสาวกัญญารัตน์ ควรการ รหัส ๐๑๕ นางสาวอติมา ฉิมหิรัญ รหัส ๐๑๘ นางสาวสิริยากร ศิริพลับ รหัส ๐๒๔ ชั้นปีที่ ๒ หมู่เรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ สาขาวิชาภาษาไทย วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
Search
Read the Text Version
- 1 - 45
Pages: