ความหมายของทศั นศิลป์
-1- สุนทรียภาพทางทศั นศิลป์ เป็นการรับรู้คุณคา่ ความงาม ความประณีตและเรื่องราวต่างๆจากการมองเห็นโดยตรง คุณค่าท่ีรับรู้คือ รูปทรง และเรื่องราวท่ีเกิดจากทศั นะธาตุ ไดแ้ ก่ เสน้ สีแสงเงา พ้นื ผวิ ความกลมกลืน ซ่ึงเป็นส่วนประกอบของความงามทศั นศิลป์ นน่ั เอง การท่ีมนุษยเ์ กิดความรู้สึกซาบซ้ึง หรือรับรู้คุณคา่ ของส่ิงที่งาม ความประณีต และเรื่องราวต่างๆ ถือวา่ ไดร้ ับสุนทรียภาพของสิ่งน้นั แลว้ความหมายของทศั นศิลป์ ทศั นศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่รับรู้ดว้ ยประสาทสัมผสั ทางตา ศิลปะที่มองเห็น เมื่อพจิ ารณาความหมายท่ีมีผนู้ ิยามไว้ จะพบวา่ การรับรู้เรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึกของงานทศั นศิลป์ น้นั จะตอ้ งอาศยัประสาทตาเป็นสาคญั นน่ั คือตาจะรับรู้เก่ียวกบั ส่ิงต่าง ๆ ที่นามาประกอบเป็นงานทศั นศิลป์ ไดแ้ ก่ เสน้รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา และพ้ืนผวิ เป็นตน้ โดยศิลปะจะนาสิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ีมาสร้างสรรคผ์ ลงานดว้ ยวธิ ีการเขียนภาพ ระบายสีบา้ ง ป้ันและสลกั บา้ งหรืองานโครงสร้างเป็นตน้ การสร้างสรรคผ์ ลงานทศั นศิลป์ ใหเ้ กิดคุณค่าทางศิลปะไดน้ ้นั ข้ึนอยกู่ บั ความสามารถ ทกั ษะและความคิดของศิลปิ นแต่ละคน งานทศั นศิลป์ ท่ีปรากฏใหเ้ ห็นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื ทศั นศิลป์ 2 มิติ ไดแ้ ก่ ผลงานการเขียนภาพระบายสี ทศั นศิลป์ 3 มิติ ไดแ้ ก่ ผลงานประติมากรรม สถาปัตยกรรม
-2-ความหมายของมิติ ในทางทศั นศิลป์ หมายถึง ส่ิงที่ทาใหภ้ าพมีความต้ืน ลึก หนา บาง ตามสภาพความเป็นจริง จากการมองเห็นและจบั ตอ้ งได้ส่วนประกอบของมิติ 1. จุด (point) 2. เสน้ (line) 3. รูปร่าง (shape) 4. รูปทรง (form)มิตใิ นด้านรูปภาพ 1. สามมิติที่เกิดจากสี 2. สามมิติท่ีเกิดจากแสงและเงา 3. สามมิติที่เกิดจากบริเวณวา่ ง 4. สามมิติที่เกิดจากการบงั กนั ทบั กนั หรือซอ้ นกนั 5. สามมิติที่เกิดจากการแตกต่างกนั ของขนาด 6. สามมิติที่เกิดจากเสน้ และจุดรวมสายตา 7. สามมิติที่เกิดจากเสน้ และแสงเงา 8. สามมิติท่ีเกิดจากเสน้ สี และแสงเงา (ผลงานของหม่อมหลวง ศกั ด์ิสิน เกษมสันต)์
-3-มิตใิ นด้านรูปทรง 1. สามมิติเกิดจากการรับรู้ทางการมองเห็นรูปทรงท่ีเป็นปริมาตร ไดแ้ ก่ รูปทรงเรขาคณิต ธรรมชาติ อิสระ ที่มีความกวา้ ง ยาว ลึกหรือหนา ของภาพ 2. สามมิติเกิดจากการรับรู้ทางการจบั ตอ้ งรูปทรงที่ เป็นปริมาตร ไดแ้ ก่ รูปทรงเรขาคณิต ธรรมชาติ อิสระ ท่ีมีความกวา้ ง ยาว ลึกหรือหนา ตามสภาพความเป็นจริงทมี่ าของงานทศั นศิลป์ ประกอบด้วย 1.1 ศิลปิ น (Artist) เป็นผถู้ ่ายทอดผลงานศิลปะ โดยไดร้ ับแรงบนั ดาลใจจากธรรมชาติส่ิงแวดลอ้ มดว้ ยความรู้สึกประทบั ใจหรือเกิดความสะเทือนอารมณ์ จึงถ่ายทอดออกมาตามอารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการเฉพาะตน 1.2 ส่ิงแวดล้อม (Environment) ไดแ้ ก่ ธรรมชาติ ความเชื่อทางศาสนา เร่ืองจากประวตั ิศาสตร์เร่ืองราวจากวรรณคดี ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี ท้งั หมดน้ีเป็นส่ิงเร้า เป็นตวั กระตุน้ ใหม้ นุษยเ์ กิดอารมณ์ความรู้สึกและแสดงออกดว้ ยการถา่ ยทอดออกมาเป็นผลงานศิลปกรรม 1.3 สื่อ/วสั ดุ (Media) ไดแ้ ก่ กระดาษ สี ดินสอ หิน ไม้ ปูน ฯลฯ ซ่ึงศิลปิ นไดซ้ ึมซบัประสบการณ์จากสิ่งแวดลอ้ ม แลว้ นาไปถ่ายทอดลงบนส่ือใหอ้ อกมาเป็นรูปธรรม 1.4 ผลงานศิลปะ (Art) เป็นผลงานที่เกิดจากแรงบนั ดาลใจในส่ิงแวดลอ้ มของมนุษย์ โดยผา่ นสื่อใหป้ รากฏเป็นรูปธรรม เรียกวา่ “ผลงานศิลปะ”
-4-จิตรกรรม (Painting) จิตรกรรม (Painting) หมายถึง ผลงานศิลปะท่ีแสดงออกดว้ ยการขีดเขียน การวาด และระบายสีเพ่อื ใหเ้ กิดภาพ เป็นงานศิลปะที่มี 2 มิติ เป็นรูปแบบไม่มีความลึกหรือนูนหนา แต่สามารถเขียนลวงตาใหเ้ ห็นวา่ มีความลึกหรือนูนได้ ความงามของจิตรกรรมเกิดจากการใชส้ ีในลกั ษณะต่าง ๆ กนังานจติ รกรรม แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ 1. การวาดเส้น (Drawing) เป็นการวาดภาพโดยใชป้ ากกา หรือดินสอ ขดี เขียนลงไป บนพ้ืนผวิวสั ดุรองรับเพอื่ ใหเ้ กิดภาพ การวาดเสน้ คือ การขีดเขียนใหเ้ ป็นเสน้ ไม่วา่ จะเป็นเสน้ เลก็ หรือ เสน้ ใหญ่ ๆ มกั มีสีเดียว แต่การวาดเสน้ ไม่ไดจ้ ากดั ที่จะตอ้ งมีสีเดียว อาจมีสีหลาย ๆ สีกไ็ ด้ การวาดเสน้ จดั เป็นพ้นื ฐานท่ีสาคญั ของงานศิลปะแทบทุกชนิด 2. การระบายสี (Painting) เป็นการวาดภาพโดยการใชพ้ กู่ นั หรือแปรง หรือวสั ดุอยา่ งอื่น มาระบายใหเ้ กิดเป็นภาพ การระบายสี ตอ้ งใชท้ กั ษะการควบคุมสีและเคร่ืองมือมากกวา่ การวาดเสน้ผลงานการระบายสีจะสวยงาม เหมือนจริง และสมบูรณ์แบบมากกวา่ การวาดเสน้ลกั ษณะของภาพจติ รกรรม งานจิตรกรรม ที่นิยมสร้างสรรค์ ข้ึนมีหลายลกั ษณะ ดงั น้ี คือ 1. ภาพทวิ ทศั น์ (Landscape Painting) เป็นภาพที่แสดงความงาม หรือความประทบั ใจในความงาม ของธรรมชาติ หรือสิ่งแวดลอ้ มของศิลปิ นผวู้ าด ภาพทิวทศั นแ์ บ่งเป็นลกั ษณะต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ภาพทิวทศั นผ์ นื น้า หรือ ทะเล (Seascape ) ภาพทิวทศั นพ์ ้นื ดิน (Landscape) ภาพทิวทศั นข์ องชุมชนหรือเมือง(Cityscape)
-5- (ผลงานของกิตติศกั ด์ิ บุตรดีวงศ)์ ท่ีมา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=128865 2. ภาพคน (Figure Painting) เป็นภาพที่แสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ของมนุษยแ์ บบเตม็ ตวั โดยไม่เนน้ แสดงความเหมือนของใบหนา้ 3. ภาพคนเหมือน (Portrait Painting) เป็นภาพท่ีแสดงความเหมือนของใบหนา้ ของคน ๆ ใดคนหน่ึง
-6- 4. ภาพสัตว์ ( Animals Figure Painting) แสดงกิริยาท่าทางของสตั วใ์ นลกั ษณะต่าง ๆ 5. ภาพประกอบเรื่อง (Illustration Painting) เป็นภาพที่เขียนข้ึน เพอ่ื บอกเล่าเรื่องราว หรือถ่ายทอดเหตุการณ์ต่าง ๆ ใหผ้ อู้ ่ืนไดร้ ับรู้ โดยอาจเป็นท้งั ภาพประกอบเร่ืองในหนงั สือ พระคมั ภีร์ หรือภาพเขียนบนฝาผนงั อาคารสถาปัตยกรรมต่าง ๆ และรวมถึงภาพโฆษณาต่าง ๆ (ภาพประกอบเร่ืองเวสสนั ดรชาดก)ท่ีมา http://www.singisan.com/?page_id=18
-7- 6. ภาพหุ่นนิ่ง (Still Painting) เป็นภาพวาดเก่ียวกบั สิ่งของเครื่องใช้ หรือ วสั ดุต่าง ๆ ท่ีไม่มีการเคลื่อนไหว เป็นส่ิงที่อยกู่ บั ท่ี 7. ภาพจิตรกรรมฝาผนัง (Mural Painting ) เป็นภาพเขียนท่ีเขียนไวต้ ามผนงัอาคาร โบสถ์ หรือวหิ ารต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะแสดงเรื่องราวศาสนา ชาดก ประวตั ิของศาสดา กิจกรรมของพระมหากษตั ริย์ บางแห่งเขียนไวเ้ พอ่ื ประดบั ตกแต่ง
-8-ประตมิ ากรรม (Sculpture) ประติมากรรม (Sculpture) หมายถึง ผลงานศิลปะท่ีแสดงออกดว้ ยการสร้างรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้าหนกั และกินเน้ือท่ีในอากาศ โดยการใชว้ สั ดุชนิดต่าง ๆ วสั ดุที่ใชส้ ร้างสรรคง์ านประติมากรรม จะเป็นตวั กาหนดวธิ ีการสร้างผลงาน ความงามของงานประติมากรรม เกิดจากการแสงและเงาที่เกิดข้ึนในผลงานการสร้างงานประติมากรรมทาได้ 4 วธิ ี คือ 1. การป้ัน (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุที่เหนียว อ่อนตวั และยดึ จบั ตวั กนัดี วสั ดุท่ีนิยมนามาใชป้ ้ัน ไดแ้ ก่ ดินเหนียว ดินน้ามนั ปูน ข้ีผ้งึ กระดาษ หรือ ข้ีเล่ือยผสมกาว เป็นตน้ 2. การแกะสลกั (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุที่แขง็ เปราะ โดยอาศยัเคร่ืองมือ วสั ดุท่ีนิยมนามาแกะ ไดแ้ ก่ เทียน ไม้ หิน กระจก ปูนปลาสเตอร์ เป็นตน้ 3. การหล่อ (Molding) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวสั ดุที่หลอมตวั ไดแ้ ละกลบั แขง็ ตวัได้ โดยอาศยั แม่พมิ พ์ ซ่ึงสามารถทาใหเ้ กิดผลงานท่ีเหมือนกนั ทุกประการต้งั แต่ 2 ชิ้นข้ึนไป วสั ดุท่ีนิยมนามาใชห้ ล่อ ไดแ้ ก่ โลหะ สาริด ปูน ข้ีผ้งึ เรซ่ิน พลาสติก ฯลฯ 4. การประกอบขึน้ รูป (Construction) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ โดยนาวสั ดุต่าง ๆ มาประกอบเขา้ ดว้ ยกนั และยดึ ติดกนั ดว้ ยวสั ดุต่าง ๆประเภทของงานประตมิ ากรรม1.ประตมิ ากรรมแบบนูนตา่ (Bas Relief ) เป็นรูปที่เป็นนูนข้นึ มาจากพ้ืนหรือมีพ้ืนหลงัรองรับ มองเห็นไดช้ ดั เจนเพียงดา้ นเดียว คือดา้ นหนา้ มีความสูงจากพ้ืนไม่ถึงคร่ึงหน่ึงของรูปจริง ไดแ้ ก่รูปนูนแบบเหรียญ รูปนูนท่ีใชป้ ระดบั ตกแต่งภาชนะ หรือประดบั ตกแต่งอาคารทางสถาปัตยกรรม โบสถ์ วิหารต่างๆ พระเครื่องบางชนิด
-9- 2.ประตมิ ากรรมแบบนูนสูง (High Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ในลกั ษณะเช่นเดียวกบั แบบ นูนต่าแต่มีความสูงจากพ้ืนต้งั แต่คร่ึงหน่ึงของรูปจริงข้ึนไป ทาใหเ้ ห็นลวดลายที่ลึก ชดั เจน และเหมือนจริงมากกวา่ แบบนูนต่าและใชง้ านแบบเดียวกบั แบบนูนต่า 3.ประตมิ ากรรมแบบลอยตวั (Round Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ท่ีมองเห็นไดร้ อบดา้ น ไดแ้ ก่ พระพทุ ธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสาคญั รูปสัตว์ รูปเคารพต่าง ๆ ภาชนะต่างๆ ฯลฯสถาปัตยกรรม (Architecture) สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง ผลงานศิลปะที่แสดงออกดว้ ยส่ิงก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศยั ต่าง ๆ การวางผงั เมือง การจดั ผงั บริเวณการตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง ซ่ึงเป็นงานศิลปะท่ีมีขนาดใหญ่ และเป็นงานศิลปะท่ีมีอายยุ นื ยาว สถาปัตยกรรม เป็นวิธีการจดั สรรบริเวณที่วา่ งใหเ้ กิดประโยชนใ์ ชส้ อยตามความตอ้ งการ ที่นามาเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการในดา้ นวตั ถุและจิตใจ มีลกั ษณะเป็นส่ิงก่อสร้างข้ึนอยา่ งงดงาม สะดวกในการใชง้ านและมนั่ คงแขง็ แรง
- 10 -คุณค่าของสถาปัตยกรรม ขนึ้ อยู่กบั องค์ประกอบ ดังนี้ 1. การจดั สรรบริเวณที่วา่ งใหส้ มั พนั ธ์กนั ของส่วนต่าง ๆ ท้งั ภายในและภายนอก 2. การจดั รูปทรงทางสถาปัตยกรรมใหเ้ หมาะสมกบั ประโยชนใ์ ชส้ อย และส่ิงแวดลอ้ ม 3. การเลือกใชว้ สั ดุใหเ้ หมาะสมกลมกลืนจุดประสงค์ของการสร้างสถาปัตยกรรม ได้แก่ 1. เป็นที่อยอู่ าศยั 2. ใชเ้ ป็นท่ีพกั อาศยั ชว่ั คราว โดยมุ่งเนน้ ความสวยงามประกอบการใชส้ อยภายในอาคาร เช่น โรงภาพยนตร์ สนามกีฬา 3. เป็นท่ียดึ เหนี่ยวจิตใจหรือส่ิงท่ีควรแก่การยกยอ่ งโดยเนน้ ความงามอยา่ งวิจิตรพิสดาร เพือ่ตอบสนองอารมณ์และจิตใจ ในดา้ นความเช่ือความศรัทธาต่อศาสนา 4. เป็นศูนยร์ วมจิตใจของประชาชนที่มีต่อพระมหากษตั ริยท์ ้งั เป็นที่อยอู่ าศยั และท่ีพกั ในการทาพิธีต่าง ๆสถาปัตยกรรมแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. สถาปัตยกรรมเปิ ด (Open Architecture) เป็นส่ิงก่อสร้างท่ีประชาชนสามารถเขา้ ไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น อาคารบา้ นเรือน โรงแรม โบสถ์ ฯลฯ จึงตอ้ งจดั สภาพต่าง ๆ ใหเ้ อ้ืออานวยต่อการอยู่อาศยั ของมนุษย์ เช่น แสงสวา่ ง และการระบายอากาศ
- 11 - 2. สถาปัตยกรรมปิ ด (Closing Architecture) เป็นสิ่งก่อสร้างอนั เนื่องมาจากความเช่ือถือต่างๆ จึงไม่ตอ้ งการใหค้ นเขา้ ไปอาศยั อยู่ เช่น สุสาน อนุสาวรีย์ เจดียต์ ่าง ๆ สิ่งก่อสร้างแบบน้ีจะประดบัประดาใหม้ ีความงามมากนอ้ ยตามความศรัทธาเช่ือถือ สถาปัตยกรรมเป็นงานทศั นศิลป์ ที่คงสภาพอยไู่ ด้นานท่ีสุด
- 12 - องค์ประกอบศิลป์1. จุด (Point) เป็นองคป์ ระกอบท่ีสามารถสมั ผสั และรับรู้ไดน้ อ้ ย แต่ในทางศิลปะจุด ๆ หน่ึงที่ปรากฏในภาพอาจจะค่อย ๆ ขยายใหญ่ในความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นรูปสญั ลกั ษณ์สิ่งต่าง ๆ เช่น การนาเอาจุดมาแทนส่ิงต่าง ๆ ท่ีอยใู่ นระยะหนทางที่ห่างไกล เช่น ดวงดาว แสงไฟ ฯลฯ การตีความในจินตนาการอาจขยายกวา้ งใหญ่กวา่ การรับรู้หลายเท่า และมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปไดอ้ ยา่ งไม่สิ้นสุด2. เส้น (Line) เสน้ ตรง เสน้ โคง้ เส้นซิกแซก เส้นขยกุ ขยกิ เป็นตน้ ซ่ึงเส้นที่ปรากฏในลกั ษณะท่ีต่างกนั กจ็ ะมีอิทธิพลที่สามารถกระตุน้ เร้าความรู้สึกจากการรับรู้ใหแ้ ตกต่างกนั ออกไป3. รูปร่างและรูปทรง (Shape & Form) รูปร่าง (Shape) คือ รูปแบน ๆ มี 2 มิติ มีความกวา้ งกบั ความยาวไม่มีความหนาเกิดจากเสน้รอบนอกท่ีแสดงพ้นื ที่ขอบเขตของรูปต่าง ๆ เช่น รูปวงกลม รูปสามเหล่ียม หรือ รูปอิสระท่ีแสดงเน้ือท่ีของผวิ ท่ีเป็นระนาบมากกวา่ แสดงปริมาตรหรือมวล รูปทรง (Form) คือ รูปท่ีลกั ษณะเป็น 3 มิติ โดยนอกจากจะแสดงความกวา้ ง ความยาแลว้ ยงัมีความลึก หรือความหนา นูน ดว้ ย เช่น รูปทรงกลม รูปทรงสามเหลี่ยม ทรงกระบอก ใหค้ วามรู้สึกมี
- 13 -ปริมาตร ความหนาแน่น มีมวลสาร ท่ีเกิดจากการใชค้ ่าน้าหนกั หรือการจดั องคป์ ระกอบของรูปทรงหลายรูปรวมกนั ความสัมพนั ธ์ระหว่างรูปทรง เม่ือนารูปทรงหลาย ๆ รูปมาวางใกลก้ นั รูปเหล่าน้นั จะมีความสมั พนั ธด์ ึงดูด หรือผลกั ไสซ่ึงกนั และกนั การประกอบกนั ของรูปทรงทาไดโ้ ดยใชก้ ารนารูปเรขาคณิต รูปอินทรีย์ และรูปอิสระ มาซอ้ นทบั กนั ผนึกเขา้ ดว้ ยกนั แทรกเขา้ หากนั หรือ รูปทรงที่บิดพนั กนั นามาประกอบเขา้ ดว้ ยกนั จะไดร้ ูปลกั ษณะใหม่ ๆ อยา่ งไม่สิ้นสุด4. ค่านา้ หนัก (Value) คือ คา่ ความอ่อนแก่ของบริเวณท่ีถูกแสงสวา่ ง และบริเวณท่ีเป็นเงาของวตั ถุหรือ ความอ่อน - ความเขม้ ของสีหน่ึง ๆ หรือหลายสี เช่น สีแดง มีความเขม้ กวา่ สีชมพู หรือ สีแดงอ่อนกวา่ สีน้าเงิน เป็นตน้ นอกจากน้ียงั หมายถึงระดบั ความเขม้ ของแสงและระดบั ความมืดของเงา ซ่ึงไล่เรียงจากมืดท่ีสุด (สีดา) ไปจนถึงสวา่ งท่ีสุด (สีขาว) น้าหนกั ที่อยรู่ ะหวา่ งกลางจะเป็นสีเทา ซ่ึงมีต้งั แต่เทาแก่ที่สุด จนถึงเทาอ่อนที่สุด
- 14 - การใชค้ า่ น้าหนกั จะทาใหภ้ าพดูเหมือนจริง และมีความกลมกลืน ถา้ ใชค้ า่ น้าหนกั หลาย ๆระดบั จะทาใหม้ ีความกลมกลืนมากยง่ิ ข้ึน และถา้ ใชค้ ่าน้าหนกั จานวนนอ้ ยท่ีแตกต่างกนั มากจะทาใหเ้ กิด ความแตกต่าง ความขดั แยง้5. บริเวณว่าง (Space) ส่วนที่เป็นพ้นื ที่ท่ีปราศจากองคป์ ระกอบใด ๆ ถา้ บริเวณท่ีวา่ งมีนอ้ ย ความรู้สึกจากการรับจะรู้สึกแน่น แขง่ ขนั แยง่ ชิง ฯลฯ แต่ถา้ บริเวณวา่ งมีมากจะใหค้ วามรู้สึกวา่ งเปล่า เงียบเหงา อา้ งวา้ ง หดหู่ ฯลฯ แต่ถา้ บริเวณวา่ งมีเท่ากนั จะใหค้ วามรู้สึกพอดี สมดุล เสมอภาค เป็นตน้6. สี (Color) สีเป็นคุณลกั ษณะที่สามารถรับรู้ไดด้ ว้ ยประสาทตา โดยอาศยั แสงเป็นตวั ส่องสวา่ ง สีแต่ละสีมีสมบตั ิเฉพาะตวั ท่ีสามารถกระตุน้ เร้าใหเ้ กิดความรู้สึกที่แตกต่างกนั อกไป เช่น สีแดงยอ่ มกระตุน้เร้าความรู้สึกใหเ้ กิดแตกต่างไปจากสีขาวหรือสีดาทาใหค้ วามรู้จากการรับรู้ไม่เหมือนสีเขียว เป็นตน้7. พืน้ ผวิ (Texture) พ้ืนผวิ อาจเป็นเน้ือหยาบหรือเน้ือละเอียด แขง็ หรือหยาบ น่ิมหรือเรียบ พ้นื ผวิ จะทาใหผ้ ดู้ ูเกิดความรู้สึก ไมว่ า่ ดว้ ยสายตาหรือร่างกาย พ้ืนผวิ เปรียบเสมือนตวั แทนของมวลภายในของวตั ถุน้นั จากลกั ษณะพ้นื ผวิ ที่ทาใหค้ วามรู้สึกท่ีแตกต่างกนั ทาใหม้ ีการนาเอาลกั ษณะต่าง ๆ ของพ้นื ผวิ เขา้ มามีส่วนร่วมในการสร้างงานศิลปะ เพ่อื กระตุน้ เร้าผดู้ ูเกิดความรู้สึกที่ต่างกนั เม่ือไดส้ มั ผสั ภาพผลงานที่มีพ้ืนผวิ ท่ีต่างกนั
- 15 -หลกั การจัดองค์ประกอบทางทศั นศิลป์ หลกั การจดั องคป์ ระกอบทางทศั นศิลป์ (Composition) คือ การนาเอาทศั นะธาตุ ไดแ้ ก่ จุดเสน้ รูปร่าง รูปทรง น้าหนกั อ่อนแก่ บริเวณวา่ ง สี และพ้ืนผวิ มาจดั ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั จนเกิดความพอดี เหมาะสม ทาใหง้ านศิลปะชิ้นน้นั มีคุณค่าอยา่ งสูงสุด ประกอบดว้ ยหลกั เกณฑต์ ่อไปน้ี 1. เอกภาพ (Unity) การรวมกล่มุ กอ้ น ไม่แตกแยกกระจดั กระจายไปคนละทิศทางจนทาใหข้ าดความสมั พนั ธก์ นั ในทางทศั นศิลป์ เอกภาพยงั เป็นส่วนที่แสดงใหเ้ ห็นถึงเน้ือหาเร่ืองราวท่ีตอ้ งการแสดงอยา่ งชดั เจนดว้ ย 2. ความสมดุล (Balance) 2.1 ความสมดุลของสิ่งทซี่ ้าหรือเหมือนกนั (Symmetrical) คือ เป็นการนาเอาส่วนประกอบที่มีรูปลกั ษณะเหมือนกนั มาจดั องคป์ ระกอบรวมเขา้ ดว้ ยกนั ใหป้ ระสานกลมกลืน เกิดการถ่วงน้าหนกั ขององคป์ ระกอบส่วนต่าง ๆ ในลกั ษณะที่พอเหมาะพอดีจนรู้สึกวา่ มีความสมดุล อาจดว้ ยการจดั วางตาแหน่งท่ีต้งั ช่องไฟ ระยะห่าง อตั ราจานวน ขนาดรูปร่าง น้าหนกั อ่อนแก่ ฯลฯ ท่ีเหมือนกนัหรือเท่า ๆ กนั จนเกิดเป็นเอกภาพเดียวกนั 2.2 ความสมดุลของสิ่งทข่ี ดั แย้งหรือต่างกนั (Asymmetrical) เป็นการนาเอาส่วนประกอบท่ีมีรูปลกั ษณะที่ต่างกนั หรือขดั แยง้ กนั มาจดั องคป์ ระกอบเขา้ ดว้ ยกนั ใหป้ ระสานกลมกลืนกนั เกิดการถ่วงน้าหนกั ขององคป์ ระกอบส่วนต่าง ๆในลกั ษณะที่พอเหมาะพอดีจนรู้สึกวา่ มีความสมดุล โดยที่วตั ถุหรือเน้ือหาในภาพไม่จาเป็นตอ้ งเหมือนกนั
- 16 - 3. จุดสนใจหรือการเน้น (Emphasis) ส่วนที่สาคญั ท่ีสุดของภาพที่ตอ้ งการแสดง ซ่ึงนาไปสู่การบอกเล่าเน้ือหาของภาพท้งั หมดหรือเป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจใหม้ อง ในทางทศั นศิลป์ จุดสนใจควรมีเพยี งจุดเดียว ซ่ึงอาจเป็นส่วนที่แสดงความสาคญั หรือมีสีสนั สดใสท่ีสุด นอกจากน้นั ยงั เนน้ ใหเ้ กิดจุดสนใจดว้ ยการสร้างความแตกต่างข้ึนในจุดสนใจไม่จาเป็นจะตอ้ งอยจู่ ุดก่ึงกลางเสมอไป อาจอยสู่ ่วนใดส่วนหน่ึงของภาพกไ็ ด้ 4. ความกลมกลืน (Harmony) เป็นสิ่งท่ีสาคญั ท่ีสุดของการจดั องคป์ ระกอบทางทศั นศิลป์ เพราะความกลมกลืนจะทาใหภ้ าพงดงาม และนาไปสู่เน้ือหาเรื่องราวที่นาเสนอ ความกลมกลืนมี 2 แบบ คือ 4.1 ความกลมกลืนแบบคล้อยตามกนั หมายถึง การนารูปร่าง รูปทรง เสน้ หรือสี ท่ีมีลกั ษณะเดียวกนั มาจดั เช่น วงกลมท้งั หมด ส่ีเหล่ียมท้งั หมด ซ่ึงแมว้ า่ อาจจะมีขนาดท่ีแตกต่างกนั แต่เมื่อนามาจดั เป็นภาพข้ึนมาแลว้ กจ็ ะทาใหค้ วามรู้สึกกลมกลืนกนั 4.2 ความกลมกลืนแบบขดั แย้ง หมายถึง การนาเอาองคป์ ระกอบต่างชนิด ต่างรูปร่าง รูปทรง ต่างสี มาจดั วางในภาพเดียวกนั เช่น รูปวงกลมกบั รูปสามเหลี่ยม เสน้ ตรงกบั เสน้โคง้ ซ่ึงจะทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ กนั ข้ึนแต่กย็ งั ใหค้ วามรู้สึกกลมกลืนกนั 5. จงั หวะ (Rhythm) ระยะในการจดั ภาพหรือการวางของวตั ถุ ซ้าไปซ้ามา อยา่ งสม่าเสมอ เช่น ลายไทย การปูกระเบ้ือง หรือการแปรอกั ษร เป็นตน้
- 17 -การจัดภาพของงานทศั นศิลป์ การจดั ภาพของงานทศั นศิลป์ (Visual Art Composition ) เป็นการนาเอาส่วนประกอบของ ความงามทศั นศิลป์ มาจดั เขา้ ดว้ ยกนั โดยตดั ทอนหรือเพมิ่ เติมใหเ้ หมาะสมกลมกลืนเกิดเน้ือหา เรื่องราวและความงาม แสดงถึงเอกลกั ษณ์เฉพาะวา่ เป็นกลุ่มใด แบ่งไดเ้ ป็น 2 แบบคือ - การจดั ภาพแบบประจาชาติ (National Composition) - การจดั ภาพแบบสากล (International Composition)รูปแบบของทศั นศิลป์ สากล ทศั นศิลป์ สากล เกิดจากการจดั ภาพแบบสากลที่ไดผ้ สมผสานรูปแบบต่างๆ เขา้ ดว้ ยกนั ผา่ น การทดลองปรับปรุง ดดั แปลง เลือกสรรจนววิ ฒั นาการรูปแบบเป็นที่นิยมทว่ั ทุกชาติ โดยแบ่งรูปแบบ ออกตามลกั ษณะของงานที่สร้างสรรคไ์ ด้ 3 รูปแบบคือ - รูปแบบรูปธรรม (Realistic) ศิลปะแบบเหมือนจริง เป็นศิลปะที่ไม่ซบั ซอ้ นมีเน้ือหาสาระที่ปรากฏเด่นชดั แต่ผสู้ ร้างและผชู้ ม ตอ้ งมีความรู้เรื่องน้นั ดว้ ย เช่นภาพคน ภาพสตั ว์ ( ผลงานของ สงดั ปุ้ยออ๊ ก) - รูปแบบกง่ึ นามธรรม (Semi Abstract) เป็นการถ่ายทอดท่ีผดิ เบนไปจากรูปธรรมหรือแบบเหมือนจริงดว้ ยการตดั ทอนรูปทรงจากของจริงใหเ้ รียบง่าย แต่ยงั มีเคา้ โครงเดิมอยสู่ ามารถดูรู้วา่ เป็นภาพอะไร
- 18 - (ผลงานของ นฤมล ปัดสาราญ) - รูปแบบนามธรรม (Abstract Art) เป็นศิลปะประเภทท่ีไม่มีความจริงเหลืออยู่ เพราะถูกตดั ทอนใหเ้ หลือแค่เสน้ สี น้าหนกั ท่ีก่อใหเ้ กิดความงามตามอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งท่ีเหนือความเป็นจริงตอ้ งใชจ้ ินตนาการในการรับรู้รับชม (ผลงานของ ประเทือง เอมเจริญ)
- 19 -คุณค่าของงานทศั นศิลป์ ทศั นศิลป์ เป็ นศิลปะที่รับรู้ไดด้ ้วยสายตา การรับรู้ทางการมองเห็นในแขนงจิตรกรรมประติมากรรมและสถาปัตยกรรม ทาให้เกิดแรงกระตุน้ และตอบสนองทางดา้ นจิตใจพร้อมกนั น้นั จิตใจของมนุษยก์ ็เป็ นตวั แปรค่าและกาหนดความงาม ความประณีต เรื่องราว และประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์การรับรู้คุณค่าของสิ่งเหล่าน้ี รับรู้ไดด้ ว้ ยอารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ความงามและเรื่องราวจะเกิดมีคุณคา่ กเ็ พราะการรับรู้ทางการมองเห็น เกิดความรู้สึกประทบั ใจ มีความอิ่มเอิบใจในคุณค่าน้นั ๆ สาหรับงานทศั นศิลป์ ไม่วา่ รูปแบบใดยอ่ มมีคุณค่าในตวั ของผลงานเอง ผลงานทศั นศิลป์ สามารถแบ่งการรับรู้คุณคา่ ได้ 2 คุณค่าคือ 1. คุณค่าทางความงาม (Aesthetic Value) เป็ นการรวบรวมในเร่ืองของความประณีต ความละเอียด มีระเบียบ น่าท่ึง มโหฬาร ประหลาดแปลกหูแปลกตา และเป็ นสิ่งท่ีมีคุณงามความดี ทาให้ผเู้ ห็นเกิดความประทบั ใจไปอีกนาน สิ่งเหล่าน้ีรวมเรียกว่าคุณค่าทางความงาม โดยเกณฑข์ องความงามท่ีอยใู่ นงานทศั นศิลป์ ซ่ึงสามารถรับรู้และยอมรับได้โดยทวั่ ไป เป็ นการประสานกนั ของส่วนประกอบต่างๆของความงาม เช่นจุด เส้น รูปร่าง รูปทรง สี แสงเงา พ้ืนผิว ความกลมกลืน และการจดั ภาพ เป็ นตน้ โดยผูส้ ร้างสรรค์งานทศั นศิลป์ จะแสดงออกตามความรู้สึกในแต่ละเหตุการณ์แต่ละสังคม เพราะความงามของแต่ละสังคมย่อมมีความแตกต่างข้ึนอยกู่ บัสภาพของสงั คม และวฒั นธรรมของสงั คมน้นั ๆ 2. คุณค่าทางเรื่องราว (Content Value) เป็ นการแสดงลกั ษณะบ่งบอกถึงความหมายเร่ืองราวความเกี่ยวขอ้ งและจุดประสงคแ์ ฝงอยใู่ นผลงาน สามารถบอกเน้ือหาสาระสาคญั วา่ มีอะไร จะต่อไปอยา่ งไร เพราะทศั นศิลป์ แต่ละชิ้นบอกเรื่องราวต่างๆอยใู่ นตวั เอง จึงมองเห็นและเขา้ ใจไดง้ ่ายกวา่ คุณคา่ ทางดา้ นความงาม 1. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์ เป็นเร่ืองราวท่ีนาเสนอเหตุการณ์สาคญั ของคนแต่ละเช้ือชาติที่น่าสนใจ ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็ นเร่ืองของอดีต อาจเป็ นเรื่องของการต่อสู้เพ่ืออิสรภาพ การเรียกร้องสิทธิต่างๆ และพงศาวดารในแต่ละสมยั เร่ืองราวท่ีนามาถ่ายทอดสามารถปลุกเร้าอารมณ์ ความรู้สึก ให้เกิดการกระตุน้ เตือน และคลอ้ ยตามถึงความรักชาติ รักถิ่นตนเสียสละในดา้ นต่าง ๆ เช่น อนุสาวรีย์ และจิตรกรรมฝาผนงั เป็นตน้
- 20 -ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ในอุโปสถพระพทุ ธรัตนสถาน อนุสาวรียช์ ยั สมรภูมิ 2. คุณค่าเร่ืองราวเกี่ยวกบั ความเช่ือในสิ่งเร้นลบั ศรัทธา มนุษยไ์ ม่ วา่ ชาติใดยอ่ มมีความกลวั ดว้ ยกนั ท้งั สิ้น เม่ือมนุษยเ์ กิดความกลวั มนุษยจ์ ะหาสิ่งท่ีมาคลี่คลายดบั ความกลวั ใหเ้ บาบางลง เช่น ความเช่ือในส่ิงเร้นลบั เทพเจา้ พระเจา้ นรกสวรรค์ ภูตผี ปี ศาจ ไสยศาสตร์ ดวงจนั ทร์ ดวงอาทิตย์ หรือวญิ ญาณ ก่อเกิดเทวรูป รูปป้ัน และอาคารประกอบพธิ ีกรรมต่างๆ เป็นตน้ 3. คุณคา่ เร่ืองราวเก่ียวกบั ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี มนุษยท์ ุกชนยอ่ มมีศาสนาวฒั นธรรมและประเพณีของตนเอง และดว้ ยความรักความศรัทธา ทาใหเ้ กิดพลงั และแรงบนั ดาลใจอนั มหาศาลท่ีจะถ่ายทอดความเชื่อ ความศรัทธาใหผ้ อู้ ่ืนไดร้ ับรู้ เร่ืองราวที่เกี่ยวกบั ศาสนาและวฒั นธรรม จึงถูกสะทอ้ นผา่ นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ออกมาทางรูปแบบงานทศั นศิลป์ ในหลากหลายประเภทตลอดทุกยคุ ทุกสมยั เปรียบเสมือนภาพจาลองเหตุการณ์ เช่น ภาพจิตรกรรมไทย ชาดก พทุ ธประวตั ิ เป็นตน้
- 21 -ภาพจิตกรรม วดั ภูมินทร์ (http://www.watthaimn.com/?mo=3&art=356943) 4. คุณคา่ เร่ืองราวเกี่ยวกบั การเมือง การปกครอง เช่น การสร้างประติมากรรมอนุสาวรียบ์ ุคคลสาคญั ๆ เพ่ือเป็นอนุสรณ์แสดงวา่ บุคคลผนู้ ้นั เป็นผู้มีความสามารถในการเมืองการปกครอง (http://www.oknation.net/blog/buzz/2007/08/05/entry-1) 5. คุณคา่ เร่ืองราวเกี่ยวกบั ชีวติ ประจาวนั ของคนท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ส่ิงต่างๆ เป็นการถ่ายทอดเกี่ยวกบั การเผชิญในสิ่งท่ีมนุษยไ์ ดก้ ระทาอยใู่ นแต่ละวนั เพราะการดารงชีวิตอยู่ของมนุษยใ์ นสงั คมตอ้ งการความสุข โดยอาศยั ปัจจยั สาคญั ที่ทาใหเ้ กิดความสุขในแต่ละวนั ไดแ้ ก่ ทางร่างกาย จิตใจอารมณ์ และทางดา้ นสงั คม ดงั น้นั เรื่องราวท่ีนาเสนอเพ่อื ใหเ้ กิดคุณค่า เช่นเรื่องราวของที่อยู่อาศยั อาคาร ยารักษาโรค การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ ความปลอดภยั ความกา้ วหนา้ ทางการศึกษาและอาชีพเป็นตน้
- 22 - (ผลงานของเสงี่ยม ยารังสี ) (http://www.visualizerclub.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=1953) 6. คุณค่าเร่ืองราวเกี่ยวกบั ธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม คุ ณ ค่ า ข อ ง เร่ื อ ง ร า ว ลั ก ษ ณ ะ น้ี เป็ น ก า ร น า เส น อ ใ น เรื่ อ ง ข อ ง ค ว าม ง า ม ข อ งธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม และการพ่ึงพาอาศยั กนั ระหว่างมนุษยก์ บั ธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม พร้อมท้งัเสนอแง่คิดวา่ ทาไมมนุษยจ์ ึงทาลายธรรมชาติกบั สิ่งแวดลอ้ ม และทาไมเราตอ้ งรณรงคต์ ่อตา้ นการทาลายธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม สมควรท่ีจะอนุรักษ์ให้อยู่คู่มนุษยส์ ืบไป รูปแบบเรื่องราว ได้แก่ การปลูกป่ า มลพิษจากโรงงาน น้าเน่าเสีย ความงามและการทาลายธรรมชาติกบั ส่ิงแวดลอ้ ม เป็นตน้ (ผลงานของปัญญา ไชยคา http://www.oknation.net/blog/naturethai/2008/08/01/entry-2) 7. คุณคา่ เรื่องราวเก่ียวกบั วรรณคดี นิทานพ้นื บา้ น สานวน คาพงั เพย สุภาษิต เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจากหนงั สือ นิทานพ้นื บา้ น สานวน คาพงั เพย สุภาษิต ตานานพงศวดาร ที่สามารถบรรยายเน้ือหาเรื่องราว ใหผ้ ดู้ ูไดร้ ู้อยา่ งชดั เจน โดยแสดงเป็นภาพเล่าเรื่อง เช่น ภาพจิตรกรรมไทย สงั ขท์ อง และรามเกียรต์ิ เป็นตน้
- 23 - (จากเร่ืองรามเกียรต์ิ) 8. คุณคา่ เรื่องราวเก่ียวกบั ความเจริญกา้ วหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นการนาเสนอเรื่องของความเจริญกา้ วหนา้ ในดา้ นวทิ ยาการต่างๆ ท่ีนาพาใหป้ ระเทศน้นั ๆ เจริญรุ่งเรือง คุณค่าของเรื่องราวประเภทน้ีสามารถโนม้ นา้ วใหผ้ ชู้ มเห็นความสาคญั ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยที ี่ทนั สมยั เช่น เร่ืองราวเกี่ยวกบั อุตสาหกรรม ยานอวกาศ วงการแพทย์เคร่ืองมือเคร่ืองใชต้ ่างๆ และการส่ือสาร เป็นตน้ (http://www.selectcon.com/extra_edtorial_47.asp)คุณค่าของงานทศั นศิลป์ ต่อชีวติ และสังคม “ชีวติ สลาย อาณาจกั รพนิ าศ ผลประโยชนข์ องบุคคลมลายหายสิ้นไป แต่ศิลปะเท่าน้นั ท่ียงั คงเหลือ เป็นพยานแห่งความเป็นอจั ฉริยะของมนุษยอ์ ยตู่ ลอดกาล” ขอ้ ความขา้ งตน้ น้ีเป็นความเห็นอนั เฉียบคมของท่าน ศาสตราจารยศ์ ิลป พีระศรี ผกู้ ่อต้งัมหาวิทยาลยั ศิลปากร แสดงใหเ้ ห็นวา่ งานศิลปะเป็นสมบตั ิอนั ล้าค่าของมนุษยท์ ี่แสดงความเป็นอจั ฉริยะบ่งบอกถึงความเจริญทางดา้ นจิตใจ และสติปัญญาอนั สูงกวา่ ซ่ึงมีคุณคา่ ต่อชีวติ และสงั คมดงั น้ี
- 24 -1. คุณค่าในการยกระดบั จติ ใจ คุณค่าของศิลปะอยทู่ ี่ประโยชน์ ช่วยจดั ความโฉดความฉอ้ ฉลยกระดบั วิญญาณความเป็นคนเห็นแก่ตน บทกวีของเนาวรัตน์ พงษไ์ พบูลย์ กวซี ีไรตข์ องไทย ไดใ้ หค้ วามสาคญั ของงานศิลปะในการยกระดบั วิญญาณความเป็นคนกค็ ือ การยกระดบั จิตใจของคนเราใหส้ ูงข้ึนดว้ ยการไดช้ ่ืนชมความงาม และความประณีตละเอียดอ่อนของงานศิลปะ ตวั อยา่ งเช่น เมื่อเราทาพรมอนั สวยงาม สะอาดมาปูเตม็ หอ้ ง กค็ งไม่มีใครกลา้ นารองเทา้ ที่เป้ื อนโคลนมาเหยยี บยา่ ทาลายความงามของพรมไปจนหมดสิ้น ส่ิงที่มีคุณค่ามาช่วยยกระดบั จิตใจของคนเราใหม้ น่ั คงในความดีงามกค็ ือ ความงามของศิลปะนน่ั เอง ดงั น้นั เม่ือใดที่มนุษยไ์ ดช้ ่ืนชมความงามของศิลปะเมื่อน้นั มนุษยก์ จ็ ะมีจิตใจท่ีแช่มช่ืน และละเอียดอ่อนตามไปดว้ ย เวน้ แต่บุคคลผนู้ ้นั จะมีสติวิปลาศ นอกจากน้ีงานศิลปะบางชิ้นยงั ใหค้ วามงามและความรู้สึกถึงความดีงาม และคุณงามจริยธรรมอยา่ งลึกซ้ึง เป็นการจรรโลงจิตใจใหผ้ ดู้ ูเคร่งเครียดและเศร้าหมองของศิลปิ นผสู้ ร้างสรรค์และผชู้ ื่นชมไดเ้ ป็นอยา่ งดี ดงั น้นั จึงมีการส่งเสริมใหเ้ ดก็ สร้างงานศิลปะ เพ่ือผอ่ นคลายความเคร่งเครียด และพฒั นาสุขภาพจิต ซ่ึงเป็นจุดเร่ิมตน้ ของพฒั นาการต่าง ๆ อยา่ งสมบูรณ์คุณค่าต่ อผู้ชมและสังคมส่ วนรวม งานจติ รกรรม เป็นศิลปะที่ส่ือความงามและความรู้สึกไปสู่ผดู้ ูหรือผชู้ ื่นชมไดโ้ ดยง่าย คุณค่าเบ้ืองตน้ เป็นคุณค่าทางดา้ นจิตใจในการชมความงาม ความละเอียดอ่อนของเสน้ สี แสงเงา และองคป์ ระกอบของศิลป์ ต่างๆ ช่วยผอ่ นคลายอารมณ์ และใหค้ ติธรรม แนวคิดในการดารงชีวิต และยงัรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีวฒั นธรรม ศาสนา และประวตั ิศาสตร์ จากจิตรกรรมฝาผนงั ต่าง ๆ งานประติมากรรม เป็นศิลปะท่ีสื่อความงามและความรู้สึกไปสู่ผดู้ ูหรือผชู้ ื่นชมไดด้ ว้ ยรูปทรงและพ้ืนผวิ โดยมีแสงสวา่ งมากระทบใหเ้ กิดเงาจากมิติความต้ืนลึกของรูปทรงน้นั ๆ งานสถาปัตยกรรม เป็นศิลปะท่ีใชป้ ระโยชนใ์ ชส้ อยมากกวา่ เพราะเป็นอาคารสถานที่สูง และเป็นที่อยอู่ าศยั ของมนุษยน์ นั่ เอง โดยเริ่มจากการดูแลรักษาที่พกั อาศยั ต่าง ๆ เช่น พระราชวงัโบสถ์ ตาหนกั วดั วหิ าร เจดีย์ สถูป เป็นตน้คุณค่าของผ้ชู ื่นชมและสังคมส่วนรวม บทบาทของประชาชนทว่ั ไปในการใชป้ ระโยชน์และคุณคา่ ของสถาปัตยกรรมนบั ต้งั แต่บา้ นเรือน ที่อยอู่ าศยั โดยเร่ิมตน้ จากการดูแลรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบา้ นการใชห้ ลกั ทางศิลปะ และรสนิยมส่วนตวั ตกแต่งบา้ นเรือนใหน้ ่าอยู่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การประดบั ตกแตงดว้ ยตน้ ไม้ และพ้ืนท่ีสีเขยี วภายในบา้ น สาหรับงานทางศิลปะที่มีคุณค่าทางวจิ ิตรศิลป์ ดงั น้นั เราจึงควรร่วมมือกนั อนุรักษศ์ ิลปะท้งั จิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรมอนั เก่าแก่ไวส้ ืบต่อไป
- 25 -การดูงานทศั นศิลป์ ให้เกดิ คุณค่าการท่ีจะเขา้ ใจในคุณคา่ ของผลงานทศั นศิลป์ ไดด้ ีน้นั ควรมีคุณสมบตั ิดงั น้ี 1. เป็นผทู้ ี่มีจิตใจชอบงานทศั นศิลป์ อยา่ งลึกซ้ึง ไม่วา่ จะเป็นผสู้ ร้างงานหรือผดู้ ูผลงาน ถา้ จะเขา้ ใจ ในคุณค่าไดด้ ี ส่ิงแรกตอ้ งเป็นผทู้ ี่มีใจรักงานศิลปะอยา่ งจริงจงั 2. ผสู้ ร้างและผดู้ ูควรศึกษาคน้ ควา้ เร่ืองราวของทศั นศิลป์ ในเรื่องต่างๆใหถ้ ่องแท้ 3. มีประสบการณ์ในการมองเห็นเป็นอยา่ งดี มนุษยเ์ รามีประสบการณ์หลายดา้ นเราถูกฝึกใหเ้ ขียน อ่าน ท่องจา แต่ยงั ไม่มีกี่ฝึกใหด้ ูอยา่ งจริงจงั เลย ดงั น้นั เราควรฝึกจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก โดยดูจาก ส่ิงใกลๆ้ ตวั ก่อน จนเกิดความเคยชิน เวลาดูงานทศั นศิลป์ จะไดม้ ีประสบการณ์ รู้จกั สังเกตในเร่ือง เสน้ สี รูปทรงแสงเงา และการถ่ายทอด เป็นตน้ 4. ผดู้ ูตอ้ งหมนั่ คน้ ควา้ หาความรู้เสมอ รู้จกั ถามเม่ือพบเร่ืองราว และรูปแบบใหม่ๆ หากไม่เขา้ ใจใน ผลงาน ตอ้ งใหผ้ สู้ ร้างผลงานแสดงความรู้สึกออกมา โดยอธิบายใหเ้ ขา้ ใจแลว้ จดบนั ทึกไว้ 5. ผดู้ ูตอ้ งเป็นผรู้ ับฟังแนวคิดใหม่ๆของศิลปิ น เพราะศิลปิ นกวา่ จะสร้างผลงานไดต้ อ้ งรวบรวม แนวความคิด สร้างสรรคด์ ว้ ยพฒุ ิปัญญาและเวลากวา่ จะไดผ้ ลงานข้ึนมา 6. ผดู้ ูตอ้ งรอบรู้ในวชิ าต่างๆหลายๆดา้ น สามารถนาความรู้เหล่าน้นั มาเช่ือมโยงกบั งานทศั นศิลป์ ที่ กาลงั ดูอยไู่ ด้ 7. มีรสนิยมทางทศั นศิลป์ อยา่ งแทจ้ ริง
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: