1 TENSE Tense คอื อะไร? แบ่งออกเปน็ ก่ชี นิด อะไรบา้ ง? การเรียนใหเ้ กง่ เก่ียวกบั เรือ่ ง Tense ตอ้ งเรยี นตามขัน้ ตอนอยา่ งไร จงชแี้ จงใหก้ ระจ่างด้วย? Tense คอื “รูปแบบของกรยิ าที่แสดงใหท้ ราบวา่ การกระทาํ หรอื เหตกุ ารณน์ ัน้ เกิดขึ้น เมื่อไร ได้เกิดขนึ้ มาแลว้ หรอื กาํ ลงั เกดิ ข้ึนในกาลข้างหน้า” แบ่งออกเป็น 3 ชนดิ คือ 1) Present Tense ปัจจุบันกาล 2) Past Tense อดีตกาล 3) Future Tense อนาคตกาล Tense แตล่ ะชนดิ ใหญๆ่ ทก่ี ลา่ วมาน้ี ยงั แบ่งเป็น Tense เลก็ ๆ ไปอีกได้ 12 Tense ซ่ึง จะได้กลา่ วในตอนต่อไป การเรียน Tense ให้ไดผ้ ลและไม่สบั สนน้นั ควรเรียนตามลําดบั หวั ข้อที่ 3 ดงั ต่อไปน้ี คือ :- 1. จําช่ือ Tense ใหไ้ ด้ทภ่ี าษาอังกฤษและคําแปลเป็นภาษาไทย 2. เรยี นรู้โครงสร้างของแตล่ ะ Tense ใหไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ต้อง อย่าสบั สน 3. เรยี นรู้ความหมายของแต่ละ Tense ว่าใช้กับการกระทาํ หรอื เหตุการณท์ เ่ี กิดข้ึนต่าง กรรมตา่ งวาระกนั อยา่ งไร?
2 1.1 การจาํ ช่ือ Tense ใหไ้ ด้ทัง้ ภาษาองั กฤษและภาษาไทยนั้น ควรจําโดยอาศยั หลกั เกณฑ์อยา่ งง่ายๆ ดงั ต่อไปน้ี Simple Tense ธรรมดา (1)........... Continuous Tense (2)............ กาํ ลังกระทาํ Perfect Tense สมบรู ณ์ Perfect continuous Tense สมบรู ณก์ ําลังกระทาํ หมายเหตุ : จดุ ไขป่ ลาหมายเลข 1 ให้เอาคํา Present, Past, Future เตมิ ลงไปตามท่ตี อ้ งการ สว่ นจดุ ไข่ปลาหมายเลข 2 ให้เอาคาํ ว่า ปจั จุบันกาล, อดตี กาล, อนาคตกาล ไปเติมใส่ แล้วให้ วา่ ภาษาองั กฤษพร้อมทงั้ คําแปลเป็นภาษาไทยสลับกนั ไปมาเชน่ นี้สัก 2-3 คร้งั แลว้ ในท่ีสุดทา่ น กจ็ ะจําได้เองโดยอัตโนมัติ ขออย่างเดียวท่านอยา่ ข้เี กยี จปฏิบตั ิตามคาํ แนะนาํ กแ็ ล้วกัน 1.2 จําโครงสรา้ งของแต่ละ Tense ให้ไดอ้ ย่างถกู ต้องแมน่ ยาํ เร่อื งการจําโครงสร้าง ของแต่ละ Tense แต่ละคนมีวิธีการในการจดจาํ ที่ไมเ่ หมือนกัน บางครง้ั ก็ยาวเกนิ ไป จนจํา ไม่ไหว มีวธิ ีการจําโครงสร้างของแตล่ ะ Tense ง่ายๆ ดังต่อไปนี้
3 โครงสร้างของ Tense ทัง้ 12 Tense Simple = S + Verb 1 + ................ Present Continuous = S + is, am, are + Verb 1 ing + ............... Perfect = S + has, have + Verb 3 + ................ Perfect conti. = S + has, have + been + Verb 1 ing + ............... Simple = S + Verb 2 + ................ Past Continuous = S + was, were + Verb 1 ing + ............... Perfect = S + had + Verb 3 + ................ Perfect conti. = S + had + been + Verb 1 ing + ............... Simple = S + will, shall + Verb 1 + ................ Future Continuous = S + will, shall + be + Verb 1 ing + ............... Perfect = S + will, shall + have + Verb 3 + ................ Perfect conti. = S + will, shall + have + been + Verb 1 ing + ............
4 ตวั อย่างพร้อมคําแปลท้ัง 12 Tense Simple He walks. เขาเดนิ Present Continuous He is walking. เขากําลังเดนิ Perfect He has walked. เขาไดเ้ ดนิ แล้ว Perfect conti. He has been walking. เขาไดก้ าํ ลงั เดนิ แลว้ Simple He walked. เขาเดินแล้ว Past Continuous He was walking. เขากาํ ลังเดนิ แล้ว Perfect He had walked. เขาได้เดินแลว้ Perfect conti. He had been walking. เขาไดก้ ําลังเดนิ แล้ว Simple He will walk. เขาจะเดนิ Future Continuous He will be walking. เขากาํ ลงั จะเดิน Perfect He will have walked. เขาจะไดเ้ ดนิ แลว้ Perfect conti. He will have been walking. เขาจะได้กําลงั เดินแล้ว แบบฝึกหดั ใหท้ ําแบบฝกึ หดั ขา้ งลา่ งนี้ โดยแตล่ ะประโยคใหแ้ ต่งพร้อมทั้งแปลมาให้ครบ 12 Tense หากประโยคใดทาํ ไมไ่ ด้ขอให้ดูตวั อย่างประกอบ
5 1. She (speak) English wish her sister. 2. You (eat) rice in your house. 3. The dog (sleep) under the tree. 4. The students (play) football after school. 5. I (write) a letter in my room. 6. We (learn) English at school. 1.3 เมือ่ ได้มกี ารทําแบบฝึกหดั แล้ว ตอ่ ไปก็จะอธบิ ายเรื่องการใช้ Tense วา่ ในแต่ละ Tense น้นั ใชก้ บั เหตุการณห์ รอื การกระทําท่ีเกิดขึ้นตา่ งกรรมต่างวาระกันอยา่ งไร อธบิ ายการใช้ Present Tense ทัง้ 4 Tense Present Simple Tense มวี ิธใี ชก้ ับเหตกุ ารณไ์ ด้ดงั ต่อไปนี้ (1) ใช้กบั เหตกุ ารณ์ที่เกิดข้นึ ตามความจรงิ ของธรรมชาติ เชน่ :- The earth moves round the sun. โลกหมนุ รอบรอบดวงอาทิตย์ The sun rises in the east. ดวงอาทติ ย์ขึ้นทางทศิ ตะวันออก เป็นต้น (2) ใชก้ บั เหตุการณ์ทเ่ี ปน็ ความจรงิ ตาม คําสภุ าษิต คําพังเพย สนุ ทรพจน์ เชน่ :-
6 Negligence is the part of death. ความประมาทเปน็ ทางแหง่ ความตาย Honesty is the best policy. ความซื่อสตั ยเ์ ป็นนโยบายที่ดที ่ีสดุ เป็นต้น (3) ใชก้ บั เหตกุ ารณท์ ่เี ป็นความจรงิ ในขณะที่พดู (กอ่ นหน้าทจี่ ะพดู หรอื หลังพดู ไปแลว้ จะ ไมเ่ ปน็ จริงเหมือนอยา่ งท่พี ูดกไ็ ด้ แต่ที่แนๆ่ คือต้องเป็นจริงในขณะท่ีพดู ) เชน่ :- He stands under the tree. เขายืนอยู่ใตต้ ้นไม้ (เหลยี วไปดูกย็ ืนอย่จู รงิ ๆ ยังไม่ทนั เดินไปไหน) I have two books in the suitcase. ฉันมหี นังสือ 2 เลม่ อยู่ในกระเปา๋ (เปิดออกมาดกู ็เหน็ มี 2 เลม่ จรงิ ๆ ไมไ่ ดโ้ กหก) (4) ใชก้ บั การกระทําท่คี ดิ วา่ จะเกดิ ขึน้ ในอนาคตอันใกล้ สว่ นมากมักจะใช้กับ Verb ที่ แสดงการเคลื่อนท่จี ากจุดหนง่ึ ไปยงั จดุ หนึ่ง) และตามกฎข้อนี้ Present Simple Tense มคี าํ วิเศษณ์บอกเวลาทเ่ี ปน็ อนาคตมาร่วมได้ เชน่ :- We leave tomorrow. พวกเราจะออกเดินทางวันพรุ่งน้ี The train arrives at the station early tomorrow. รถไฟจะมาถึงสถานเี ช้าตรู่วันพรุ่งน้ี เป็นต้น
7 (5) ใชก้ บั เหตุการณใ์ นกรณีสรปุ เร่ืองราวต่างๆ ท่เี ล่ามา แม้เหตุการณ์นน้ั จะได้เกดิ ขนึ้ แล้ว ในอดตี ก็ตาม แต่เราก็แต่งด้วยประโยค Present Simple Tense ทงั้ นก้ี ็เพื่อใหเ้ รื่องที่ เลา่ น้ันมชี ีวิตชีวาเหมอื นเรอ่ื งทีเ่ กิดข้นึ ในปจั จุบนั (สว่ นมากมักใชใ้ นการเขียนนิยาย เช่น :- ......Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He ask Antonio to lend him money. Antonio says that he has not any money at the moment Until his ships come to port....... .......บสั สานีโอตอ้ งการจะไปเบลมองต์ เพือ่ เกย้ี วพาราสกี ับนางเปอรเ์ ชยี เขาขอยืมเงิน กบั อันโตนิโอ อนั โตนิโอบอกว่า ขณะนีเ้ ข้าไม่มีเงนิ เลย จนกว่าเรือของเขาจะเขา้ เทยี บ ท่าแล้ว (เขาจงึ จะมีเงนิ ใหย้ มื )........ (6) ใชก้ บั เหตุการณ์ในประโยค Subordinate Clause (อนุประโยค) ทบี่ ่งบอกเวลาเปน็ อนาคต ซ่งึ ประโยคของมันเองจะขน้ึ ต้นดว้ ยคาํ ตอ่ ไปน้ี :- If (ถา้ ) unless (เวน้ เสียแตว่ า่ ) as soon as (เมอื่ ,ขณะที่) until (จนกระทั่ง) before (ก่อนที่) whenever (เมือ่ ไหรก่ ็ตาม) while (ขณะท)ี่ เป็นตน้ เชน่ :- If you come here, we will tell you about that. ถา้ คุณมาท่นี ่ี เราจะบอกคุณเก่ยี วกับเรื่องนัน้ As soon as he arrives, you can leave. เม่อื เขามาถึง ท่านกไ็ ปได้ เปน็ ตน้
8 (7) การกระทาํ ของกรยิ าท่ีทาํ นานไมไ่ ด้ หรือกริยาท่แี สดงการรบั รู้ (Verb of perception) ให้นาํ มาแตง่ ด้วย Present Simple Tense เท่านัน้ เช่น :- Sumali loves her husband very much. สมุ าลรี ักสามีของเธอมาก (loves เปน็ กริยาแสดงการรับรู้) I understand what you said. ผมเข้าใจสง่ิ ทที่ า่ นพุด (understand เปน็ กริยาแสดงการรับรู้) (8) ใชก้ บั เหตุการณท์ บี่ ุคคลหรือสตั วท์ ําเป็นประจาํ โดยสมํ่าเสมอ หรอื ทําเป็นกจิ วัตรโดย มิไดข้ าด ตามกฎการใชข้ ้อที่ 8 น้ี Present Simple Tense มักจะมีคาํ วเิ ศษณ์ (Adverb) บอกเวลาทเ่ี ปน็ ความสมา่ํ เสมอมารว่ ม ไดแ้ กค่ าํ ตอ่ ไปนี้ :- always เสมอๆ often บอ่ ยๆ sometimes บางครง้ั usually โดยปกติ hardly แทบจะไม่ every day ทุกๆ วัน every week ทุกๆ สัปดาห์ every month ทุกๆ เดอื น
9 once a week สปั ดาห์ละครงั้ on week days ทุกวนั ธรรมดา เป็นตน้ His family always go to Hong Kong. ครอบครัวของเขาไปฮอ่ งกงเสมอๆ She goes to school every day. หล่อนไปโรงเรยี นทกุ ๆ วัน เป็นต้น (9) ในเหตุการณข์ องประโยค Adverb Clause (วเิ ศษณานุประโยค) ทเี่ ปน็ ปจั จบุ นั กาล ธรรมดา (Present Simple Tense) ประโยค Main Clause (มขุ ยประโยค) ตอ้ งใช้ Present Simple Tense คล้อยตามด้วย เช่น :- Whenever he comes here, he says hello to me. เมือ่ ไหรก่ ต็ ามทีเ่ ขามาทนี่ ี่ เขาพูดสวสั ดีกับผม Every time he sees me, he gives me a smile. ทุกๆ คร้งั ท่เี ขาเหน็ ผม เขาย้ิมใหผ้ ม เปน็ ต้น Present Continuous Tense มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้ (1) ใชก้ บั เหตกุ ารณท์ ่ีกําลังกระทําอยูใ่ นขณะท่พี ูด เชน่ :- He is working in his garden. เขากาํ ลงั ทํางานอยู่ในสวน (มองไปกเ็ ห็นทาํ อย่จู รงิ ๆ ยงั ไมห่ ยดุ ทํา)
10 The dogs is running towards here. สนุ ขั กาํ ลังวงิ่ ตรงมายังท่นี ่ี (มองไปก็เหน็ สนุ ัขกําลงั วิ่งมาจริงๆ) หมายเหตุ ตามกฎการใช้ข้อท่ี 1 นี้ Present Continuous Tense จะนําเอา now เขา้ มาใชร้ ่วมดว้ ยกไ็ ด้ และเมอื่ นํามาใชร้ ่วมแล้ว มีวิธีเรยี งอยู่ 3 อย่าง คอื ก. เรยี ง now ไว้ตน้ ประโยค เมื่อต้องการเนน้ เวลา เชน่ Now we are learning English. เดย๋ี วนเี้ รากาํ ลังเรียนภาษาอังกฤษ ข. เรยี งเพื่อเลน่ สํานวนการพูดใหว้ าง now ไว้หลงั Verb to be เชน่ I am now reading a book. เดย๋ี วน้ีฉันกําลงั อา่ นหนังสอื อยู่ ค. เรยี งตามปกตกิ ารใช้แบบธรรมดา ให้วาง now ไวส้ ุดประโยค เช่น :- Wilai is cooking in the kitchen now. วิไลกําลงั ทาํ กบั ข้าวอย่ใู นโรงครัวเดีย๋ วนี้ (2) ใชก้ บั เหตุการณ์ท่ีกําลงั กระทาํ อยู่ในระยะเวลาอนั ยาวนานของช่วง วนั ,เดอื น,ปี ซึ่งตาม ข้อเทจ็ จริงในขณะที่พูดประโยคน้อี อกมาแล้ว การกระทาํ อนั น้นั อาจจะยงั ไม่กําลงั ดําเนินการเคลอื่ นไหวอยจู่ ริงๆ ก็ได้ แต่หากวา่ เม่ือพดู ถึงช่วงระยะเวลาอันยาวนานแล้ว กก็ ําลังกระทาํ สง่ิ นัน้ อยจู่ ริงๆ เช่น :-
11 He is studying hard in this term. เขากําลังเรียนหนงั สอื อยา่ งขะมกั เขม้นเทอมนี้ I am working at the Siam Motors Co., Ltd. This year. ผมกาํ ลงั ทาํ งานอยู่ท่บี ริษทั สยามกลการปีน้ี เปน็ ตน้ (3) ใช้กับเหตุการณท์ ่ีผพู้ ูดมน่ั ใจว่า จะตอ้ งเกิดข้นึ แน่นอนในอนาคตอนั ใกล้ ตามท่ีได้ ตัง้ ใจเอาไว้ เชน่ :- We are leaving for Paris tomorrow. พวกเราจะออกเดนิ ทางไปนครปารีสวันพรุ่งน้ี Mr. Tomson is coming here soon. มร. ทอมสันจะมาทีน่ ีเ่ ร็วๆ นี้ เปน็ ต้น กริยาทนี่ าํ แต่งเปน็ Continuous Tense ไม่ได้ ถาม : กรยิ าทกุ ตวั นาํ มาแตง่ เป็น Present Continuous Tense ได้หมดใชห่ รอื ไม่? หรือมขี ้อยกเว้นอย่างไร จงอธิบายให้เข้าใจ? ตอบ : โดยปกติท่ัวไปแลว้ กริยา (Verb) ทกุ ตัวนํามาแตง่ เปน็ Present Continuous Tense ไดท้ ้ังน้ัน แตม่ กี ริยาอยูบ่ างจําพวกท่ไี ม่นิยมนาํ มาแตง่ เป็นPresent Continuous Tense ทัง้ น้กี ็เพราะคนอังกฤษและอเมรกิ าเขาเหน็ วา่ กรยิ าเหลา่ น้ที าํ นานไม่ได้
12 ไดแ้ กก่ ริยาต่อไปนี้ คือ :- (1) กรยิ าทแี่ สดงการรับรู้ (Verb of Perception) ได้แก่ :- See (เหน็ , เข้าใจ) feel (รู้สึก) Smell (ดม) hear (ไดย้ ิน) Taste (เข้าใจ) (2) กรยิ าท่แี สดงภาวะของจติ ใจ (State of Mind) แสดงความรู้สกึ (Feeling) หรอื แสดงความสมั พนั ธ์ (Relationship) ได้แก่ :- know (รจู้ กั ) hate (เกลยี ด) love (รกั ) understand (เขา้ ใจ) believe (เชอื่ ) seem (ดเู หมือน) belong (เปน็ ของ) appear (ปรากฏวา่ ) remember (จาํ ได้) like (ชอบ) want (ตอ้ งการ) forgive (ใหอ้ ภยั ) เปน็ ต้น I see something here. ฉันเหน็ อะไรบางอย่างอยู่ที่น่ี (อย่าใช้ : I am seeing something here.)
13 She love me very much. หล่อนรกั ผมมาก (อย่าใช้ : She is loving me very much.) เม่ือแตง่ ดว้ ย Present Continuous Tense ไม่ได้ใหน้ ําไปแตง่ ดว้ ย Present Simple Tense ตามกฎข้อที่ 7 ดงั ท่ีอธบิ ายไวแ้ ล้ว อย่างไรกต็ าม กริยาท่ีแสดงการรับรู้ แสดงภาวะของจิตใจ หรือแสดงการสัมพันธ์ เหล่านีก้ อ็ าจจะนําไปแตง่ ด้วย Present Continuous Tense ได้ ถ้ากริยาเหล่าน้มี ีความหมาย เป็นอย่างอน่ื นอกจากความหมายเดิม เช่นคําวา่ “see” ถ้าแปลว่า “ไปพบ, ไปสง่ ” (ตาม ความหมายเดิมแปลว่า เหน็ ) กน็ าํ มาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้ เช่น :- Kukrit is seeing Turng Siew Ping tomorrow. คึกฤทธ์ิจะพบกบั เตงิ้ เส่ยี ว ผงิ วันพรุ่งน้ี (seeing = meeting) I am seeing my friend off at Don Muang Airport. ฉันจะไปส่งเพื่อนของฉนั ท่ที า่ อากาศยานดอนเมือง (seeing = saying goodbye) Feel ถา้ แปลวา่ “คลาํ หา” (ตามความหมายเดิมแปลวา่ รสู้ ึก) กน็ ํามาแตง่ เป็น Present Continuous Tense ได้ เช่น :- The blind man is feeling his way along the street. ชายตาบอดคนนั้นกําลงั คลําหาทางของเขาไปตามถนน (feeling = groping)
14 Present Perfect Tense มีวิธใี ชด้ ังตอ่ ไปน้ี (1) ใชก้ ับเหตกุ ารณท์ ่ีเกดิ ข้ึนแลว้ ในอดตี และต่อเนอื่ งมาจนถึงเวลาปจั จุบัน (คือเวลาท่ีพดู ประโยคนอ้ี อกไป) และตามกฎการใช้ข้อที่ 1 น้ีมกั จะมคี ําว่า since (ต้ังแต)่ , for (เป็น เวลา), มาใชร้ ว่ มเสมอ เพ่ือบง่ บอกเวลาท่ีเกดิ ขึน้ จากอดตี มาถงึ ปัจจบุ ัน เชน่ :- He has lived in America since 2500. เขาอาศยั อยู่อเมริกาตงั้ แตป่ ี พ.ศ.2500 (ขณะทพ่ี ูดเขากอ็ ยทู่ อ่ี เมรกิ า ยงั ไม่ไดก้ ลบั มา) I have worked in this company for six years. ฉันไดท้ ํางานอย่ทู ีบ่ ริษัทนี้มาแล้วเปน็ เวลา 6 ปี (ขณะพูดกย็ งั ทําอยู่ ไม่ไดล้ าออก ไปทําท่อี ื่น) ถาม : since และ for ใช้ตา่ งกนั อย่างไร? ตอบ : since แปลว่า “ต้ังแต”่ ใช้บอกเวลาเปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของเหตุการณท์ ไี่ ดเ้ กิดขนึ้ ในอดตี มาจนถึงปัจจุบันว่า เกดิ ขึน้ เม่ือไร วัน เดอื น ปี อะไร เป็นตน้ เช่น:- She has lived in Bangkok since 2515. หลอ่ นไดม้ าอยูก่ รุงเทพต้ังแต่ พ.ศ.2515 We have studied English since January. พวกเราเรียนภาษาองั กฤษมาต้ังแตเ่ ดอื น มกราคม
15 หรือบางครัง้ อาจเป็นประโยคกไ็ ด้ ซึง่ เรียกว่า Adverb Clause ที่มาเรยี งตามหลัง since เพื่อบง่ บอกเวลาจุดเร่มิ ต้น เชน่ :- He has worked hard since he left his parents. เขาทาํ งานหนกั ตัง้ แตเ่ ขาหนจี ากพ่อแม่ เป็นตน้ for ใช้สาํ หรับบอกชว่ งเวลาอันยาวนานของเหตุการณท์ ่เี กดิ ขน้ึ จากอดตี มาจนถงึ ปัจจบุ ันว่า นานแลว้ ได้เท่านน้ั วัน, เทา่ นั้นเดอื น, เท่านน้ั ปี (แตไ่ ม่ไดบ้ อกจุดเริ่มตน้ ของการ กระทาํ ) เช่น :- We have studied English for two months. พวกเราเรียนภาษาองั กฤษมาแลว้ เป็นเวลา 2 เดอื น He has worked in the garden for five hours. เขาทาํ งานอยู่ในสวนเป็นเวลา5 ชว่ั โมงแลว้ เป็นต้น (2) ใชก้ ับเหตกุ ารณ์หรือการกระทําทไ่ี ดเ้ คยทาํ ในอดตี จะเปน็ ครัง้ เดยี วหรอื หลายครง้ั ก็ได้ และการกระทาํ ท่วี ่านั้น อาจกระทําอกี ในปัจจบุ นั หรืออนาคตก็ได้ (แต่ไมไ่ ด้ทาํ ทกุ วัน หรอื ทาํ บ่อย) และการใชต้ ามกฎขอ้ ที่ 2 น้ี มกั จะมี ever (เคย), never (ไมเ่ คย) นํามาใช้รว่ มเสมอ เชน่ Has he ever eaten rice at this restaurant many time ? เขาเคยทานขา้ วทภ่ี ตั ตาคารน้หี ลายคร้ังแล้วหรือ? My father has never spoken English wish me.
16 คณุ พอ่ ของฉันไม่เคยพดู ภาษาองั กฤษกบั ฉนั เปน็ ตน้ (3) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําที่จบลงแล้ว แต่ผลของการจบลงนน้ั ยังคงประทบั จติ ใจของผพู้ ดู อยู่ หมายความวา่ ผูพ้ ูดไม่ลืมกับการทไ่ี ด้กระทะสิง่ ทจี่ บลงไปนน้ั เช่น:- I have turned on the light in this room. ผมได้ปิดไฟในห้องนี้แล้ว (ผมจะเปดิ ไฟเมอื่ ใดไม่สําคัญ ผมตอ้ งการจะบอกแต่เพยี งวา่ ผลการกระทาํ คือการเปดิ ไฟนั้นเปดิ เสรจ็ ไปแลว้ และขณะน้ีไฟนนั้ ยงั สวา่ งอยู่ยงั ไม่ดับ โดยอาศยั แสงสว่างนี้ ท่านจะเลน่ การพนัน ฉันข้าวเยน็ หรอื อา่ นหนงั สือกเ็ ชญิ ตามสบาย) The train has left the station. รถไฟไดอ้ อกจากสถานีไปแลว้ (รถไฟไดอ้ อกจากสถานีเม่อื ใดไม่สําคญั ข้อสําคัญอยู่ตรงทวี่ ่า การท่ีรถไฟออกไปจาก สถานีซงึ่ ผมเหน็ เปน็ รปู ขบวนยาวเหยยี ดแลว้ นั้น ผมยังไมล่ มื ยังคงประทบั จิตใจผมจงึ ใช้ Present Perfect Tense พูด) หมายเหตุ ถา้ การกระทําที่จบเสรจ็ สนิ้ ลงไปแลว้ นั้นไมป่ ระทบั จติ ใจเราอยู่ หรอื พดู ง่ายๆ กค็ ือ วา่ จบไปแล้วกแ็ ลว้ กันไปอะไรทํานองน้ี ไมน่ า่ จะมีอะไรหลงเหลอื อยูเ่ ลย เช่นนี้ ก็ใหพ้ ดู ดว้ ยประโยคอดตี กาลธรรมดา (Past Simple Tense) เทา่ น้นั เอง
17 (4) ใช้กับเหตกุ ารณ์ท่ีพึ่งจะจบลงไปไม่นาน ซึง่ การใช้ตามกฎขอ้ นมี้ กั จะมคี ําว่า just (พงึ่ จะ), already (เรียบรอ้ ยแล้ว), yet (ยงั ), family (ในทีส่ ดุ ) เป็นตน้ มารว่ มอยใู่ น ประโยคด้วยเสมอ เช่น :- The train has just arrived at the station. รถไฟพงึ่ จะมาถงึ สถานี (หมายความวา่ รถไฟเข้ามาจอดที่ชานชาลายงั ไมท่ นั นาน เครื่องจกั รยงั ร้อนระอุอยู่ ผมจงึ ใช้ประโยคนพ้ี ูดออกมา เพ่ือแสดงว่า การเข้ามายังไม่ทนั นาน) I have already opened the window. ผมได้เปิดหนา้ ตา่ งเรยี บร้อยแลว้ (หมายความวา่ ผมไดเ้ ปดิ หน้าตา่ งไว้แลว้ ไม่นานก็เดนิ มาพบทา่ น พอท่านถามว่าเปิด หนา้ ต่างแลว้ หรอื ยัง? ผมก็ตอบทันทวี า่ ผมได้เปดิ ไว้เรยี บร้อย พอเดนิ ลงมากพ็ บท่าน พอดี แต่ความข้อนี้มไิ ด้ม่งุ เอาผลแห่งการประทบั จติ ประทับใจ ม่งุ เพียงไดก้ ระทําส่ิง นัน้ แลว้ ไม่นาน) Present Perfect Continuous Tense มวี ธิ ีใช้ดังต่อไปนี้ Tense นีม้ ีวิธีใชเ้ ช่นเดียวกนั กับ Present Perfect Tense ทกุ กรณี เพยี งแตว่ า่ เม่ือเราใช้ Present Perfect Continuous Tense พดู กย็ ่อมหมายความวา่ เราตอ้ งการเน้นถงึ การกระทําทไ่ี ด้กระทาํ มาตอ้ งแต่อดตี ติดต่อมาจนถึงปัจจุบัน และจะกระทําตอ่ ไปในอนาคต เชน่
18 I have been staying here for five years. ผมไดอ้ ยู่ทนี่ ่ีมาแล้วเป็นเวลา 5 ปี (ขณะน้ีผมก็อย่ทู ีน่ ่ี) ประโยคนี้หมายความว่า ผมไดอ้ ยทู่ ่ีนีม่ าแลว้ เป็นเวลา 5 ปี ซงึ่ เนน้ หนกั ลงไปวา่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี ท่ผี า่ นมา ผมไมไ่ ดย้ า้ ยไปไหน ปัจจุบันนก้ี ็อย่ทู ่นี แ่ี ละอนาคตกค็ งอยู่ทีน่ ี่ อีก รบั รองวา่ ไม่ยา้ ยไปไหนแน่ We have been studying English for three years. พวกเราไดเ้ รียนภาษาองั กฤษมาแลว้ เปน็ เวลา 3 ปี (ขณะนี้กเ็ รียนอยู่) ประโยคนก้ี ็เช่นเดยี วกนั เน้นให้เห็นว่าระยะเวลา 3 ปี ที่ผา่ นมานี้ ได้เรยี นภาษาอังกฤษ จริงๆไม่ใชเ่ รียนแล้วก็หยุดหรอื หยุดแล้วกเ็ รียน และปีท่ี 4-5 กจ็ ะเรยี นต่อไปอกี อยา่ งนเ้ี ปน็ ต้น ถาม : Present Perfect Continuous Tense กบั Present Perfect Tense เหมอื นกนั จริงๆ พอจะอธิบายให้ฟังได้ไหมว่า มขี อ้ แตกตา่ งกันบ้างสกั นิดหรือไม่? ตอบ : มีครบั ... ขอ้ แตกตา่ งมดี ังน้ีคอื :- ถา้ ใช้ Present Perfect Tense พดู ไมแ่ สดงความตอ่ เนือ่ งการกระทาํ อาจจะทาํ แล้ว ก็หยุด หรอื หยดุ แล้วก็ทําตอ่ ไปอีกกเ็ ป็นได้ ถ้าใช้ Present Perfect Continuous Tense พูดแสดงความตอ่ เนอื่ งของการกระทํา ตดิ ต่อกันจรงิ ๆ ตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบัน แล้วก็จะทาํ ตอ่ ไปอีกในอนาคต ดูตวั อย่าง นเ้ี ปรยี บเทยี บ เชน่ :-
19 He has studied English for two years. He has been studying English for two years. ท้ัง 2 ประโยค แปลว่า เขาได้เรยี นภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี (ประโยคที่ 1 เป็นการพดู แบบธรรมดาว่า ไดเ้ รยี นมาแล้ว 2 ปี ส่วนประโยคที่ 2 เป็นการพดู แบบเนน้ ให้ เห็นชัดเจนว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปี ไดเ้ รียนภาษาอังกฤษมาแล้วจรงิ ๆ ไม่ได้หยุดเรยี น เรียน หยุดอะไรทาํ นองนี้ ซึ่งหมายถงึ ว่า ปที ี่ 3-4 ก็จะเรียนตอ่ ไปอีก อธิบายการใช้ Past Tense Past Simple Tense มีวิธใี ชด้ ังต่อไปนี้ คอื :- (1) ใชก้ บั เหตุการณท์ เ่ี กดิ ขึ้นแลว้ ในอดตี และก็จบลงไปแล้วในอดีตโนน้ มิไดต้ อ่ เน่ือง มาถึงเวลาในขณะท่พี ดู การใช้ Past Simple Tense ตามกฎข้อนี้มักจะมคี ําบ่ง เวลาท่ีเป็นอดตี มารว่ มเสมอไดแ้ ก่คําว่า yesterday เมื่อวานนี้ last week สัปดาหท์ ่ีแล้ว last year ปีท่แี ลว้ ago ลว่ งมาแล้ว last night เม่อื คืนท่แี ลว้ last month เดอื นที่แล้ว
20 this morning เม่ือเชา้ นี้ recently เมื่อเรว็ ๆ นี้ และในปี พ.ศ., ค.ศ. ท่ีผ่านมาทั้งหมด เช่น B.E. 2520, A.D. 1970 Porn and Wanna went to Japan last year. พรและวรรณาไปเทีย่ วประเทศญ่ปี นุ่ เมือ่ ปีท่แี ลว้ (ขณะพดู ไปกลบั มาแลว้ ) He saw me at the market yesterday. เขาพบฉันทต่ี ลาดเม่ือวานนี้ (ขณะพดู การพบได้เสรจ็ สน้ิ ไปแล้ว) เป็นตน้ (2) ใชก้ บั เหตุการณท์ ่ีกระทําเปน็ ประจาํ ในอดีต ซง่ึ ตามกฎข้อนมี้ ี กริยาวเิ ศษณบ์ อก ความถม่ี ารว่ มได้ แตต่ ้องใหม้ ีคาํ บอกเวลาท่ีเป็นอดีตมากํากับไวอ้ ีกคร้ังหนงึ่ (เพื่อ ป้องกนั มิใหไ้ ปสบั สนกับการใช้ Present Simple Tense ตามกฎข้อท่ี 8) เช่น :- Somsri always went to Puket last month. สมศรีไปเท่ียวภูเกต็ เสมอๆ เม่ือเดอื นทผี่ ่านมา He played football every day last year. เขาเล่นฟตุ บอลทุกๆ วัน เม่ือปีท่แี ลว้ เปน็ ตน้ (3) ใช้กับเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ แล้วชั่วระยะเวลาหน่งึ ในอดตี และระยะเวลาน้นั กผ็ ่าน พน้ มาแลว้ จะเปน็ ก่ีวัน เดือน ปี ได้ทัง้ น้ัน ตามกฎขอ้ นี้มี ago (ล่วงมาแล้ว) มา ใชร้ ่วมเสมอ เช่น :-
21 He lived there ten years ago. เขาอยทู่ ี่น่ันเมื่อ 10 ปี ล่วงมาแล้ว ประโยคนห้ี มายความวา่ ขณะท่ีพูดเขาไมไ่ ดอ้ ยทู่ ี่นัน่ แลว้ แตเ่ มอ่ื 10 ปี ก่อนนนั้ เขาอยูท่ ่นี ่ัน This land belonged to me three years ago. ที่ดนิ แปลงน้เี ป็นของผมเม่ือ 3 ปลี ว่ งมาแลว้ ประโยคนีห้ มายความว่า ขณะท่พี ูดน้ี ผมไมไ่ ด้เป็นเจ้าของทีด่ ินแปลงนี้เสีย แลว้ แตผ่ มเป็นเจ้าของเมอ่ื 3 ปกี ่อน ดังน้นั ผมไม่มีสทิ ธ์ิที่จะเอาท่ดี ินแปลงนี้ ไปจาํ นองได้ เพราะมันเปน็ กรรมสิทธ์ิของคนอน่ื ไปเสยี แล้ว (4) ในกรณีท่ปี ระโยค Adverb Clause เป็น Past Simple Tense ประโยค Main Clause (มขุ ยะประโยค) ต้องเป็น Past Simple Tense ตลอดไป เชน่ :- Whenever he came here, he said hello to me. เมอื่ ไรท่เี ขามาท่นี ่ี เขาพดู สวสั ดกี บั ผม Every time he saw her, he gave her a smile. ทุกๆ ครง้ั ท่ีเขาพบเธอ เขายิ้มใหเ้ ธอ (ทันที) เปน็ ต้น
22 Past Continuous Tense มีวิธีใช้ดงั น้ี (1) ใช้กบั เหตุการณ์ 2 อย่างท่ีเกดิ ขนึ้ ไมพ่ รอ้ มกัน (อย่าลมื วา่ Past Continuous Tense เขา ไมน่ ยิ มใชแ้ ตม่ ันโดยลําพงั มกั จะใช้ควบคูก่ บั เหตกุ ารณ์ 2 อยา่ ง) โดยมีหลักการแตง่ ดงั น:้ี - เหตุการณ์ใดทํากอ่ นหรือเกิดขึ้นก่อนใช้ Past Continuous Tense (Subject + was, were + Verb 1 ing + ..........) เหตุการณใ์ ดทาํ ทีหลังหรือเกิดขึน้ ทหี ลังใช้ Past Simple Tense (Subject + Verb 2 + ..........) ตัวอยา่ งเชน่ โจทย์ : When we (eat) our dinner, the light (go) out. เฉลย : When we were eating our dinner, the light went out. เม่ือเรากาํ ลงั ทานอาหารอยูไ่ ฟกด็ บั ประโยคน้ีหมายความวา่ การทานอาหารเกิดขน้ึ ก่อน หรือลงมือทํากอ่ น และในขณะที่กําลังทานอาหารอยู่อยา่ งเอรด็ อรอ่ ยน้ัน บังเอญิ ไฟเจา้ กรรม นายเวรก็เกดิ ดับเอาเสียด้อื ๆ ดงั น้ัน การทานอาหารเกดิ ขน้ึ กอ่ นจึงตอ้ งใช้ Past Continuous Tense ส่วนการท่ีไฟดบั เกดิ ขึ้นทีหลงั จงึ ใช้ Past Simple Tense คงไม่มใี ครทค่ี ดิ วา่ ไฟดับเกดิ ขนึ้ กอ่ นแล้วจงึ ลงมือทานขา้ ว กันทีหลงั โจทย์ : He (see) an accident while he (walk) along the street. เฉลย : He saw an accident while he was walking along the street.
23 เขาเหน็ อุบัติเหตขุ ณะที่เขาเดนิ ไปตามถนน ประโยคนีห้ มายความวา่ การท่ีจะเหน็ อุบตั เิ หตไุ ด้ต้องอาศยั การเดิน เพราะฉะน้นั การเดินจึงต้องเกิดขึน้ กอ่ น เมอื่ มีการเดินไปตามถนนแลว้ การ กระทาํ อย่างที่ 2 คอื การได้เห็นอบุ ตั ิเหตจุ ึงเกิดขนึ้ ตามมา (2) ใชก้ ับเหตุการณ์ท่ไี ดก้ ระทาํ ตดิ ตอ่ กนั ตลอดช่วงเวลาทไี่ ดร้ ะบไุ วใ้ นประโยค เช่น My father was working all day yesterday. เมอื่ วานนี้คุณพอ่ ของผมทํางานตลอดทงั้ วนั เลย ประโยคน้หี มายความว่า การท่ีผมใช้ Past Continuous Tense พูด กเ็ พราะผม ต้องการเน้นใหเ้ หน็ ว่า เมือ่ วานน้ีตลอดท้งั วันพ่อของผมไม่ไดอ้ ยนู่ ิง่ เฉยๆ แตห่ าก ทาํ งานท้ังวนั และขอใหส้ งั เกตดว้ ยวา่ จะมคี ําบ่งบอกชว่ งเวลามากาํ กับอย่ใู น ประโยคด้วย (คอื all day yesterday) ความจริงประโยคเช่นน้ีเราพดู ดว้ ย Past Simple Tense กไ็ ด้ โดยพดู ว่า :- My father worked all day yesterday. เมือ่ วานน้ีพอ่ ของผมทาํ งานทัง้ วนั แตฟ่ ังดูแล้ว คนองั กฤษเขาเหน็ ว่า มันเปน็ ประโยคที่มีเนื้อความเนือยๆ จืดๆ ไม่ กระฉบั กระเฉงเหมอื นประโยคแรก ถึงคําแปลในภาษาไทยจะแปลไว้เหมือนกันก็ ตาม ขอให้ท่านสงั เกตเอาไว้
24 (3) ใช้กบั เหตุการณ์ 2 อย่าง ทกี่ ําลงั กระทําในเวลาเดียวกนั กไ็ ด้ (นยิ มใชก้ ับกรยิ าที่ทาํ ไดน้ าน ดว้ ยกนั ทัง้ 2 เท่าน้นั หากเป็นกริยาทที่ ําไมน่ าน กใ็ หน้ าํ ไปแตง่ ตามกฎข้อที่ 1) เช่น :- (4) He was cleaning the house while I was cooking breakfast. เขากาํ ลังทําความสะอาดบ้านในขณะที่ผมกาํ ลังทาํ อาหารเช้า ประโยคนี้หมายความวา่ ขณะท่ผี มกาํ ลงั ทาํ อาหารเชา้ อยนู่ ้ัน กเ็ ป็นเวลาเดยี วกนั กบั ทเี่ ขาทาํ ความสะอาดอยู่ ดังนัน้ กรยิ าทั้ง 2 น้ี ถอื เป็นกรยิ าท่ีทาํ นานด้วยกนั ทั้งคู่ จึงนาํ มาแต่งตามกฎขอ้ ท่ี 3 นไ้ี ด้ ในทางตรงกนั ข้ามหากแต่งประโยคหน่งึ ด้วย Past Simple Tense และอีกประโยคหนึ่งดว้ ย Past Continuous Tense เชน่ น้ี เน้ือความทัง้ สองกจ็ ะจดื จางไปเลย
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: