Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่มที่ 7 สรุปโครงการอบรม growth mindset นักเรียน

เล่มที่ 7 สรุปโครงการอบรม growth mindset นักเรียน

Published by พวงทอง เพชรโทน, 2019-12-22 14:06:37

Description: เล่มที่ 7 สรุปโครงการอบรม growth mindset นักเรียน

Search

Read the Text Version

การอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการ A+ โครงการพฒั นาทักษะการคิด สาํ หรบั ผเู้ รยี นในศตวรรษที 21 (ภายใต้โครงการบูรณาการยกระดบั คณุ ภาพการศึกษา และการเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ สาํ หรบั การเรยี นรใู้ นศตวรรษที 21 การอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการ “GROWTH MINDSET ดว้ ยจติ ตปญญา” สาํ หรบั นกั เรยี นโรงเรยี นเจด็ สี คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุดรธานี

รายงานผลการดำเนินงาน อบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ “Growth mindset ด้วยจติ ตปญั ญา” สำหรับนกั เรยี นโรงเรยี นเจด็ สี โครงการพัฒนาทักษะการคดิ สำหรับผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 (ภายใตโ้ ครงการบรู ณาการยกระดับคณุ ภาพการศกึ ษาและการ เรยี นรู้ตลอดชีวติ สำหรบั การเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21) จดั ทำโดย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอดุ รธานี



ก คำนำ รายงานผลการดำเนินงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “Growth mindset ด้วยจิตตปัญญา” สำหรับ นักเรียนโรงเรยี นเจ็ดสี ของโครงการพัฒนาทักษะการคิดสำหรบั ผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 (ภายใต้โครงการ บูรณาการยกระดบั คุณภาพการศึกษาและการเรียนรูต้ ลอดชีวิตสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21) เล่มน้ี จัดทำขึ้นเพื่อรายงานผลการดำเนินงานการอบรมเชิงปฏิบัติการ “Growth mindset ด้วยจิตตปัญญา” สำหรับนักเรียนโรงเรียนเจ็ดสี ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน ถึง 1 กรกฎาคม 2562 ณ โรงเรียนเจ็ดสีวิทยา คาร อำเภอเซกา จังหวดั บงึ กาฬ ซงึ่ เปน็ ส่วนหน่ึงของกระบวนการดำเนนิ งานในโครงการหลัก คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ได้จัดทำรายงานประเมินผลโครงการพัฒนาทักษะ การคิดสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ฉบับนี้เพื่อเป็นการประเมินผลการดำเนินโครงการเพื่อได้ทราบ แนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงาน และข้อเสนอแนะในการจัดโครงการ ในรายงานศึกษา คณะ ผจู้ ัดทำหวังเป็นอยา่ งยิง่ วา่ รายงานฉบับนจี้ ะเปน็ ประโยชนใ์ นการจดั การโครงการอบรมในครัง้ ตอ่ ไป คณะผู้จดั ทำ โครงการพฒั นาทกั ษะการคดิ สำหรับผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อดุ รธานี กรกฎาคม 2562

ข สารบญั คำนำ ............................................................................................................................................... ก บทสรุปผูบ้ ริหาร............................................................................................................................... 1 แบบสรปุ ผลโครงการ …………………………………………………………………………………………………………… 2 สว่ นท่ี 1 บทนำ ................................................................................................................................ 4 1. โครงการพัฒนาทกั ษะการคดิ สำหรบั ผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21................................................... 4 ส่วนท่ี 2 ระเบียบและวิธกี ารประเมินผล ........................................................................................ 11 ส่วนท่ี 3 ผลการศึกษา …………………………………………………………..…………..…………………..…………. 15 1. ตอนท่ี 1 ข้อมูลทว่ั ไปของผเู้ ข้าร่วมโครงการ ……………………………........…….…………….….... 16 2. ตอนท่ี 2 ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ …………………….………..…….. 16 3. ตอนที่ 3 ผลการประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้เข้ารว่ มโครงการ ……………………………… 21 4. ตอนท่ี 4 ผลการประเมนิ การนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ของผูเ้ ขา้ รว่ มโครงการ .…..……..……. 22 5. ตอนที่ 5 ผลการประเมินความสำเร็จโดยภาพรวมโครงการ …………………..…….……....……… 23 6. ตอนที่ 6 ขอ้ เสนอแนะอ่นื ๆ ........................................................................................... 24 7. ตอนท่ี 7 ผลสะทอ้ นจากการทำกจิ กรรม ......................................................................... 25 8. ตอนที่ 8 สรปุ จำนวนและรายชอื่ ผ้เู ข้ารว่ มโครงการอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร “Growth mindset ดว้ ยจิตตปญั ญา” สำหรบั นกั เรียนโรงเรยี นเจ็ดสี .............................................................. 35 ภาคผนวก ………………………………………………………………………………………..………………….………….. 43 1. แบบฟอร์มทีใ่ ช้ในการประเมิน ……………………………………………………………………………. 44 2. ตัวอย่างสำเนาเอกสารหนังสือตา่ ง ๆ ท่ีใช้ในโครงการ .................................................... 46 3. ประมวลภาพกิจกรรม ………………………………………………………………………………………. 47



ง สารบญั ตาราง ตารางท่ี 1 จำนวนและรอ้ ยละของข้อมูลท่วั ไปของผู้ท่เี ข้ารว่ มโครงการ ………...............................…....… 16 อบรมเชิงปฏบิ ัติการ “Growth mindset ด้วยจิตตปัญญา)” สำหรับนักเรียนโรงเรยี นเจด็ สี ตารางท่ี 2 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของผูเ้ ขา้ ร่วมโครงการ ……..........….. 17 โดยรวม ตารางท่ี 3 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจของผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ ……..........….. 18 ดา้ นกระบวนการ/ ขั้นตอนการให้บริการ ตารางท่ี 4 คา่ เฉล่ียและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจของผเู้ ข้าร่วมโครงการ …............…. 19 ด้านความพึงพอใจด้านวทิ ยากร ตารางที่ 5 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจของผเู้ ข้าร่วมโครงการ …...........…. 20 ดา้ นความพึงพอใจด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ตารางที่ 6 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการ …...........…. 20 ด้านความพึงพอใจด้านการให้บรกิ ารของเจ้าหน้าที่ ตารางที่ 7 คา่ เฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความรู้ ความเข้าใจก่อน-หลัง …………..........……. 21 ของผู้เข้ารว่ มโครงการ ตารางที่ 8 คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของความรู้ ความเข้าใจของผู้เขา้ รว่ ม ………........…. 22 โครงการโดยรวม ตารางที่ 9 ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานผลการประเมินการนำความรไู้ ปใช้ ………….......…… 23 ตารางท่ี 10 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการประเมนิ ความสำเร็จภาพรวม ………..….....… 23 ของการจัดการอบรม

1 บทสรุปสำหรบั ผู้บริหาร คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ดำเนินการโครงการพัฒนาทักษะการคิดสำหรับ ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (ภายใต้โครงการบูรณาการยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวติ สำหรบั การเรยี นรูใ้ นศตวรรษท่ี 21) มีวตั ถปุ ระสงค์ดังน้ี 1) เพือ่ ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการของครู เกีย่ วกับการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่เนน้ การพัฒนาทักษะการคิดในศตวรรษที่ 21 2) เพ่ือพัฒนา รูปแบบการส่งเสริมความสามารถของครูในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะ การคิดในศตวรรษที่ 21 และ 3) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาครูตามรูปแบบการส่งเสริมความสามารถของครู ในการออกแบบกิจกรรมการเรยี นการสอนที่เน้นการพฒั นาทกั ษะการคดิ ในศตวรรษท่ี 21 จากผลการจัดประชุมเตรียมการ ความพร้อมดา้ นองค์ ความรู้ / หลักสูตร การนำไปฝกึ อบรมให้ ตอบโจทย์ความต้องการของ กลุ่มเป้าหมาย: อบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ “Growth mindset ดว้ ยจิตตปัญญา” สำหรบั นกั เรียนโรงเรยี นเจด็ สี ในรหวา่ งวันท่ี 29 มิถนุ ายน - 1 กรกฎาคม 2562 ณ โรงเรียนเจด็ สีวิทยา คาร อำเภอเซกา จงั หวดั บึงกาฬ ผลการประเมินโครงการพบวา่ 1. ผลการประเมินความพึงพอใจ ในภาพรวมอย่ใู นระดับมากที่สุด 2. ผลการประเมินความรู้ ความเข้าใจ ก่อนการฝกึ อบรมผูเ้ ข้ารว่ มการสัมมนามีความร้คู วามเข้าใจ อยใู่ นระดบั มาก และหลังการเขา้ รว่ มการสัมมนามีความรคู้ วามเข้าใจอยู่ในระดบั มากท่ีสุด 3. ผลการประเมินการนำความรไู้ ปใช้ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สดุ 4. ผลการประเมินความสำเร็จในภาพรวม ในภาพรวมอยู่ในระดับ มากทสี่ ดุ โดยในความพึงพอใจ ด้านวทิ ยากร พบวา่ อยใู่ นระดับมากท่ีสุด 5. มีผู้เข้าร่วม: อบรมเชงิ ปฏิบัติการ “Growth mindset ดว้ ยจติ ตปัญญา” สำหรับนกั เรียน โรงเรียนเจด็ สีจำนวน 176 คน ปัญหาอปุ สรรคในการดำเนินงาน การสะทอ้ นผลจากการทำกิจกรรมยังทำไดไ้ ม่ครอบคลมุ บางประเด็น เนื่องจากจำนวนของผเู้ ข้า นว่ มจำนวนมาก ไม่สามารถสะทอ้ นไดค้ รบทุกคน -

2 แบบสรุปผลโครงการ 1. ชือ่ หนว่ ยงาน(คณะ/สำนกั ) ครุศาสตร์ หลกั สตู ร 2. ชื่อโครงการ: โครงการพฒั นาทกั ษะการคดิ สำหรบั ผูเ้ รียนในศตวรรษที่ 21 (ภายใตโ้ ครงการบรู ณาการ ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาและการเรยี นรู้ตลอดชีวติ สำหรับการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21): การอบรมเชิง ปฏบิ ัตกิ าร “Growth mindset ดว้ ยจติ ตปญั ญา)” สำหรับนักเรียนโรงเรยี นเจ็ดสี 3. สอดคล้องแผนยุทธศาสตร์(มหาวทิ ยาลัย) ด้าน : ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 1 : การพฒั นาท้องถิน่ ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 2 : การผลิตและพัฒนาครู ยุทธศาสตร์ท่ี 3 : การยกระดับคุณภาพการศกึ ษา ยทุ ธศาสตร์ท่ี 4 : การพัฒนาระบบบริหารจดั การ 4. ปรากฏในแผนยุทธศาสตร์ (หน่วยงาน) ด้านประเด็นยทุ ธศาสตร์ท่ี 1 (ระบุ) การผลิตบณั ฑิตให้เป็น บัณฑติ ที่พึงประสงค์ 5. ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการ(หน่วยงาน) โครงการประชุมวิชาการผลงานวจิ ัยฯ 6. เชอ่ื มโยงการประกันคุณภาพฯ (ตัวบ่งชี/้ เกณฑ์) 7. วนั เวลา สถานที่ จัดโครงการ ระหวา่ งวันท่ี 5 พฤศจิกายน ถึง 15 ธนั วาคม 2561 8.  มี  ไม่มี การบรู ณาการกับการเรียนการสอน  มี  ไม่มี การบรู ณาการกบั การบริการวิชาการแกส่ งั คม  มี  ไม่มี การบรู ณาการกบั การทำนุบำรงุ ศลิ ปวัฒนธรรม  มี  ไมม่ ี การบรู ณาการกับการวิจัย ถา้ มี (โปรดกรอก) - หลกั สูตร/รายวิชา ทุกรายวชิ า บูรณาการอย่างไร (อธิบายโดยย่อ) การดำเนินกิจกรรมดำเนินในพื้นที่โรงเรียนและชุมชนในเขตพื้นท่ี บริการบูรณาการกับการบริการวิชาการแก่สังคม และนำเนื้อหาในหลักสูตรมาประยุกต์ใช้ในการจัดการ เรียนการสอนได้ 9. ผลการดำเนนิ โครงการ 8.1 เป้าหมายผู้ทเี่ ขา้ ร่วมโครงการ 176 คน 8.2  บรรลุ  ไม่บรรลุ เปา้ หมายของโครงการ

8.3ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ 176 คน ประกอบด้วย ครูโรงเรยี นเจด็ สีวทิ ยาคาร จำนวน 29 คน อาจารย์ ผูร้ บั ผดิ ชอบโครงการ 7 คน นกั ศกึ ษาผชู้ ว่ ยวจิ ยั 30 คน 8.4 การประเมนิ โครงการ - จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 136 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 77.27 ของ ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการท้งั หมด - ความรู้ความเข้าใจในเนือ้ หาของโครงการ คิดเป็นคา่ เฉล่ยี 4.45 มีความรูค้ วามเข้าใจใน ระดับมาก - ความพึงพอใจต่อการจดั โครงการคิดเป็นคา่ เฉล่ีย 4.58 มีความพึงพอใจตอ่ การจัด โครงการ ระดบั มากท่สี ดุ - การนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ คิดเป็นคา่ เฉลย่ี 4.49 สามารถนำความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ในระดับมาก 8.5 อื่น ๆ (ระบ)ุ 8.6 คา่ ใช้จ่ายในการจัดโครงการ บาท  เปน็ ไปตามแผน  ไมเ่ ปน็ ไปตามแผน 9. มกี ารรายงานผลการจดั โครงการต่อผู้บรหิ ารและได้นำขอ้ เสนอแนะไปปรบั ปรุงการจดั โครงการในปี ถัดไปอย่างไร จัดทำเลม่ รายงานสรุปโครงการและมีการนำข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ เพือ่ ปรับปรุงการจัด โครงการในคร้งั ตอ่ ไป

4 ส่วนท่ี 1 บทนำ โครงการพฒั นาทกั ษะการคิดสำหรบั ผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 1. หลักการและเหตุผล การยกระดับคุณภาพความสามารถในออกแบบการสอนให้แก่ครูจึงเป็นสิ่งจำเป็นและเพื่อ สอดคลอ้ งกบั ครูยุคใหม่ในยุคศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะกระบวนการเรียนรู้ โดยเฉพาะทักษะ กระบวนการคิดระดับสูง มาร์ซาโน (Marzano, 2001) ได้กล่าวว่า การคิดเป็นสิ่งที่เรียนรู้และสามารถ พัฒนาได้ โดยอาศยั การพัฒนาทกั ษะพ้ืนฐานการคดิ ไดแ้ ก่ ทักษะการจำแนกการจัดหมวดหมู่ การสรปุ การ ประยุกต์ใช้ และการคาดการณ์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการคิดระดับสูง การพัฒนาครูให้เป็นผู้มี ความรู้ความเข้าใจในการออกแบบกิจกรรมในจัดประสบการณ์และสร้างบรรยากาศในการกระตุ้นและ พัฒนาผเู้ รียนใหเ้ กดิ ทกั ษะการคิดข้นั สงู ดังกลา่ ว จะส่งผลต่อดกี ารเปน็ ครูท่ีดีมีคุณภาพต่อการพัฒนาทักษะ การคิดในศตวรรษที่ 21 จากเหตุผลข้างต้นจึงมีความจำเป็นที่จะพัฒนาทักษะการสอนคิดให้แก่ครูโดยเฉพาะครูผู้ ปฏิบตั กิ ารสอน ในระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน ซง่ึ ถอื ว่าเป็นการเตรียมครมู อื อาชีพสู่สำหรับการพฒั นาผู้เรียนในยุคศตวรรษ ที่ 21 (วิจารณ์ พานิช, 2556) เพื่อพัฒนาให้ครูมีความรู้ความเข้าใจในหลักและ วิธีการที่ถูกต้องในการ พัฒนาทักษะการคิดในศตวรรษที่ 21 ด้วยคาดหวังว่าครูสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้น พัฒนาทักษะกระบวนการคิดระดับสูงแก่นักเรียนได้ อันจะส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพการคิดของ นักเรยี น จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เป็นหน่วยงานต้นทางใน การผลติ ครู เมื่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเรว็ โดยเฉพาะการเจริญก้าวหน้าใน ศาสตร์หลายแขนงรวมถึงการวิธีการสอนมีการปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการของการ เรียนรู้ของผู้คนในโลกที่เรียนกว่ายุคดิจิทัล บทบาทหน้าที่วิธีการถ่ายทอดความรู้จากครูสู่ผู้เรียนก็ต้อง ปรับเปลย่ี นไปเพื่อให้สนองตอบต่อผู้เรียน การสง่ เสริมและพัฒนาครูประจำการให้มีความรู้ความเข้าใจต่อ สภาพ การปรับเปลยี่ นไป จงึ ถือว่าเปน็ ภาระหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ผลผลติ ทสี่ ง่ ออกไปสู่สถานศึกษาของ คณะครศุ าสตรเ์ ชน่ กัน 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อศกึ ษาสภาพปัญหาและความตอ้ งการของครูเกย่ี วกับการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนท่ี เนน้ การพัฒนาทกั ษะการคดิ ในศตวรรษท่ี 21 2.2 เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความสามารถของครูในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนท่ี เน้นการพฒั นาทกั ษะการคิดในศตวรรษท่ี 21 2.3 เพื่อศึกษาผลการพัฒนาครูตามรูปแบบการส่งเสริมความสามารถของครูในการออกแบบกิจกรรม การเรียนการสอนท่เี นน้ การพัฒนาทักษะการคดิ ในศตวรรษท่ี 21

5 3. วนั -เวลาดำเนนิ โครงการ: การศึกษาขอ้ มูลพ้นื ฐาน ระหว่างวนั ที่ 5 พฤศจกิ ายน – 15 ธันวาคม 2561 4. สถานทด่ี ำเนนิ โครงการ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี จงั หวดั หนองคาย และจังหวัดบงึ กาฬ 5. ผลลัพธ/์ ผลท่คี าดว่าจะได้รบั 5.1 ได้รูปแบบที่ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทกั ษะการออกแบบการเรียนการสอนของครซู ึ่งเป็นการ เตรียมครมู ืออาชพี ส่หู ้องเรียนสำหรบั รบั มือกับการพฒั นาผเู้ รียนในยุคปัจจุบนั และในศตวรรษที่ 21 5.2 ได้แนวทางเพื่อช่วยใหอ้ าจารยไ์ ด้แสวงหาวิธีปฏิบัตกิ ารแก้ปัญหาการจัดการเรยี นการสอนอย่างเปน็ ระบบสำหรบั การพฒั นานกั ศกึ ษาครใู นระดบั อุดมศึกษา 5.3 ได้แนวทางในการวจิ ัยและพฒั นากระบวนการเรียนรู้สำหรับนักศกึ ษาครู 5.4 ไดแ้ นวทางในการสร้างเครือขา่ ยการวจิ ยั สำหรับพัฒนาคณุ ภาพศึกษาระหวา่ งหนว่ ยงานผู้ผลิตครู และผ้ใู ช้ครู 6. หน่วยงานท่รี บั ผิดชอบ คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อดุ รธานี

สว่ นที่ 2 ระเบยี บและวธิ กี ารประเมนิ ผล การประเมินผลโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “Growth mindset ด้วยจิตตปัญญา)” สำหรับ นักเรียนโรงเรียนเจ็ดสี วันที่ 29 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2562 ณ โรงเรียนเจ็ดสีวิทยาคาร อำเภอเซกา จงั หวดั บงึ กาฬ กำหนดระเบยี บและวิธีการประเมินผล ดงั น้ี วัตถุประสงค์ของการประเมินผล เพื่อประเมินความพึงพอใจของผเู้ ข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏบิ ัติการ “Growth mindset ด้วย จติ ตปญั ญา)” สำหรับนักเรยี นโรงเรียนเจ็ดสี โดยประเมนิ ผลจากการตอบแบบสอบถามความพงึ พอใจของ ผู้เข้ารว่ มโครงการอบรม ขอบเขตของการประเมินผล 1. ขอบเขตด้านประชากร การเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากแบบประเมนิ กลมุ่ เปา้ หมาย คือ ผู้เข้าร่วมการอบรมจำนวน 176 คน 2. ขอบเขตด้านเนอ้ื หา 2.1 การประเมินความพงึ พอใจตอ่ การเข้าร่วมโครงการอบรม การประเมินใช้แบบ ประเมนิ ผลที่กำหนด โดยให้ผูเ้ ขา้ ร่วมอบรมเป็นผู้ประเมิน คณะผ้จู ัดดำเนินการแจกแบบประเมิน และ ให้ผูเ้ ข้าประชุมสัมมนา นำมาสง่ ในกล่องหลังเสร็จส้นิ แบบประเมนิ ทีใ่ ชเ้ ป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ แบบประเมิน ประกอบดว้ ย 2 สว่ น ไดแ้ ก่ ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลท่วั ไป ตอนท่ี 2 แบบประเมินความพึงพอใจ / ความรู้ ความเข้าใจ / การนำไปใช้ต่อการเขา้ ร่วมโครงการ หัวข้อในการประเมินประกอบด้วย ดังน้ี 1. ด้านความพึงพอใจ แบ่งเป็น 4 ด้านได้แก่ ด้านกระบวนการ/ ขั้นตอนการใหบ้ ริการ ด้านวิทยากร ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และด้านการให้บริการของเจ้าหน้าที่ 2. ด้านความรู้ ความเข้าใจ 3. ด้านการนำความรู้ไปใช้ ความพงึ พอใจด้านกระบวนการ / ข้นั ตอนการให้บริการ กำหนดหัวขอ้ การประเมิน 5 หัวข้อ ได้แก่ 1) การประชาสัมพันธ์การจัดโครงการ 2) ความสะดวกในการลงทะเบยี น 3) การดำเนินงานเปน็ ระบบและมขี ัน้ ตอนชัดเจน 4) รูปแบบของการจดั โครงการมีความเหมาะสม 5) ความเหมาะสมของวันและระยะเวลาในการอบรม ความพงึ พอใจด้านวทิ ยากรกลุ่ม กำหนดหวั ขอ้ ประเมิน 5 หวั ขอ้ ได้แก่ 1) การเตรียมตวั และความพร้อมของวิทยากร 2) การถา่ ยทอดของวทิ ยากร 3) สามารถอธิบายเนอ้ื หาไดช้ ดั เจนและตรงประเด็น

7 4) ใชภ้ าษาท่ีเหมาะสมและเข้าใจง่าย 5) การตอบคำถามของวิทยากร 6) เอกสารประกอบการบรรยาย ความพึงพอใจด้านสง่ิ อำนวยความสะดวก กำหนดหัวข้อประเมิน 5 หวั ขอ้ ไดแ้ ก่ 1) ความเหมาะสมของสถานที่ 2) ความสะอาดเรยี บรอ้ ยของสถานท่ี 3) ความเหมาะสมของส่อื และอปุ กรณ์ 4) ความชัดเจนของเอกสารประกอบการประชมุ 5) ความเหมาะสมของอาหารกลางวันและอาหารวา่ ง ความพงึ พอใจดา้ นการให้บรกิ ารของเจ้าหน้าท่ี กำหนดหวั ข้อประเมนิ 5 หวั ข้อ ได้แก่ 1) การใหบ้ ริการของเจา้ หนา้ ท่ี 2) การประสานงานของเจ้าหน้าที่โครงการ 3) การอำนวยความสะดวกของเจา้ หน้าท่ี 4) การให้คำแนะนำหรอื ตอบขอ้ ซกั ถามของเจ้าหนา้ ที่ ดา้ นความรู้ กำหนดหัวขอ้ ประเมนิ 5 หวั ขอ้ ไดแ้ ก่ 1) ความรู้ความเข้าใจในเร่ืองนี้ก่อนการอบรม 2) ความรู้ความเข้าใจในเรอ่ื งนี้หลังการอบรม 3) สามารถบอกประโยชน์ได้ 4) สามารถบอกข้อดีได้ 5) สามารถอธบิ ายรายละเอยี ดได้ 6) สามารถนำไปบูรณาการทางความคิดสกู่ ารทำงานเป็นทมี และพฒั นางานอยา่ งเป็นระบบ ดา้ นการนำความรไู้ ปใช้ กำหนดหวั ข้อประเมิน 4 หัวขอ้ ไดแ้ ก่ 1) สามารถนำความรู้ที่ไดร้ บั ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้ 2) สามารถนำความรู้ไปเผยแพร่ / ถ่ายทอดแก่ชุมชนได้ 3) สามารถให้คำปรกึ ษาแก่เพอ่ื นรว่ มงานได้ 4) มคี วามมัน่ ใจและสามารถนำความรู้ทไ่ี ดร้ บั ไปใช้ได้ 2.4 การประเมนิ ภาพรวม และข้อเสนอนอื่น ๆ วธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ได้ดำเนินการตามข้ันตอน ดงั นี้ 1. แจกแบบประเมินและให้ผูเ้ ข้ารบั การอบรมนำมาส่งในกล่องหลังเสรจ็ สน้ิ หัวข้อบรรยาย ซง่ึ ไดร้ บั คนื แบบประเมนิ จำนวน 136 ชุด คิดเป็นร้อยละ 77.27 2. รวบรวมเพ่อื นำไปวิเคราะหข์ อ้ มูล

8 วธิ กี ารวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. การวเิ คราะหข์ อ้ มูลเชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพ คณะผปู้ ระเมนิ ดำเนนิ การ ดงั นี้ 1.1 นำขอ้ สอบและแบบประเมินทีไ่ ด้รับคนื มาตรวจสอบความสมบูรณ์ 1.2 ขอ้ สอบทำการวเิ คราะห์โดยการหาคา่ เฉล่ีย ( X ) สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) 1.3 แบบประเมนิ ทำการวเิ คราะหข์ ้อมูลทางสถติ ดิ ้วยการใชโ้ ปรแกรมสำเร็จรูป โดยจำแนกแบบ ประเมิน ดงั นี้ 1.3.1 ข้อมูล แบบประเมนิ ความพึงพอใจ และแบบประเมินความสำเรจ็ โดยรวม ซ่งึ เปน็ แบบมาตราส่วน ประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดับ วเิ คราะหโ์ ดยการหาค่าเฉล่ยี ( X ) และส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนำขอ้ มลู มาวิเคราะหต์ ามเกณฑ์ ดังนี้ ค่าเฉลี่ย ระหว่าง 4.51–5.00 หมายถงึ ความคิดเห็นในระดับ มากทส่ี ดุ คา่ เฉลี่ย ระหว่าง 3.51–4.50 หมายถงึ ความคิดเห็นในระดบั มาก คา่ เฉลี่ย ระหวา่ ง 2.51–3.50 หมายถึง ความคิดเห็นในระดับ ปานกลาง คา่ เฉลย่ี ระหว่าง 1.51–2.50 หมายถึง ความคิดเหน็ ในระดบั นอ้ ย ค่าเฉล่ีย ระหว่าง 1.00–1.50 หมายถึง ความคิดเหน็ ในระดับ น้อยทีส่ ดุ 1.3.2 ข้อมูลความคิดเหน็ เพมิ่ เตมิ ของผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรม โดยการจดั กลุ่มขอ้ มลู และ เรียงลำดบั ความถีจ่ ากมากไปหาน้อย

14

ส่วนท่ี 3 ผลการศกึ ษา รายงานผลการประเมินผลโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “Growth mindset ด้วยจิตต ปัญญา” สำหรับนักเรียนโรงเรียนเจ็ดสี วันที่ 29 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม 2562 ณ โรงเรียนเจ็ดสี วิทยาคาร อำเภอเซกา จังหวดั บงึ กาฬ นำเสนอผลการวเิ คราะห์ แบ่งเปน็ 8 ตอน ไดแ้ ก่ ตอนท่ี 1 ข้อมลู ทั่วไปของผู้เขา้ ร่วมโครงการ ตอนที่ 2 ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของผู้เขา้ ร่วมโครงการ ตอนที่ 3 ผลการประเมินด้านความรู้ ความเขา้ ใจของผู้เข้ารว่ มโครงการ ตอนท่ี 4 ผลการประเมนิ เกย่ี วกบั การนำความรไู้ ปใชข้ องผูร้ ว่ มโครงการ ตอนที่ 5 ผลการประเมนิ ภาพรวมของการจดั โครงการ ตอนที่ 6 ขอ้ เสนอแนะอน่ื ๆ ตอนท่ี 7 สรุปจำนวนและรายชอื่ ผเู้ ข้าร่วมโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร “Growth mindset ดว้ ยจิตตปญั ญา)” สำหรับนักเรียนโรงเรียนเจด็ สี

10 ตอนที่ 1 ข้อมลู ทว่ั ไปของผู้เขา้ รว่ มโครงการอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร “Growth mindset ดว้ ยจติ ตปญั ญา” สำหรับนกั เรียนโรงเรียนเจด็ สี ผลการสำรวจขอ้ มลู ทัว่ ไปของผู้เขา้ ร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร “Growth mindset ด้วยจิตตปญั ญา” สำหรบั นกั เรียนโรงเรยี นเจด็ สี มีผลดังแสดงในตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 จำนวนและร้อยละของข้อมูลท่ัวไปของผทู้ ่ีเข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการ “Growth mindset ด้วยจิตตปัญญา)” สำหรบั นักเรียนโรงเรยี นเจ็ดสี ข้อมลู ท่วั ไป จำนวน (คน) ร้อยละ 1. เพศ 45 33.09 - ชาย 91 66.91 - หญิง รวม 136 100 จากตารางที่ 1 พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการ: อบรมเชิงปฏิบัติการ “Growth mindset ด้วยจิตต ปัญญา)” สำหรับนกั เรยี นโรงเรียนเจ็ดสี เป็นชาย 45 คน คิดเป็นร้อยละ 33.09 เพศหญิง 91 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 66.91 ตอนท่ี 2 ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เขา้ รว่ มโครงการ ผลการประเมินความพึงพอใจในดา้ นตา่ ง ๆ เรียงลำดบั ผลการวิเคราะห์ตามหวั ข้อการ บรรยายในกำหนดการฝกึ อบรม ไดแ้ ก่ ความพงึ พอใจดา้ นกระบวนการ / ขน้ั ตอนการใหบ้ ริการ กำหนดหัวขอ้ การประเมิน 5 หัวขอ้ ไดแ้ ก่ 1) การประชาสมั พันธก์ ารจัดโครงการ 2) ความสะดวกในการลงทะเบยี น 3) การดำเนินงานเปน็ ระบบและมีขั้นตอนชัดเจน 4) รปู แบบของการจดั โครงการมคี วามเหมาะสม 5) ความเหมาะสมของวันและระยะเวลาในการอบรม ความพึงพอใจดา้ นวทิ ยากร กำหนดหวั ข้อประเมิน 5 หัวข้อ ได้แก่ 1) การเตรียมตวั และความพรอ้ มของวทิ ยากร 2) การถา่ ยทอดของวิทยากร 3) สามารถอธิบายเน้ือหาได้ชดั เจนและตรงประเด็น 4) ใช้ภาษาท่เี หมาะสมและเขา้ ใจง่าย

11 5) การตอบคำถามของวิทยากร ความพงึ พอใจด้านสิ่งอำนวยความสะดวก กำหนดหวั ขอ้ ประเมิน 5 หัวขอ้ ได้แก่ 1) ความเหมาะสมของสถานท่ี 2) ความสะอาดเรียบรอ้ ยของสถานท่ี 3) ความเหมาะสมของสอ่ื และอปุ กรณ์ 4) ความเหมาะสมของอาหารกลางวนั และอาหารว่าง ความพึงพอใจด้านการให้บริการของเจ้าหนา้ ที่ กำหนดหวั ข้อประเมิน 5 หัวข้อ ไดแ้ ก่ 1) การใหบ้ ริการของเจ้าหนา้ ที่ 2) การประสานงานของเจา้ หนา้ ท่ีโครงการ 3) การอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าท่ี 4) การให้คำแนะนำหรอื ตอบข้อซักถามของเจ้าหนา้ ท่ี ดังแสดงในตารางท่ี 2-6 ตารางท่ี 2 ค่าเฉลยี่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของผูเ้ ข้ารว่ มโครงการโดยรวม ระดับความคดิ เหน็ รายการประเมนิ คา่ เฉลีย่ ส่วนเบยี่ งเบน แปลผล มาตรฐาน 1) ดา้ นกระบวนการ / ขั้นตอนการใหบ้ ริการ 2) ด้านวทิ ยากร 4.45 0.56 มาก 3) ดา้ นส่งิ อำนวยความสะดวก 4) ด้านการใหบ้ รกิ ารของเจา้ หน้าท่ี 4.51 0.57 มากทส่ี ุด คา่ เฉล่ียรวม 4.46 0.57 มาก 4.49 0.50 มาก 4.48 0.55 มาก จากตารางท่ี 2 พบวา่ ผลการประเมินผลการประเมนิ ความพึงพอใจของผู้เขา้ รว่ มโครงการ ในภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ( X = 4.48, S.D.= 0.55) เม่ือพิจารณาเปน็ รายดา้ น เรียงลำดบั ค่าเฉล่ีย จากมากไปน้อย พบวา่ ความพึงพอใจด้านวิทยากร อยูใ่ นระดบั มากที่สุด ( X = 4.51, S.D.= 0.57) มี ค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ ความพึงพอใจด้านด้านการให้บริการของเจ้าหน้าที่อยู่ในระดับมาก ที่สุด ( X = 4.49, S.D.= 0.50) และรายการประเมินเกี่ยวกับความพึงพอใจด้านกระบวนการ / ขนั้ ตอนการให้บริการอยูใ่ นระดับมาก ( X =4.45, S.D.= 0.56) มีค่าเฉลี่ยน้อยทส่ี ุด

12 ตารางที่ 3 คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจของผู้เขา้ ร่วมโครงการดา้ น กระบวนการ/ ข้นั ตอนการใหบ้ รกิ าร ระดบั ความคิดเห็น รายการประเมิน คา่ เฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบน แปลผล มาตรฐาน 1) การประชาสัมพนั ธก์ ารจดั โครงการ 2) ความสะดวกในการลงทะเบยี น 4.52 0.58 มากที่สุด 3) การดำเนินงานเป็นระบบและมขี น้ั ตอนชดั เจน 4) รปู แบบของการจัดโครงการมีความเหมาะสม 4.45 0.42 มาก 5) ความเหมาะสมของวนั และระยะเวลาในการอบรม 4.30 0.63 มาก คา่ เฉลี่ยรวม 4.54 0.55 มากทส่ี ุด 4.44 0.64 มาก 4.45 0.56 มาก จากตารางที่ 3 พบว่า ผลการประเมินผลการประเมิน ความพึงพอใจด้านกระบวนการ / ขั้นตอนการให้บริการในภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ( X = 4.45, S.D.= 0.56) เมื่อพิจารณาเป็น รายการ เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย พบว่า การดำเนินงานเป็นระบบและมีขั้นตอนชดั เจนอยู่ ในระดับมาก ( X = 4.54, S.D.= 0.55) มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ การประชาสัมพนั ธ์การจัด โครงการ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.52, S.D.= 0.58) และ 3) การดำเนินงานเป็นระบบและมี ขน้ั ตอนชดั เจน อยใู่ นระดบั มาก ( X = 4.30, S.D.= 0.63) มคี า่ เฉลี่ยน้อยท่สี ดุ

13 ตารางท่ี 4 ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของผ้เู ขา้ รว่ มโครงการด้านความ พึงพอใจด้านวิทยากร ระดับความคิดเหน็ รายการประเมิน ค่าเฉลีย่ ส่วนเบีย่ งเบน แปลผล มาตรฐาน 1) การเตรยี มตัวและความพรอ้ มของวทิ ยากร 2) การถา่ ยทอดของวทิ ยากร 4.48 0.60 มาก 3) สามารถอธบิ ายเนอื้ หาไดช้ ัดเจนและตรงประเดน็ 4) ใช้ภาษาท่ีเหมาะสมและเขา้ ใจงา่ ย 4.51 0.58 มากทสี่ ดุ 5) การตอบคำถามของวทิ ยากร 4.49 0.45 มาก คา่ เฉลย่ี รวม 4.52 0.63 มากทส่ี ดุ 4.54 0.60 มากทส่ี ดุ 4.51 0.57 มากทสี่ ดุ จากตารางที่ 4 พบว่า ผลการประเมินผลการประเมิน ความพึงพอใจด้านวิทยากร ใน ภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ( X = 4.51, S.D.= 0.57) เมื่อพิจารณาเป็นรายการ เรียงลำดับ ค่าเฉล่ยี จากมากไปนอ้ ย พบวา่ การตอบคำถามของวิทยากรอยู่ในระดับมากทส่ี ุด ( X = 4.54, S.D.= 0.60) มคี ่าเฉล่ียมากที่สดุ รองลงมาคือ ใช้ภาษาทเ่ี หมาะสมและเข้าใจงา่ ยอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด ( X = 4.52, S.D.= 0.63) และการเตรียมตัวและความพร้อมของวิทยากร อยู่ในระดับมาก ( X = 4.48, S.D.= 0.60) มคี า่ เฉลยี่ น้อยที่สดุ

14 ตารางที่ 5 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของความพึงพอใจของผู้เข้ารว่ มโครงการดา้ นความ พึงพอใจด้านส่งิ อำนวยความสะดวก ระดับความคดิ เหน็ รายการประเมนิ คา่ เฉลยี่ ส่วนเบี่ยงเบน แปลผล มาตรฐาน 1) ความเหมาะสมของสถานท่ี 2) ความสะอาดเรยี บรอ้ ยของสถานที่ 4.53 0.58 มาก 3) ความเหมาะสมของส่อื และอปุ กรณ์ 4) ความเหมาะสมของอาหารกลางวันและอาหารวา่ ง 4.47 0.42 มาก ค่าเฉลย่ี รวม 4.43 0.63 มาก 4.41 0.64 มาก 4.46 0.57 มาก จากตารางที่ 5 พบว่า ผลการประเมินผลการประเมิน ความพึงพอใจด้านสิ่งอำนวยความ สะดวก ในภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ( X = 4.46, S.D.= 0.57) เมื่อพิจารณาเป็นรายการ เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย พบว่า ความเหมาะสมของสถานที่ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.53, S.D.= 0.58) มีค่าเฉล่ียมากที่สุด รองลงมาคือ ความสะอาดเรียบร้อยของสถานที่อยู่ในระดับ มาก ( X = 4.47, S.D.= 0.42) และความเหมาะสมของอาหารกลางวันและอาหารว่างอยู่ในระดับ มาก ( X =4.41, S.D.= 0.64) มีค่าเฉลย่ี น้อยทสี่ ุด ตารางที่ 6 คา่ เฉลีย่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจของผู้เขา้ รว่ มโครงการดา้ นความ พึงพอใจด้านการใหบ้ รกิ ารของเจ้าหนา้ ท่ี ระดับความคดิ เหน็ รายการประเมนิ ค่าเฉล่ยี ส่วนเบ่ยี งเบน แปลผล มาตรฐาน 1) การใหบ้ ริการของเจา้ หน้าท่ี 2) การประสานงานของเจ้าหนา้ ทโ่ี ครงการ 4.54 0.45 มากทส่ี ุด 3) การอำนวยความสะดวกของเจา้ หน้าท่ี 4) การใหค้ ำแนะนำหรอื ตอบข้อซักถามของเจ้าหนา้ ท่ี 4.42 0.55 มาก ค่าเฉลี่ยรวม 4.52 0.52 มากทีส่ ุด 4.46 0.48 มาก 4.49 0.50 มาก จากตารางที่ 6 พบว่า ผลการประเมิน ความพึงพอใจด้านการให้บริการของเจา้ หน้าที่ ใน ภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ( X = 4.49, S.D.= 0.50) เมื่อพิจารณาเป็นรายการ เรียงลำดับ

15 คา่ เฉล่ียจากมากไปน้อย พบว่า การใหบ้ ริการของเจ้าหน้าท่ีอยใู่ นระดับมากที่สดุ ( X = 4.54, S.D.= 0.45) มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ การอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ อยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.52, S.D.= 0.52) และการประสานงานของเจ้าหนา้ ที่โครงการ อย่ใู นระดับมาก ( X =4.42, S.D.= 0.55) มคี ่าเฉลยี่ น้อยท่สี ุด ตอนที่ 3 ผลการประเมินด้านความรู้ ความเข้าใจของผู้เข้าร่วมโครงการ ผลการประเมนิ ดา้ นความรู้ ความเข้าใจ เรียงลำดับผลการวเิ คราะห์ตามหวั ขอ้ การบรรยายใน กำหนดการฝกึ อบรม ได้แก่ 1) ความรูค้ วามเข้าใจในเร่อื งนก้ี อ่ นการอบรม 2) ความรู้ความเข้าใจในเร่ืองน้หี ลงั การอบรม 3) สามารถบอกประโยชน์ได้ 4) สามารถบอกข้อดไี ด้ 5) สามารถอธิบายรายละเอียดได้ 6) สามารถนำไปบรู ณาการทางความคิดสู่การทำงานเป็นทมี และพฒั นางานอยา่ งเปน็ ระบบ ดงั แสดงในตารางที่ 7-8 ตารางที่ 7 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความรู้ ความเข้าใจกอ่ น-หลังของผู้เข้ารว่ ม โครงการ ระดับความคดิ เห็น รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย สว่ นเบย่ี งเบน แปลผล 1) ความรคู้ วามเข้าใจในเรือ่ งนก้ี อ่ นการอบรม มาตรฐาน 3.55 0.70 มาก 2) ความรูค้ วามเข้าใจในเรือ่ งนห้ี ลังการอบรม 4.45 0.58 มาก ความรคู้ วามเขา้ ใจเพ่มิ ขนึ้ เฉล่ีย 0.90 0.12 จากตารางท่ี 7 พบว่า ในภาพรวมผูเ้ ข้ารว่ มโครงการมคี วามรูค้ วามเข้าใจ ก่อนการอบรมอยใู่ น ระดับมาก ( X = 3.55, S.D.= 0.70) มีความรู้ความเข้าใจ หลังการสัมมนาอยู่ในระดับมาก ( X = 4.45 S.D.= 0.58) และมีความรู้ความเข้าใจเพ่มิ ขน้ึ เฉลีย่ 0.90

16 ตารางที่ 8 คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของความรู้ ความเข้าใจของผู้เข้าร่วมโครงการโดยรวม ระดบั ความคดิ เห็น รายการประเมิน ค่าเฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบน แปลผล มาตรฐาน 1) สามารถบอกประโยชน์ได้ 2) สามารถบอกข้อดีได้ 4.58 0.50 มากท่สี ุด 3) สามารถอธบิ ายรายละเอยี ดได้ 4.52 0.45 มากที่สดุ 4) สามารถนำไปบรู ณาการทางความคิดสูก่ ารทำงานเป็น ทมี และพัฒนางานอยา่ งเป็นระบบ 4.45 0.48 มาก คา่ เฉลยี่ รวม 4.49 0.55 มาก 4.51 0.50 มากทีส่ ดุ จากตารางที่ 8 พบว่า ผลการประเมิน ความรู้ความเขา้ ใจของผ้รู ว่ มโครงการ ในภาพรวมอยู่ ในระดับมาก ( X = 4.51, S.D.= 0.50) เมื่อพจิ ารณาเป็นรายการ เรยี งลำดับค่าเฉลีย่ จากมากไปน้อย พบว่า ผู้เขา้ รว่ มโครงการสามารถบอกประโยชน์ได้ อยูใ่ นระดับมากทสี่ ดุ ( X = 4.56, S.D.= 0.50) มีคา่ เฉลี่ยมากท่ีสุด รองลงมาคอื สามารถบอกข้อดไี ด้อยู่ในระดับมาก ( X = 4.52, S.D.= 0.45) และ สามารถอธบิ ายรายละเอียดได้ อยใู่ นระดบั มาก ( X =4.45, S.D.= 0.48) มคี า่ เฉลี่ยน้อยทีส่ ุด ตอนที่ 4 ผลการประเมินการนำความรไู้ ปใช้ประโยชนข์ องผู้เข้าร่วมโครงการ ผลการประเมนิ การนำไปใช้ เรียงลำดับผลการวเิ คราะหต์ ามหวั ข้อการบรรยายในกำหนดการ ฝึกอบรม ไดแ้ ก่ 1) สามารถนำความรู้ที่ได้รบั ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการปฏิบตั ิงานได้ 2) สามารถนำความรู้ไปเผยแพร่ / ถ่ายทอดแก่ชุมชนได้ 3) สามารถใหค้ ำปรกึ ษาแก่เพือ่ นร่วมงานได้ 4) มีความม่นั ใจและสามารถนำความรู้ทีไ่ ดร้ ับไปใชไ้ ด้ ดังแสดงในตารางท่ี 9

17 ตารางที่ 9 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานผลการประเมนิ การนำความรู้ไปใช้ของผ้เู ข้าร่วม โครงการ ระดบั ความคดิ เห็น รายการประเมิน ค่าเฉล่ีย สว่ นเบีย่ งเบน แปลผล มาตรฐาน 1) สามารถนำความรู้ที่ได้รบั ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการ ปฏิบตั งิ านได้ 4.54 0.45 มากทส่ี ดุ 2) สามารถนำความรู้ไปเผยแพร่ / ถา่ ยทอดแก่ชุมชนได้ 4.42 0.55 มาก 3) สามารถใหค้ ำปรกึ ษาแกเ่ พือ่ นได้ 4.52 0.52 มากทส่ี ดุ 4) มคี วามม่นั ใจและสามารถนำความรู้ทไี่ ดร้ ับไปใชไ้ ด้ 4.46 0.48 มาก ค่าเฉลย่ี รวม 4.49 0.50 มาก จากตารางที่ 9 พบว่า ผลการประเมิน ผลการประเมินการนำความรู้ไปใช้ของผู้ร่วม โครงการในภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ( X = 4.49, S.D.= 0.50) เมอ่ื พิจารณาเป็นรายการ เรียงลำดบั ค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการ ปฏิบัติงานได้อยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.54, S.D.= 0.45) มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ สามารถให้คำปรึกษาแก่เพื่อนได้อยู่ในระดับมากที่สุด ( X = 4.52, S.D.= 0.52) และมีความมั่นใจ และสามารถนำความรไู้ ปเผยแพร่ / ถ่ายทอดแก่ชมุ ชนได้ อยใู่ นระดับมาก ( X =4.42, S.D.= 0.55) มี คา่ เฉลี่ยนอ้ ยทีส่ ุด ตอนที่ 5 ผลการประเมนิ ความสำเร็จภาพรวมของการจดั การอบรม ผลการประเมนิ ความสำเรจ็ ภาพรวมของโครงการอบรมเชิงปฏิบตั กิ าร “Growth mindset ดว้ ย จติ ตปญั ญา)” สำหรบั นกั เรียนโรงเรียนเจ็ดสี ดังแสดงในตารางที่ 10 ตารางท่ี 10 คา่ เฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการประเมินความสำเร็จภาพรวมของการจัดการ อบรม ระดับความคดิ เห็น รายการประเมิน คา่ เฉล่ยี สว่ นเบยี่ งเบน แปลผล ความสำเรจ็ ภาพรวมของการจดั การอบรม มาตรฐาน 4.56 0.50 มากทีส่ ดุ คา่ เฉล่ยี รวม 4.56 0.50 มากทีส่ ุด

18 จากตารางที่ 11 พบว่า ผลการประเมนิ ความสำเรจ็ ภาพรวมของการจดั การอบรม ในครั้ง น้ีภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( X = 4.56, S.D.= 0.50) ตอนท่ี 6 ข้อเสนอแนะอืน่ ๆ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม - ควรมีการจดั โครงการอยา่ งต่อเนอ่ื ง - อยากเพ่ิมเวลาของการทำกจิ กรรม ข้อเสนอแนะ -

19 ตอนท่ี 7 การสะท้อนผลจากกจิ กรรม ผลสะท้อนของนกั เรียนทีเ่ ขา้ รว่ มโครงการ เสียงสะท้อนจากท่าน ผอ. : จากการเขา้ รว่ มโครงการครั้งนี้ ถอื ว่าโรงเรยี นไดส้ รา้ งนวตั กรรมข้นึ ภายในโรงเรียน ได้จัดทำ PLC พรอ้ มกันของคณะครู ถอื เปน็ การเปลี่ยนวถิ ีชวี ิตของทุกคนในโรงเรียน ซึ่งจะเห็นได้จากการท่ีกลมุ่ นักเรียน ทไ่ี มไ่ ด้เข้ารว่ มอบรม จะเห็นแบบอย่างพฤตกิ รรมที่เปล่ยี นไปในทางทดี่ ขี องกลมุ่ นกั เรียนที่เขา้ ร่วมอบรม ทำ ให้เกดิ ความตระหนกั ในการเปลยี่ นพฤตกิ รรมไปสูพ่ ฤติกรรมท่พี ึงประสงค์มากขนึ้ เปน็ ลกั ษณะงกู ินหาง ทำ ให้นักเรียนสว่ นใหญเ่ ปล่ยี นพฤตกิ รรมไปในทางทดี่ ีขนึ้ หลงั จากการอบรม ทางโรงเรียนไดส้ ร้างแนวทางการปฏิบัติในการเข้าช้นั เรียนขึ้นมาใหม่ คือ จาก เดิมที่จะมเี สียงออดดังเตือนเพ่ือเปน็ สัญญาณให้รู้ถงึ เวลาเข้าชั้นเรียน เปลี่ยนเป็นไม่มีเสยี งออดเตอื น เป็น การฝกึ ให้นักเรยี นสร้างความตระหนกั รู้ดว้ ยตนเอง มีการเตอื นตนเอง และรับผดิ ชอบตนเองในการเข้าชั้น เรียนให้ตรงเวลา ซ่งึ จากการสงั เกต พบว่า นักเรียนสามารถจัดการและบรหิ ารการเขา้ ช้ันเรียนตรงเวลาได้ เป็นอยา่ งดี ถอื เปน็ การปลูกฝังในเรอื่ งคณุ ธรรม จริยธรรมได้เปน็ อย่างดี เปน็ การเร่มิ ต้นจากจดุ เลก็ ๆ ที่เช่ือ วา่ จะนำไปสู่เรอ่ื งอื่นๆ ต่อไป ถอื เป็นการสร้างวินัย และเสริมสรา้ งความรบั ผดิ ชอบของนักเรยี นเป็นอยา่ งดี เสียงสะท้อนจากนกั เรยี น ผลจากการทไี่ ม่มีเสยี งออดดงั เตอื นเพอ่ื เปน็ สัญญาณใหร้ ถู้ ึงเวลาเขา้ ช้นั เรียน - ทำให้ตนเองตระหนักรู้ในตนมากยง่ิ ข้ึน รู้จกั สงั เกตมากขนึ้ รู้หนา้ ท่ีในตนเอง เกิดความภูมิใจใน ตนเองมากขึน้ - ทำใหต้ นเองมคี วามกระตอื รือรน้ มากข้ึน รูต้ วั ตลอดเวลา - มคี วามใสใ่ จกับส่งิ รอบข้างมากขึ้น - ได้รบั คำชมเชยจากครผู สู้ อน ร้สู ึกภมู ใิ จและประทับใจทีต่ นเองสามารถทำได้ ผลท่ีเกดิ ข้นึ ในตวั นักเรยี นหลงั จากได้เขา้ รว่ มอบรม/สิ่งที่เกดิ การเปล่ยี นแปลงข้ึนในตนเอง - การรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของครู ทำให้กล้าที่จะเข้าไปขอคำปรึกษา มีการวางแผนในการ ทำงาน ทำการบ้าน วางแผนในการเตรียมตัวสำหรับการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย คือ ตนเองสนใจ เรียนทางดา้ นประวัติศาสตร์ กเ็ ริม่ หาหนงั สอื ประวัติศาสตร์มาอ่าน สบื ค้นข้อมลู ตา่ งๆ รวมถึงฝึกอ่าน และ ทบทวนภาษาอังกฤษซ่ึงถือวา่ เปน็ ทักษะทจ่ี ำเป็นในการศกึ ษาระดับทส่ี งู ข้ึน - คุณครูเปลยี่ นไปจากเดิม จากทเี่ คยดดุ า่ ก็พูดจาดขี ึน้ ยม้ิ แยม้ แจ่มใสข้นึ ทำให้กลวั ครนู ้อยลง กล้า ทีจ่ ะเข้าหามากข้ึน ส่วนในการทำงานกล่มุ จากเดมิ ทีไ่ มค่ อ่ ยเข้าใจกับเพ่ือนๆ กม็ กี ารปรบั ตัวเข้าหากันมาก ข้นึ เรยี นรู้ลกั ษณะนิสัยของเพ่อื นมากข้ึน ทำให้เกดิ ความเข้าใจตรงกนั และเขา้ ใจกันมากขน้ึ - เป็นคนเปดิ เผยมากข้นึ กลา้ พูด กลา้ คิดมากข้ึน หากมเี ร่ืองอะไร สามารถที่จะเข้าไปเล่าและขอ คำปรกึ ษาจากครู และเพอื่ นๆ ได้มากข้ึน - พฤติกรรมของตนเองเปลีย่ นไปจากเดิม เช่น แต่เดิมเป็นคนตืน่ สาย ก็ตื่นเช้าขึน้ ทำให้ตระหนัก ว่าการที่เราต่นื เช้า ทำให้เราได้มเี วลาในการกระทำส่ิงตา่ งๆ ไดม้ ากขึ้น มีความรบั ผิดชอบมากขน้ึ - ตนเองมคี วามรับผดิ ชอบมากขึ้น คือ ตอนกลางคืนจะนอนดกึ เพราะเล่นเกม แต่ตอนนี้เลิกนอน ดกึ และขยันทำการบา้ นมากข้ึน

20 - จากเดมิ ท่ีตนเองตดิ กีฬาฟตุ บอลมาก จะใช้เวลาสว่ นใหญ่เล่นฟุตบอล เลยไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ เลย แต่มาระยะหลังเริ่มลดเวลาในการเล่นฟุตบอลลง และหันมาทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้นเพื่อเป็นการ เตรียมตวั สำหรบั การศึกษาต่อในระดบั ท่สี งู ขึน้ มเี ปา้ หมายในชีวติ มากขึน้ - ตนเองมีความคดิ สร้างสรรค์มากขึน้ ในการทำงานกลุ่มมกี ารยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผู้อืน่ มาก ขึ้น กลา้ ทีจ่ ะแสดงความคิดต่างๆ ในการทำงานมากข้นึ จากเดิมที่จะให้เพ่ือนคดิ เปน็ สว่ นใหญ่ - แตเ่ ดิมตนเองเปน็ คนทำอะไรไมค่ ดิ ก่อนทำ ไมม่ ีการวางแผน เชน่ เรื่องการซื้อของ กจ็ ะซ้ือของใน สิ่งที่ตนเองอยากได้ โดยไม่ไดค้ ำนึงว่าส่ิงนัน้ มีความจำเป็นหรือไม่ และไม่คิดว่าพ่อแมจ่ ะเดือดร้อนในเร่อื ง การเงินหรือไม่ แต่ตอนนี้เรื่องมีความคิดในการวางแผน การมีเหตุผลในการใช้จ่าย ใช้จ่ายในสิ่งของที่ จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก ช่วยพ่อแม่ประหยัดเงิน และสามารถจัดลำดับ ความสำคญั ของชีวิตได้มากขนึ้ - จากเดิมที่ตนเองไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่นๆ ก็เริ่มปรับปรุงตนเอง ยอมรับฟัง เหตุผลของคนรอบข้างมากข้ึน และทำตามมติของเสยี งส่วนใหญ่ - จากเดิมเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง ไมร่ บั ฟงั เหตผุ ลของคนอืน่ ตอ่ มาไดเ้ ปล่ยี นแปลงตนเอง เป็นคน ใจเย็นขึ้น ไม่เอาความคิดของตนเองเป็นหลัก และมีการเตรียมตวั วางแผนในชีวิตมากขึ้น เตรียมตัวอ่าน หนงั สือ มกี ารกำหนดเป้าหมายในชีวติ ชดั เจนมากขน้ึ - จากเดิมตนเองเปน็ คนใจร้อน พูดจาไม่เพราะ ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอ่ืน ก็เปลี่ยนไปเปน็ คนใจเยน็ ข้นึ พูดจาไพเราะมากขึน้ และรบั ฟังความคดิ เห็นของคนอน่ื มากขน้ึ - จากเดิมเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไร เป้าหมายไม่ชัดเจน มีการเปลี่ยนไปคือ มีแรงผลักดันมากข้ึน มเี ป้าหมายมากขนึ้ รจู้ กั ตนเองมากขนึ้ เขา้ ใจเพอื่ นมากข้นึ และสามารถอย่รู ่วมกันกับอ่ืนไดม้ ากขึน้ - เดมิ ตนเองเป็นคนมีเป้าหมาย แต่เป็นเป้าหมายที่เล่ือนลอย แต่เมื่อเขา้ รบั การอบรมทำให้ตนเอง มีเปา้ หมายทแี่ นน่ อนมากขน้ึ ผลสะท้อนจากคณะทำงานในภาพรวม โครงการพฒั นาทกั ษะการคดิ สำหรบั ผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 ในฐานะของกระบวนกรและคณะ ดำเนนิ งานก่อนอนื่ เลยต้องขอ Check-in ก่อน สำหรบั ความรู้สึกของตัวเองที่มีตอ่ โครงการ รสู้ กึ ดีใจมากที่ ได้ทำโครงการพัฒนาทักษะการคดิ สำหรับผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 เพราะโดยส่วนตัวแล้วรสู้ กึ วา่ น่ีคืออกี หน่ึงทางเลือกสำหรบั การพัฒนาประเทศชาติและบ้านเมอื งของเราท่กี ำลังเผชิญวิกฤตใิ นหลายๆด้านอยูใ่ น ขณะนี้ผา่ นการบม่ เพาะและพฒั นาทักษะการคิดใหก้ ับผู้เรียน โดยดำเนนิ การพัฒนาและสรา้ งทักษะการคดิ นใี้ หก้ บั ครูโดยใช้โรงเรยี นและชุมชนเป็นฐาน จากการติดตามผลลัพธ์ทางการศกึ ษาในช่วงทผี่ ่านมากับ ความเปลยี่ นแปลงท่ีรวดเรว็ น้นั พบภาพสะทอ้ นของปญั หาสังคมและการศึกษาไทยในปัจจบุ นั ที่น่าจะเปน็ ตัวกำหนดความต้องการในการพฒั นาทกั ษะนไ้ี ด้เปน็ อยา่ งดี จากการวจิ ยั ของ ร.ต.อ.หญงิ อาภรณ์ รัตนม์ ณี (2553) ทไ่ี ดช้ ี้ใหเ้ ห็นภาพรวมทางการศึกษาไทยที่มผี ลสมั ฤทธ์ิในการศึกษาอยู่ในระดบั ต่ำจนนา่ เปน็ หว่ ง โดยแสดงผลจากการติดตามการปฏิรปู การศกึ ษาในรอบ 6 ปหี ลังการประกาศใช้ พ.ร.บ. การศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542 จากการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศกึ ษาทงั้ 17,562 แห่งทว่ั ประเทศ คิดเป็นร้อย ละ 49.1 ของโรงเรียนทั้งหมด พบวา่ 1.การจดั การเรียนการสอนของครกู วา่ 70 % ยังยดึ ผสู้ อนเป็นสำคัญ 2.การจัดกจิ กรรมที่กระตุน้ ผเู้ รียนใหร้ จู้ ักคดิ วิเคราะห์ คดิ สร้างสรรค์ คดิ แกป้ ัญหาและตดั สินใจ มคี ุณภาพ

21 อย่ใู นระดับร้อยละ 13.5 การประเมนิ คณุ ภาพทางด้านผู้เรยี นพบวา่ ยังมีผลสมั ฤทธ์ิด้านการเรยี นระดบั ตำ่ มากในทุกกลุม่ โดยเฉพาะความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ มีวจิ ารณญาณและความคิด สรา้ งสรรค์ มคี ุณภาพดเี พยี งรอ้ ยละ 11.1 มีทกั ษะในการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง รักการเรยี นรแู้ ละ พฒั นาตนเองอย่างต่อเนอื่ ง มคี ุณภาพดเี พียงร้อยละ 26.5 ของสถานศึกษาท้งั หมด (ไพฑรู ย์ สินลา รตั น์,2560,น.13) จากข้อมลู ดังกล่าวแสดงใหเ้ ห็นถงึ กระบวนการพฒั นาทักษะดา้ นการคิดของผเู้ รียนยังคง อ่อนดอ้ ยอยู่มาก ซ่งึ ปญั หาดา้ นทักษะการคดิ ของผู้เรยี นนน้ั มผี ลกระทบในระดบั ปัจเจก ปญั หานี้ยงั ส่งผล กระทบในภาพรวมถึงวกิ ฤตทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจอยู่รอบด้าน ซ่ึงปัญหาดังกลา่ วทไ่ี ดก้ ล่าวมาน้ี สง่ ผลตอ่ กระทบตอ่ ความกา้ วหนา้ ของประเทศชาติ ทส่ี ืบเน่ืองมาจากคนไทยน้ันขาดความรูค้ วามสามารถใน การสรา้ งสรรคช์ ้ินงาน นวัตกรรมใหม่ๆทสี่ อดคลอ้ งกับสภาพสงั คมและส่งิ แวดล้อมตามบรบิ ทของประเทศ ไทย เรากลายเปน็ ผู้บรโิ ภคไปโดยปริยาย จากข้อมูลดงั กล่าวเราจะเห็นว่าส่วนหนึง่ ทีส่ ำคญั ของปัญหา มี จุดเริม่ ต้นจากวัฒนธรรมการจดั การเรียนการสอนในชัน้ เรียนของเราทค่ี รูผ้สู อนจำนวนมากยังยึดตนเองเป็น ศูนย์กลาง และมีรูปแบบการจดั การเรยี นร้ทู ่เี น้นความรสู้ ำเร็จรูป หรอื ความรู้หนงึ่ ชดุ มาถา่ ยทอดให้ผู้เรียนที่ มีความหลากหลายทง้ั ในแงข่ อง รูปแบบการเรียนรทู้ แ่ี ตกตา่ งกนั (Learning Styles) และประสบการณ์ ของผูเ้ รียนทแ่ี ตกตา่ งกนั (Experience) ครขู าดความรู้ความสามารถในการออกแบบการเรยี นร้ทู ีก่ ระตุน้ ให้ ผเู้ รยี นเกดิ ความสนใจต่อบทเรยี น เพ่ือพฒั นาและยกระดบั การคดิ การเชอื่ มโยงความร้กู บั ชวี ติ และ ประสบการณ์ของผเู้ รียนรวมถงึ การเช่อื มโยงบทเรยี นถงึ ชุมชนของตนเอง นอกเหนือจากการออกแบบ การเรยี นรู้ เราพบข้อมูลว่าครจู ำนวนมากหมดไฟในการจดั การเรียนการสอน ครหู ลายท่านต้องใชว้ ธิ กี าร เดมิ ๆในการจดั การเรยี นการสอนกับผ้เู รียนในยุกต์ใหมๆ่ มาเรือ่ ยๆ และไมเ่ พียงเท่าน้ันครหู ลายทา่ นยังใช้ วิธีการเดิมๆในการจัดการกบั พฤตกิ รรมที่เปน็ ปญั หาของผู้เรียน คือ พฤติกรรมการมาเรยี นสาย มาชา้ ไม่ส่ง งาน ตอ่ ต้าน กา้ วรา้ ว ในระหวา่ งเรียน รวมถงึ การแต่งกายที่ไมส่ ภุ าพ ด้วยการตำหนิตอ่ วา่ เปรียบเทียบ ทำ โทษ นี่คอื ปัญหาเพิม่ เติมของครูนอกเหนอื จากการออกแบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จากการไดพ้ ดู คุย กับครหู ลายๆท่าน งานท่โี รงเรียนเปน็ อกี คร่ึงหนงึ่ ของชีวิต และอกี คร่ึงหนง่ึ ของชวี ติ ครคู อื ภาระหนา้ ท่ี บทบาททางสงั คมท่ีมีตอ่ ครอบครัวในฐานะ พ่อแม่ ในฐานะลูก ในฐานะพี่สาวน้องชาย ก็ย่อมต้องดำเนนิ ต่อไปเช่นกนั กลายครงั้ ปญั หาทีเ่ ข้ามากม็ ากจนครูตอ้ งเผชิญกับกบั เครียดและความกดดนั หลายๆชอ่ งทาง จากการลงพ้ืนท่เี พอ่ื ศกึ ษาขอ้ มูลพืน้ ฐาน ศกึ ษาข้อมลู ของกล่มุ เป้าหมายในจงั หวัดบงึ กาฬ เพื่อให้ได้ กลุ่มเปา้ หมายตามวัตถุประสงค์ น่ีคอื ขอ้ มลู ที่เราไดร้ บั เพิม่ เติม คณะดำเนนิ การของเราจงึ ไดร้ ่วมกนั วางแผนและออกแบบกจิ กรรมผา่ นการทำงานค้นหาขอ้ มลู ของปญั หา เทคนคิ และแนวทางในการแกป้ ญั หา รวมถึงการคดั เลอื กโรงเรียนกนั อย่างเข้มข้น ด้วยความหลากหลายทางสาขาวิชาชพี และประสบการณ์ใน การทำงานทีห่ ลากหลาย เราจึงรว่ มตง้ั เปา้ หมายในการทำงานโครงการพฒั นาทักษะการคิดสำหรบั ผู้เรียน ในศตวรรษท่ี 21 ร่วมกัน 1. เพือ่ ศึกษาสภาพปญั หาและความตอ้ งการของครเู กยี่ วกบั การออกแบบ กจิ กรรมการเรียนการสอนทีเ่ น้นการพฒั นาทักษะการคดิ ในศตวรรษที่ 21 2. เพอ่ื พฒั นารูปแบบการ ส่งเสริมความสามารถของครูในการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนท่เี นน้ การพฒั นาทกั ษะการคดิ ใน ศตวรรษท่ี 21 และ 3. เพ่อื ศกึ ษาผลการพัฒนาครูตามรูปแบบการสง่ เสรมิ ความสามารถของครใู นการ ออกแบบกจิ กรรมการเรยี นการสอนท่เี นน้ การพัฒนาทกั ษะการคิดในศตวรรษท่ี 21

22 โดยคณะดำเนินการของเราเลือกใช้ จิตตปัญญาศึกษาเข้ามาเป็นสว่ นหน่ึงในหลักสตู รพัฒนา ครูและผเู้ รียน โดยตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของกระบวนการจติ ปญั ญาศึกษาท่เี ป็นการจดั การศึกษาใน กระบวนทัศนใ์ หมท่ ี่เน้นการเยยี วยาโลกภายในของผู้คน กระบวนการเรียนรจู้ ติ ตปญั ญาศกึ ษา เปน็ การศึกษาท่เี น้นการฝกึ ฝนปฏบิ ัติจนเกิดการเปลีย่ นแปลงด้านในตนเอง หรอื ทีก่ ระบวนกรเรียกวา่ เป็นการ เรยี นรดู้ ้วยใจอย่างใครค่ รวญ ผา่ นกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบใหม่ ท่ีมุง่ พัฒนาด้านในท่ไี มจ่ ำกัดเฉพาะศาสนา เช่น การทำงาน การออกกำลังกาย งานศิลปะ สุนทรียสนทนา การปลกี วิเวก การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน และกจิ กรรมอน่ื ๆ ที่โยงไปสู่การรจู้ ิตของตัวเอง อนั ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงข้นั พน้ื ฐานในตนเองเพือ่ นำไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลงในองค์กรและสงั คม (ประเวศ วะส.ี 2550 : 79-80) มีหลายโรงเรยี นท่ไี ดนำ แนวคดิ น้ีมาปรับใช้ “จากโครงการเพาะพนั ธ์ปัญญา” ทดี่ ำเนินการโดย รศ.ดร.สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ อาจารย์ประจำภาควชิ าวิศวกรรมเครอ่ื งกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ เป็นอีหนึง่ ตวั อยา่ งทีพ่ ยายามกระต้นุ ใหเ้ กดิ กระบวนการปฏิรปู การเรยี นรู้ โดยมุ่งเนน้ ใหค้ รเู ปล่ียนวิธกี ารสอนวิชา โครงงานโดยใชก้ ระบวนการวิจยั เพ่อื ให้นกั เรยี นรจู้ ักคดิ เป็นและคดิ อยา่ งมเี หตุผล และเป็นท่ีตระหนักว่าครู คอื บุคลากรสำคญั ของการศกึ ษา การพัฒนาครจู งึ เป็นเปา้ หมายหลัก และความสำเร็จจะเกดิ ขน้ึ ได้ต้องทำ Detox ครู เพ่อื เปล่ียนกระบวนทัศนใ์ หม่ แนน่ อนว่าสงิ่ ที่เราตระหนักถงึ คือ เรอ่ื งการศกึ ษาน้ันผิดพลาด เพราะอยใู่ นบรรยากาศของอำนาจและความหวาดกลวั เพอ่ื ปรับสภาพจิตใจครใู ห้พรอ้ มท่ีจะรบั และเรียนรู้ ใหม่ ทางโรงเรยี นจงึ จดั กิจกรรม “จติ ตปญั ญาศึกษา” โดยกำหนดจดั ให้ครู 2-3 วนั ผลท่ีได้จากกจิ กรรมนี้ ครูได้สะท้อนความคิดให้ทราบว่า “ตนเองเปลย่ี นไป มคี วามเขา้ ใจความเป็นครู ตลอดจนเข้าใจการสรา้ ง บรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรขู้ องศษิ ยม์ ากยง่ิ ข้ึน” (มูลนิธสิ ดสรี-สฤษด์ิวงศ์. 2558 : 10-16) จะเห็นไดว้ า่ สิ่งหนงึ่ ท่ีทำให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงทงั้ ตวั เดก็ นกั เรียน และครู คือ การใชก้ ระบวนการจติ ตปญั ญาศกึ ษา เข้ามาช่วยพฒั นาให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจตนเอง และเหน็ คุณค่า สามารถนำไปพัฒนาผ้อู ืน่ ได้ สง่ิ เหลา่ นี้ คอื การก่อเกดิ กระบวนการเรียนร้ตู ามแนวจติ ตปญั ญาศึกษาทีเ่ ปน็ หนทางเข้ามาชว่ ยเยยี วยาระบบ การศกึ ษาไทย ให้ลกุ ขึน้ ได้อกี ครง้ั หลังจากท่ีไร้หนทางและการหวนคนื การศึกษาทเ่ี นน้ เอาชวี ติ เปน็ ตัวตง้ั ที่ จะสรา้ งประโยชน์ใหเ้ กิดกับอาณาประเทศต่อไป (กระบวนการเรียนรแู้ บบจิตตปญั ญาศกึ ษา : การศึกษา เพ่ือพัฒนาครู สิริรตั น์ นาคนิ ) โดยออกแบบหลกั สูตรไวด้ ังนี้

23 โครงการพฒั นาทักษะการคดิ สำหรบั ผูเ้ รียนในศตวรรษที่ 21 หลักสตู รพัฒนาครู หลักสูตรพัฒนาผ้เู รียน หลักสตู รที่ 1. หลกั สูตรปลูก หลกั สตู รที่ 1. หลักสตู ร Growth ศรทั ธาครผู มู้ ุ่งมั่นในการสอนคดิ mindset ด้วยจิตปญั ญา (Growth mindset ด้วยจติ หลักสูตรท่ี 2. หลักสูตรฝึก ปัญญา เทคนิคการใช้แผนท่ีชีวติ ) ทกั ษะการวางแผนชวี ิตด้วย หลักการทรงงานบูรณาการ หลักสูตรที่ 2. กบั แผนทช่ี วี ติ หลักสตู รพัฒนาทักษะการ สอนนกั คิดเชงิ ออกแบบท่เี นน้ ชุมชนเป็นฐาน และการ ประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีในการ พัฒนาการสอนทักษะการคดิ หลักสตู รที่ 3. หลักสูตรค่าย สรา้ งนักคิดเชงิ ออกแบบท่เี นน้ ชุมชนเปน็ ฐาน โดยทง้ั 5 หลกั สตู รนี้ ไดจ้ ดั อบรมใหก้ บั คณะดำเนินงาน ทมี ผชู้ ว่ ยวิจัย ครู และนกั เรยี น โดย สว่ นตวั ไดร้ บั หน้าท่ใี นการจัด หลักสตู รปลูกศรัทธาครผู ู้มงุ่ ม่ันในการสอนคิด (Growth mindset ด้วยจิต ปัญญา เทคนิคการใชแ้ ผนท่ีชวี ิต) กบั ทีมผูช้ ่วยนักวิจัย โดยใชก้ ิจกรรม Check –in ,กิจกรรมนับเลข,

24 จติ วิทยาเชิงบวก,ผอ่ นพกั ตระหนกั รู้ (Body scan) ,กิจกรรมผลัดกันเล่า ผลดั กันฟัง Deep Listening, กจิ กรรมผ้นู ำ 4 ทิศ,กิจกรรม Check-out 1.ผลจากการดำเนินงานกับทมี ผชู้ ว่ ยนักวจิ ัย 1. นักศกึ ษามสี ติรูส้ ึกตัว รูเ้ ทา่ ทนั อารมณค์ วามรู้สึก รู้เท่าทนั ความคดิ รู้เทา่ กนั การแสดงออกทาง พฤติกรรมของตนเองต่อผูค้ น การมีสตริ ู้สกึ ตวั ในระดบั ต่างๆช่วยใหน้ กั ศกึ ษาสามารถกลับมาทบทวน คดิ ใครค่ รวญตอ่ อารมณค์ วามรูส้ กึ ความคิด การแสดงออกทางพฤตกิ รรมของตนเองไดบ้ ่อยขึน้ โดยเฉพาะใน วถิ ีชีวิตประจำวันของตนเอง การมีสตริ ู้สึกตวั เปน็ พน้ื ฐานสำคญั ของการเปลี่ยนแปลงขั้นพน้ื ฐานในตนเอง (Transformative Learning) เพราะเป็นจุดท่ีทำให้นักศกึ ษาได้กลบั มาเช่อื มต่อกับโลกภายใน คน้ หา ต้ัง สมมุติฐาน ตรวจสอบความรู้สึก ความตอ้ งการ ความคาดหวงั ของตนเอง ที่มีตอ่ ผู้อน่ื สง่ ผลใหน้ กั ศกึ ษา สามารถคิดใคร่ครวญ คิดวเิ คราะห์ คดิ แยกแยะ ตลอดจนมองเหน็ วา่ ส่วนหนงึ่ ของความทุกข์ ความผิดหวัง หลายๆอย่างทเี่ กดิ ขน้ึ มาจากความคาดหวงั ท่ีไม่ถกู ที่ถกู ทางของตนเอง และได้หันกลับมาแกไ้ ขทต่ี นเอง เป็นหลกั “ผมชอบกจิ กรรมเชค็ อินครับ ได้ตรวจสอบความพรอ้ มของตนเองและเพื่อนวา่ มีความพรอ้ มมาก นอ้ ยแค่ไหน รวมถึงการเช็คเอ้าท์ดว้ ยครับ มนั ทำใหเ้ ราไดก้ ลบั มาทบทวนตัวเองวา่ ทีเ่ รยี นไปนัน้ เราได้ ความรู้ แง่คิดอะไรมาปรับใชใ้ นชวี ิตประจำวนั บ้าง การได้ทบทวนตวั เองชว่ ยใหผ้ มจดั ลำดับความสำคัญ และจัดระเบียบความคดิ ไดด้ ขี ึน้ ” “ชว่ ยใหเ้ ราสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธภิ าพด้วยตวั ของเราเอง ไดร้ ู้จัก ตวั เองมากขึน้ ทำให้เรารจู้ ักความชอบ ไมช่ อบของตวั เองบ่อยขนึ้ มีสติตดิ ตาม กำกบั และควบคุม ได้ฝกึ มี สตริ ู้เท่าทันความรสู้ ึกของเรา มนั ช่วยใหเ้ ราควบคุมความคิดฟงุ้ ซ่านต่างๆไดด้ ขี ึน้ คะ่ ” 2. การเขา้ ใจตนเองและยอมรับตนเอง การเข้าใจตนเองและยอมรบั ตนเองตามความเปน็ จรงิ ทั้ง ด้านบวกและดา้ นลบเป็นการกลบั ไปเชอ่ื มโยงกับโลกภายในของตนเองอกี ครัง้ เมื่อเราทำสม่ำเสมอมากข้นึ ส่งผลให้เรารักและเมตตาตนเองเพ่มิ ขึ้น ซง่ึ เป็นการขดั เกลาภายในตนเอง จนสามารถยอมรบั เหตุการณท์ ี่ เกดิ ขน้ึ ในชวี ติ ประจำวนั ได้ดมี ากข้ึน ซึง่ สง่ ผลให้สามารถรับมอื กับการเปลย่ี นแปลงไดด้ ขี ึน้ เกิดสมั พันธภาพ และความรู้สึกที่ดตี อ่ ตนเองมากขนึ้ กลา่ วโทษตนเองนอ้ ยลง เมตตาตนเองเพิ่มข้ึน “หนูรกั ตวั เองมากข้นึ แต่กอ่ นหนูมักจะตอ่ ว่าตวั เองเวลามอี ารมณด์ า้ นลบ เช่น การโกรธ เกลียด อิจฉา หนูมกั จะปกปดิ ความรู้สึกนี้ไว้ จากกิจกรรม การเช็คอนิ การเรยี นผนู้ ำสี่ทิศ ทำให้หนคู ่อยๆฝกึ ยอมรบั อารมณ์ดา้ นลบของตวั เอง การคดิ ใคร่ครวญทำใหห้ นเู ขา้ ใจทมี่ าของอารมณค์ วามรู้สกึ ทำให้หนู เคารพตัวเองมากขนึ้ ” “ดิฉนั เขา้ ใจถึงการเริ่มต้นช่วยเหลอื เด็กทย่ี งั่ ยนื คือการฝกึ ยอมรบั ตวั เราเอง เมตตาตัวเราเอง และ ให้อภัยตวั เราเองซำ้ ๆ จริงๆแล้วทกุ อย่างเริม่ ต้นท่ีตัวเรา” 3. การรบั ฟังผู้อ่ืนโดยไม่ตัดสนิ เห็นการตดั สนิ การสรปุ ของตนเองงา่ ยข้นึ จากการมสี ตริ ู้เท่าทนั พร้อมทง้ั สามารถวางและห้อยแขวนการสรุปผู้คนไดเ้ รว็ ขึ้น “การทำกิจกรรมผลัดกันเล่า ผลดั กันฟัง (Deep Listening) ช่วยใหด้ ิฉันเหน็ คุณภาพการฟังของ ตนเองมากขนึ้ ท่ผี ่านมาเข้าใจว่าตวั เองฟังคนอนื่ ได้ จริงๆแล้ว เรามีความคดิ เหน็ ของเรามากมาย มีข้อสรปุ

25 มคี ำวพิ ากษ์ คนเลา่ อย่ตู ลอดเวลาขณะทเ่ี ราฟังใครสกั คน มีแตเ่ สียงของตวั เราเองเตม็ ไปหมด กิจกรรมผลดั กนั เลา่ ผลัดกันฟัง ทำให้ดิฉนั ชว่ ยคลี่คลายความทุกข์ สรา้ งความสบายใจให้เพอ่ื นได้” “เข้าใจความคดิ ของเพอื่ นมากกวา่ เดมิ ว่าบางครง้ั เพอื่ นไม่ไดม้ าขอคำแนะนำจากเรา เขาแค่ ต้องการคนรับฟงั เขาในเวลาทีเ่ ขาทุกข์ เราจึงไมค่ วรแนะนำ เพยี งแคร่ บั ฟงั และอยเู่ ป็นเพ่อื นเขาในอารมณ์ นน้ั ๆ” “ฝกึ ฟังใหจ้ บ กอ่ นสรปุ และก่อนตดั สิน รวมถงึ แม้ตดั สนิ ไปแล้วกส็ ามารถห้อยแขวนไว้และกลบั มา ฟงั ใหม่ได้ การไม่สรปุ ไม่ตัดสินใครชว่ ยให้ดิฉนั มีใจทสี่ บายข้นึ แตย่ งั ต้องฝึกฝนต่อไปค่ะ” 4) มีสัมพนั ธภาพและความร้สู ึกท่ีดีต่อเพ่ือนในชั้นเรียนมากข้ึน เข้าใจกนั มากข้ึน จากการได้ทำ กิจกรรมร่วมกัน พดู คุยแลกเปล่ียนความคิดเห็นในการทำกจิ กรรมต่างๆ รวมถงึ การเข้าใจความแตกตา่ ง ระหว่างบุคคล ในบทเรยี นผู้นำสที่ ิศและแบบฝกึ หัดส่ีชอ่ ง ช่วยใหเ้ ราเข้าใจลกั ษณะของตนเองไดด้ ีข้นึ ขณะเดยี วกนั ก็เข้าใจลกั ษณะของเพ่อื น เคารพความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล อยรู่ ว่ มกันด้วยความเข้าใจและ เคารพ ส่งผลให้ความคาดหวงั ในตัวเพอ่ื นอ้ ยลง เปลี่ยนเป็นเขา้ ใจและเคารพแทน “มีปฏสิ มั พันธก์ บั เพื่อนมากขึ้น มองเพ่อื นในหลายๆมุมมากข้นึ ขจดั อคติ” “ไดค้ วามเข้าใจทีแ่ ตกต่างจากความคิดแบบเดมิ รู้จักคนรอบตัวมากข้นึ เขา้ ใจตนเองมากขึ้น เข้าใจเพื่อนมากข้ึน เขา้ ใจสงั คมมากข้นึ ” 5) มคี วามพร้อมในวชิ าชพี ครู “เข้าใจตนเอง และเข้าใจเดก็ มากข้นึ แตก่ ่อนคดิ ว่าเวลาออกไปฝกึ สอน ถ้าเจอเดก็ ดอื้ ไมเ่ ชื่อฟงั จะ ทำอยา่ งไร วนั นี้ไมก่ ลัวแลว้ ค่ะ เพราะวา่ คดิ ว่าเข้าใจเขามากกว่า เพราะคนเรามคี วามแตกตา่ งระหว่าง บุคคล รวมถงึ เขา้ ใจวา่ เดก็ ๆแตล่ ะคนต่างทม่ี า จงึ มีพฤตกิ รรมทีแ่ ตกต่างกัน ยง่ิ เด็กคนไหนมีปญั หา พฤตกิ รรมมาก เรายง่ิ ตอ้ งให้ความสนใจและเข้าใจเขาใหม้ ากข้ึน” “มีทศั นคตทิ ี่ดีต่อผูอ้ ื่นมากขึ้น จากเดิมคิดว่ามาอบรมกง็ นั้ ๆไมม่ อี ะไร แตพ่ อไดร้ ่วมกจิ กรรม และ ทำความเขา้ ใจ ร้เู ลยว่าเราไดป้ ระโยชนจ์ ากกจิ กรรม” “หนูคิดว่าจะฟังเพอื่ น คนรอบขา้ ง ผูเ้ รยี น ไมต่ ัดสิน เข้าใจและให้โอกาสตัวเองและคนอื่นๆมาก ข้นึ ” จากบทสะท้อนของทมี ผู้ช่วยนกั วิจัย เราจะเร่มิ เห็นการพัฒนากระบวนการคิดจากการได้กลับมาใคร่ครวญ กบั โลกภายของตวั เอง การรเู้ ท่าทนั อารมณค์ วามรู้สกึ ของตนเอง และการคิดแยกแยะและการวิเคราะหเ์ หตุ และผลของตนเองต่อสถานการณต์ ่างๆ ชว่ ยให้ทีมผู้ช่วยนักวจิ ยั มีโอกาสในการจัดระบบการคิดของตัวเอง ไดด้ ีขน้ึ รวมถึงการสอบถามจากอาจารย์ผู้สอน เพ่ือสังเกตความเปล่ียนแปลงในชั้นเรียนพบว่า ความสัมพันธ์ของทีมผชู้ ่วยนกั วิจัยมีความสมั พนั ธ์ในช้ันเรยี นกับกลมุ่ เพอ่ื นดีขึ้น ส่งผลต่อบรรยากาศในการ เรยี นการสอนในช้นั เรียนดขี ้นึ ตามมาดว้ ย เกดิ เปน็ ชุมชนการเรยี นรรู้ ว่ มกนั ในชนั้ เรยี นของพวกเขา การดูแล ชุมชน การเคารพผู้คนในชุมชน เพ่อื ใหส้ มาชกิ เตบิ โตร่วมกัน

26 2.ผลจากการดำเนินงานกบั คณะครูโรงเรยี นเจด็ สีวิทยาคาร หลกั สูตรปลกู ศรัทธาครูผมู้ ุง่ ม่นั ในการสอนคดิ (Growth mindset ดว้ ยจติ ปัญญา เทคนคิ การใช้แผนทีช่ ีวิต) ผลลัพธ์การจัดการความรู้ ตามแนวคดิ จิตตปัญญาศึกษา มีดังตอ่ ไปน้ี จิตตปัญญาศึกษามีความสำคัญทั้งการพัฒนาตนเอง การพัฒนาผู้เรียน และการพัฒนา การ เรียนการสอน ดังนี้ 1. ช่วยพัฒนาตนเอง เนื่องจากจิตตปัญญาศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบองค์รวม จึงช่วยให้คนเรามองโลกแบบไม่แยกส่วน นั่นคือ มองเห็นสรรพสิง่ ในโลกนี้เกี่ยวขอ้ งสัมพันธก์ ันเป็นระบบ ทำให้มีความรกั ความเมตตาต่อตนเองและสรรพสิ่งในฐานะท่ีเป็นส่วนหนึ่งและเปน็ หนึ่งเดยี วกับธรรมชาติ ทำให้เกิดปัญญาตระหนกั รู้ เกิดการเรยี นรู้ และรู้เทา่ ทนั มิตโิ ลกภายในของตนเอง เหน็ คณุ ค่าในการเรียนรู้ ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ ซึ่งหมายถึงการสังเกตอย่างมีสติต่อการเปลี่ยนแปลงภายในของตนเองในขณะท่ี เผชิญกับผู้อื่นและโลกภายนอก การเรียนรู้อย่างมีสติเช่นนีจ้ ะชว่ ยให้บุคคลสามารถแก้ไขปัญหาท่ซี ับซ้อน สามารถ คลายความร้อนรุ่มและร้อนแรงได้ด้วยการให้ความรักและเมตตาต่อผู้อื่น มีความเข้าใจคนใน ครอบครวั มากข้นึ รับฟงั ผ้อู ืน่ อยา่ งตั้งใจ ใหช้ ว่ ยเหลือคนที่อยู่รอบขา้ งมากข้นึ และลดความขัดแยง้ ลง “ก่อนเข้าอบรมมีนิสัยตดั สินคนอืน่ ไปกอ่ นใจรอ้ น หลังเขา้ อบรมมองบุคคลอน่ื กวา้ งข้นึ เข้าใจ ยอมรบั ในความแตกตา่ งระหว่างบุคคลมากขึน้ คิดบวกมากขน้ึ กว่าเดิม” “ก่อนเข้าร่วมอบรมมีบุคลกิ ลกั ษณะนิสยั ใจรอ้ น พดู จาตรงไปตรงมา ขวานผ่าซาก ไมค่ อ่ ยสนใจ ความร้สู กึ ของผูร้ ับสาร เช่ือมนั่ ในในความคดิ ของตนเอง ยดึ ม่ันในในหลกั ความถูกตอ้ ง ซื่อสตั ย์ตอ่ ตนเอง และหนา้ ทข่ี องตนเอง ไมช่ อบการเอารัดเอาเปรียบ เชอ่ื มัน่ ในหลักความเสมอภาค กลา้ ได้กล้าเสีย พร้อม ปะทะและต่อสกู้ ับความไมถ่ กู ตอ้ ง พูดกอ่ นแล้วคอ่ ยคิด หลงั เขา้ ร่วมการอบรม ใจเยน็ คิดไตรต่ รองกอ่ นที่ จะพดู จะสื่อสารออกไป สนใจความรู้สึกของผอู้ นื่ และเพอื่ นร่วมงานมากขน้ึ ระมัดระวงั คำพูดของตนเอง มี สติ สมาธิ และรู้ตัวมากขนึ้ ” “กอ่ นเข้าอบรมรสู้ กึ ไม่คอ่ ยดีนกั ท่ีจะต้องเข้าอบรม เพราะอบรมบ่อย และคิดวา่ คงนา่ เบ่ือ หลังเข้า ร่วมอบรม รสู้ ึกผอ่ นคลายมากขึ้น เขา้ ใจตนเองและมีพลงั มากข้นึ ” “กอ่ นเข้าร่วมอบรม จรงิ จังกบั ทกุ อยา่ งมากเกินไป คดิ มาก จนเป็นโรคเครียดและซมึ เศรา้ โดยไม่ รูต้ ัว หลังเขา้ รว่ มอบรม ผอ่ นคลายกบั เรื่องต่างๆมากขึน้ รวู้ า่ เร่อื งไหนควรจรงิ จงั และเร่ืองไหนควรผอ่ น คลาย ไม่ยึดติดกบั สง่ิ เดมิ ไมค่ ิดมาก มีสติมากขน้ึ รู้เทา่ ทนั ความคดิ ที่ตวั เองปรงุ แต่งขึน้ รู้ตัววา่ กำลังทำ อะไรเพอื่ อะไร ไม่ให้ความสำคญั กบั คำพดู ของคนอ่นื มากจนเกนิ ไป เคารพความคดิ ของตนอื่น ยอมรับ และ เข้าใจมากขึ้น” “กอ่ นเข้ารว่ มอบรม เปน็ คนคิดเล็กคิดน้อย โกรธงา่ ยหายเร็วบางครง้ั คิดและทำอะไรเรว็ ๆ หลายๆ อยา่ งในเวลาเดียวกนั จนขาดการจดั ระบบระเบียบแบบแผน หลังเขา้ รว่ มอบรม รสู้ กึ วา่ มีสตอิ ยูก่ บั ตัวเอง เพ่มิ ขนึ้ พยายามคิดก่อนพดู ทุกครงั้ และเรมิ่ พูดหรือแสดงออกตรงๆตามทีใ่ จคิด โดยคำนึงถึงความร้สู ึกของ ผฟู้ งั ดว้ ย” “ขีเ้ กยี จ เบ่อื หน่าย เหน่อื ยล้า ร่างกายและจติ ใจไม่พรอ้ ม หลังเขา้ ร่วมอบรม มีความสุข สนกุ สนาน ผ่อนคลาย อยากให้มกี ารอบรมต่อไป รู้จักตนเองมากขึ้น”

27 “กอ่ นเข้ารว่ มอบรม พดู ตรง ชอบความเปน็ ระเบยี บวนิ ยั มีความรบั ผดิ ชอบ ยอมรบั ฟังความ คิดเห็นของคนอน่ื ใจรอ้ น เม่อื เจอสถานการณ์ทีไ่ มถ่ กู ใจ จะไมส่ ามารถควบคมุ อารมณต์ ัวเองได้ พูดโดยไม่ คิด หลงั เขา้ รว่ มอบรม คิดก่อนพดู และเข้าใจความร้สู กึ ของผ้ฟู งั มากขึ้น แครแ์ ละใส่ใจความรู้สกึ ของผู้ฟงั มากข้ึน” “ก่อนเขา้ รว่ มอบรม มคี วามอดทนสูง ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ทำงานตึงเครียด ตอ้ งทำให้เสร็จ ไมม่ ีการยืดหยุ่น หลังเขา้ รว่ มอบรม รจู้ ักปล่อยวางเรื่องตา่ งๆมากขนึ้ ไม่ตึงจนเกนิ ไป เริ่มยอมรบั ความ ผดิ พลาดได้ เขา้ ใจพฤตกิ รรมของเพื่อนร่วมงานมากขึ้น เข้าใจและยอมรับตัวเองมากขึ้น” 2. ช่วยพัฒนาผู้เรียน จิตตปัญญาศึกษาช่วยสร้างสมดุลให้ผู้เรียนระหว่างการเรียนรู้ จากภายในกับการเรียนรู้จากภายนอกเพื่อบ่มเพาะความสามารถของผู้เรียนให้ก้าวข้ามความสามารถ ทางวิชาการอย่างเดียวไปสู่ความสามารถทางด้านจิตใจ บุคลิกลักษณะ อุปนิสัย ความคิดสร้างสรรค์ การตระหนกั รู้ในตนเอง การมีสมาธิ การเปิดกวา้ งรบั ฟังความคดิ เหน็ ของผู้อื่นอย่างกลั ยาณมิตร และการ ยืดหยนุ่ ทางความคดิ ซ่งึ ถอื เป็นการบม่ เพาะความสขุ ในการเรียนร้ตู ลอดชวี ิตของผเู้ รียนซึง่ พร้อมท่ีจะเผชิญ กับโลกที่ซับซ้อนและท้าทายอย่างกล้าหาญ และร่วมเปลี่ยนแปลงโลกด้วยทักษะในตนและความเมตตา เพอ่ื สรา้ งความสุขและความหมายในชวี ิตของตน “ รับฟังนักเรยี นจนจบโดยไมพ่ ดู แทรกนกั เรียน ทำให้เขาเข้ามาพดู คยุ กับเราบ่อยขึ้น ” “ กจิ กรรม Check-in ช่วยให้เราเขา้ ใจความร้สู ึกของเดก็ ๆมากข้นึ ก่อนท่ีจะเริ่มสอน” “กลั่นกรองคำพูดก่อนที่จะพูดกับนักเรียน ใจเย็นมองลูกศิษย์เหมือนลูกหลาน มีการ ตรวจสอบความพร้อมทางร่างกายและจิตใจของผเู้ รยี นกอ่ นทีจ่ ะรบั ความร้”ู “เราจะตอ้ งเป็นผู้ฟังอย่างมาก ให้ความสนใจ ให้ความรัก เอาใจใส่ ให้ความรกั เอาใจใส่ ทกุ รายละเอยี ด เพ่อื ให้เข้าถึงจติ ใจของเขาให้ได้มากที่สุด” “ฟังนกั เรียนอธิบายเหตุผลมากขึ้นใหอ้ ธบิ ายว่าทำไมไมส่ ง่ งาน ซึง่ แต่กอ่ นจะดุและลงโทษ แบบหักคะแนน แตต่ อนนฟ้ี งั และใหโ้ อกาสนกั เรียนได้ส่ง” “นักเรยี นมาโรงเรยี นสาย จะถามเหตุกอ่ น ไมด่ กุ ่อน รบั ฟังเหตุและผลไมต่ ดั สินเดก็ รบั ฟงั ไม่เอาประสบการณ์หรือความรู้สึกของตัวเองมาตัดสิน ไม่พูดแทรก ให้เด็กได้พูด เช่น ทำไมถึงมาสาย? ทำไม ทำไม และทำไม…ฟังอย่างมีมารยาท” 3. ช่วยครูพัฒนาการเรียนการสอน จิตตปัญญาศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยใจ อย่างใคร่ครวญที่ต้องอาศัยแนวทางศาสนา ศาสตร์ทางศิลปะ และการสร้างสัมพันธภาพเชิงบวก ผ่าน แนวทางการสอนท่ีหลากหลายเพอื่ ให้มั่นใจว่าผู้เรียนเกิดการตระหนักรู้จากภายในและเกิดปัญญา ดังนี้ ครู จึงตอ้ งแสวงหากลวิธกี ารสอนใหม่ๆ เพอื่ ให้ผูเ้ รยี นเกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในอยา่ งยั่งยนื ดงั นี้ 1) Critical – based approach คือ การสอนให้ผู้เรียนมองโลกในแง่ดี ให้มคี วามคดิ วิจารณญาณ รู้จกั การวิเคราะหห์ าเหตุผล

28 2) Creative – based approach คือ การสอนให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองให้ เตม็ ศักยภาพ รู้และสร้างสรรคส์ งิ่ ใหม่ 3) Productivity – based approach คือ การสอนให้ผู้เรียนมองที่ผลงาน ให้ รูจ้ ักสรา้ ง รู้จักผลติ รู้จักคิดอะไรใหม่ๆ 4) Responsibility – based approach คอื การสอนใหผ้ ู้เรยี นรจู้ ักตวั เอง รู้จัก การเสียสละ และรว่ มผลกั ดันสังคมใหก้ า้ วหน้า กล่าวโดยสรุป จิตตปัญญาศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาตนเอง พัฒนาผู้เรียน และพัฒนาการเรียนการสอนของครู ซง่ึ เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาทุกระดับ ดงั นั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัด การศึกษา โดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษาและครูควรทำความเข้าใจ เห็นคุณค่า และส่งเสริมการเรียนรู้ ในแนวน้ีให้มากท่ีสุด เพอ่ื จะชว่ ยใหม้ ีการพฒั นามนุษย์ให้เกิดปญั ญาสูงขึน้ อยา่ งแท้จริง รวมถึงการรื้อสร้าง ระบบการจดั การศึกษาแบบเดิม จากการรอื้ ถอนโลกภายในของครผู ู้สอน เพือ่ ใหค้ รเู กิดการเปลย่ี นแปลงขั้น พืน้ ฐานภายในตนเองและเปล่ยี นแปลงวิธีคิด วิธกี ารตอบสนองตอ่ ผู้เรยี นในสถานการณต์ ่างๆเพื่อยกระดับ การคดิ ของผู้เรยี นให้สงู ขึน้ พรอ้ มกับการสร้างบรรยากาศในการเรียนรูท้ ่อี บอนุ่ เปน็ สขุ และปลอดภยั ส่งผล ใหเ้ กดิ ชุมชนในช้นั เรยี นและชมุ ชนใหมใ่ นสถานศึกษาทจ่ี ะขับเคลอ่ื นการเรยี นรทู้ ่มี ีคณุ ภาพร่วมกัน

29 ภาคผนวก ▪ แบบฟอรม์ ประเมิน ประกอบดว้ ย o แบบประเมนิ ผลความพึงพอใจในการเข้ารว่ มโครงการอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ าร “ปลกู ศรทั ธา ครูผู้มุ่งม่นั ในการสอนคดิ (Growth mindset ดว้ ยจิตตปญั ญา)” สำหรับครูโรงเรียนเจด็ สี ▪ ตวั อย่างสำเนาเอกสารหนงั สอื ตา่ ง ๆ ทจ่ี ำเปน็ สำหรับการจดั โครงการ ▪ ตัวอยา่ งผลงานผูเ้ ขา้ ร่วมการอบรม ▪ ประมวลภาพกิจกรรม

30 แบบประเมินผลความพงึ พอใจในการเขา้ ร่วมโครงการอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ “ปลูกศรัทธาครผู ู้มุ่งม่นั ในการ สอนคิด (Growth mindset ด้วยจติ ตปญั ญา)” สำหรบั ครูโรงเรียนเจด็ สี ตอนท่ี 1 ข้อมูลทวั่ ไป

31

32 ประมวลภาพกจิ กรรม

33

34 การวเิ คราะหต์ ัวเองเป็นกล่มุ

35

36

37 ผลงานการวเิ คราะห์ตนเอง “ผู้นำ 4 ทิศ”

38

39

40

41

42


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook