รัตนโกสิ นทร์
จัดทำโดย นางสาวชดาทิพย์ อั๋งศิริ รหัส 65121108013 นักศึกษาชั้นปี ที่1 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
บทนำ ในปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตในทุกๆด้าน มีความเจริญและความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มีการพัฒนาสิ่งต่างๆเพื่อรองรับความต้องการของมนุษย์ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีตดินแดนไทยแห่งนี้มี การ ผลัดเปลี่ยนอาณาจักรและแหล่งที่ตั้งเมืองหลวงมาหลายยุคหลายสมัย ทั้งอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านนา อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรละโว้ อาณาจักรอยุธยาและอีกมากมาย ซึ่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ในปัจจุบันก็เกิด จากการหลอมรวมของศิลปะ วิทยาการ ภูมิปัญญาและคนในยุคสมัยโบราณ โดยมีการปรับเปลี่ยนศิลปะ วิทยาการ ของคนในอดีตให้สอดคล้องไปกับการดำรงชีวิตของคนในแต่ละช่วงยุคสมัย เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อพูดถึงการปรับเปลี่ยนกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาศิลปะ วิทยาการ การเมืองการปกครองมาทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นผู้จัดทำจึงนำหัวข้อรัตนโกสินทร์มาศึกษาค้นคว้าเพื่อที่จะ ได้นำเสนอข้อมูลให้เห็นถึงความสำคัญและตั้งจุดประสงค์ที่นักเรียนควรศึกษา เพราะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสมัย รัตนโกสินทร์นั้นมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักร ผลงานต่างๆที่เกิดขึ้นซึ่งกลายเป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ให้เรียนรู้จนถึงปัจจุบัน และการให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ความเป็นมาของกรุง รัตนโกสินทร์ในหลายๆด้าน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสนใจในการไปเรียนรู้ ณ สถานที่จริงตามโอกาส แล้ว หากจะได้ศึกษาเรียนรู้และเกิดการอนุรักษ์สถานที่หรือภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นในอตีดจนถึงปัจจุบัน หรือความ สามารถของบรรพบุรุษให้ได้คงอยู่เป็นแหล่งเรียนรู้ให้ ผู้ที่สนใจและต้องการสืบค้นได้เห็นแหล่งของเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์ได้ยาวนานต่อไป
รัตนโกสิ นทร์ ราชธานี การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม บทสรุปทั่วไป มโนทัศน์ การก่อตั้งราชธานี สมัยรัชกาลที่ 1-3 สมัยรัชกาลที่ 1-3 สมัยรัชกาลที่ 1-3 และความคิดรวบยอด - ปกครองแบบจตุสดม๓์ - สนธิสัญญาเบอร์นี่ - การแต่งกาย การเคลื่อนย้ายของกลุ่มคน - การเก็บภาษี ตอนต้นราชธานี สมัยรัชกาลที่ 4-6 - เงินพดด้วง - บ้านเรือน - การจัดตั้งกระทรวง - การค้าขายทั้งในและนอกประเทศ ความขัดแย้งในตอนต้นราชธานี - การยกเลิกการปกครองแบบ - สังคมในสมัยนั้น สมัยรัชกาลที่ 4-6 จตุสดมภ์ - สนธิสัญญาเบาว์ริง สมัยรัชกาลที่ 4-6 - การสร้างดุสิตธานี - การตั้งโรงกษาปณ์ สมัยรัชกาลที่ 7-ปัจจุบัน - การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ - การแต่งกาย - การเปลี่ยนแปลงในปี 2475 สมัยรัชกาลที่ 7-ปัจจุบัน - บ้านเรือน - ระบอบประชาธิปไตย - วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง - เหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจ - การเลิกทาส - การจัดตั้งโรงเรียนและระบบ สาธารณูปโภค สมัยรัชกาลที่ 7-ปัจจุบัน - การแต่งกาย - บ้านเรือน - การใช้ชีวิตแบบชาติตะวันตก - การเปลี่ยนแปลงสมัยจอมพล ป.
บทที่ 1 ราชธานี
บทที่ 1 ราชธานี สาเหตุการย้ายเมืองจากกรุงธนบุรี พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีมีความคับแคบ มาเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ 1.1 การก่อตั้งราชธานี กรุงธนบุรีเป็นเมืองอกแตก มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง พระบรมมหาราชวังสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 ทำให้ข้าศึกษาตีเมืองได้ง่าย การสร้างพระมหาราชวัง โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เดิมกรุงธนบุรีอยู่ฝั่ งทิศตะวันตก มีลักษณะเป็นท้องคุ้ง น้ำกัดเซาะริมตลิ่งได้ง่าย ฝั่ งด้านทิศตะวันออกมีที่ราบลุ่มกว้างกว่าฝั่ งเดิม สามารถขยายตัวเมืองได้มากกว่าฝั่ งเดิม เขตพระราชฐานชั้นหน้า เขตพระราชฐานชั้นกลาง เขตพระราชฐานชั้นใน ตั้งแต่ประตูวิเศษไชยศรีถึงประตูพิมานไชยศรี ตั้งแต่ประตูพิมานไชยศรีถึงประตูสนามราชกิจ ตั้งแต่ประตูสนามราชกิจจนถึงแถวเต๊งทางทิศใต้ • สำนักพระราชวัง • พระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน เป็นเขตสำหรับผู้หญิงล้วน ชายที่อายุ 13 ปีขึ้นไปห้ามเข้า • กรมราชเลขานุการในพระองค์ • พระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ (ยกเว้นกษัตริย์) เป็นที่ตั้งของพระตำหนัก ตำหนัก เรือน • พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน ของพระมเหสี พระราชเทวี พระชายา พระราชธิดา • พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม ข้าราชบริพารและข้าราชการฝ่ายใน • พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท • พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ • พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ • พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
1.2 การเคลื่อนย้ายของกลุ่มคน ชาวอยุธยา ตั้งรกรากอยู่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อยุู่บริเวณ คลองบางกอกน้อย คลองมอญ และคลองบางกอกใหญ่ ตอนต้นราชธานี ชาวไทยที่อพยพมาจากเมืองอื่น โดยย้ายเข้ามาพึ่งบารมีของ ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและจากการถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย คาดว่ากรุงเทพมหานครในขณะนั้น อยุู่บริเวณคลองบางกอกน้อย คลองมอญ และคลองบางกอกใหญ่ ยังมีความหนาแน่นของประชากรไม่มากนัก จำนวนดังกล่าวนี้มีความหลากหลายของ ชุมชนชาวจีน อยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณกุฎีจีน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อาจแบ่งได้ดังนี้ ชุมชนชาวตะวันตก อยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณ โบสถ์ซางตาครู้ส ชุมชนชาวมุสลิม ไม่ปรากฏหลักฐานว่าย้ายเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยใด ตั้งชุมชนบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ ชุมชนชาวลาว ได้มาจากการกวาดต้อนเชลยชาวลาวเมื่อครั้งตีเมือง เวียงจันทน์ ตั้งชุมชนอยู่บริเวณริมคลองบางหลวง บางไส้ไก่ ชุมชนชาวมอญ อพยพเข้ามาในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยตั้งรกราก ในที่ต่างๆ เช่น ปทุมธานี ปากเกร็ด
1.3 ความขัดแย้ง สงครามเก้าทัพ เกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในตอนต้นราชธานี สงครามท่าดินแดง หลังจากสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ได้ 3 ปี พระเจ้าปดุงก็ได้ทรงยก อานามสยามยุทร ทัพเข้าโจมจีอาณาจักรสยามถึง 9 ทัพ แต่ไทยได้รับชัยชนะ สงครามเมืองทวาย เป็นสงครามระหว่างอาณาจักรรัตนโกสินทร์และอาณาจักรพม่า ในตอนต้นของการตั้งราชธานีใหม่ สงครามเมืองถลาง เป็นการรุกรานของพม่าครั้งที่ 2 ในสมัยรัตนโกสินทร์และเป็น บ้านเมืองยังไม่ค่อยมั่นคงและแข็งแรง กบฏเจ้าอนุวงศ์ เหตุการณ์ต่อเนื่องจากสงครามเก้าทัพ เกิดขึ้นหลังจากสงครามเก้า ทำให้อาณาจักรต่างๆจ้องที่จะทำ ทัพหนึ่งปีในพ.ศ. 2329 สงครามเพื่อยึดครองบ้านเมือง เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยการ ขยายดินแดน และแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือดินแดนลาวล้านช้างและ เขมร ของสยามและเวียดนาม สงครามยืดเยื้อยาวนานเกือบ 20 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2376 - 2390 เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2331 และพ.ศ. 2335 ในครั้งที่หนึ่งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ ต่อมาเมืองทวายเข้าสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพมหานครทำให้สงครามตีเมืองทวาย ครั้งที่สองพ.ศ. 2335 ประสบความสำเร็จ ไทยครอบครองเมืองทวายได้ กระทั่งในพ.ศ. 2336 พระเจ้าปดุงทรงส่งทัพพม่ามายึดเมืองทวายคืน ประกอบกับเมืองทวายกบฏต่อการปกครองของไทย ทำให้ฝ่ายพม่าสามารถ ยึดเมืองทวายคืนได้สำเร็จ เป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างพม่ากับไทย ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2351 ถึง เดือนมกราคม พ.ศ. 2354 นี่เป็นสงครามสุดท้ายที่พม่าโจมตีในดิน แดนสยามตามประวัติศาสตร์ไทย เป็นการก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์ ระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 ในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้เจ้านันทเสนไปปกครองเวียงจันทร์ต่อ มาเป็นกบฏ จึงมีรับสั่งประหารชีวิตและทรงให้เจ้าอินทร์ปกครองแทน หลังเจ้าอินทร์ถึงแก่พิราลัยก็ทรงให้เจ้าอนุวงศ์ปกครองแทนและก่อกบฎซ้ำ จึงมีรับสั่งให้ประหาร
บทที่ 2 การปกครอง
บทที่ 2 การปกครอง แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งสมุหกลาโหมมีหน้าที่รับผิดชอบดูแล 2.1 สมัยรัชกาลที่ 1-3 การปกครองส่วนกลาง การปกครองในส่วนภูมิภาค คุมการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้การบัญชาของเสนาบดีทั้ง 6 กรม • หัวเมืองชั้นใน อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เป็นเมืองจัตวา มีเจ้าเมืองดูแล • หัวเมืองชั้นนอก แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ • กรมมหาดไทย ดูแลทหารและพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด หัวเมืองใหญ่ : ประกอบด้วยหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลแบ่งออกเป็นหัว • กรมกลาโหม ดูแลทหารและพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมด เมืองเอก โท ตรี หัวเมืองเหล่านี้อยู่ใต้การปกครอง ของเมืองหลวง มีเมืองพิษณุโลก นครราชสีมา • กรมเมือง ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ตัดสินคดี ความต่างๆ ใน นครศรีธรรมราช ถลางและสงขลา เขตราชธานี หัวเมืองชั้นรอง : ขึ้นกับหัวเมืองใหญ่ที่ใกล้เคียง มีเจ้าเมืองดูแล หัวเมืองชายแดน : หัวเมืองที่มีชายแดนติดกับประเทศอื่น ให้เป็น • กรมวัง ดูแลราชการที่เกี่ยวข้องกับ พระราชมณเฑียร เมืองประเทศราชมีเจ้านายชนชาตินั้นปกครอง พระราชวัง พระราชพิธีต่างๆและตัดสินคดีความเขตพระราชวัง กันเองตามจารีตประเพณี มีเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงแสน หลวงพระบาง • กรมท่า ดูแลรับเกี่ยวกับเงินรายรับ-จ่ายของแผ่นดิน พิจารณาคดี เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ เขมร ปัตตานี ไทรบุรี กลันตันและตรังกานู ที่เกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวง ติดต่อรับรองชาวต่างชาติ ที่มาติดต่อค้าขาย • กรมนา มีหน้าที่รักษานาหลวง เก็บข้าวดำนาจากราษฎร รวมถึง พิจารณาคดีเกี่ยวกับพื้นที่และโคกระบือ
2.2 สมัยรัชกาลที่ 4-6 สมัยรัชกาลที่ 4 เปิดโอกาสให้ราษฎรเข้าเฝ้าได้โดยสะดวก ให้เข้าเฝ้าถวายฎีการ้องทุกข์ได้ในขณะที่ทรงเสด็จพระราชด้าเนิน สมัยรัชกาลที่ 5 แบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกให้ตั้งสภา 2 สภา คือ • สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน สมัยรัชกาลที่ 6 • สภาที่ปรึกษาในพระองค์ ทรงจัดตั้งกรมร่างกฎหมายและทรงร่าง การปกครองส่วนกลาง ระยะที่สอง การปฏิรูปการปกครอง พ.ศ. 2435 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยกเลิกการปกครองแบบจตุสดมภ์และจัดแบ่งป็นกระทรวง 12 กระทรวง การปกครองส่วนภูมิภาค เมืองจำลองดุสิตธานี 1. กระทรวงมหาดไทย 2. กระทรวงกลาโหม ยกเลิกการจัดหัวเมืองที่แบ่งเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรีและจัตวา เมืองจำลองแบบการปกครองประชาธิปไตย เปลี่ยนเป็นการปกครองแบบเทศาภิบาล ให้รวมเมืองเป็นมณฑล สิ่งก่อสร้างจำต่าง ๆ มีขนาดสูง 2-3 ฟุต 3. กระทรวงต่างประเทศ 4. กระทรวงวัง มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ที่ทำการรัฐบาล 5. กระทรวงเมือง 6. กระทรวงเกษตราภิบาล และการปกครองส่วนท้องถิ่น บ้านเรือนราษฎร พระราชวัง 7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 8. กระทรวงยุติธรรม ศาสนสถาน สถานที่ราชการ 9. กระทรวงธรรมการ 10. กระทรวงโยธาธิการ โรงทหาร โรงพยาบาล 11. กระทรวงยุทธนาธิการ 12. กระทรวงมุรธาธิการ ตลาด โรงแรม โดยมีเสนาบดีเป็นเจ้ากระทรวง ธนาคาร
2.3 สมัยรัชกาลที่ 7-ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ก่อนการเปลี่ยนแปลง พ.ศ 2475 หลังการเปลี่ยนแปลง พ.ศ 2475 รัชกาลที่ 7 ทรงตั้งสภาต่างๆ ดังนี้ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น อภิรัฐมนตรีสภา มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาราชการแผ่นดินแก่พระมหากษัตริย์ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข องคมนตรีสภา มีหน้าที่ประชุมรับโครงการตามพระราชดำริไปวินิจฉัยเสนอ มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ความคิดเห็นในสภา เสนาบดีสภา ประกอบด้วยเสนาบดีกระทรวงต่างๆ รัฐและการปกครองประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ สภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ดำเนินนโยบายป้องกันประเทศ อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย กษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา ติดต่อ ประสานงานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ใช้อำนาจบริหารผ่านทางรัฐบาลและใช้อำนาจตุลาการผ่านทางศาล สภาการคลัง มีหน้าที่ตรวจตราวินิจฉัยงบประมาณแผ่นดินและรักษาผล รัฐสภา ประกอบด้วย ประโยชน์การเงินของประเทศ ราชบัณฑิตยสภา ประกอบด้วยแผนกวรรณคดี โบราณคดี และศิลปากร วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 150 คน สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คนและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน ศาล แบ่งศาลไว้ 4 ประเภทคือ ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยประเด็นข้อขัดแย้งระหว่างรัฐธรรมนูญ กับกฎหมายอื่น ศาลยุติธรรม มี 3 ชั้นคือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา มีอำนาจหน้าที่ใน การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมายใน พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ศาลปกครอง มีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วย ราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่น ศาลทหาร มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีที่ผู้กระทำความผิดที่เป็นทหารและ ทำความผิดในเขตทหาร
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: