1 อุปกรณ์ต่อพ่วงเป็นอุปกรณ์ที่ได้นามาใช้กับคอมพิวเตอร์เพ่ือให้การทางานของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ทางานได้ อย่าง มีปร ะสิท ธิภ าพ มาก ยิ่งขึ้ น ต ลอดจ นสา มาร ถมีก ารปฏิ บัติง านไ ด้ หล ากหล าย สนอ งตอ บ ความต้องการของผใู้ ชไ้ ด้ในหลาย ๆ ดา้ นเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของผู้ใช้ ดงั รายละเอียดดังต่อไปนี้ อุปกรณ์ต่อพ่วงหมายถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถต่อเข้ากับเคร่ืองคอมพิวเตอร์เพื่อเพ่ิมการใช้งาน คอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิมากย่ิงข้ึน ตลอดจนทาให้การทางานเป็นไปด้วยความคล่องตัวทางานได้สะดวกรวดเร็ว มากยิ่งข้ึนซึ่งอุปกรณ์ท่ีนามาต่อพ่วงน้ันปกติต้องมาพร้อมกับไดรเวอร์เพ่ือให้คอมพิวเตอร์รู้จักอุปกรณ์ยกเว้น อุปกรณ์บางชนิดมีไดรเวอร์มาพร้อมกับโปรแกรมระบบปฏิบัติการสามารถติดต้ังหรือเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถ ค้นหาไดรเวอร์ไดเ้ อง ชนิดของอุปกรณต์ ่อพว่ งคอมพิวเตอร์มีดังต่อไปน้ี 2.2.1 เครื่องพมิ พ์ เครือ่ งพิมพ์ (Computer printer) คอื อปุ กรณ์นาผลการประมวลผลจากคอมพิวเตอร์นามาแสดงผล ลัพธ์ในรูปแบบของกระดาษ สามารถแสดงได้ทั้งรูปภ าพและตัวอักษร เครื่องพิมพ์แบ่งออกเป็น 4 ประเภทดงั นี้ 1. เครอื่ งพิมพ์ดอตแมทริกซ์ (Dot–matrix printer)
2 สาหรับเครื่องพิมพ์แบบดอตแมทริกซ์ มีลักษณะการทางานด้วยการใช้วิธีการสร้างจุดลงบน กระดาษซ่งึ หัวพิมพจ์ ะมีลักษณะเปน็ หัวเข็ม หากต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใด ๆ หัวเข็มท่ีอยู่ในตาแหน่งตาม ส่วนประกอบของรูปนั้น ๆ จะยื่นออกมามากกว่า เครื่องพิมพ์ชนิดอื่นและดาเนินการกระแทกกับผ้าหมึกลงบน กระดาษที่ใช้พิมพ์ จะทาให้เกิดจุดหลาย ๆ จุดประกอบกันเป็นรูปเกิดขึ้น แต่ข้อเสียคือหากสั่งพิมพ์จะเกิดเสียงดัง อายุการใช้งานของเครือ่ งพมิ พร์ ุ่นน้ีมรี ะยะยาวมากกว่าเครื่องพิมพช์ นิดอื่น ๆ รปู ที่ 2.1 เครอื่ งพิมพ์ดอตแมทรกิ ซ์ (ทม่ี า : www.officemate.co.th) 2. เครอ่ื งพิมพแ์ บบพ่นหมึก (Inkjet printer) เครื่องพมิ พ์แบบพน่ หมึก เป็นเคร่ืองพิมพ์ที่มีลักษณะการทางานใช้วิธีการพ่นหมึกออกมาเป็นหยด เล็ก ๆ ลงบนกระดาษเมือ่ ต้องการพิมพ์รูปทรงหรือรูปภาพใด ๆ เคร่ืองพิมพ์จะทาการพ่นหมึกออกตามแต่ละจุดใน ตาแหน่งท่ีเครื่องประมวลผลไว้ลงบนกระดาษที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก ซ่ึงส่วนใหญ่นิยมใช้ เปน็ เคร่อื งพิมพ์แบบสี ความท่เี พ่มิ มาของเครือ่ งพิมพบ์ างรุน่ จะเพม่ิ การถ่ายเอกสารและสแกนเข้ามาด้วย สาหรับรูป ทม่ี ีความซับซ้อนมาก ๆ เครอื่ งพิมพแ์ บบพ่นหมึกจะได้ผลลัพธท์ ่ดี ีกวา่ ชดั เจนและคมชัดกวา่ แบบดอตแมทริกซ์ รูปที่ 2.2 เครอ่ื งพิมพ์แบบพ่นหมกึ (ทม่ี า : www.stou.ac.th) 3. เครอื่ งพมิ พ์เลเซอร์ (Laser printer) เครื่องพิมพ์เลเซอร์เป็นเคร่ืองพิมพ์ท่ีใช้เทคโนโลยีเช่นเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสารด้วยการยิง เลเซอรไ์ ปสรา้ งภาพบนกระดาษหรือตัวอักษรทั้งน้ีขึ้นอยู่กับการส่ังประมวลผลจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ ออกมาจะมีภาพสูงมากและราคาเคร่ืองพิมพ์มีราคาสูงมากด้วยเช่นกันซึ่ งเคร่ืองพิมพ์เลเซอร์จะทางานได้เร็วกว่า
3 เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกและภาพของผลลัพธ์ท้ังด้านความคมชัดและรายละเอียดทาออกมาได้ดีกว่าแบบพ่นหมึก มาก รปู ท่ี 2.3 เครือ่ งพมิ พ์แบบเลเซอร์ (ทีม่ า : www.scts.co.th) 4. พล็อตเตอร์ (Plotter) พล็อตเตอร์ เป็นเคร่ืองพิมพ์แบบท่ีใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลลงบนกระดาษ ซึ่งเครื่องพิมพ์ ประเภทน้ีเหมาะกับงานเขียนแบบของวิศวกรและสถาปนิกและเคร่ืองพิมพ์ประเภทน้ีมีราคาแพงท่ีสุด ถ้า เปรยี บเทียบกบั เคร่อื งพมิ พป์ ระเภทอน่ื ๆ รูปที่ 2.4 พลอ็ ตเตอร์ (ทีม่ า: www.ecvv.com) 2.2.2 เครือ่ งสแกนภาพ 1. ความหมายของสแกนเนอร์ สแกนเนอร์ (Scanner) หมายถึง อุปกรณ์กวาดตรวจสัญญาณ การตรวจข้อมูล รูปร่างของวัตถุ หรืออักขระโดยใช้แม่เหล็กหรือแสง แล้วแปลงเป็นสัญญาณ ไฟฟ้าหรือสัญญาณเชิงตัวเลข หรือการแปลงรูปแบบ ของอนาล็อกเป็นดิจิตอลซึ่งคอมพิวเตอร์สามารถแสดงเรียบเรียงเก็บรักษาและผลิตออกมาเป็นภาพจะเป็นรูปถ่าย ขอ้ ความ ภาพวาดหรือแมแ้ ตว่ ตั ถุสามมติ ิสามารถใชส้ แกนเนอร์ทางานต่าง ๆ ได้ดงั นี้ 2. ประเภทของเคร่ืองสแกนเนอร์ สแกนเนอรแ์ บ่งออกเปน็ ประเภทแบ่งออกเป็น 3ประเภทหลกั ดงั นี้
4 (1) สแกนเนอร์แบบดึงกระดาษ (Sheetfed Scanner) สแกนเนอร์แบบนี้จะรับกระดาษแล้ว เล่ือนกระดาษเอง ให้ผ่านหัวสแกนซ่ึงอยู่กับท่ีข้อจากัดของสแกนเนอร์แบบเลื่อนกระดาษสามารถสแกนเอกสารที่ เป็นแผน่ กระดาษไดเ้ ทา่ นัน้ ไมส่ ามารถอ่านภาพจากสมดุ หรอื หนังสือได้ รูปที่ 2.5 สแกนเนอรแ์ บบดึงกระดาษ (ที่มา : www.iccbusinessproducts.com) (2) สแกนเนอร์แบบแท่นเรียบ (Flatbed Scanner) สแกนเนอร์แบบน้ีจะมีกลไกคล้าย ๆ กับ เคร่ืองถ่ายเอกสารแค่วางหนังสือหรือภาพไว้ บนแผ่นกระจกใส และเมื่อทาการสแกนหัวสแกนก็จะเคล่ือนที่จาก ปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งข้อจากัดของสแกนเนอร์ แบบแท่นนอนคือแม้ว่าอ่านภาพจากหนังสือได้แต่กลไก ภายในต้องใช้ การสะทอ้ นแสงผา่ นกระจกหลายแผน่ ทาใหภ้ าพมภี าพไมด่ ีเม่ือเทยี บกับแบบแรก รปู ที่ 2.6 สแกนเนอร์แบบแท่นเรยี บ (ที่มา : ttp://www.ebay.com) (3) สแกนเนอร์แบบมือถือ (Handheld Scanner) สแกนเนอร์แบบนี้ผู้ใช้ต้องเล่ือนหัว สแกนเนอรไ์ ป บนหนังสือหรือรูปภาพเองสแกนเนอร์ แบบมือถือได้รวม เอาข้อดีของสแกนเนอร์ท้ังสองแบบเข้าไว้ ดว้ ยกนั และมีราคาถูก เพราะกลไกที่ใช้ไม่ สลับซับซ้อนแต่ก็มีข้อจากัด ตรงที่ว่าภาพท่ีได้จะมีคุณภาพแค่ไหนข้ึนอยู่ กับความสม่าเสมอ ในการเล่ือนหัวสแกนเนอร์ของผู้ใช้งานนอกจากนี้หัวสแกนเนอร์แบบน้ียังมีหัวสแกนท่ีมีขนาด ส้ันทาให้อ่านภาพบนหน้าหนังสือขนาดใหญ่ได้ไม่ครบ 1 หน้าทาให้ต้องอ่านหลายครั้งกว่าจะครบหนึ่งหน้า ซึ่ง ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์หลายตัวท่ีใช้กับสแกนเนอร์ แบบมือถือซึ่งสามารถต่อภาพที่เกิดจากการสแกนหลายคร้ังเข้า ด้วยกั
5 รูปท่ี 2.7 สแกนเนอแบบมือถือ (ทีม่ า : ttp://www.ebay.com) 2.2.3 กล้องดจิ ติ อล 1. ความหมายของกล้องดิจติ อล กลอ้ งดิจิตอล (Digital Camera) หมายถงึ กล้องถ่ายรูปท่ีไม่ต้องใช้ฟิล์มภาพท่ีถ่ายได้จะถูกบันทึก แบบดิจติ อลโดยวงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์ภายในกลอ้ งโดยอยู่ในรปู แบบของไฟล์ภาพซึ่งสามารถส่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ เพ่ือพิมพ์เป็นภาพ สามารถตกแต่งภาพด้วยโปรแกรมต่าง ๆ เช่น Photoshop ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตทาเว็บหรือ นาไปใช้งานในลักษณะอนื่ ๆ ตอ่ ไป รปู ท่ี 2.8 สแกนเนอแบบมือถือ (ทีม่ า : www.teachfever.net) 2. ประเภทของกลอ้ งดจิ ติ อล กล้องดิจิตอลสามารถแบ่งประเภทตามหลักการใช้งาน และสมบัติประกอบของกล้องเป็น 2 ประเภท คือ
6 (1) กล้องคอมแพค (Compact Digital Camera) เป็นประเภทท่ีนิยมใช้งานในปัจจุบัน เน่ืองจากใช้งานง่าย ราคาถูก ตัวเลนส์ติดกับตัวกล้องไม่สามารถถอดเปล่ียนได้โดยปกติแล้วขนาดของกล้อง ประเภทน้ีจะข้นึ อย่กู บั ขนาดของแบตเตอร่ที ี่ใชร้ วมท้งั ส่ือบันทึกข้อมูลด้วย รปู ที่ 2.9 กลอ้ งคอมแพค (ที่มา : www.bigcamera.co.th) (2) กล้อง D–SLR (Digital Single Lens Reflex Camera) เป็นกล้องท่ีเหมาะสาหรับมือ อาชีพ และมรี าคาแพงตัวเลนส์สามารถถอดเปลี่ยนได้ ใช้การมองผ่านเลนส์จริงคือในขณะท่ีเล็งภาพโดยใช้ช่องมอง ภาพน้ันสายตาของจะมองผ่านเลนส์ออกไปโดยตรงทั้งนี้การหักเหของแสงจะเป็นแบบเดียวกับท่ีใช้ในกล้อง ถ่ายภาพแบบSLR ท่ีใชฟ้ ิล์ม รูปท่ี 2.10 D–SLR (ทมี่ า : http : //www.lazada.co.th/shop–dslrslr/Nikon) (3) สว่ นประกอบของกลอ้ งดจิ ติ อล ส่วนประกอบของกลอ้ งดิจิตอล มีดงั ตอ่ ไปนี้
7 (ก) ปุ่มชัตเตอร์ สาหรับกดเพ่ือถ่ายภาพส่วนตัวกล้องเป็นกล่องทึบแสงทาหน้าที่ไม่ให้แสง ผ่านเข้าไปในตัวกล้องได้ และมีรูปร่างแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ดูเหมือนกล้องฟิล์มจนถึงแบน ๆ เล็ก ๆ เหมือน เครอ่ื งเล่น MP3 (2) ปุ่มควบคุมต่าง ๆ ในกล้องดิจิตอลแต่ละตัวมีปุ่มควบคุมการทางานตามฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของกล้องซึ่งแตล่ ะย่ีหอ้ ก็ไม่เหมอื นกนั (3) ระบบเลนส์ เลนส์ทาหน้าท่ีรับแสงเข้าสู่กล้อง ดังนั้นเลนส์จึงเป็นส่วนสาคัญมากหาก เลนส์มีคุณภาพดีภาพท่ีได้ก็จะมีภาพดี และราคาก็จะสูงตามไปด้วยในกล้องนั้นมักประกอบไปด้วยเลนส์หลายช้ิน ช่วยในการรบั แสงและซมู ภาพ (4) การ์ดหนว่ ยความจา ทาหนา้ ทีบ่ ันทึกภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล เปรียบได้กับฟิล์มในการ ถ่ายภาพด้วยกล้องธรรมดาหากหน่วยความจามีความจุมากก็จะบันทึกภาพได้มากแบตเตอร่ีเป็นแหล่งพลังงานของ กล้องดิจิตอล ซึ่งมีหลายแบบแล้วแต่กล้องดิจิตอลนั้น ๆ โดยทั่วไปที่พบเห็นจะมีทั้งแบตเตอรี่แบบ AA และ แบตเตอร่ลี ักษณะอืน่ เช่นแบตเตอร่ีแบบนิเกิลเมทลั ไฮไดรด์ (NiMH) หรือแบบลิเธียมไอออน (Li–on) (5) ช่องมองภาพ (Viewfinder) ช่องมองภาพในกล้องดิจิตอลทาหน้าท่ีเหมือนช่องมองภาพ ในกล้องธรรมดา สามารถมององค์ประกอบของภาพผ่านช่องมองภาพ แล้วถ่ายภาพได้ทันทีข้อได้เปรียบของกล้อง ดิจติ อลอย่างหนึง่ คือ มีจอภาพแบบ LCD ซึง่ สามารถมองและแสดงภาพถ่ายให้เห็นได้ในทันที (6) แฟลชเปน็ ตวั ช่วยใหถ้ ่ายภาพได้ในท่ีที่แสงไม่พอ ส่วนใหญ่แล้วแฟลชท่ีติดมากับกล้องจะ มขี นาดเล็กหากตอ้ งการเพิ่มความสวา่ งจะต้องใช้แฟลชเสริมมาติดเพิม่ (7) ชอ่ งเสยี บ Output จะมชี ่องท่ีเอาไว้สาหรับถ่ายโอนข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ หรือในกล้อง บางรนุ่ จะมชี ่องตอ่ เข้าทวี ีและพรนิ เตอรด์ ้วย 2.2.4 กลอ้ งเวบ็ แคม เว็บแคม (Webcam) หรือ ช่ือเรียกเต็ม ๆ ว่า Web Camera หรือVideo Camera หรือ Video Conference การเรียกอาจแตกต่างกันแต่สรุปแล้วเป็นอุปกรณ์อินพุตที่สามารถจับภาพเคล่ือนไหวของบุคคล จอมอนิเตอร์ และสามารถส่งภาพเคลื่อนไหวน้ผี ่านระบบเครือข่ายเพื่อให้คนอีกฟากหน่ึงสามารถเห็นตัวเคล่ือนไหว ได้เหมอื นอยตู่ อ่ หน้า ถอื วา่ เป็นอปุ กรณ์ทมี่ ปี ระโยชน์อีกตัวหน่ึง และเร่ิมมีความจาเป็นมากขนึ้ เรื่อย ๆ รูปท่ี 2.11 เวบ็ แคม (ทีม่ า : www.wordpress.com)
8 1. ประเภทของเว็บแคม อุปกรณ์อย่างกล้องเว็บแคมไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันหมดทุกตัว แต่ละรุ่น แต่ละย่ีห้อจะมีลักษณะและสมบัติที่แตกต่างกันไปตามแต่ผู้ผลิตจะคิดค้นและออกแบมาให้เหมาะสมกับ การใชง้ านเวบ็ แคมมีหลายประเภทดงั น้ี (1) แบ่งตามรูปทรงของกล้องโดยปกติกล้องเว็บแคมส่วนใหญ่จะเป็นทรงกลมเดิมที่ทามานาน และเหมือนเป็นอุปกรณ์ เว็บแคม แต่ไม่จาเป็นท่ีกล้องเว็บแคมต้องเป็นทรงกลมเสมอไปเพราะบางครั้ง กล้องเว็บ แคม ก็จาเป็นต้องมีรูปทรงอ่ืน ๆ เพื่อให้เข้ากับการใช้งานในบางลักษณะ ดังน้ันการเลือกรูปทรงให้เหมาะสมน้ันก็ จะขน้ึ อยู่กบั ลักษณะการใช้งาน รูปท่ี 2.12 แบ่งตามรูปทรงของกล้อง (ที่มา : www.thai.albaba.com) (2) แบง่ ตามประเภทของขาต้ังกล้องโดยสว่ นใหญ่ลกั ษณะของฐานต้ังกล้องจะเป็นแบบตั้งพ้ืนเสีย ส่วนใหญ่ โดยแบบแรกคือแบบมีขาสาหรบั วางบนพื้น อาจจะมจี านวนขาไม่เทา่ กนั แลว้ แต่การออกแบบ รปู ที่ 2.13 แบง่ ตามประเภทของขาต้งั กลอ้ ง (ทีม่ า : www.thai.albaba.com)
9 (3) แบ่งตามชนิดของเซ็นเซอร์สาหรับเซ็นเซอร์ท่ีกล้องเว็บแคมใช้น้ันจะมีหลัก ๆ 2 ชนิด คือ CCD และ CMOS แต่ท่ีนิยมใช้กันมากท่ีสุดในตอนน้ีก็คือ CMOS สามารถแบบออกได้ 2 ชนิดด้วยกันคือ CLF Color CMOS Sensor ที่มีความละเอียดของพิกเซล 110,000 พิกเซลและ VGA Color CMOS Sensor ให้ความ ละเอียดที่สงู กว่าท่ี 350,000 พกิ เซล สาหรับกล้องชนิดเซ็นเซอร์แบบ CCDนิยมใช้ในกล้องดิจิตอล เพราะให้ความละเอียดท่ีสูง กวา่ และกม็ ี noise ไม่มากเหมอื นกบั เซน็ เซอรแ์ บบ CMOS รปู ที่ 2.14 แบ่งตามชนิดของเซน็ เซอร์ (ท่ีมา : www.thai.albaba.com) (4) แบ่งตามรูปแบบการเชื่อมต่อสาหรับการเช่ือมต่อของกล้องเว็บแคมในปัจจุบันส่วนใหญ่ จะ เปน็ อินเทอรเ์ ฟซแบบ USB และแบบกลอ้ งเว็บแคมแบบไรส้ ายจะใชก้ ารเชื่อมต่อในแบบ Wife หรือWireless LAN รปู ท่ี 2.15 แบ่งตามรูปแบบการเชอ่ื มตอ่ (www.relakkumako.com) (5) เว็บแคมยอดนิยมกล้องเว็บแคมที่มีช่ือเสียงและใช้กันท่ัวไป โดยท่ีเด่นที่สุด ในตอนน้ีก็คือ กลอ้ งเวบ็ แคมของ Logitech ซ่ึงผลติ กลอ้ งเว็บแคมออกมา ในท้องตลาดมากท่ีสุด ท้ังเรื่องภาพและความสวยงามก็ จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ และเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ Logitech ให้ความสาคัญและสร้างช่ือเสียงให้กับ Logitech ส่วน ยห่ี ้ออน่ื ๆ เปน็ ทางเลือก เช่น Mustek Labtec Philips D–Link และ Zoom
10 รปู ที่ 2.16 เว็บแคม (ท่มี า : www.relakkumako.com) 2. การเลือกซ้ือกล้องเว็บแคม ข้ันตอนแรกต้องรู้ว่าจะนากล้องเว็บแคม มาใช้งานกับเคร่ือง คอมพิวเตอร์ประเภทใดถ้าเป็นโน้ตบุ๊กก็ต้องเป็นกล้องเว็บแคมขนาดเล็กกะทัดรัด และสามารถติดตั้งบนจอแอลซีดี ของโน้ตบุ๊กได้แต่ถ้าใช้กับเคร่ืองคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปควรเลือกรุ่นที่มีขาต้ังท่ีม่ันคงสามารถวางบนจอมอนิเตอร์ จากนั้นเลือกตามสมบตั ภิ ายในของกล้องเว็บแคมโดยเลือกจากชนิดของเซ็นเซอร์ที่ใช้กับภาพ โดยจะมีให้เลือกเป็น CMOS ในแบบ CIF และ VGA ซึ่งแบบ VGA มีความละเอียดท่ีสูงกว่า หรือถ้าต้องการความละเอียดท่ีมากกว่านี้ ก็ เลือกเซ็นเซอรแ์ บบ CCD ซง่ึ ราคากจ็ ะเพม่ิ สูงขึ้น ตามชนิดของเซ็นเซอร์ และความละเอยี ดของตัวกล้องเวบ็ แคม 2.2.5 กลอ้ ง Mirror less กล้อง (mirror less) คือกล้องที่นาการผสมผสานข้อดีระหว่างกล้อง 2 แพลชฟอร์มเข้าด้วยกัน น่ันก็ คอื กลอ้ งที่คุณภาพสูงอย่างกลอ้ ง DSLR แต่ในขณะเดียวกันก็มขี นาดที่เล็กกะทัดรัด พกพาง่ายซ่ึงรูปร่างหน้าตามอง ไปคล้าย ๆ กับกล้อง compact เพราะว่ามีขนาดเล็กแต่หากดูให้ละเอียดแล้วกล้อง Mirror less น้ันมีความ แตกตา่ ง คือ สามารถเปล่ยี นเลนสไ์ ดเ้ หมือนกล้อง DSLR แม้ว่าสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้เหมือนกล้อง DSLR แต่มีจุด ท่ี แ ต ก ต่ า ง ก็ คื อ ก ล้ อ ง ช นิ ด น้ี จ ะ ไ ม่ มี ชุ ด ก ร ะ จ ก ส ะ ท้ อ น ภ า พ แ บ บ ก ล้ อ ง DSLR ซง่ึ เป็นทีม่ าของชื่อวา่ Mirror lessซงึ่ ในข้อแตกต่างดังกล่าวนี้นี่เองทาให้การออกแบบตัวกล้องสามารถทาให้เล็กลง ได้มากและในเม่ือไม่มีชุดกระจกสะท้อนภาพ ช่องมองภาพของ กล้องชนิดนี้จึงเป็นแบบที่ใช้จอ LCD ขนาดเล็ก ติดต้ังไว้ในช่องมองภาพ แต่กล้องหลาย ๆ รุ่นก็ไม่มีช่องมองภาพมาให้จึงต้องเล็งภาพผ่านทางจอ LCD ด้านหลัง แทน ข้อดีข้อเสยี ของกลอ้ ง Mirror less ข้อดี 1. มขี นาดท่ีเล็ก เบา และพกพาสะดวก 2. ใหภ้ าพที่มคี ณุ ภาพสูงใกล้เคยี งกลอ้ ง DSLR 3. มกี ารออกแบบรูปทรง และหนา้ ท่ีทนั สมยั มหี ลากหลายสีใหเ้ ลือก
11 รปู ท่ี 2.17 กล้อง Mirror less (ท่มี า : www.relakkumako.com) ข้อเสีย 1. เน่ืองจากในบางรุ่นไม่มีช่องมองภาพมาให้ ทาให้ต้องมองภาพผ่านจอ LCD ตลอดเวลา แน่นอน การที่ใชจ้ อ LCD ตลอดเวลานั้นทาใหส้ ้ินเปลืองแบตเตอรี่ 2. การตอบสนองช้ากว่ากลอ้ ง DSLR 3. คุณภาพของไฟล์ภาพแม้ว่าจะเทียบเท่ากล้อง DLSR แต่ก็ยังมีข้อด้อยกว่าคือ ยังมีจุดรบกวน มากกวา่ 4. อุปกรณ์ต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างยังมีอยู่จากัด โดยเฉพาะเลนส์คือไม่สามารถที่จะใช้ร่วมกับกล้อง DSLR ได้โดยตรงจะต้องมีตวั อะแดปเตอรแ์ ปลงเลนส์มาเชอื่ มตอ่ จงึ จะสามารถนามาใชร้ ่วมกันได้ 2.2.6 ลาโพง ลาโพง (speaker) เป็นอปุ กรณ์ไฟฟ้าทที่ าหน้าทแ่ี ปลงสญั ญาณไฟฟ้าให้เป็นเสียง มีด้วยกันหลายแบบ คาว่าลาโพงมักจะเรียกรวมกัน ทั้งดอกลาโพง หรือตัวขับ (Driver) และลาโพงท้ังตู้) speaker system) ท่ี ประกอบด้วยลาโพงและวงจรอิเล็กทรอนิกส์สาหรับแบ่งย่านความถ่ีลาโพงนับเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในระบบ เคร่ืองเสียงโดยมีขนาดตั้งแตเ่ ล็กเทา่ ปลายน้ิว จนถงึ ใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางนับสิบน้ิวโดยมีโครงสร้างท่ีแตกต่าง กัน รปู ท่ี 2.18 ลาโพง (ท่มี า : www.tube_silicon.com)
12 ลาโพงคอมพิวเตอรห์ รอื ลาโพงมลั ตมิ เี ดยี เป็นลาโพงภายนอก ที่ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดย ผ่านชอ่ งเสยี บซ่งึ ตอ่ จากการด์ เสียงภายในเคร่ือง โดยอาจต่อเข้ากับแจ็คสเตอริโอธรรมดา หรือข้ัวต่ออาร์ซีเอ (RCA connector) และมจี ดุ เช่ือมต่อยเู อสบีสาหรบั ใชใ้ นปัจจุบัน โดยมีแรงดันไฟจ่าย 5 โวลต์ลาโพงคอมพิวเตอร์มักจะมี จดุ ขยายเสยี งขนาดเลก็ และชุดแหล่งจ่ายไฟต่างหากลาโพงคอมพิวเตอร์แต่ละย่ีห้อแต่ละรุ่นมีสมบัติแตกต่างกันไป แต่ปกตแิ ลว้ จะมีสมบตั มิ าตรฐานซ่ึงประกอบด้วย 1. ไฟLEDบอกสถานะเปดิ เครอ่ื ง 2. แจ็คเสียบหูฟงั ขนาด 1/8\" หรอื 1/4\" ไว้สาหรับเสยี บหฟู งั หรอื นาไปตอ่ เครือ่ งขยายอีกทีหนึง่ 3. ปุ่มปรบั ความดงั ทมุ้ แหลม 4. รโี มทคอนโทรลแบบมีสาย หรอื ไร้สาย สาหรับปรบั ระดบั เสียงหรือเปดิ ปดิ ลาโพง 2.2.7 หูฟงั หูฟัง (headphones) เป็นอุปกรณ์เคร่ืองเสียงชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทอุปกรณ์แสดงผลข้อมูลใน รูปแบบเสียงโดยมีหน้าที่คล้ายกับลาโพงประกอบด้วยตัวหูฟัง จะได้ยินเสียงเมื่อนาไปครอบกับหูและไมโครโฟน ขนาดเล็กในตัวสาหรบั ใช้สาหรบั ติดต่อสือ่ สารเพอ่ื การพูดได้ เช่นทางโทรศัพท์คอมพิวเตอร์เป็นต้น รวมถึงใช้เป็นสิ่ง บันเทิงในการฟังเพลงเล่นวิดีโอเกม ปรับให้เข้ากับกระบวนการทางานต่าง ๆ ที่ต้องใช้เสียง สามารถพกพาไปใน สถานที่ตา่ ง ๆ ได้เพราะมนี า้ หนักเบา รปู ที่ 2.18 หฟู งั แบบ Bluetooth (ทมี่ า : www.ryta.com) 2.2.8 โมเดม็ โมเดม็ เป็นการแปลงสัญญาณเพื่อให้ติดต่อกับคอมพิวเตอร์เคร่ืองอื่นได้โดยเช่ือมต่อคอมเข้ากับคู่สาย ของโทรศัพท์แล้วโมเด็มก็จะแปลงจากสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณอะนาล็อกโมเด็มเป็นอุปกรณ์สาหรับ คอมพิวเตอร์อย่างหน่ึงที่ช่วยให้สัมผัสกับโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย โมเด็มเป็นเสมือนโทรศัพท์สาหรับ คอมพิวเตอร์ท่ีจะช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถส่ือสารกับคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ได้ท่ัวโลก สามารถทางานให้
13 สาเร็จได้ก็ด้วยการเช่ือมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์เข้าคู่สายของโทรศัพท์ธรรมดาคู่หน่ึงซึ่งโมเด็มจะทาการแปลง สัญญาณดิจิตอล (Digital Signals) จากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อก (Analog Signals) เพื่อให้ สามารถส่งไปบนคู่สายโทรศัพท์ คาว่า โมเด็ม (Modems) มาจากคาว่า (Modulate/ demodulate) ผสมกัน หมายถึง กระบวนการแปลงข้อมูลข่าวสารดิจิตอลให้อยู่ในรูปของอนาล็อกแล้วจึงแปลงสัญญาณกลับเป็นดิจิตอล อีกคร้ังหน่งึ เมือ่ โมเด็มตอ่ เข้ากบั โมเด็มตัวอนื่ รูปท่ี 2.19 โมเด็ม (ทมี่ า : www.tp–link.com) 1. คณุ สมบตั ิของโมเด็ม โดยทว่ั ไปคณุ สมบัติของโมเด็มมดี งั น้ี (1) ความเร็วในการรับ–ส่งสัญญาณ หมายถึง อัตรา (Rate) โมเด็มสามารถทาการแลกเปล่ียน ขอ้ มลู กับโมเดม็ อ่นื ๆ มหี น่วยเปน็ บติ /วนิ าที (bps) หรือ กิโลบิต/วินาที (kbps) ในการบอกถึงความเร็วของโมเด็ม เพื่อให้ง่ายในการพูดและจดจา มักจะตัดเลขศูนย์ออกแล้วใช้ตัวอักษรแทน เช่น โมเด็ม 56,000 bps จะเรียกว่า โมเด็มขนาด 56 K (2) ความสามารถในการบีบอัดข้อมูลข้อมูลข่าวสารท่ีส่งออกไปบนโมเด็มน้ันสามารถทาให้มี ขนาดกะทัดรัดด้วยวิธีการบีบอัดข้อมูล (Compression) ทาให้สามารถส่งข้อมูลได้ครั้งละเป็นจานวนมาก ๆ เป็น การเพิม่ ความเร็วของโมเด็มในการรบั –สง่ สญั ญาณ (3) ความสามารถในการใช้เป็นโทรสารโมเด็มรุ่นใหม่ ๆ สามารถส่งและรับโทรสาร (Fax Capabilities) ได้ดีเช่นเดียวกับการรับ–ส่งข้อมูล หากมีซอฟท์แวร์ท่ีเหมาะสมแล้วสามารถใช้แฟกซ์โมเด็มเป็น เครื่องพิมพ์ (Printer) ไดเ้ ม่ือพิมพ์เข้าไปท่ีแฟกซ์โมเด็มจะสง่ เอกสารของไปยงั เคร่ืองโทรสารทป่ี ลายทางได้ (4) ความสามารถในการควบคุมความผิดพลาดโมเด็มจะใช้วิธีการควบคุมความผิดพลาด(Error control) ต่าง ๆ มากมายหลายวิธีในการตรวจสอบเพื่อการยืนยันว่าจะไม่มีข้อมูลใด ๆ สูญหายไประหว่างการส่ง ถ่ายข้อมูลจากคอมพิวเตอรเ์ ครื่องหนึง่ ไปยังอีกเครื่องหนงึ่ (5) ออกแบบให้ใช้ได้ท้ังภายในและภายนอกโมเด็มที่จาหน่ายในท้องตลาดทั่ว ๆ ไปมี 2 รูปแบบ คอื โมเดม็ แบบติดต้งั ภายนอก (External Modems) และแบบติดตั้งภายใน (Internal Modems) (6) ใช้เป็นโทรศัพท์ได้โมเด็มบางรุ่นมีการใส่วงจรโทรศัพท์ธรรมดาเข้าไปพร้อมกับความสามารถ ในการรับ–ส่งขอ้ มูลและโทรสารด้วย
14 2. ชนิดของโมเด็ม ปัจจุบันโมเด็มแบ่งตามเทคโนโลยีท่ีใช้ในการส่ือสารข้อมูลแบ่งได้เป็น 2 ชนิดดังน้ี (1) Dial–Up Modem (56K Dial–up) เป็นโมเด็มแบบอนาล็อกท่ีใช้ในการรับส่งสัญญาณผ่าน ระบบโทรศัพท์แบบธรรมดาเวลาเช่ือมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแต่ละคร้ังต้องหมุนหมายเลขโทรศั พท์ ไปยังผูใ้ ห้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ด้วยปัจจบุ นั ไม่นยิ มใช้ รปู ที่ 2.20 Dial–Up Modem (ท่มี า : http://computerdodee.blogspot.com) (2) ADSL Modem (High–Speed Internet) เป็นโมเด็มแบบดิจิตอลที่ใช้เทคโนโลยีในการ ติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลกันด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนคู่สายโทรศัพท์แบบธรรมดาโดย เ ลื อ ก ใ ช้ ย่ า น ค ว า ม ถี่ ที่ ไ ม่ มี ใ น ก า ร ใ ช้ ง า น อิ น เ ท อ ร์ เ น็ ต อี ก ท้ั ง เ ว ล า เ ชื่ อ ม ต่ อ กั บ ร ะ บ บ เ ค รื อ ข่ า ย อิ น เ ท อ ร์ เ น็ ต ในแต่ละครั้งไม่ต้องหมุนหมายเลขโทรศัพท์เหมือนกับ 56k Dial–Up อีกด้วย ปัจจุบันเทคโนโลยีเครือข่าย อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (High Speed Internet) และโมเด็มของ ADSL กาลังเป็นที่นิยมและได้กลายเป็น มาตรฐานท่ีใช้งานกันโดยทั่วไปซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้ความเร็วได้ตามต้องการจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เช่น 256/128, 512/256 และ 1024/512 Kbps เป็นต้นโดยแต่ละความเร็วจะมีอัตราค่าบริการแตกต่างกันไป สาหรับอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดด้วยระบบ ADSL ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 8192/ 1024 Kbps รับส่ง ข้อมูลขาลงจาก ISP (Download) ด้วยความเร็วสูงสุด16 Mbps และส่งข้อมูลขาขึ้นไปหาISP ด้วยความเร็วสูงสุด 1 Mbps รปู ท่ี 2.21 ADSL Modem (ทีม่ า : http://computerdodee.blogspot.com)
15 (3) รูปแบบของโมเด็มสามารถแบ่งออกตามลกั ษณะในการติดต้ังได้ดังน้ี 1. แบบติดตั้งภายใน (Internal Modem) ส่วนมากเป็นการ์ดแบบ PCI ที่ใช้เสียบลงบน เมนบอรด์ ข้อดขี องโมเด็มแบบนค้ี ือไม่มสี ายต่อรุงรังและไม่มีอะแดปเตอร์ (Adapter) สาหรบั จ่ายไฟเลย้ี ง 2. แบบติดตั้งภายนอก (External Modem) เป็นแบบตัวเคร่ืองขนาดเล็กวางตั้งไว้อยู่ ภายนอกตัวเครื่องในการเชื่อมต่อถ้าเป็นโมเด็ม 56k จะมีท้ังแบบที่ใช้กับพอร์ตอนุกรมและพอร์ต USB แต่ถ้าเป็น โมเดม็ ADSL จะมที งั้ แบบทีใ่ ชก้ ับชอ่ งต่อ RJ–45 ของการ์ด LAN และพอร์ต USB ส่วนสายสัญญาณโทรศัพท์จะใช้ เสียบเข้ากับช่องต่อ RJ–11 ของอุปกรณ์แยกสัญญาณ (Splitter) ข้อดีของโมเด็มแบบนี้คือติดตั้งได้ง่ายและมีไฟ บอกสถานะตลอดเวลา รปู ท่ี 2.22 External Modem (ท่ีมา : prolink.tarad.com) 3. ประโยชนข์ องการใชง้ านโมเด็ม มีดังต่อไปนี้ (1) พบปะพูดคุย (2) ใชบ้ ริการต่าง ๆ จากท่บี า้ น (3) ทอ่ งไปบนอินเทอร์เนต็ (4) เข้าถึงบริการออนไลน์ได้ (5) ดาวน์โหลดข้อมูล รปู ภาพและโปรแกรมแชรแ์ วร์ได้ (6) ส่ง –รบั โทรสาร (7) ตอบรบั โทรศัพท์ 4. การเลอื กซ้ือโมเด็ม ส่ิงท่ีควรพจิ ารณาในการเลอื กซอื้ โมเดม็ มาใชง้ าน เชน่ (1) เขา้ กันได้กับระบบคอมพวิ เตอร์ของ (2) เขา้ กันไดก้ บั ระบบทางาน OS ของคอมพวิ เตอร์ (3) ความเรว็ ในการรับ–สง่ สัญญาณ (4) เปน็ โมเด็มภายนอกหรอื ภายใน (5) การบบี อัดขอ้ มลู (6) ความสามารถในการควบคมุ ความผดิ พลาด (7) รับ–ส่งโทรสารได้ (8) ซอฟตแ์ วรส์ ่อื สาร
16 5. ส่ิงท่ีต้องใช้ร่วมกับโมเด็ม การท่ีสามารถใช้โมเด็มให้เกิดประโยชน์จากแหล่งข้อมูลน้ันจะต้อง ตรวจสอบว่ามีสิ่งเหลา่ น้ีพร้อมหรือไม่ (1) ซอฟตแ์ วรส์ ื่อสาร (2) พอรต์ อนกุ รม (Serial Port) (3) Fast UART เป็นซิปตัวหน่ึงท่ีติดต้ังบนพอร์ทอนุกรมของคอมพิวเตอร์เพ่ือควบคุมการไหล ของข้อมูลเข้าและออกจากพอรต์ อนุกรม (4) Serial Cable เปน็ สาย Cable ท่นี ามาตอ่ โมเด็มกบั พอร์ตอนุกรมของคอมพิวเตอร์ (5) Expansion slot ถ้าโมเด็มเป็นแบบติดตั้งภายในจะต้องมี Expansion Slot ใช้งาน โดย จะต้องถอดฝาครอบตวั เครอ่ื งคอมพิวเตอรอ์ อกและติดตั้งโมเดม็ ลงไปบน Expansion Slot
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: