การจัดการเรยี นรแู้ บบบรู ณาการแบบ STEM หวั ขอ้ ที่นาเสนอ ดังนี้ นางสาวบงั อร ดาด้วงโรม สว่ นที่ 1. รายงานการจัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ 1.1) การจัดการเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7E 1.2) การจัดการเรยี นรู้แบบบูรณาการแบบ STEM ส่วนท่ี 2. นาเสนอบทความ
แนวทางการจดั การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ - เป็นการจดั การเรียนการสอนท่ีสะท้อนลักษณะของวทิ ยาศาสตร์ - การใช้ทักษะกระบวนการตา่ ง ๆ เพอื่ สบื เสาะ สารวจ ทดลอง ด้วยวธิ ีที่ หลากหลาย เพ่อื อธิบายปรากฏการณห์ รือตอบคาถามทางวิทยาศาสตร์
แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ลักษณะสาคัญ การจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 7E - ผเู้ รียนเกดิ ความสนใจที่จะสบื เสาะหาความรู้จากคาถามทางวิทยาศาสตร์ - ผ้เู รียนใหค้ วามสาคัญกับหลกั ฐานทนี่ าไปสกู่ ารสรา้ งและตรวจสอบคาอธิบาย - ผเู้ รียนสรา้ งคาอธบิ ายจากหลกั ฐานหรือขอ้ มูลเพอ่ื ตอบคาถามทางวทิ ยาศาสตร์ - ผู้เรียนประเมนิ คาอธิบายของตนเชอ่ื มโยงกบั คาอธิบายอน่ื โดยเฉพาะคาอธบิ ายทางวิทยาศาสตร์ - ผู้เรียนสือ่ สารคาอธบิ ายทางวิทยาศาสตร์และสามารถให้เหตุผลคาอธบิ ายเหล่านนั้ ได้
แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ การจดั การเรียนรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ 7E - ทฤษฎกี ารสรา้ งองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง (Constructionism) เป็นทฤษฎีทางการศกึ ษาท่ี พฒั นาข้ึนโดย Professor Seymour Papert แห่ง M.I.T. (Massachusette Institute of Technology) ทฤษฎคี อนสตรัคช่นั นสิ ซึ่ม (Constructionism) หรือ - ทฤษฎกี ารสรา้ งองค์ความรู้ด้วยตนเอง เปน็ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ทีเ่ น้นผู้เรียนเป็นผสู้ ร้างองค์ ความรดู้ ้วยตนเอง ***ประสบการณใ์ หม/่ ความรู้ใหม+่ ประสบการณ์เดมิ /ความรเู้ ดิม = องค์ความร้ใู หม่ บุคคล
วิธีการสอน แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ การจดั การเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ 7E เป็นขัน้ ตอนการสอนท่ีพฒั นาจากแบบ 5E มาเป็ น 7E วิธีการสอนท่ัวไป วธิ กี ารสอนแบบ 5E วิธกี ารสอนแบบ 7E ขน้ั นา เข้าสู่บทเรียน ขน้ั สรา้ งความสนใ ขน้ั สอน ขน้ั สรปุ ขน้ั สรา้ งความสนใ (Engagement) (Engagement) ขน้ั ค้น หาความรู้เดมิ /ความรู้ พืน้ ฐาน (Elicit) ขนั้ สารว แล คน้ หา ขน้ั สารว แล ค้นหา (Exploration) (Exploration) ขนั้ อธิบายแล ลงข้อสรปุ ขนั้ อธิบายแล ลงข้อสรปุ (Explanation) (Explanation) ขน้ั ขยายความรู้(Elaboration) ขนั้ ขยายความรู้(Elaboration) ขนั้ ใช้ความเข้าใ ใน สถานการ ์ ใหม(่ Extension) ขนั้ ปร เมนิ (Evaluation) ขน้ั ปร เมิน (Evaluation)
แนวทางการจัดการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ขน้ั ตอนการเรยี นการสอน ลกั ษ สาคั ของการสืบเสา หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การสรา้ งความสนใ (Engagement) -ผเู้ รยี นเกิดความสนใ ท่ี สบื เสา หาความรู้ ากคาถามทาง ขน้ั คน้ หาความรเู้ ดิม วทิ ยาศาสตร์ การสารว แล คน้ หา (Exploration) - ผเู้ รยี นใหค้ วามสาคั กบั หลักฐานทน่ี าไปสกู่ ารสร้างแล ตรว สอบ คาอธิบาย ขน้ั อธิบายแล ลงข้อสรุป -ผูเ้ รียนสรา้ งคาอธิบาย ากหลักฐานหรือข้อมลู เพอื่ ตอบคาถามทาง วทิ ยาศาสตร์ ข้นั ขยายความรู้ -ผู้เรยี นปร เมนิ คาอธิบายของตนเช่ือมโยงกับอธิบาย อ่ืนโดยเ พา ขั้นใชค้ วามเข้าใ คาอธิบายทางวทิ ยาศาสตร์ ในสถานการ ใ์ หม่ - ผ้เู รียนปร เมินคาอธบิ ายของตนเช่ือมโยงกั บคาอธิบาย อื่นโดยเ พา ขั้นปร เมิน คาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ - ผูเ้ รยี นส่ือสารคาอธิบายทางวทิ ยาศาสตรแ์ ล สามารถใหเ้ หตผุ ล คาอธิบายเหล่าน้ันได้
แนวทางการจดั การเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ 1. กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในเน้อื หาและกจิ กรรมทจี่ ะเรียนรู้ 2. ถามคาถามที่ท้าทายให้นกั เรยี นอยากหาคาตอบ 3. ตรวจสอบความรู้เดิมของนกั เรยี นเกี่ยวกับแนวคิดหรือเนอ้ื หาที่กาลงั เรยี น 4. แนะแนวทางใหค้ าปรึกษาแก่นักเรยี น 5. สนบั สนนุ ให้นกั เรียนทางานกลุม่ และสร้างความสัมพนั ธอ์ นั ดีกับเพอื่ นร่วมช้ัน 6. สนบั สนนุ ใหน้ ักเรียนได้แสดงความคดิ เห็นอยา่ งเหมาะสมและรูจ้ กั ยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ ่ืน 7. อานวยความสะดวกและใหค้ าปรึกษาแก่นกั เรยี นตลอดการเรยี นการสอน 8. ประเมินผลการเรยี นรู้ของนักเรียน
แนวทางการจัดการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ 1.ศกึ ษาความรู้ใหม่ ๆ และฝกึ ให้ตนเองเป็นคนช่างสังเกตและตง้ั คาถาม รวมถึงทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ตัง้ คาถามเก่ียวกับเน้อื หาและกิจกรรมที่เรียนรู้ 3. ชา่ งสงั เกต ต้งั คาถาม และบันทึกขอ้ มลู ทกุ คร้งั ที่ศึกษาหาความรูใ้ หม่ ๆ 4. ใชท้ ักษะกระบวนการเรียนรทู้ ีห่ ลากหลายในการแสวงหาความรู้ 5. เช่ือมโยงความรู้วทิ ยาศาสตรม์ าบูรณาการเช้ากบั วิชาอนื่ ๆ 6.แสดงความคดิ เห็นอย่างเหมาะสมและยอมรับฟังความคิดเห็นของผ้อู ื่น 7. เชื่อมโยงความรเู้ ดมิ เขา้ กับความรใู้ หม่และสรา้ งองคค์ วามร้เู ป็นของตนเอง 8. มีเจตคตทิ ่ดี ีในการเสาะแสวงหาความรู้ 9. สรา้ งคุณลกั ษณะนกั วิทยาศาสตรใ์ หเ้ กิดขนึ้ ในตนเองตลอดเวลา เชน่ ความคดิ สร้างสรรค์ ความรบั ผิดชอบ
แนวทางการจดั การเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ บรรยากาศการจัดการช้ันเรียน 1. เปน็ บรรยากาศการเรยี นการสอนที่เน้นผ้เู รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง 2. เป็นบรรยากาศการโต้ตอบกันระหวา่ งครกู ับนกั เรยี นและนกั เรยี นกับนักเรยี นอยา่ งสรา้ งสรรค์ สมเหตสุ มผล 3. เปน็ บรรยากาศที่นกั เรยี นรู้สกึ อบอุ่นใจปลอดภยั ปราศจากการตาหนิวิพากษ์วิจารณค์ วามคดิ ไมม่ ีการ ตดั สินว่าถูกหรือผดิ 4. บรรยากาศต่นื เตน้ นา่ สนใจสนกุ สนานมีชีวติ ชวี า 5. นักเรียนสนใจกระตอื รอื ร้นให้ความร่วมมอื ในการทากิจกรรม 6. บรรยากาศการเรียนรเู้ ป็นแบบสร้างสรรค์และอิสระ
ตวั อยา่ งแผนการจดั การเรยี นรู้แบบวัฎจักร 7 ข้นั สรุปข้นั ตอนตัวอย่างการใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ 7 E เรื่อง เขม็ ขดั นิรภยั
ตวั อย่างแผนการจัดการเรยี นรู้แบบวัฎจกั ร 7 ข้นั
แนวทางการจัดการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ การจดั การเรียนร้แู บบบูรณาการแบบ STEM สะเต็มศึกษา คอื แนวทางการจดั การศกึ ษาที่บูรณาการความรู้ใน 4 สหวทิ ยาการ ได้แก่ วทิ ยาศาสตร์ วศิ วกรรม เทคโนโลยี และคณติ ศาสตร์ โดยเน้นการนาความรู้ไปใช้แก้ปัญหาใน ชวี ติ จริง รวมทั้งการพฒั นากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ท่เี ปน็ ประโยชน์ตอ่ การดาเนินชวี ิต และการทางาน ชว่ ยนกั เรียนสรา้ งความเชอื่ มโยงระหวา่ ง 4 สหวิทยาการ กับชวี ติ จรงิ และการ ทางาน สสวท.2557
แนวทางการจัดการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคชันนิสซึม (Constructionism) เป็น การเรียนรู้ท่ีเกิดจากการ สร้างพลังความรู้ในตนเองและด้วยตนเองของผู้เรียน หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความคิดและนา ความคิดตนเองไป สร้างสรรค์ ชิ้นงานโดยอาศัยส่ือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะทาให้เห็นความคิดน้ันเป็น รูปธรรมทช่ี ัดเจน (ทวปี แซ่ฉิน, 2556, น.11)
แนวทางการจดั การเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ สงิ่ ทเ่ี ปน็ จุดเนน้ ในการพัฒนานักเรียน - จัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่ วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากท่ีสุด ส่ งเสริมให้ ผ้ ูเรียนได้ ร่ วมทางานกล่ ุมด้ วยตนเอง - จัดประสบการณ์ตรงให้แก่ผู้เรียน โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากส่ิงท่เี ป็ นจริงท่ีเกดิ ขึน้ จริงในชีวิต และสามารถ นา ความรู้นัน้ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ - จดั บรรยากาศในชัน้ เรียนท่สี ่งเสริมให้ผู้เรียนเกดิ ความกล้าในการแสดงออก โดยผู้สอนต้องเปิ ดโอกาส ให้ ผู้เรียนได้แลกเปล่ียนความคดิ เหน็ กับผู้อ่ืนในกลุ่ม และในชัน้ เรียนสม่าเสมอ เพ่ือสร้างความม่ันใจให้กับผู้เรียน ใน การกล้าท่จี ะแสดงความคดิ เหน็ ของตนเองออกมา - ปลูกฝังจิตสานึก ค่านิยม และจริยธรรม ท่ถี ูกต้องและดีงาม โดยสอดแทรกในกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพ่อื ให้ผู้เรียนสามารถแยกแยะความถกู ต้องและดงี ามในการดารงชีวิตในสังคมได้
แนวทางการจัดการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ลักษณะสาคญั ของวิธกี ารสอน - เป็นการบรู ณาการข้ามกลุ่มสาระวชิ า (Interdisciplinary Integration) น่ันคือเป็ นการบูรณาการ ระหว่างศาสตร์สาขาต่าง ๆ ได้แก่ วทิ ยาศาสตร์ (S) เทคโนโลยี (T) วศิ วกรรมศาสตร์ (E) และ คณิตศาสตร์ (M) - เปน็ การบรูณาการทส่ี ามารถจดั สอนได้ในทุกระดบั ช้นั ตั้งแต่ชนั้ อนบุ าล จนถงึ มัธยมศกึ ษาตอน ปลาย พบว่าในประเทศสหรฐั อเมริกาไดก้ าหนดเปน็ นโยบายทางการศึกษา ใหแ้ ต่ละรฐั นา STEM Education มาใช้ ผลจากการศกึ ษาพบว่า ครผู ู้สอนใช้วิธีการสอนแบบ Project-based Learning, Problem-based Learning, Design-based Learning ทาให้นักเรียน สามารถสร้างสรรค์พัฒนาชิน้ งาน ได้ดี
แนวทางการจดั การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ขั้นตอนการสอน ประกอบด้วย 6 ขัน้ ตอน ตามการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม (EDP) 1. ระบปุ ญั หา (Problem Identification) 2. รวบรวมข้อมูลและแนวคดิ ท่เี ก่ียวข้องกับปัญหา (Related Information Search) 3. ออกแบบวิธีการแกป้ ญั หา (Solution Design) 4. วางแผนและดาเนินการแกป้ ญั หา (Planning and Development) 5. ทดสอบ ประเมนิ ผลและปรับปรุงแก้ไขวธิ ีการแก้ปัญหาหรือชนิ้ งาน (Testing,Evaluationand Design Improvement) 6. นาเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือชนิ้ งาน (Presentation) อ้างองิ จาก สสวท ปี 2557.
แนวทางการจัดการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ บทบาทของครู 1. จดั บรรยากาศและสภาพแวดล้อมทีต่ ่นื เต้นนา่ สนใจสนกุ สนานมีชีวิตชีวา เพ่อื ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นพฒั นา กระบวนการคดิ และการแก้ปัญหาในสถานการณ์จรงิ 2. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรตู้ ามแนวสะเตม็ ศกึ ษาที่ท้าทายความรู้ ความสามารถกระบวนการคดิ และ การแก้ปญั หาของผู้เรียนโดยใชส้ ถานการณท์ ่เี ปน็ ปญั หาในโลกปจั จบุ นั 3. จดั กิจกรรมท่ีใหผ้ ู้เรียนลงมือปฏิบตั ิ 4. จดั กิจกรรมการเรยี นร้แู บบบูรณาการใน 3 สาระไดแ้ กส่ าระวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีโดย สอดแทรกกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม 5. จดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเปน็ ฐาน (Project-based learning) โดย สรา้ งสถานการณท์ ่เี ป็น ปัญหาเกย่ี วกบั ชีวิตจริงและทา้ ทายกระบวนการคดิ ของผู้เรยี น
แนวทางการจัดการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ บทบาทของนกั เรยี น และบรรยากาศการจดั การชั้นเรยี น ศึกษาความรูใ้ หม่ ๆ และฝกึ ให้ตนเองเป็นคนชา่ งสงั เกตและตง้ั คาถาม บรรยากาศภายในหอ้ งเรยี น รวมถึงทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1 เปน็ บรรยากาศการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง 2. ตง้ั คาถามเก่ยี วกบั เนอ้ื หาและกิจกรรมทีเ่ รียนรู้ 2 เป็นบรรยากาศการโต้ตอบกันระหว่างครูกับนักเรียนและนักเรียน 3. ช่างสงั เกต ตง้ั คาถาม และบันทึกข้อมูลทกุ ครงั้ ท่ศี กึ ษาหาความรู้ กับนักเรยี นอย่างสร้างสรรค์สมเหตุสมผล ใหม่ ๆ 3 เป็นบรรยากาศที่นักเรียนรู้สึกอบอุ่นใจปลอดภัยปราศจากการ 4. ใชท้ ักษะกระบวนการเรียนรู้ทห่ี ลากหลายในการแสวงหาความรู้ ตาหนวิ พิ ากษ์วจิ ารณค์ วามคิดไมม่ กี ารตัดสินว่าถกู หรอื ผิด 5. เช่ือมโยงความรวู้ ิทยาศาสตรม์ าบูรณาการเชา้ กบั วิชาอ่นื ๆ 6.แสดงความคิดเหน็ อยา่ งเหมาะสมและยอมรับฟงั ความคดิ เห็นของ 4 บรรยากาศตื่นเต้นนา่ สนใจสนกุ สนานมีชวี ติ ชีวา ผูอ้ ืน่ 5 นกั เรียนสนใจกระตอื รอื ร้นใหค้ วามรว่ มมอื ในการทากิจกรรม 7. เชอื่ มโยงความร้เู ดิมเข้ากบั ความรูใ้ หม่และสร้างองคค์ วามรูเ้ ป็นของ 6 บรรยากาศการเรียนรูเ้ ป็นแบบสรา้ งสรรคแ์ ละอิสระ ตนเอง 8. มีเจตคตทิ ดี่ ใี นการเสาะแสวงหาความรู้ 9. สรา้ งคณุ ลกั ษณะนกั วทิ ยาศาสตร์ให้เกดิ ขน้ึ ในตนเองตลอดเวลา เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความรบั ผิดชอบ เปน็ ตน้
บทความ บทบาทของครูวทิ ยาศาสตรก์ ับการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ในยคุ ปฏิรูปการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปการศึกษาเช่ือว่าในวงการครู-อาจารย์ในทุก ระดับจะให้ความสาคัญกับการจัดเรียนการสอนท่ีหลากหลายและมีเทคนิคการสอนที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับผู้เรียนท่ี แตกต่างกนั ขึ้นอยูก่ ับความถนดั ความสนใจและธรรมชาติของแตล่ ะเนือ้ หา ว่ามคี วามยากงา่ ย เปน็ อย่างไร การจดั การเรยี นการสอนตามหลักสูตรการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ทม่ี ุ่งเน้นใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ท่ีเนน้ การเชื่อมโยงความรกู้ ับกระบวนการ เพือ่ ให้เกดิ ทักษะ สาคัญในการค้นควา้ และ สรา้ งองคค์ วามรู้ โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละการแกป้ ญั หา ซึ่งสง่ ผลให้ นกั เรียนมีส่วนรว่ มในการเรยี นรู้ในทุก ขน้ั ตอน มกี ารทากจิ กรรมดว้ ยการลงมือปฏิบัตจิ ริงอยา่ งหลากหลายและ เหมาะสมกบั ระดับชั้นเรียน เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นเกดิ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู้ การ แก้ปญั หาและจติ วทิ ยาศาสตร์ ในการใชว้ ิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ มีเจตคติและค่านยิ มท่ี เหมาะสมต่อวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
บทความ การออกแบบการเรียนการสอนจึงต้องมีความสอดคล้องกับการเปล่ียนแปลง เพ่ือส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจึงขอนาเสนอเป็นบทความเรื่อง บทบาทของครูวิทยาศาสตร์กับการ จดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ ของครู ครูต้องมีบทบาท 1) กระต้นุ ให้นักเรียนเกิดความสนใจในเน้ือหา และกิจกรรมท่ีจะเรียนรู้ 2).ถามคาถามที่ท้าทายให้นักเรียนอยากหาคาตอบ 3) ตรวจสอบความรู้เดิมของ นักเรียนเกี่ยวกับแนวคิดหรือเนื้อหาที่กาลังเรียน 4)แนะแนวทางให้คาปรึกษาแก่นักเรียน 5)สนับสนุนให้นักเรียน ทางานกลุ่มและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมช้ัน 6) สนับสนุนให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นอย่าง เหมาะสมและรูจ้ ักยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ นื่ 7) อานวยความสะดวกและให้คาปรึกษาแก่นักเรียนตลอด การเรียนการสอน 8)ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ท่ีผู้ ศกึ ษาเลือกมานาเสนอ คือการสอนโดยการสืบเสาะทางวทิ ยาศาสตร์โดยรูปแบบ 7E
บทความ จุดเน้นของการจดั การเรยี นรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ วิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการค้นหาความ ริงของธรรมชาติวิธีหน่ึงที่ได้ผลแน่นนอนแล แม่นยาที่สุด หลักของวิทยาศาสตร์ เน้นการศึกษาแล ปฏิบัติอย่างมีข้ันตอน ศึกษา ากส่ิงท่ีมีอยู่สามารถรู้เห็นหรือสัมผัสได้ ริง ใช้เหตุผล แล มีความเช่ือเม่ือได้มี การพสิ ู น์หรอทดลอง นเหน็ ผลอย่างชดั เ น การสืบเสา หาความรู้ (Inquiry) มีความหมายมากกว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล มีความหมา ย มากกว่าการทาการ ทดลอง การสืบเสา หาความรู้นอก าก ต้องใช้หลักการเหตุผล แล ข้อมูลท่ีได้ ากการทดลองแล้วยังต้องใช้ ินตนาการ ความสร้างสรรค์แล การลงความเห็นร่วมกัน แม้ว่าคนเพียงคนเดียวสามารถค้นพบเรื่องที่ย่ิงให ่ได้แต่ ความก้าวหน้าทาง วทิ ยาศาสตร์ขึน้ อยกู่ บั คนกลุ่มให ท่ ย่ี อมรบั ความคิดเหน็ น้ันรว่ มกัน
บทความ จุดเนน้ ของการจัดการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ ส่ิงที่เป็น ุดเน้นในการพัฒนานักเรียนโดยใช้การ ัดการเรียนรู้แบบสืบเสา ทางวิทยาศาสตร์แบบ 7E คือ ทักษ การ ตั้งคาถามทางวิทยาศาสตร์ ทักษ กร บวนการทางวิทยาศาสตร์ การทางานด้านวิทยาศาสตร์ ทักษ การตีความ การลงข้อสรุป แล การคดิ ที่เป็นเหตเุ ป็นผล ในการจัดการเรียนรู้โดยวิธีสืบเสาะหาความรู้ มีจุดเด่น คือ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ให้ผู้เรียนเกิดการ ค้นคว้าหาความรดู้ ว้ ยตนเอง โดยใชก้ ระบวนสืบเสาะหาความรู้ เปน็ การพฒั นากระบวนการคิดอย่างเปน็ ระบบ ใหผ้ ู้เรียนไดฝ้ กึ ปฏิบตั ิ ได้ฝึกคิด วิเคราะห์ แยกแยะ แก้ปัญหาด้วยตนเอง จนเกิดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ โดยมีขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ท่ี สาคัญ 5 ข้ันตอน (5E) คือ ข้ันเร้าความสนใจ (Engagement) ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ตอ่ มา
บทความ ต่อมามีการพัฒนาการเรยี นการสอน 5E เป็น 7E (Eisenkraft, 2003) โดย เพมิ่ ขน้ั หาความรเู้ ดิม/ความรพู้ ืน้ ฐาน (Elicit) เขา้ ไปตอ่ จากขั้น สร้างความสนใจ (Engagement) เพอ่ื เนน้ การศกึ ษาความรเู้ ดิมของผู้เรยี นเพิ่มจากขั้นการนาเขา้ สบู่ ทเรยี น ทั้งข้นั การสร้างความสนใจและการคน้ หา ความรู้ เดิมหรือความรู้พื้นฐานของผเู้ รยี นสามารถสลบั ลาดับขนั้ บนั ใดตามความเหมาะสม ข้นั ตอนการเรียนการสอน ลกั ษ สาคั ของการสืบเสา หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การสรา้ งความสนใ (Engagement) -ผ้เู รยี นเกิดความสนใ ท่ี สืบเสา หาความรู้ ากคาถามทาง ขั้นคน้ หาความรูเ้ ดมิ วิทยาศาสตร์ การสารว แล คน้ หา (Exploration) - ผู้เรยี นให้ความสาคั กับหลักฐานท่นี าไปสกู่ ารสรา้ งแล ตรว สอบ ขัน้ อธิบายแล ลงข้อสรปุ คาอธบิ าย -ผ้เู รยี นสรา้ งคาอธบิ าย ากหลกั ฐานหรือข้อมูลเพอื่ ตอบคาถาม ขนั้ ขยายความรู้ ทาง วิทยาศาสตร์ ขัน้ ใช้ความเขา้ ใ -ผู้เรยี นปร เมนิ คาอธบิ ายของตนเชอ่ื มโยงกั บอธิบาย อ่นื ในสถานการ ใ์ หม่ โดยเ พา ข้นั ปร เมนิ คาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ - ผ้เู รียนปร เมินคาอธิบายของตนเชอื่ มโยงกั บคาอธบิ าย อืน่ โดยเ พา คาอธบิ ายทางวทิ ยาศาสตร์ - ผูเ้ รยี นสอื่ สารคาอธบิ ายทางวทิ ยาศาสตรแ์ ล สามารถให้เหตผุ ล คาอธิบายเหล่าน้นั ได้
บทความ จดุ ประสงค์ การจัดการเรียนรู้ที่ยึดการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-based learning) โดยมีวัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียน ได้ฝึ กประสบการณ์การสร้าง องค์วามรู้ด้วยตนเอง เกิดความเข้าใจ มีทักษะ และเจตคติท่ดี ีต่อ วิทยาศาสตร์ ผ่าน กระบวนการสารวจตรวจสอบหรือทดลอง ขอ้ ดีของการสอนแบบสืบเสาะหาความรมู้ ีดังนี้ คอื ข้อจากัดของการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้มีดังนี้ 1. นักเรียนมีโอกาสได้พัฒนาความคิดอย่างเต็มท่ีได้ศึกษาค้นคว้าด้วย 1. ใช้เวลามากในการสอนแต่ละครัง้ ตนเองจึงมีความอยากเรยี นรู้อยตู่ ลอดเวลา 2. ถ้าสถานการณ์ท่ีครูสร้างขึน้ ไม่ทาให้น่า สงสัยแปลกใจ จะทาให้นักเรียนเบ่อื หน่าย 2. นักเรียนมีโอกาสได้ฝึ กความคิดและฝึ กการกระทาทาให้ได้เรียนรู้วิธี 3. นักเรียนท่ีมีระดับสติปัญญาต่าและ จัดระบบความคิดและวิธีเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทาให้ความรู้คงทนและ เนือ้ หาวิชาค่อนข้างยาก นักเรียนอาจจะไม่สามารถ ถา่ ยโยงการเรยี นรไู้ ดก้ ล่าวคือ ทาให้สามารถจดจาได้นาน และนาไปใช้ในสถานการณ์ ศกึ ษาหาความรดู้ ว้ ยตนเองได้ ใหม่ได้ 4. นักเรียนบางคนท่ยี ังไม่เป็ นผู้ใหญ่พอ ทาให้ ขาดแรงจงู ใจท่จี ะศกึ ษาปัญหา 3. นักเรียนเป็ นศนู ย์กลางของการเรียนการสอน 4. นักเรียนสามารถเรียนรู้มโนมตแิ ละหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้เร็วขึน้ 5. นักเรียนจะเป็ นผู้มีเจตคตทิ ่ดี ตี ่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
บทความ ากบทบาทของครูเก่ียวกับการสอนแบบสืบเสา หาความรู้ สรปุ ได้วา่ ผู้สอนทา หน้าท่ีเปน็ ผสู้ รา้ งสถานการ ์ข้ึนมา เพ่อื ให้นกั เรียนไดร้ ่วมกนั คิดแกป้ ั หาแล ปฏิบัติ กิ กรรมดว้ ยตวั นักเรยี นเองโดยอาศยั ทกั ษ กร บวนการทางวิทยาศาสตร์ บทบาทของครู ครูมีบทบาทในการสรา้ งความสนใ โดย สรา้ งความอยากรู้อยากเหน็ หลัง ากการ ัดเรียนรู้แบบสืบเสา หาความรู้ ผู้เรียนมีความความรู้ความเข้าใ นกั เรียนมโี อกาสได้พัฒนาความคิดอย่างเต็มท่ไี ดศ้ กึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง นักเรียนได้มีโอกาส ได้ฝึกความคิดแล ฝึกการกร ทาทาให้ได้เรียนรู้วิธี ัดร บบความคิด แล วิธีเสา แสวงหา ความรูด้ ้วยตนเอง ทาให้ความร้คู งทนแล ถา่ ยโยงการเรียนรูไ้ ดก้ ลา่ วคอื ทาให้ สามารถ ด า ไดน้ าน แล นาไปใช้ในสถานการ ์ใหม่อีกดว้ ย
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: