บทที่ 2 ระบบบังคบั เลีย้ ว (Steering System) หนา้ ที่และความสำคญั ของระบบบงั คบั เลย้ี ว ระบบบังคับเลยี้ ว เปน็ ระบบกลไกท่ที ำหน้าที่ควบคุมการเล้ียวให้รถเล้ยี วไปในทิศทางทตี่ อ้ งการ โดยจะทำ หนา้ ทคี่ วบคู่สมั พนั ธ์ไปกบั ระบบต่างๆ เช่น ระบบรองรับ ระบบส่งกำลงั และระบบเบรก ช่วยทำให้ผู้ขับขมี่ ีความ เชื่อมนั่ ในทกุ ๆ ยา่ นความเร้วที่รถได้เคลือ่ นทไ่ี ป ระบบคบั เล้ียวทดี่ ตี อ้ งมลี ักษณะดังน้ี 1. มคี วามคลอ่ งตวั ดใี นการบงั คับเล้ียว ท้งั ในที่แคบและคดเคย้ี ว ระบบบังคบั ทดี่ ตี อ้ งสามารถควบคุม ทิศ ทางการเลยี้ วของล้อหนา้ ทงั้ สองล้อไดเ้ ป็นอย่างดี และมคี วามคล่องตัวสงู 2. ความเหมาะสมในการบงั คับเล้ียว จุดมงุ่ หมายที่สำคญั ของระบบบงั คับเล้ยี วทด่ี ีตอ้ งการบังคบั เล้ียว สะดวกสบาย ขณะทร่ี ถมีควม่ เรว็ ต่ำพวงมาลัยจะหนกั และเบาข้ึนเม่ือรถมีความเรว็ สูงข้นึ 3. การคืนกับของลอ้ หลงั จากการเล้ียว ต้องกระทำได้อย่างคล่องตัวและสม่ำเสมอ 4. รบั การถา่ ยทอดอาการเต้นจากพ้นื ถนนได้นอ้ ย พ้นื ผวิ ถนนทีข่ รขุ ระจะตอ้ งไม่มีผลกระทบกบั ระบบ บังคบั เล้ียว 5. การสูญเสียการควบคมุ และการส่งกำลงั ของพวงมาลัยจะตอ้ งมนี ้อย ระบบบงั คับเล้ยี ว ระบบบงั คับเลี้ยวของรถยนตไ์ ดร้ ับการพฒั นามาเปน็ ลำดับจนถงึ ปัจจบุ ัน เพ่อื ใหก้ ารบังคับเลี้ยวของล้อ หน้าเป็นไปด้วยความสะดวก นุ่มนวล แบง่ วิธีบังคบั เล้ียวไดด้ งั น้ี
1. ระบบจดุ หมุนจุดเดยี ว (Single Pivot System) ปกตริ ถนยนต์จะมีล้อเพยี ง 4 ล้อ จดุ หมุนของล้อมี แผน่ เหล็กกลมขนาดใหญ่รองอยจู่ งึ เรียกวา่ ล้อที่ 5 บริเวณท่ีก่ึงกลางเพลาลอ้ หน้มสี ลักใหญ่ เปน็ จุดหมนุ สำหรบั การเลย้ี ว โดยมแี ผน่ เหล็กกลมขนาดใหญ่ รองเพอื่ ลดความฝืด ข้อเสียของวธิ บี งั คับเล้ยี วแบบนีค้ ือ ล้อและเพลา เคลอื่ นทไ่ี ปได้ดว้ ยกันทำใหม้ นี ำ้ หนกั มาก 2. แบบอุดเคอร์มันนห์ รอื แบบจดุ หมุนสองจุด (Ackermann or Double Pivot System) การ ทำงานของ ระบบบงั คบั เลี้ยวแบบนใี้ ช้กับระบบรองรบั นำ้ หนักแบบคานแข็ง โดยท่ปี ลายทัง้ สองของคานหนา้ มีจุด หมนุ 2 จดุ โดยหมุนรอบสลกั ล้อหน้า ชดุ แกนลอ้ หน้า ดา้ นในเจาะรูสำหรบั สวมสลักลอ้ หนา้ เขา้ กับคานหน้า ด้าน ปลาย ของชดุ แกนล้อหนา้ จะเปน็ เพลาใส่ล้อรถลอ้ รถจะหมนุ รอบปลายแกนเพลาซึง่ เปน็ ส่วนปลายของชดุ แกนลอ้
3.ก้านตอ่ บงั คบั เลย้ี ว (Steering Linkages) คือ ช้ินส่วนตา่ งๆ ทีท่ ำหนา้ ที่ถา่ ยทอด การเคลือ่ นท่ีใน ระบบ บังคับเลี้ยว ประกอบด้วยกา้ นต่อและแขนบังคบั เล้ียว โดยไดร้ ับการสง่ ถ่ายกำลังจากกระปกุ พวงมาลยั การ คลือ่ น ทีไ่ ปยงั ล้อหน้าท้ังดา้ นซา้ ยและดา้ นขวา ก้านต่อบังคับเลยี้ วมอี ยหู่ ลายแบบที่นิยมใช้กนั แบ่งออกไดด้ งั นี้ 3.1 กา้ นตอ่ บังคับเลยี้ วระบบรองรบั ลอ้ หน้าอิสระ ก้านตอ่ บงั คับเล้ียวที่ใช้กบั ระบบรองรบั แบบนี้จะมีจุดต่อหลายจุดเพ่ือใหล้ อ้ รถแต่ละดา้ นสามารถ เคล่ือนท่ี ข้นึ ลงไดอ้ ย่างอิสระ ระยะหา่ งระหวา่ งแขนที่บังคบั เล้ยี วจะเปลย่ี นไป คนั สง่ จึงถกู นำมาใช้เป็น จุดตอ่ เชือ่ ม ระหว่าง ลอ้ ทัง้ สองดา้ น ถา้ ใช้คนั ส่งเพยี งจุดเดยี ว ส่วนประกอบของกา้ นตอ่ บังคบั เล้ียว กา้ นตอ่ บงั คับเลยี้ วใช้ในการบงั คบั เลี้ยวของรถยนต์ จะประกอบดว้ ยสว่ นท่สี ำคัญดงั น้ี 1.ขาไก่ (Pitman Arm) ทำหนา้ ท่ีสง่ ถา่ ยแรงเคล่ือนจากกระปกุ เกียรพ์ วงมาลยั ไปยังคันชักขาไก่ จะมีลักษณะของปลายด้านใหญเ่ ป็นเทเปอร์ และทปี่ ลายของเทเปอรจ์ ะถกู เจาะเซาะเปน็ ร่องใหม้ ีขนาดเทา่ กบั เพลาของกระปกุ เกียร์พวงมาลัย ขาไกจ่ ะถูกยดึ ด้วยนอตประกอบเขา้ กบั เพลา ส่วนปลายดา้ นเล็กของขาไก่ จะยึด อยูก่ บั คันชกั และก้านดึงลูกหมากเพลาของกระปุกเกียรพ์ วงมาลยั 2.แขนบงั คับเลย้ี ว (Knuckle Arm) แขนบังคับเล้ียวเปน็ แขนทีย่ ึดติดกบั ขอ้ บังคับเลย้ี วจะทำหน้า ท่สี ง่ ถา่ ยการเคลอื่ นทขี่ องคนั ส่งไปยงั ลอ้ หนา้ โดยผ่านทางแกนบงั คบั เลย้ี ว 3.แกนบงั คบั เล้ยี ว (Steering Knuckle) เปน็ ตัวรองรบั ภาระงานทีม่ ากระทำกบั ลอ้ หน้านอกจากน้ัน แกนบงั คบั เล้ียวยงั ทำหนา้ ทห่ี มนุ เพลาลอ้ ให้หมนุ ซ่ึงจะถูกบังคับให้หมนุ เคลือ่ นท่ไี ปมาได้ด้วยลกู หมาก หรือสลักยึด ระหวา่ งคานล้อหนา้ กับแขนบงั คับเลี้ยว 4. (Drag Link) คอื แขนต่อระหวา่ งกระปุกพวงมาลยั กับแขนบงั คบั เลี้ยว รถที่ใชร้ ะบบรองรบั น้ำ หนัก แบบคานแขง็ มักจะใช้คนั คันชกั จะทำเป็นท่อ ตอนปลายมีสลักกลมและใส่สปริงกันสะเทอื น สลักลมจะทำ หน้า ท่เี ปน็ ลูกหมากตอ่ เข้ากับขาไก่พวงมาลัยซึ่งจะสง่ ต่อแรงจากการเคล่ือนทจ่ี ากขาไก่ไปยงั คนั ส่ง 5. (Tie Rod) คันสง่ อาจจะอยู่ด้านหลงั หรือดา้ นหน้าของเพลาหนา้ คนั สง่ ทำดว้ ยเหล็กลวง โดยทป่ี ลาย ทง้ั สองทำเป็นเกลยี ว มกั จะทำเป็นเกลียว มักจะทำเป็นเกลียวซ้ายขา้ งหนง่ึ และเกลยี วขวาข้างหนึง่ เกลียวนเี้ ป็นที่ สวมใส่ลกู หมากและมเี หล็กยดึ (Clamp) กันคลาย หรอื อาจทำเปน็ อตล็อกและมแี หวนพบั ล็อก เกลียวของปลาย คนั สง่ และเกลยี วลกู หมากเปน็ เกลยี วซา้ ยและเกลียวขวา จึงทำให้สามารถปรบั มุมโทอินได้ 6. ลูกหมาก (Tie-Rod End or Ball Socket Joint) ทส่ี ว่ นปลายคนั ส่งจะมีลกู หมากเปน็ ตวั ต่อกับ แขน บังคับเล้ียวและก้านต่ออืน่ เช่น ก้านตอ่ กลาง ซงึ่ จะต้องหมุนและเต้นได้ จดุ หมนุ จึงทำเปน็ รูปทรงกลม โดยมี สลกั ยดึ กับชน้ิ สว่ นอนื่ ได้ ลกู หมากจะมี Ball Stud และเบ้าประกอบ (Ball Socket) สว่ นใหญ่เบ้าลกู หมากประ กอบด้วยชิน้ สว่ นทเ่ี ปน็ เหล็ก จึงต้องอดั จาระบีชนิดทนนำ้ ตามระยะเวลา และมสี ปริงดนั เบ้าเข้ากระชบั กบั Ball
Stud ในปจั จุบนั ลกู หมากหลายแบบใช้สารไนลอนเป็นเบา้ จงึ ไม่จำเป็นต้องอดั จาระบี ลูกหมากชนิดนจ้ี ึงไม่มี หวั อัดจาระบี 7. แขนประคอง (Idler Arm) หรอื แขนพา เป็นตวั บงั คบั ใหก้ ารเคลอ่ื นทข่ี องบงั คับเล้ียวเป็นรูป สีเ่ หล่ียม ดา้ นขนาน ใชใ้ นระบบบังคับแบบสเี่ หลยี่ มดา้ นขนานซึ่งเป็นแบบท่ใี ช้กนั มากท่ีสดุ มีหลายแบบดังนี้ 7.1 แบบบชุ เกลยี ว (Threadee Bushing) แบบบุชเกลียวนี้ ดา้ นโคนมสี ลกั เกลียวสวมอยกู่ บั ตัวยดึ เกลียว ของแขนกับตัวยดึ มีลกั ษณะเปน็ เกลียวสเี่ หลยี ม ซ่ึงมรี ะยะฟรมี ากกว่าเกลยี วปกติ จงึ ทำให้หมุนส่ายไปมาได้ ด้านปลายทำเปน็ เหลก็ กลมสวมเข้ากบั กา้ นตอ่ กลาง ซึง่ ทำเปน็ ท่อมีเบ้าและสปริงบีบให้ติดกัน ปลายทอ่ ทำ เปน็ เกลียวมีสกรปู รับใหก้ ระชบั กับเหลก็ กลมไดต้ ามต้องการ 7.2 แบบชน้ิ เดยี ว (One Piece) แบบนแี้ ขนประคองและตัวยึดจะได้รบั การออกแบบให้เปน็ ชน้ิ เดียวกัน ถ้าบชุ เกิดชำรุดต้องเปลยี่ นใหม่ 7.3 แบบบุชยาง (Rubber Bushing) แบบนนแ้ี ขนประคองดา้ นโคนที่ตดิ อยูก่ ับตวั ยดึ (Bracket) บชุ ยางสามารถเปล่ียนได้ 8. โช้กอัพกันสะเทอื นพวงมาลยั (Steering Damper) โชก้ อัพจะถกู ติดตั้งไวร้ ะหว่างก้าน ตอ่ บังคับเลี้ยวและโครงรถ โชก้ อัพพวงมาลยั จะทำหน้าที่ลดอาการส่นั สะเทอื นทเี่ กดิ จากลอ้ สง่ ถ่ายมายงั พวงมาลยั เน่ืองจากสภาพพื้นผวิ ถนนขรขุ ระหรือไม่ราบเรียบ มใี ชร้ ถยนต์ท่ียกระดับตัวถังสงู เพ่ือใส่ ล้อขนาดใหญ่ โครงสร้างของกระปุกพวงมาลยั กระปกุ พวงมาลยั (Steering Box) โดยทัง่ ไปได้ออกแบบไว้หลายชนดิ เพื่อใหเ้ หมาะสมกับชนิดของรถ ในการ ทำงานรว่ มกบั กลไก ก้านต่อตา่ งๆ อาจแบ่งหนา้ ท่ีของกระปกุ พวงมาลยั ได้ดงั นี้ 1. ลดรอบการหมนุ ของพวงมาลัย แกนพวงมาลัยจะสง่ ถา่ ยการหมนุ ทำให้เฟืองทบ่ี รรจุอยู่ภายใน กระปกุ พวงมาลัยทำหน้าท่ีลดรอบการหมนุ ของพวงมาลัย 2. เปลยี่ นแปลงอาการหมนุ (Rotary Motion) ของพวงมาลยั ใหล้ อ้ หนา้ ทัง้ ดา้ นซ้ายและดา้ นขวา เคล่อื นท่หี ันไปหันมา ทิศทางการหมนุ ของพวงมาลยั จะต้องสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกนั กบั ทิศทาง การเลี้ยวของ ล้อ 3. ชว่ ยผ่อนแรงในการบงั คับเลย้ี ว โดยการเพ่มิ แรงบดิ ให้มากขนึ้ อัตราสว่ นทลี่ ดลง เรยี กวา่ อัตรา ทดของการบังคับเล้ยี ว ค่าจะอยรู่ ะหวา่ ง 10-20 ตอ่ 1 อัตราทดของกระปกุ พวงมาลัยยงิ่ มีมากยง่ิ ทำให้ การหมุน พวงมาลยั เบาขณะท่เี ลย้ี วเข้าโค้ง 4. ลดการสะเทอื น ขณะท่ีรถว่ิงผา่ นถนนท่ขี รขุ ระ จะทำให้ลอ้ หนา้ บดิ ตัวไปมา ลอ้ ทีบ่ ิดตวั อยา่ งรวดเร็ว นจ้ี ะสง่ แรงผา่ นไปยังพวงมาลัย ถ้าพวงมาลัยไม่ทดรอบไว้ อาการสนั่ สะเทือนจะสง่ ไปยังผ้ขู บั ข่ี การทดสอบยิง่ มาก จะทำใหก้ ระปุกพวงมาลยั ลดอาการสั่นสะเทือนมากขึ้น แต่การบังคับรถไดไ้ ม่คอ่ ยดนี ัก เพราะจะต้องหมุน
พวงมาลัยมากขึ้น จึงจะทำให้รถเล้ยี วไดเ้ ท่าเดิม ทำให้การเลีย้ วชา้ ลงทำให้เกิดอนั ตรายในขณะทเ่ี ลย้ี วด้วย ความเรว็ สูง โครงสร้างของกระปกุ พวงมาลยั ประกอบดว้ ยส่วนสำคัญดังน้ี 1.เรือนกระปุกพวงมาลัย (Gear Housing) ทำดว้ ยเหล็กหลอ่ ยดึ ติดอยู่กับโครงรถทำหนา้ ที่บรรจุไกเฟือง ทดรอบ ซง่ึ จะมีลักษณะท่แี ตกต่างกัน เชน่ เฟืองตัวหนอน ลูกเบย้ี วเฟืองเซกเตอร์ และกระเด่ือง เป็นต้น 2. แกนพวงมาลัย (Steering Column) หรอื เพลาพวงมาลยั ทำจากเหลก็ กล้ากลมยาว ปลายด้านหนง่ึ ยึด ติดอยูก่ บั พวงมาลยั (Steering Wheel) สว่ นปลายอีกด้านหนึง่ เปน็ เฟอื งตัวหนอนหรือลกู เบ้ียว ซง่ึ เป็นส่วนทอ่ี ยู่ ใน กระปกุ พวงมาลยั
3.เพลาขวาง (Cross Shaft) ปลายขา้ งหนึง่ เป็นส่วนทีร่ บั อากาศเคลื่อนไหวจากเฟืองตวั หนอนหรอื ลกู เบี้ยว เพลานีม้ ีบุชทำหน้าทเี่ ป็นศนู ยแ์ ละจุดหมนุ ขณะท่หี มุนพวงมาลัยน้นั เพลาขวางจะบิดไปมา ส่วยปลายอกี ขา้ ง หนง่ึ ซง่ึ อยดู่ า้ นนอกของเพลาขวางยดึ ตดิ กับขาไก่ 4. ขาไก่ (Pitman Arm) ขาไก่ทำจากเหลก็ เหนยี ว เป็นสว่ นท่ีย่นื ออกมาจากตัวเรอื น กระปุกพวงมาลยั โดยจะสวมยดึ ตดิ กบั เพลาขวาง แบบของกระปกุ พวงมาลัย แบบของกระปกุ พวงมาลยั แบง่ ออกได้ดังน้ี 1.แบบเฟืองตวั หนอนและลกู กลงิ้ (Worm and Rnoller) กระปกุ พวงมาลยั แบบน้เี ฟืองตัวหนอนและ ลกู กล้ิงเปน็ ตวั ทดกำลงั เฟืองตัวหนอนทำสันฟนั เชน่ เดยี วกบั เฟอื งมีระยะพติ ชแ์ ละทำเปน็ โคง้ ตวั ลกู กล้ิงน้ี จะทำมี ฟันเดยี วหรอื หลายฟัน ฟันของลูกกลง้ิ จะมีลักษณะเหมือนฟนั เฟืองขบฟันของเฟอื งตัวหนอน ตัวลกู กลิง้ หมนุ รอบ สลักซึง่ เป็นส่วนหนึ่งของเพลาขวาง ซ่งึ ขณะที่หมนุ พวงมาลัย ฟันของเฟืองตัวหนอน จะบงั คับใหล้ ูกกลงิ้ เคลอ่ื นที่ไป ตามสันเฟือง โดยมลี ูกปืนรองรบั อยู่ ลูกกลงิ้ จึงเคลื่อนท่ตี าม และหมุนรอบ ตัวเองดว้ ย 2. แบบเฟอื งตวั หนอนและเซกเตอร์ (Worm and Sector) เซกเตอรห์ รอื เรยี กว่าเฟอื งเสย้ี ว คือ เฟอื งท่ีมี ฟนั เพียงบางสว่ น โดยเวลาหมนุ พวงมาลัยจะใช้ฟนั เฟอื งส่วนเดียว การทำงานของกระปุกพวงมาลยั แบบนี้ มี ลักษณะเชน่ เดยี วกันแบบเฟอื งตวั หนอนและลกู กลิง้ กระปกุ พวงมาลัยแบบนเ้ี ป็นตันแบบของเฟืองตัว หนอนและ ลูกกล้ิง ฟนั เฟอื งทท่ี ำเปน็ ลูกกลิ้งช่วยลดความฝืดลง กระปกุ พวงมาลยั แบบเฟืองเสี้ยวนี้มีใช้ ในรถยนต์น้อย 3. แบบลูกเบยี้ วและลีเวอร์ (Cam and Lever) กระปุกพวงมาลัยแบบน้จี ะใช้ลกู เบย้ี วทรงกระบอก แทน เฟอื งตัวหนอน ลกู เบ้ียวจะมีลกั ษณะแตกต่างกับเฟอื งตัวหนอนคอื ลกู เบยี้ วทำเปน็ รอ่ งลูกเบีย้ ว ซ่งึ อาจจะมีเดอื ยอัน เดยี วหรอื มากกวา่ กไ็ ด้ เดือยบางแบบก็เปน็ เดือยติดแน่นกับปลายเพลาขวาง หรือบาง แบบหมนุ รอบลกู ปนื ทำใหล้ ด ความฝืดลง 4.แบบเฟืองสะพาน (Rack and Pinion) เป็นกระปกุ พวงมาลัยทเี่ หมาะสำหรับใชก้ ับรถยนต์ขนาดเล็ก และ รถแขง่ เป็นชดุ พวงมาลยั แบบง่าย ทำงานโดยตรงถงึ ลอ้ รถ มคี วามไวและคล่องตัวในการทำงานมาก จงึ มกั นิยมใช้ กับรถยนต์ขนาดเล็กทั่วไป กระปกุ พวงมาลัยแบบเฟืองสะพานมขี ้อเสยี คือ มอี ตั ราทดตำ่ ซงึ่ จะ ทำใหพ้ วงมาลัย หนกั ถา้ ต้องการอัตราทดสงู ต้องทำให้เฟืองพเิ นียน (Pinion) ตวั เลก็ ลง แต่จะทำให้ความแข็ง แรงลดลง กลไก บังคับเลย้ี วของชดุ พวงมาลยั แบบน้มี ีช้ินสว่ นน้อยชนิ้ และใช้เฟืองตอ่ เฟอื งขบกัน ระยะฟรี จงึ มนี ้อยมาก 5.แบบลูกปนื หมุนเวียน (Recirculating Ball or Worm and Nut) กระปุกพวงมาลัยแบบนีจ้ ะมีลูกปนื หมนุ เวียนอยขู่ ้างใน โดยมีหลักการเชน่ เดียวกับการหมุนสกรูและนอต ถา้ ต้องการให้หมนุ ไดค้ ล่องก็ใช้ลกู ปืนกลม เปน็ สนั เกลียวแทน จะชว่ ยลดความฝืดและทำให้หมุนได้คล่องข้ึนแกนพวงมาลยั จะทำเปน็ รอ่ งแบบ เกลียวทำเปน็ ร่องกลมเรียกวา่ Wormhshaft ตวั บอลนอต (Ball Nut) ขา้ งในกลึงเป็นรอ่ งเกลียวลักษณะ เปน็ ร่องกลม เช่นเดียวกบั ทีต่ ัวแกนพวงมาลยั ระหวา่ งรอ่ งเกลยี วของแกนพวงมาลัย และบอลนอตใส่ลูกปืน จนเต็มและมีทอ่
ลกู ปืนกลบั ด้านลา่ งของบอลนอตทำเป็นฟันแบบเฟอื งสะพาน เปน็ เฟืองซตี่ รงขบอยู่กับ เฟอื งเส้ยี ว ซึ่งเป็นสว่ นหนง่ึ ของเพลาขวาง แกนพวงมาลยั พวงมาลยั (Steering Wheel) มีลกั ษณะเป็นวงกลมมซี ่พี วงมาลยั (Wheel Spoke) เปน็ ตัวยึด ส่วนต่างๆ ไวด้ ว้ ยกนั ตรงกลางพวงมาลัยทำเปน็ ร่องไว้สำหรับสวมกับรอ่ งแกนพวงมาลยั โดยมีนอตเป็นตัว พวงมาลยั ให้ติดแน่นกบั แกน ใช้บังคับทิศทางการเคลอื่ นที่ของรถยนต์ แกนพวงมาลยั สว่ นมากจะถูกออกแบบให้ ยุบ ตวั ลงได้เพอ่ื ปอ้ งกันอนั ตรายในกรณีทีร่ ถเกดิ การชนกันทางด้านหน้าทำใหพ้ วงมาลัยอัดหรือกระแทกตวั คนขบั ได้ แกนพวงมาลัย (Steering Column) เป็นแกนเพลาท่ีต่อระหวา่ งพวงมาลัยกับกระปุกพวงมาลยั ประกอบด้วยเพลาหลัก ซ่งึ ทำหน้าทีส่ ง่ ถา่ ยแรงจากการหมุนพวงมาลยั ให้ไปยงั กระปุกพวงมาลัยโดยมี ปลอก พวงมาลัยยึดติดกบั เพลาหลักและตัวถังรถยนต์ ปลายดา้ นบนสุดของเพลาจะมีลกั ษณะทำเป็นสไปลน์ ร่องเรียว (Spline) สำหรบั ยึดพวงมาลยั แกนพวงมาลยั จะรวมเอากลไกดดู ซับแรงกระแทกและแรง อดั ท่เี กดิ ข้ึนจากการชน เข้าไว้ 1.แบบใชข้ อ้ ต่อออ่ น แกนพวงมาลัยแบบนีจ้ ะแบ่งเป็น 2 ทอ่ นอยเู่ ย้ืองกัน โดยมขี ้อตอ่ เป็นตวั เชื่อม เมอ่ื ถกู แรงกระแทกอยา่ งแรง แกนพวงมาลยั จะเกดิ การยุบตัวลงท่ีแนวด้านลา่ งของมนั 2.แบบทำเป็น 2 ทอ่ น ลักษณะนีจ้ ะคลา้ ยกบั แบบขอ้ ตอ่ ออ่ น แต่ใช้สลกั เกลียวพเิ ศษต่อไว้ เม่ือเกิดแรง กระแทกอยา่ งแรงจนถึงคา่ ที่กำหนดไว้ สลกั เกลยี วจะขาดจากนั หรอื อาจเป็นแบบแคปซูลยึดปลอกพวงมาลยั เมอื่ ถูกแรงกระแทกจะทำให้พลาสติกแตก ทำให้แกนพวงมาลัยตอนบนเคล่อื นตวั ลง ทำใหก้ ารสง่ ถ่ายแรง กระแทก ลดลง 3.แบบเหลก็ ตะแกรง แกนพวงมาลยั แบบน้ีจะทำปลอกแกนเป็นเหล็กเหมือนตะแกรงส่วนแกนพวง มาลัย แยกเป็น 2 ส่วน ทำเปน็ ปลอกสวม สามารถหมนุ ไปดว้ ยกนั ได้ แต่เมอื่ ถูกแรงกระแทกอยา่ งรนุ แรง มากพอ จะทำให้ เลอ่ื นตำ่ ลง เป็นการดดู ซับแรงกระแทกที่ได้รับมา 4.แบบทอ่ และลกู ปืนปลอกแกนพวงมาลยั จะทำเป็นท่อสองช้ันต่อกันด้วยลูกปนื ซ่งึ อัดแนน่ อยู่ระหว่างทอ่ ทงั้ สอง เมื่อรถเกิดการชน แรงกระแทกอยา่ งรนุ แรงจะทำใหล้ กู ปืนยบุ ตัวช่วยรับแรงกระแทก เป็น การลดอนั ตารายท่ีเกิดขนึ้ กลไกปรบั เอนพวงมาลัยและการล็อกพวงมาลยั กลไกปรบั เอนพวงมาลยั คอื การปรบั ตำแหนง่ ของพวงมาลยั ในทศิ ทางแนวต้ังเพ่อื ใหส้ ะดวก สบายในการขับข่ี กลไกปรับเอนพวงมาลัยมีทั้งแบบจดุ หมนุ อยูด่ ้านล่างและอยู่ด้านบน โดยแบบกลไกปรับ เอนแบบ จดุ หมุนอย่ดู า้ นลา่ ง จุดปรบั เอนจะอยู่ทขี่ ้อต่ออ่อนซึ่งติดต้ังอยู่ทางปลายสุดของพวงมาลยั ท้งั นเ้ี พื่อ ตอ้ งการใหจ้ ุด ยดึ สามารถปรับให้สูงขนึ้ ได้ ภายหลงั ทป่ี รบั พวงมาลยั แลว้ ดนั แขนปรบั ข้ึนแกนพวงมาลยั จะล็อกติดกับจุดยดึ
การปรบั เอนพวงมาลัย เม่ือดันแขนปรับระดบั ขึน้ ดา้ นบนทำให้สลักซึ่งประกอบอย่กู บั ลิ้นสปรงิ เคล่อื นทไ่ี ปตามแขนปรบั ระดบั โดยท่ีลน้ิ สปริงแยกตัวออกมาจากเฟืองบงั คบั และปลดไมใ่ ห้เฟืองท้ังสองขบกนั แรง ของสปริงอัดกระทำ กบั จุดรองรับของตัวมันเอง ทำให้เกดิ การหักมุมของแกนพวงมาลัยมาก กลไกปรบั ความสูงพวงมาลยั การปรับตำแหน่งความสงู ของพวงมาลัยขน้ึ อยู่กับความเหมาะสมของ ผู้ขับข่ี กลไกปรับความสูง น้ันเพลาเลือ่ นและปลอกเพลาเลื่อนต่อยดู่ ้วยกัน โดยทปี่ ลอกเพลาเลื่อนจะเคลื่อนตัวไป พรอ้ มๆ กบั เพลาเลื่อน สามารถเลอื่ นขึ้นลงได้ภายในเส้อื แกนพวงมาลยั ตวั บน โดยทเี่ พลาเลือ่ นมพี วงมาลยั สวมตดิ อยู่ และมีร่องฟนั เฟืองสวมอยกู่ บั แกนพวงมาลัยตวั บน และสง่ กำลังจากการหมุนของพวงมาลยั ไปยังแกน พวงมาลยั ตัวบน การล็อกพวงมาลัย กลไกล็อกพวงมาลัยมีไว้เพ่ือปอ้ งกนั การขโมยรถ หลังจากผูข้ ับข่ีออกจากรถยนต์ แลว้ เมื่อดึงกุญแจ ออกจากสวติ ช์กญุ แจ กลไกนจ้ี ะล็อกแกนพวงมาลยั เขา้ กับเสื้อแกนพวงมาลยั รถยนตจ์ ะไม่ สามารถเลยี้ วได้ ถงึ แม้วา่ สตาร์ตเคร่อื งยนตต์ ดิ โดยไมใ่ ช้กญุ แจกต็ ามแต่เพื่อป้องกนั พวงมาลยั ในขณะขบั ขป่ี กติ สวติ ช์จุดระเบิด ออกแบบใหก้ ลไกล็อกไม่ทำงาน ผู้ขบั ข่จี ะต้องใชว้ ิธีการกดกุญแจก่อนทจ่ี ะหมนุ จากตำแหนง่ ACC ไปยงั ตำแหนง่ ลอ็ ก การทำงานของกลไกลอ็ กพวงมาลยั แบบกดลกู กุญแจ เม่อื กุญแจอยทู่ ่ีตำแหนง่ ACC ,ON หรือ ST ตัวนั้นล็ อกและสลักที่ล็อกถูกผลกั ไปทางขวามือโดยลกู เบี้ยว ดังน้ัน ก้านปลดลอ็ กตกลงมาในรอ่ งของตัวล็อก และสลักลอ็ ก เคล่ือนตัวไปทางดา้ นซา้ ยมอื เปน็ ผลให้พวงมาลัยถูกปลดล็อกขณะท่ี ขบั รถยนต์ ตำแนง่ ON ถงึ ACC เมื่อบิดกญุ แจจาก NO ไปยัง ACC กา้ นปลดล็อกจะกดลงบนปลายด้านซา้ ยมือของ ร่อง ตัวกนั้ ล็อก เป็นการป้องกันตัวลอ็ ก และสลักเคลอ่ื นตัวมาทางซ้ายมอื และป้องกนั ไมใ่ ห้ พวงมาลัยล็อก ตำแหน่งกดลูกกุญแจ ขณะที่อยู่ตำแหนง่ ACC โรเตอรแ์ ละแผ่นกดกจ็ ะถูกกดลงดว้ ยส่วนดา้ นบนของ ตวั ก้ันล็อกจะเคลือ่ นท่ีออก โดยการกระทำของผิวเอียงของรอ่ งตัวกนั้ ลอ็ ก และส่วนล่างของแผน่ กดเคลอ่ื นตวั ไปยัง เพลาลกู เบีย้ ว และเพลาลูกเบี้ยวจะหมนุ ไปพร้อมๆ กนั จากตำแหน่ง ACC ไปยงั ตำแหนง่ ล็อกกญุ แจ แผ่นกดโรเตอร์ การตรวจสอบระยะฟรีพวงมาลัย พวงมาลัยถ้ามีระยะฟรมี ากเกินไป การบงั คบั เล้ยี วจะทำได้ไมส่ ะดวก ปกตแิ ลว้ พวงมาลยั จะตอ้ งมีระยะฟรีประมาณ 30 มิลลิเมตร การตรวจสอบทำใหด้ ว้ ยการหมนุ ล้อหน้าทงั้ ซ้าย และ ขวาให้อยู่ในตำแหน่งทิศทางตรง หมุนพวงมาลยั ซ้ายขวาไปมาเบาๆ อยา่ งช้าๆ โดยไม่ทำให้ล้อหมุนตาม ระยะท่ี พวงมาลยั หมุน เรยี กระยะนี้ว่าระยะฟรพี วงมาลัย (Free Play) การตรวจการคลอนของคนั สง่ และกา้ นต่อบังคับเล้ียว การตรวจสามารถปฏิบัติได้โดยการใช้แม่แรงยกด้าน หน้า ของรถให้ลอ้ หนา้ ทั้งสองพน้ จากพ้ืน จากน้ันใหผ้ ลักและดึงล้อท้ังซ้ายและขวาเข้าออกพร้อมๆ กัน ถา้ มีระยะการ คลอนมากเกินไป แสดงวา่ ลูกหมากคันสง่ ลกู ปืนล้อและก้านต่อต่างๆ สกึ หรอ สำหรับการตรวจลูกปนื ล้อหนา้ ทง้ั ด้านซา้ ยและด้านขวานัน้ สามารถปฏบิ ัติไดโ้ ดยการจับด้านบน และ ด้านลา่ งของลอ้ โยกออก ถา้ เกิดอาการหลวมมากเกินไป ก็อาจมสี าเหตุจากการหลวมของบชุ หรอื ลกู ปนื ล้อ
การถอดประกอบก้านต่อบงั คับเลีย้ ว ภายหลังจากการตรวจสอบก้านตอ่ บังคับเล้ียวแลว้ ถา้ เกิดการหลวมหรือสกึ หรอ ให้ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตอนดังนี้ ก่อนอนื่ ให้ดูรูปส่วนประกอบของกา้ นต่อบังคับเลี้ยว การถอดขาไก่ คันชกั และคนั ส่ง สามารถปฏบิ ัติตามลำดับข้นั ตอนดังน้ี 1.คลายนอตยึดขาไก่และดูดขาไก่ออกดว้ ยเคร่ืองมือพิเศษ 2.กอ่ นถอดขาไกอ่ อกจากกระปุกเกียรพ์ วงมาลยั ควรทำเครื่องหมายเพอ่ื ป้องกนั การประกอบ กลบั คืน ผดิ พลาด 3.ถอดขาไก่ออกจากคันชดั ดว้ ยเครือ่ งดดู อย่าทำใหล้ กู ยางกนั ฝุ่นลกู หมากชำรุด จากกนัน้ ใช้เครื่องมือ ดูด ลกู หมากคนั สง่ ออกจากคนั ชัก 4.ถอดลูกหมากคันส่งและคนั สง่ ออกจากแขนบงั คับเลี้ยว แลว้ จงึ ใชเ้ คร่ืองมือดดู ลกู หมากคันชกั ออก จากก แขนประคอง
การประกอบกา้ นตอ่ บังคบั เลีย้ ว ใหป้ ฏิบตั ิยอ้ นกลบั ตามลำดับข้ันตอนการถอดดงั น้ี 1.ประกอบคันสง่ ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเข้ากับปลากยึด โดยการหมนุ ลูกหมากคนั สง่ ทง้ั สองด้าน เพ่อื ให้ ไดช้ ่วงระยะความยาวทีเ่ ท่ากนั 2.กอ่ นการประกอบจะต้องลอ็ กลูกหมากคนั สง่ ปรบั ทศิ ทางแกนลูกหมากให้ทำมมุ กนั ตามท่กี ำหนด การถอดแขนประคอง กระทำไดต้ ามลำดบั ขนั้ ตอนดังนี้ 1.ใช้คอ้ นและไขควงถอดฝาครอบตัวเรือนแขนประคองออก 2.คลายนอตและดงึ เพลาแขนประคองออกจากตวั เรือน 3.ใชไ้ ขควงวัดซลี นำ้ มันออกจากตัวเรือน การประกอบแขนประคอง ก่อนการประกอบจะตอ้ งทำความสะอาดชนิ้ สว่ นต่างๆ เสียกอ่ นจากน้ันให้ปฏิบตั ิ ยอ้ นกลับตามลำดับดังนี้ 1.ประกอบซลี น้ำมนั ตัวใหม่ และอัดจาระบีเข้าตวั เรือนแลว้ จึงประกอบเพลาแขนประคองเขา้ ตวั เรอื น และ กวดขนั นอตด้วยแรงบดิ ประมาณ 800 กโิ ลกรัม/เซนตเิ มตร 2.ใชป้ ระแจขันแรงบิดตรวจสอบการหมนุ เคล่อื นตัวของแขนประคองหลายๆ ครัง้ ค่าแรงบิดท่ไี ด้อยู่ ประมาณ 5-30 กโิ ลเมตร/เซนติเมตร
การถอดประกอบกระปกุ พวงมาลยั แบบลกู ปนื หมนุ เวียน ก่อนทำการถอดประกอบช้ินสว่ นตา่ งๆ ของกระปกุ พวงมาลัยแบบนนี้ ัน้ ควรจะต้องศึกษา โครงสรา้ ง การทำงานและส่วนประกอบของมันก่อน เมอื่ ทำการถอดจะไดไ้ มท่ ำความเสียหายให้กับชิ้นสว่ นตา่ งๆ การถอดกระปกุ พวงมาลยั แบบลกู ปืนหมนุ เวยี น ปฏบิ ตั ไิ ด้ตามลำดบั ขัน้ ตอนดงั น้ี 1.กอ่ นถอดกระปกุ พวงมาลัยจะตอ้ งทำเครอื่ งหมายทีข่ ้อตอ่ พวงมาลัยและเพลาของเฟอื งตวั หนอน คลาย โบลตย์ ึดข้อต่อพวงมาลยั ออก 2.คลายนอตและดูดขาไก่ออกจากกระปกุ พวงมาลัย โดยก่อนการถอดขาไก่ออกนัน้ จะตอ้ งทำ เครอื่ งหมาย ท่เี พลาขวางงกบั ขาไก่ไว้ก่อน 3.ดูดขาไก่ออกจากคันส่งและถอดฝาครอบ โดยหมนุ สกรปู รบั ต้งั ไปตามเขม็ นาฬิกาและดึงเพลาขวาง ออก จากกระปุกพวงมาลัย 4.ใช้เครื่องมือถอดนอตล็อก โดยจะตอ้ งไมถ่ อดแยกเรือนลกู ปนื ออกจากเพลาเฟอื งตัวหนอน การตรวจและเปลย่ี นชิน้ สว่ นของกระปุกพวงมาลยั แบบลกู ปนื หมุนเวยี น เม่ือตรวจพบการชำรดุ เสียหาย ควรจะ ทำการเปลี่ยนโดยมีขั้นตอนดงั นี้ 1.ตรวจการสึกหรอและชำรุดเสียหายของเฟืองตัวหนอนและลกู ปนื 2.ตรวจการหมุนคล่องตวั โดยการใหก้ ระปกุ พวงมาลัยเลื่อนลงด้วยน้ำหนักของตวั มันเองระหวา่ ง เฟอื งตวั หนอนกับลูกปนื ขอ้ ควรระวงั อย่าใหต้ ัวเรอื นของเฟอื งสะพานกระแทกกบั ปลายแกนเฟืองตัวหนอน 3.ตรวจกานสกึ หรอของลูกปืนรองรบั แกนเฟืองตัวหนอนและซลี นำ้ มัน ถา้ ชำรุดให้เปลีย่ นออกด้วย การใช้ เครื่องมือและไขควง 4.วดั ระยะการรนุ ขแงเพลาด้วยฟิลเลอร์เกจ ตามปกติจะมรี ะยะสงู สุด 0.05 มิลลเิ มตร การประกอบกระปกุ พวงมาลัยแบบลกู ปืนหมุนเวยี น ปฏบิ ตั ไิ ด้ตามลำดับขั้นตอนย้อนกลับดงั น้ี 1.ควรจะตอ้ งทาจาระบอี เนกประสงคต์ ามจุดต่างๆ เช่น บชุ ลูกปืนและซลี ก่อนการติดตั้ง 2.ประกอบสกรปู รบั ตัง้ ลกู ปนื ด้วยเครื่องมือ จนกระทั่งสกรูปรับต้งั หมุนเข้าท่ี 3.วดั คา่ ฟรโี หลดของลกู ปืน โดยใช้ประแจแรงบดิ ขันและปรบั ตัง้ สกรูจนได้คา่ ฟรโี หลดอยรู่ ะหวา่ ง 3-5 กโิ ลเมตร/เซนติเมตร 4.ประกอบเพลาขวางเขา้ กระปุกพวงมาลยั โดยจัดให้ตำแหนง่ ของเฟืองเรอื นลูกปืนอยกู่ ง่ึ กลางและ สอด ฟันกลางของเฟอื งขวางขบกับเฟืองตัวหนอน 5.ใชไ้ ขควงคลายสกรูปรบั ตัง้ ใหม้ ีความยาวจนจุด และประกอบฝาครอบพร้อมกบั ปะเกน็ ใหม่ 6.จัดให้เพลาของเฟืองตวั หนอนอยู่ในตำแหนง่ กึ่งกลาง โดยใชไ้ ขควงปรบั สกรูปรับต้งั ฟรโี หลด ร่วมกับการ ใช้ประแจขับแรงบิด คา่ ฟรีโหลดลกู ปนื อยรู่ ะหว่าง 8 ถงึ 1035 กิโลเมตร/เซนตเิ มตร 7.ขนั นอตล็อกสกรูปรบั ต้งั และไดอัลเกจตรวจวัดระยะหา่ งของฟนั เฟืองเพลาขวาง
8.เติมน้ำมนั เกียรใ์ นกระปกุ พวงมาลัย การถอดประกอบกระปุกพวงมาลัยแบบเฟืองสะพานและเฟอื งขับ การถอดและประกอบกจ็ ะคลา้ ยคลึงกัน ก่อนท่จี ะทำการถอดแยกประกอบและประกอบจำเป็น จะตอ้ ง ศึกษาถงึ โครงสรา้ งใหเ้ ข้าใจกอ่ น เพ่อื ท่จี ะได้ปฏบิ ัตงิ านไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ดงั มขี ้ันตอนดงั น้ี การถอดแยกประปุกพวงมาลยั แบบเฟอื งสะพานและเฟอื ง กระทำได้ดังน้ี 1.ยดึ ตัวเรอื นกระปกุ พวงมาลยั ด้วยปากกาจับช้นิ งาน เนือ่ งจากกระปกุ พวงมาลัยทำจากอะลูมิเนยี มอลั ลอย อาจจะทำใหเ้ กดิ เสยี หายขน้ึ ได้ จึงต้องทำความสะอาด ชิ้นสว่ นกอ่ นทำการแยกชิ้นสว่ น 2.คลายนอตลอ็ กและถอดลูกหมากคันส่งออก ก่อนถอดลกู หมากคันสง่ ออกจะตอ้ งทำเครอ่ื งเอาไว้ 3.ปลดคลิปลอ็ กและถอดยางกนั ฝ่นุ เฟอื งสะพานท้ังซ้ายและขวา อยา่ งระมดั ระวงั อยา่ ใหเ้ กิดการฉกี ขาด 4.ใช้คอ้ นและไขควงหรือสกัดตอกปลดลอ็ กแหวนล็อกคนั ส่งโดยไม่ทำให้เฟอื งสะพานเสยี หายและทำ เครื่องหมายไว้ทค่ี ันส่งท้งั ดา้ นซา้ ยและด้านขาว 5.ใชป้ ระแจถอดคันส่งและหวนล็อกออก คลายนอตลอ็ กโบลตป์ รับสปริงนำ้ รองเฟืองสะพาน 6.ถอดโบลต์ปรบั สปริงนำ้ ร่อง สปริงดัน และนำรอ่ งเฟืองสะพาน 7.ถอดนอตล็อกสกรู ปรบั ลูกปืนเฟอื งขับและถอดสกรูปรับเฟอื งขับ 8.ดงึ เฟอื งขับพร้อมลูกปืนตวั บนออกและดึงเฟอื งสะพานออกจากตัวเรือนกระปุกพวงมาลัย การตรวจและเปลยี่ นชิน้ สว่ นตา่ งๆ ของกระปุกพวงมาลยั การตรวจช้ินส่วนต่างๆ เปน็ การหาสาเหตกุ ารชำรดุ การตรวจสอบจะต้องทำความสะอาดเสียก่อน เพื่อความถูกตอ้ งแมน่ ยำสามารถปฏบิ ตั ไิ ดต้ ามขน้ั ตอนดังนี้ 1.ตรวจการคดและการสกึ หรอของเฟอื งสะพานดว้ ยไดอัลเกจ ถ้าชำรุดให้เปลี่ยนทนั ทแี ละเปลีย่ น ตลับลูก เฟอื งขบั 2.ให้ความรอ้ นกับตัวเรอื นกระปุกพวงมาลัยท่อี ุณหภูมิไมน่ ้อยกว่า 80 องศาเซลเซยี สและใช้ค้อน พลาสตกิ เคาะลกู ปืนตวั ล่างเล่ือนขึน้ 3.เปลี่ยนตลับลูกปนื ลา่ งโดยใชค้ ่าอณุ หภูมิทต่ี วั เรือนกระปุกเกียร์เช่นเดยี วกบั การถอด 4.ใช้ไขควงงดั เฟืองสะพานและใชไ้ ขควงสอดเขา้ ตามรรู ะบายแรงดนั ทก่ี ระบอกพวงมาลยั ปอ้ งกนั การอุดตนั 5.เปลีย่ นบุชเฟอื งสะพาน และเมื่อประกอบใหจ้ ัดรูทงั้ สามทีบ่ ุชให้ตรงกบั รูระบายแรงดนั ทกี่ ระบอก พวงมาลยั เปลยี่ นซลี นำ้ มันเฟอื งขับ และเมอ่ื เปลยี่ นซลี ใหม่จะตอ้ งต่ำกว่าขอบประมาณ 0.5 มิลลิเมตร การประกอบกระปกุ พวงมาลัยแบบเฟืองสะพานและเฟอื งขับ ภายหลงั จากถอดแยกชิ้นส่วนและทำการตรวจ สอบแลว้ ลำดับขน้ั ตอนการประกอบกระทำย้อนกลับดงั นี้ 1.ทาจาระบีหล่อลืน่ ชน้ิ ส่วนต่างๆ ของกระปุกพวงมาลยั 2.ประกอบเฟืองสะพานเข้ากับตวั เรือนกระปกุ พวงมาลยั ทางดา้ นเฟืองขับ และปรับรอยบากใหต้ รงกับ ตำแหน่งเฟืองขับ
3.ประกอบเฟอื งขบั เข้ากับตวั เรือนกระปกุ โดยทต่ี อนปลายของเฟอื งขับสวมเข้ากับลูกปนื ตวั ล่างได้ อยา่ ง พอดี 4.ประกอบสกรูปรบั ตง้ั ลกู ปืนเฟืองขบั ปรบั ค่าฟรโี หลดเฟอื งขบั โดยการขับสกรูปรบั ต้ังลกู ปืน เฟืองขบั เขา้ จนกระท่งั ความตงึ ของลกู ปนื วดั ได้ประมาณ 3.7 กิโลกรัม/เซนตเิ มตร 5.คลายสกรูปรบั ตง้ั ลูกปืนเฟอื งขับ ให้ความตงึ ของลูกปืนวดั ได้ประมาณ 2.3-3.3 กโิ ลกรมั /เซนติ เมตร 6.ขับนอตล็อกสกรูปรบั ตงั้ ลูกปืนเฟืองขบั และขบั นอตโบลตป์ รับสปรงิ นำร่อง 7.ขนั นอตโบลต์ปรับสปริงนำร่องเฟืองสะพานเพอ่ื ปรบั วัดฟรีโหลดรวม 8.คลายโบลต์ปรับสปรงิ นำร่องเฟืองสะพาน และวดั การหมุนของเฟืองขบั ค่าฟรีโหลดรวมอยทู่ ี่ ประมาณ 10 ถงึ 13 กิโลกรมั /เซนติเมตร 9.ขนั นอตโบลต์ปรบั สปริงนำรอ่ งเฟืองสะพาน และจดั ตำแหน่งของแหวาลอ็ กให้ตรงกับรอ่ งที่ ปลายเฟือง สะพาน และขบั ลูกหมากเข้าดว้ ยแรงบดิ 730 กโิ ลกรมั /เซนติเมตร 10.พบั แหวนล็อก ประกอบยางกันฝุน่ เฟืองสะพาน ประกอบแคลมป์ลอ็ กและคลิปล็อกโดย ดา้ นทีต่ ่อกับ คันสง่ กับคนั สง่ ให้ใช้คลิปลอ็ กเพอ่ื ป้องกันยางชำรุด 11.ขันนอตล็อกกับลูกหมากเขา้ กับเฟอื งสะพานจนเคร่ืองหมายที่ทำไว้ตรงกนั นอตจะล็อกไดต้ อ่ เมือ่ ปรบั มุมโทอนิ แลว้ เทา่ นน้ั 12.ปรบั ความยาวของลกู หมากท้งั ดา้ นซ้ายและดา้ นขวาใหม้ ีความยาวที่เทา่ กันตามค่าทีก่ ำหนดไว้
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: