Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 1

บทที่ 1

Published by ajtomsarachat20, 2020-04-30 03:42:01

Description: บทที่ 1

Search

Read the Text Version

บทที่ 1 ระบบรองรบั น้ำหนัก (Suspension System) ระบบรองน้ำหนัก (Suspension System) หมายถงึ ระบบการใชส้ ปริง โช้กอัพ และแกนต่อตา่ งๆ ทใี่ ช้ เป็นตวั รองรับหรือคั่นกลางระหวา่ งโครงรถ (Frame) ตัวถัง (Body)เครื่องยนตแ์ ละระบบขับเคลอื่ น ก่อนท่ี จะ ส่งผ่านไปยงั ล้อรถและทำหนา้ ที่ลดแรกกระแทก เมอื่ ถนนขรขุ ระระบบรองรับน้ำหนกั มีหลาย แบบแตล่ ะ แบบทำ หนา้ ท่ีรับน้ำหนกั ของอุปกรณ์ตลอดจนนำ้ หนักบรรทกุ ซึง่ จะอยู่ดา้ นบนสปรงิ เรียกว่า น้ำหนกั เหนอื สปริง (Sprung Weight) ส่วนนำ้ หนกั ใต้สปรงิ (Unsprung Weight) เป็นนำ้ หนักท่ีสปรงิ ไม่ ไดร้ องรับนำ้ หนกั สว่ นน้ี ได้แก่ ลอ้ และ ยาง (Wheel and Tire) ห้ามล้อ และชุดเพลาท้าย (Rear Axle) เป็นต้น หน้าที่ของระบบรองรับน้ำหนัก ระบบรองรับนำ้ หนักมีหนา้ ทสี่ ำคญั ๆ ได้แก่ 1. รองรับน้ำหนกั เหนือสปริงและนำ้ หนักบรรทุกโดยท่สี ปรงิ จะทำหน้าทล่ี ดการสั่นสะเทอื นอนั เน่อื ง จาก ความไมร่ าบเรยี บของพืน้ ผวิ ถนน (Road Shock) 2.ช่วยใหก้ ารบงั คับรถมปี ระสิทธภิ าพ การที่รถไม่ส่ันสะเทือนกจ็ ะทำใหส้ ่งิ ของทบี่ รรทุกไมเ่ สยี หาย 3.ลดความเคน้ ท่เี กิดขึน้ กบั ชน้ิ สว่ นรถยนตอ์ นั เน่ืองมาจากการกระแทกจากพนื้ ผวิ ถนน 4.รกั ษาสมดลุ ตัวถงั รถให้วิ่งไปบนถนนในทกุ สภาพ ไม่วา่ รถจะวงิ่ บนถนนขรุขระมากนอ้ ยเพียงใด 5.ลดอาการโคลง (Rolling) และการโยนตวั ของตวั ถัง (Pitching) ที่เกิดขึน้ ให้นอ้ ยทส่ี ดุ หลกั การของระบบรองรับน้ำหนกั รถยนตม์ ดี งั นี้ คอื 1.ลดอาการโคลงและการโยนตัวของตัวถังรถ โดยการใชแ้ ละตดตัง้ ขนาดของสปริงอยา่ งเหมาะสม 2.ใช้เครือ่ งผ่อนการสะเทือนร่วมกับสปริง 3.ลดน้ำหนักใตส้ ปรงิ (UnsprungWeight)ใหเ้ หลือนอ้ ยทส่ี ุดเพ่ือไม่ใหส้ ่งแรงกระแทกไปยงั ตวั ถงั และ คนท่ี นั่งในรถ สาเหตทุ ี่ตัวถังรถสั่นสะเทือน การท่ตี ัวถงั รถเกิดการสั่นสะเทอื นเป็นผลสืบเน่ืองมาจากนำ้ หนักบรรทกุ สภาพของพื้นผิวถนน นำ้ หนกั ที่ ถกู รองรบั และนำ้ หนักท่ไี มถ่ กู รองรบั ตวั ถังรถยนตจ์ ะถูกรองรับด้วยสปริงนำ้ หนักของตัวถงั และสว่ นประกอบอื่นๆ ที่ ถกู รองรบั ดว้ ยสปรงิ นน้ั เรียกวา่ น้ำหนกั เหนอื สปรงิ หรอื สปรงั เวตส่วนทีไ่ มไ่ ด้ถกู รองรับด้วย สปรงิ เชน่ ล้อเพลาและ ส่วนอน่ื ๆ เรียกวา่ น้ำหนกั ใตส้ ปรงิ หรอื อันสปรังเวตโดยท่วั ไปน้ำหนกั เหนอื สปริงจะมี มากกว่าน้ำหนักใต้สปรงิ ซึง่ จะ ทำให้เกิดความนิม่ นวลในการขับข่แี ละมเี สถยี รภาพท่ดี กี ว่าอาการส่ันสะเทอื น และการโคลงของตวั ถังรถจำแนก ออกไดด้ ังนี้

1.อาการส่นั สะเทือกทเี่ กิดจากน้ำหนกั เหนอื สปรงิ (Sprung Weight) จะทำให้เกดิ อาการดังน้ี 1.1การโคลงตวั (Rolling) เปน็ อาการทเี่ กิดจากการยืดและยุบตัวของสปริงท้ังสองด้านไม่เทา่ กนั คอื ดา้ นหนึ่งยืดและอีกดา้ นยบุ 1.2การเต้น(Bouncing)เป็นอาการเคล่อื นตัวของตัวถงั รถการเต้นของตัวถังรถเกิดจากการทีร่ ถวง่ิ ดว้ ย ความเร็วสงู บนถนนท่ีคลื่น 1.3การส่าย(Yawing)เป็นอาการเคลอ่ื นตวั ของตวั ถังรถในลกั ษณะข้ึนลงไปทางด้านซ้ายและขวา มกั จะ เกิดข้นึ หร้อมกบั การกระดอนของตวั ถงั รถ 1.4การกระดอน(Upspring)เปน็ อาการสน่ั สะเทือนท่เี กิดขึ้นในลักษณะขนึ้ ลงด้านหนา้ และด้านหลังของ ตวั ถังรถ 2.อาการสน่ั สะเทอื นทเ่ี กดิ จากน้ำหนกั ใต้สปริง (Unsprung Weight) จะทำใหเ้ กดิ อาการดังน้ี 2.1การม้วนตวั ของแหนบ(WindUp)เป็นอาการสั่นสะเทือนที่เกดิ จากแหนบของระบบรองรบั ที่ พยายามจะม้วนตวั เองไปรอบๆ เพลา ในขณะขับเคลื่อน 2.2การกระดอน(Traming)เปน็ อาการส่นั สะเทือนของล้อรถทง้ั ด้านซา้ ยและด้านขวาอาการกระดอน ของล้อมักจะเกิดขึ้นได้งา่ ยกบั รถยนต์ที่ใช้ระบบรองรับคานแข็ง 2.3การกระโดด(Hopping)เป็นอาการสนั่ สะเทือนท่เี กดิ จากล้อรถเต้นข้ึนลงซงึ่ มกั จะเกิดข้ึนเมือ่ รถวงิ่ บน ถนนทีพ่ ืน้ ผิวถนนเปน็ ลูกคลน่ื และขบั ขผ่ี ่านด้วยความเร็วสูง

คุณสมบัตขิ องสปริง โครงรถทำหนา้ ทร่ี องรบั น้ำหนกั ของเครอ่ื งยนตต์ วั ถงั ชดุ ส่งกำลังและน้ำหนกั บรรทกุ สว่ นสปรงิ จะทำหน้าที่ รับนำ้ หนกั ต่างๆเหล่าน้ีอีกตอ่ หนึ่งสปรงิ จะยบุ หรอื ยืดตัวเม่อื ล้อวงิ่ ผา่ นพื้นผิวถนนขรขุ ระการท่ลี อ้ เคลอ่ื ทีข่ น้ึ ลงไดเ้ กอื บอสิ ระจากโคตรงรถทำใหส้ ามารถรบั หรือลดแรงดนั ของล้อได้เปน็ อย่างดสี ปรงิ ที่นำมา ใช้ใน ระบบรองรับนำ้ หนักจะตอ้ งมคี ณุ สมบตั ิดังนี้ 1.การยดื หยุ่น (Elasticity) วสั ดุทท่ี ำจากยางเม่อื มแี รงมากระทำเกิดความเคน้ ข้ึนทำใหร้ ูปร่างยางเปลีย่ นแปลงไปแตเ่ มื่อเอาแรงท่ีมา กระทำนนั้ ออกไป ความเคน้ ก็จะหมดไป ทำให้ยางคืนสภาพดังเดิม เรยี กคุณสมบัตนิ ี้วา่ การยดื หยนุ่ 2.อตั ราสปริง (Spring Rate) คอื ค่าตัวเลขน้ำหนกั รองรับทก่ี ดบนสปรงิ และทำให้สปริงยบุ ตวั 1 นว้ิ อตั ราสปรงิ มีหน่วย เป็นปอนด/์ นวิ้ หรือกิโลกรัม/เซนตเิ มตร อตั ราสปรงิ ท่ใี ช้กับรถยนต์จะมคี า่ เกอื บคงทต่ี ลอดช่วงการทำงาน 3.การเต้นของสปริง (Spring Throb) ขณะท่ีรถว่ิงลอ้ รถปะทะหรอื ชนกบั ส่งิ กีดขวางขึ้นสปรงิ ของรถจะถูกอัดตัวอย่างรวดเร็วและพยายามที่จะ กลับคนื สู่สภาพปกติเปน็ เหตุให้ตวั ถังรถถูกดนั ให้ยกตวั ลอยข้นึ ขณะทส่ี ปริงถูกอัดตวั จะดดู ซบั พลังงาน

เอาไวแ้ ละเม่ือคายพลงั งานทีส่ ะสมออกไปจงึ ทำให้เกิดการกระเด้งข้ึนและจากการเคลอื่ นตัวของรถจึงทำให้ สปริง ยืดตวั เราจะเรยี กวา่ การเตน้ ของสปรงิ และจะเกิดข้นึ ซ้ำกันหลายๆ ครง้ั แต่อาการเตน้ ครง้ั ตอ่ ๆ มาจะเกดิ แรงนอ้ ย กวา่ คร้งั แรกๆ จะกระทัง่ หยดุ เตน้ ในทสี่ ดุ สปรงิ จงึ มีความสำคัญต่อระบบรองรบั ของรถ ชนดิ ของสปรงิ สปรงิ ทีใ่ ช้สำหรับรองรับน้ำหนักรถยนต์ โดยทว่ั ไปจะเป็นแบบแหนบ (Leaf Spring) สปรงิ ขด (Coil Spring) สปริงลม (Air Spring) สปรงิ ยาง (Rubber Spring) สปริงไฮโดรลาสติก (Hydrolastic Spring) หรอื ไฮโดร นิวแมติก (Hydro-Pneumatic) ซงึ่ แต่ละแบบคุณสมบัตคิ วามเหมาะสมกบั การใชง้ านแตกต่างกนั สปริงท่ใี ชก้ นั อยู่ โดยท่วั ไป ได้แก่ 1.แหนบ (Leaf Spring) แหนบจะรบั น้ำหนกั และแรงสัน่ สะเทอื นโดยแผน่ แหนบจะโคง้ หรอื งอตัว (Bending) แหนบมี 2 แบบ คือ 1.1แหนบหลายแผ่น (Multileaf Spring) เปน็ แหนบท่ที ำด้วยเหล็กกล้าสำหรับสปริงแหนบจะมี ลกั ษณะเปน็ แผน่ วางซอ้ นกันเป็นตบั โดยมคี วามยาวของแตล่ ะแผน่ ไมเ่ ท่ากนั แผน่ บนสุดจะยาวทส่ี ุด ตรงปลายมี ส่วนท่โี คง้ งอ เรียกวา่ แหนบหู 1.2แหนบแผ่นเดียว (Single-Leaf Spring) เรียกไดอ้ กี อย่างหน่งึ ว่าแหนบแผ่นเรยี วโดยตรงกลางของ แผน่ แหนบจะหนาและค่อยๆเรยี วไปยังปลายแหนบทัง้ สองข้างแหนบชนิกนี้จะใชก้ ับลอ้ หลงั รถยนต์การติดตั้งเขา้ กบั โครงรถจะมีลักณษะเหมือนแหนบแบบ หาลยแผ่น 2.สปริงขด (Coil Springs) สปรงิ ขดจะรับน้ำหนกั โดยการหดหรือยบุ ตวั (Compressing) ของสปริงขดนยิ มใชก้ บั รถยนต์ทัว่ ไป โดยเฉพาะรถทใ่ี ช้ระบบการรองรบั แบบอสิ ระสปริงขดทำจากแท่งเหลก็ กล้าผสมการขดเป็นสปริงจะตอ้ งนำ แท่ง เหล็กกลา้ น้ีไปเผาไฟจนกระท่ังมอี ุณหภูมสิ งู ตามที่กำหนดแลว้ ขดใหเ้ ปน็ รปู รา่ งตามขนาดทต่ี ้องการ นำไปทำตาม กรรมวิธที างความรอ้ นหรอื การชุบเพือ่ ใหส้ ปริงมีความยดื หยุ่นสูงอตั รารบั นำ้ หนักของสปริงขด ขน้ึ อยูก่ ับ เส้นผ่าศนู ยก์ ลางและความยาวของแท่งเหล็กกลา้ ทีใ่ ช้ทำสปริงถ้าแท่งเหลก็ กล้ายาวและเสน้ ผา่ ศูนย์ กลางเล็กความ ยืดหยนุ่ จะย่ิงมากข้นึ ความยาวของสปริงขดมคี วามยืนหยุ่นไดม้ ากกวา่ สปรงิ ขดเป็นช้ินเดียวจึงไมม่ ีความฝืด เหมอื นกบั แหนบซงึ่ เกิดขนึ้ ไดร้ ะหว่างแผ่นแหนบซง่ึ ทำหนา้ ทร่ี ับแรงต่างๆและยืดให้เพลาไดศ้ นู ย์ ตลอดเวลา การติดต้ังสปริงขดทำได้งา่ ยแขนรองรับอยา่ งเช่นปีกนกจะมฐี านน่ังของสปริงทำเป็นรูปรา่ งที่พอ เหมาะกับ ปลายทั้งสองของสปรงิ ขดจะมีถว้ ยสวมอยเู่ พ่อื ความสะดวกในการติดตั้งระบบการรองรบั นำ้ หนัก แบบอิสระ ถว้ ย ทางดา้ นบนมักจะประกอบอยู่ภายในโครงรถ และถ้วยทางด้านล่างยึดติดแนน่ กบั แขนรอง

3.แหนบบดิ หรือทอรช์ ันบาร์ (Torsion Bar) บางคร้ังอาจเรยี กว่าสปรงิ แบบเหล็กบิดจะรบั แรงสน่ั สะเทอื นโดยการบดิ ตัวของเพลาแหนบบิดหรือ แหนบ ทอรช์ ันบารท์ ำด้วยเหล็กกล้า สปริงรถยนตบ์ างแบบไดน้ ำเอาทอรช์ นั บาร์มาใชแ้ ทนแหนบหรอื สปริงขด ในการ ทำงานของทอรช์ ันบาร์จะอาศยั การบดิ ตวั และการคืนตัวกลับเมอื่ ล้อรถเคลือ่ นทข่ี ึน้ หรือลงจะทำให้ทอร์ชันบารบ์ ิด ตวั ไปจากตำแหนง่ เดิมการตดิ ตงั้ ทอรช์ ันบาร์สว่ นมากจะใชก้ บั ลอ้ หน้าจะมีบางบรษิ ัทท่ีใชท้ อร์ชันบารท์ ้งั ลอ้ หนา้ หรอื ล้อหลงั เชน่ รถโฟล์คสวาเกนโดยมีทอรช์ ันบาร์ข้างละท่อนตดิ ตั้งตามยาวของโครงรถ และทปี่ ลายด้านหนา้ จะยดึ ติด กับปีกนกลา่ งท่จี ดุ หนุนด้านในส่วนปลายด้านหลังจะยดึ กบั หลักทป่ี รบั แตง่ ได้ รองรบั (Brackets)เช่ือมติดกบั ดา้ นหลงั โครงรถรองรบั อกี ท่หี น่งึ การปรบั ความตึงของทอร์ชนั บาร์จะใชส้ ลัก ปรบั แต่งทางปลายด้านหลัง ทอร์ชนั บารม์ ที งั้ ลักษณะแบนและกลม โดยปลายทัง้ สองด้านจะเซาะรอ่ งไว้ และสามารถตดิ ตัง้ ตามยาวหรอื ตามขวางกบั ตัว รถได้ 4.สปรงิ ลม (Air Spring) เป็นสปริงที่ใชก้ ารอัดตวั ของลม(CompressionofAir)ในถงุ ลม(AirBags)ซึ่งจะติดตง้ั แทนทแ่ี หนบหรือสปรงิ ทงั้ 4ล้อสปริงลมถกู นำมาใชเ้ ปน็ ระบบรองรบั ในรถยนตเ์ นอื่ งจากสปริงลมเปน็ สปรงิ ทที่ ำงานอยา่ งตอ่ เนือ่ งเมอ่ื ล้ม ปะทะสงิ่ กดี ขวางหรอื หลมุ บอ่ บนถนนอากาศจะถูกอัดตัวและลดการสะเทอื นจงึ ทำให้เกิดความนิม่ นวลระบบรองรับ คา่ คงทีข่ องสปรงิ จะเพิ่มขน้ึ ตามนำ้ หนกั บรรทุกไมว่ ่าน้ำหนกั จะเปลีย่ นแปลงไปมากนอ้ ยเพียงใดก็ตาม เปน็ ผลทำให้ การขบั ขีเ่ ป็นไปด้วยความน่มิ นวลและยงั รกั ษาระดบั ความสงู ของรถให้คงท่ีดว้ ยเหตนุ ้ีสปรงิ ลม จึงจะเป็นตอ้ งมีเครื่อง อัดอากาศหรอื ปั๊มลมทำหนา้ ทปี่ อ้ นอากาศเข้าระบบซ่งึ มีความยุ่งยากมักใช้กับรถบรรทกุ และรถโดยสารในปัจจุบนั ไดม้ ีการนำใช้กบั รถยนตน์ ง่ั บางแบบการเอาระบบรองรบั ด้วยอากาศและควบคุมด้วย อิเล็กทรอนกิ ส์มาใช้ เพื่อเพ่ิม ความน่มิ นวลในการขบั ขี่และการทรงตัวท่ีดีในทุกสภาวะของการขบั ข่ี 5.ไฮโดรนิวแมติกสปริง (Hydro-Pneumatic Spring) สปรงิ แบบน้ีเปน็ การทำงานรว่ มกนั ระหว่างระบบไฮดรอลิกกับก๊าซไนโตรเจนกา๊ ซไนโตรเจนจะทำ หน้าทแ่ี ทน สปริงหรือแหนบนระบบรองรบั ส่วนทเ่ี ปน็ ตุ้มสปริงจะมลี กั ษณะเป็นโลหะรูปทรงกลม และขันเกลียวติดกบั กระบอก สูบไฮดรอลกิ ภายในลูกตมุ้ จะแบ่งออกเป็น 2 สว่ นคน่ั ดว้ ยแผ่นไดอะแฟรม ดา้ นบนบรรจุก๊าซไนโตรเจนซึ่งมีแรงดนั สงู ดา้ นล่างเป็นนำ้ มนั จากระบบไฮดรอลิกมีแรงดนั ทต่ี ่างกันประมาณ 100และ200บาร์ตามลำดับเม่ือลดั เคล่อื นท่ี ปา่ นวิ่งกีดขวางน้ำมันจะดนั แผน่ ไดอะแฟรมยดื ตัวการยืดและอดั ตัว ของแผ่นไดอะแฟรมนจี้ ะดูดซบั แรงส่นั สะเทือน ทำใหก้ ารขับขี่น่มิ นวล ไฮโดรนิวแมตกิ เป็นระบบกนั สะเทอื นทม่ี ีข้อดดี ังน้ี 1.ทำให้การขับข่มี ีความนิม่ นวลสูง เสริมนำ้ หนักบรรทุกได้มาก 2.การยืดเกาะถนนดี ทำใหม้ คี วามปลอดภัยในการขบั ขี่ 3.รับระดับความสงู -ต่ำของรถอตั โนมัติ ทำให้การทรงตวั ของรถดที กุ สภาพพนื้ ผวิ ถนน

4.ระดบั ของไฟหน้าไม่เปลย่ี นแปลงมากนกั ในการขับขีเ่ วลากลางคืน 5.ถา้ ยางลอ้ ใดเกดิ ปญั หา ยงั สามารถขับขี่ตอ่ ไปได้ หรอื ทำการถอดเปลี่ยนลอ้ ไดง้ า่ ย การรองรับน้ำหนกั ทีล่ อ้ หลงั การรองรับนำ้ หลักที่ล้อหลงั ที่ใชก้ ับรถยนต์ส่วนใหญจ่ ะถูกออกแบบใหส้ ามารถรับนำ้ หนักของผ้โู ดยสาร สัมภาระ และน้ำหนกั บรรทกุ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เป็นสาเหตุท่สี ำคัญอันนำมาซ่งึ ปญั หา คือ ถา้ ใช้สปรงิ รับ น้ำหนกั ท่ีแข็งจะรบั โหลดบรรทุกไดม้ ากแต่ความแขง็ แรงที่มากเกินไปทำให้รถขาดความน่ิม นวล ถา้ รถน้ันใชส้ ปรงิ ท่ี อ่อนเกนิ ไป ทำใหเ้ กิดภาระที่ตจะไดร้ บั โหลดบรรทุกทท่ี ำให้โช้กอพั ต้องทำงานหนัก โดยไมม่ ผี ลกระทบกบั การ บังคบั เล้ียวของลอ้ หนาั ซ่ึงกม็ ีอยหู่ ลายแบบดว้ ยกัน 1.แบบแหนบคูข่ นาน (Parallel Leaf Spring Type) เปน็ ระบบรองรบั นำ้ หนักแบบคานแข็งนิยมใชก้ ับระบบรองรับนำ้ หนักหลังของรถบรรทกุ สปริงแบบแหนบ คูข่ นานนี้จะรองรับชดุ เพลาหลังทั้งหมด รวมถึงชุดเฟอื งท้าย เพลาข้างดุมล้อรวมไว้ในหนว่ ยเดยี วกนั ชุดเพลานจ้ี ะ ต่อกับเพลากลางและยดึ ตดิ กับโครงรถ โดยจะสง่ ผ่านอาการเคล่ือนทขี่ นึ้ ลงนำ้ หนกั บรรทุกและ แรงขับจะถกู ส่งผ่าน แหนบสปริง 2.แบบ 4 แขนตอ่ (4 Link Type) ระบบรองรบั น้ำหนักแบบ 4 แขนตอ่ เป็นระบบรองรบั นำ้ หนักแบบคานแขง็ ระบบรองรับน้ำหนกั หลงั แบบ นี้ แขนตอ่ ประกอบด้วยแขนควบคุมตวั ล่างและตัวบน 2 ชดุ แขนควบคมุ ตัวบน และล่าง ทำหน้าที่ต้านแรงกระทำท่ี เกดิ จากการขบั เคลือ่ นของรถและการเบรก ปลายแขนควบคมุ แต่ละขา้ ง จะยึดติดกับตัวถังรถและเส้ือเพลาทา้ ยด้วย บชุ ยาง แขนควบคมุ ขวางทำหน้าทร่ี ับแรงและดูดซบั อาการ ส่นั สะเทือนในแนวขวาง

3.แบบสตรตั ปกี นกคู่ (Double Wishbone with Strut) ระบบรองรบั นำ้ หนกั หลงั นำมาใช้กับรถยนตท์ ่ีใชเ้ คร่อื งยนตไ์ วด้ า้ นหนา้ และขับเคลอื่ นล้อหนา้ โดยปีกนกคู่ ล่างจะทำหน้าทร่ี องรับล้อรถเอาไว้ ซึง่ จะติดตั้งในทศิ ทางใกล้กับเสน้ ตั้งฉากกบั เส้นผ่าศนู ยก์ ลาง ตามความยาวของ ตัวรถ กา้ นยันหรอื เหล็กหนวดกุง้ จะถูกตดิ ตั้งในทศิ ทางที่ขนานกับเสน้ ผ่าศูนย์กลางของ ตวั ถงั รถ 4.แบบแขนลากพร้อมคานบดิ (Trailing Arm Type with Twist Beam) เป็นระบบรองรบั น้ำหนกั แบบคานแข็งอกี แบบหน่งึ ประกอบด้วยแขนลา่ งสองชดุ ท่ีด้านปลายทง้ั สอง เช่ือมตดิ กบั คานเพลา โดยที่ปลายของเหลก็ กันโคลงที่สวมอยู่ภายในเรอื นเพลาต่างท่ีเช่ือมตดิ อยู่กบั คาน เพลา เม่ือ

รถมีแรงมากระทำต่อยางรถ แรงก็จะถกู กำจดั ไปโดยการกระจายแรงไปตามทศิ ทางของสว่ นตา่ งๆ ถ้าแรงกระทำใน ทศิ ทางแนวต้ัง แรงกจ็ ะถกู สง่ ผา่ นไปตามคอยลส์ ปริง โชก้ อพั และยางกนั กระแทก 5.แบบกึง่ แขนลาก (Semi-Trailing Arm Type) ระบบรองรบั น้ำหนักแบบนี้ เป็นระบบรองรับนำ้ หนักอิสระทถ่ี กู ออกแบบให้มกี ารเปลยี่ นแปลง ของศนู ยล์ อ้ ได้ อันเปน็ ผลมาจากการเต้นขึ้นลงของลอ้ ระบบแบบนร้ี วมเอาขอ้ ดีของระบบรองรบั นำ้ หนัก แบบแขนลากและ แบบสปริงแอกเซลิ เข้าดว้ ยกนั การรองรบั นำ้ หนกั ท่ีล้อหน้า การรองรบั น้ำหนักทีล่ อ้ หน้า (Front Suspension) จะยุ่งยากกว่าล้อหลัง ล้อหนา้ ไม่เพยี งแต่จะเตน้ ข้ึนลง เพอ่ื ลงการสั่นสะเทือนเทา่ การรองรบั น้ำหนกั ลอ้ หนา้ ยังตอ้ งออกแบบ ใหบ้ ดิ เลี้ยวไปมาได้ เม่ือหมุนพวงมาลยั บงั คับการเล้ยี วของรถ ระบบรองรบั จะต้องปอ้ งกนั แรงที่มา กระทำกับตวั ถงั รถพร้อมกบั ล้อไม่ให้เบ่ียงเบนหรือ

เคลือ่ นไปดา้ นหนา้ ซงึ่ จะทำใหอ้ งศาของมุมล้อ เปล่ยี นแปลงดงั นนั้ ระบบรองรับน้ำหนักของรถยนตส์ ว่ นใหญ่จงึ นยิ มเป็นอิสระ ยกเว้นรถบรรทุก และรถโดยสารท่ีใช้แบบคานแขง็ การรองรบั น้ำหนกั อิสระทลี่ ้อหนา้ นิยมนำมาใช้ กับรถยนต์นง่ั และรถบบรทุกขนาดเล็กมอี ยู่ 5 แบบ คือ 1.แบบแม็กเฟอรส์ นั สตรัต (MacPherson Strut Type) เป็นระบบรองรับแบบอิสระที่ได้รบั การปรับปรุงแบบมาจากปีกนกคู่ โครงสร้างของระบบมชี นิ้ ส่วน จำนวนท่ีลดน้อยลง ลดนำ้ หนกั ทีไ่ ม่ถูกรองรับด้วยสปริง และเพม่ิ พน้ื ที่ภายในห้องเครือ่ งยนตจ์ ึงมผี ล กระทบตอ่ มมุ ของศนู ยล์ อ้ หนา้ บ้าง เนอื่ งจากค่าเผื่อความผิดพลาดท่ีตั้งจึงไมจ่ ำเป็นท่ีจะต้องปรับต้งั ล้อหนา้ ยกเว้นมมุ โท รถยนต์ ที่ใช้รองรบั นำ้ หนกั หน้าแบบนีม้ ีสว่ นประกอบทีส่ ำคญั ดงั น้ี 1.1 ปีกนกตวั ล่าง (Lower Arm) 1.2 เหล็กกา้ นยนั หรอื เหล็กหนวดกุง้ (Strut Rod) 1.3 เหลก็ กันโคลง (Stabiliser) 1.4 คอยล์สปริง (Coil Spring) 2.แบบแมก็ เฟอร์สันสตรตั ทม่ี ีปกี นกล่างรปู ตัวแอล (L-Type Lower Arm MacPherson Strut) ระบบรองรบั แบบแมก็ เฟอรส์ นั สตรตั แบบนี้ ปีกนกลา่ งมีลกั ษณะคล้ายกับรูปตวั แอล โดยจะยดึ ติดอยกู่ ับ ตวั ถังพรอ้ มบุชยางสองจุด และยดึ ติดกับแกนบงั คับเลี้ยวด้วยลูกหมาก ทำใหส้ ามารถต้านทานไดท้ ัง้ ตามทิศทาง แนวยาวกบั ตัวถงั และแรงดา้ นข้าง 3.แบบปีกนกคู่ (Double Wishbone Type) เป็นระบบรองรบั นำ้ หนกั แบบอสิ ระ การสะเทือนทลี่ อ้ หนึง่ ไดร้ บั จะไมส่ ่งผลไปยงั อกี ลอ้ หน่งึ โดยตรง ระบบรองรับแบบนี้ประกอบดว้ ยปกี นกตวั บนและปกี นกตวั ล่าง มีลกั ษณะรปู รา่ งคล้ายตวั วี มีสปรงิ เปน็ ตัวรอง รบั นำ้ หนกั และมีโช้กอพั ประกอบอยดู่ ้วย มีสมรรถนะในการเกาะถนนดี รถยนตใ์ นปจั จุบันจงึ นยิ มใชก้ นั โดยทั่วไป 4.แบบปีกนกคูท่ ำงานร่วมกบั ทอรช์ ันบาร์ (Double Wishbone with Torsion Bar) เปน็ ระบบรองรบั น้ำหนักแบบอิสระทน่ี ำเอาทอร์ชนั บาร์มาใช้แทนคอยลส์ ปริง ทำหน้าท่ีบิดตวั เหมือน สปริงตลอดระยะเวลาการทำงาน ทอร์ชันบาร์จะติดตงั้ อยกู่ ับปกี นกตัวบน ส่วนปีกนกตัวล่างเปน็ รูปตวั วีจะยึด ตดิ กับคานรองรับดว้ ยบุชยาง และด้านหลังจะตดิ ตุ้งอยภู่ ายในแขนรับซ่งึ จะติดต้ังอยูก่ ับคานขวางด้วยโบลต์ ปรบั ตั้ง ระดับความสูงของทอร์ชันบาร์ซึง่ แตล่ ะอันต้องมเี คร่อื งหมายกำกับเอาไวเ้ พื่อป้องกันการผิดพลาดใน การประกอบ 5.แบบแหนบคู่ขนาน (Parallel Leaf Spring Type) เป็นระบบรองรับน้ำหนกั แบบคานแขง็ ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะระบบรองรับน้ำ หนักหนา้ ของรถโดยสาร รถบรรทกุ โครงสรา้ งของระบบรองรับเปน็ แบบงา่ ยๆ แขง็ แรง สะดวกตอ่ การ บำรุงรกั ษา สปริงทำ หนา้ ทเี่ ป็นกา้ นตอ่ ยึดตำแหน่งของเพลา จึงไมจ่ ำเป็นต้องตอ่ แยกจากโครงสร้างของระบบ แกนลอ้ บังคบั เลยี้ วของระบบรองรับแบบคานแข็ง แบ่งออกได้เปน็ 3 แบบ คอื

1.แบบเอลเลียต (Elliott) 2.แบบรเี วิรส์ เอลเลยี ต (Reverse Elliott) 3.แบบลามวน (Lemoine) การถอดและประกอบระบบรองรบั น้ำหนกั แบบตา่ งๆ 1.การถอดประกอบระบบรองรับนำ้ หนกั แบบปีกนกคู่

การตรวจลกู หมากปีกนก 1. ใช้แม่แรงยกดา้ นหน้าของรถใหพ้ น้ จากพื้นและโยกปกี นกตวั ล่างขึ้นลง 2. ตรวจสภาพความหลวมลกู หมากปีกนกตัวล่าง 3. ตรวจสอบสภาพความหลวมลูกหมากปีกนกตัวบนดว้ ยการงัดลอ้ ให้ขยบั ขึ้นลง 4. ตรวจสอบความหนดื ของของลูกหมาก โดยใช้ประแจวัดแรงบิดค่าความหนืดในขณะเร่ิมหมนุ และหมุน อยา่ งตอ่ เน่ือง คา่ แรงบดิ มาตรฐานจะอยูท่ ปี่ ระมาณ 20-40 กโิ ลกรัม/เซนติเมตร การถอดลูกหมากปีกนก เมอ่ื ตรวจสอบสภาพการใชง้ านของลูกหมากปีกนกเสรจ็ แล้ววัดระยะค่า ความ หลวมถ้ามากกว่าคา่ เกินกำหนดไวใ้ ห้เปลยี่ นใหม่ 1. ถอดลกู หมากปกี นกตวั บนและปกี นกตัวลา่ งออกจากแกนบังคับเลยี้ ว 2. ใชป้ ระแจคลายโบลตเ์ พ่อื ถอดปีกนกตวั ลา่ ง 3. คลายโบลตย์ ืดลกู หมากกบั ปีกนกตวั บน การประกอบลกู หมากปีกนก ภายหลังจากการถอดลกู กหมากชุดเดมิ ออกแล้ว ถา้ จำเปน็ ก็ตอ้ งเปลยี่ น ลูกหมากตวั ใหม่ มลี ำดบั ข้ันตอนดงั นี้ 1. ประกบิ ลูกหมากปกี นกตวั บนให้ยืดกับปีกนกตวั บนกอ่ น 2. ประกอบลูกหมากปีกนกตัวล่างใหย้ ดื ตดิ กับปีกนกตัวล่าง 3. ประกอบแกนบังคับเลี้ยวเขา้ ดว้ ยกันและขนั นอตยดื ตดิ ลูกหมาก โดยวดั ให้ได้ค่าตามทีก่ ำหนด การถอดทอรช์ ันบาร์ มีขน้ั ตอนการปฏิบตั ิดงั นี้

1. ใชแ้ มแ่ รงยกรถให้ล้อพ้นพื่นและใชข้ าต้ังรองรับโครงรถไว้ด้วย 2. จดั ทำเคร่อื งหมายไวเ้ กลยี วโบลต์ ปรับตั้งความสงู รถกับปลอกยึดเกลยี ว 3. เมอื่ จดั ทอร์ชนั บาร์แล้วเพ่ือความสะดวกใหท้ ำเครอื่ งหมายไว้ทท่ี อร์ชันบาร์กับแขนรบั แรงบิด 4. ตรวจสอบสภาพการชำรดุ ความหลวมของทอร์ชันบาร์และปลอกแขนยึด 5. ปรบั แตง่ ทอร์ชนั บาร์ให้คงสภาพกบั การใชง้ าน การประกอบทอร์ชนั บาร์ ปฏบิ ตั ติ ามลำดบั ยอ้ นกลับขั้นตอนการถอดด้วยความระมัดระวงั เพือ่ ปอ้ งกนั ความผิดพลาด มีข้ันตอนดังน้ี 1. การประกอบแขนรองรบั แรงบดิ ของทอร์ชันบาร์ 2. จดั เครือ่ งหมายที่ทำไว้ใหต้ รงกันระหวา่ งทอร์ชนั บาร์และปลอกแขนรับแรงบดิ การประกอบใหด้ ู เคร่อื งหมายทปี่ ลายของทอรช์ นั บารท์ ้ังด้านซา้ ยและด้านขวา 3. ประกอบแขนยดึ ปลายทอรช์ ันบาร์ ประกอบโบลตป์ รบั ตง้ั ความสงู และขนั เขา้ จนเครอื่ งหมายทำ ไว้ ตรงกนั 4. ตรวจระยะความสงู ทง้ั ด้านซ้ายและด้านขวาของตัวถังว่ามรี ะดับความสงู เทา่ ทกี่ ำหนดไวห้ รอื ไม่ การถอดปีกนกตัวลา่ งและโชก้ อพั ภายหลังจากที่ได้ทำการถอดทอร์ชันบารอ์ อกแลว้ การถอดปกี นกตวั ลา่ งและโช้กอพั มขี น้ั ตอนดงั นี้ 1. ถอดลกู หมากคันสง่ ออกด้วยการถอดปินและนอตก่อน 2. ถอดนอตยดึ โชก้ อัพ และถอดเหล็กกันโคลงออกจากปีกนกตัวล่าง 3. คลายนอตยึดเหล็กหนวดกงุ้ และถอดเหลก็ หนวดกุ้งออกจากปีกนกตวั ล่าง 4. คลายโบลต์ยึดลกู หมากและถอดลกู หมากปีกนกตัวล่างออกจากแกนบังคับเลย้ี ว 5. คลายนอตเพลาปีกนกตัวลา่ งและถอดปีกนกตัวลา่ งออกเพอื่ ทำการเปล่ยี น

การประกอบปกี นกตัวล่างและโช้กอพั ให้ปฏิบัติยอ้ นกลบั มขี ั้นตอนดังนี้ 1. ยดึ แขนรบั แรงบิดเข้ากบั ปีกนกตัวลา่ งไวช้ ั่วคราว 2. สอดเพลาเพื่อปรบั ปกี นกตัวลา่ งเข้าไปในต้ำแหน่งเดิม 3. ประกอบลกู หมากเข้ากบั ปกี นกตัวล่าง ประกอบเหล็กหนวดกุ้งและเหล็กกนั โคลงเข้ากับปกี นก ตัวล่าง 4. ยึดโชก้ อัพเขา้ กับปีกนกตวั ลา่ งและเบา้ ตดิ ตงั้ โช้กอัพดา้ นบน 5. ประกอบลูกหมากเขา้ กับแกนบงั คบั เล้ียวและขนั นอตใหแ้ น่น 6. ประกอบทอรช์ ันบาร์และปลดขาต้งั ออก แล้วขยม่ รถขึ้น-ลงเพอื่ ให้ระบบรองรับเขา้ ที่แลว้ ขันนอต อกี คร้ัง การถอดปีกนกตัวบน ถอดแยกออกได้เม่ือตอ้ งการท่ีจะเปลย่ี นบชุ ยางของปกี นก มีขั้นตอนการปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 1. ใชแ้ มแ่ รงรองรับปกี นกตัวล่างและคลายโบลตย์ ึดลกู หมากปีกนก 2. ถอดปกี นกออก คลายโบลตย์ ึดแกนปีกนกและปลดแผ่นจีมปรับต้งั มมุ แคมเบอร์ ถอดปกี นกตัว บนออก บนั ทึกจำนวนของแผ่นจมี ในแตล่ ะตำแหนง่ เพ่ือความสะดวกในการประกอบกลับคืน

การเปลย่ี นบุชยางปกี นกตวั บน ภายหลังจากถอดปกี นกตัวตัวบนแลว้ คลายโบลตย์ ดึ บุชและแหวน นอง โดยใช้เครือ่ งมือดดู บชุ ตัวเก่าออก ใช้เคร่อื งมืออดั บุชตวั ใหมเ่ ข้า และประกอบแหวนรองขนั โบลต์ด้วย มืออยา่ ให้ แน่นมากนกั ขันอกี ครง้ั เมือ่ ประกอบปกี นกเข้าทแ่ี ลว้ การประกอบปกี นกตวั บน ภายหลงั จากการถอดเปล่ยี นชนิ้ สว่ นต่างๆ และข้นั ตอนการประกอบมีดงั นี้ 1. ประกอบปีกนกตวั บนพร้อมกบั จมี ตง้ั มุมแคมเบอร์ มุมคาาสเตอรโ์ ดยจะตอ้ งประกอบแผน่ จีมให้ได้ จำนวนเทา่ เดมิ 2. ประกอบลกู หมากปกี นกเข้ากับปีกนกตำแหน่งเดมิ ขนั โบลต์ปกี นกตัวบน 3. ประกอบลอ้ รถและปลดขาตัง้ ออก แลว้ จงึ ทำการขยม่ ตวั ถังรถขึ้น-ลงเพ่ือใหร้ ะบบรองรบั เข้าท่ี ขันโบลต์ ยึดเพลาปกี นกซ้ำอกี ครั้ง การถอดเหลก็ หนวดกุ้ง มขี นั้ ตอนการปฏบิ ัติดงั นี้ 1. ให้ทำเคร่ืองหมายไว้ระหวา่ งเหลก็ หนวดกงุ้ และนอตกอ่ นท่ีจะคลายนอตลอ็ ก 2. คลายนอตตัวหน้าและโบลตย์ ดึ เหลก็ หนวดกุ้งทีต่ ิดกับปกี นกตวั ล่างออก การประกอบเหล็กหนวดก้งุ ปฏิบัตติ ามลำดบั ขัน้ ตอนย้อนกลบั คือ 1. ประกอบนอตตัวหน้าโดยจัดเคร่ืองหมายที่ทำไว้บนเหลก็ หนวดกุ้งให้ตรงกนั 2. ประกอบเหล็กหนวดกุ้งเข้ากับปกี นกตวั ลา่ ง ขนั นอตตวั หน้าใหแ้ น่น และปลดขาต้ังออกขย่มตัว รถข้นึ - ลงเพอื่ ใหเ้ ข้าที่ การถอดและประกอบเหลก็ กนั โคลง มีขน้ั ตอนดังนี้ 1. ถอดนอตและยางยึดเหล็กกันโคลงท้ังสองด้านออกจาดปกี นกตวั ลา่ ง 2.ถอดบุชและแผ่นยึดเหลก็ กันโคลงออกเพ่ือตรวจสภาพการคดงอ แตกร้าว และชำรดุ ของเหลก็ กนั โคลง แลว้ ทำการเปล่ียนให้หากชำรุด

3. ประกอบเหลก็ กนั โคลงให้เข้าท่ี และติดตั้งบุชเหล็กกนั โคลงทง้ั สองด้านเขา้ กบั โครงรถ ประกอบแผน่ ยึด เหล็กกนั โคลงให้ชดิ กับตะเข็บหนา้ 2. การถอดและการประกอบระบบรองรับน้ำหนักหน้าแบบแมก็ เฟอรส์ นั สตนรัต การถอดโช้กอพั หน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต มขี นั้ ตอนดังนี้ 1. ใช้แม่แรงยกรถให้พ้นจากพน้ื และใช้ขาตง้ั รองรบั ตัวถงั รถ 2. ถอดทอ่ ยางเบรกออกจากคาลิเปอร์เบรกด้วยการคลายโบลตข์ ้อต่อและการปะเก็น 3. ถอดแผ่นล็อกทอ่ ยางเบรกและดึงทอ่ ยางเบรกออกจากขายืด คลายนอตยึดโชก้ อพั 3 ตวั ด้านบนออก 4. ใช้ปากกาจับงานยึดโชก้ อพั และใชเ้ ครอื่ งมอื บีบคอยล์สปรงิ 5. ถอดเบ้าโช้กอัพ บ่ารองสปริง ยางกันฝุน่ สปรงิ ยางกนั กระแทกและยางลองออก การประกอบโชก้ อพั หนา้ แบบแม็กเฟอร์สนั สตรตั มีขน้ั ตอนดังน้ี 1. ใชเ้ ครอื่ งมือบีบคอยล์สปรงิ และประกอบเขา้ กับโช้กอัพ พรอ้ มกับยางกนั กระแทกและยางรองรับ สปริง ตวั ลา่ ง

2. ประกอบยางรองสปริงตวั บนและยางกนั ฝุ่น โดยจดั ให้เครื่องหมาย “OUT” ของบา่ รองสปริง ไป ทางด้านนอกของตัวถงั รถ 3. ประกอบนอตยึดเบา้ โช้กอัพและขันนอตทยี่ ดึ เบ้าโชก้ อัพท้งั 3 ตวั ติดดับตัวถงั รถให้แนน่ 4.ประกอบท่อยางเบรกด้วยแผน่ ล็อกยึดกับขายึด ต่อทอ่ ยางเบรกเขา้ กับคาลิเปอร์เบรกดว้ ยโบลต์ข้อต่อ และเปล่ยี นปะเก็นตวั ใหม่ขณะประกอบ 3. การถอดประกอบระบบรองรับนำ้ หนกั หลงั แบบแมก็ เฟอรส์ นั สตรตั การถอดประกอบระบบรองรับนำ้ หนกั หลงั แบบแมก็ เฟอร์สนั สตรตั จะมขี น้ั ตอนในการปฏิบตั ไิ ด้ เช่นเดียวกนั กบั ระบบรบั นำ้ หนกั หนา้ แบบแมก็ เฟอร์สนั สตรตั มขี ้อแตกตา่ งกนั คอื กอ่ นท่ีจะทำการถอดแยกชิน้ ส่วนประกอบออกน้นั ควรจะตอ้ งทำเครอื่ งหมายลงบนลกู เบี้ยว และตั้งมมุ ลอ้ หลงั กบั ตวั ถังรถเสียกอ่ นเพื่อ ความ ถกู ต้องในการประกอบกลบั คืนให้ไดศ้ ูนย์ 4. การถอดและประกอบระบบรองรบั น้ำหนักหลงั แบบแหนบคู่ขนาน การถอดแหนบและโชก้ อัพ มขี ัน้ ตอนดงั น้ี

1. ใช้แมแ่ รงยกรถขน้ึ และใชข้ าตั้งรองรบั โครงรถ และลดแมแ่ รงให้เสือ้ เพลาตำ่ ลงจนกระท่ังแหนบ อยู่ใน ตำแหนง่ อิสระ 2. คลายนอตถอดโช้กอัพออก คลายนอตยดึ โบลต์ตวั ยูและถอดเบ้ารองแหนบ 3. คลายนอตยึดสลกั หแู หนบและสลักโตงเตงออก การเปลย่ี นแหนบ เมือ่ ถอดแหนบออก ตรวจสภาพบุชและการออ่ นล้าของแหนบถ้าชำรุดเสียหายให้ ทำ การเปลย่ี น มขี ้ันตอนดงั น้ี 1. ใชเ้ คร่อื งอดั ไฮดรอลกิ เปล่ยี นบชุ หแู หนบออก 2. ใชส้ กุดดอกงัดปลอกรัดแหนบออก ยึดแหนบด้วยปากกาจบั งานและถอดโบลตย์ ึดแหนบออก 3. ถ้าจะตอ้ งเปลี่ยนปลอกรดั แหนบก็ให้ใชส้ ว่านเจาะหวั หมดุ ย้ำและตอกออก (เมอ่ื ประกอบหมุดยำ้ ตวั ใหมใ่ หอ้ ัดหัวหมุดด้วยไฮดรอลิก) 4. จัดรขู องแหนบแตล่ ะแผ่นใหต้ รงกนั และยึดดว้ ยปากกาจบั งานและบบี ใหแ้ นน่ ร้อยโบลตย์ ึด แหนบที่ ตำแหนง่ กึง่ กลาง 5. จัดตำแหนง่ ปลอกรัดแหนบและใช้คอ้ นตอกพบั รดั แหนบให้อย่ใู นตำแหน่งที่ถกู ตอ้ ง

การประกอบแหนบ หลังจากตรวจสอบสภาพการบริการและการเปลย่ี นบุชและแหนบท่ชี พรดุ การ ประกอบแหนบมขี ั้นตอนยอ้ นกลับดังน้ี 1. ทำไดโ้ ดยสวมปลายด้านหนา้ ของแหนบเข้ากบั หูยึดแหนบดา้ นหนา้ และประกอบสลักยึดหูแหนบ โดย การขันนอตยึดหูแหนบ 2. สวมปลายดา้ นหลงั ของแหนบพร้อมโตงเตงเข้ากบั เบ้ารองแหนบและขนั นอตยดึ 3. ประกอบโบลตต์ ัวยสู วใเข้ากบั เสือ้ เพลา ยึดเขา้ กบั เบ้ารองแหนบและขันนอตยดึ แหนบเข้ากบั เสอ้ื เพลา 4. ประกอบโช้กอพั เข้ากบั โครงรถและเบา้ รองรับแหนบด้วยโบลต์ 5. ปลดขาตั้งลงและทดลองขยม่ รถขึ้น-ลงให้ระบบรองรบั เขา้ ท่ี แลว้ กวดขนั นอตทุกจุดซำ้ อีกครง้ั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook