Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สันติภาพกับการดำเนินชีวิตในสังคมไทย : มุมมองของพระพุทธศาสนา Peace and Living in Thai Society: A Buddhist Perspective

สันติภาพกับการดำเนินชีวิตในสังคมไทย : มุมมองของพระพุทธศาสนา Peace and Living in Thai Society: A Buddhist Perspective

Published by MBUISC.LIBRARY, 2020-11-04 02:32:20

Description: วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2563
โดย พระครูจริยธรรมานุรักษ์ (วัลลภ จริยธมฺโม)

Keywords: สันติภาพ

Search

Read the Text Version

สนั ติภาพกับการดาเนินชีวิตในสงั คมไทย: มมุ มองพระพุทธศาสนา Peace and Living in Thai Society: A Buddhist Perspective พระครูจริยธรรมานรุ กั ษ์ (วัลลภ จริยธมฺโม) Phrakhru Jariyathammanurak (Wanlop Cariyadhammo) บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย Graduate School, Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Thailand. Email: [email protected] Received December 20, 2019; Revised December 25, 2019; Accepted March 30, 2020 บทคัดยอ่ พระพทุ ธศาสนาได้สอนถึงแนวทางในการประกอบอาชีพการงานอันเป็นประโยชน์แก่มวล มนษุ ยชาติ ลาพงั แตเ่ พียงศลี อย่างเดียวประกนั สันติภาพตลอดไปไม่ได้ ท้ังน้ีเพราะศีลนั้นเป็นการทาตาม ความสมัครใจของปัจเจกบุคคลแตล่ ะคน ไม่ได้ระบกุ ารลงโทษไว้ดังเช่นกฎหมาย จึงขึ้นอยู่กับอัธยาศั ยของ ปัจเจกบุคคลแตล่ ะคนเป็นสาคัญ ปจั เจกบคุ คลต้องรู้จักประยุกต์หรือนาศีลเข้ามาใช้ในชีวิตประจาวันให้ มากที่สุดแล้วสังคมมนุษย์ก็จะก้าวเข้าไปใกล้สันติภาพที่มัน่ คงถาวรยิง่ ขนึ้ ได้ การนาสันตภิ าพมาสู่สังคมโลก ตอ้ งได้มาจากจิตที่บริสุทธิ์เป็นจิตที่ไม่เห็นแก่ตัว จิตที่ไม่หวัง ผลตอบแทนเปน็ วตั ถุสิง่ ของ คนทีม่ ีจิตบริสทุ ธิ์จะมองโลกด้วยความเมตตากรุณา และจะเอื้ออาทรต่อคนที่ ประสบกับความเดอื ดร้อนเช่นทีพ่ ระพทุ ธเจ้าได้ทรงทามาแล้ว ความเป็นจริงแล้วการกระทาอะไรก็ตามจะ เริ่มตน้ มาจากจุดเล็กๆ ทั้งนนั้ การพฒั นาสงั คมให้มีสันติภาพก็เช่นเดียวกัน ต้องเริ่มที่ปัจเจกบุคคลก่อน แล้วจึงนาไปสู่ครอบครวั และจะขยายไปถึงสงั คมชุมชนทีห่ ลายๆ ครอบครัวมาอยู่รวมกันจึงเป็นสังคมของ คนดมี ีความสงบเรียบร้อยอยู่ร่วมกนั โดยปรกติสุข พระพุทธศาสนาสอนให้ปัจเจกบุคคลดับเหตุแห่งทุกข์ และความสขุ ก็เกิดจากการประพฤติดีของปัจเจกบคุ คลนนั้ เอง ฉะนนั้ เมือ่ ปฏิบัตถิ ูกต้องตามที่ทรงแสดงไว้ได้ กจ็ ะช่วยให้ผู้ประพฤติปฏิบตั ติ ามได้รับความสงบสขุ จริงๆ คาสาคญั : สนั ตภิ าพ; การดาเนนิ ชีวิตในสงั คมไทย; มมุ มองพระพทุ ธศาสนา

54 | วารสารนวตั กรรมการศกึ ษาและการวิจัย ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 Abstract Buddhism teaches you a way of occupation that benefits all mankind. The precepts alone cannot guarantee peace forever. This is because the precepts are voluntary acts of each individual. The punishment was not specified as the law. It depends on the dignity of each individual. Individuals have to know as much as possible to apply or apply precepts in their daily life, and human society can move closer to stable peace. Bringing Peace to the World Society It must be obtained from a pure, unselfish mind. The non-profit mind is material. People of pure mind see the world with compassion. And will be generous to those who are suffering as the Lord Buddha has already done In fact, any action starts at a very small point, so does the development of a peace society. It must first start with the individual, then lead to the family and will expand to the community society where many families come together, so it is a society of good people with peace and order together normally. Buddhism teaches the individual to curb the causes of suffering. And happiness comes from the good behavior of that individual. Therefore, when he is able to do what he has shown, it will really help those who do it for peace. Keywords: Peace, Living in Thai Society, A Buddhist Perspective บทนา ศลี เปน็ ปัจจัยสาคญั แห่งการดาเนนิ ชีวิตให้สงบสุข อีกท้ังยังเป็นเครื่องมือสร้างความเจริญท้ัง ในสว่ นของปจั เจกบุคคลตลอดถึงครอบครัว สังคม และประเทศชาติเป็นลาดับ แต่ในปัจจุบันน้ีสังคม มนุษย์ออกจะห่างเหินศีลธรรม โดยลืมนึกถึงการพัฒนาจิตใจ จึง ทาให้มอง ไม่เห็นหรือมอ งข้าม ความสาคัญของศลี ซึง่ เป็นส่ิงสาคญั ตอ่ ทกุ ชีวิตไป ปัญหาตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตร่างกาย เกี่ยวกับทรัพย์สิน อาชญากรรมทางเพศ การหลอกลวงตม้ ตนุ๋ และสิ่งเสพติดให้โทษน้ันได้เริ่มต้นมาจากปัจเจกบุคคลก่อน แล้วขยายเป็นชุมชนและสงั คม พระพทุ ธศาสนามีจดุ มุ่งหมายที่จะให้สงั คมที่ตนอาศัยอยู่น้ันมีความสงบ ไม่ มีปัญหาหรือมีปัญหานอ้ ย เพื่อให้ได้ความสงบสุขที่มน่ั คงถาวร โดยไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น เพราะความสงบ สขุ ที่ได้มาโดยการเบียดเบียนผู้อื่นน้ัน จะนาความทุกข์มาให้ในภายหลัง การที่เราจะได้ความสงบสุขที่ แท้จริงได้นั้นต้องมีปัจจัยทางศีลธรรม เป็นพื้นฐานเพื่อเป็นการควบคุมความประพฤติ ให้มีกายสุจริต วจีสจุ ริต และมีสัมมาชีพอันจะเกิดขึน้ ในการดาเนนิ ชีวิต (พระพรหมคณุ าภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต, 2555) บุคคลผู้ถือกาเนดิ มาเปน็ มนุษย์ได้ในพระพทุ ธศาสนาถือว่า เป็นส่ิงที่ประเสริฐที่สุด เพราะคติ หรือที่ไปนน้ั มีมากมายซึ่งล้วนแล้วแก่กรรมจะพาไป เพราะบุคคลเหล่าน้ีประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต การกระทาที่ประกอบด้วยเจตนาคือ ความตงั้ ใจหรือความจงใจให้กรรมเป็นไปตามอานาจแห่ง ตนทั้งที่เปน็ กรรมดีทีเ่ รียกว่า “กุศลกรรม” และที่เป็นกรรมชวั่ ทีเ่ รียกว่า “อกุศลกรรม” บุคคลบางคนเกิด

Journal of Educational Innovation and Research Vol. 4 No.1 January – April 2020 | 55 มาในโลกน้ี มีคติสมบัติ รูปสมบัติที่สมบูรณ์เพียบพร้อม หากแต่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นตัวจาแนก แบ่งแยกให้คนเลวและประณีตแตกต่างกัน เพราะฉะน้ันคนเราจึงแตกต่างกันม าต้ังแต่ต้น ทั้งในด้าน สถานทีเ่ กิด ครอบครวั ตลอดจนถึงจิตใจ ซึ่งก็มีความแตกต่างกัน ถือว่าเป็นการสร้างของกรรม คติ สมบัติ หมายเอาภพ สถานที่ ตระกลู ครอบครัว คนเหล่าน้ันเกิดมา จะสามารถเกื้อกูลให้เกิดความ เจริญในดา้ นใดด้านหนง่ึ หรือไม่ ถ้าไม่อาจเกือ้ กลู ได้แสดงว่า ภพ สถานที่ ตระกูล ครอบครัวของเขา วิบตั ิ ถ้าตรงกันข้ามก็จัดว่าเปน็ สมบัติ ข้อน้ีในกระบวนการตามกฎแห่งกรรมแล้วถือว่า เป็นผลของชนก กรรม ตรงตามหลักพทุ ธภาษิตว่า “กรรมเป็นผู้จาแนก แบ่งแยกให้คนเลว และประณีตแตกต่างกันไป” (ม.อุป. 14/581/376) อุปธิสมบัติ หมายเอารูปร่างหน้าตา สุขภาพพลานามัย ถ้าสุขภาพพลานามัย จนถึงคนที่มีลกั ษณะนสิ ัยไม่ดี อปุ ธิของเขาก็วิบัติ หากตรงกันข้ามก็เป็นสมบัติ กาลสมบัติ หมายถึง กาลเวลาทีค่ นเหล่านน้ั เกิดมา ความรู้ ความสามารถ คุณสมบัติของเขา เป็นที่ต้องการของคนในสมัย นนั้ ๆ หรือไม่ หากไม่ต้องการ กาลของเขาก็วิบัติ หากตรงกันข้ามก็จัดว่าเป็นสมบัติ ปโยคสมบัติ หมายถึง การประพฤติปฏิบัตขิ องคนเหล่านนั้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามโครงสร้างของคน 4 ประเภท ดังที่กล่าวไว้ในคมั ภีร์พระอภิธรรม ธาตกุ ถาปคุ คลบัญญตั ปิ กรณ์ (อภิ.ธาตุ. 36/525/105) มืดมามืดไป หมายความว่า คนบางคนเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ดีหรือในสถานที่ไม่ดีอย่าง ไร ก็คงเป็นอย่างนั้น มืดมาแล้วสวา่ งไป คนบางคนเกิดมาในครอบครวั ที่ไม่ดหี รือในสถานที่ไม่ดี แต่ได้ใช้ความเพียรพยายาม ของตัวเอง งดเว้นทางเสอ่ื มท้ังปวงเสียได้ มากระทาสิ่งที่ดีงาม พัฒนาตนเองให้มีฐานะที่ม่ังค่ัง ม่ันคง ขนึ้ มาได้ สว่างมามืดไป หมายถึงคนที่เกิดมาแล้วด้วยกุศลกรรมที่ทาไว้ในอดีต ทาให้ได้ฐานะทาง เศรษฐกิจ ฐานะทางครอบครวั แตไ่ ม่สามารถทีจ่ ะรกั ษาฐานะเหล่านน้ั ไว้ได้ เพราะความประพฤติช่ัว เช่น ตกเป็นทาสของอบายมุขตา่ งเป็นตน้ สวา่ งมาแลว้ สวา่ งไป คือเกิดมาด้วยกุศลที่ดีงาม ครอบครัวมีฐานะ ทางเศรษฐกิจทีด่ ี และสามารถรักษาสถานะเหล่านนั้ ไว้ได้ ตลอดจนถึงได้พัฒนาให้สูงขึ้นไปด้วย ทุกอย่าง ล้วนแล้วแตเ่ กิดขึน้ จากกรรมดี คือการกระทาของบุคคลนนั้ ในการได้ลาภ หรือการเส่ือมลาภ การได้ยศ เสื่อมยศ การถกู นนิ ทา หรือการได้รับการยกย่องสรรเสริญ การประสบความสุขและการประสบความ ทุกข์ ก็ล้วนแล้วแตเ่ กิดขึน้ มาจากการกระทาของเขา ไม่มีใครที่จะทาให้บุคคลผู้ไม่มีเหตุแห่งความทุกข์ ประสบความทุกข์ได้ ไม่มีใครที่มีเหตุแห่งความสุข ไม่ให้ประสบความสุขได้ ความสุขหรือความทุกข์จึง เกิดขนึ้ จากการกระทาของตนเองเปน็ สาคญั (พระราชวิสทุ ธิกวี พิจิตร ฐติ วณโฺ ณ, 2536) สรุปได้ว่า การทีจ่ ะทาให้ทกุ คนมีศีลธรรมกนั เป็นจุดมุ่งหมายในที่น้ี เน่ืองจากมีคนเป็นจานวน ไม่น้อยที่ไม่ยอมรับว่าศลี ธรรมช่วยแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ของสงั คมได้ โดยแย้งว่าปัญหาทางสังคมเป็นเรื่อง ของเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับด้านศาสนาเลย และมีคนอีกเปน็ จานวนไม่น้อยเช่นกันที่พากันคิดว่าศีลน้ันเป็น ของศาสนา โดยลมื นกึ ไปว่าศลี ธรรมนนั้ ได้เกี่ยวพนั กบั ชีวิตประจาวันตั้งแต่ต่ืนนอนจนถึงเข้านอน คือเป็น เรื่องทีแ่ ยกกันไม่ออก แล้วไม่ยอมรับหลกั การที่ว่าศีลนั้นเป็นความหวังสุดท้ายที่จะพาให้มนุษย์เราเข้าไป ใกล้สนั ตภิ าพหรือมีสนั ตภิ าพที่มั่นคงถาวร

56 | วารสารนวตั กรรมการศกึ ษาและการวิจัย ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 ความสาคัญของการมีศีล 5 ศลี 5 นน้ั เมื่อมนษุ ย์เราประพฤติปฏิบัตกิ ันอย่างแพร่หลายแล้ว ก็จะก่อให้เกิดการอยู่ร่วมกัน โดยปรกติสุข ปัญหาทีเ่ กิดขึน้ ในโลกปัจจบุ ัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับชีวิตทรัพย์สิน อาชญากรรมทาง เพศ ตลอดจนการหลอกลวงใส่ร้ายกนั ปัญหาเกีย่ วกับสิ่งเสพตดิ ให้โทษ เป็นต้น ศีลเป็นคุณธรรมพื้นฐาน (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต, 2555) เปน็ เครือ่ งช่วยควบคุมกายวาจาของมนุษย์ให้เรียบร้อย เพื่อให้ มนุษย์อยู่ร่วมกันในสงั คมอย่างสงบสุขพวง (เพชร ทองหมืน่ ไวย, 2559) พระพทุ ธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า โลกนีจ้ ะสงบร่มเยน็ ได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์เคารพในสิทธิเสรีภาพ ของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนซึ่งกนั และกนั ทั้งทางกาย วาจา และใจ ทรงชี้ให้เห็นว่า สัตว์ทุกจาพวกรักสุข เกลียดความทุกข์ ตอ้ งการได้ยินแตค่ าพูดทีไ่ พเราะอ่อนหวานกันท้ังน้ัน เมื่อมนุษย์ต้องการให้ผู้อื่นประพฤติ ปฏิบตั ทิ ี่อ่อนนอ้ มแก่เรา เรากค็ วรประพฤติปฏิบตั เิ ช่นนนั้ แก่เขาก่อน การประพฤติปฏิบัติเพื่อมิให้ผิดศีลหรือ ทาให้ศีลขาด ตอ้ งมีการสารวมกาย วาจา โดยมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่นับว่าเป็นตัวทาลายสติตัวฉกาจ ก็คือสิง่ เสพตดิ และของมึนเมาทุกชนดิ นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังนาไปสู่ความประมาทอันเป็นเหตุ ให้เสียทรพั ย์สนิ บางครั้งอาจทาให้ตนเองและผู้อื่นต้องได้รับอันตรายถึงชีวิต (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, 2538) ดงั นน้ั การประพฤติปฏิบัตติ ามศลี ธรรม จึงเป็นการประพฤติปฏิบัติเพื่อลดช่องว่างระหว่างชน ช้ันในสงั คมลงได้และปัญหาตา่ งๆ ที่เกิดขึน้ กับคนรอบข้างตลอดถึงสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ด้วย ศีลขั้นสูง คือสมั มาวาจา สัมมากมั มันตะ และสัมมาอาชีวะซึ่งเป็นองค์ของมรรค ได้แก่ การพูด การกระทา การ ประกอบอาชีพที่มีเจตนาปราศจากความทุจริต หรือความคิดที่เบียดเบียน ฉะนั้น เพื่อควบคุมบุคคลใน สังคมให้อยู่ในกฎระเบียบที่สงั คมได้กาหนดขึน้ พระพุทธศาสนาจึงมุ่งสอนไปที่ให้มนุษย์ไม่เบียดเบียนซึ่งกัน และกัน ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันตแิ ละสงบสุข (พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, 2553) ได้แก่ ไม่ทาตนให้เป็นที่ รังเกียจของผู้อืน่ ทาให้ผู้ประพฤติเปน็ ทีร่ กั เป็นทีเ่ คารพของผู้อืน่ เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน เป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงกนั เปน็ อนั หน่งึ อนั เดียวกัน ไม่ให้วิวาทกับใคร เพราะความเห็นที่ขัดแย้งกัน พอสรุปเปน็ ข้อได้ดังน้ี 1. เป็นรากฐานแหง่ ความสงบ คนที่มีศีลนอกจากจะไม่ทาตนเองและสังคมให้เดือดร้อน แล้วนาแตว่ ามสุขความเจริญมาให้แก่ตนเองและคนอื่น ๆ อีกท้ัง คนมีศีลธรรมยังมีส่วนช่วยตนเองและ สังคมให้อยู่อย่างสงบสุขด้วย เพราะศลี ธรรมน้ันทุกคนสามารถนามาประพฤติปฏิบัติได้ ทาให้ผู้ที่นามา ประพฤติปฏิบตั เิ ปน็ ที่รักของคนทั้งหลาย การทีพ่ ระพุทธศาสนาเน้นให้คนมีศีลธรรม ก็เพราะศีลธรรมเป็น บ่อเกิดของความดีทั้งหลาย เป็นรากฐานของความสงบ ผู้วิจัยมีความเชื่อมน่ั ว่าศลี ธรรม เพียงอย่างเดียวก็ สามารถทาให้คนในสังคมหรือชมุ ชนมีความสงบร่มเยน็ ได้ 2. เป็นมาตรฐานแห่งการอย่รู ว่ มกัน ถ้าทกุ คนในสงั คม เพียงแตม่ ีศีลธรรมกันแล้วสังคม หรือชมุ ชนกจ็ ะสงบอย่างยิ่ง จะไม่มีสงคราม ไม่มีการฆ่าล้างผลาญกัน ไม่มีการขโมยแย่งชิงโกงกินกัน ไม่มีการประพฤติผิดทางกามทีก่ ่อให้เกิดความสบั สนวุ่นวายแตกแยกขนึ้ ในสังคม หรือชุมชน ไม่มีการโกหก

Journal of Educational Innovation and Research Vol. 4 No.1 January – April 2020 | 57 หลอกลวงใส่ความกนั ไม่มีการเสพของมึนเมาให้โทษตา่ ง ๆ อนั เป็นบ่อเกิดแห่งความประมาทและความ หายนะตา่ งๆ ทกุ คนในสงั คมหรือชุมชนก็จะพบกับความสุขร่มเย็น อยู่ด้วยกันด้วยความรักใคร่ปรองดอง กนั ไม่ต้องเดอื ดร้อนวุ่นวายกันเหมือนในสังคมปัจจบุ ัน ศลี ธรรมจึงมีความสาคัญมากสาหรับทุกคน ทั้งน้ีก็ เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของตนเองและสังคมโดยส่วนรวม อันเป็นรากฐานแห่งการอยู่ร่วมกันซึ่งจะ ก่อให้เกิดสันตภิ าพทีม่ ั่นคงถาวรขึน้ ในโลก 3. เป็นเครือ่ งมือสร้างสันติภาพ ถ้ามนุษย์ทุกคนเข้าใจความมุ่งหมายที่แท้ของศีลและ ประพฤติปฏิบตั ิให้ถกู ต้อง เพือ่ ให้เกิดผลสนองตอ่ ความมุ่งหมายของศีลอย่างแท้จริงแล้ว สังคมมนุษย์จะ อยู่ในภาวะปกติสุข ฉะนนั้ ศลี ว่าโดยเน้ือแท้ก็คือความดีงามของมนุษย์น้ันเองที่เอื้อต่อกา รดาเนินชีวิต ปัจจบุ ันมนษุ ย์เรารบราฆ่าฟันกนั ด้วยการแบ่งแยกเผ่า ผิวพรรณ ลัทธิทางศาสนาเป็นตน้ สรปุ ได้ว่า พระพุทธศาสนาทรงสอนว่า การที่มนุษย์ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ อย่างไรนน้ั คนในสังคมตอ้ งมีศีลเพื่อให้คนในสงั คมอยู่ร่วมกันด้วยเมตตาที่เกิดจากปัญญาที่เข้าใจกัน การ ให้โอกาสแก่กันและกนั ซึง่ เปน็ ทางนาไปสู่ความสงบได้ในทีส่ ุด การประพฤติตามหลกั ของศลี 5 นน้ั เปน็ การพัฒนาตนเอง คือรู้จักควบคุมตนเอง ไม่ทาให้ ตนเองตอ้ งเดือดร้อนในภายหลังในสง่ิ ทีต่ นได้ทาลงไป เปน็ การผกู มิตรไมตรีกับคนในสังคม เป็นการปรับตัว ให้เข้ากบั คนในสังคมได้โดยไม่ต้องก่อความเดอื ดร้อนให้แก่ตนเองและสังคมโดยส่วนรวม ทาให้อยู่ร่วมกัน โดยสันตสิ ขุ อีกท้ังยังเป็นประโยชน์แก่ชีวิตถึง 2 ประการ ได้แก่ (บุญมี แท่นแก้ว, 2538) 1. ประโยชน์ตน คือการที่ได้ฝึกฝนอบรมตนดี บรรลุความเจริญก้าวหน้าแห่งสติปัญญา และคุณธรรมตา่ ง ๆ สมบูรณ์ดว้ ยวิชาและความประพฤติ สามารถเป็นที่พึ่งได้ท้ังตัวเอง ทั้งร่างกาย และ จิตใจ 2. ประโยชน์ผู้อืน่ ประกอบด้วยเมตตา กรณุ า สามารถช่วยเหลือ่ ชีวิตตนเอง เกื้อกูลผู้อื่น เห็นประโยชน์ตอ่ ผู้อื่น สรปุ ได้วา่ การดาเนนิ ชีวิตของบุคคลในสังคมจะตอ้ งเกี่ยวข้องหรือสมั พันธ์กับบุคคลหลายฝ่าย ดงั นน้ั จะตอ้ งมีหลักของการประพฤติปฏิบตั ทิ ี่สังคมยอมรบั เพื่อความดีงามของตนเองและประโยชน์สุขของ สงั คมโดยส่วนรวม การมีหรือการประพฤติปฏิบัตติ ามศลี ห้าจึงเป็นหลักธรรมสาหรับมนุษย์ทุกคน ทั้ งน้ีก็ เพื่อความสงบสขุ สาหรบั ปจั เจกชนและสังคมโดยส่วนรวม อันเป็นรากฐานแห่งความสงบสุขร่มเย็นขึ้นใน ชาตบิ ้านเมืองและก่อให้เกิดสันติภาพที่ถาวรขนึ้ ในโลก แนวทางของสันติภาพ การพฒั นาตนน้ันเป็นการควบคุมตนเอง คือการประพฤติตนตามหลักศีลสิกขา เพื่อควบคุม ตนเอง ซึ่งเปน็ หนทางทีจ่ ะนาสันตภิ าพและความสงบสุขมาสู่ตนเอง คนรอบข้างและสังคมที่ตนอาศัยอยู่ การประพฤติตามศลี 5 เปน็ หนทางที่ดที ี่สุดที่จะนาสันตภิ าพมาสู่สังคม สังคมที่มีความสงบสุขและไม่มีการ เบียดเบียนกัน ไม่มีความขดั แย้งจะมีได้ก็ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามศีล 5 เป็นพื้นฐานอย่างจริงจัง โลก

58 | วารสารนวตั กรรมการศกึ ษาและการวิจัย ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 เสอื่ มลงเพราะมนุษย์เราใช้ทรพั ยากรธรรมชาตไิ ปในทางที่ผิด เช่นผลิตอาวุธประหัตประหารกันเป็นต้น สิ่ง เหล่าน้ีได้ก่อให้เกิดปญั หาความขัดแย้งตา่ งๆ ตามมาอีกมากมาย เช่นการฆ่าทาลายล้างเผาพันธุ์ของเขมร ในประเทศกมั พชู าเป็นตน้ ถ้าจะกล่าวตามหลักของพระพทุ ธศาสนาแล้ว สาเหตุของสงครามเกิดจากความโลภ ความ โกรธ และความหลงในใจของคน สงครามเริม่ ตน้ ที่ใจ วิธีแก้ก็ต้องแก้ที่ใจ ความโลภก่อให้เกิดการวิวาท เพราะมีความโลภ คนเราจึงคิดแย่งชิงทรพั ย์สนิ ของคนอืน่ การวิวาทเพือ่ แย่งชิงทรัพย์สินของคนอื่นเรียกว่า การปล้น สงครามจะไม่เกิด ถ้าเพียงแตค่ นรู้จักควบคุมความโลภ สาเหตุต่อมาของสงครามก็คือ ความ โกรธหรือความเกลียดชังทีพ่ ลเมืองของประเทศคู่สงครามมีต่อกนั ตา่ งฝ่ายต่างถือตนเองเป็นฝ่ายธรรม มี หนา้ ทีข่ จัดฝ่ายตรงข้ามซึง่ เป็นฝ่ายอธรรม ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่ าเป็นผู้รุกราน สงครามเพราะ ความโกรธจะไม่เกิด ถ้าคนเราปฏิบตั ติ ามคาสอนของพระพุทธองค์ เมตตา (ความรัก) มาคู่กับกรุณา (ความสงสาร) มนษุ ย์เราทกุ คนจะตอ้ งทาหน้าที่ โดยไม่เอารัดเอาเปรียบหรือเข่นฆ่า ทาลายล้างซึ่งกัน และกัน โดยถือว่า “สตั วท์ ้ังหมดกลวั โทษทัณฑ์ สัตวท์ ั้งหมดรกั ชีวิตของตน เปรียบตนเองกับคนอื่น อยา่ งน้แี ล้วกไ็ มค่ วรฆา่ เอง ไม่ควรสงั่ ใหค้ นอื่นฆา่ ” (ขุ. ธ. 25/20/32) ดงั นน้ั สงครามจะไม่เกิดขึ้น หรือ ทีเ่ กิดขนึ้ แล้วจะยุตลิ งได้ ถ้าเพียงแตท่ กุ คนรู้จกั เอาใจเขามาใส่ใจเรา พระพุทธศาสนาไม่สนับสนุนสงคราม เพราะสงครามหมายถึงการเข่นฆ่าทาลายล้าง สงครามไม่ว่ารูปแบบใดไม่ดีทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ ชนะยอ่ มกอ่ เวร ผู้แพ้ยอ่ มอยู่เปน็ ทุกข์ ผลู้ ะความชนะและความแพท้ ั้งสองมีใจสงบระงับนั่นแหละ เป็นสขุ ...แตไ่ หนแตไ่ รมา ในโลกนีเ้ วรย่อมไม่ระงบั ด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร น้ีเป็นกฎ ตายตัว... บคุ คลพึงชนะความโกรธด้วยการไม่โรธตอบ ชนะความชั่วด้วยความดี ชนะความตระหน่ีด้วย การให้ และชนะคนพดู เหลาะแหละด้วยการพดู คาจริง” (ข.ุ ธ. 25/25/42) ดังนน้ั ชยั ชนะที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญจึงไม่ใช่ชัยชนะเหนือผู้อื่น แต่เป็นชัยชนะเหนื อ ตนเอง “ชนะตนเองดีกว่าชนะข้าศึกเป็นพัน ๆ ในสงคราม คนเช่นน้ีนับว่าเป็นยอดขุนพลแท้ ” (ขุ. ธ. 25/18/28) พระพทุ ธเจ้าไม่เพียงแตพ่ รา่ สอนคนอืน่ ให้แสวงหาสันติภาพ พระองค์ตรัสสอนอย่างไรทรงทา อย่างนนั้ ดว้ ย” สนั ตภิ าพ สันตภิ าวะ และสันตวิ ิธี ความหมายของคาเหล่าน้ี แตกต่างกันออกไปตามความ เข้าใจของนกั วิชาการสนั ตภิ าพ เช่น บางท่านใช้สันตภิ าวะแทนสนั ติภาพ เป็นตน้ การแสวงหาสันติภาพด้วย สันตภิ าวะหรือสนั ตวิ ิธีน้ัน ถึงแม้ว่าวิธีการจะแตกต่างกัน แตเ่ ป้าหมายอยู่ที่เดียวกันคือไม่มีการเบียดเบียน กัน ไม่รบราฆ่าฟันกนั ไม่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาในการดาเนินชีวิต สนั ตภิ าพ ดูเหมือนว่าจะเป็นการผิดหวงั สาหรับผู้ที่มุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพกันมากขึ้นในยุค สมัยน้ี ท้ังน้ีก็เน่อื งมาจากมนษุ ย์เราเข้าใจกันไปผิด ๆ ว่าความเจริญหรือก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีน้ันจะสามารถแก้ปัญหาเหล่าน้ีได้เด็ดขาด ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีการส่ือสารจะเจริญก้าวหน้าไป มากก็ตาม แตก่ ย็ ังมีอุปสรรคและเหตผุ ลหลายประการที่ขดั ขวางต่อกระบวนการทางสันติภาพ อุปสรรค เหล่านนั้ ลว้ นมาจากตวั ของมนุษย์เราเองท้ังสิน้ ไม่ใช่มาจากความเจริญเหล่าน้ัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มา

Journal of Educational Innovation and Research Vol. 4 No.1 January – April 2020 | 59 จากมนุษย์เราเอง และสิ่งเหล่านนั้ นน่ั เองทีเ่ ป็นอุปสรรคขัดขวางต่อกระบวนการทางสันติภาพ เพราะว่า ความขดั แย้งเกิดขึน้ จากพฤตกิ รรมของบคุ คล อาจจะเกิดขนึ้ ในบุคคลใดบุคคลหน่ึงหรือขัดแย้งกับบุคคลอื่น หรือระหว่างคนใดคนหนง่ึ กบั กลุ่มใดกลุ่มหน่งึ หรือหลายๆ กลุ่ม ของ บุคคล หรือนิติบุคคล หรือระหว่าง กลุ่มบุคคลหลายคนที่อยู่ในกลุ่มหน่งึ กับอีกกลุ่มหน่ึง หรือกับอีกหลายๆ กลุ่มของบุคคล (เจมส์ โค และ คณะ, 2545) เมือ่ มนุษย์เราเป็นผู้ก่อหรือสร้างอุปสรรคเหล่านั้นขึ้นมา ก็ต้องหาทางที่จะขจัดอุปสรรค เหล่านนั้ ทางพระพทุ ธศาสนาจึงได้เสนอทางออกโดยการกาจัดอุปสรรคต่อสันติภาพออกไป โดยใช้ กฎเกณฑ์ทางศลี ธรรมเปน็ เครื่องมือในการแก้ปัญหาเหล่านนั้ ประวัตศิ าสตร์จากอดีตจนถึงปัจจุบันน้ี อุปสรรคที่สาคัญที่เป็นตัวขัดขวางขบวนการทาง สันตภิ าพมีปัจจัยอยู่ 2 ประการคือ 1. อานาจและชื่อเสียงของประเทศชาติ สิ่งเหล่าน้ีได้เป็นปัจจัยหนุนอยู่เบื้องหลังของการ เป็นปรปกั ษ์ต่อกนั ในปัจจุบนั ปัญหาความขดั แย้งตา่ ง ๆ ได้ก่อตัวขนึ้ ในยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชีย เป็นตน้ จากความขัดแย้งจนกลายเปน็ สงครามได้ทาให้มนุษย์ได้รับรู้ถึงอานาจการทาลายล้างกัน ทาให้มนษุ ย์เริ่มเห็นพิษภัยของสงคราม ที่ทาให้มนุษย์บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจานวนมาก ทาให้มีการ เรียกร้องถึงสนั ตภิ าพกนั มากขึน้ 2. ความขัดแยง้ ทางเศรษฐกิจ ซึง่ ได้ปรากฏชัดเจนขนึ้ ระหว่างชาตอิ ุตสาหกรรมด้วยกัน ได้ กลายเปน็ สงครามทางการค้าและการเปิดตลาดใหม่ ๆ ประเทศผู้ผลิตอาวุธ ได้สนับสนุนสงครามทั้งร้อน และเยน็ ไปโดยปริยาย เพื่อขยายเศรษฐกิจและลัทธิของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก หรือสงคราม ระหว่างชาตกิ ็ตาม ขึน้ ชือ่ ว่าสงครามด้วยกันแล้ว ก็ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายหรือสูญเสียด้วยกัน ท้ังสนิ้ ส่วนผู้ที่จะได้รบั ประโยชน์ก็คือประเทศผู้ค้าอาวธุ ทาให้เป็นประเทศทีม่ ั่งค่ังและเปน็ ฮโี รไปในทีส่ ุด สันตภิ าวะมนุษย์ทุกคนย่อมปรารถนาความสงบสขุ เปน็ ที่สุดของชีวิต แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา นน้ั มีแตก่ ารเบียดเบียนกนั การคกุ คามกันเปน็ ตน้ ด้วยนวตั กรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่พากันอวดอ้าง ว่าสามารถป้องกนั หรือป้องปรามหรือว่าระงับสงครามท้ังทีเ่ กิดขนึ้ ในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีก ท้ังยงั เปน็ เครือ่ งมือรบั ประกบั สนั ตภิ าพได้ดว้ ย สันตภิ าพทีค่ าดหวังยังไม่เคยปรากฏเป็นจริงเลย สันติภาวะ นน้ั หมายเอาช่วงเวลาที่โลกสงบ ปราศจากสงครามอย่างแท้จริง ปราศจากความขัดแย้งตลอดถึงปราศจาก ภาวะวิกฤติดว้ ยเหตตุ า่ ง ๆ ในพระพุทธศาสนา ถือว่าศลี 5 สามารถจะอานวยประโยชน์ให้สังคมเกิดความผาสุก สงบ ร่มเยน็ ตามความหมายของสนั ติภาพได้มากกว่าและม่ันคงถาวรด้วย ถ้ามองในอีกแง่หน่ึงว่า สันติภาพ หมายถึงความผาสกุ ที่เออื้ ประโยชน์หรือให้เราหันมาให้ความสาคัญกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม ด้วยกนั แล้ว ศลี 5 ก็เปน็ พืน้ ฐานที่สาคญั ทีส่ ดุ เช่นเดียวกนั เพราะผู้มีศีลย่อมเป็นผู้มีเมตตากรุณาต่อกันไม่ มีการเบียดเบียนกันในเรื่องสีผิว ชาตเิ ผ่าพนั ธ์ุ เปน็ ตน้ ทุกๆ คนเสมอกันหมด ทุกๆ คนล้วนแต่เป็นเพื่อน ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ และตายด้วยกนั ทั้งสนิ้ น้ีคือความจริงทีท่ ุกคนตอ้ งยอมรับ

60 | วารสารนวตั กรรมการศกึ ษาและการวิจัย ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 สนั ตวิ ิธีคือ “วิธีการสร้างสนั ตภิ าพโดยการใช้ศาสนาเปน็ เครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจตาม แนวทางของพระพุทธศาสนาก็คือ หลักการไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบี ยนตนคือ ไม่ ทาลายคณุ ภาพชีวิตของตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่นก็คือ ไม่เบียดเบียนสังคมและสภาพแวดล้อม การไม่ เบียดเบียนกันน้ีทาให้เกิดความประสานกลมกลืนหรือความสมดุล ซึ่งเป็นความเกื้อกูลกันระหว่าง องค์ประกอบทั้งหลาย ในระบบการดารงอยู่ของมนษุ ย์ เป็นทางสายกลางซึ่ง ทาให้มนุษย์ ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมสามารถดารงอยู่ร่วมกันอย่างเกือ้ กูลต่อกนั ” (พระเทพเวที ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต), 2532) อนง่ึ ถ้าบุคคลในสังคมมีสันโดษ เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ การเอารัดเอาเปรียบกัน การ คอรปั ชั่น โกงกิน การเรียกสินบน การรบั สินบนต่าง ๆ ก็ไม่มี มีการสร้างสรรค์พัฒนาไปในทิศทางของ ความถกู ตอ้ งดีงามตลอดไป ทีเ่ ป็นปญั หาเพราะว่าขาดสันโดษ ปัญหาตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ที่เรียกว่า ปัญหาทีเ่ กีย่ วกบั ความมน่ั คงทางสงั คม เกิดขึน้ จากการเบียดเบียนประทุษร้ายกัน ถามว่า ทาไมคนจึงมี การเบียดเบียนประทุษร้ายกัน ตอบว่า เพราะบุคคลเหล่าน้ันลุอานาจแก่กิเลสมีความโลภจัด มีความ โกรธจัด และมีความหลงจดั และสิ่งทีเ่ ราตอ้ งการคือการไม่เบียดเบียนกัน ในระดับของศีลธรรมให้ปฏิบัติ ตามหลักของศลี 5 ประการคือ งดเว้นไม่เบียดเบียนชีวิตร่างกายของบุคคลอื่น งดเว้นไม่เบียดเบียน ทรัพย์สนิ ของบุคคลอื่น งดเว้นการล่วงเกินคู่ครองของบคุ คลอืน่ จะพดู กับใครกพ็ ูดแต่คาสัตย์จริง และไม่ ตกเปน็ ทาสของสิง่ เสพตดิ ให้โทษตา่ ง ๆ การครองชีวิตของบุคคลทั้งหลาย ก็จะเป็นการเคารพสิทธิ ใน ชีวิตทรัพย์สนิ ในคู่ครอง ในผลประโยชน์ของกันและกนั กจ็ ะอยู่ร่วมกันโดยสนั ตสิ ขุ สรุปไดว้ ่า มนษุ ย์มีศักยภาพที่จะพฒั นาตนเอง คือพัฒนาตนเองให้มีความรู้ และดาเนินชีวิต อยู่ดว้ ยความรู้ การนาสันตภิ าพมาสู่สังคมโลก จะต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์เป็นจิตใจที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว เพราะจิตใจทีป่ ระกอบไปด้วยปญั ญา (ความรู้) จะมองโลกด้วยความเมตตากรุณา คนที่มีเมตตากรุณา นนั้ จะเอือ้ อาทรตอ่ คนทีป่ ระสบกบั ความเดือดร้อน ฉะน้ัน การพัฒนาจิตใจให้มีเมตตากรุณาน้ันจะช่วย ขจดั ทกุ ข์ และเสริมสร้างความสุขให้แก่มวลมนษุ ยชาติ การแสวงหาสันติภาพ การแสว งหาสันติภาพขอ งมนุษย์เราน้ัน เป็นเรื่องที่ห่างไกลจากควา มเป็นจริงอยู่มาก เน่อื งจากไปเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองท้ังในประเทศและระหว่างประเทศ ประเทศที่ เข้มแข็งก็คอยหาช่องทางที่จะเอารัดเอาเปรียบประเทศที่อ่อนแอกว่า และประเทศที่อ่อนแอก็พยายามหา ช่องทางทีจ่ ะทาให้ตัวเองเปน็ ไท เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งบางคร้ังอาจจะหลีกเลี่ยง ความรุนแรงไม่ได้ ตอ้ งตดั สนิ กันด้วยกาลงั และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ผลที่ตามมาก็คือ ความเสียหาย ท้ังสองประเทศและพลเมืองตอ้ งรบั ทกุ ข์ทรมานมากขนึ้ อีกเปน็ เงาตามตวั ฉะนั้นในพระพุทธศาสนาจึงสอน ให้มนุษย์เราแก้ที่ตัวของเราเปน็ อันดับแรกก่อน คือตอ้ งทาให้ตัวเรามีศีลก่อน ท้ังน้ีเพราะศีลน้ันเป็นการทา ตามความสมัครใจของแตล่ ะบคุ คล ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมอาจจะก่อความเดือนร้อนให้เกิดขึ้น แก่บุคคลรอบข้างและสังคมทีต่ นอาศัยอยู่ได้

Journal of Educational Innovation and Research Vol. 4 No.1 January – April 2020 | 61 สิ่งทีม่ นุษย์เราปรารถนามากทีส่ ุดคือ ความสงบสุข ปราศจากสงคราม ไร้ความเบียดเบียน ซึ่งกนั และกัน ในทศั นะน้ีชใี้ ห้เห็นว่า สนั ตภิ าพเปน็ บ่อเกิดความสุขของมนุษย์ในสังคม ดังน้ันมนุษย์เราจึง ต้องแสวงหาสนั ตภิ าพด้วยวิธีการตา่ งๆ เพื่อปรนเปรอความสุขทางเน้ือหนัง ด้วยการเติมความต้องการให้ เตม็ หรือให้เป็นที่ปรารถนา โดยไม่เลอื กว่าความตอ้ งการน้ันจะเป็นสิ่งที่จาเป็นหรือไม่ ทั้งน้ีก็เน่ืองจากว่า มนษุ ย์เราลืมนกึ ถึงความสุขภายในคือจิตใจ เพราะความสุขที่แท้จริงน้ันเกิดขึ้นจากภายในจิตใจของเรา นเ่ี อง ความสขุ ทีม่ ิได้อยู่ทีว่ ตั ถุภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่จิตใจด้วย มนุษย์ เราทุกคนจะอยู่ ด้วยความสขุ ที่ปรารถนาได้ก็ด้วยการดาเนนิ ชีวิตให้กลมกลืนกันไปท้ังสองด้านคือท้ังทางวัตถุภายนอกและ ทางด้านจิตใจ (บญุ มี แท่นแก้ว, 2538) มนุษย์ต่างกพ็ ากันเข้าใจว่า ความเจริญทางวัตถุ สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ โดยไม่ คานงึ ถึงสภาพทางด้านจิตใจ ปัญหาตา่ ง ๆ ที่เกิดขนึ้ ในโลกปัจจุบันน้ี ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากการที่มนุษย์ เราเนน้ ความเจริญทางด้านวัตถกุ นั มากเกินไป นอกจากนีม้ นษุ ย์ยังมีแนวโน้มไปในทางที่จะก่อความรุนแรง และความขัดแย้งขึน้ ในสงั คมมากกว่าที่จะสร้างสันตภิ าพ และการแก้ไขปญั หาด้วยความรุนแรงเป็นหนทาง สุดท้ายจริงหรือ อันทีจ่ ริงกระบวนการแก้ไขปัญหาโดยสันตวิ ิธีน้ันมีหลายวิธี แต่การแก้ไขปัญหาด้วยศีล 5 น้ีเป็นการประนปี ระนอม คือพยายามจะปรับปรงุ ชีวิตของตนเองก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงอื่น เพื่อสร้างสรรค์ การดารงชีวิตของตนเองกับชมุ ชน สังคม และสิ่งแวดล้อม กระบวนการของศีลน้ันเป็นการพยายามที่จะ เอาชนะความชัว่ ด้วยความดีโดยการบงั คับตนเอง และมีความพยายามที่จะประสานความสามัคคีของคน ในสงั คมโดยมุ่งขจัดอคติและการแบ่งแยกกลุ่มต่างๆ โดยให้ปัจเจกบุคคลพัฒนาชีวิตของตนเองและให้ สังคมยอมรับ อีกท้ังยังเป็นการเพิม่ พนู ความเปน็ ประชาธิปไตยด้วย สรปุ ไดว้ ่า ปัญหาความขัดแย้งตา่ ง ๆ เกิดขนึ้ จากการที่มนุษย์เราแสว งหาความสุข ความ สบายกันเกินขอบเขต เมื่อไม่ได้ความสุข ความสบาย ก็พยายามที่จะสร้างขึ้นมาด้วยการบังคับ ควบคุม และครอบงาผู้อืน่ นอกจากนั้นยงั มีการแบ่งแยกกันเป็นกลุ่มเปน็ พวก ก็ยิง่ ทาให้ปัญหาความขัดแย้งรุนแรง มากยิ่งขนึ้ ฉะนนั้ เราตอ้ งใช้ศลี ธรรมเป็นเครื่องมือประสานสิ่งเหล่าน้ี เมื่อมีศีลธรรมอยู่ภายในจิตใจแล้ ว ความขัดแย้งเหล่าน้ันก็จะค่อยๆ หมดไป โดยใช้ทรัพยากรภายนอกเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ให้เกิด ประโยชน์สขุ แก่เพือ่ นมนษุ ย์ดว้ ยกัน บทสรปุ วิถีชีวิตหรือทางดาเนนิ ชีวิตของมนษุ ย์ ในแตล่ ะสังคมย่อมมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปตามกลุ่ม ของคนในแตล่ ะสงั คม ความประพฤติ ก็เปน็ เครือ่ งวัดความเจริญก้าวหนา้ ของสังคมน้ัน ๆ ได้เป็นอย่างดี ศลี ในพระพทุ ธศาสนา เปน็ หลักการประพฤติปฏิบัตเิ พือ่ ทากายวาจาให้เรียบร้อย อบรมจิตใจให้เกิดความ เยือกเย็นอานวยชีวิตให้ปลอดโปรงเกิดความเกษม เปน็ ส่ิงที่เอื้ออานวยแก่หน้าที่การงานท้ังหลาย ศีลจึง เปน็ ค่านยิ มพนื้ ฐานทางสงั คมเปน็ เครื่องป้องกันความประพฤติ ที่ทุจริตทางกายและทางวาจาสาหรับนัก ปกครองเมือ่ อยู่ในสถานภาพเปน็ สุขหรือทกุ ข์ ดีใจเสียใจต้องรักษาสภาพจิตใจให้เป็นปกติ คือให้เป็นผู้มี

62 | วารสารนวตั กรรมการศกึ ษาและการวิจัย ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2563 ศลี และรักษาสภาพจิตใจให้มน่ั คง หากบุคคลในสงั คมมีศีลห้าพร้อมหน้ากันแล้ว สังคมหรือโลกก็จะสงบ สขุ มีสนั ตภิ าพ ไม่มีสงคราม ไม่มีการฆ่าล้างผลาญกนั ไม่มีการขโมย ไม่มีการแย่งชิงกัน ไม่คดโกงกัน ไม่มีการประพฤติผิดทางกามที่ก่อให้เกิดความสบั สนวุ่นวายทาให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม ไม่มีการ โกหกหลอกลวงใส่ความกนั ไม่มีการเสพของมึนเมาให้โทษต่างๆ อันเป็นบ่อเกิดแห่งความประมาทและ ความหายนะตา่ งๆ บคุ คลในทกุ ๆ สงั คมก็จะอยู่ร่วมกันอย่างปรกติสุข โลกก็จะร่มเย็น บุคคลในสังคม ตา่ งๆ ก็จะมีความสงบสขุ เพิม่ ขึ้น จะได้อยู่ดว้ ยความรักใคร่ช่วยเหลือกันและกันเหมือนญาติพี่น้อง รัฐบาล ของแตล่ ะประเทศไม่ต้องเสียงบประมาณ ในการมีกาลังทหารป้องกันประเทศและกาลังตารวจในการ รักษาความสงบสขุ ภายในมากอย่างที่เป็นอยู่ในปจั จุบันน้ี อย่างไรก็การทีม่ นุษย์ในโลกยังต้องเดือดร้อนวุ่นวายอยู่เป็นอันมากในโลกปัจจุบันท้ัง ๆ ที่ ประเทศตา่ งๆ ในโลกพยายามพัฒนาประเทศของตนอย่างเตม็ ความสามารถแล้วก็ตาม ก็เพราะคนในโลก เปน็ จานวนมากยังขาดการพัฒนาทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะศลี 5 หรือ มนุษยธรรมนนั้ เอง เอกสารอ้างอิง เจมส์ โค และคณะ. (2545). คู่มือการเพิ่มพลังความสามารถกระบวนการจัดการข้อพิพาท . วันชัย วัฒนศัพท์ และคณะ (ผู้แปล). นนทบรุ ี: สถาบนั พระปกเกล้า. บญุ มี แท่นแก้ว. (2538). จริยธรรมกับชีวิต. กรุงเทพฯ: ธนะการพิมพ์. พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต). (2532). ทางออกจากระบบเศรษฐกิจที่ครอบงาสังคมไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อมรินทร์ พริน้ ต้ิงกรุ๊พจากัด. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). (2555). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. (พิมพ์คร้ังที่ 23). กรงุ เทพฯ: ผลิธมั ม์. พระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส. (2553). การบูรณาการพุทธิปัญญาเพือ่ พัฒนาชีวิตและสังคม. กรุงเทพฯ: ไทย รายวนั การพิมพ์. พระราชวิสทุ ธิกวี (พิจิตร ฐติ วณฺโณ). (2536). การสง่ั สมบุญ ด้วยการรกั ษาศลี . กรุงเทพฯ: สุทธิสารการ พิมพ์. เพชร ทองหมืน่ ไวย. (2559). ศลี ในฐานะเปน็ พนื้ ฐานของมนษุ ย์. ธรรมทรรศน์, 16(2), 191-202. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส. (2538). เบญจศีลและเบญจธรรม. กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย.