Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีมนุษยนิยม

ทฤษฎีมนุษยนิยม

Published by sureenadochik491, 2021-08-04 03:48:19

Description: ทฤษฎีมนุษยนิยม

Search

Read the Text Version

ทฤษฎีกลุม่ มนุษยนยิ ม

ทฤษฎีมนุษยนิยมมีวิวัฒนาการมาจากทฤษฎีกลุ่มที่ เน้นการพัฒนาตามธรรมชาติ ที่มีความเป็น วิทยาศาสตร์ โดยนักทฤษฎีในกลุ่มนี้เห็นว่ามนุษย์มี ความคิด มสี มอง มีอารมณแ์ ละอิสรภาพ ในการกระทา

การเรียนการสอนตามแนวทฤษฎี 1.เน้นผเู้ รยี นเปน็ ศูนย์กลาง 2.การจดั การเรยี นการสอนทีม่ งุ่ ใหเ้ กิดการเรียนรทู้ ้ังดา้ น ความเขา้ ใจ ทกั ษะและเจตคติ 3.จดั บรรยากาศในการเรยี นแบบรว่ มมอื กัน 4.ผู้สอนทาหน้าทช่ี ว่ ยเหลอื ให้กาลังใจแกผ่ เู้ รียน 5.เนน้ ใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรยี นรจู้ ากประสบการณ์

ทิศนา แขมมณี (2550 : 50 - 76) กล่าวไว้ มาสโลว์ รอเจอรส์ ว่า นักคิดกลุ่มมนุษยนิยม ให้ความสาคัญของ โคมส์ ความเป็นมนุษย์และมองมนุษย์ว่ามีคุณค่า มี ความดีงาม มีความสามารถ ที่จะพัฒนา ศักยภาพของตนไปสู่ความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ หากบุคคลไดร้ บั อสิ รภาพและเสรีภาพ นักจิตวิทยาคนสาคัญในกลุ่มน้ีคือ มาสโลว์ ,รอเจอร์ส, โคมส์, โนลส์, แฟร์, อิลลิช และนลี

1) ทฤษฎคี วามตอ้ งการของมนษุ ยข์ อง Maslow มาสโลวม์ องว่าธรรมชาตขิ องมนุษยเ์ กดิ มาดี และพร้อมท่ี จะทาสงิ่ ดี ถ้าความต้องการพ้นื ฐานได้รับการตอบสนอง อยา่ งเพยี งพอ มนษุ ย์ทกุ คนมี \"การรจู้ กั ตนเองตรงตามสภาพ ทีเ่ ป็นจรงิ หรอื ความตอ้ งการทีจ่ ะตระหนกั ใน ความสามารถของตนเอง มาสโลวเ์ ช่ือวา่ มนุษยเ์ ปน็ “สัตว์ท่ีมีความ ต้องการ” (wanting animal) เพื่อจะไปถงึ ขั้นของความ พึงพอใจอยา่ งสมบูรณ์

มนุษยม์ คี วามตอ้ งการ เรียงลาดบั จากข้ันต่าสุดไปหาสงู สดุ ดงั นี้ 1) ความตอ้ งการทางดา้ นร่างกาย (Physiological needs) คือความต้องการในการดารงชวี ิต เช่น ความ ตอ้ งการอาหาร อากาศ นา้ และอุณหภมู ิ เปน็ ต้น 2) ความตอ้ งการความปลอดภยั (Safety Need) คอื ความต้องการทีจ่ ะมีความม่นั คงหรอื ปลอดภยั ในชวี ติ 3) ความต้องการความรกั และเป็นเจา้ ของ (Need of Love, Affection and Belongingness) 4) ความต้องการทจี่ ะเป็นทย่ี อมรับและ ไดร้ ับการยกยอ่ ง 5) ความตอ้ งการทจ่ี ะตระหนักในความสามารถของตนเองหรอื รู้จักตนเองอย่างแทจ้ รงิ 6) ความต้องการท่ีจะรแู้ ละท่จี ะเขา้ ใจ 7) ความตอ้ งการทางดา้ นสุนทรียะ

มาสโลวไ์ ด้แบง่ ความตอ้ งการทงั้ 7 ขั้น การประยุกตใ์ ช้ ออกเปน็ 2 กล่มุ คอื ครูผสู้ อน กลุม่ ท่ี 1 (ความต้องการขัน้ ที่ 1 - 4) เรยี กวา่ \"ความต้องการขนั้ ตา่ \" หรือความต้องการเน่อื งจากการ 1. ครูควรเปน็ คนใจกว้าง ขาดหรอื ไม่มซี ึง่ เป็นการตอบสนองจากปจั จัยภายนอก 2. ครคู วรรับฟังผเู้ รยี นมากยิง่ ขนึ้ 3. ใหค้ วามสาคญั กับผู้เรียนเท่ากบั เน้ือหาทน่ี ามาสอน ส่วนกลมุ่ ท่ี 2 (ความต้องการขั้นท่ี 5 - 7) เรียกวา่ 4. ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะทงั้ ทางบวกและทางลบ \"ความตอ้ งการขัน้ สงู \" หรือความตอ้ งการพฒั นา เป็นความ 5. กระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นมีความรับผดิ ชอบตอ่ การเรยี นร้ขู องตนเอง ต้องการเน่อื งมาจากการแสวงหา มใิ ช่มาจากการขาดหรือ 6. จัดการเรียน กจิ กรรม สอ่ื การเรยี นการสอนให้ การไมม่ ี หลากหลาย 7. กระตนุ้ ให้ผู้เรยี นเห็นคุณค่าของประเมินตนเอง

กาจดั การ 7. ควรใสว่ ่าความต้องการข้ันพืน้ ฐานของผเู้ รียนไดร้ บั เรียนรู้ การสนองแล้วหรือยงั 8. ควรกระตุ้นใหผ้ ูเ้ รียนเห็นคณุ ค่าของความงามและส่งิ 1. ควรจดั การเรียนตามสภาพจริง หรือสภาพท่ี ท่ดี ีทเี่ กดิ ขึน้ ในชีวิต แตกตา่ งกันของแต่ละบคุ คล 9. ควรตระหนกั ว่าการควบคมุ ดูแลนกั เรยี นเปน็ สิ่งที่ดี 2. ควรจดั การเรียนรโู้ ดยไม่ยดึ ติดกบั เงอ่ื นไข 10. ควรฝึกให้ผ้เู รยี นมองขา้ มปญั หาเลก็ น้อย 3. ควรจัดการเรยี นรู้ตามความตอ้ งการของผู้เรยี น 11.ควรเปน็ ผเู้ ลือกท่ีดี ฝกึ สรา้ งทางเลอื กอยา่ ง 4. ควรจัดให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรูว้ ่าชีวติ เปน็ สง่ิ มคี ่า หลากหลาย 5. ควรเปน็ คนรา่ เริงและสนกุ สนานในทกุ สถานการณ์ 6. ควรให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้ความต้องการของตน

2) ทฤษฎี client centered แนวคดิ ทส่ี าคญั ของโรเจอร์ โรเจอรส์ เชอ่ื วา่ มนุษยม์ ธี รรมชาตทิ ด่ี ี เป็นผู้ท่ีมีเหตุผล สามารถได้รับการขัดเกลา สามารถ ตัดสินใจด้วยตนเองได้ ถ้ามีอิสระเพียงพอ และมี บรรยากาศที่เอื้ออานวย ซึ่งจะนาไปสู่การพัฒนา ตนเองอย่างเต็มศักยภาพ และพัฒนาไปสู่การ ความสามารถของแต่ละบุคคล ไปสู่การตระหนักรู้ใน ตนเองอยา่ งแท้จริง

โครงสรา้ งทางบคุ ลกิ ภาพของโรเจอรส์ ประกอบด้วย 3 สว่ นคอื 1 อินทรยี ์ (The organism) หมายถึง ท้งั หมดทีเ่ ปน็ ตัวบุคคล รวมถึงสรรี ะของรา่ งกาย ที่ ประกอบด้วย ความคิด ความรู้สกึ ท่แี สดงปฏิกิรยิ าตอบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม โดยแสดงพฤตกิ รรมเพอ่ื ตอบสนอง ความตอ้ งการ ทีเ่ กดิ ขน้ึ ภายในตวั บุคคล และทาให้มนษุ ย์ มีแรงจงู ใจทจี่ ะพัฒนาตนเองไปสูก่ ารรู้จักตนเองอย่างแท้จรงิ ประสบการณ์ทง้ั หมดของบุคคล (Phenomenology Field) 2 ที่เป็นส่ิงทบี่ ุคคลจะร้เู ฉพาะตนเทา่ นนั้ และประสบการณจ์ ะมีการเปลย่ี นแปลงและเพิ่มพูนอยู่ ตลอดเวลา โดยสามารถแบง่ ออกเป็นประสบการณท์ ัง้ ส่วนที่เกีย่ วข้องกับจติ สานกึ และจติ ใต้สานึกของบุคคล 3 ตวั ตน ( The Self ) เปน็ ศูนยก์ ลางของบคุ ลกิ ภาพ ท่เี ปน็ สว่ นของการ รบั รู้ และคา่ นยิ มเก่ียวกบั ตัวเรา

โรเจอรส์ อธบิ ายวา่ “ตัวตน” ของบคุ คลสามารถแบง่ ออกเปน็ ลกั ษณะต่างๆ ไดแ้ ก่ -ส่งิ ทบ่ี ุคคลมกี ารรบั รู้และมองเหน็ ตนเองในหลายแงห่ ลายมมุ เชน่ “ฉันเปน็ คนเกง่ ” “ฉนั เป็นคนสวย” เป็นตน้ -สิง่ ที่บคุ คลมองเห็นตัวเองนี้อาจไมต่ รงกบั ที่ผอู้ น่ื มองเห็น หรือรบั รกู้ ็ได้ เช่น ความเหน็ แก่ตัว ตวั ตนแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท -ตวั ตนตามทเ่ี ป็นจริง (Real Self) เปน็ ลกั ษณะของบุคคลทเ่ี ป็นไปตาม ความเปน็ จรงิ ทเี่ กิดขน้ึ ซึง่ บคุ คลอาจรูต้ ัวหรอื ไม่ตัวก็ได้ เชน่ “เป็นคนเรียนเกง่ ” “เป็นคนสวย” “เป็นคนรา่ รวย” -ตัวตนตามอุดมคติ (Ideal Self) หมายถึง ภาพท่ตี นเองอยากจะเป็น แตบ่ คุ คลยังไม่สามารถเป็นไดใ้ น สภาวะปัจจุบันเช่น “น้องแดงอยากเปน็ ท้ังคนเกง่ และคนสวยเหมือนพ่ีปุย๋ ” เป็นต้น

“ มโนภาพแหง่ ตนของบคุ คลจงึ ตอ้ งมี ความ สมเหตสุ มผล ตรงกบั ความเปน็ จรงิ และตรงจาก ประสบการณ์ การเปดิ รบั ประสบการณ์ใหมๆ่ เลอื ก ตัดสินใจดว้ ยตนเอง โดยไมข่ น้ึ อยกู่ บั การยอมรบั ของ ผู้อื่นและสงั คม ตลอดจนเขา้ ใจในคา่ นยิ มของตนเอง ถอื เปน็ คณุ ลกั ษณะของผทู้ ม่ี บี คุ ลกิ ภาพทส่ี มบรู ณ์ ”

ว่ามกี ระบวนกาโรเจอรส์ ไดอ้ ธิบายถงึ กระบวนการพฒั นาการทางบคุ ลกิ ภาพร 4 ประการดังน้ี 1. กระบวนการพฒั นาการค่านยิ ม (Organizing Valuing Process) บุคคลเกดิ มาพร้อมแรงจงู ใจ ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่สภาวะของการรจู้ กั ตนเองอย่างแท้จริง และเนอ่ื งจากบุคคล เกดิ มาจากสิง่ แวดล้อมท่ีแตกตา่ งกัน จึงจาเป็นทจ่ี ะตอ้ งเข้าใจส่ิงแวดล้อมและโลกสว่ นตัวของบคุ คลด้วย โดย ประสบการณข์ องบคุ คล จะมีสว่ นสาคัญต่อการพฒั นาการทางค่านิยมของบคุ คล 2. การยอมรับจากผูอ้ ่ืน (Positive Regard from others) ตัวตนของบคุ คล จะเร่ิมพัฒนาเมอื่ บคุ คลมปี ฏิกิริยา สมั พันธก์ ับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา และจนเกิดประสบการณ์แห่งตนเอง ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งตนเองกับบคุ คลท่ี สาคญั ทอ่ี ยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ มของเขาจะนาไปสู่การพัฒนาอตั มโนทศั น์ทาใหบ้ คุ คลรสู้ ึกถงึ ความเป็นเอกลกั ษณข์ อง ตนเอง 3. การยอมรับตนเอง (Self-Regard) บคุ คลจะเรียนรู้ทีจ่ ะยอมรับตนเองจากการทเ่ี ขารบั ร้วู า่ ผูอ้ ่นื แสดงการยอมรับในตัวเขาหรอื ไม่ อย่างไร โดยมี คา่ นยิ มของผอู้ ่นื ที่มีต่อตัวเขา เป็นเกณฑใ์ นการประเมินพฤติกรรมของตน 4. ภาวะของการมีคุณคา่ (Conditions or Worth) เป็นลกั ษณะท่บี ุคคลรสู้ กึ ว่าตน มีคุณค่า เพราะเขาสามารถ ยอมรับตนเองได้ โดยมโนภาพแหง่ ตนที่เขารบั รู้สอดคล้องกบั ความเปน็ จริง เมือ่ มปี ฏสิ ัมพันธก์ ับผอู้ ่ืน

ลกั ษณะของผู้ทีมบี ุคลิกภาพทส่ี มบรู ณ์ (Healthy Personality) 1. เป็นผูท้ ่ีมคี วามสามารถปรบั ตวั ไดต้ ามความเป็นจรงิ 2. สามารถเปิดตนเองออกรับประสบการณ์ใหม่ ๆ 3.สามารถเลือกและตัดสนิ ใจตามต้องการของตนเองได้ 4.รับร้เู ก่ยี วกบั ตนเองอย่างมีประสทิ ธิภาพ 5.เป็นตวั ของตัวเอง เชอ่ื ในความสามารถของตนเอง 6.ตลอดจนรับผดิ ชอบต่อการกระทาของตนเอง

ประยกุ ต์ใชใ้ นดา้ นการเรยี นการสอน 1. เนน้ จดั การเรยี นการสอนที่เนน้ ผู้เรยี นเป็นศูนยก์ ลาง 2. ครผู ูส้ อนจะตอ้ งเป็นผทู้ ่มี คี วามเช่ือ มศี รัทธาในความเปน็ คนของ ผู้เรยี น 3. จดั เอง การเรียนการสอนแบบเปดิ โอกาสให้เดก็ ไดเ้ ลอื กวธิ ีการที่ จะเรยี น

มีความเช่ือว่า \"พฤติกรรมส่วนใหญ่ของ 3) ทฤษฎีการพฒั นาตนเองของคอมบส์ บคุ คล เปน็ ผลมาจากการรับรูส้ ง่ิ แวดลอ้ มในชว่ ง (Arthur W. Combs ค.ศ.1912-1999) นนั้ และเวลาน้นั \" ซึง่ เปน็ แนวคิดเดียวกบั เร่ือง \"life space\" ของเลวิน จาก แนวคิดนีช้ ีใ้ หเ้ หน็ ว่า ผูส้ อนควรจะต้อง พยายามเขา้ ใจสภาพการเรยี นการสอน โดยการ ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รียนน้ันจะตอ้ งชกั จงู ใหผ้ ูเ้ รียน ปรบั ท้งั ความเช่อื และ การรับรู้ของผเู้ รียน จนกระทง่ั สามารถมองเหน็ ส่ิงต่างๆตา่ งไปจากเดมิ และแสดงพฤติกรรมที่ต่างไปจากเดิม

ลกั ษณะทดี่ ี ของผสู้ อนมดี ังนี้ 1) เป็นผทู้ ่ีมีความรู้ 4) เป็นผู้ทีม่ คี วามคิดในเชงิ บวกกบั ตนเองและผูอ้ ื่น 2) เป็นเพอ่ื ร่วมงานกบั ผ้เู รียน 5) มคี วามเช่อื วา่ จะสามารถช่วยเหลือผู้เรียนทุกคนให้ 3) เช่อื ว่าผู้เรยี นทกุ คนมี ความสามารถที่จะ ทาดที ส่ี ดุ เทา่ ทต่ี ัวผู้เรยี นจะทาได้ เรยี นรไู้ ด้ 6) สามารถประยุกตห์ ลัก ทฤษฎีมาใช้ในการจดั การ เรยี นการสอน

4).แนวคดิ เกยี่ วกบั การเรียนรขู้ อง โนลส์ (Knowles) มีแนวคดิ ดงั น้ี 1. ผ้เู รียนจะเรียนร้ไู ด้มากหากมสี ว่ นร่วมในการ เรียนรู้ด้วยตนเอง 2. การเรียนรู้ของมนุษย์เปน็ กระบวนการภายใน อยู่ในความควบคุมของผ้เู รยี นแต่ละคน 3. มนษุ ย์จะเรยี นรู้ไดด้ ีหากมอี ิสระ 4. มนษุ ย์ทุกคนมลี ักษณะเฉพาะตน ความเปน็ เอกตั บคุ คลเปน็ ส่งิ ทม่ี คี ุณค่า 5. มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถและเสรีภาพทจ่ี ะ ตัดสินใจ ตามทตี่ นพอใจ

นีล (Neil) เช่อื ว่ามนษุ ยเ์ ปน็ ผมู้ ศี กั ดศิ์ รี มีความ 5).แนวคดิ เกยี่ วกบั การเรยี นรขู้ องนลี (Neil) ดีโดยธรรมชาติ หากมนุษยอ์ ยู่ในสภาพแวดลอ้ มท่ีอบอุ่น มีแนวคดิ ดังน้ี บริบรู ณ์ดว้ ยความรกั มอี สิ รภาพและเสรีภาพ มนษุ ย์จะพฒั นา ไปในทางที่ดที ้งั ต่อตนเองและสังคม หลักการจดั การเรยี นการสอนตามแนวคดิ น้ี คือ การใหเ้ สรภี าพอยา่ งสมบูรณแ์ ก่ผเู้ รยี นในการเรียน จัดให้ เรียนเมอื่ พร้อมจะเรยี นจะช่วยให้ผ้เู รียนพฒั นาไปตามธรรมชาติ การเรยี นการสอนตามแนวคิดของนลี เน้นให้การสรา้ งบรรยากาศแหง่ ความรัก และความอบอุน่ เนน้ อิสรภาพเพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดม้ ีโอกาสแสดงศกั ยภาพ และทศั นะต่างๆ ด้วยตนเอง

6).แนวคดิ เกย่ี วกบั การเรยี นรขู้ องอิลลชิ (Illich) อวิ าน อิลิช ไดเ้ สนอความคิดเกย่ี วกับการลม้ เลกิ ระบบ โรงเรยี น (deschooling) ไว้วา่ สังคมแหง่ การเรียนร้เู ป็นสงั คมทีต่ ้อง ลม้ เลกิ ระบบโรงเรียน การศึกษาควรเปน็ การศกึ ษาตลอดชีวติ แบบ เป็นไปตามธรรมชาติ โดยใหโ้ อกาสในการศกึ ษาเล่าเรียนแก่บุคคล อยา่ งเตม็ ที่ หลักการจดั การศกึ ษาหรือการสอนของอลิ ลชิ การจดั การศึกษาไมจ่ าเปน็ ตอ้ งจดั ทาในลักษณะระบบของโรงเรยี น ควรจดั ในลักษณะท่เี ป็นการศึกษาต่อเนื่องไปตลอดชวี ิตตามธรรมชาติ

7). แนวคดิ เกย่ี วกบั การเรยี นรขู้ องแฟร์ (Faire) เปาโล แฟร์ (Faire) เชื่อในทฤษฎีของผู้ถูก กดข่ี (pedagogy of the oppressed) เขากลา่ วว่า ผู้เรียน ต้องถกู ปลดปลอ่ ยจากการกดข่ีของครูท่ีสอนแบบเก่าผ้เู รยี นมี ศักยภาพและมคี วามคิดริเรม่ิ สรา้ งสรรคท์ ี่จะกระทาสิง่ ต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง การเรยี นการสอนตามแนวคดิ แฟร์ เนน้ การ เรียนรู้ในบรรยากาศท่ีเปน็ อิสระ สง่ เสริมการใหผ้ ้เู รียนแสดง ศกั ยภาพ ใชจ้ ินตนาการทีส่ รา้ งสรรคส์ ง่ิ ต่าง ๆด้วยตนเอง

แนวคดิ ของกลมุ่ มนุษยนยิ มอธบิ ายเกยี่ วกบั การเรยี นการสอน พอสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. การเรยี นทด่ี จี ะเกิดขนึ้ ในบรรยากาศที่อบอุ่น เปน็ กันเอง ระหว่างผ้สู อนและผูเ้ รยี น 2. ผสู้ อนและผูเ้ รยี นร่วมกันกาหนดจดุ มุง่ หมายและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 3. ผ้เู รยี นเปน็ จุดศูนยก์ ลางการเรียนการสอน 4. วิธกี ารเรียนรมู้ หี ลากหลายกจิ กรรม 5. การจัดการเรียนตอ้ งคานึงถึงแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล 6. สนบั สนนุ ให้มีการประเมินผลด้วยตนเอง 7. เนน้ ประสบการณเ์ ป็นศนู ยก์ ลางของการเรยี นรู้

การประยกุ ตใ์ ชใ้ นด้านการเรยี นการ 6. ควรจดั การเรยี นตามสภาพจริง หรือสภาพท่ี สอนกลมุ่ มนุษยนยิ ม แตกตา่ งกนั ของแต่ละบคุ คล 7. ควรจัดการเรียนร้โู ดยไมย่ ึดติดกบั เงื่อนไข 1. ครคู วรให้ความเขา้ ใจผเู้ รยี น ยึดผู้เรยี นเปน็ สาคญั 8. ควรจดั การเรียนรตู้ ามความต้องการของผู้เรยี น 2. ใหค้ วามสนใจผู้เรยี นอย่างเทา่ เทยี มกัน 9. ใหผ้ ู้เรียนเห็นคา่ ในตนเองและเหตุการณต์ ่าง ๆ 3. ยอมรบั ความแตกต่างของผู้เรียน 4. กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อการเรียนร้ขู อง ตนเอง 5. สนองความต้องการทางกายแกเ่ ด็ก



สมาชกิ ในกลุ่ม นางสาว ซูวยั นี เซะแง 406101005 นางสาว อาซีซะห์ สะมาแอ 406101017 นานางสาวดยี านา มายุดนิ 406101018 งสาวนรญิ ธร ชเู มอื ง 406101020 นางสาวพิมพช์ นก สขุ สงวน 40610121 นางสาวนนั ทยิ า จนั ทบรุ ี 406101026 นางสาวซรู นี า ดอจิ 406101027 นางสาวไซมาเดยี นา มะบู 406101036


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook