Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 2 หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

หน่วยที่ 2 หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

Published by numsom.pj, 2020-08-29 00:02:40

Description: ส่วนประกอบของเซลล์

Search

Read the Text Version

วทิ ยาศาสตร์ 1 ครูหนงึ่ ฤทัย พมุ่ จนั ทร์ โรงเรยี นเทศบาล 1 กติ ติขจร [COMPANY NAME] | [Company address]

1.เยือ่ หมุ้ เซลล์ รูปที่ 3.8 โครงสร้างของเยื่อหมุ้ เซลล์ โครงสรา้ ง ประกอบด้วยฟอสโฟลพิ ิด และโปรตีน โดยฟอสโฟลพิ ดิ จัดเรียงตวั เปน็ 2 ช้ัน (bilayer) หนั สว่ นท่ี ไมล่ ะลายน้าเข้าหากันและหนั สว่ นละลายน้าออกสู่ส่งิ แวดลอ้ ม องคป์ ระกอบโปรตีนจะแทรกอยใู่ นชัน้ บน ส่วนกลาง หรอื สว่ นล่างของชนั้ ฟอสโฟลิพดิ ประกอบดว้ ยฟอสโฟลพิ ดิ และโปรตนี โดยฟอสโฟลพิ ิดจดั เรยี งตัวเป็น 2 ช้นั (bilayer) หันส่วนทีไ่ มล่ ะลายนา้ เข้าหากันและหัน ส่วนละลายนา้ ออกสู่สิง่ แวดลอ้ ม องคป์ ระกอบโปรตีนจะแทรกอยู่ในชน้ั บน สว่ นกลาง หรือ ส่วนล่างของชัน้ ฟอสโฟลิพิด หนา้ ท่ี ห่อหมุ้ ของเเหลวและออร์แกเนลล์ส่วนใหญเ่ อาไว้ ควบคมุ การผ่านเข้าออกของสารต่างๆ จากสง่ิ แวดล้อมเขา้ สูเ่ ซลล์ และภายในเซลลอ์ อกสู่ ส่ิงแวดลอ้ ม เปน็ ท่ยี ดึ จบั ของสารโครงรา่ งเซลล์ (cytoskeletal) ท้าใหเ้ ซลล์คงรูปอยู่ได้ เป็นบริเวณรบั (receptor) ของสารบางชนิดไซโทสเกเลตนั ท้าให้เกิดการประสานระหวา่ ง แมทริ กซ์นอกเซลล์ และไซโทพลาซมึ ภายในเซลล์ขึ้น

2.นิวเคลียส รปู ท่ี 3.10 องค์ประกอบของนวิ เคลยี ส โครงสร้าง มเี ส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 5 ไมโครเมตร ถูกหอ่ หุ้มดว้ ยเยอื่ 2 ชน้ั ท่ีเรียกวา่ เยื่อหมุ้ นวิ เคลยี ส (nuclear envelope) ทา้ ให้สว่ นประกอบ ในนวิ เคลยี สถูกแยกออกจากสว่ นของไซโทพลาซมึ บน เยื่อหุ้มนิวเคลียส มีรขู นาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 100 นาโนเมตร ส้าหรับการผา่ นเข้าออกของ โปรตนี และหนว่ ยยอ่ ยของไรโบโซม (ribosomal subunit) ภายในนวิ เคลยี สมเี สน้ ใยโครมาทิน ซ่งึ ประกอบด้วย DNA และโปรตนี เมื่อเซลลเ์ ตรยี มท่จี ะแบง่ ตวั เสน้ ใยโครมาทินจะหดสน้ั ท้าใหก้ ลายเปน็ แท่งหนา เรยี กว่า โครโมโซม (chromosome) สามารถมองเห็นไดภ้ ายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ โครงสรา้ งภายใน นวิ เคลยี สทส่ี ามารถมองเห็นไดช้ ดั เจนทส่ี ุด ขณะนิวเคลียสยังไม่แบ่งตวั คอื นิ วคลโี อลัส (nucleolus) นวิ คลโี อลัส มีรูปร่างกลมถกู ย้อมสีเข้ม เป็นทส่ี ้าหรบั สร้าง ไรโบโซม โดยท้าการ ประกอบ RNA เข้ากับโปรตีน หนา้ ท่ี เปน็ ทท่ี ่ี DNA บรรจอุ ยู่ ควบคุมการสงั เคราะห์โปรตนี (โดยการสังเคราะห์ mRNA และ ส่งออกไปยังไซโทพลาสซมึ ทางรู ทเ่ี ยอ่ื หมุ้ นวิ เคลียส ( nuclear pores ) ซึง่ จะกลายเป็นตวั ก้าหนด คุณลกั ษณะของเซลล์นั้น ๆ

3. ไรโบโซม รปู ที่ 3.12 ไรโบโซมในไซโทพลาสซึมและทีเ่ กาะบน ER โครงสรา้ งและหนา้ ที่ มขี นาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ 30 นาโนเมตร ประกอบดว้ ย 2 หนว่ ยยอ่ ย คอื หน่วยใหญ่ (60 S) และหนว่ ยเลก็ (40 S) ซึง่ สรา้ งขนึ้ จาก rRNA และ โปรตีน สร้างในนิวคลีโอลสั เปน็ ที่สร้างโปรตีน มี 2 ชนดิ คือ 1) ไรโบโซมทอ่ี ยู่เป็นอสิ ระใน ไซโทพลาซมึ (ทา้ หนา้ ท่สี รา้ งโปรตีนท่อี ย่ใู น ไซโทพลาสซมึ ) 2) ไรโบโซม ทีต่ ดิ อยูบ่ นรา่ งแหเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม (ทา้ หนา้ ทสี่ รา้ งโปรตีน อย่ทู ี่เย่ือหุ้มเซลล์ และโปรตนี ที่จะถกู สง่ ออกไปยังนอกเซลล์

4. เอนโดพลาสมิกเรตคิ ลู ัม รูปท่ี 3.13 โครงสร้างเอนโดพลาสมิกเรตคิ ูลมั โครงสรา้ งและหน้าที่ เอนโดพลาสมิกเรติคลู มั แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ คือ 1) เอนโดพลาสมิกเรติคูลมั แบบผวิ เรียบ ไมม่ ไี รโบโซม เกาะอยบู่ นผวิ ของ ER มหี น้าที่สรา้ งไขมัน อันได้แก่ ฟอสโฟลปิ ิด ฮอรโ์ มนเพศและสเตรอยด์ฮอร์โมน เป็นที่ส้าหรับเกบ็ Ca2+ มหี น้าทใ่ี นขบวนการ เมแทบอลิซมึ ของคาร์โบไฮเดรต มเี อนไซม์ส้าหรับท้าลายพิษของยา พบมากที่ ลกู อัณฑะ (teste) รังไข่ (ovary) และผิวหนัง (skin) 2) เอนโดพลาสมกิ เรติคลู ัมแบบผวิ ขรุขระ มไี รโบโซม เกาะอยู่บนผวิ ของเอนโดพลาสมิกเรติคลู มั เป็นทส่ี า้ หรบั ใหส้ ายของโพลีเพปไทด์ ทจี่ ะถกู สง่ ออกนอกเซลล์มีการพับ ไปสู่รปู ร่าง 3 มิติ ทถี่ กู ต้องกอ่ นที่จะถูกส่งออกไปยงั กอลจแิ อพพาราตัส เปน็ ท่ีสา้ หรบั เตมิ คารโ์ บไฮเดรต (โอลิโกแซคคาไรด์) ให้กับโปรตนี ท่ีจะถกู ส่งออก นอกเซลล์ซงึ่ ก็คือไกลโคโปรตีน โปรตนี ทจ่ี ะออกจากเอนโดพลาสมิกเรตคิ ลู มั นั้นจะถกู หอ่ ดว้ ย เย่อื หุ้มของ เอนโดพ ลาสมกิ เรติคูลัมและกลายเป็นถุงเล็ก ๆ หลุดออกจากเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม

5. กอลจิแอพพาราตัส (golgi apparatus) รูปท่ี 3.14 โครงสรา้ งของกอลจแิ อพาราตสั รูปท่ี 3.15 การเคล่ือนทข่ี องสารจาก ER ออกนอกเซลลโ์ ดย ผ่านการสร้างเวซเิ คิล (vesicle)ในกอลจแิ อพาราตัส ทมี่ า : http://www.franklincollege.edu/bioweb/A&Pfiles/week04.html โครงสรา้ ง เปน็ ถงุ แบน ๆ ท่วี างซอ้ น ๆ กันมปี ระมาณ 3 – 20 ถงุ แบ่งออกเป็น 1) ดา้ นทีอ่ ยูใ่ กลก้ ับ ER (cis face) จะรับถุงบรรจโุ ปรตนี ทีส่ ง่ มาจาก ER 2) ด้านทอี่ ยหู่ ่างจาก ER( trans face) จะท้าการสง่ ถงุ บรรจุโปรตีนท่ีส่งมาจากดา้ นที่อยใู่ กลก้ ับ ER ไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ในเซลล์ หนา้ ท่ี เปรยี บเสมอื นโกดงั เกบ็ สนิ ค้ากอ่ นส่งออกโดยจะรับถุงบรรจุโปรตีนจาก ER แล้วมาตัดแต่ง ต่อ เตมิ โปรตีนให้สมบรู ณ์ จากนั้นจะทา้ การคดั เลือกโปรตนี ท่มี ี โครงสร้างสมบูรณแ์ ลว้ สง่ ไปยังจดุ หมายปลายทาง ต่าง ๆ ท้งั ภายในเซลล์ ภายนอกเซลล์ และท่ีเยอื่ หุ้มเซลล์

6. ไลโซโซม (lysosome) รปู ที่ 3.16 การสร้างไลโซโซมจากกอลจิแอพาราตัส โครงสร้าง เปน็ ถงุ ที่บรรจุ เอนไซม์ไฮโดรไลซ์ (hydrolytic enzyme) สา้ หรบั ย่อยโปรตนี ไขมนั พอลแิ ซคคาไรด์ และกรดนิวคลีอิก- pH ใน ไลโซโซม เทา่ กับ 5 ซงึ่ เอนไซมไ์ ฮโดรไลซ์ ท้างานได้ดที ี่สดุ ซึง่ pH ในไซโทพลาสซมึ เทา่ กบั 7 - เอนไซม์ไฮโดรไลตกิ สรา้ งใน ER และส่งมายังไลโซโซมโดยผา่ นทางกอลจิแอพ พาราตัส หน้าที่ 1) การยอ่ ยสลายภายในเซลล์ (intracellular digestion) การโอบกลนื (phagocytosis) เช่น การย่อยเซลลแ์ บคทีเรียทถ่ี กู จบั กนิ โดยเม็ดเลอื ดขาว การย่อยสลาย แมคโครโมเลกลุ (macromolecule) การทา้ ลาย ออรแ์ กเนลล์ ท่ีเสือ่ มสภาพในเซลล์ (autophagy) 2) มีหนา้ ที่ใน กระบวนการท้าลายเซลล์ท่ีหมดอายุหรือหนา้ ที่ (programmed destruction) เชน่ ใน การเปลยี่ นรปู ร่างของลูกออ๊ ด เป็นกบ โดยไลโซโซมในเซลลห์ าง ลูกอ๊อด จะท้าลายสว่ นหางให้หายไปขณะ เจริญเติบโตเป็นกบหรือ การหายไป ของพงั ผืด ระหว่างนว้ิ มือของมนษุ ย์

7. เพอโรซโิ ซม (peroxisome) รปู ท่ี 3.17 ถงุ เพอโรซโิ ซมภายในเซลล์ โครงสรา้ ง พบมากทเี่ ซลลต์ บั เป็นถงุ ทีบ่ รรจุ เอนไซม์ออกซิไดซ์ (oxidizing enzyme) ที่ท้าหน้าท่ยี ้ายไฮโดรเจนจากสาร ตา่ ง ๆ ไปให้แกอ่ อกซิเจนทา้ ให้เกิดไฮโดรเจนเพอรอ์ อกไซด์ (H2O2) หน้าที่ ทา้ ลายสารพิษ เช่น แอลกอฮอล์ enzyme) ทา้ ลายไขมัน ท้าลาย H2O2 ที่เกิดข้นึ ในเพอโรซโิ ซม โดยเปล่ยี นเปน็ H2O ด้วยเอนไซมแ์ คตาเลส (catalase

8. แวคิวโอล (vacuole) รปู ที่ 3.18 แวควิ โอลภายในเซลล์พชื โครงสรา้ ง เปน็ ถุงขนาดใหญ่ท่พี บมากในเซลล์พืช หนา้ ท่ี แวคิวโอล ในเซลลพ์ ชื ท้าหน้าที่เก็บน้า น้าตาล เกลือ เม็ดสี (pigment) และสารพิษบางชนิด เพือ่ ป้องกนั พชื จากสัตว์กินพชื เปน็ อาหาร แวควิ โอล ในโปรโทซวั ไดแ้ ก่ แวควิ โอลทท่ี ้าหนา้ ทย่ี อ่ ยอาหาร(digestive vacuoles)หรอื แวควิ โอลท่ีทา้ หนา้ ทเ่ี กบ็ อาหาร (food vacuoles)

9. ไมโทคอนเดรยี (mitochondria) รูปท่ี 3.19 โครงสรา้ งไมโทคอนเดรีย โครงสร้าง มีขนาดเสน้ ผ่านศนู ย์กลาง 0.5 – 1.0 ไมโครเมตร ยาวประมาณ 1-10 ไมโครเมตร ถกู หุ้มด้วยเย่อื หมุ้ 2 ชั้น เย่ือหมุ้ ชนั้ นอก (outer membrane ) มีลักษณะผวิ เรยี บ โมเลกุลขนาดเลก็ สามารถผ่านได้ แต่ โมเลกลุ ขนาดใหญ่ไมส่ ามารถผา่ นได้ เยอ่ื หมุ้ ชน้ั ใน (inner membrane) ผนังเยอื่ หุ้มจะพบั เปน็ รอยจบี ยื่นเข้าไปข้างในเรียกว่า คริสตี (cristae) หอ่ หมุ้ ของเหลวทเ่ี รยี กว่า แมทรกิ ซ์ (matrix)ไว้ ระหว่างเยือ่ หมุ้ ช้ันใน และ เย่ือหุม้ ชนั้ นอก เรียกวา่ ช่องว่างระหว่างเย่อื หมุ้ เซลล์ (intermembrane space) ครสิ ตแี ละแมทรกิ สม์ ีเอนไซม์ ส้าหรับการหายใจระดับเซลล์ (cellular respiration)และ เปน็ ท่ี สังเคราะห์ ATP มีไรโบโซม และDNAเปน็ ของตัวเอง มจี ้านวนเพยี ง 1 อัน หรือ เป็นหลาย ๆ พนั ในเซลล์ เชน่ ในเซลลต์ ับ จะมีไมโทคอนเดรียมากถึง 2,500อนั ตอ่ เซลล์ ไมโทคอนเดรียภายในเซลล์ปกติจะมีการเคล่อื นไหว เปล่ียนแปลงรูปร่าง และเพมิ่ จา้ นวนของ ตัวมนั เอง หน้าที่ เป็นท่ีสา้ หรับการหายใจระดบั เซลล์ ซง่ึ การหายใจระดบั เซลล์ (cellular respiration) คอื กระบวนการทีพ่ ลงั งานเคมีของ คาร์โบไฮเดรตถูกเปลี่ยน เปน็ ATP ซ่งึ เปน็ ตวั ให้ พลังงานภายในเซลล์ ซึ่ง สามารถเขยี นเปน็ สมการไดด้ ังน้ี C6H12O6 + O2 CO2 + H2O + พลังงาน

10. คลอโรพลาสต์ (chloroplasts) รูปท่ี 3.20 โครงสรา้ งคลอโรพลาสต์ โครงสร้าง พบในเซลลพ์ ชื สาหร่าย และ ไซยาโนแบคทีเรีย (cyanobacteria) มขี นาดเส้นผ่านศนู ย์กลาง 4-6 ไมโครเมตร ยาวประมาณ 1-5 ไมโครเมตร คลอโรพลาสต์ เปน็ พลาสติด ชนิดหนึ่ง พลาสติด เป็นออร์แกเนลล์ ท่ีพบในพืช ซ่ึงไดแ้ ก่ 1) อะไมโลพลาสต์ (amyloplast) เป็นพลาสติด ทีไ่ ม่มีสี พบทรี่ ากและสว่ นหัวของพชื ทา้ หนา้ ท่ี เกบ็ สะสมแปง้ 2) โครโมพลาสต์ (chromoplast) มรี งควตั ถุ สีแดง และสสี ม้ บรรจุอยู่ให้สีแดงและสีส้ม แก่ ผลไม้ ดอกไม้ และใบไมใ้ นฤดูใบไมร้ ว่ ง 3) คลอโรพลาสต์ (chloroplast) มี รงควัตถุ สเี ขยี วเรยี กว่า คลอโรฟลิ ล์ (chlorophyll) มี เอนไซม์ และโมเลกลุ อนื่ ๆ ที่จ้าเป็นส้าหรบั การสังเคราะห์ดว้ ยแสง พบในใบและสว่ น อืน่ ๆ ของพชื ทมี่ สี ีเขียว มีเยื่อหุ้ม 2 ช้ัน คือ เย่อื หุ้มชนั้ นอก และเย่อื หุ้มช้ันใน ภายในคลอโรพลาสต์ ประกอบด้วย ถุงแบน ๆ ทเี่ กดิ จากเย่ือหมุ้ ชั้นในเรยี กว่า ไทลาคอยด์ (thylakoid) วางซอ้ นทับกันอยเู่ ป็นกอง ๆ ซ่ึงแตล่ ะกอง ของไทลาคอยด์ เรียกว่า กรานัม (granum)ของเหลว ทบ่ี รรจุอยรู่ อบ ๆ ไทลาคอยด์ เรียกว่าสโตรมา (stroma) ซงึ่ จะมี DNA ไรโบโซมของคลอโรพลาสต์ และ เอนไซมท์ ่ีใชใ้ นการ สงั เคราะหค์ ารโ์ บไฮเดรต คลอโรฟลิ ล์ อยู่ที่ เยือ่ ห้มุ ไทลาคอยด์ (thylakoid membrane) หนา้ ท่ี เป็นทเ่ี กดิ กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง (photosynthesis) การสังเคราะห์ดว้ ยแสง คือ กระบวนการทพี่ ลังงานแสงถกู เปลย่ี นเปน็ พลังงานเคมี คารโ์ บไฮเดรต โดยสามารถเขยี นเปน็ สมการไดด้ ังีนี้ พลงั งานแสง + CO2+ H2O C6H12O6 + O2

11. สารโครงรา่ งของเซลล์ (cytoskeleton) รูปที่ 3.21สารโครงร่างเซลล์ โครงสร้าง เปน็ ร่างแห ตาข่ายของเส้นใยโปรตีนท่ีแผ่ขยายปกคลุมอยู่ทว่ั ไซโทพลาซมึ ทา้ หน้าทค่ี งรูปร่างของเซลล์ โดยทา้ ใหเ้ ซลล์ทนตอ่ แรงอดั จากภายนอก เสน้ ใยโปรตีนท่ีประกอบเปน็ สารโครงร่างเซลล์ มี 3 ชนดิ คอื ไมโครทูบูล ไมโครฟิลาเมนต์ และ อนิ เตอร์มีเดยี ทฟลิ าเมนต์ รปู ที่ 3.22 โครงสรา้ งของไมโครทูบูล ไมโครฟิลาเมนต์ และอนิ เตอร์มีเดียทฟลิ าเมนต์

11.1 ไมโครทูบลู (microtubule) รปู ที่ 3.23 ท่อไมโครทบู ลู โครงสรา้ ง ไมโครทูบลู (microtubule) เปน็ แทง่ กลวง ขนาดเสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 25 นาโนเมตร ยาว 200 นาโนเมตร – 25 นาโนเมตร ประกอบดว้ ยโปรตนี กอ้ นกลม (globular protein) ชอื่ วา่ ทบู ลู ิน (tubulin) ซ่ึงมี 2 หนว่ ยยอ่ ย คอื แอลฟาทวิ บูลนิ (alpha – tubulin) และบีตาทบู ูลิน (beta – tubulin) เซนโทรโซม (centrosome) เปน็ ศูนย์ควบคมุ การประกอบไมโครทบู ูล ซ่ึงอยใู่ กล้ ๆ กับ นิวเคลียส ภายในบริเวณ เซนโทรโซมจะพบเซนทริโอล จ้านวน 1 คู่ เซนทริโอล 1 อนั มีรปู ร่างเปน็ ทรงกระบอก ประกอบด้วยท่อไมโครทูบูล 3 ท่อ จ้านวน 9 ชดุ มาเรียง ตวั กนั เป็นวงแหวน ตรงกลางไม่มที ่อ ทบู ลู ิน เรยี กโครงสรา้ งแบบนว้ี า่ 9 + 0 เซนทริโอล คนู่ ี้ จะวางตง้ั ฉากกันและเกย่ี วขอ้ งกบั การแยกโครโมโซมระหว่างการ แบ่งตวั ของ เซลล์ เซนโทรโซม ในเซลล์พชื ส่วนใหญไ่ มม่ ีเซนทรโิ อล

รปู ที่ 3.24 การจดั เรียงตัวของไมโครทบู ูลในแฟลเจจลาและเบซัลบอดี ทม่ี ีโครงสร้างคล้ายเซนทริโอล หน้าทีข่ อง ไมโครทบู ูล ช่วยรักษารูปรา่ งของเซลล์ ไมโครทูบูล เปรียบเสมอื นแทง่ เหลก็ ท่ีทนตอ่ แรงอดั ภายนอก ท้าให้เกดิ การเคล่อื นไหวของซเิ ลีย และแฟลเจลลา ซงึ่ สง่ ผลใหเ้ ซลลท์ ีม่ ซี ิเลยี หรือแฟลเจลา เป็นสว่ นประกอบเกิดการเคล่ือนทไ่ี ด้ (ไมโครทูบูลในซเิ ลยี และแฟลเจลลา จะมกี ารเรยี งตัวแบบ 9+2 ซงึ่ ประกอบด้วยไมโครทูบูล 2 ท่อ จา้ นวน 9 ชุด จัดเรยี งตัว เปน็ วงแหวนโดยตรงกลาง มีท่อไมโครทบู ูลจา้ นวน 2 ทอ่ วางอยู่ ชว่ ยในการแยกโครโมโซมระหวา่ งเซลลก์ ้าลังแบง่ ตวั ช่วยในการเคล่ือนท่ีของออรแ์ กเนลล์ รูปที่ 3.25 เซนทริโอล

รูปที่ 3.26 โครงสรา้ งแฟลเจลลา รปู ท่ี 3.27การโบกพดั ซเี ลยี ของพารามเี ซยี ม 11.2 ไมโครฟลิ าเมนต์ (microfilament or actin filament) รูปท่ี 3.28 เสน้ ใยไมโครฟลิ าเมนต์ รปู ท่ี 3.29 ไมโครฟิลาเมนต์ (สเี ขยี ว) ชว่ ยคงรปู ร่างของเซลล์

โครงสรา้ ง เป็นเส้นใยขนาดบาง และยาวมีเสน้ ผ่านศนู ย์กลางประมาณ 7 นาโนเมตร ประกอบด้วยโปรตนี ก้อนกลม ช่ือว่า แอคทนิ (actin) โดย ไมโครฟลิ าเมนต์ 1 เส้น ประกอบดว้ ย 2 สายของแอคทนิ ท่พี นั กันเป็นเกลยี ว หน้าท่ี ช่วยรกั ษารปู รา่ งของเซลล์ โดยไมโครฟิลาเมนต์จะทา้ ให้เซลล์ทนต่อแรงดึง มีบทบาทส้าคัญในการหดตวั ของเซลลก์ ลา้ มเนอ้ื โดยมีไมโอซิน เปน็ มอเตอร์ โมเลกุล (motor molecule) เปน็ ส่วนประกอบใน ไมโครวิลไล (microvilli) ของ เซลลบ์ ุผวิ ภายในล้าไส้ (intestinal cell) ท้าหนา้ ที่เพิ่มพ้ืนทผี่ วิ ให้แก่เซลล์บผุ ิวภายในล้าไส้ มบี ทบาทในการเคลอ่ื นทแ่ี บบอะมบี า (amoeboid movement) ของเซลล์ และท้าใหเ้ กิดรอย แยก ส้าหรบั เซลล์ทกี่ ้าลงั แบ่งตัว เก่ยี วข้องกับการไหลเวยี นของไซโทพลาซึม ในเซลลพ์ ืช (cytoplasmic streaming) 11.3 อินเตอร์มีเดียท ฟลิ าเมนต์ (intermediate filament) รูปที่ 3.30 เสน้ ใยอินเตอรม์ ีเดียทฟลิ าเมนต์ โครงสร้าง เปน็ เสน้ ใยโปรตนี ทมี่ ีขนาดใหญ่กวา่ ไมโครฟิลาเมนต์ แต่เล็กกว่าไมโครทบู ูล ประกอบด้วยโปรตนี ทีอ่ ยูใ่ นกล่มุ เคอราติน (keratin family) หนา้ ที่ ชว่ ยรักษารูปร่างของเซลลอ์ นิ เตอร์ มเี ดียท ฟลิ าเมนต์ ทนตอ่ แรงดงึ ภายนอก เช่นเดียวกับ ไม โครฟลิ าเมนต์ ชว่ ยยึดออร์แกเนลล์ บางอยา่ งใหอ้ ยู่กับที่ เช่น นวิ เคลยี สถูกยึดให้อยู่ในกรงทีท่ า้ ด้วย อินเตอร์ มเี ดยี ท ฟลิ าเมนต์ สรา้ ง นิวเคลยี ร์ลาร์มินาร์ (nuclear larninar)

12. โครงสรา้ งผวิ เซลล์ (cell surface structure) คอื โครงสร้างทอ่ี ยถู่ ดั ออกมาจากเยอื่ ห้มุ เซลล์ เชน่ ผนังเซลล์ (cell wall) ที่พบใน เซลลพ์ ืช รา สาหรา่ ยและแมทริกซ์นอกเซลล์ ( extracellular matrix) ทพ่ี บในเซลล์สัตว์ 12.1 ผนังเซลล์ รปู ท่ี 3.31 ตา้ แหนง่ ของชัน้ ผนงั เซลล์ โครงสร้าง ช่วยในการคงรูปรา่ งของเซลล์พชื แบง่ ออกเป็น 1. ผนงั เซลลข์ ั้นแรก (primary cell wall) ซึง่ ประกอบดว้ ยเซลลูโลส ระหว่างผนงั เซลล์ ข้ัน แรก คอื ลาเมลลา (middle lamella) ซ่ึงมี เพคติน (pectin) บรรจุ อย่ชู ่วยยึดเซลล์ใหอ้ ย่ตู ิดกัน 2. ผนังเซลล์ขั้นทีส่ อง (secondary cell wall) อย่รู ะหวา่ งเย่ือห้มุ เซลล์ และ ผนงั เซลล์ ข้ัน แรก แขง็ และทนทานกวา่ ผนังเซลล์ข้ันแรก มกั พบลิกนนิ เป็น ส่วนประกอบผนงั เซลล์ขั้นทส่ี องนี้ มกั พบในไม้ เน้ือแขง็ 12.2 แมทริกซ์นอกเซลล์ สว่ นใหญเ่ ป็นไกลโคโปรตนี (glycoprotein) ซง่ึ ไดแ้ ก่ 1) คอลลาเจน (collagen) 2) โพรทีโอไกลแคน (proteoglycan) 3) ไฟโบรเนคติน(fibronectin) หนา้ ท่ี ท้าหนา้ ทเ่ี ชอ่ื มตอ่ กับบรเิ วณรบั ของอินทกี รนิ (integrin receptor) ในเย่อื หุ้มเซลลแ์ ละอนิ ที กรนิ ก็เช่อื มต่อกับ ไซโทสเกเลตัน ทา้ ให้เกิดการประสานระหว่าง แมทรกิ ซน์ อกเซลล์ และไซโทพลาซมึ ภายใน เซลลข์ น้ึ

13.โครงสร้างเช่อื มตอ่ ระหวา่ งเซลล์ (junction between cells) รูปท่ี 3.32 โครงสรา้ งเชื่อมเซลล์ประเภทตา่ งๆ 13.1 พลาสโมเดสมาตา (plasmodesmata) ในเซลล์พืช ช่วยใหไ้ ซโทพลาสซมึ ระหว่างเซลล์แพร่ถึงกนั ทา้ ให้สารตา่ ง ๆ ในไซโทพลาสซมึ เกิดการแลกเปล่ียนกนั ระหวา่ งเซลล์ 13.2 ไททจ์ ังชนั (tight junction) ในเซลล์สัตว์ เปน็ โครงสรา้ งที่เกิดจากเยื่อหุม้ เซลล์ทีอ่ ยู่ติดกนั เกิดการรวมตัวกันป้องกนั การรั่วไหลของ ของเหลวภายในเซลลแ์ ละนอกเซลล์เข้าหากัน 13.3 เดสโมโซม (desmosome) ใน เซลลส์ ัตว์ ทา้ หน้าที่ตรึงเซลลเ์ ขา้ ด้วยกัน โดยมี อนิ เตอรม์ ีเดียทฟลิ าเมนต์ช่วยเพิ่มความแขง็ แรงใหแ้ ก่ เดสโม โซม 13.4 แกพจังชนั (gap junction) ในเซลล์สัตว์ เป็นชอ่ งท่ีเกิดขึน้ ระหวา่ งเซลลท์ ี่อยูต่ ดิ กนั ทา้ ใหส้ ารและโมเลกุลสามารถเคลือ่ นท่จี าก เซลลห์ นึง่ ไปยังอีกเซลล์หน่งึ กระแสไฟฟ้า สามารถเคล่อื นท่ีจากเซลล์หนึ่งไปยงั อีกเซลลห์ นึง่ โดยผา่ นทางแกพจงั ชนั ทม่ี า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook