การวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการ ที่ใช้กระบวนการศกึ ษา คน้ คว้าอย่างเป็นระบบ มงุ่ พฒั นาทางเลือกหรือ วิธกี ารใหมๆ่ เพอ่ื ใชใ้ น การแก้ปญั หาและสรา้ ง นวตั กรรมทีช่ ว่ ยอานวย ความสะดวกให้ชวี ิต
การทีจ่ ะแบ่งประเภทการวิจัยน้นั อยกู่ บั เกณฑ์ท่ีใชใ้ น การแบง่ วา่ จะยดึ อะไรเป็นเกณฑ์หรือใชเ้ กณฑอ์ ะไรเปน็ หลกั เพราะการใชเ้ กณฑ์ตา่ งกัน ทาให้ประเภทของการวจิ ัยตา่ งกัน เช่น แบง่ ตามแนวคิดพน้ื ฐานการวิจัย ก็จะแบ่งออกได้ 2 ประเภท ประเภทของการวจิ ัยคอื การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคณุ ภาพ หรือแบง่ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยประเภทของการวิจยั คอื การวิจยั พื้นฐาน การวจิ ยั ประยกุ ต์ เป็นตน้ ดังนั้นประเภทของการวิจัยจะขน้ึ อย่ทู เี่ กณฑท์ เ่ี ราใช้ ในการเลอื กใชเ้ กณฑน์ น้ั
สรุป ตวั แปร คุณลักษณะเฉพาะของสง่ิ ทไี่ ด้จากการรวบรวมขอ้ มูลจากหนว่ ยที่ศกึ ษาทม่ี หี ลายค่าและ เปลยี่ นแปลงได้ จะเปน็ สิง่ มชี ีวิตหรือสงิ่ ทไ่ี ม่มชี ีวิตก็ได้ เชน่ อายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชพี ตาแหน่งงาน เป็นต้น ประเภทตวั แปรจะแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ตวั แปรเชิงคุณภาพ ตวั แปรเชงิ ปริมาณ ชนิดของตวั แปรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม ตวั อยา่ งของตัวแปรต้นกับตวั แปรตาม เช่น การศึกษาเปรียบเทยี บพฤติกรรมเชงิ จรยิ ธรรม ของผู้นักศกึ ษา ตัวแปรอิสระ ประกอบดว้ ย 1) เพศ มี 2 เพศ คอื เพศชาย เพศหญงิ 2) ตาแหนง่ มี 3 ตาแหนง่ คือ นายกสโมสร รองนายกสโมสร สมาชิกสโมสร ตัวแปรตาม ประกอบด้วย 1) พฤตกิ รรมดา้ นการเสยี สละ 2) พฤติกรรมดา้ นการมีวนิ ยั 3) พฤตกิ รรมด้านความขยนั หมน่ั เพยี ร 4) พฤตกิ รรมดา้ นความซ่อื สัตย์ ข้อมลู ทีเ่ ก็บรวบรวมมาจากการนบั การวัดด้วยแบบทดสอบหรือแบบสอบถาม การสงั เกต ฯลฯ ซงึ่ อาจเปน็ ตวั เลขหรอื ไม่ใช่ ตัวเลข ที่สามารถนามาวเิ คราะห์เพ่อื หาคาตอบในสงิ่ ทผ่ี ู้วิจยั ตอ้ งการศกึ ษา ประเภทข้อมลู -ข้อมูลเชงิ ปริมาณ วัดคา่ ออกมาเป็นตัวเลขได้ เชน่ นาหนกั ส่วนสูง จานวนคน สัตว -ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพ ไม่สามารระบุเป็นตวั เลขได้ เช่น เพศ ลกั ษณะพฤตกิ รรม ทีแ่ สดงออก สผี ม ฯลฯ
สรุปองคค์ วามรู้ ประชากรคือ คนท่ีเราต้องการจะศกึ ษาทาการวิจยั แตอ่ าจจะใช้จานวนคนเยอะหรือใชเ้ วลานาน และงบประมาณเยอะ เราจึงเลือกกลมุ่ ตัวอยา่ งมาใช้วจิ ยั แทนเพ่อื ลดจานวนคน ลดเวลา และลดงบประมาณ โดยใช้การสมุ่ ตัวอยา่ งแบบตา่ ง ๆ เพ่อื ใหไ้ ด้ กลมุ่ ตัวอยา่ งมาใช้วิจัย การเลอื กตัวอย่างประกอบดว้ ย 2 ประเภท คอื 1.การเลอื กโดยใชค้ วามนา่ จะเปน็ เชน่ -การสมุ่ มอย่างง่าย จบั สลากเอา -การสุ่มแบบมรี ะบบ หาเปน็ ช่วง ๆ ไป -กายส่มุ แบบหลายชนั ภูมิ เลือกตามวัตปุ ระสงคท์ ่ีทา -สมุ่ แบบแบง่ กลุ่ม ทากลมุ่ ใหญใ่ ห้ย่อยลง โดยที่คณุ ภาพประชากรยงั เหมอื นเดมิ -สุม่ แบบหลายชนั ส่มุ หลายๆแบบ หลาย ๆ ครงั 2.การเลือกโดยไม่ใช้หลกั ความน่าจะเปน็ เช่น -การเลอื กแบบเจาะจง จะทาให้งานวิจัยมคี ุณภาพ เมื่อเลอื กมา 1 คน กน็ ่าจะมีคาตอบเหมือนาม 10 คน -การเลือกแบบโควตา จะไปเลือกใคร เพศไหน อายเุ ทา่ ไหร่ -การเลือกแบบบงั เอญิ เจอใครก็เลอื กคนนัน ไม่มีหลักการ
สรปุ องค์ความรู้ สมมติฐานการวจิ ัย เป็นการกาหนดสมมตฐิ านเพอ่ื ท่ีจะกาหนดคาตอบไวล้ ว่ งหนา้ มีประเภทอยู่ 2 ประเภทคือ -แบบมที ศิ ทาง มีความสมั พันธ์กบั ตัวแปรของเราเป็นยงั ไง -ไมม่ ีทศิ ทาง ไม่เน้นความสัมพนั ธ์กบั ตวั แปร สรปุ สมมตฐิ านทางสถติ แิ ละขอผิดพลาด
แบบสงั เกต แบบสังเกต คอื เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ประกอบการสงั เกตเป็นชดุ ของพฤตกิ รรมท่ีผู้วิจัยต้องการศกึ ษา แบบสงั เกตมีหลายชนดิ เช่น ระเบียนพฤตกิ รรม แบบตรวจสอบรายการ และแบบจดั อนั ดบั คุณภาพ การสังเกตเปน็ วิธีการซึ่งใชป้ ระสาทสมั ผัสของผสู้ งั เกต โดยเฉพาะตา และหู เพือ่ ติดตามศึกษาพฤติกรรม ทบี่ คุ คลทแ่ี สดงออกไดท้ ุกดา้ น แบบสังเกตเป็นเครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจยั ทผี่ ้วู จิ ยั สามารถใชไ้ ดต้ ลอดเวลา แบบสมั ภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์ คือ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ประกอบการสัมภาษณ์ จะเป็นแบบบนั ทึกคาให้สมั ภาษณ์ซงึ่ ผู้สัมภาษณ์สรา้ งขึนมาเพื่ออานวยความสะดวกในการรวบรวมข้อมูล ลกั ษณะของแบบสมั ภาษณอ์ าจจะ คลา้ ยกับแบบสอบถามนอกจากนียังมีเครอื่ งมือทใี่ ช้ประกอบในการสัมภาษณเ์ ปน็ สอื่ ประเภทเครื่อง บนั ทกึ เสียง ซ่ึงใช้อานวยความสะดวกในการบนั ทกึ รายละเอยี ดของขอ้ มูล ชว่ ยให้ผูส้ ัมภาษณพ์ ิจารณา ย้อนทวนขอ้ มูลได้ และสามารถสรปุ ขอ้ มลู ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ชัดเจน แบบสอบถาม แบบสอบถาม คอื เครอ่ื งมือทใี่ ช้วัดพฤติกรรมภายในของบุคคลเกย่ี วกบั ความร้สู กึ ความคดิ เห็น เจตคติ ความสนใจ ฯลฯ ซึง่ กล่าวได้ว่าเป็นพฤตกิ รรมด้านจิตพิสยั น่นั เอง นอกจากนยี ังเหมาะสาหรบั ศึกษาข้อมูลส่วนตวั ของบคุ คลดว้ ย แบบสอบถามมีลกั ษณะเปน็ ชดุ ของคาถามทส่ี รา้ งขนึ เพอ่ื ให้ศกึ ษาหา ขอ้ มลู ตามจดุ ประสงค์ แบบทดสอบ แบบทดสอบ คอื ชุดของคาถาม งานหรือสถานการณท์ ่กี าหนดขึน เพ่อื ใช้เปน็ สงิ่ เร้าให้ บคุ คลแสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา ซ่งึ พฤติกรรมดังกล่าวนมี คี วามหมายครอบคลุมทัง ด้านพุทธพิ สิ ัย จิตพิสยั และทักษะพิสัยแบบทดสอบ (ข้อสอบ) เปน็ เครื่องมือหลักทค่ี รูต้องใช้ วัดผลการเรียนของผู้เรยี นมาโดยตลอด แบบประเมนิ การปฏิบัติ แบบประเมนิ การปฏบิ ตั ิ คือ เครือ่ งมือทีใ่ ชป้ ระกอบการประเมินการใหป้ ฏบิ ตั ิจรงิ มักเป็นแบบบันทกึ ผลการปฏิบัตติ ลอดกระบวนการโดยการใหป้ ฏิบตั เิ ปน็ รปู แบบ หรือวิธีการท่ี กาหนดขนึ เพอ่ื วัดความสามารถในการปฏิบตั ิงานหรอื ปฏบิ ัติกจิ กรรมท่จี ัดเป็นพฤตกิ รรมดา้ น ทกั ษะพิสัย เชน่ เรม่ิ วดั ตงั แตค่ วามสามารถในการเตรยี มงาน วัดการลงมอื ปฏิบตั ใิ นแตล่ ะ ขันตอน วดั ผลงานและวดั พฤตกิ รรมด้านจิตพสิ ยั บางประการ
สรปุ องค์ความรู้ เครอื่ งมือในการวจิ ยั ได้แก่ 1.การสงั เกต 2.การสมั ภาษณ์ 3.การสอบาม 4.การทดสอบ 5.การปฏบิ ตั ิงาน ใช้เกบ็ รวมรวมข้อมลู จากผูท้ เี่ ราวจิ ัย แล้วเคร่อื งมอื เหล่านนั้ มีคุณภาพหรือไมก่ ็ ต้องมกี ารหาคณุ ภาพของเครือ่ งมอื โดย เครื่องมอื ตอ้ งมี 1.ความเที่ยง 2.มอี านาจจาแนก 3.ความยาก 4.ความเช่อื มน่ั 5.มีความเปน็ ปรนยั
สรปุ องคค์ วามรู้ การสร้างส่งิ ใหม่ๆหรือดดั แปลงสิ่งท่มี ีอยูเ่ พือ่ ใชพ้ ฒั นนาการทากิจกรรมการเรยี นรู้ เพ่ือให้ นักเรียนเกิดความร้ใู หม่ การหาประสิทธภิ าพของนวตั กรรม ประสทิ ธิภาพ จะกาหนดเป็นเกณฑ์ท่คี รผู ูส้ อนคาดว่าผ้เู รยี นจะเปลี่ยนพฤตกิ รรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกาหนดเปน็ เปอรเ์ ซ็นตข์ องผลเฉลย่ี คะแนนการทางานและการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมของผเู้ รียนทังหมด ต่อเปอร์เซน็ ต์ผลการทดสอบหลงั เรียนของผเู้ รียนทงั หมด สรปุ แลว้ หมายถึง E1 และ E2 คือประสิทธภิ าพของกระบวนการและประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ การหาประสิทธิผลของนวตั กรรม เปน็ การพิจารณาพฒั นาการในลกั ษณะทว่ี ่าเพิม่ ขึนเทา่ ไร ไมไ่ ดท้ ดสอบวา่ เพมิ่ ขนึ อย่างเชือ่ ถอื ไดห้ รอื ไม่ วิธีการอาจแปลงคะแนนใหอ้ ยใู่ นรูปของรอ้ ยละกไ็ ด้
โดยดาเนนิ การควบคู่ไปกบั
Search