–ทฤษฎีการวางเง่อื นไขของสกนิ เนอร์ (OPERANT CONDITIONING THEORY) Burrhus Skinner นักจติ วิทยาชาวอเมรกิ นั เปน็ ผู้คิดทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory หรือInstrumental Conditioning หรือ Type-R. Conditioning) ประวตั ิ บ.ี เอฟ.สกนิ เนอร์ -เกิดเม่อื วนั ที่ 20 มนี าคม ค.ศ.1940 ที่ มลรัฐเพนซลิ เวเนยี สหรัฐอเมริกา -จบปริญญาตรี ทางวรรณคดี ในองั กฤษ -เข้าศกึ ษาต่อสาขาจติ วทิ ยา ระดบั ปริญญาโทและเอก ณ มหาวิทยาลยั ฮารด์ เวิรด์ ปี ค.ศ.1982 วชิ าเอกพฤตกิ รรมศาสตร์ สกนิ เนอรไ์ ดแ้ บง่ พฤติกรรมของสิ่งมชี วี ิตไว้ 2 แบบ คอื 1. Respondent Behavior คอื พฤตกิ รรมหรือการตอบสนองทีเ่ กดิ ขน้ึ โดยอัตโนมตั ิ หรือเป็นปฏิกริ ยิ า สะทอ้ น (Reflex) ซึ่งสงิ่ มชี วี ิตไมส่ ามารถควบคมุ ตัวเองได้ เช่น การกระพรบิ ตา นำ้ ลายไหล 2. Operant Behavior คอื พฤตกิ รรมทเ่ี กิดจากส่งิ มชี ีวิตเปน็ ผกู้ ำหนด หรอื เลือกท่ีจะแสดงออกมา สว่ น ใหญจ่ ะเปน็ พฤตกิ รรมที่บคุ คลแสดงออกในชีวิตประจำวัน เชน่ กนิ นอน พดู เดนิ ทำงาน ขับรถ 1 ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขของสกนิ เนอร์
การเรียนรูต้ ามแนวคดิ ของสกินเนอร์ เกดิ จากการเช่อื มโยงระหวา่ งส่ิงเรา้ กบั การตอบสนองเชน่ เดยี วกัน แต่สกินเนอรใ์ หค้ วามสำคัญตอ่ การตอบสนองมากกว่าสงิ่ เรา้ จึงมีคนเรยี กวา่ เป็นทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ Type R นอกจากน้ีสกนิ เนอร์ให้ความสำคัญต่อการเสริมแรง (Reinforcement) ว่ามีผลทำให้เกดิ การเรยี นรทู้ ี่ คงทนถาวร ยง่ิ ข้นึ ดว้ ย สกนิ เนอรไ์ ดส้ รุปไวว้ ่า อัตราการเกดิ พฤติกรรมหรือการตอบสนองขน้ึ อยกู่ บั ผลของการ กระทำ คือ การเสรมิ แรง หรือการลงโทษ ทง้ั ทางบวกและทางลบ สกนิ เนอรไ์ ดอ้ ธบิ าย คำว่า \"พฤติกรรม\" ว่าประกอบดว้ ยองค์ประกอบ 3 ตัว คือ ว่าประกอบดว้ ย องค์ประกอบ 3 ตวั คือ 1. Antecedents คอื เงื่อนไขนำหรือสิ่งเร้าท่กี ระตุน้ ใหเ้ กิดพฤติกรรม (ส่ิงท่กี ่อใหเ้ กิดขึน้ ก่อน) ทุก พฤตกิ รรมต้องมเี ง่อื นไขนำ เช่น วนั นต้ี อ้ งเข้าเรยี นบา่ ยโมง พฤตกิ รรมเราถูกกำหนดดว้ ยเวลา 2. Behavior คอื พฤติกรรมทแ่ี สดงออก 3. Consequences หรือผลกรรม เกดิ ขนึ้ หลงั การทำพฤติกรรม เปน็ ตวั บอกว่าเราจะทำพฤติกรรมนนั้ อีกหรือไม่ ดงั นน้ั ไมม่ ใี ครท่ที ำอะไรแลว้ ไมห่ วังผลตอบแทน ซึง่ เรียกย่อ ๆ ว่า A-B-C ซึง่ ทั้ง 3 จะดำเนินต่อเนื่องไป ผลทไ่ี ดร้ บั จะกลับกลายเป็นสิ่งทก่ี ่อใหเ้ กิดขึน้ ก่อนอันนำไปส่กู ารเกดิ พฤติกรรมและนำไปส่ผู ลทไี่ ด้รับตามลำดบั สำหรบั การทดลองของสกินเนอร์ เขาไดส้ รา้ งกลอ่ งทดลองขน้ึ ซง่ึ กลอ่ งทดลองของสกินเนอร์ (Skinner 2 Boxes) จะประกอบด้วยทีใ่ ส่อาหาร คนั โยก หลอดไฟ คนั โยกและทใ่ี สอ่ าหารเช่ือมติดตอ่ กัน การทดลองเร่มิ โดย การจบั หนูไปใส่กล่องทดลอง เมอ่ื หนูหวิ จะว่งิ วนไปเรือ่ ย ๆ และไปเหยียบถกู คนั โยก กจ็ ะมอี าหารตกลงมา ทำให้ หนูเกดิ การเรยี นรวู้ ่าการเหยียบคนั โยกจะไดร้ ับอาหารคร้งั ต่อไปเม่อื หนูหิวกจ็ ะตรงไปเหยยี บคันโยกทันที ซ่งึ พฤติกรรมดังกล่าวถือวา่ หนตู ัวนเ้ี กดิ การเรียนร้แู บบการลงมอื กระทำเอง ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขของสกนิ เนอร์
หลกั การและแนวคิดทีส่ ำคัญของสกินเนอร์ 1. การวดั พฤติกรรมตอบสนอง สกินเนอร์ เหน็ ว่าการศกึ ษาจติ วทิ ยาควรจำกดั อยู่เฉพาะพฤติกรรมทสี่ ามารถสังเกตเหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน และพฤติกรรมทส่ี ังเกตได้นั้นสามารถวดั ได้โดยพิจารณาจากความถขี่ องการตอบสนองในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง หรือ พิจารณาจากอัตราการ ตอบสนอง (Response rate) น่นั เอง 2. อัตราการตอบสนองและการเสริมแรง สกนิ เนอร์ เชอื่ ว่าโดยปกติการพิจารณาวา่ ใครเกิดการเรียนรูห้ รือไมเ่ พียงใดนนั้ จะสรุปเอาจากการ เปล่ยี นแปลงการตอบสนอง (หรือพูดกลบั กนั ได้วา่ การที่อตั ราการตอบสนองไดเ้ ปลยี่ นไปน้นั แสดงว่าเกิดการเรยี นรู้ ขน้ึ แล้ว) และการเปลี่ยนแปลงอัตราการตอบสนองจะเกดิ ขน้ึ ได้เมื่อมกี ารเสริมแรง (Reinforcement) น้นั เอง ส่ิง เรา้ น้ีสามารถทำให้อตั ราการตอบสนองเปลี่ยนแปลง เราเรียกวา่ ตวั เสรมิ แรง (Reinforcer) สิ่งเรา้ ใดท่ไี ม่มผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงอตั ราการตอบสนองเราเรยี กวา่ ไม่ใชต่ ัวเสรมิ แรง (Nonreinforcer) 3. ประเภทของตวั เสรมิ แรง ตัวเสริมแรงนัน้ อาจแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ลกั ษณะคอื อาจแบ่งเป็นตวั เสริมแรงบวกกบั ตัวเสรมิ แรงลบ หรอื อาจแบ่งไดเ้ ปน็ ตวั เสรมิ แรงปฐมภมู ิกบั ตัวเสรมิ แรงทุตยิ ภูมิ 3.1 ตัวเสรมิ แรงทางบวก (Positive Reinforcer) หมายถึง ส่ิงเร้าชนดิ ใดชนดิ หน่งึ ซงึ่ เมอื่ ไดร้ ับหรือนำเข้ามาในสถานการณ์น้ันแล้วจะมผี ลให้เกดิ ความพึงพอใจ และทำใหอ้ ัตราการตอบสนอง เปลย่ี นแปลงไปในลกั ษณะเขม้ ข้นขึน้ เชน่ อาหาร คำชมเชย ฯลฯ 3.2 ตวั เสริมแรงลบ (Negative Reinforcer) หมายถงึ สง่ิ เร้าชนดิ ใดชนิดหน่ึง ซงึ่ เมอื่ ตัด ออกไปจากสถานการณน์ นั้ แลว้ จะมีผลให้อัตราการตอบสนองเปลี่ยนไปในลักษณะเขม้ ขน้ ขนึ้ เช่น เสียงดัง แสงสว่างจา้ คำตำหนิ ร้อนหรือเยน็ เกินไป ฯลฯ 3 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์
การลงโทษ (Punishment) การลงโทษ (Punishment) คอื การทำใหอ้ ัตราการตอบสนองหรือความถขี่ องพฤติกรรมลดลง การลงโทษ มี 2 ทางได้แก่ 1. การลงโทษทางบวก (Positive Punishment) 2. การลงโทษทางลบ (Negative Punishment) ตารางเปรยี บเทียบการเสริมแรงและการลงโทษ ไดด้ ังนี้ ชนิด ผล ตัวอย่าง การเสริมแรงทางบวก พฤตกิ รรมเพิม่ ขึ้นเมื่อมสี ิง่ เรา้ ผู้เรียนท่ที ำการบ้านส่งตรงเวลาแลว้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงเป็นส่ิงเรา้ ทีบ่ คุ คล ไดร้ บั คำชม จะทำการบา้ นสง่ ตรงเวลา น้นั ตอ้ งการ สม่ำเสมอ การเสรมิ แรงทางลบ พฤตกิ รรมเพ่มิ ขน้ึ เมื่อสง่ิ เรา้ ที่ไม่เป็น ผ้เู รียนที่ทำรายงานส่งตามกำหนด ทพ่ี งึ ปรารถนาถูกทำให้ลดนอ้ ยหรอื เวลาจะไมเ่ กิดความวติ กอีกต่อไป หมดไป ดังนนั้ ในคร้งั ต่อไปเขาก็จะรีบทำ รายงานใหเ้ สร็จตรงตามเวลา การลงโทษ 1 พฤตกิ รรมลดลงเม่อื มีส่ิงเรา้ เม่อื ถกู เพอื่ น ๆ วา่ \"โง\"่ เพราะต้งั โดยเฉพาะส่งิ ทเี่ ขาไมพ่ ึงปรารถนา คำถามถามผู้สอน ผู้เรียนคนน้ัน เกดิ ขึ้น เลกิ ตั้งคำถามในช้นั เรียน การลงโทษ 2 พฤตกิ รรมลดน้อยลง เมือ่ นำสง่ิ เรา้ ที่ ผเู้ รยี นที่ถกู หกั คะแนนเพราะตอบ เขาพึงปรารถนาออกไป ขอ้ สอบในลกั ษณะท่ีแตกต่างจาก ครูสอน ในคร้ังตอ่ ไปเขาจะไม่ ตอบคำถามในลกั ษณะนน้ั อกี การลงโทษ (Punishment) การเสรมิ แรงทางลบ และการลงโทษมลี ักษณะท่ีคล้ายคลงึ กันและมกั จะใช้ แทนกนั อยูเ่ สมอแต่การอธิบายของสกนิ เนอร์การเสริมแรงทางลบและการลงโทษต่างกนั โดยเน้นว่าการลงโทษเปน็ การระงับหรือหยดุ ยงั้ พฤตกิ รรม พฤติกรรม การเสริมแรง เพม่ิ พฤตกิ รรม กอ่ ให้เกิดการกระทำ พฤตกิ รรมนน้ั บอ่ ยขนึ้ 4 พฤติกรรม การลงโทษ ลดพฤตกิ รรม ก่อใหเ้ กิดการกระทำ พฤตกิ รรมนน้ั นอ้ ยลง ทฤษฎีการวางเง่อื นไขของสกนิ เนอร์
ข้อเสียของการลงโทษ 1. การลงโทษไม่ไดท้ ำใหพ้ ฤติกรรมเปลยี่ น แคเ่ ก็บกดเอาไว้ แตพ่ ฤตกิ รรมยังคงอยู่ 2. บางครง้ั ทำใหพ้ ฤติกรรมทีถ่ ูกลงโทษ เพ่มิ ข้นึ เช่น โดนหา้ มลางาน ก็เลยมาแกลง้ คนอื่นท่ีทำงาน 3. บางครัง้ ไมร่ วู้ ่าทำไมถูกลงโทษ เพราะเคยทำพฤตกิ รรมนนั้ แล้วไม่ถกู ลงโทษ 4. ทำให้เกิดอารมณ์ไมเ่ หมาะสม และนำไปส่กู ารหลกี เลีย่ งและหลีกหนี 5. การลงโทษอาจนำไปสู่ความกา้ วรา้ ว 6. การลงโทษไมไ่ ด้กอ่ ให้เกดิ พฤตกิ รรมทีเ่ หมาะสม 7. การลงโทษทีร่ ุนแรงอาจกอ่ ให้เกดิ ปัญหาทางกายและใจ การใชก้ ารลงโทษ 1. Time-out คอื การเอาตวั เสริมแรงทางบวกออกจากบคุ คล แต่ถ้าพฤติกรรมเด็กหยุดต้องเอากลับ เข้ามาและเสริมแรงพฤติกรรมใหมท่ ันที 2. Response Cost หรอื การปรับสินไหม คอื การดึงสทิ ธิห์ รอื สิ่งของออกจากตวั เชน่ ปรับเงินคนทขี่ ับรถผิดกฎ 3. Verbal Reprimand หรอื การตำหนหิ ลกั คอื หา้ มตำหนทิ ี่ Personality ตอ้ งตำหนิที่ Behavior ใช้เสยี งและหน้าที่เรยี บ ๆ เชือดเฉอื นหวั ใจ 4. Overcorrection คือ การแกไ้ ขเกินกว่าที่ทำผิด แบง่ ออกเปน็ 4.1. Restitutional Overcorrection คือ การทำสิ่งท่ีผดิ ให้ถกู ใชก้ ับสง่ิ ท่ีทำผิดแลว้ ยังแกไ้ ขได้ เชน่ ทำเลอะแลว้ ตอ้ งเช็ด 4.2. Positive-Practice Overcorrection คอื การฝึกทำสงิ่ ท่ีถกู ตอ้ ง ใช้กบั สิ่งทท่ี ำผิดแลว้ แกไ้ ขไม่ไดอ้ กี เช่น ฝกึ ทง้ิ ขยะใหล้ งถัง 4.3. Negative-Practice คอื การฝึกทำสิ่งทีผ่ ดิ เพอ่ื ให้เลกิ ทำไปเอง เชน่ ถ้าเด็กสูบบุหรี่ก็ให้สบู ซิการ์ 5 ทฤษฎีการวางเง่อื นไขของสกินเนอร์
การใชก้ ารลงโทษอยา่ งมีประสิทธิภาพ 1. เมื่อลงโทษแล้ว พฤตกิ รรมต้องลด 2. การลงโทษต้องรุนแรง แตต่ อ้ งไม่เกนิ กว่าเหตุ 3. ควรเตือน 1 ครงั้ กอ่ นการลงโทษ และในการเตอื นต้องพูดในสง่ิ ทที่ ำไดจ้ รงิ 4. พฤติกรรมทีจ่ ะถกู ลงโทษ ควรถกู บรรยายให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง 5. การลงโทษต้องสมำ่ เสมอ 6. ถ้าเป็นไปได้ ควรปรับสภาพแวดลอ้ ม เพ่อื ไม่ให้พฤตกิ รรมไมพ่ ึงประสงค์กลบั มา 7. เมื่อลงโทษแลว้ ตอ้ งมีการเสริมแรงพฤตกิ รรมใหม่ 8. เม่ือเกดิ พฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงค์ ตอ้ งลงโทษทันที และตอ้ งลงโทษในทรี่ โหฐาน 9. ควรอธบิ ายว่าทำไมพฤติกรรมนั้นถงึ ไมด่ ี 3.3 ตวั เสรมิ แรงปฐมภูมิ (Primary Reinforcer) เป็นสิ่งเรา้ ทีจ่ ะสนองความตอ้ งการทางอินทรีย์โดยตรง ซง่ึ เปรียบไดก้ ับ UCS. ในทฤษฎีของพาฟลอฟ เชน่ เมือ่ เกดิ ความตอ้ งการอาหาร อาหารกจ็ ะเป็นตวั เสริมแรงปฐมภูมทิ จี่ ะลดความหิวลง เปน็ ตน้ ลำดับข้นั ของการลด แรงขับของตวั เสริมแรงปฐมภูมิ ดงั น้ี 1. ความไมส่ มดุลในอนิ ทรยี ์ ก่อให้เกิดความต้องการ 2. ความตอ้ งการจะทำใหเ้ กิดพลงั หรอื แรงขบั (drive) ทีจ่ ะกอ่ ให้เกิดพฤติกรรม 3. มีพฤติกรรมเพือ่ จะมงุ่ สู่เป้าหมาย เพอ่ื ให้ความต้องการได้รับการตอบสนอง 4. ถงึ เป้าหมาย หรอื ไดร้ บั สิง่ ท่ีตอ้ งการ ส่งิ ที่ได้รบั ท่เี ป็นตวั เสริมแรงปฐมภมู ิ ตวั เสรมิ แรงท่จี ะเปน็ รางวลั ทจี่ ะมีผลใหอ้ ยากทำซำ้ และมพี ฤตกิ รรมทเี่ ข้มข้นในกจิ กรรมซำ้ ๆ น้ัน 3.4 ตวั เสริมแรงทตุ ิยภูมิ โดยปกตแิ ล้วตัวเสริมแรงประเภทนี้เป็นสิง่ เร้าทีเ่ ป็นกลาง (Natural Stimulus) ส่ิงเรา้ ท่ีเปน็ กลางน้ี เมื่อ นำเข้าคกู่ ับตวั เสรมิ แรงปฐมภูมิบอ่ ย ๆ เข้า สิ่งเรา้ ซึง่ แต่เดมิ เปน็ กลางกก็ ลายเป็นตวั เสรมิ แรง และจะมคี ณุ สมบัติ เชน่ เดียวกับตวั เสริมแรงปฐมภูมิ เราเรยี กตวั เสรมิ แรงชนิดน้วี ่า ตัวเสรมิ แรงทตุ ิยภูมิ ตัวอยา่ งเชน่ การทดลองของส กนิ เนอร์ โดยจะปรากฎวา่ เมือ่ หนูกดคานจะมีแสงไฟสวา่ งขึน้ และมีอาหารตกลงมา แสงไฟซ่ึงแต่เดิมเป็นสิง่ เรา้ ท่ี เปน็ กลาง ต่อมาเม่ือนำเขา้ คู่กับอาหาร (ตวั เสริมแรงปฐมภมู )ิ บอ่ ย ๆ แสงไฟก็จะกลายเป็นตัวเสริมแรงปฐมภูมิ เช่นเดยี วกบั อาหาร แสงไฟจึงเปน็ ตวั เสริมแรงทุตยิ ภูมิ ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขของสกินเนอร์ 6
ตารางกำหนดการเสริมแรง (SCHEDULES OF REINFARCEMENT) ตัวอย่างการให้การเสรมิ แรง ลักษณะ ตวั อย่าง ตารางการเสริมแรง ทกุ ครงั้ ทีเ่ ปิดโทรทศั นแ์ ล้ว เป็นการเสริมแรงทุกครั้งท่ี เหน็ ภาพ การเสรมิ แรงทุกครั้ง แสดงพฤติกรรม การจา่ ยคา่ แรงตามจำนวน (Continuous) ให้การเสรมิ แรงโดยดจู าก ครัง้ ทข่ี ายของได้ การเสรมิ แรงตามจำนวนครงั้ จำนวนครง้ั ของการตอบสนอง ของการตอบสนองทแี่ น่นอน ท่ถี ูกตอ้ งด้วยอตั ราที่แนน่ อน การได้รบั รางวลั จากเครือ่ ง (Fixed - Ratio) ใหก้ ารเสริมแรงตามจำนวนคร้งั เล่นสล๊อตมาชีน การเสรมิ แรงตามจำนวนครัง้ ของการตอบสนองแบบไมแ่ น่นอน ของการตอบสนองทไี่ ม่แนน่ อน (Variable - Ratio) ใหก้ ารเสรมิ แรงตามชว่ งเวลาที่ ทกุ ๆ สัปดาห์ผสู้ อนจะทำ การเสรมิ แรงความช่วงเวลาที่ กำหนด การทดสอบ แนน่ อน (Fixed - Interval) การเสรมิ แรงตามชว่ งเวลาท่ี ใหก้ ารเสริมแรงตามระยะเวลา ผ้สู อนสุ่มทดสอบตามช่วงเวลา ไมแ่ นน่ อน ทไี่ มแ่ น่นอน ทต่ี อ้ งการ (Variable - Interval) ลักษณะของตวั เสรมิ แรง 1. Material Reinforcers คือ ตวั เสรมิ แรงทเี่ ป็นวตั ถสุ ิง่ ของ เชน่ มือถือ ขนม 2. Social Reinforcers เป็นส่ิงทที่ ุกคนตอ้ งการ เน่ืองจากมนุษย์เปน็ สัตว์สังคม 2.1. Verbal เปน็ คำพูด เช่น การชม (ตอ้ งชมพฤตกิ รรมทแี่ สดงออก ไม่ใช่บุคลกิ ภาพ) 2.2. Nonverbal ภาษากาย เชน่ กอด (การกอดเป็น The Best Social Reinforcers ซง่ึ ต้องใช้ กับ Positive Behavior) หมายเหต:ุ ถ้า Verbal ไม่สมั พนั ธ์กบั Nonverbal คนเราจะเชอ่ื Nonverbal มากกว่า 3. Activity Reinforcers เปน็ การใช้กจิ กรรมท่ีชอบทำทีส่ ุดมาเสริมแรงกจิ กรรมท่อี ยากทำน้อยท่สี ดุ โดยตอ้ งทำตาม Premack Principle คือ ใหท้ ำสงิ่ ท่อี ยากทำน้อยที่สุดก่อน แลว้ จงึ ใหท้ ำกจิ กรรมท่ชี อบท่ีสดุ เช่น เดก็ ทชี่ อบกนิ Chocolate แตไ่ ม่ชอบเล่น Pinball กใ็ หเ้ ล่น Pinball กอ่ นแลว้ จงึ ใหก้ นิ Chocolate หมายเหตุ: ถ้าส่ิงใดเป็นของตาย คือจะทำหรือไม่ทำกไ็ ดส้ งิ่ น้นั อยแู่ ลว้ ส่งิ นนั้ จะเป็นตวั เสรมิ แรงไมไ่ ด้อกี ต่อไป 7 ทฤษฎีการวางเง่อื นไขของสกินเนอร์
4. Token Economy จะเป็นตวั เสรมิ แรงไดเ้ ฉพาะเม่ือแลกเปน็ Backup Reinforcers ได้ เช่น เงิน ธนบตั รก็เป็นแคก่ ระดาษใบหนงึ่ แต่วา่ มนั ใช้ชำระหนไ้ี ดต้ ามกฎหมาย ดงั นน้ั ถ้ามันใช้ชำระหนี้ไมไ่ ดก้ ็เป็นแค่ กระดาษใบหนึ่ง เงินมอี ิทธิพลสูงสุด 5. Positive Feedback หรือการให้ขอ้ มูลปอ้ นกลบั ทางบวก จับเฉพาะจุดบวก มองเฉพาะสว่ นท่ีดี เชน่ บอกเดก็ วา่ หนูทำงานส่วนน้ไี ด้ดมี าก แต่สว่ นทเี่ หลือเอากลับไปแกน้ ะ 6. Intrinsic Reinforcers หรือตวั เสรมิ แรงภายใน เชน่ การชืน่ ชมตัวเอง ไมต่ อ้ งใหม้ ีใครมาชม ปัจจัยท่มี ีผลตอ่ การเสริมแรง 1. Timing การเสริมแรงต้องทำทนั ที เช่น แฟนตัดผมมาใหม่ต้องชมทนั ที ถา้ ช้า จะถกู ตำหนิ 2. Magnitude & Appeal การเสริมแรงตอ้ งตอบสนองความตอ้ งการอยา่ งพอเหมาะ อย่ามากไปหรอื นอ้ ยไป 3. Consistency การเสรมิ แรงตอ้ งใหส้ ม่ำเสมอ เพราะจะได้รวู้ ่าทำแลว้ ตอ้ งได้รบั การเสริมแรง อยา่ งแนน่ อน ทฤษฎีการเรียนรกู้ ารวางเงอื่ นไขแบบการกระทำ สามารถสรุปได้ดังน้ี 1. การกระทำใด ๆ ถ้าไดร้ ับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มเกดิ ขน้ึ อกี ส่วนการกระทำท่ไี มม่ ีการเสรมิ แรง แนวโน้มทค่ี วามถีข่ องการกระทำนนั้ จะลดลง และหายไปในท่สี ดุ 2. การเสริมแรงท่แี ปรเปลี่ยนทำใหเ้ กดิ การตอบสนองกวา่ การเสริมแรงทีต่ ายตัว 3. การลงโทษทำให้เรยี นรู้ไดเ้ ร็วและลมื เรว็ 4. การให้แรงเสรมิ หรอื ใหร้ างวลั เมื่อมีการแสดงพฤตกิ รรมที่ต้องการ สามารถชว่ ยปรับหรือปลูกฝงั นิวัย ที่ต้องการได้ การนำทฤษฎไี ปประยกุ ตใ์ ช้ 1. ใช้ในการปลูกฝงั พฤตกิ รรม (Shaping Behavior) หลักสำคญั ของทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขแบบการ กระทำของสกินเนอร์ คือ เราสามารถควบคมุ การตอบสนองได้ด้วยวธิ ีการเสรมิ แรง กลา่ วคือ เราจะให้การเสริมแรง เฉพาะเมือ่ มกี ารตอบสนองทตี่ ้องการ เพื่อใหก้ ลายเป็นนสิ ัยติดตัวต่อไป อาจนำไปใช้ในการปลูกฝังบุคลิกภาพของ บคุ คลให้มพี ฤติกรรมตามแบบที่ตอ้ งการได้ การแสดงพฤตกิ รรมสาธารณะ ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขของสกนิ เนอร์ 8
1.1. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เมื่อมีการแสดงออก ซ่งึ พฤติกรรม จติ สาธารณะ ซึง่ อาจใชต้ ัวเสริมแรงได้เป็น 4 ประเภท คอื 1) ตัวเสริมแรงทเ่ี ปน็ สิ่งของ ( material reinforce ) เปน็ ตวั เสรมิ แรงที่ประกอบไดด้ ้วยอาหาของท่ี เลน่ ได้ และสิ่งของต่างๆ เช่น เสอ้ื ผ้า ของเล่น รถยนต์ 2)ตวั เสริมแรงทางสังคม ( social reinforce ) ตวั เสรมิ แรงทางสังคมเปน็ ตวั เสรมิ แรงทีไ่ ม่ต้องลงทุนซื้อ หามอี ยู่กบั ตัวเราและค่อนขา้ งจะมีประสทิ ธิภาพสูงในการปรับพฤติกรรม แบง่ เปน็ 2 ลักษณะ คือ คำพูด ได้แก่ คำ ชมเชย เชน่ ดมี าก นา่ สนใจมาก และการแสดงออกทางท่าทาง เช่น ย้มิ จับมอื 3)ตวั เสริมแรงที่เปน็ กจิ กรรม ( activity reinforce) เปน็ การใชก้ จิ กรรมหรือพฤตกิ รรมที่ชอบไป เสรมิ แรงกิจกรรมหรือพฤตกิ รรมท่ีไม่ชอบ 4)ตัวเสรมิ แรงท่ีเป็นเบี้ยอรรถกร (token reinforce) โดยการนำเบย้ี อรรถกรไปแลกเปน็ ตัว เสรมิ แรงอนื่ ๆ ได้ เช่น ดาว คูปอง โบนัส เงนิ คะแนน 2. การเสริมแรงทางลบ ( negative reinforcement ) เปน็ การทำให้ความถีข่ องพฤตกิ รรมคงท่หี รือ เพมิ่ มากข้นึ ซงึ่ การเสริมแรงทางลบของผู้สอนควรปฏิบตั ิ คือ ทำทนั ทีหรือเรว็ ท่สี ุด เมอ่ื พฤตกิ รรมทไ่ี ม่ตอ้ งการ เกดิ ขึน้ ควรใหม้ คี วามรุนแรงพอเหมาะไมม่ ากหรือน้อยจนเกินไป ควรให้ผู้ถกู ลงโทษรู้วา่ พฤตกิ รรมใดทถ่ี ูกลงโทษ และเพราะเหตุใด ควรใช้เหตผุ ลไมใ่ ช้อารมณ์ ควรใช้การลงโทษควบค่กู ับการเสรมิ แรงบวก ผลู้ งโทษตอ้ งเปน็ ตวั แบบที่ดีในทกุ ๆด้าน และการลงโทษควรเปน็ วธิ ีสดุ ท้าย ถา้ ไมจ่ ำเป็นกไ็ มค่ วรใช้การลงโทษ 2.1 การกำจัดพฤติกรรมที่ไม่พงึ ประสงค์ 1. ไมส่ นใจ แตร่ ะวงั การเรียกร้องความสนใจ 2. เสริมแรงทุกพฤตกิ รรมทไ่ี มใ่ ชพ่ ฤตกิ รรมที่ไม่พึงประสงค์ 3. เสรมิ แรงพฤตกิ รรมอ่นื แทน 4. เสรมิ แรงพฤติกรรมทไ่ี ม่ทำใหพ้ ฤตกิ รรมที่ไม่พงึ ประสงค์เกิด เช่น เสริมแรงพฤตกิ รรมนัง่ เพื่อที่ พฤติกรรมลกุ จะได้ไม่เกดิ (Incompatible Behavior) 9 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกนิ เนอร์
3. การเรียนการสอน 1. Observable & Measurement คือ สงั เกตและวดั ได้ เชน่ หลงั เรียนคอร์สนจ้ี บแลว้ จะสามารถ อธบิ ายทฤษฎไี ด้ 2. Conditions คอื เงอ่ื นไข เชน่ เม่อื กำหนดแผนภมู แิ ท่งเปรียบเทยี บให้ สามารถอา่ นข้อมลู และ อภปิ รายประเดน็ ต่าง ๆ ได้ 3. Criterion คือ เกณฑ์ เชน่ หลังเรียนคอรส์ น้ีจบแลว้ จะสามารถทำขอ้ สอบ O-NET ได้ 80% 4. Programmed Instruction and Computer-Assisted Instruction เช่น ใชโ้ ปรแกรมช่วยสอน สำเรจ็ รปู 5. Mastery Learning คือ เรียนให้ประสบความสำเรจ็ ไปทีละขั้น เชน่ ตอ้ งสอบบทที่ 1 ให้ผ่าน จึงจะ สอนบทต่อไป สรปุ แนวคิดท่สี ำคัญของ สกนิ เนอร์ Skinner “สกนิ เนอร์” ไดก้ ล่าวไวว้ า่ “ การเสรมิ แรงเป็นสง่ิ ทส่ี ำคัญทีท่ ำให้บคุ ลแสดงพฤตกิ รรมซำ้ และพฤติกรรม ของบุคคลส่วนใหญเ่ ป็นพฤติกรรมแบบเรียนรปู้ ฏบิ ัตแิ ละพยายามเนน้ ว่า การตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ใด ๆ ของบคุ คล ส่ิงเร้านัน้ จะต้องมีสงิ่ เสรมิ แรงอยู่ในตัว หากลดสง่ิ เสริมแรงลงเมอื่ ใด การตอบสนองจะลดลงเมื่อนนั้ ’’ ทฤษฎีการวางเง่อื นไขของสกนิ เนอร์ 10
11 ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขของสกนิ เนอร์
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: