หน่ายการเรียนรูท้ ี่ ๗ แนวคดิ ศาสนาเป็ นสิ่งจาํ เป็นแกช่ ีวิตมีความสาํ คญั อยา่ งยง่ิ ในการพฒั นาบุคคลให้มที ศั นคติท่ีดีงามมีคุณธรรม ประจาํ ตนและแนวทางปฏิบตั ิอนั ถกู ต้อง ศาสนาจะช่วยพฒั นาปรับปรุงความคิดและการกระทาํ ต่างๆ ของ บุคคลให้มีคุณภาพมากยงิ่ ข้ึน รวมถึงการแกป้ ัญหาและขอ้ บกพร่องของตนเองได้ จนสามารถบรรลุ ความสาํ เร็จในชีวติ และพน้ จากความทุกข์ ผทู้ ี่พฒั นาตนเองแลว้ ยอ่ มมศี กั ยภาพและคุณภาพมีหลกั ปฏิบตั ิอนั ถกู ตอ้ ง และมคี วามพร้อมในการสรา้ งประโยชน์สุขแกส่ งั คมส่วนรวม คาํ สอนของศาสนาจึงมเี ป้าหมายให้ผู้ ศึกษาและปฏิบตั ิตามสามารถพฒั นาตนเองและสงั คมได้ สารการเรียนรู้ ๑.ความหมายของศาสนา ๒.ลกั ษณะของศาสนา ๓.ประเภทของศาสนา ๔.ศาสนาสาํ คญั ในสงั คมไทย ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั ๑.อธิบายความหมายและลกั ษณะของศาสนาได้ ๒.อธิบายประเภทของศาสนาได้ ๓.บอกศาสนาสาํ คญั ในสงั คมไทยได้ ความหมายของศาสนา คาํ วา่ “ ศาสนา” แปลว่า“ คาํ สง่ั สอน” พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ ความหมายว่า ศาสนา คือ ลทั ธิความเช่ือถือของมนุษย์ อนั มหี ลกั คือ แสดงกาํ เนิดและ ความสิ้นสุดของโลกเป็นตน้ อนั เป็ นไปในฝ่ ายปรมตั ถป์ ระการหน่ึง แสดงหลกั ธรรมเกย่ี วกบั บุญ บาป อนั เป็ นไปในฝ่ ายศีลธรรมประการ หน่ึง พร้อมท้งั ลทั ธิพธิ ีที่กระทาํ ตามความเห็นหรือตามคาํ สง่ั สอนในความเช่ือถอื น้นั
สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (อว้ น ติสฺโส) ไดอ้ รรถาธิบายวา่ ศาสนามี ความหมายดงั น้ี ๑.คาํ สงั่ คือ วินยั ที่เป็นกฎ บทบญั ญตั ิสาํ หรบั บงั คบั ใหค้ นอยู่ในระเบียบอนั ดีงามและใหเ้ วน้ ขอ้ ท่ีห้าม ทาํ ตามขอ้ ที่อนุญาต อนั เป็ นทางนาํ ความประพฤติใหส้ มา่ํ เสมอกนั กด็ ี ๒.คาํ สอน คือธรรมที่เป็ นหลกั ให้คนประพฤติไดด้ ว้ ยความรู้สึกตวั เองวา่ น่ีควรละ ท้งั อธั ยาศยั ใหป้ ระณีตข้ึนกด็ ีท้งั (สอง) น้ีควรประพฤติ และเป็นทางนาํ ความประพฤติเรียกว่า“ ศาสนา” ลักษณะของศาสนา ๑.ลกั ษณะท่ีถือธรรมชาติ ๒ลกั ษณะท่ีถือเทวดาหรือพระเป็นเจา้ ๓.ลกั ษณะท่ีถือการประพฤติศีลและวตั ร ๔.ลกั ษณะท่ีนิยมการรูห้ ลกั ปรัชญาเป็นหลกั การพน้ ทุกขเ์ ป็ นเป้าหมาย เน่ืองจากศาสนาแต่ละศาสนามีพฒั นาการมาจากธรรมชาติของมนุษยใ์ นหลายดา้ น แต่เม่ือรวมแลว้ กลา่ วไดว้ า่ ศาสนาน้ันเป็ นระบบความเชื่อและการปฏิบตั ิ ซ่ึงมีองค์ประกอบสาํ คญั หลายประการตามความ เช่ือถอื โดยศาสตราจารย์ ดร. จาํ นงอภวิ ฒั นสิทธ์ิ ไดร้ วบรวมไวป้ ระมวลไดด้ งั ต่อไปน้ี ๑.ศาสนาจะตอ้ งมีหลกั การอนั ว่าดว้ ยความศกั ด์ิสิทธ์ิ มกี ารเคารพบูชาสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิท้งั ใน รูปแบบและไม่มีรูปแบบคือเป็ นนามธรรมและรูปธรรม (มีความศกั ด์ิสิทธ์ิ) ๒.ศาสนาจะตอ้ งมีหลกั คาํ สอนทางศีลธรรม รวมถงึ กฎเกณฑ์ ความประพฤติปฏิบตั ิโดยมี ความสงบสุขส่วนรวมเป็ นเป้าหมาย (มีศาสนธรรม) ๓.ศาสนาจะตอ้ งมตี วั บุคคลผูส้ อน ผูก้ อ่ ต้งั ผปู้ ระกาศหลกั ธรรม (ศาสดาเจา้ ลทั ธิ) อนั เป็ นท่ี ยอมรับและมีความเป็นจริงท่ีพสิ ูจน์ไดโ้ ดยหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ (มีศาสดา) ๔.ศาสนาจะตอ้ งมคี ณะบุคคลทาํ หนา้ ที่รักษาและเผยแผค่ าํ สอนของศาสดา โดยเรียกวา่ พระ บา้ งนกั บวชบา้ งซ่ึงมีฐานะพเิ ศษกวา่ คนทวั่ ไป (เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ) (มีศาสนบุคคล) ๕.ศาสนาจะตอ้ งมีศรัทธาและความจงรกั ภกั ดีต่อคาํ สอนและต่อศาสดาและศาสนาท่ีตนนบั ถอื และเมื่อตนนบั ถือศาสนาใดแลว้ จะไมป่ ระกาศยอมรบั ศาสนาอ่ืนอีก (มีศรัทธา) ๖.ศาสนาจะตอ้ งมีพิธีกรรม ซ่ึงเป็ นแบบแผนท่ีกาํ หนดพฤติกรรมมีกฎเกณฑใ์ หป้ ฏิบตั ิ เพื่อใหเ้ กดิ ความขลงั ความศกั ด์ิสิทธ์ิ (มีศาสนพิธี)
๗.ศาสนาจะตอ้ งมีการจดั ระเบียบจนเกดิ เป็นองค์กรหรือสถาบนั มีฐานะเป็ นสถาบนั ทา สงั คมท่ีสาํ คญั มบี ทบาทหนา้ ท่ีและความสาํ คญั จนเป็นที่รบั รูข้ องประชาชนซ่ึงสืบทอดมา ต้งั แต่อดีต (มสี ถาบนั ) ๘.ศาสนาจะตอ้ งมศี าสนาสถานเป็ นที่ประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา และเป็ นที่พาํ นกั สาํ หรับ พระนกั บวชเช่นวดั โบสถส์ ุเหร่ามสั ยดิ รวมถงึ วตั ถุรูปเคารพสญั ลกั ษณ์ของศาสนาแต่ละ ศาสนา (มีศาสนสถาน) ท้งั ๘ประการน้ี สามรถสรุปเป็นหลกั เพ่ือให้จาํ ไดง้ ่าย ๑ มีความศกั ดิ์ ๒ มีศาสนา ๓. ๕. มีศาสดา มีศรัทธา ๔. มศี าสนบุคคล ประเภทของศาสนา ประเภทของศาสนาแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ประเภทเทวนิยม และประเภทอเทวนิยม ประเภทเทวนิยาม (Theism) เป็นศาสนาท่ีนบั ถอื ศรทั ธาวา่ มีพระเป็ นเจา้ สูงสุดเป็นผสู้ รา้ งสรรคโ์ ลกและสรรพ ส่ิงศาสนาในกลุ่มเทวนิยมน้ ีแบ่งออกเป็ น
๑.เอกเทวนิยม(Monotheism) ศาสนาซ่ึงมีความเช่ือว่ามีพระเป็ นเจา้ (God) สูงสุดอยเู่ พียงพระองคเ์ ดียว พระองคท์ รงเป็นผูส้ รา้ งและทรงควบคุมสรรพสิ่งในจกั รวาล ไดแ้ ก่ศาสนายวิ หรือยดู ายศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาสิข ศาสนาโซโรอสั เตอร์ ๒.พหุเทวนิยม(Polytheism) ศาสนาซ่ึงมีความเชื่อวา่ มเี ทพเจา้ อยหู่ ลายองค์ และสิงสถติ อยู่ในสรรพสิ่ง ไดแ้ ก่ ศาสนาชินโต ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประเภทอเทวนิยม (Atheism) ศาสนาซ่ึงมีความเชื่อว่าไม่มพี ระเป็นเจา้ เชื่อในกฎธรรมชาติ หรือกฎแห่งการ กระทาํ ของมนุษย์ (Law of Kamma) ไดแ้ ก่ ศาสนาเชนพระพทุ ธศาสนา ศาสนาสําคญั ในสังคมไทย ในระดบั น้ีกาํ หนดให้เรียน พระพทุ ธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาคริสต์ และ ศาสนา อสิ ลาม รายละเอยี ดเกยี่ วกบั ความรู้ในแต่ละศาสนาจะไดก้ ล่าวถงึ ในหน่วยต่อไป ความสําคญั ของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทยในฐานะเป็ นศาสนาประจําชาติ พระพุทธศาสนาถือไดว้ ่าเป็นศาสนาประจาํ ชาติ เพราะคนส่วนใหญ่ ร้อยละ ๙๕ นบั ถือ พระพทุ ธศาสนา และอย่เู คียงคู่กบั ชาติไทยมาโดยตลอด ดงั น้นั พระพทุ ธศาสนาจึงมีความสาํ คญั ต่อสงั คมไทย พอสรุปไดด้ งั น้ี 1) พระพุทธศาสนาเป็ นหลกั ในการดาํ เนินชีวิตของคนไทย เพราะคนไทยนาํ หลกั ธรรมมาประพฤติ ปฏิบตั ิในชีวิตประจาํ วนั และลกั ษณะนิสยั ของคนไทยมจี ิตใจท่ีดีงามในทุก ๆ ดา้ น มีความเป็ นมติ รกบั ทุกคน เป็ นตน้ 2) พระพุทธศาสนาเป็ นหลกั ในการปกครองประเทศ กษตั ริยท์ ุกพระองค์ของไทยได้นาํ เอา หลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนาไปใชใ้ นการปกครองประเทศ เช่น ทศพิธราชธรรม ตลอดมา หรือใชห้ ลกั “ธรรมาธิปไตย” และหลกั อปาริหานิยธรรม เป็นหลกั ในการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย เป็ นตน้
3) พระพทุ ธศาสนาเป็ นศูนยร์ วมจิตใจ เน่ืองจากหลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนามุ่งเน้นให้เกดิ ความ รักความสามคั คีกนั มีความเมตตากรุณาต่อกนั เป็ นตน้ จึงเป็นศนู ยร์ วมจิตใจของชนชาวไทยให้มคี วามเป็นหน่ึงเดียวกนั 4) พระพทุ ธศาสนาเป็ นท่ีมาของวฒั นธรรมไทย ดว้ ยวิถีชีวิตของคนไทยผูกพนั กบั พระพุทธศาสนา จึงเป็นกรอบในการปฏิบตั ิตนตามหลกั พธิ ีกรรมในพระพทุ ธศาสนาต่าง ๆ เช่น การบวช การแต่งงาน การ ทาํ บุญเน่ืองในพธิ ี ความสําคญั ของพระพทุ ธศาสนาต่อสังคมไทยในฐานะเป็ นสถาบนั หลกั ของสังคมไทย พระ พุทธศาสนา เป็นศาสนาท่ีสงั คมไทยส่วนใหญน่ บั ถอื และสืบทอดกนั มาเป็ นชา้ นาน ดงั น้นั พระพทุ ธศาสนาจึงมบี ทบาทสาํ คญั ของวิถชี ีวิตของคนไทย พระพทุ ธศาสนาจึงมีความสาํ คญั ในดา้ น ต่าง ๆ ดงั น้ีคือ ๑. ดา้ นการศึกษา ในอดีตที่ผา่ นมา วดั เป็นศูนยก์ ลางของชุมชนในดา้ นการศึกษา พระสงฆเ์ ป็นผู้ อบรมสง่ั สอนจดั การศึกษาเลา่ เรียน ถงึ แมใ้ นปัจจุบนั บทบาทเหลา่ น้ีจะลดนอ้ ยลงไป เน่ืองมาจาก สาเหตุใดกต็ าม ส่ิงท่ีควรคาํ นึงถึงกค็ ือ พระพุทธศาสนามคี วามสาํ คญั ทางการศึกษา โดยมีบทบาทท่ี สาํ คญั อยู่ ๒ ประการ ท่ีเป็ นพ้ืนฐานของสภาพปัจจุบนั ในทางการศึกษาของพระพทุ ธศาสนาคือ ๑.๑ ประเพณีที่วดั เป็นศูนยก์ ลางการศึกษาเล่าเรียนของชุมชน และพระสงฆเ์ ป็ นครูผทู้ าํ หนา้ ท่ีอบรมสงั่ สอน ๑.๒ ประเพณีบวชเรียน นน่ั คือการบวชเพอ่ื ที่จะเรียนหนงั สือ ซ่ึงอาจจะเรียนท้งั ทางโลก และทางธรรม นอกจากน้ีวดั ยงั เป็ นแหล่งศิลปวิทยาการ เป็ นแหล่งศึกษาคน้ ควา้ ต่าง ๆ เช่น มีคมั ภรี ์โบราณ มศี ลิ า จารึก มจี ารึกถึงองคค์ วามรูต้ ่าง ๆ ท้งั ดา้ นการแพทยแ์ ผนโบราณ ดา้ นยาสมนุ ไพร ดา้ นภาษา ดา้ นวฒั นธรรมประเพณีต่าง ๆ ดา้ นศิลปะ เป็ นตน้ ๒. ดา้ นสงั คม พระพุทธศาสนาม่งุ เนน้ ความสาํ คญั ในเร่ืองการสรา้ งสนั ติสุขภายในของแต่ละคน และเม่ือแต่ละคนมีความสุขแลว้ ก็ จะส่งผลต่อสงั คมท่ีมีสนั ติสุขไปดว้ ย จะเห็นไดจ้ ากหลกั พทุ ธธรรมเพ่ือความดีงามแห่งสังคม เช่น ทาน ธรรมท่ีคุ้มครองโลก
สงั คหวตั ถุ เป็ นตน้ นอกจากหลกั พุทธธรรมแลว้ วดั ยงั เป็นศูนยก์ ลางในดา้ นพิธีกรรม ขนมธรรม เนียมประเพณีต่าง ๆ เป็นแหล่งสงั คมสงเคราะห์ เช่น เป็ นศูนยฝ์ ึ กวชิ าชีพของชุมชน ศนู ยร์ ับเล้ียงเด็กเลก็ ศนู ยส์ งเคราะห์ ผูป้ ่ วยโรครา้ ยแรง ต่าง ๆ เป็ นตน้ ส่วนพระกจ็ ะทาํ หนา้ ที่เป็นผนู้ าํ ทางจิตใจและผนู้ าํ ทางสงั คม เช่น ผูน้ าํ ในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ผูน้ าํ ในการส่งเสริมภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ และผูน้ าํ ทางการอบรม จิตใจของคนในสงั คมใหด้ ีงาม เป็ นตน้ ๓. ดา้ นศิลปกรรม พทุ ธ สถานต้งั แต่ในอดีตจนถึงปัจจุบนั มีการกอ่ สร้างข้ึนมาดว้ ยจิตศรัทธาต่อ พระพุทธศาสนาของพทุ ธศาสนิกชน จึงกอ่ ให้เกดิ ความปราณีต งดงาม แสดงถึงความเป็ นศิลปะ อยา่ งสูงส่ง และแสดงถงึ ความรุ่งเรืองของพระพทุ ธศาสนาในแต่ละยคุ สมยั การกอ่ สร้างพทุ ธสถาน เหล่าน้ีนอกจากจะทุ่มเทดว้ ยกาํ ลงั กายและกาํ ลงั ทรัพยแ์ ลว้ ยงั ทุ่มเทจิตใจท่ีดีงาม เคารพเล่ือมใสใน พระพุทธศาสนาดว้ ย เป็ นการทาํ บุญกุศล และเป็นสถานที่ปฏิบตั ิศาสนกจิ ของพระภิกษุ และ พุทธศาสนิกชน เป็ นสถานที่สืบทอดพระพทุ ธศาสนาให้ยง่ั ยืนถาวรและเพื่อเชิดชูความรุ่งเรือง ของ พระพุทธศาสนา ดงั น้ันวดั จึงเป็นแหลง่ รวมศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ ท้งั ในการวจิ ิตรศลิ ป์ สถาปัตยกรรม ประติมากรรม เป็ นตน้ ความสําคญั ของพระพทุ ธศาสนาต่อสังคมไทยในฐานะเป็ นสภาพแวดล้อมทกี่ ว้างขวางและ ครอบคลมุ สังคมไทย https://sites.google.com/
พระ พุทธศาสนาเขา้ มามบี ทบาทสาํ คญั ต่อการดาํ เนินชีวิตของคนไทยในทุก ๆ ดา้ น จึงมีลกั ษณะที่ เป็นสภาพท่ีกวา้ งขวางและครอบคลุมสงั คมไทย ซ่ึงพระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ไดก้ ล่าวถึงความสาํ คญั ของพระพทุ ธศาสนา ไวอ้ ยา่ งครอบคลุมประเดน็ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นศาสนาประจาํ ชาติ ท้งั น้ีเพราะ การที่พระพุทธศาสนากบั ชนชาติไทยไดม้ ีความสมั พนั ธ์แนบแน่นเป็ นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ท้งั ในทาง ประวตั ิศาสตร์และวฒั นธรรม ในทางประวตั ิศาสตร์ ความเป็ นมาของชนชาติไทย เนื่องมาดว้ ยกนั กบั ความเป็ นมาของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะนบั ต้งั แต่สมยั ที่ชนชาติไทยมีประวตั ิศาสตร์อนั ชดั เจน ชาวไทยกไ็ ดน้ บั ถือพระพุทธศาสนา ต่อเน่ืองตลอดมา จนกลา่ วไดว้ ่า ประวตั ิศาสตร์ของประเทศไทย เป็ นประวตั ิศาสตร์ของชนชาติท่ีนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ในดา้ นวฒั นธรรม วิถีชีวิตของคนไทยไดผ้ ูกพนั ประสานกลมกลืนกบั หลกั ความเช่ือ และหลกั ปฏิบตั ิ ในพระพทุ ธศาสนาตลอดเวลายาวนาน จนทาํ ให้เกดิ การปรบั ตวั เขา้ หากนั และสนองความตอ้ งการของกนั และกนั ตลอดจนผสม คลกุ เคลา้ กบั ความเช่ือถือและขอ้ ปฏิบตั ิสายอืน่ ๆ ที่มีมาในหมูช่ นชาวไทย ถึงข้ึนท่ีทาํ ใหเ้ กดิ มีระบบความเช่ือ และความประพฤติปฏิบตั ิทางพระพุทธศาสนา ที่เป็นแบบของคนไทยโดยเฉพาะ อนั มีรูปลกั ษณะและเน้ือหา ของตนเอง ที่เนน้ เด่นบางแง่บางดา้ นเป็นพิเศษ แยกออกไดจ้ ากพระพุทธศาสนาอยา่ งทวั่ ๆ ไป เรียกวา่ พระพทุ ธศาสนาแบบไทยหรือพระพทุ ธศาสนาของชาวไทย วฒั นธรรมไทยทุกดา้ นมรี ากฐานสาํ คญั อย่ใู นพระพุทธศาสนา คาํ มากมายในภาษาไทยมีตน้ กาํ เนิดมา จากภาษาบาลี และมีความหมายสืบเน่ือง ปรบั เปล่ียนมาจากคติในพระพุทธศาสนา แบบแผนและครรลอง ตามหลกั การของพระพุทธศาสนา ไดร้ ับการยดึ ถือเป็ นแนวทาง และเป็ นมาตรฐานสาํ หรับความประพฤติ การบาํ เพญ็ กจิ หนา้ ที่ และการดาํ เนินชีวติ ของคนในสงั คมไทยทุกระดบั ท้งั สถาบนั พระมหากษตั ริยแ์ ละ ประชาชนทวั่ ไป คนไทยต้งั แต่พระเจา้ แผ่นดินลงมา จึงถงึ ชาวบา้ นสามญั ทวั่ ไป ไดบ้ วชเรียนรบั การศึกษาจากสถาบนั พระพทุ ธศาสนา ดงั มปี ระเพณีบวชเรียนเป็ นหลกั ฐานสืบมา วดั เป็นศูนยก์ ลางการศึกษาของสงั คมไทย เป็น แหล่งคาํ สง่ั สอน การฝึกอบรม และอาํ นวยความรู้ท้งั ทางตรงแกผ่ บู้ วชเรียนและโดยออ้ มแกท่ ุกคนในชุมชน และในสงั คม วดั จึงเป็ นศูนยร์ วมจิตใจและเป็นศูนยก์ ลางกจิ กรรมของชุมชน กจิ กรรมส่วนใหญท่ ี่มีความสาํ คญั ของรฐั กด็ ี ของชุมชนกด็ ี จะมีส่วนประกอบของพธิ ีกรรม ทางพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื เน้นย้าํ ความสาํ คญั และเสริมคุณค่าทางจิตใจ รวมท้งั กจิ กรรมในชีวติ ประจาํ วนั เช่น ตื่นนอน ลา้ งหนา้ ออกเดินทาง กน็ าํ หลกั ธรรมทางศาสนาเขา้ แทรกเป็ นส่วนนาํ สาํ หรบั เตือนสติ หรือเพ่ือ ความเป็นสิริมงคล เหตุการณ์ที่เกดิ ข้ึนในช่วงวยั เช่น การเกดิ การแต่งงาน และการตาย กท็ าํ ให้มีความสาํ คญั และดีงามดว้ ยกจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนา กลา่ วไดว้ ่าชีวติ ของคนไทยผกู พนั อิงอาศยั กนั กบั
พระพุทธศาสนาตลอดเวลา สภาพที่กล่าวมาน้ี ไดเ้ ป็ นมาชา้ นาน จนฝังลึกในจิตใจและวถิ ชี ีวิตของชาวไทย กลายเป็ นเคร่ืองหล่อหลอม กลนั่ กรองนิสยั ใจคอ พ้ืนจิตใจของคนไทยให้มลี กั ษณะเฉพาะตน นอกจากน้นั พระพุทธศาสนาจึงอยใู่ นฐานะท่ีเป็ นสภาพแวดลอ้ มที่กวา้ งขวาง และครอบคลมุ สงั คมไทย ในประเด็นต่อไปน้ีคือ ๑. พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ๒. พระพทุ ธศาสนาเป็ นแกนนาํ และเป็ นรากฐานสาํ คญั ของวฒั นธรรมไทย ๓. พระพทุ ธศาสนาเป็นศูนยร์ วมจิตใจ ทาํ ใหเ้ กดิ ความสามคั คีในหมู่ชนชาวไทย ๔. พระพุทธศาสนาเป็นหลกั การท่ีช่วยดาํ รงรักษาเสรีภาพในการนบั ถอื ศาสนา ๕. พระพุทธศาสนาเป็ นสถาบนั คู่ชาติไทย ๖. พระพทุ ธศาสนาสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะนิสยั ของคนไทยที่รักความเป็ นอิสรเสรี ๗. พระพุทธศาสนาเป็นแหล่งสาํ คญั ท่ีหลอ่ หลอมเอกลกั ษณ์ของชาติไทย ๘. พระพุทธศาสนาเป็ นมรดกและเป็นคลงั สมบตั ิอนั ล้าํ ค่าของชนชาติไทย ๙. พระพุทธศาสนาเป็ นหลกั นาํ ทางในการพฒั นาชาติไทย ๑o. พระพุทธศาสนาเป็นแหลง่ ของดีมคี ่าท่ีชนชาติไทยมอบให้แกอ่ ารยะธรรมของโลก ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากบั การดาํ เนนิ ชีวติ ศาสนาเป็ นสิ่งท่ีมมี าชา้ นาน ในระยะแรกศาสนาเป็นสิ่งท่ีถูกกาํ หนดข้ึนมาเพื่อขจดั ความหวาดกลวั ส่ิงต่างๆ ที่ลอ้ มรอบตวั ของมนุษย์ คิดวา่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกดิ ข้ึนมาจากการกระทาํ ของผมู้ ีฤทธ์ิ มากกวา่ ตน เมือ่ มนุษยเ์ ร่ิมเรียนรู้ธรรมชาติมากข้ึนและเกดิ เป็นศาสนาท่ีมีเหตุผลเขา้ มาเป็ นแบบแผนและเป็ น แนวทางในการดาํ เนินชีวิต ความเชื่อศรัทธาในกจิ กรรมหรือพธิ ีกรรมต่างๆ ของแต่ละศาสนากก็ ลายมาเป็ น ประเพณี วฒั นธรรมท่ีทาํ สืบต่อกนั มาเป็นระยะเวลายาวนาน ศาสนาทุกศาสนา จะเป็ นท่ีพ่ึงทางใจของมนุษย์ มีหลกั ธรรมคาํ สงั่ สอนที่มุ่งหมายสง่ั สอนใหค้ นท่ี เป็นสมาชิกในสงั คมเป็นคนดี มคี ุณธรรมมีเหตุผลและศรัทธาในความถูกตอ้ ง มีพธิ ีกรรมและเคร่ืองหมาย หรือสญั ลกั ษณ์ท่ีบ่งบอกถงึ ความเป็นศาสนาน้นั ๆ บุคคลไม่ว่าจะอยใู่ นฐานะ บทบาทใดจะตอ้ งยดึ หลกั ธรรมในการดาํ เนินชีวติ เพราะธรรมหรือหลกั คาํ สอนจะช่วยแกป้ ัญหาและอุปสรรคต่างๆได้ อกี ท้งั จะ ทาํ ใหท้ ุกคนอยู่ร่วมกนั ไดอ้ ยา่ งสนั ติ
สาํ หรบั คนไทยแลว้ ศาสนาเป็ นสถาบนั สาํ คญั ของสงั คมไทยโดยยอมรับศาสนาพุทธ เป็ นศาสนา สาํ คญั ประจาํ ชาติและเปิ ดโอกาสให้บุคคลนบั ถือศาสนาต่างๆไดโ้ ดยอสิ ระ ยอมให้ศาสนาสาํ คญั ท้งั ปวงต้งั อยู่ ในประเทศไทยได้ เช่นศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ อินดู เป็นตน้ แต่ศาสนาพทุ ธเป็นจุดรวมจิตใจของคน ไทยส่วนใหญ่ จึงไดย้ ดึ หลกั ธรรมมาเป็นพ้ืนฐานของชีวติ เพื่อท่ีจะนาํ ไปสู่ความมนั่ คงของประเทศดว้ ย นอกจากศาสนาพทุ ธแลว้ ยงั นาํ สิ่งที่มีคุณค่าของศาสนาอื่นมาผสมผสานกบั หลกั ของศาสนาพุทธดว้ ย เช่น พธิ ีกรรมของพราหมณ์ในการต้งั ศาลพระภูมิ การข้ึนบา้ นใหม่ การเขา้ ร่วมทาํ กจิ กรรมกบั ศาสนาอื่น โดยไม่ ถือว่าเป็นการเสื่อมเสียหรือเป็ นบาป ยอมรับการแต่งงานกบั คนต่างศาสนาไดไ้ ม่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่ ร่วมกนั ของครอบครวั และยงั ให้การคุม้ ครองป้องกนั ศาสนาและลทั ธิความเช่ือท้งั หลายที่ไมข่ ดั ต่อศีลธรรม อนั ดีของประชาชน https://sites.google.com/ หลักธรรมการนาํ ไปใช้ในชีวตประจําวนั ศาสนาเป็ นเร่ืองของจิตใจและอารมณ์ สามารถจูงใจและผูกใจคนไวไ้ ดอ้ ยา่ งแน่นแฟ้น มนุษยจ์ ะนาํ ศาสนา ที่คนนบั ถือติดตวั ไปปฏิบตั ิหรือเผยแพร่ในที่ใหม่ ศาสนาไม่ใช่ของที่อยกู่ บั ท่ีแต่จะอยตู่ รงที่หน่ึงท่ีใดกต็ ่อเมือ่ มนุษยย์ งั ไม่อพยพไปไหน บุคคลที่เกดิ มาในศาสนาใดกจ็ ะนบั ถอื ศาสนาน้นั และมีความประพฤติคลา้ ยกบั บุคคลท่ีนบั ถอื ศาสนาน้ันๆ เช่น เด็กฝร่งั ที่ถูกเล้ียงแบบไทยและให้นบั ถือศาสนาพุทธ กจ็ ะมีพฤติกรรมและ ความคิดอ่านไปในแบบไทยๆ เป็นตน้ ศาสนาจึงมีอทิ ธิพลต่อความเป็ นอยขู่ องคนในสงั คม โดยเฉพาะ หลกั ธรรมท่ีเป็ นพ้ืนฐานสาํ คญั ของการดาํ เนินชีวิตซ่ึงทุกศาสนามคี วามสอดคลอ้ งกนั โดยการยดึ มนั่ ในการ ทาํ ความดี ความสอดคลอ้ งกนั ของหลกั ธรรมของแต่ละศาสนาทาํ ใหบ้ ุคคลเขา้ ใจกนั อยรู่ ่วมกนั ในสงั คมได้ อยา่ งสนั ติสุข หลกั ธรรมที่ศาสนิกชนสามารถนาํ มาใชไ้ ด้ในชีวติ ประจาํ วนั มีดงั น้ี ๑.การทาํ ความดี ละเวน้ ความชวั่ แนวทางการปฏิบตั ิของแต่ละศาสนาแตกต่างกนั แต่ทุกศาสนาก็ สอนให้ทาํ ความดีและละเวน้ ความชว่ั ท้งั น้นั เช่น ศลี ๕ ของศาสนาพุทธ บญั ญตั ิ ๑o ประการ ของศาสนาคริสต์และหลกั ศรทั ธา ๖ประการกบั หลกั ปฏิบตั ิ ๕ ประการของศาสนาอิสลาม เป็ น ตน้ ๒. การพฒั นาตนเองและการพ่งึ ตนเอง ศาสนาต่างๆ สอนให้คนพ่งึ ตนเองและพฒั นาตนเอง เพ่ือใหอ้ ยไู่ ดใ้ นสงั คมอยา่ งมคี วามสุข โดยเฉพาะศาสนาพุทธที่มพี ทุ ธศาสนาสุภาษิต วา่ “อตั ตา หิ อตั ตาโน นาโถ” หมายถึง ตนเป็นท่ีพ่ึงแห่งตน ศาสนาพราหมณ์มหี ลกั อาศรม ๔ ในขอ้ พรหมจารี ท่ีให้นักศึกษาเลา่ เรียนและในขอ้ คฤหัสถท์ ี่ใหป้ ฏิบตั ิตามหนา้ ที่ของตนเอง ศาสนา อิสลามสอนใหค้ นใฝ่ หาความรูต้ ้งั แต่เกดิ จนตาย ๓. ความยตุ ิธรรม ความเสมอภาพและเสรีภาพ คาํ สอนของศาสนาจะเนน้ ในเร่ืองเหลา่ น้ีเพราะ ทุกเรื่องจะทาํ ใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งนั ติ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า ชาติตระกูลไม่ไดเ้ ป็ นเคร่ือง
กาํ หนดความแตกต่างของบุคคล คนท่ีเกดิ มาเท่าเทียมกนั ท้งั น้นั และสอนให้ทุกคนอยู่ภายใตอ้ คติ ๔ คือ ฉนั ทาคติ โทสาคติ โมหาคติและภยาคติ ศาสนาอิสลามกส็ อนให้ดาํ รงความยตุ ิธรรมอยา่ ถอื ตามอารมณ์ใคร่ในการรักษาความยตุ ิธรรมแมบ้ างคร้ังจะกระเทือนต่อตนเอง บิดามารดาหรือ ญาติบา้ งกต็ าม ๔.การเสียสละหรือการสงั คมสงเคราะห์ศาสนาต่างๆ สอนให้มีความเสียสละเอ้ือเฟ้ื อเผ่อื แผแ่ ละ สงเคราะห์ซ่ึงกนั และกนั ดว้ ยความเมตตากรุณาไม่ใช่หวงั ผลตอบแทน เช่นพทุ ธศาสนามี หลกั ธรรมสงั คหวตั ถุ ๔ ไดแ้ ก่ทาน ปิ ยวาจา อตั ถจริยา และสมานตั ตตา ศาสนาอิสลามมีการ บริจาคซากาต แกผ่ ขู้ ดั สน ศาสนาคริสตก์ จ็ ะเนน้ ให้มนุษยเ์ สียสละใหอ้ ภยั เอ้ือเฟ้ือเป็นต้น ๕.ความอตุ สาหะและความพยายาม ทุกศาสนาสอนให้คนมคี วามอุตสาหะ มคี วามเพยี ร ความ อดทนและมีความพยายามอนั จะช่วยให้บุคคลประสบความสาํ เร็จพร้อมท้งั พฒั นาตวั เองอยเู่ สมอ ศาสนาพุทธมคี ติเตือนใจว่า ความพยายามอยทู่ ่ีไหน ความสาํ เร็จอยทู่ ่ีนน่ั หรือหลกั คาํ สอนอทิ ธิ บาท ๔ ไดแ้ ก่ฉันทะ วริ ิยะ จิตตะ วมิ งั สา ศาสนาอิสลามมีการละหมาดวนั ละ ๕คร้ังจึงถือวา่ เป็น ความพยายามที่จะขดั เกลาจิตใจให้บริสุทธ์ิ ๖.ความรกั ความเมตตา คาํ สอนทุกสาสนาจะเน้นเรื่องความรกั ความเมตตา เพราะการที่คนเราจะ อยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งสันติน้นั ความรกั ความเมตตาเป็นสื่อสาํ คญั อีกท้งั ยงั เป็ นจริยธรรมของศาสนา คริสต์ ในพุทธศาสนากม็ ีพทุ ธศาสนสุภาษติ ว่า เมตตาธรรมเป็นเคร่ืองค้าํ จุนโลก ๗. ความมคี ุณธรรมอดทน อดกล้นั เกอื บทุกศาสนา มีบทบญั ญตั ิและขอ้ ปฏิบตั ิในเร่ืองน้ี เหมอื นกนั เช่น ศีลของศาสนาพุทธ บญั ญตั ิ ๑o ประการของศาสนาคริสต์ การถือศีลอดของ ศาสนาอิสลาม ทุกข้อปฏิบตั ิคือการใหค้ นมีคุณธรรม อดทนและอดกล้นั ๘.การยกยอ่ งเคารพบิดามารดาถือเป็ นหลกั สาํ คญั ของศาสนาต่างๆ วา่ บุพการีเป็ นส่ิงควรยกยอ่ ง ในศาสนาพุทธกล่าวไวว้ ่าบิดา มารดาเป็นพระพรหมของลูก ศาสนาคริสต์มิใช่ในบญั ญตั ิ ๑o ประการ ขอ้ ท่ี ๔ วา่ จงนบั ถือบิดา มารดาเป็นตน้ ๙.การไม่แบ่งช้นั วรรณะ พระพุทธเจา้ ตรสั วา่ กาํ เนิดชาติตระกลู มิไดท้ าํ ให้บุคคลเป็ นพราหมณ์ เป็นกษตั ริย์ เป็ นพ่อค่า ความประพฤติของบุคคลเป็นเครื่องกาํ หนดบุคคล ทุกคนเท่าเทียมกนั ศาสนาอิสลามถือเป็ นหลกั สาํ คญั ว่า หลกั ศรัทธาและหลกั บัญญตั ิตอ้ งอยใู่ นเงื่อนไขการไมแ่ บ่ง ช้นั วรรณะอยา่ งชดั เจน ๑o.ไม่เสพสุรา ไม่เล่นการพนนั ไม่พดู จาขยายความ เป็นพ้ืนฐานของทุกศาสนาที่บญั ญตั ิไวอ้ ยา่ ง ชดั เจนว่า เป็นสิ่งไม่ควรทาํ เช่น ศลี ในศาสนาพทุ ธ บญั ญตั ิ ๑o ประการในศาสนาคริสต์หลกั บญั ญตั ิในศาสนาอิสลามเป็ นตน้ https://sites.google.com/
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: