1
2 การปรับตัวและการทำงานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ต้องยอมรับว่าในแต่ละองค์กรนั้นประกอบด้วยพนักงาน ทีม่ าจากหลากหลายสถานที่ หรือเรียกใหเ้ ข้าใจกันง่าย ๆ วา่ “ร้อย พ่อพันแม่” ไม่มีใครที่มีอะไรหรือคิดอะไรเหมือนกัน อีกทั้งยังมี ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน การที่เราจะทำให้คนที่มีพื้นฐานที่ แตกต่างกันเข้ากันให้ได้นั้น เป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ได้ หมายความวา่ จะเป็นไปไมไ่ ด้ การทำงานหากจะใหเ้ กิดความราบรืน่ ต้องเริ่มจากการรู้จักปรับตัวเราเพื่อเขา้ หาส่ิง ๆ นั้นให้ได้ ไม่ว่า จะเป็นการปรบั ตัวใหเ้ ข้ากับเจ้านายคนใหม่ เพื่อนรว่ มงานใหม่ หรือวธิ กี ารทำงานใหม่ ๆ สิง่ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ ต้องมีจุดเริ่มตน้ ท่ีมาจากการยินยอมท่ีจะปรับตวั แทบท้ังสิ้น ความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับทีม หรือเพื่อนร่วมงานจะทำให้เราเข้าใจเขามากขึ้น และลด ปัญหาความขัดแย้งในการทำงานได้ แต่จะทำอย่างไรจึงจะทำให้คนที่ทำงานร่วมกับเรารับรู้ และยอมรับใน ความพยายามของเรา ลองมาดวู ิธปี รบั ตัวให้เขา้ กับการทำงานเป็นทีม ซึ่งมีอย่ดู งั น้ี เปดิ ใจเรยี นรู้สิ่งใหม่ เมือ่ ต้องทำงานร่วมกับผอู้ ่ืน แม้วา่ จเป็นคนที่เราไม่คนุ้ เคยมาก่อน เรากค็ วรแสดงความเปน็ มิตร เพ่ือให้ เขาอยากสอนงานเรา หรือทำงานรว่ มกับเราดว้ ยความเต็มใจ หากเปน็ ไปได้ให้ใชร้ อยยิ้ม เปน็ ตวั ชว่ ยให้เรากล้า ที่จะพูดคุยกับเพื่อนคนใหม่ และเปิดใจให้กว้าง อย่ามีอคติกับการเรียนรู้ บางคนจะรู้สึกว่าตัวเองก็มีความรู้ใน งานทต่ี วั เองทำอยู่แล้ว ทำไมจงึ ต้องไปเรียนรู้กบั คนอ่นื อกี ในการทำงานเปน็ ทมี เราต้องคิดว่าการทำงานร่วมกัน คือการแบ่งปันความรู้กัน ไม่ใช่การเอาความรู้มาอวดกัน หากเราเปิดใจให้กว้างเราจะได้รับความรู้ใหม่อีก มากมาย ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานของตัวเองได้ อีกทั้งการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ยังทำให้เรา ได้รับการยอมรับจากคนในทมี ได้เรว็ ขึน้ ด้วย เรียนรแู้ ละจดจำอยา่ งเปน็ ระบบ เมอ่ื เข้ามาเปน็ ส่วนหนึง่ ของทีม เราตอ้ งพยายามเรยี นรวู้ ่าทีมของเรามรี ะบบการทำงานอย่างไร แล้วจึง ค่อย ๆ จดจำ เรียนรู้อย่างเป็นระบบ ในตอนแรกเราอาจจะทำไดไ้ ม่ดี เนื่องจากเพ่ิงจะคุ้นเคยกับระบบ แต่คร้ัง ต่อ ๆ มาเราต้องทำงานใหด้ ขี ึน้ มากกว่าเดิม โดยพยายามจดจำให้มากท่ีสดุ แตใ่ นการเรียนร้งู านนน้ั ควรทำอย่าง เป็นระบบ ทำความเข้าใจก่อน แล้วจึงเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดของตัวเอง เราจะเข้าใจระบบการทำงานได้ ง่ายขึน้ จากนน้ั ไม่นาน เราก็จะทำงานร่วมกบั ทมี ไดด้ ขี ึ้นยอมรับคำวิจารณ์ เมื่อเกิดความผิดพลาดในการทำงาน เราควรเปิดใจเพื่อยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์อันอาจจะเกิด คำ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานเกี่ยวกบั การทำงานเกดิ ขึน้ ไดต้ ลอดเวลา แต่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะต้องการตำหนิเพื่อให้ เราได้รับความอับอาย แต่เพราะตอ้ งการใหร้ ับเรียนรู้ข้อผดิ พลาด เราจึงตอ้ งเปดิ ใจใหก้ ว้าง โดยไม่มอี คติ เพราะ หากเรายังคงมีอคติเกิดขึ้นภายในใจเรา เราจะไม่สามารถทำงาน เพราะเราจะรู้สึกว่าเรากำลังโดนตำหนิ หรือ คิดว่าเราทำงานไม่ดี เราก็จะไม่สามารถเข้ากับทีมได้ สิ่งที่เราควรทำคือการยอมรับคำวิจารณ์ และนำมา ปรับปรุงตัว เพือ่ ให้เราทำงานไดด้ ขี ึน้ ยอมรบั ความสามารถของคนอื่น การเชื่อว่าเราคือคนที่ทำงานเก่งที่สุด ดีที่สุด และมีความสามารถมากกว่าคนอื่น ๆ ภายในทีม จะทำ ให้เราเขา้ กับทีมได้ค่อนข้างยาก เพราะเราจะไม่เช่ือว่าคนอ่ืนสามารถทำงานได้ดี หรอื อาจจะทำงานผิดพลาดได้ หากเราคิดเช่นนั้น เราจะทำงานร่วมกับทีมไม่ได้ หากเราเป็นหัวหนา้ งาน เราก็จะรู้สกึ วา่ ลูกน้องของเราทำงาน
3 ไม่ดีเลยสักอย่าง ผิดพลาดตลอด ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งจะทำงาน ได้ไม่นานเท่าไร ยังไม่ทันได้เห็นความสามารถทั้งหมดของ เขา ก็กังวลไปก่อนแล้วว่าเขาอาจจะทำไม่ได้ เราควรปล่อย ให้เขาได้ทำงานเสียก่อน แล้วค่อยตักเตือนทีหลัง หากเกิด ความผิดพลาดในการทำงานเกิดขึ้น ในการทำงานเป็นทีม เราต้องเชื่อมั่นว่าคนอื่นทำงานได้ดี และมีความสามารถไม่ ต่างจากเรา การทำงานเป็นทีมจึงจะราบรื่นรับผิดเมื่อเกิด ความผิดพลาดปรบั ตัวทำงานเป็นทีมหากเราต้องกลายเป็นสว่ นหนึง่ ของความผิดพลาดในการทำงาน สิ่งแรกท่ี เราควรทำ คือการกล่าวคำขอโทษที่ทำให้ทีมได้รบั การตำหนิ หรอื เกดิ ความล่าชา้ ในการทำงาน อย่าดึงดันที่จะ ปฏิเสธ หรือโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น เพราะเราจะสูญเสียความเชื่อถือจากคนในทีมได้ เราต้องยืดอก ยอมรับความผิดนั้น รับปากว่าจะแก้ไขความผิดพลาดนั้นอย่างไร และจะไม่ให้ความผิดเช่นนั้นเกิ ดขึ้นอีกใน อนาคต เมื่อเราทำงานผิดพลาดไม่ต้องพยายามที่จะหาข้อแก้ตัว แต่ให้พยายามหาข้อแก้ไข เพื่อให้งานที่ ผิดพลาดน้ันดีขน้ึ แลว้ จำไวเ้ ป็นบทเรียนว่าอะไรท่ีทำให้เกิดความผิดพลาด เราจะไมท่ ำอีก เพยี งเท่านี้เพื่อนร่วม ทีมก็จะไว้ใจให้เราทำงานเชน่ เดิม การทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพต้องมาจากการเตรียมพร้อม และเริ่มต้นให้ดี ก้าวแรกที่มั่นคง ส่งผลต่อความสำเร็จในการทำงาน หากเรามีความมุ่งมั่น เต็มใจที่จะเรียนรู้ และยอมรับความคิดเห็นของทีม เราก็จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับทีม แล้วทำงานร่วมกับองค์กรได้อย่างราบรื่นมากขึ้นการทำงานเป็นทีมที่มี ประสิทธิภาพการทำงานในสมัยปจั จบุ ัน หรอื การบริหารงานแนวใหม่นี้ จะทำแบบ \"ขา้ มาคนเดยี ว\"หรือ \" วัน แมนโชว์ \" หรือ \" ศิลปินเดี่ยว \" หรือ \" อัศวินม้าขาว \" หรือ ...... อื่นๆ ดูจะเป็นไปได้ยากการทำงานเป็น ทีม \" TEAM \" ทีม \" TEAM \" หมายถึง บุคคลที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่ม กล่าวคือ เป็นการ รวมตัวของกลุ่มคนท่ีตอ้ งพ่งึ พา อาศยั กันและกนั ในการทำงานเพ่อื ใหเ้ กิดผลสำเร็จ ทีมงาน ( TEAM WORK ) หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิด และ คง ความสัมพนั ธ์อยคู่ ่อนข้างจะถาวร ซ่งึ ประกอบด้วยหัวหน้างาน และ เพื่อนรว่ มงาน โดยรว่ มกันทำงาน ให้บรรลุ วัตถุประสงค์ และ เป้าหมายของทีมงาน\" การทำงานเป็นทีม \" เป็นความร่วมมือ ร่วมใจ ของบุคคล เพื่อที่จะ บรรลุเป้าหมายรว่ มกนั โดยมีองคป์ ระกอบ 3 ประการ ( 3 P ) ได้แก่ มวี ตั ถุประสงค์ ( Purpose ) ตอ้ งชดั เจน มกี ารจดั ลำดับความสำคัญ ( Priority ) ในการทำงาน มผี ลการทำงาน ( Performance ) ความแตกต่างระหว่างการทำงานแบบทีม และ กลุ่ม ( Team vs Groups ) การทำงานแบบ กลุ่ม ( Work Groups ) คือ การรวมกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วม เพื่อ ใช้ข้อมูลร่วมกัน และ ช่วยในการตัดสินใจให้แก่ สมาชิกในกลุ่มที่จะทำงานภายในขอบข่ายที่รับผิดชอบของแต่ละคนนั้น ในการทำงานของกลุ่มไม่จำเป็นท่ี จะตอ้ งส่งเสริมซง่ึ กนั และกนั ดงั น้ันจงึ ไมม่ กี ารเชือ่ มโยง ทรัพยากรและใชร้ ว่ มกนั อยา่ งมปี ระสทิ ธิผลในทางบวก \" นั่นคือเราใส่การทำงานของแต่ละคนเข้าไปในผลงานที่ออกรวมกันแล้วจะได้เท่ากับที่ใส่เข้าไปหรือ อาจน้อยกว่าก็ได้ \" การทำงานแบบ ทีม (Work Teams ) เป็นการทำงานร่วมกันและส่งเสริมกันไปในทางบวก \" ผลงาน รวมของทีมที่ได้ออกมาแล้วจะมากกว่าผลงานรวมของแต่ละคนมารวมกัน \" ชนิดของ ทีมงานการแบ่งทีมใน องคก์ รสามารถท่ีจะแบง่ ประเภท ตามวตั ถุประสงค์ได้ 4 รปู แบบ คอื
4 1. ทีม แก้ปัญหา ( Problem - Solving Teams ) ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และ ผู้บริหารซึ่ง เข้ามารวมกลุ่มด้วยความสมัครใจ และ ประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออภิปรายหาวิธีการสำหรับการ แก้ปัญหา โดยทั่วไปทีมแก้ปัญหาทำหน้าที่เพียง ให้คำแนะนำเท่านั้น แต่จะไม่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดการ กระทำ ตามคำแนะนำ ตัวอยา่ งของทีมแก้ปญั หา คอื ทมี QC ( Quality Cirdes ) 2. ทีม บริหารตนเอง ( Self - Managed Teams ) หมายถึง ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วน รับผิดชอบ ต่อลักษณะทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร ซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงาน โดยทั่วไปมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงาน ทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และ สามารถใหส้ มาชกิ มีการตรวจสอบซึ่งกันและกนั 3. ทมี ทที่ ำงานขา้ มหน้าท่ีกัน ( Cross - Function Teams ) เป็นการประสมประสานข้ามหน้าที่งาน ความสามารถในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกัน จากหน้าที่ ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้าง สมรรถภาพในด้านความแตกต่าง โดยเป็นการใช้กำลังแรงงานตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะ คล้ายกันคณะกรรมการ(Committees)เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน , พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกัน แก้ปัญหา และทำโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งานที่แตกต่าง ซับซ้อน และ ต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และ สร้างการทำงานเป็นทีม เนื่องจาก แต่ละคนมาจากภูมิ หลงั ท่แี ตกตา่ งกัน 4. ทีมเสมือนจริง (Virtual Teams) ลักษณะการทำงานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำงานจะแยกกัน อยู่ ดังนั้นจึงต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความสำเร็จของงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยน ความสมั พนั ธด์ ้านความรู้สกึ ทางสังคมในระดับต่ำ ข้อควรระวัง : การทำงานเปน็ ทมี ไม่ได้เปน็ คำตอบในการแก้ไขปัญหาเสมอไป เนอื่ งจากการทำงานเป็น ทีม ต้องใชเ้ วลาและทรพั ยากรมากกว่าการทำงานคนเดียวยกตวั อย่างเช่น * ต้องเพมิ่ การติดตอ่ ส่ือสารมากขนึ้ * ต้องบริหารความขดั แยง้ ระหวา่ งกัน * ต้องมกี ารจัดการประชุม * ต้องมคี ่าใชจ้ ่ายเพิ่ม อย่างไรก็ตามในบางกรณี ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทนทึ่คุ้มค่า ดังนั้นผู้บริหารตอ้ งทำการประเมนิ ว่า งานใดควรทำคนเดียว และ งานประเภทใดท่ีต้องใช้ความรว่ มมือของทมี คำถาม 3 ขอ้ เพื่อดูวา่ ควรใชว้ ธิ ีการทำงานเป็นทีมในการทำงานหรือไม่ 1. งานนั้นสามารถทำได้ดีหรือไม่ หากใชค้ นมากกว่า หนงึ่ คน 2. งานน้นั มีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ทุกคนในกลุ่ม หรือ เพือ่ คนใดคนหนึ่ง 3. การเลอื กใชป้ ระเภทของทีมให้เหมาะสมกับสถานการณ์
5 การทำงานเปน็ ทมี ท่มี ปี ระสิทธิภาพ 1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และ เป้าหมายที่เห็นพ้อง ต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงาน ที่ต้องการทำให้ องค์กรบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำเนินงานให้เป็นไป ตามภารกิจขององค์การ * การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ดี โดยผู้นำและ สมาชิกภายในทีม มีส่วนร่วมในการกำหนดหน้าที่ความ รับผดิ ชอบ และวตั ถุประสงคร์ ว่ มกนั ควรกำหนดจดุ ม่งุ หมายไว้ใหช้ ัดเจนทผ่ี ลงานมากกวา่ การกระทำ * ประโยชน์ของการกำหนดวัตถุประสงค์ เพ่ือใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิ ใชเ้ ปน็ เคร่อื งมือใน การรวมพลังในการทำงาน และใช้เป็นเคร่ืองมอื วดั ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในงาน * คุณลักษณะของวัตถุประสงคท์ ี่ดี คือ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เข้าใจง่าย สามารถปฏิบตั ิ ไดจ้ ริง ไม่ขดั ต่อขอ้ บังคับ และ นโยบายอ่ืนๆ ในหน่วยงาน 2. ความเปิดเผยต่อกัน และ การเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานเป็นทีม ที่มี ประสิทธภิ าพสมาชกิ จะต้องการแสดงความคดิ เห็นอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา แกป้ ญั หาอยา่ งเตม็ ใจและจริงใจ เพอ่ื ให้สามารถอยรู่ ่วมกนั และทำงานรว่ มกันเป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกย่ี วกับบุคคลอื่นในดา้ นความต้องการ ความคาดหวัง ความชอบหรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถความสนใจความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและอารมณ์ รวมท้ังความร้สู กึ ความสนใจนสิ ัยใจคอ 3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน สมาชิกในทีมจะต้องไวว้ างใจ ซึ่งกันและกัน โดยแต่ละคน มีเสรีภาพแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง สามารถทำให้เกิดการเปดิ เผยตอ่ กนั และกล้าที่จะเผชญิ หน้าเพ่อื แก้ปญั หาต่างๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี 4. ความรว่ มมอื และการให้ความขัดแยง้ ในทางสร้างสรรค์ ผูน้ ำกลุ่มหรือทมี จะต้องทำงานอย่างหนักใน อันท่จี ะทำให้เกดิ ความรว่ มมอื ดังน้ี 4.1 การสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น ในการสร้างความร่วมมือเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและ กัน และ มีบุคคลอยู่สองฝ่ายคือ ผู้ขอความร่วมมือ และ ผู้ให้ความร่วมมือ ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้เมือฝ่าย ผู้ให้เต็มใจและยินดีจะให้ความร่วมมือ เหตุผลที่ทำให้ขาดความร่วมมือไม่ช่วยเหลือกัน คือ การขัด ผลประโยชน์ ไมอ่ ยากให้คนอ่ืนไดด้ ีกว่า สมั พนั ธภาพไม่ดี วัตถปุ ระสงคข์ องทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกนั ไม่เห็นด้วยกัน วิธีทำงานขาดความพร้อมที่จะร่วมมือ หรืองานที่ขอความร่วมมือนั้นเสี่ยงภัยมากเกินไป หรือเพราะความไม่ รับผิดชอบตอ่ ผลงานส่วนรวม 4.2 การขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันตามความคิด หรอื การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่าง สองคนขึ้นไปหรือระหว่างกลุม่ โดยมีลักษณะที่ไม่สอดคล้อง ขัดแย้ง ขัดขวาง ไม่ถูกกัน จึงทำให้ความคิดหรือ การทำกิจกรรมร่วมกันนั้นเสียหาย หรือดำเนินไปได้ยากไม่ราบรื่น ทำให้การทำงานเป็นทีมลดลง นับเป็น ปัญหา อุปสรรคท่ีสำคัญย่งิ - สาเหตขุ องความขดั แยง้ ผลประโยชน์ขดั กัน - ความคดิ ไม่ตรงกนั หรอื องค์กรขดั แยง้ กนั - ความรู้ความสามารถตา่ งกนั ทำใหม้ ีลกั ษณะการทำงานต่างกัน - การเรยี นรู้ตา่ งกัน ประสบการณท์ มี่ มี าไมเ่ หมอื นกนั - เปา้ หมายตา่ งกนั
6 4.3 วิธีแก้ความขัดแย้ง การแก้ความขัดแย้ง เป็นเรื่องของทักษะเฉพาะบุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้งใน การทำงานเป็นทีม ควรใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกันไม่พูดใน ลักษณะที่แปลความหรือมุ่งตัดสินความไม่พูดในเชิงวิเคราะห์ไม่ พูดในลักษณะที่แสดงตนเหนือกว่าผู้อื่น หรือไม่พูดในลักษณะท่ี ทำใหผ้ ู้อน่ื เจบ็ ปวด เสียหน้า อบั อาย เจบ็ ใจ หรือการพยายามพูด หาประเดน็ ความขัดแย้ง ไมก่ ลา่ วโจมตีว่าใครผิดใครถูก 5. กระบวนการทำงาน และการตดั สินใจท่ถี กู ต้องและเหมาะสม งานทม่ี ีประสิทธภิ าพนัน้ ทุกคนควรจะ คิดถึงงานหรือคิอถึงผลงานเป็นอันดับแรก ต่อมาควรวางแผนว่าทำอย่างไรงานจึงจะออกมาดีได้ดังที่เรา ต้องการ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจุดมุ่งหมายควรจะมีความขัดแย้งและสมาชิกทุกคน ควรมีความ เข้าใจในจุดมุ่งหมายของการทำงานเป็นอย่างดี จุดมุ่งหมายท่ีชัดเจนถอื เป็นหัวใจสำคัญด้วยเหตุนี้ จุดมุ่งหมาย ควรต้องมคี วามชัดเจน และ สมาชกิ ทุกคนมคี วามเขา้ ใจอยา่ งดเี พราะจะนำไปสู่แนวทางในการทำงานว่าต้องทำ อย่างไร จึงจะบรรลุตามเป้าหมายของงาน ให้ได้ผลของงานออกมาได้อย่างดีที่สุด การตัดสินใจสั่งการเป็น กระบวนการขั้นพื้นฐานของการบริหารงาน ผู้บริหารหรือผู้นำทีมเป็นบุคคลสำคัญในการที่จะมีส่วนในการ ตัดสินใจ วิธกี ารที่ผูบ้ ริหารใชใ้ นการตดั สนิ ใจหลายวิธคี ือ ผู้บริหารตดั สนิ ใจเพือ่ แกป้ ญั หา โดยไมต่ ้องซักถามคน อื่น หรือ ผู้บริหารจะรับฟังความคิดเหน็ ก่อนตดั สนิ ใจ กล่าวคือ ผู้บริหารยังคงตัดสินใจดว้ ยตนเองแตข่ ึน้ อย่กู ับ ความคิดเห็นและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้บริหารได้รับมาจากสมาชิกของทีม บางครั้งผู้บริหารอาจจะตัดสินใจร่วมกับ ทีมงานที่คัดเลือกมา โดยที่ผู้บริหารนำเอาปัญหาให้ทีมงานอภิปราย แล้วให้ทีมงานตัดสินใจหรือทีมงาน อาจจะมอบหมายการตัดสินใจให้คนใดคนหนง่ึ หรอื กลุ่มย่อม ทเ่ี หน็ ว่าเหมาะสมก็ได้ ขน้ั ตอนในการตัดสินใจที่มปี ระสิทธิภาพ ประกอบดว้ ยขน้ั ตอนท่สี ำคญั 4 ข้นั ตอน คอื 1. ทำความเข้าใจอยา่ งชดั เจนในเหตุผล สำหรับการตดั สินใจ 2. วเิ คราะหล์ กั ษณะของปญั หาท่จี ะตัดสนิ ใจ 3. ตรวจสอบทางเลอื กตา่ งๆ ในการแกป้ ญั หาโดยพจิ ารณาถึงผลทีอ่ าจเกิดตามมาดว้ ย 4. การนำเองผลการตัดสินใจไปปฏบิ ัติ 5. ภาวะผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำ หรือ หัวหน้าทีมควรทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะประเด็นที่สำคัญใน การทำงานตามบทบาทของผู้นำ คือการแบ่งงานกระจายงานให้สมาชิกทุกกลุ่มตามความรู้ ความสามารถ สำหรับสมาชิกของทีมงานที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำ ต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ให้เหมาะสมกับงานที่ได้รบั มอบหมายโดยการให้การสนับสนุนนำทีมให้ประสบผลสำเร็จ ส่งเสริมให้มีบรรยากาศที่ดีในการทำงานเป็นทมี มกี ารพฒั นาบุคลากรและทีมงาน 6. การตรวจสอบทบทวนผลงานและวธิ ใี นการทำงาน ทมี งานทด่ี ีไมเ่ พยี งแต่ดูจากลักษณะของ ทีมและบทบาทที่มีอยู่ในองค์กรเท่านั้น แต่ต้องดูวิธีการที่ทำงานด้วยการทบทวนงาน แนะนำให้ทีมงานได้ เรียนร้จู ากประสบการณ์ท่ีทำรู้จักคดิ การได้รับข้อมูลป้อนกลบั เก่ียวกบั การปฏิบัติงานของแต่ละคน หรือ ของ ทีม 7. การพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพพยายามที่จะรวบรวมทักษะต่างๆ ของแต่ละคน การพัฒนาบุคคลากรในองค์กรมักจะมองในเร่ืองทักษะและความรู้ที่แต่ละคนมีอยูแ่ ลว้ ก็ทำการ ฝึกอบรมพฒั นาคนให้มีความสามารถสงู ขึ้นอันจะมีผลดีในการทำงานให้ดขี ึ้น ผูบ้ ริหารหรือผู้นำต้องมีความรู้ใน การบรหิ ารคน สามารถสอนพฒั นาคนให้มลี กั ษณะท่ดี ขี นึ้
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: