ความรว่ มมอื ระหว่างประเทศไทย กับประชาคมโลก
ความรทู้ ัว่ ไปเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ บทความออนไลน์ : https://th.wikipedia.org ให้ความหมายของ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หมายถึง เปน็ กลยทุ ธ์ของแตล่ ะรัฐเพอ่ื รักษาผลประโยชนข์ องชาติโดยนโยบายทางการตา่ งประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (international relations) หมายถึง การแลกเปล่ียนและปฏิสัมพันธ์ ท่ีเกดิ ขึ้นขา้ มเขตพรมแดนของประเทศ ซงึ่ สง่ ผลถึงความรว่ มมือหรอื ความขัดแย้งกันระหว่างประเทศตา่ ง ๆ ใน โลก เปน็ หลักปฏบิ ัตแิ ละการศกึ ษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เก่ยี วขอ้ งกนั โดยตรงกบั การวางนโยบายระหว่าง ประเทศ ซ่งึ ครอบคลมุ ทัง้ ในดา้ นการเมือง และเศรษฐกิจ ดังน้ัน กล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือ การแลกเปลี่ยน การปฏิสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นข้าม พรมแดนของประเทศ มีส่งผลถึงความร่วมมือหรือความขัดแย้ง ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลกเก่ียวข้องกัน โดยตรงกับการวางนโยบายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของแต่ละประเทศเพ่ือรักษาผลประโยชน์ของช ประเทศรวมถงึ ครอบคลมุ ท้งั ในดา้ นการเมือง และเศรษฐกิจ ประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งในองค์การระหว่างประเทศและองค์การระดับภูมิภาค โดยได้พัฒนา ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ซ่ึงได้จัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจและการ ต่างประเทศประจาปี ความร่วมมือในภูมิภาคกาลังก้าวไปข้างหน้าทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า การธนาคาร การเมืองและวฒั นธรรม ในปี 2546 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก ศภุ ชยั พานชิ ภักดิ์ อดีตรอง นายกรัฐมนตรีของไทย ปัจจุบันรับตาแหน่งเลขาธิการใหญ่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการ พฒั นา (UNCTAD) ในปี 2548 ประเทศไทยเขา้ รว่ มการประชมุ สดุ ยอดผ้นู าเอเชียตะวนั ออกเปน็ คร้งั แรก ความรู้ทัว่ ไปเก่ียวกับความสมั พนั ธ์ระหว่างไทยกบั สังคมโลก สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South east Asian Nations หรือ ASEAN) ก่อตั้งข้นึ โดยปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) หรือปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) เม่ือวันท่ี 8 สิงหาคม 2510 โดยมีประเทศสมาชิก 5 ประเทศ ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เพ่ือส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ของประเทศในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมามีประเทศสมาชิกเพ่ิมเติม ได้แก่ บรูไนดารุส-ซาลาม เวียดนาม ลาว เมียนมาร์ และกัมพชู า ตามลาดับ ปจั จุบันสมาชิกอาเซยี นมี 10 ประเทศ มีเป้าหมายวา่ จะเข้าสคู่ วามเป็นประชาคมอาเซยี น 8 สงิ หาคม พ.ศ. 2510 : ไทย อนิ โดนีเซีย มาเลเซยี ฟิลิปปนิ ส์ และสงิ คโปร์ รว่ มก่อตั้งอาเซียน 7 มกราคม พ.ศ 2527 : บรไู นเข้าร่วมเป็นสมาชกิ 28 กรกฎาคม พ.ศ 2538 : เวียดนามเขา้ รว่ มเป็นสมาชิก 23 กรกฎาคม พ.ศ 2540 : ลาวและเมียนมาร(์ พม่า) เข้ารว่ มเปน็ สมาชิก 9 เมษายน พ.ศ 2542 : กมั พชู า เขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ วตั ถุประสงคข์ องอาเซยี น ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบวุ ตั ถปุ ระสงค์สาคัญ 7 ประการของการจดั ตงั้ อาเซยี น ได้แก่ 1. ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบรหิ าร 2. สง่ เสริมสนั ติภาพและความมัน่ คงสว่ นภมู ภิ าค 3. เสรมิ สรา้ งความเจรญิ ร่งุ เรืองทางเศรษฐกิจพฒั นาการทางวฒั นธรรมในภูมิภาค
4. ส่งเสริมใหป้ ระชาชนในอาเซยี นมคี วามเป็นอยู่และคณุ ภาพชีวติ ทดี่ ี 5. ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้าน เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ 6. เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการ ขนสง่ และการคมนาคม 7. เสริมสร้างความรว่ มมืออาเซยี นกบั ประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอืน่ ๆ และ องคก์ ารระหว่างประเทศ คาขวัญอาเซยี น หนง่ึ วิสัยทัศน์ หน่ึงเอกลักษณ์ หน่งึ ประชาคม หรอื One Vision, One Identity, One Community สัญลักษณอ์ าเซยี น คือ ดวงตราอาเซยี นเป็น รูปมดั รวงขา้ ว สีเหลืองบนพ้นื วงกลม สแี ดงล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาว และสีน้า เงิน รวงขา้ วสเี หลอื ง 10 ตน้ หมายถึง ความใฝ่ฝนั ของบรรดาสมาชกิ ในเอเซียตะวนั ออก เฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ ให้มีอาเซียนท่ีผูกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว วงกลม เป็นสัญลักษณแ์ สดงถึงเอกภาพของอาเซียน ตวั อกั ษรคาว่า asean สีน้าเงิน อยูใ่ ตภ้ าพรวงข้าว แสดงถงึ ความมุ่งมน่ั ทจี่ ะทางานรว่ มกนั เพือ่ ความม่ันคง สนั ตภิ พ เอกภาพ และความก้าวหนา้ ของประเทศสมาชกิ อาเซยี น สเี หลอื ง : หมายถึง ความเจริญรงุ่ เรอื ง สีแดง : หมายถึง ความกล้าหาญและการมีพลวตั ิ สขี าว : หมายถงึ ความบรสิ ทุ ธิ์ สีนา้ เงนิ : หมายถึง สนั ตภิ าพและความมัน่ คง ธงอาเซียน ธงอาเซยี นเปน็ ธงพ้นื สีนา้ เงิน มดี วงตราอาเซยี นอยู่ตรงกลาง แสดงถงึ เสถยี รภาพ สันติภาพ ความ สามัคคแี ละพลวัตของอาเซยี น สีของธงประกอบด้วย สีน้าเงิน สีแดง สีขาว และสีเหลือง ซึ่งเป็นสีหลักในธงชาติของบรรดา ประเทศสมาชิกของอาเซยี นทั้งหมด วันอาเซียน ให้วันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปี เปน็ วันอาเซียน เพลงประจาอาเซยี น (ASEAN Anthem) คอื เพลง ASEAN WAY ภาพที่ 8.1 : ธงชาตอิ าเซียน ท่มี า : https://www.thaipost.net 3 เสาหลกั อาเซยี น ประกอบด้วย วนั ทส่ี ืบคน้ : 9 มี.ค. 60 1. ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน (ASEAN POLITICAL- SECURITY COMMUNITY หรือ APSC) 2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC หรือ ASEAN ECONOMIC COMMUNITY)
3. ประชาคมสงั คมและวัฒนธรรมอาเซยี น (ASEAN SOCIO-CULTURAL COMMUNITY หรือ ASCC) 3 เสาหลักอาเซยี น 1. ประชาคมการเมอื งและความมั่นคงอาเซยี น มีวัตถุประสงค์เพ่อื เสริมสร้างและธารงไว้ซึ่งสันติภาพ และความม่ันคงของภูมิภาค เพื่อให้ประเทศใน ภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และสามารถแก้ไขปัญหาและความขัดแย้ง โดยสันติวิธี อาเซียนจึงได้จัดทา แผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) โดยเนน้ ใน 3 ประการคอื การมีกฎเกณฑ์และค่านยิ มร่วมกนั ครอบคลมุ ถงึ กิจกรรมตา่ งๆ ทจี่ ะรว่ มกันทาเพือ่ สรา้ งความเข้าใจใน ระบบสังคมวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ทีแ่ ตกต่างของประเทศสมาชกิ ส่งเสรมิ พฒั นาการทางการเมืองไปใน ทิศทางเดียวกัน เช่น หลักการประชาธิปไตย การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การสนับสนุนการมีส่วน รว่ มของภาคประชาสงั คม การต่อตา้ นการทจรติ การส่งเสรมิ หลกั นิติธรรมและธรรมาภบิ าล เปน็ ต้น ส่งเสริมความสงบสุขและรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความม่ันคงสาหรบั ประชาชนที่ครอบคลุมใน ทกุ ด้านครอบคลุมความรว่ มมือเพื่อเสริมสร้างความมน่ั คงในรูปแบบเดิม มาตรการสรา้ งความไว้เน้ือเชือ่ ใจและ การระงบั ข้อพิพาท โดยสนั ตเิ พอ่ื ป้องกนั สงครามและใหป้ ระเทศสมาชิกอาเซียนอยู่ด้วยกนั โดยสงบสุขและไม่มี ความหวาดระแวง และขยายความร่วมมอื เพื่อต่อต้านภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การต่อต้านการก่อการรา้ ย อาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพ่ือป้องกันและ จดั การภยั พิบัตแิ ละภัยธรรมชาติ การมีพลวตั และปฏิสมั พันธก์ ับโลกภายนอก เพอื่ เสรมิ สร้างบทบาทของอาเซียนในความร่วมมอื ระดับ ภูมิภาค เช่น กรอบอาเซียน+3 กับจีน ญ่ีปุ่น เกาหลีใต้ และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ตลอดจน ความสมั พันธท์ ี่เข้มแขง็ กับมิตรประเทศและองค์การระหว่างประเทศ เชน่ สหประชาชาติ 2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพอื่ ทาให้อาเซียนมีตลาดและฐานการผลิตเดียวกันและมีการเคล่ือนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทนุ และแรงงานมฝี ีมืออยา่ งเสรี อาเซยี นไดจ้ ดั ทาแผนงาน การจัดตัง้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint) ซึ่งเป็นแผนงานบูรณาการการดาเนินงานในด้านเศรษฐกิจ เพอ่ื ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ 4 ดา้ น ได้แก่ การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base) โดยจะมีการ เคลอื่ นย้ายสินค้า บริการ การลงทนุ และแรงงานมฝี ีมืออย่างเสรี และการเคลือ่ นย้ายเงินทนุ อยา่ งเสรีมากขึน้ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยให้ความสาคัญกับประเด็น นโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค สิทธิใน ทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพนื้ ฐาน (การเงนิ การขนสง่ เทคโนโลยสี ารสนเทศ และพลังงาน) การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค ให้มีการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการ เสรมิ สร้างขีดความสามารถผ่านโครงการต่างๆ การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เน้นการปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซยี นกบั ประเทศ ภายนอกภมู ิภาคเพื่อใหอ้ าเซยี นมที า่ ทรี ่วมกนั อยา่ งชัดเจน
3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน อาเซียนไดต้ ้ังเปา้ เป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี 2558 โดยมงุ่ หวงั เป็นประชาคมท่ีมี ประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีสังคมท่ีเอ้ืออาทรและแบ่งปัน ประชากรอาเซยี นมีสภาพความเป็นอยู่ท่ีดีและมกี าร พัฒนาในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างย่ังยืน รวมท้งั ส่งเสรมิ อตั ลกั ษณ์อาเซยี น (ASEAN Identity) เพอื่ รองรับการเปน็ ประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซยี น โดยไดจ้ ัดทาแผนงานการจดั ต้งั ประชาคม สังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint)ซ่ึงประกอบด้วยความ รว่ มมอื ใน 6 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์ 2. การคมุ้ ครองและสวัสดกิ ารสังคม 3. สทิ ธแิ ละความยตุ ธิ รรมทางสงั คม 4. ความยงั่ ยืนด้านสงิ่ แวดลอ้ ม 5. การสร้างอัตลกั ษณอ์ าเซียน 6. การลดช่องวา่ งทางการพัฒนา 3 เสาหลักอาเซียนนั้นมีเป้าหมายท่ีจะเร่ิมต้นกันอย่างจรงิ จังและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป แต่คนไทยเรามักจะจาแค่ว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะเร่ิมต้นวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เน่ืองจากมีการตื่นตัวกันทั้งภาครัฐและเอกชน แต่ในความจริงแล้ว ต้นปี 2558 คือ จดุ เริ่มต้นของ เสาหลักอาเซยี นท้ัง 3 เสาหลกั พร้อมๆกัน ความสาคัญของอาเซียนในเวทโี ลก อาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่มีความสาคัญ จากการท่ีประชากรรวมกันแล้วเกือบ 600 ล้านคน ซึ่งเป็น ท้ังตลาดท่ีมีกาลังสูง มีแนวโน้มขยายตัวได้มาก และเป็นตลาดแรงงานราคาถูกซึง่ นักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะ ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาเขา้ มาลงทุนนานแลว้ ดังนนั้ กล่าวโดยสรุปอาเซียนมคี วามสาคัญในเวทโี ลก ดงั นี้ ความสาคัญทางด้านเศรษฐกิจ อาเซียนเป็นแหล่งเกษตรกรรมท่ีสาคัญของโลก โดยมีการผลิตอาหาร และสินค้าเกษตรจานวนมาก เช่น ข้าวหอมมะลิ น้ามันปาล์ม มะพร้าว เป็นต้น และยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่ สาคัญ โดยเฉพาะทรัพยากรเชื้อเพลิงซึ่งมีมากในประเทศบรูไนและมาเลเซีย ส่งผลให้ประเทศมีฐานะทาง เศรษฐกิจดี และไม่ได้รับผลกระทบจากการข้ึนราคาน้ามันของโลกมากนัก ในพม่ามีแหล่งน้ามันและแก็ส ธรรมชาติจานวนมาก ซึ่งหลายประเทศ เช่น จีน อังกฤษ ไทย รวมถึงสหรัฐอเมริกา ได้เข้าไปลงทุน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกานัน้ พยายามลงทุนในพมา่ เพมิ่ มากขน้ึ แมใ้ นอดตี สหรฐั อเมริกาและอังกฤษได้คว่าบาตร ทหารพม่า แต่เพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล ทาให้สหรัฐอเมริกาไมใ่ ช้ข้ออา้ งดา้ นการเมอื งในการ คว่าบาตรพม่าอีก พม่าจึงเป็นประเทศในอาเซียนท่ีกาลังได้รบั ความสนใจจากภายนอก และเปิดรับการลงทนุ จากภายนอก นอกจากนี้อาเซียนยังมีประเทศสิงคโปร์ที่มีเศรษฐกิจท่ีมั่นคง และเป็นศูนย์กลางทางการเงินการ ลงทุนของภูมิภาค มีประเทศท่ีมีแรงงานมีคุณภาพ ค่าแรงไม่สูง เช่น ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มีประเทศ อินโดนีเซียเปน็ ประเทศมสุ ลิมทใี่ หญ่ท่ีสุดของโลก และมีความใกลช้ ิดกับประทศมุสลิมอนื่ ๆ ในโลก ซง่ึ เปน็ ผลดี ตอ่ การขยายตลาดของอาเซยี นในประเทศมุสลมิ ทัว่ โลก ความสาคญั ทางการเมอื ง อาเซียนมบี ทบาทด้านการเมืองในระดบั โลก ในการสนับสนนุ การดาเนินงาน เพื่อสร้างสันติภาพของสหภาพของสหประชาชาติ เช่น การเข้าร่วมกับกองกาลังสหประชาชาติในปฏิบัติการ
ต่าง ๆ การให้ความร่วมมือช่วยเหลือผู้อพยพจากการขัดแย้งทางการเมือง เช่น ในสงครามเวียดนาม ใน สงครามการเมอื งกัมพชู า ผ้อู พยพทเี่ ปน็ ชนกลุ่มนอ้ ยในพม่า เปน็ ต้น บทบาทของอาเซยี นในเวทเี ศรษฐกจิ โลก ในปัจจุบันอาเซียนเป็นกลุ่มประเทศท่ีมีความโดดเด่นทางด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ท้ังการ เป็นตลาดขนานใหญ่ที่เป็นทั้งแหล่งผลิตสินค้าของนักลงทุนภายในและภายนอกภูมิภาค และเป็นตลาดที่มี กาลงั ซ้อื สูง เหตกุ ารณ์ท่สี ะท้อนความสาคัญของเศรษฐกจิ อาเซยี นต่อเศรษฐกิจโลก คือ เหตกุ ารณอ์ ทุ กภยั ครงั้ ใหญ่ ในปลาย พ.ศ. 2554 ในภาคกลางของประเทศไทย ทาให้น้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในจังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา ซึง่ มีโรงงานนกั ลงทนุ ตา่ งชาตจิ านวนมาก ทาให้การผลิตสินคา้ หยุดชะงัก กระทบถึงสินคา้ ใน ตลาดโลก เช่น โรงงานผลติ รถยนตใ์ นไทยถกู นา้ ทว่ มส่งผลใหไ้ มม่ รี ถยนต์เพยี งพอตอ่ ยอดสั่งจองทงั้ ในยโุ รปและ สหรัฐอเมริกา โรงงานผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนเคร่ืองใช้ไฟฟ้าถูกน้าท่วม ทาให้ไม่มีช้ินส่วนส่ง โรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ จนทาให้โรงงานฟิลิปปินส์ต้องปิดช่ัวคราว คนงานชาวฟิลิปปินส์ในโรงงานหลาย แหง่ ไมม่ ีงานทา และไมม่ ีสนิ ค้าสง่ ขายไปยงั ประเทศอนื่ ๆ สง่ ผลใหส้ นิ คา้ ขาดตลาด ในปัจจุบันอาเซียนมีบทบาทสาคัญในเวทีโลก โดยได้ดาเนินการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศ สมาชกิ และกลมุ่ ประเทศนอกประเทศอาเซยี น ดงั นี้ การสรา้ งความรว่ มมือในประเทศสมาชกิ อาเซยี น บทบาทของอาเซยี นท่ีโดดเด่นในเวทีการค้าโลก คือ การเสริมสรา้ งความรว่ มมือทางเศรษฐกิจในหมู่ ประเทศสมาชกิ อย่างต่อเนื่อง โดยมีเปา้ หมายหลัก คอื เพอื่ ใหเ้ กิดการรวมเป็นตลาดเดียวกนั โดยการเรมิ่ ก่อต้ัง เขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตา เม่ือ พ.ศ. 2535 ซึงมีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและอานาจต่อรองของ อาเซียน แต่อาเซียนมีเป้าหมายสูงสุด คือ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจ ทางการเงิน และการคลัง ซึ่งจะ นาไปสู่การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เพ่ือรวมกลุม่ ทางเศรษฐกิจภายในอาเซียน และสรา้ งความเขม้ แขง็ แก่อาเซียน ในเวทีเศรษฐกจิ โลก นอกจาการตั้งอาฟตาแล้ว อาเซียนไดร้ ่วมมอื พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มน้าโขง คือ จีน พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา และไทย โดยรณรงค์ระหว่าง พ.ศ. 2543-2553 เป็นทศวรรษแห่งความร่วมมือเพื่อ พัฒนาเศรษฐกิจในประเทศลุ่มน้าโขง เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเพ่ือสนับสนุนการ รวมตวั ทางเศรษฐกจิ ของประเทศเหล่านี้ ใหส้ อดคล้องกับตลาดอาเซยี น การคา้ ในเสน้ ทางแมน่ ้าโขงในปจั จุบนั ขยายตวั อย่างรวดเรว็ และมลู ค่าทางเศรษฐกิจสูง สินคา้ ราคา ถกู จากจีนทง้ั สินค้าเกษตรและสนิ ค้าจากโรงงานอตุ สาหกรรมถูกนาเขา้ มาขายในอาเซยี นจานวนมหาศาล สว่ น สินค้าจากอาเซียน เช่น ข้าว ผลไม้ท้องถิ่นโดยเฉพาะทุเรียน ลาไย เงาะ และผลไม้แปรรูปทั้งแบบแห้งและ กระป๋องและถกู นาสง่ ไปส่งจาหนา่ ยในจีน อยา่ งไรกต็ าม ปญั หาทเี่ กิดขนึ้ จากการขยายตัวทางการค้าในกลุ่มแม่นา้ โขง คือ ปญั หาลักลอบค้ายา เสพติด สินค้าหนีภาษี และปัญหาอาชญากรรมจากความขัดแย้งของผู้มีอิทธิพล หรือพ่อค้าส่ิงเสพติด ซึ่งใน ระยะแรกที่การค้าขยายตัว ทางการจีนและอาเซียนยังไม่ค่อยให้ความสาคัญต่อการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมเหล่าน้ี แต่ปัจจุบันประเทศลุ่มแม่น้าโขงได้เพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยในเส้นทาง เดนิ เรือ การปราบปรามส่ิงเสพติดและสนิ ค้าเถอื่ นเพื่อทาให้การค้าในเส้นทางน้ันปลอดภยั และถกู กฎหมาย การเป็นประชาคมเศรษฐกจิ อาเซียนจะเพม่ิ บทบาทด้านเศรษฐกจิ ของอาเซยี นในเวทีเศรษฐกิจโลก เพราะจะชว่ ยเพิ่มความสามารถในการแข่งขนั และต่อรองในเวทีการค้าโลก ขยายเศรษฐกิจของอาเซียน เพราะ
อาเซียนมีตลาดขนาดใหญ่ มีกาลังซื้อสูง ซ่ึงทาให้เศรษฐกิจและนักลงทุนจากภายนอกภมู ิภาคสนใจเข้ามาทา การค้าลงทุนกับอาเซยี นมากขน้ึ การสร้างความรว่ มมอื กับประเทศหรือกลุ่มประเทศนอกอาเซียน อาเซียนมีการร่วมมือทางเศรษฐกิจกับภายนอกกลุ่มมาอย่างต่อเนื่อง เพ่ือขยายการเชื่อมโยงกับ ประเทศหรอื กลุม่ ประเทศนอกอาเซยี น เช่น ความร่วมมืออาเซียน+3 (ASEAN plus three) คือ ความร่วมมือระหวา่ งประเทศสมาชิกอาเซยี น 10 ประเทศ รว่ มกบั จนี ญปี่ ุ่น และเกาหลใี ต้ ความร่วมมืออาเซียน+6 (เพ่ิมอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย) ซึ่งจะส่งผล ใหม้ ขี นาดผลิตภณั ฑม์ วลรวมประชาชาติ (GDP) ใหญเ่ ปน็ 1 ใน 4 ของโลก มจี านวนประชากรมากเป็นครงึ่ หนึ่ง ของโลก ความสมั พันธ์ในลักษณะของประเทศคู่เจรจากบั อีก 9 ประเทศ คอื จีน ญ่ีปนุ่ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลยี อินเดยี และรัสเซีย และมีความสาคัญร่วมมือกับกลุ่มประเทศสหภาพยโุ รป การร่วมมือทางการค้ากับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน จะทาให้เศรษฐกิจของอาเซียนมีความแข็งแกรง่ เม่อื เปรียบเทียบกับเศรษฐกจิ โลก ดงั น้ี อาเซยี น สมาชกิ 10 ประเทศ ประชากร 583 ล้านคน ( 9 % ของประชากรโลก ) GDP 1,275 พนั ลา้ นดอลลาร์สหรฐั ( 2 % ของ GDP โลก) ASEAN+3 ประชากร 2,068 ลา้ นคน ( 31 % ของประชากรโลก ) GDP 9,901 พนั ล้านดอลลารส์ หรฐั ( 18 % ของ GDP โลก) ASEAN+6 ประชากร 3,284 ลา้ นคน ( 50 % ของประชากรโลก ) GDP 12,250 พนั ลา้ นดอลลาร์สหรฐั ( 22 % ของ GDP โลก ) การสรา้ งความร่วมมอื กับประเทศนอกกลุ่มประชาคมอาเซยี น อาเซียน+3 คือกลุ่มประเทศในภมู ิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ซึ่งเป็นสมาชิกในอาเซยี น 10 ประเทศ และประเทศเพ่ิมมา 3 ประเทศ ได้แก่ จีน ญ่ีปุน่ เกาหลีใต้ เพอ่ื ส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนภุ ูมภิ าคเอเชียตะวนั ออก ดา้ นการเมืองและความมัน่ คง ดา้ นความ ร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การเปล่ียนแปลงของสภาวะอากาศโลก ด้าน สงั คมและวฒั นธรรม อาเซียนบวก 6 (ASEAN +6) หรือ หรือ FTA ASEAN PLUS 6 คือกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ซงึ่ เปน็ สมาชิกในอาเซยี น 10 ประเทศ และเพอ่ื นบา้ นในเอเชียและโอเชียเนียอีก 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศญ่ีปุ่น ประเทศออสเตรเลีย ประเทศอินเดีย และประเทศ นวิ ซแี ลนด์ เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพ่ิมขีดความสามารถของกลุ่มในการลงทุน การทาการคา้ และอ่นื ๆ เพ่อื ให้มศี ักยภาพในการแขง่ ขันกับภูมภิ าคอ่นื
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศไทยกบั ประเทศตา่ งๆ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกบั สหประชาชาติ 1.ความรว่ มมือทางการเมือง อาเซียนตระหนักดีว่า ภูมิภาคท่ีมีสันติภาพ เสถียรภาพ ความม่ันคง และความเป็นกลางจะเป็นพ้ืนฐานสาคัญ ท่ีส่งเสริม การพัฒนาประเทศให้เจริญรุดหน้า จึงได้ร่วมกันสร้างประชาคม อาเซียนให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ และสร้างเสริมความ เขา้ ใจอนั ดตี ่อกันในระหวา่ งประเทศสมาชิก ผลงานทสี่ าคัญท่ีได้รับ การยอมรับจากนานาประเทศ คือ สนธิสัญญาไมตรีและความ ร่วมมือกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity ภาพท่ี 8.2 : ความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศไทย กบั สหประชาชาติ and Cooperation in Southeast Asia: TAC) การประกาศให้ ภูมิภาคอาเซียนเป็นเขตแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็น ท่ีมา : http://aseanwatch.org/2014/11/21 กลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality: ZOPFAN ) วันท่สี บื ค้น : 9 ม.ี ค. 60 การก่อต้ังการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมือง และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ASEAN Regional Forum: ARF) และ สนธสิ ญั ญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone Treaty: SEANWFZ) 2.ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกิจ ปรากฏการณ์ของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของโลก และการแข่งขัน ทางการค่าท่ีเพิ่มมากขึ้น เป็นปัจจัยสาคัญที่ผลักดันให้อาเซียนตระหนักถึงความจาเป็นท่ีจะต้องรวมตัวกันให้ แน่นแฟ้นย่ิงข้ึน เพ่ือปรับแนวการดาเนินนโยบายของตนให้สอดคล้อง และเหมาะสมกับการเปล่ียนแปลง ดงั กล่าว ในปี พ.ศ.2535 อาเซียนจงึ ไดต้ กลงจัดต้ังเขตการค่าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) ข้ึน เพื่อท่ีจะส่งเสริมการค้าระหวา่ งกนั โดยการลดภาษีศุลกากรให้แก่สินค้าส่งออกของกันและกนั และดึงดูด การลงทุนจากภายนอกภูมิภาคให้เข้ามาลงทุนในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น เขตการค่าเสรีอาเซียนนี้จะบรรลุผล สมบูรณส์ าหรับสมาชกิ 6 ประเทศแรกใน พ.ศ.2546 ตามด้วยเวียดนาม ในปี พ.ศ.2549 ลาวและพม่า ใน พ.ศ. 2551 และกัมพูชาใน พ.ศ.2553 นอกจากน้ี อาเซียนยงั ได้มมี าตรการตา่ งๆ ในการสง่ เสรมิ การค้าการลงทนุ และความรว่ มมือกันในด้าน อุตสาหกรรม การเงินและการธนาคาร และการบริการระหว่างกนั ที่สาคัญ ได้แก่ โครงการความร่วมมือดา้ น อุตสาหกรรมอาเซียน (ASEAN Industrial Cooperation: AICO ) และ เขตการลงทุนอาเซียน (ASEAN Investment Area: AIA ) เป็นต้น นอกจากน้ี เพื่อให้อาเซียนเติมโต มีความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคง ทางด้านเศรษฐกจิ และมคี วามมง่ั ค่งั ร่วมกนั อาเซยี นจึงไดม้ ีข้อริเริ่มเพ่อื การรวมตวั ของอาเซียน (Initiative for ASEAN Integration: IAI ) ขึ้น เพอ่ื ท่ีจะลดชอ่ งว่างทางการพัฒนาระหว่างสมาชกิ เก่าและใหมข่ องอาเซียนดว้ ย 3.ความรว่ มมือเฉพาะด้าน นอกจากความร่วมมือทางการเมือง และเศรษฐกิจแล้ว อาเซียนยังให้ความสาคัญต่อความร่วมมือ เฉพาะดา้ น (Functional Cooperation) ระหว่างประเทศสมาชิก ได้แก่ ความรว่ มมือในด้านการพฒั นาสังคม การศกึ ษา สาธารณสุข สงิ่ แวดลอ้ ม วฒั นธรรมและสนเทศ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการต่อตา้ นยาเสพ ตดิ ซ่ึงล้วนเป็นพน้ื ฐานท่ีสาคัญในการพัฒนาประเทศ โครงการความร่วมมือเฉพาะด้านระหวา่ งประเทศสมาชิก
อาเซียนนี้มีจานวนมาก และครอบคลุมในทุกด้าน และมีเป้าหมายเพ่ือให้ประชาคมอาเซียนมี \"ความไพบูลย์ ร่วมกัน โดยการพัฒนาคน ความสามารถ ในการแข่งขันทางเทคโนโลยี และความเป็นปึกแผ่นทางสังคม\" โครงการความร่วมมอื ทสี่ าคญั ในดา้ นน้ี ได้แก่ การจัดตง้ั เครอื ข่ายมหาวทิ ยาลัยอาเซยี น การประกาศใหอ้ าเซยี น เปน็ เขตปลอดยาเสพติด ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศไทยกบั สหรฐั อเมริกา ไทยและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์มายาวนาน โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2376 จากท่ีท้ังสอง ฝา่ ยมีสนธิสญั ญาไมตรีและการพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าฯ โดยในปีดังกล่าว ประธานาธิบดี Andrew Jackson ของสหรัฐฯ (ดารงตาแหน่งปี 2372-2380) ได้ สง่ นาย Edmund Roberts เปน็ เอกอคั รราชทูตเดนิ ทางมายงั กรุงเทพฯ พร้อมท้งั นาสง่ิ ของมาทูลเกล้าฯ ถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งรวมถึงดาบฝักทองคาที่ ด้ามสลักเป็นรูปนกอนิ ทรแี ละช้าง และพระบาทสมเด็จพระน่ัง เกล้าฯ ได้พระราชทานส่ิงของตอบแทนซ่ึงเป็นของพื้นเมือง เช่น งาช้าง ดีบุก เน้อื ไม้ และกายาน เป็นต้นโดยภารกิจสาคัญ ของนาย Robert คอื การเจรจาจัดทาสนธิสัญญาทางการค้ากับ ไทย เช่นเดียวกับที่ไทยได้ทาสนธิสัญญาและข้อตกลงทางการ ค้ากบั สหราชอาณาจกั รเมอื่ ปี 2369 การจัดส่งคณะทูตสหรัฐฯ มายังไทยแสดงให้เห็นถึง ความสนใจของสหรัฐฯ ที่จะติดต่อค้าขายกับไทยตั้งแต่ในช่วง ภาพที่ 8.3 : ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศไทย ต้นของกรุงรตั นโกสนิ ทร์ หลงั จากทไ่ี ด้มีชาติตะวนั ตกอื่นๆ เชน่ กับสหรัฐอเมริกา โปรตุเกส และสหราชอาณาจักร ได้เข้ามาค้าขายกับไทยอยู่ ทมี่ า : http://wowzaza555101.blogspot.com ก่อนแล้ว ท้ังนี้ ไทยและสหรัฐฯ ได้สถาปนาความสัมพันธ์ วนั ท่ีสืบคน้ : 9 มี.ค. 60 ทางการทูตอยา่ งเป็นทางการในปี 2399 อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนหน้าน้ันปรากฏหลักฐานการติดต่อระหว่างทั้งสองประเทศต้ังแต่ต้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ท่ีมีเรือกาปั่นของชาวสหรัฐฯ ลาแรก โดยมีกัปตันแฮน (Captain Han) เป็นนายเรือได้ แล่นเรอื บรรทกุ สนิ ค้าผา่ นลาน้าเจ้าพระยาเข้ามาถงึ กรงุ เทพฯ เมื่อปี 2364 หรอื ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ไม่มีความต่อเนื่องเพราะท่ีตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ห่างไกลกัน และสหรัฐฯ ไม่ค่อยความ สนใจหรือมีผลประโยชน์ในภูมิภาคน้ี โดยสหรัฐฯ มีสถานกงสุลเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคน้ีที่ปัตตาเวีย (กรุง จาการ์ตาในปจั จุบนั )
แม้ว่าท้ังสองฝ่ายจะมีสนธสิ ัญญาไมตรีและการพาณิชย์ความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ รวมท้ังเรอื สินค้าสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นเดินทางมาถึงไทยแล้วก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างท้ังสองประเทศก็ยังไม่ขยายตัว เนื่องจาก ไม่มีการติดต่อที่ใกล้ชิด รวมทั้งการค้ากบั ต่างประเทศของไทยโดยเฉพาะกับประเทศตะวนั ตกกย็ งั ไมข่ ยายตวั เนอื่ งจากฝา่ ยไทยยงั คงบงั คับใช้กฎเกณฑท์ ่ไี ม่เออื้ อานวยตอ่ การค้ากับต่าง ประเทศ และยังคงมกี าร ผูกขาดกจิ การต่างๆ แตใ่ นช่วงตน้ ของความสัมพันธไ์ ทย-สหรฐั ฯ คณะบาทหลวงสหรัฐฯ มีบทบาทสาคัญในการ เสริมสร้างความสัมพันธ์ในระดับประชาชนสู่ประชาชน ในขณะท่ีความสัมพันธ์ในระดับรัฐต่อรัฐยังไม่เป็น รูปธรรมนัก โดยเม่ือปี 2374 บาทหลวง David Abeel, M.D. มิชชันนารีชาวสหรัฐฯ ได้เดินทางมาไทยและ พานักอยู่ในกรุงเทพฯ หลังจากน้ัน คณะบาทหลวงอีกหลายคณะได้เดินทางและมาพานักในไทย อย่างไรก็ดี คณะบาทหลวงสหรฐั ฯ ไม่ประสบความสาเร็จในภารกิจการเผยแพร่ศาสนาเทา่ ใดนัก แม้ว่าพระมหากษัตริย์ ไทยไม่ได้ทรงขัดขวางการเผยแพร่ศาสนา \"มีผู้กล่าวไว้ว่า ไม่มีประเทศใดที่มิชชันนารีจะได้รับการต่อต้านการ เผยแพร่ศาสนาน้อยที่สุด หรือเกือบไม่มีเลยเท่าประเทศไทย และก็ไม่มีประเทศใดท่ีคณะมิชชันนารีได้รับ ผลสาเรจ็ นอ้ ยที่สุดเท่าประเทศไทย เชน่ เดียวกนั \" แต่คณะบาทหลวงมบี ทบาทสาคญั ในการพัฒนาในหลายด้าน เชน่ การศกึ ษาโดยเฉพาะการสอนภาษาอังกฤษ การจัดต้ังสถาบันการศึกษาทส่ี าคัญๆ ไดแ้ ก่ โรงเรียนกรุงเทพค ริสเตียน โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ที่กรุงเทพฯ โรงเรียนปรินส์รอยัล และโรงเรียนดาราวิทยาลัยท่ีจังหวัด เชียงใหม่ เป็นต้น ด้านการแพทย์และสาธารณสุข คณะบาทหลวงสหรัฐฯ มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนา การแพทย์สมัยใหม่ในไทย โดยเฉพาะนายแพทย์ Danial B. Bradley ซ่ึงเป็นผู้บุกเบิกการรักษาไข้ทรพิษและ อหิวาตกโรค รวมทง้ั เป็นผูจ้ ดั ต้ังโรงพมิ พ์หนังสือพิมพ์แห่งแรกในไทย และพานกั อยใู่ นไทยเปน็ เวลาเกือบ 40 ปี นอกจากนี้ คณะบาทหลวงสหรัฐฯ ยงั มีสว่ นในการจัดตง้ั โรงพยาบาลแห่งแรกทจี่ ังหวดั เพชรบุรี และจังหวดั อ่นื ๆ เช่น ลาปาง ตรัง นครศรีธรรมราช รวมทั้งโรงพยาบาลแมคคอมิกส์ท่ีจังหวัดเชียงใหม่ รวมท้ังมีส่วนสาคัญใน การพัฒนาการเรยี นการสอนของโรงเรียนแพทยโ์ รงพยาบาลศิริราชดว้ ย ความสมั พันธ์ระหว่างประเทศไทยกบั สหภาพยโุ รป ไทยให้ความสาคัญกับ EU เน่ืองจากเป็นมหาอานาจทาง เศรษฐกิจอนั ดับ 1 และเป็นตลาดขนาดใหญ่ด้วยจานวนประชากร ประมาณ 500 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปีละ ประมาณ 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 12 ล้านล้านยูโร (2554) และเป็นภูมิภาคท่ีมีอานาจซ้ือสูงท่ีสุดในโลก EU จึงเป็น ยักษ์ใหญ่ในเวทีการค้าโลกท่ีมีอานาจต่อรองสูงและมีบทบาทใน การกาหนดทิศทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นผู้นาด้าน กฎระเบียบและนโยบายด้านการค้า และท่ีมิใช่การค้าท่ีสาคัญ ของโลก ภาพท่ี 8.4 : ความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศไทยกับ EU ใหค้ วามสาคญั ตอ่ ไทยในฐานะหุน้ ส่วนสาคัญของ EU สหภาพยุโรป ในภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะ ในมิติการเมืองและ ทม่ี า : https://pantip.com/topic/35716415 ความม่ันคง โดยไทยมีบทบาทสาคัญในภูมิภาคเอเชียรวมท้ังใน วันทส่ี ืบคน้ : 9 มี.ค. 60 กรอบอื่น ๆ เช่น อาเซียน-สหภาพยุโรป (ASEAN-EU) และใน กรอบ ARF (ASEAN Regional Forum) และต้องการความร่วมมือจากไทยในประเด็นภูมิภาคท่ี EU ให้ ความสาคัญโดยเฉพาะเมียนมาร์ การพัฒนาประชาธิปไตยและการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทง้ั ให้ไทยสนับสนุนบทบาทของ EU ในภมู ภิ าค เช่น ในกรอบ ASEAN / EAS รวมทง้ั ความร่วมมอื แบบไตรภาคี
ยุทธศาสตร์ไทยต่อ EU คือ การเน้นจุดร่วมวา่ ทั้งไทยและอียตู ่างยึดม่ันในคุณค่าประชาธิปไตย ระบบ การค้าเสรี และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน และทาให้ EU มีความเช่ือมั่นในเสถียรภาพและความ ต่อเน่ืองของระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทย ตลอดจนทาให้ EU มองไทยเป็นหุ้นส่วนหลักในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยในการขยายการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการรับ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก EU และการส่งเสริมขดี ความสามารถในการแขง่ ขันของไทยในระยะยาว ดา้ นการเมอื ง โดยรวม ไทยกับ EU มี ความสมั พนั ธท์ ดี่ ีและราบรน่ื ในมมุ มองของ EU ไทยเปน็ ประเทศท่มี ีศกั ยภาพ ในด้านเศรษฐกจิ การทอ่ งเที่ยว วฒั นธรรม มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และสามารถมีบทบาทนา ในอาเซียน ดังนั้น EU จึงเห็นว่าไทยสามารถเป็นหุ้นส่วนสาคัญของ EU ทั้งในด้านการเมือง ความม่ันคงและ เศรษฐกิจในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ไทยกับ EU มี กลไกดาเนินการความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคี ได้แก่ การประชมุ ระดับเจา้ หนา้ ที่อาวุโส ไทย-สหภาพยุโรป ซ่ึงได้มีการประชุมครัง้ ล่าสุดเม่ือวันที่ 13 – 14 กันยายน 2555 โดยมีการหารือในประเด็น ต่างๆ ท้ังในความสัมพันธ์ทวิภาคี ประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศท่ีอยู่ในความสนใจร่วมกัน นอกจากน้ี ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหวา่ งการเจรจาจัดทากรอบความตกลงวา่ ด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความรว่ มมอื ระหว่างไทยกับสหภาพยโุ รปและรัฐสมาชิก นอกจากนี้ EU ไดท้ าบทามไทยให้เจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี ไทย-สหภาพยโุ รปเช่นกัน ในปี 2555 มีการเยือนในระดับสูงระหว่างไทย-สหภาพยุโรป ได้แก่ 1) การเยือนไทยของ Baroness Catherine Ashton ผู้แทนระดับสูงของ EU ด้านการต่างประเทศและนโยบายความม่ันคง ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2) การเยือนไทยของคณะสมาชกิ รัฐสภายุโรป กลุ่มดแู ลความสัมพนั ธ์ประเทศเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน เม่ือ 27-31สิงหาคม 2555 และ 3) การเยือนไทยของนาย Jose Manuel Barroso ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เมื่อ 4-5 พฤศจิกายน 2555 และในปี 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชิน วตั ร นายกรัฐมนตรีไดเ้ ดินทางเยือนเบลเยยี มและสหภาพยโุ รปเมอ่ื 5-6 มนี าคม 2556 ไทยต้องการให้ EU ยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่าเชงเก็นแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยสาหรับการพานกั ระยะสั้น เนื่องจากไทยดาเนินการฝ่ายเดียวในการยกเว้นการตรวจลงตราสาหรับผู้ถือหนังสือเดินทางสมาชิก สหภาพยุโรป เพื่อการท่องเท่ียวแล้ว อีกทั้งปริมาณการลงทุนและนักท่องเท่ียวของไทยไปประเทศสมาชิก EU เพ่ิมข้ึน การยกเว้นวีซ่าเชงเก็นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งสองฝ่าย และส่งเสริมความเข้าใจ อันดีระดับ ประชาชน ด้านเศรษฐกิจ ในปี 2554 EU เป็นคู่ค้าสาคัญอันดับท่ี 4 ของไทย (รองจากอาเซียน ญี่ปุ่น และจีน) คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 9.19 ของการค้าต่างประเทศของไทย โดยเป็นแหล่งนาเข้าสินค้าอันดับท่ี 4 (รองจากญ่ีปุ่น อาเซียน และจนี ) และเปน็ แหล่งส่งออกสนิ ค้าอันดับท่ี 3 (รองจากอาเซยี น และจนี ) มลู ค่าการค้าสองฝา่ ยในปี 2554คิด เปน็ มูลคา่ 32.52 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.66 จากปี 2553 โดยไทยไดเ้ ปรียบดุลการค้า EU มูลค่า 4.88 พันล้านยูโร การส่งออกสนิ คา้ ของไทยไป EU ในปี 2554 มที ้งั สนิ คา้ ทมี่ อี ัตราการขยายตวั และหดตัว (สาหรบั สนิ ค้า ส่งออกสาคัญ 10 อันดับแรก) โดยมีการขยายตัวมากที่สุดในสินค้าประเภทยางพารา (57.32%) ส่วนสินค้าท่ี อัตราการส่งออกหดตวั ได้แก่ เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ อปุ กรณแ์ ละสว่ นประกอบ (-12.25%) รถยนต์ อปุ กรณ์และ สว่ นประกอบ (-7.54%) และเครอื่ งนุ่งห่ม (-1.48%)
การนาเข้าสนิ คา้ จาก EU ในปี 2554 มอี ตั ราการขยายตวั เกือบทุกรายการ (สาหรับสนิ คา้ นาเขา้ สาคัญ 10 อันดับแรก) โดยมีการขยายตัวมากที่สุดในสินค้าประเภทเครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและ สว่ นประกอบ (1,005.71) ส่วนสินคา้ ที่อัตราการนาเขา้ หดตัว คือ เหลก็ เหล็กกล้าและผลิตภณั ฑ์ (-2.18%) มูลค่าการค้าสองฝ่ายในช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2555 คิดเป็นมูลค่า 20.82 พันล้านยูโร (คิด เปน็ รอ้ ยละ 12.94 ของการคา้ ระหวา่ งประเทศของไทย) เพมิ่ ขนึ้ ร้อยละ 0.21 เปรยี บเทียบกบั ชว่ งเวลาเดียวกัน ของปี 2554 ไทยส่งออกมูลค่า 11.24 พันล้านยูโร และนาเข้ามูลค่า 9.58 พันล้านยูโร เสียดุลการค้ามูลค่า 1.66 พันล้านยูโร ประเทศสมาชิก EU ท่ีเป็นคู่ค้าสาคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และ ฝร่ังเศส ประเด็นด้านเศรษฐกิจ EU มีกฎระเบียบมาตรการทางการค้าและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมท่ีเข้มงวด มีมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) ในระดับสูง ประเด็นด้านเศรษฐกิจระหว่างกันที่สาคัญใน ปัจจุบัน ไดแ้ ก่ มาตรการตรวจเข้มสินค้าผักสดส่งออกจากไทยไป EU มาตรการตอบโตก้ ารทมุ่ ตลาดของ EU ท่ี ใชก้ ับสนิ ค้าไทยบางชนิด กฎระเบยี บของ EU ว่าด้วยการต่อต้านการทาประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing – IUU) กฎระเบียบสรา้ งระบบการค้า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (EU Emission Trading Scheme – EU ETS) สาหรับการขนส่งทางอากาศ การ จัดทาความตกลง Voluntary Partnership Agreement ภายใต้กฎระเบียบ FLEGT เพือ่ ป้องกนั ปัญหาการค้า ไม้ที่ผิดกฎหมาย เพ่ือเป็นการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเกี่ยวกับปัญหา/อุปสรรคทางการ ค้าระหว่างไทยกับ EU กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ คณะผู้แทนไทยประจาสหภาพ ยุโรป ได้จัดทาเว็บไซต์ www.thaieurope.net เพ่ือเป็นแหล่งข้อมูลเกย่ี วกับกฎระเบียบ นโยบายของ EU ในด้านต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของไทย บทบาทการแจ้งเตือนล่วงหนา้ (early warning) มสี ว่ นชว่ ยใหภ้ าครัฐและภาคเอกชนไทยที่เกี่ยวข้องปรับตัวเพ่ือรองรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ EU ซงึ่ มี การปรับปรุงเปลย่ี นแปลงอยู่เสมอ การลงทุน ในปี 2554 ประเทศสมาชิก EU ได้ รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุนของไทยมากเป็น อันดับที่ 4 (รองจากอาเซียน ญ่ีปุ่น และจีน) จานวน 123 โครงการ มูลค่าการลงทุน 16,736 ล้านบาท โดยประเทศสมาชกิ EU ท่ี ลงทนุ ในไทยมากสุด 3 อันดบั แรก ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (4,252.4 ล้านบาท) สวีเดน (3,269.4 ลา้ นบาท) ฝรัง่ เศส (3,045.1 ล้านบาท) โครงการลงทุนขนาดใหญข่ องยุโรป (มูลค่า การลงทุน 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) อาทิ กิจการผลิตพลาสติกและผลิตภัณฑ์เคลือบพลาสติก ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า ผลิตชิน้ ส่วนยานยนต์ ผลติ เลนส์ การทอ่ งเท่ยี ว ในปี 2554 มีนักท่องเท่ียวจากยุโรปทั้งหมด (รวมประเทศนอกกลุ่ม EU) เดินทางมาไทยจานวน 4.9 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 25.91 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ขยายตัวร้อยละ 11.4 เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปี 2011 จานวนมากเป็นอนั ดับ 2 รองจากนกั ท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกและอาเซียน โดยประเทศสมาชิก EU ที่มีนักท่องเท่ียวเดินทางมาไทยมากท่ีสุด 3 ประเทศแรก คือ อังกฤษ (8.4 แสนคน) เยอรมนี (6 แสนคน) และฝรง่ั เศส (5 แสนคน)
ความร่วมมือทางวชิ าการไทย – สหภาพยโุ รป ปจั จุบนั ความรว่ มมอื ทางวชิ าการไทย – สหภาพยุโรปในกรอบทวภิ าคีดาเนนิ ผา่ นโครงการ Thailand- EC Cooperation Facility (TEC) ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณจานวน 17 ล้านยูโร สาหรับปี 2550-2556 ในหมวด Development Cooperation Instrument (DCI) ซงึ่ เน้นเรือ่ งการใหค้ วามชว่ ยเหลือเพอ่ื การพัฒนา แก่ประเทศกาลังพัฒนาในด้านต่างๆ อาทิ การขจัดความยากจน การส่งเสรมิ ประชาธิปไตยและสิทธมิ นุษยชน และการพัฒนาอยา่ งย่งั ยืน ดาเนนิ การใน 4 ดา้ น คือ 1) การปรบั ตัวให้ทนั พัฒนาการของกฎระเบยี บการคา้ ของ EU 2) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษา 3) สิ่งแวดล้อม 4) ธรรมาภิบาล การโยกย้ายถิ่นฐาน และสิทธิ มนษุ ยชน ในอนาคต ในปี 2557-2563 ความร่วมมือไทย – EU จะปรับสู่หมวด Partnership Instrument (PI) เช่นเดียวกับประเทศในกลุ่ม Upper-Middle Income Countries อีก 16 ประเทศ (อาทิ จีน บราซิล มาเลเซีย) และกลุ่ม Lower-Middle Income Countries ที่มี GDP มากกว่าร้อยละ 1 ของ GDP ของโลก (อาทิ อินโดนีเซีย อินเดีย) หมวด PI จะเน้นความร่วมมือในลักษณะความเป็นหุ้นส่วน (partnership) กับ EU ในประเด็นที่ EU ให้ความสาคัญ อาทิ การเปล่ียนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การรักษาสิ่งแวดล้อม ธรรมาภิ บาล ประชาธิปไตย และสิทธมิ นุษยชน ความร่วมมือนอกเหนือจากกรอบทวิภาคี EU มีกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค (regional programme) และระดับระหวา่ งประเทศ (thematic programme) ไทยและ EU มคี วามสนใจทจี่ ะมีความร่วมมือแบบไตรภาคกี ับประเทศท่ีสาม โดยเฉพาะในสาขาที่ไทย มีความเชี่ยวชาญและอยใู่ นความต้องการของประเทศผู้รับ EU ให้ความสนใจต่อความรว่ มมือแบบไตรภาคกี ับ เมยี นมาร์ และมแี ผนทจ่ี ะให้ความชว่ ยเหลอื ดา้ นการพัฒนาแก่เมยี นมารม์ ากข้นึ ในอนาคต โดยไดเ้ ปิดสานกั งาน EU ท่เี มืองย่างก้งุ เมอ่ื เดือนเมษายน 2555 มีหน้าทดี่ แู ลโครงการความช่วยเหลือของ EU แกเ่ มยี นมาร์ ความตกลงระหว่างไทย – สหภาพยุโรปทอ่ี ยู่ในระหวา่ งการพจิ ารณา การเจรจาจัดทากรอบความตกลงวา่ ด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมอื ไทย – สหภาพยุโรปและ ป ร ะ เ ท ศ ส ม า ชิ ก ส ห ภ า พ ยุโ ร ป ( Framework Agreement on Comprehensive Partnership and Cooperation between Thailand and the European Union and its Member States – PCA) เ ป็ น ความตกลงท่ีมีเน้ือหาครอบคลุมทุกมิติของความสัมพันธ์ อาทิ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การค้าการลงทุน การศึกษาและวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พลังงาน การต่อต้านยาเสพติด และการ ต่อต้านการฟอกเงิน เป็นต้น ซ่ึงได้เริ่มการเจรจาตั้งแต่ปี 2547 โดยท้ังสองฝ่ายได้ข้อยุติในประเด็นที่ติดขัด รว่ มกนั แล้วและกาลงั อยู่ในขน้ั ตอนการดาเนนิ กระบวนการทางกฎหมายก่อนทจ่ี ะมกี ารลงนามรว่ มกนั ต่อไป การจัดทาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย -สหภาพยุโรป (Thailand – EU Free Trade Area Agreement – FTA) ซ่ึงท้ังสองฝ่ายได้เร่ิมการเจรจารอบแรกไปเม่ือเดือนพฤษภาคม 2556 ที่กรุงบรัสเซลส์ ภายหลงั การเดนิ ทางเยือนกรงุ บรัสเซลส์ของนายกรัฐมนตรียง่ิ ลักษณ์ ชินวัตร ซงึ่ ได้ประกาศเร่มิ การเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ร่วมกับนาย Jose Manuel Barroso ประธานคณะกรรมาธกิ ารยุโรปเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2556 ความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ไทยกับจีนมีความผูกพันและติดต่อกันมาอย่างยาวนานนับแต่โบราณกาล โดยสามารถย้อนไปได้ถึง สมยั ราชวงศ์ฮน่ั ตะวันตก (จกั รพรรดฮิ ่นั อตู่ ี)้ ของจนี ซึ่งมบี นั ทกึ ประวัตศิ าสตร์เกีย่ วกบั ชนชาติไทย และทเ่ี ดน่ ชัด ก็คือ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอาณาจักรสุโขทยั กับจีน ซ่งึ มีการติดตอ่ คา้ ขายระหว่างกนั และไทยไดร้ ับเทคโนโลยี
เครื่องป้ันดินเผามาจากจีนในช่วงเวลาดังกล่าว ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างไทยกับจีน น่าจะเร่ิมมีข้ึน ในช่วงนี้ด้วยจากการอพยพของชาวจีนในช่วงสงครามสมัยราชวงศ์หยวนและในช่วงต้นราชวงศ์ หมิง และนับ จากนัน้ มา กไ็ ดม้ ีการตดิ ตอ่ ค้าขายกันมาโดยตลอดและมชี าวจนี จานวนมากเขา้ มาตงั้ รกราก ในไทย โดยเฉพาะ ในช่วงสงครามโลกและสงครามกลางเมืองของจีนในทศวรรษที่ 1930-1950 มีชาวจีนจานวนมากจากมณฑล ทางใต้ของจีน อาทิ กวางต้งุ ไหห่ นาน ฝเู จยี้ น และกวางสี หลบหนภี ยั สงครามและความ อดอยากเข้ามาสร้าง ชีวิตใหม่ในประเทศไทย จึงอาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดดุจพ่ีน้องระหว่างไทย กับจีนได้มีมาอย่าง ยาวนาน เหมอื นคากลา่ วทว่ี ่า “ไทยจีนใชอ่ ื่นไกล พน่ี ้องกัน” แมก้ ระแสทางการเมืองโลกในยุคสงครามเย็นจะทาให้ไทยกับจนี ขาดการติดตอ่ กันในระดับทางการอยู่ ระยะหนึ่ง แต่กระแสการเมืองโลกดังกล่าวก็ไม่อาจจะตัดความผูกพันและความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ อย่างแนบแนน่ ระหว่างประชาชนไทย-จีน ได้ ดังน้ัน นับตั้งแต่ที่ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพนั ธ์ทางการ ทูตระหว่างกันเม่ือวันท่ี 1 กรกฎาคม 2518 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ได้พัฒนาก้าวหน้าอยา่ ง รวดเร็วและราบรน่ื และเป็นแบบอย่างหน่งึ ของความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศท่ีมี ระบบการปกครองแตกต่าง กัน โดยมีพัฒนาการท่ีเป็นรูปธรรม ดังนี้ ในทศวรรษแรกหลังจากที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ไทยและจีนประสบ ความสาเร็จในการเสริมสร้างความเข้าใจและความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันอันนาไปสู่การเป็นหุ้นส่วนในการแก้ไข ปญั หาความไมม่ ั่นคงในภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใตใ้ นยุคนั้น ซึง่ ได้ช่วยสนบั สนุน การพัฒนาภมู ภิ าคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใตจ้ ากสนามรบกลายเป็นตลาดการค้า นอกจากน้ี พืน้ ฐานความเข้าใจและความใกล้ชิดดงั กล่าว ยังมีส่วนสาคญั ในการสง่ เสรมิ และกระชบั ความสัมพนั ธแ์ ละความรว่ มมอื ระหว่างจีนกับประเทศอาเซียนอีกด้วย การทีพ่ ระบรมวงศานุวงศ์ทกุ พระองค์ ต่างก็ทรงให้ความสาคญั และทรงใส่พระทัยต่อความสมั พันธ์ฉัน มิตรท่ีมีต่อจีนส่งผลสาคัญต่อการกระชับความสัมพันธร์ ะหวา่ งสองประเทศให้ยิ่งใกล้ชิด แน่นแฟ้น โดยเฉพาะ การแลกเปล่ียนการเยือนระดบั สูงระหว่างสองประเทศ ท้ังนี้ สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ ไดเ้ สด็จฯ เยือนจีนอยา่ งเป็นทางการในฐานะผู้แทนพระองค์ฯ ซ่ึงถือเป็นการเสด็จฯ เยือนต่างประเทศอย่างเปน็ ทางการ ในรอบหลายสิบปี ระหว่างวันที่ 16-31 ตุลาคม 2543 เพ่ือเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 25 ปีของ ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนจีนแล้ว หลายคร้งั สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี เสดจ็ ฯ เยอื นจีนครบทัง้ 31 มณฑลและมหานคร ทรงได้รบั การทูลเกล้าฯ ถวายรางวลั ในฐานะทูตสันถวไมตรจี ากหน่วยงานของจีนหลายรางวัล และเป็นเจ้าฟา้ พระองค์แรกของโลกทีท่ รงศกึ ษาภาษาจีนในมหาวิทยาลยั ปักก่ิงเปน็ ระยะเวลา 1 เดอื น ในปีน้ี พระองค์ท่านยงั ได้เสด็จฯ มาทอดพระเนตรพธิ ีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปักกิ่ง 2008 ในฐานะผู้แทนพระองค์ด้วย สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ก็เสด็จเยือนจีนบ่อยครง้ั เป็น เจ้าฟ้าพระองค์แรกที่ ทรงแสดงดนตรี “สายสัมพันธ์สองแผ่นดนิ ” ในจีน นอกจากน้ี พระราชวงศพ์ ระองค์อ่นื ๆ กไ็ ด้เสด็จฯ เยือนจีน อยู่เสมอ ในขณะเดียวกนั ผู้นาของจีนนบั แต่อดีตจนถึงปัจุบันได้เยือนประเทศไทยอย่างสม่าเสมอและต่อเนือ่ ง นับต้ังแต่สถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นต้นมา นายเต้ิง เสี่ยวผิง ได้เยือนไทยเป็นคร้ังแรกเมื่อปี 1978 นับจากนั้นประธานาธิบดีจีนทุกสมัยก็ได้เยือนประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในฐานะพระราชอาคันตุกะของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังเช่น นายหล่ี เซียนเนี่ยน นายหยาง ซ่างคุน และนายเจียง เจ๋อหมิน จนถึง ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายหู จิ่นเทา ซ่ึงได้เยือนประเทศไทยในฐานะประธานาธิบดีเมื่อเดือนตุลาคม 2003 ในระดับนายกรัฐมนตรีน้ัน นับต้ังแต่ พล.อ. เกรียงศักด์ิ ชมะนันท์ เยือนจีนในฐานะแขกของนายเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นต้นมา นายกรัฐมนตรีของไทยทุกยุคทุกสมัยล้วนแต่เคยเยือนจีนท้ังสิ้น ในปีนี้ นายกรัฐมนตรีไทย ได้เดินทางเยือนจีนถึง 3 ครั้ง รวมทั้งได้เข้าร่วมในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปักก่ิง 2008 ด้วย ขณะที่
นายกรัฐมนตรีจีนทุกสมัยก็เยือนไทยอย่างต่อเน่ืองนบั ตั้งแต่นายหลี่ เผิง ซึ่งเยือนไทยรวม 4 คร้ัง นายจู หรงจี ซ่งึ เยอื นไทยเม่ือปี 2001 และนายเวิน เจียเป่า ซึ่งเคยเยอื นไทยเพอ่ื เขา้ ร่วมการประชุมเมอื่ เดอื นเมษายน 2003 ดว้ ย ความสมั พนั ธ์ดา้ นเศรษฐกจิ หลังจากทศวรรษแรกของการสถาปนาความสัมพันธ์ท่ีทั้งสองประเทศได้ประสบผลในการเสริมสร้าง ความไวเ้ นอื้ เช่ือใจระหว่างกันแลว้ น้นั ความรว่ มมือด้านเศรษฐกิจการค้าได้กลายเป็นองค์ประกอบทน่ี ับวันย่ิงมี ความสาคญั ต่อความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศทั้งสอง โดยเฉพาะหลงั จากทจ่ี ีนได้เริม่ ดาเนินนโยบายเปิดประเทศ และปฏิรูปเศรษฐกิจภายใต้การนาของนายเต้ิง เสี่ยวผิง เม่ือปี 1978 ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหวา่ งสอง ประเทศได้พฒั นาและขยายตัวไปอยา่ งรวดเร็ว ในด้านการคา้ มลู คา่ การค้าระหวา่ งไทย-จีน เพมิ่ ขนึ้ จากปแี รกที่ สถาปนาความสัมพนั ธ์ทางการทูตที่ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 31,062 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2007 ในด้าน การลงทนุ ไทยนบั เป็นประเทศแรกๆ ที่เขา้ ไปลงทนุ ในจีนตัง้ แต่เม่ือปี 1979 และก่อนเกดิ วกิ ฤตการณ์เศรษฐกิจ ในเอเชียเมื่อปี 1997 ไทยเป็นประเทศที่อยใู่ น 10 อันดับแรก ที่มีการลงทุนในจีน ปัจจุบันตัวเลขของทางการ จีนก็ยังระบุว่า ไทยยังคงมีการลงทุนในจีนนับพันโครงการ โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมนบั พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่จีนมีการลงทุนในไทยมากข้ึนเร่ือยๆ เช่นกัน ในด้านการท่องเท่ียว ไทยและจีนต่างเป็นจุดหมายการ ท่องเทยี่ วยอดนิยมของประชาชนทัง้ สองประเทศ ปัจจุบันมนี ักท่องเทย่ี วจีนเดินทางมาไทยประมาณ 8 แสนคน ตอ่ ปี ขณะท่ีชาวไทยเดนิ ทางไปท่องเที่ยวในจนี ประมาณ 7-8 แสนคนต่อปี ปัจจุบัน รัฐบาลไทยและจีนยังได้ร่วมกันต้ังเป้าหมายทางเศรษฐกิจร่วมกัน กล่าวคือ ภายในปี 2010 จะมีมูลค่าการค้าทวิภาคีสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการลงทุนสองฝ่ายสูง 6,500 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ และการแลกเปลี่ยนนกั ทอ่ งเท่ียวรว่ มกนั 4 ล้านคนตอ่ ปี ความสัมพนั ธ์ดา้ นเศรษฐกจิ ดว้ ยความผกู พันยาวนานและวัฒนธรรมที่ใกล้ชดิ ทาให้ความสมั พนั ธด์ ้านสงั คมและวฒั นธรรมระหว่าง ไทย-จีนพัฒนาไปอย่างใกล้ชิดและแนบแน่นมาโดยตลอด ประชาชนของท้ังสองประเทศมีการไปมาหาสู่เพ่ือ เผยแพร่และแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมอยา่ งต่อเน่ือง ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบา้ น ประจาชาติ ซ่ึงประสบผลสาเร็จอย่างดีและได้รับการต้อนรับอย่างดีย่ิงจากประชาชนของแต่ละฝ่าย ไปจนถึง ความรว่ มมือทางดา้ นศาสนาจากการทีไ่ ทยเปน็ เมืองพุทธและจนี ได้ช่ือว่าเป็นประเทศทม่ี ีคนนับถือศาสนาพุทธ มากทีส่ ุดในโลกประเทศหนึ่ง คอื ประมาณ 100 ลา้ นคน นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ในดา้ นนีย้ งั ไดร้ บั การส่งเสริม โดยพระบรมวงศานวุ งศ์ทุกพระองค์ของไทย โดยเฉพาะสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ซง่ึ ทรงสนพระทัยในภาษา วัฒนธรรรม และประวัติศาสตร์ของจีน ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชน รวมท้ัง เยาวชนของไทยในการศึกษาเรยี นรูภ้ าษาและวัฒนธรรมจีน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความเข้าใจอนั ดี ระหวา่ งประชาชนของท้งั สองประเทศ รวมทงั้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลกั ษณ์ อัครราชกุมารี ซ่ึงทรงริเร่ิมการแสดงดนตรี “สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน” ซ่ึงมีส่วนสาคัญต่อการส่งเสริมความร่วมมือด้าน วัฒนธรรมระหวา่ งกัน ท้ังนี้ ความสมั พนั ธด์ า้ นสังคมและวฒั นธรรมนับวันจะยิ่งมีความสาคญั มากขึ้น เนอ่ื งจาก เก่ียวพันอย่างลึกซ้ึงต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชน ซ่ึงถือเป็นพื้นฐานสาคัญในการพัฒนา ความสมั พนั ธ์ระหว่างไทย-จนี ในด้านอน่ื ๆ กล่าวโดยสรุป ในปัจจุบันไทยกับจีนมีความสัมพันธ์และความร่วมมือท่ีเจริญรุดหน้าในทุกด้าน และ นับวันจะย่ิงพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่องและลึกซ้ึง ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในด้านการพัฒนา เศรษฐกิจและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อ
สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ดังน้ัน ในช่วงศตวรรษท่ี 21 ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ การ เจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ และการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ประกอบกบั การแสดงบทบาทท่ีสร้างสรรค์ของจีน ไทย และประเทศอน่ื ๆ ในภมู ิภาคหวงั วา่ จะความรว่ มมือกับจนี มากย่งิ ทั้งในด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน โดย จีนจะเปน็ พลงั สาคญั ในการพัฒนาเศรษฐกจิ ของภูมภิ าคเอเชยี และโลกโดยรวม ความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศไทยกับญ่ีปุ่น ทผี่ า่ นมาไทยและญปี่ ุ่นมีความสัมพนั ธ์ที่ใกลช้ ิดและราบรืน่ ความร่วมมือของทงั้ สองประเทศครอบคลุม ท้ังในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม เพ่ือเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ ไทยได้มุ่งกระชับ ความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับญี่ปุ่นให้พัฒนาไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ (strategic and economic partnership) การเยือนสาคัญในระดับพระราชวงศ์ คือ การเสด็จฯ เยือนไทยของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี เมือ่ วันที่ 11 - 15 มิถนุ ายน พ.ศ. 2549 เพอ่ื ทรงเข้ารว่ มในพระ ราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ซ่ึงเป็นการเยือนไทยเป็นครั้งที่ 2 ของสมเด็จพระ จักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี ภายหลังเสด็จข้ึน ครองราชสมบัติ และเป็นการเสด็จเยือนซ้าประเทศที่เคยเสด็จ เยอื นแลว้ เปน็ ครง้ั แรก ในขณะเดียวกัน ในปีเดียวกันน้ัน พระบรมวงศานุวงศ์ ภาพท่ี 8.5 : ความสมั พันธ์ระหว่างประเทศไทย ของไทยก็ได้เสด็จเยือนญี่ปุ่นหลายคร้ัง โดยสมเด็จพระบรม กบั ญปี่ นุ่ โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจา้ วรวงศ์เธอ ที่มา : https://news.mthai.com/pic-news/419955.html วันทส่ี ืบคน้ : 9 มี.ค. 60 พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ได้เสด็จเยือนญี่ปุ่นเป็นการส่วน พระองค์ ระหวา่ งวันที่ 14 - 19 มกราคม พ.ศ. 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จเยือนญ่ีปุ่น เพื่อทรงเข้าร่วมการประชุม เร่อื ง Globalization: Challenges and Opportunities for Science and Technology จดั โดยมหาวทิ ยาลัย สหประชาชาติและองค์การยูเนสโก ระหว่างวนั ที่ 21 - 25 สงิ หาคม พ.ศ. 2549 และศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จเยือนญ่ีปุ่น เพื่อทรงเป็นองค์ Keynote Speaker and Lecturer ใน ก าร ปร ะ ชุมวิ ชาก าร “1 st International Conference on Cutting-Edge Organic Chemistry in Asia” ท่ีจังหวัดโอกินาวา ระหว่างวันท่ี 14 - 22 ตุลาคม พ.ศ. 2549 และเสด็จเยือน ญี่ปุ่น เพื่อทรงเข้ารว่ มในการประชุม Members of President’s Council ของมหาวิทยาลัยโตเกยี ว ระหว่าง วนั ท่ี 12 - 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ความสัมพนั ธร์ ะดับประชาชนของท้งั สองประเทศกม็ ีความใกล้ชิดแนบแนน่ ปัจจบุ นั มชี าวไทยทพี่ านัก อยู่ในญปี่ นุ่ ประมาณ 50,000 คน ในขณะทม่ี ีชาวญ่ปี ่นุ ทีพ่ านักอยใู่ นประเทศไทยประมาณ 40,000 คน ในปี พ.ศ. 2550 ซ่งึ เป็นปีครบรอบ 120 ปี การสถาปนาความสัมพนั ธ์ทางการทูตไทย – ญปี่ ุ่น ทง้ั สอง ฝ่ายได้ตกลงให้มีการเฉลิมฉลอง โดยได้มีการจัดตั้งคณะทางานเฉพาะกิจร่วม ไทย - ญี่ปุ่น ว่าด้วยการฉลอง 120 ปี ความสัมพนั ธก์ ารทูตข้ึนเพ่ือกากับและเตรียมการกิจกรรมเฉลิมฉลองขึ้นท้ังท่ีประเทศไทยและประเทศ ญ่ีปนุ่ โดยมีกจิ กรรมตลอดท้ังปีและมีกจิ กรรมหลกั ร่วมกนั 3 กจิ กรรม คอื พธิ เี ปิด (Curtain Raiser) ในประเทศ
ไทยในวนั ท่ี 16 มกราคม และในประเทศญ่ีป่นุ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ สาหรบั ในวนั ที่ 26 กันยายน ซ่ึงเป็นวนั ที่ ไทยและญี่ปุ่นได้ลงนามในปฏิญญาว่าด้วยทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ เมื่อ พ.ศ. 2430 ฝ่ายไทยมอบ ศาลาไทยให้เป็นของขวัญแก่ฝ่ายญ่ีปุ่น ซึ่งถูกจัดต้ังเป็นการถาวรท่ีสวนสาธารณะอุเอะโนะ ในกรุงโตเกียว นอกจากนี้ ฝ่ายไทยจะจัดงานเทศกาลไทย (Thai Festival) คร้ังที่ 8 ท่ีสวนสาธารณะโยะโยะงิ ในกรุงโตเกียว ตามด้วยกิจกรรมส่งเสรมิ ความมนั่ ใจต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในไทย โดยฝ่ายญี่ปุ่นจัดงาน Japan Festival ในกรงุ เทพฯ ข้ึนในเดอื นธนั วาคม ดา้ นนโยบายต่างประเทศ ญ่ีปุ่นต้องการเพิ่มบทบาทและส่วนร่วมในประชาคมระหว่างประเทศอย่างสร้างสรรค์ อาทิ ความ ประสงคท์ ่จี ะเปน็ สมาชิกถาวรคณะมนตรคี วามมน่ั คงแห่งสหประชาชาติ การแกไ้ ขปัญหาคาบสมทุ รเกาหลี และ การผลักดันให้มีการเจรจาการค้ารอบใหม่ขององค์การการค้าโลก เป็นต้น โดยยังคงให้น้าหนักความสาคญั กบั การเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ และพยายามส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศเพ่ือนบ้าน โดยเฉพาะ จีน รัสเซีย เกาหลใี ต้ และอาเซยี น ไทยสนบั สนุนบทบาทดงั กลา่ วของญี่ปุ่น โดยเห็นว่าจะเป็นการสง่ เสริมสนั ติภาพ เสถียรภาพและความ มัน่ คงทั้งในภูมภิ าค และเวทีโลก แต่กระน้ัน ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้เร่มิ ดาเนินนโยบายการต่างประเทศในเชงิ รุกมายิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดมีกรณีพิพาทกับประเทศเพอ่ื นบ้าน อาทิ จีน และสาธารณรัฐเกาหลีเพิม่ มากข้ึน และ ญี่ปนุ่ ยังมีข้อพพิ าทซึ่งเกดิ จากเขตแดนและการแย่งชิงแหล่งพลงั งานและทรัพยากรธรรมชาตกิ ับจนี สาธารณรัฐ เกาหลีและรัสเซยี ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน - ญ่ีปุ่น สมัยพิเศษ ที่จัดข้ึนที่กรุงโตเกียว ระหว่าง 11 - 12 ธันวาคม 2546 ญี่ปุ่นได้ประกาศจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งคร่ึงกันระหว่างอาเซยี นกับการพัฒนาลุ่มแม่น้าโขง ผู้นาอาเซียนและ ญ่ีปุ่นได้ลงนามปฏิญญาโตเกียวว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนท่ีมีพลวัตและยั่งยืนระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นใน สหัสวรรษใหม่ ญ่ีปุ่นได้ให้ความชว่ ยเหลอื แก่ฝา่ ยไทยต่อกรณธี รณพี ิบตั เิ มอ่ื วนั ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 โดยญปี่ นุ่ ได้ ประกาศให้ความช่วยเหลือจานวน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ประเทศที่ประสบภัย สาหรับประเทศไทยนั้น ญี่ปุ่นได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือและกู้ภัย ทีมชันสูตรศพ และเคร่ืองอุปโภคและเวชภัณฑ์เพ่ือช่วยเหลือฝ่าย ไทย โดยความช่วยเหลอื ดงั กลา่ วมาจากทัง้ ทางภาครฐั บาลและภาคเอกชน ความสัมพนั ธด์ ้านการท่องเท่ยี ว ในปี พ.ศ. 2548 มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นมาเยือนไทยจานวน 1,196,654 คน คิดเป็นร้อยละ 10.35 ของนักท่องเท่ียวชาวต่างชาติในไทย คิดเป็นลาดับท่ี 2 รองจากมาเลเซีย และมีชาวไทยเดินทางเยือนญี่ปุ่น จานวน 168,456 คน เพิ่มข้ึนร้อยละ 17.68 คิดเป็นร้อยละ 5.53 ของชาวไทยท่ีเดินทางเยือนต่างประเทศ คิด เปน็ ลาดับที่ 6 กรอบความร่วมมือทวภิ าคีสาคัญ การหารือหุ้นส่วนการเมืองไทย- ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Political Partnership Consultations– JTPPC)) คร้ังที่ 2 ทก่ี รุงเทพฯ เมื่อ 13 ตุลาคม 2548 เป็นการหารอื ประจาปีระหว่างปลัด กต.ไทยกบั รองปลัด กต.ดา้ นการเมืองของญป่ี นุ่ ปจั จบุ ัน อยูใ่ นระหว่างการประสานชว่ งวันหารอื ที่เหมาะสมสาหรับการหารอื ครั้งที่ 3
การประชุมประจาปีทวิภาคีด้านการเมืองและการทหาร (Politico- Military / Military- Military Consultations) คร้ังที่ 6 ที่กรุงโตเกียว เม่ือ 22- 23 มีนาคม 2549 โดยฝ่ายไทยมีนายสุรพล เพชรวรา รอง อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กต. และ พล.ท. นรเศรษฐ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองผู้อานวยการ สานักนโยบาย และแผนกลาโหม กห. เข้าร่วมประชุมกับผูแ้ ทนระดบั สงู จากกระทรวงการตา่ งประเทศและทบวงปอ้ งกันตนเอง ของญี่ป่นุ และไดห้ ารือแลกเปล่ียนความคิดเห็นเก่ยี วกบั สถานการณ์ความมัน่ คงในภูมภิ าคและการต่อต้านการ กอ่ การร้ายระหว่างประเทศ ทัง้ นี้ฝา่ ยไทยกาลังเตรียมการเป็นเจา้ ภาพการประชุมคร่ังท่ี 7 ในปี 2550 คณะทางานร่วมเฉพาะกิจไทย- ญ่ีปุ่น ว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนษุ ย์ ฝ่ายไทยเสนอแนวคิดดังกลา่ ว ในพฤษภาคม 2548 เพอ่ื เป็นกลไกหลกั ในการแก้ไขปัญหาคนไทยในญป่ี นุ่ โดยไดห้ ารือกบั หน่วยงานที่เก่ยี วขอ้ ง และจัดทา Concept Paper เสนอฝ่ายญป่ี นุ่ เมอ่ื กรกฎาคม 2548 และไดจ้ ัดประชุมคณะทางานฯ คร้ังท่ี 1 เมอ่ื 15 พฤษภาคม 2549 โดยสามารถตกลงกันใน Concept Paper และแนวทางการดาเนินความร่วมมอื ในระยะ 1-2 ปีขา้ งหน้า การประชุมความร่วมมือทางวิชาการ หุ้นส่วนไทย -ญ่ีปุ่น (Japan- Thailand Partnership Programme in Technical Cooperation - JTPP) หลงั จากทีไ่ ทยปรับบทบาทจากประเทศผู้รับเปน็ ผู้ให้ราย ใหม่ ความร่วมมือระหว่างไทยกับญ่ีปุ่น จึงเปลี่ยนไปจากการให้ความช่วยเหลือเป็นความร่วมมือในระดับ หุ้นส่วน โดยฝ่ายไทยเสนอให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณารูปแบบการดาเนินการรูปแบบใหม่ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือ ประเทศกาลังพฒั นาใหส้ อดคล้องกับความต้องการของประเทศผู้รบั การจัดทาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญ่ีปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement - JTEPA) ภายหลังการศึกษาร่วมกันระหว่างฝ่ายไทยและญี่ปุ่นซ่ึงมีผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการ เข้าร่วม ในช่วงปี 2545 - 2546 การเจรจาจัดทาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น จึงได้เร่ิมอย่างเป็น ทางการเมือ่ เดอื นกมุ ภาพันธ์ 2547 และหลังจากการเจรจาหลายคร้ัง ไทยกับญีป่ ุ่นสามารถบรรลุความตกลงใน หลักการขององค์ประกอบท่ีสาคัญของ JTEPA ซึ่งนายกรัฐมนตรีของท้ังสองประเทศได้ร่วมกันประกาศการ บรรลุความตกลงในหลกั การดังกล่าวที่กรุงโตเกียวเมื่อ 1 กนั ยายน 2548 ความตกลง JTEP มสี าระครอบคลุม 21 บท ทั้งในด้านการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การเคล่ือนที่ของบุคคล และด้านความ ร่วมมือในสาขาต่างๆ อาทิ การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การท่องเท่ียว การส่งเสริมการค้าและ การลงทุน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม (SMEs) และการเกษตร ประเด็นสาคัญท่ีไทยผลักดันในการเจรจา ได้แก่ การเปิดเสรีสินค้าเกษตร การค้าบริการและการ เคล่ือนทข่ี องบคุ คล และการจัดตั้งกลไกถาวรเพอ่ื พิจารณาการจัดส่งแรงงานทักษะในสาขาทญี่ ่ปี นุ่ ต้องการและ ไทยมีศักยภาพ ขณะเดียวกัน ไทยได้เปิดเสรีเหล็ก ยานยนต์ และช้ินส่วนยานยนต์ และการค้าบริการสาขา ต่างๆ อาทิ สาขาที่เก่ียวเนื่องกับการผลิต ในระดับและระยะเวลาทยอยเปิดเสรีท่ีเอกชนไทยน่าจะรับได้ เพื่อ ประโยชน์ในการปรบั ตัวของโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทย นอกจากการลงนามในร่างความตกลงฯ แล้ว ไทยกับญี่ปุ่นได้ตกลงให้มีการลงนามในเอกสารเกยี่ วกับ โครงการความร่วมมือ 7 เร่ือง ได้แก่ ความร่วมมือเพ่ือสนบั สนุนครวั ไทยสู่โลก ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม เหล็ก อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การอนุรักษ์พลังงาน เศรษฐกิจสร้างมูลค่า และหุ้นส่วนภาครฐั และภาคเอกชน รวมทัง้ เอกสารเกีย่ วกบั ความรว่ มมือดา้ นเกษตร สานักงานเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น กล่าวว่าการจัดทาหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นน่าจะมี ผลบวกทางดา้ นเศรษฐกิจตอ่ ประเทศไทยอยา่ งมาก โดยในมิติยทุ ธศาสตร์จะทาให้ไทยเปน็ หนุ้ ส่วนทม่ี ีความเท่า เทียมใกล้ชิดยิ่งข้ึนกับญ่ีปุ่น ขณะท่ีในมิติเศรษฐกิจ จะส่งผลในการขยายตลาดและยกระดับมาตรฐานสินค้า
เกษตรของไทยในญ่ีปุ่น ทาให้สินค้าเกษตรของไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นได้มากข้ึน ตอกย้าการเป็นฐานการผลิต สินค้าอุตสาหกรรมญ่ีปุ่นในไทย สนับสนุนการปรับโครงสร้างเพ่ือความสามารถในการแข่งขันในอนาคต และ ขยายโอกาสทางด้านตลาดแรงงานฝีมือของไทยในญปี่ ุ่น และในมิติการพฒั นา จะช่วยยกระดบั เทคโนโลยีและ การพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชนได้กล่าวถึงผลกระทบรุนแรงด้านส่ิงแวดล้อมต่อประเทศไทย จากเรื่องขยะ ของเสียอันตรายที่เป็นผลเกีย่ วเน่อื งมาจากความตกลงนี้ เช่น การใช้มาตรการปกปอ้ งสองฝ่ายท่ี กาหนดไว้ใน JTEPA นั้น สามารถใชไ้ ด้เพียงกรณที ่ีเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน ไมไ่ ด้รวมถึงความ เสียหายด้านสิ่งแวดล้อม ดังน้ัน หากมีปัญหามลพิษเกิดข้ึนจากการนาเข้าขยะของเสียอันตราย ก็ไม่อยู่ใน เง่อื นไขท่ีจะใช้มาตรการปกป้องได้ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งไทยกบั สาธารณรฐั เกาหลีใต้ 1. ภาพรวมความสมั พนั ธท์ ่วั ไป ไทยและเกาหลีใต้ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระดบั อคั รราชทตู เมอ่ื วันท่ี 1 ตุลาคม 2501 และยกระดับขึ้นเป็น ระดับเอกอัครราชทูตเมอ่ื วนั ที่ 1 ตลุ าคม 2503 เมือ่ ปี 2551 ไทย และเกาหลีใต้ได้ฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ ทางการทูตระหว่างกนั มีการจัดกิจกรรมที่ครอบคลุมทุกมิติของ ความสัมพันธ์ภายใต้คาขวัญว่าสานสายใยไทย-เกาหลี 50 ปีสู่ อนาคตหรือ 50 Years Friendship for the Future กิจกรรมท่ี สาคัญได้แก่ งานเลี้ยงรับรอง (วันท่ี 1 ตุลาคมท่ีกรุงโซล และ 2 ตุลาคม ท่ีกรุงเทพฯ) การแลกเปล่ียนการแสดงทางวัฒนธรรม ภาพท่ี 8.6 : ความสมั พนั ธ์ระหว่างไทย การสัมมนาทางวิชาการ การออกตราไปรษณีย์ยากรร่วม การ กับสาธารณรัฐเกาหลใี ต้ เยือนของทหารผ่านศึกและการจัดสร้างอนุสาวรีย์ทหารไทยใน ที่มา : https://www.prachachat.net สงครามเกาหลีที่นครปซู าน วันท่สี ืบคน้ : 9 ม.ี ค. 60 2. ความสัมพันธ์ด้านการเมอื ง เกาหลใี ต้มกี ลไกความรว่ มมอื กับไทยท้ังในระดับทวิภาคีและระดับภมู ิภาค ท่ีสาคัญ ได้แก่ การประชุม คณะกรรมาธกิ ารรว่ ม (Joint Commission - JC) ระดบั รฐั มนตรี ซึง่ เป็นกลไกหารอื ภาพรวมความรว่ มมอื และ การประชมุ Policy Consultation (PC) เป็นกลไกการหารือในระดับเจ้าหน้าท่อี าวุโส เพื่อสนับสนนุ และเสริม การหารือในกรอบ JC และความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น ASEAN+1 กับเกาหลีใต้ และ ASEAN+3 (จีน ญปี่ ่นุ และเกาหลีใต)้ มีการเสด็จฯ เยือนเกาหลีใต้ของพระบรมวงศานุวงศ์ของไทย และการแลกเปล่ียนการเยือนในระดับ ผู้นารัฐบาลและรฐั มนตรีระหว่างไทยและเกาหลีใต้อย่างต่อเน่ือง และมีการลงนามสนธิสัญญาและความตกลง ความรว่ มมอื ในหลายสาขา เช่น ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ แรงงาน วัฒนธรรม การลงทุน ฯลฯ 3. ความสมั พนั ธ์ด้านความมนั่ คง ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้เริ่มขึ้นจากความร่วมมือด้านการทหารและความม่ันคง โดย ในช่วงสงครามเกาหลรี ะหว่างปี 2493 - 2496 ไทยไดส้ ่งทหารเขา้ รว่ มกองกาลังสหประชาชาติ (ประกอบด้วย ทหารจาก 16 ประเทศ) เพ่ือป้องกันเกาหลีใต้จากการรุกรานของเกาหลีเหนือ เหตุการณ์ดังกล่าว ทาให้
ประชาชนของสองประเทศรู้สึกผูกพันใกล้ชิด โดยเฉพาะคนเกาหลีใต้ที่ยังคงระลึกถึงบุญคุณของกองกาลัง ทหารไทยท่รี จู้ ักกนั ในนาม พยัคฆน์ อ้ ยอยู่เสมอ ปัจจุบันไทยยังคงส่งนายทหารติดต่อประจากองบัญชาการสหประชาชาติ ( United Nations Command - UNC) และเจา้ หน้าทห่ี น่วยแยกกองทัพบกไทยประจากองร้อยทหารเกียรตยิ ศ (Honour Guard Company) จานวน 6 นายเพอื่ ปฏบิ ัติหนา้ ที่เชิญธงไทยและปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ด้านพิธกี ารเกี่ยวกับสงครามเกาหลีใน UNC เพอื่ เปน็ สัญลกั ษณ์ว่าไทยยงั คงยดึ มั่นในพันธกรณใี นการรกั ษาสันติภาพบนคาบสมทุ รเกาหลี นอกจากด้านการทหารแล้ว ไทยและเกาหลีใต้ยังมีความร่วมมือด้านความมั่นคงในด้านอื่นๆ ได้แก่ การตอ่ ต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมขา้ มชาติ ยาเสพตดิ และอาวุธที่มอี านภุ าพทาลายลา้ งสงู อยา่ งต่อเน่ือง แต่เป็นความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคี เช่นสหประชาชาติ อาเซียน และการประชุมอาเซียนว่าด้วยความ รว่ มมอื ด้านการเมอื งและความมนั่ คงในภูมิภาคเอเชยี -แปซฟิ ิก (ASEAN Regional Forum ARF) 4. ความสัมพนั ธ์ด้านเศรษฐกจิ ความสมั พนั ธด์ ้านเศรษฐกิจระหวา่ งไทยกับเกาหลใี ตด้ าเนินไปอยา่ งราบรน่ื โดยมกี ารจดั ทาความตกลง ด้านเศรษฐกิจด้วยกันหลายฉบับ ได้แก่ 1) ความตกลงทางการค้าซ่ึงลงนามเมื่อปี 2504 2) ความตกลงว่าด้วย การยกเว้นการเก็บภาษซี ้อน ลงนามเมอื่ ปี 2532 เป็นต้น นอกจากน้ี ไทยและเกาหลีใตม้ ีกลไกความร่วมมือทาง เศรษฐกิจท่ีสาคัญ ได้แก่ คณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commissionหรือ JTC) เพื่อเป็น กลไกทางการคา้ ทเ่ี ปิดโอกาสให้ท้ังสองฝ่ายร่วมมอื กนั ในการแสวงหาลู่ทางขยายการค้า รวมทง้ั แกไ้ ขปัญหาและ อปุ สรรคทางการคา้ ทม่ี ีอยรู่ ะหว่างกัน และในสว่ นของภาคเอกชน ทงั้ สองประเทศไดม้ ีการจัดตั้งคณะกรรมการ ร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เกาหลี ( Korea-Thai Economic Cooperation Committee) ระหว่างสภา หอการคา้ แห่งประเทศไทยกบั สภาหอการคา้ และอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ 4.1 การคา้ ก่อนปี 2532 การค้าระหว่างไทยและเกาหลีใต้มีมูลค่าไม่มากนัก แต่ได้ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ระยะ 10 กวา่ ปีที่ผา่ นมา อย่างไรก็ดี ไทยเปน็ ฝา่ ยเสียเปรยี บดลุ การคา้ มาโดยตลอดต้ังแต่ปี 2534 เป็นตน้ มา ในปี 2555 เกาหลีใต้เป็นประเทศคู่ค้าสาคัญอนั ดับ 10 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวม 13,748.53 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออกไปเกาหลีใต้ 4,778.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนาเข้าจากเกาหลีใต้ 8,979.73 ล้าน ดอลลารส์ หรฐั ไทยเสยี ดุลการค้าเกาหลใี ต้ 4,200.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สนิ ค้าส่งออกทสี่ าคัญ ไดแ้ ก่ ยางพารา แผงวงจรไฟฟา้ น้าตาลทราย เคมีภณั ฑ์ น้ามันปโิ ตรเลียม สนิ คา้ นาเขา้ ที่สาคญั ไดแ้ ก่ เหล็กกลา้ และผลิตภัณฑ์ เคมภี ัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟา้ และส่วนประกอบ แผงวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ 4.2 การลงทนุ ในปี 2555 เกาหลีใต้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีมูลค่า 6,101 ล้านบาท จานวน 55 โครงการ นับเป็นอันดับท่ี 14 ของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในประเทศไทย โดยสาขาที่มีการลงทุนมาก ทสี่ ุด ได้แก่ สาขาโลหะและเคร่อื งจกั ร อเิ ลก็ ทรอนิกสแ์ ละเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ เคมีภัณฑ์และกระดาษ 5.3 แรงงานไทย แรงงานไทยเรม่ิ เดนิ ทางเข้าไปทางานในเกาหลีใต้มากข้ึนนับต้งั แต่ปี 2531 ประมาณการวา่ ปัจจุบันมี แรงงานไทยในเกาหลีใต้ 40,000 คน โดยในจานวนนเี้ ปน็ แรงงานทีเ่ ขา้ ไปทางานอยา่ งผดิ กฎหมาย 12,000 คน ตั้งแต่ปลายปี 2546 รฐั บาลเกาหลีใตไ้ ด้ปรับเปล่ยี นนโยบายการนาเข้าแรงงานตา่ งชาติจากที่ใช้ระบบ ผู้ฝึกงานอย่างเดียวเป็นการใช้ควบคู่กับระบบใบอนุญาตทางานด้วย (ระบบ Employment Permit System: EPS) ซ่ึงระบบใบอนุญาตทางานนั้นได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเกาหลีใต้เมื่อวนั ที่ 31 ก.ค. 2546 และมี ผลบังคับใช้ในวันที่ 17 ส.ค. 2547 โดยกระทรวงแรงงานเกาหลีใตไ้ ดค้ ัดเลอื กประเทศที่จะสามารถสง่ คนงานไป
ทางานในเกาหลีใต้ภายใต้ระบบใหม่น้ีจานวน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน ฟิลิปปินส์ ศรี ลงั กา คาซัคสถาน และมองโกเลยี โดยไทยและเกาหลีใต้ได้จัดทาบันทกึ ความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไป เกาหลีใต้ ภายใต้ระบบ EPS ครั้งแรกเมื่อปี 2547 และต่ออายุบันทึกความเข้าใจดังกล่าวอีก 2 คร้ังคือเม่ือปี 2549 และปี 2552 การจัดทาบันทึกความเข้าใจดังกล่าวทาให้แรงงานไทยได้รับโควต้าให้ทางานใน ภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และภาคเกษตร และทาให้แรงงานไทยมีโอกาสไปทางานในเกาหลีใต้มากขึ้นและ เสียคา่ ใช้จ่ายน้อยลง 5.4 การทอ่ งเท่ยี ว ไทยเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศท่ีชาวเกาหลีใต้นิยมเดินทางไปท่องเที่ยว รองจากจีนและญ่ีปุ่น นักท่องเท่ียวเกาหลีใต้เดินทางมาไทยในอัตราเพิ่มสูงข้ึนเป็นลาดับ โดยในช่วงระหว่างปี 2544 - 2547 เฉลี่ย ประมาณปีละ 7 แสนคน และเพิ่มเป็นประมาณ 1.1 ล้านคน ในปี 2550 โดยล่าสุดในปี 2555 มีจานวน 1,169,131 คน กลมุ่ สาคญั ได้แก่ คูส่ มรสใหม่ (ด่มื น้าผึ้งพระจนั ทร)์ และนกั กอล์ฟ แหล่งทอ่ งเที่ยวซ่ึงเป็นทนี่ ยิ ม ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ทั้งน้ี ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเท่ียวที่คู่แต่งงานชาวเกาหลีใต้นิยมเดินทางมาดืม่ นา้ ผึง้ พระจันทร์เป็นลาดบั ที่ 1 ในปี 2555 มีจานวนนักทอ่ งเทย่ี วไทยเดินทางไปเกาหลีใต้ จานวน 387,441 คน 6. ความสัมพนั ธด์ า้ นอ่นื ๆ 6.1 ความร่วมมือดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไทยและเกาหลีใต้ได้จัดทา MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง กระทรวงวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีประเทศไทย กบั กระทรวงวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี กาหลีใต้ (ลงนาม เมื่อวันท่ี 29 พฤษภาคม 2549) โดย MOU ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือใน ด้ า น Solar Cells, Advanced Materials, Biotechnology, Nanotechnology, Electronic Computer, Nuclear Energy, Space Technology และ Meteorology สถาบนั วิจัยจุฬาภรณไ์ ดม้ กี ารจัดทาขอ้ ตกลงความร่วมมือทางวิชาการกบั KIST โดย ศ.ดร.สมเด็จพระ เจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ได้ทรงลงพระนามข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ณ กรุงโซล กรอบข้อตกลงครอบคลุมการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสนับสนุนการทาวิจัย ร่วมกัน และการร่วมมอื ทางด้านวิชาการซึง่ รวมถงึ การให้ปรญิ ญาร่วมกัน นอกจากน้ี สถาบนั วจิ ัยจฬุ าภรณ์ยังมี การจัดทาความตกลงความร่วมมือกับศูนย์วิจัยส่ิงแวดล้อมระหว่างประเทศ (IERC) สถาบัน Gwangju Institute of Science and Technology (GIST) ซ่ึง ศ.ดร.สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ไดท้ รงลงพระนามข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวเมอ่ื เดือนสงิ หาคม 2550 สานัก ง าน ปร มาณูเพื่อสัน ติแห่ง ร าชอ าณาจัก ร ไ ท ยและ สานัก ง าน พ ลัง ง าน ป ร ม า ณู กระทรวงวทิ ยาศาสตร์ฯ เกาหลีใต้ ได้จัดทา MOU เพื่อความรว่ มมือด้านพลังงานปรมาณู เมือ่ วันที่ 24 มนี าคม 2547 ณ กรุงเทพฯ 6.2 การประชุมคณะกรรมาธกิ ารรว่ ม (Joint Commission-JC) ไทยและเกาหลีใต้ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission-JC) เพ่ือเป็นกลไกและ ติดตามการดาเนนิ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างกัน เมอื่ กรกฎาคม 2541 และไดม้ กี ารประชมุ คณะกรรมาธกิ ารร่วมครั้ง ท่ี 1 ระหว่าง 20-21 มิถุนายน 2546 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทั้งสองได้หารือกันเกี่ยวกับความร่วมมือในด้าน ต่างๆ ได้แก่ ด้านการค้า โดยท้ังสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการลดอุปสรรคการเข้าสู่ตลาดของกันและกัน ด้าน ความร่วมมือด้านการท่องเท่ียวด้านแรงงานไทย ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี
สารสนเทศ ตลอดจนการหารือในประเด็นปญั หาภูมภิ าคตา่ งๆ เชน่ สถานการณใ์ นคาบสมทุ รเกาหลี การบรู ณะ ฟน้ื ฟอู ิรกั ภายหลงั สงคราม และการตอ่ ตา้ นการกอ่ การร้าย เปน็ ต้น 6.3 ความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม ไทยและเกาหลีใต้ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอย่างใกล้ชิด ความร่วมมือทางวัฒนธรรมส่วนมาก จะเกี่ยวข้องกับการแสดงทางวัฒนธรรม การประชุมสัมมนาทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนบุคลากรทาง วฒั นธรรม และการเยอื นของผบู้ รหิ ารระดบั สงู ของสานกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรมกาหนดกรอบการให้ความร่วมมือทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ ระหว่างไทย - สาธารณรัฐเกาหลี ประกอบด้วย 1) การแลกเปลี่ยนการเยือน เพ่ือศึกษาดูงานของผู้บริหารงานวัฒนธรรมทัง้ ระดับสูงและระดับกลาง 2) การสร้างและส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชน 3) การ แลกเปล่ียนวัฒนธรรมด้านทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง ด้านภูมิปัญญาชาวบ้าน การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับ ศิลปวัฒนธรรม 4) ความร่วมมือด้านวฒั นธรรม อาทิ วรรณคดี ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ โบราณคดี จติ รกรรม หัตถกรรม และความร่วมมือดา้ นพิพธิ ภัณฑ์ โบราณสถาน 5) ความร่วมมอื เก่ยี วกบั ศลิ ปวัฒนธรรมร่วมสมยั ดา้ น ความร่วมมือในการจัดโครงการนิทรรศการด้านศิลป์ ภาพยนตร์ แฟช่ัน หรือดนตรี ความร่วมมือในการจัด อบรม สัมมนาปฏิบัติการเชิงวิชาการด้านการบริหารจัดการ ทางด้านวัฒนธรรม การจัดการพิพิธภัณฑ์ ศิลปะ สมัยใหม่ งานออกแบบเชิงพาณชิ ย์สาหรับเคร่อื งแตง่ กาย อบรมดา้ นนาฏศิลป์ ดนตรีรว่ มสมัย และ 6) กจิ กรรม อืน่ ๆ อนั มลี ักษณะทางวัฒนธรรม ในระหว่างการเยือนไทยของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2555 ผู้นาทั้ง สองฝา่ ยไดเ้ หน็ พอ้ งสง่ เสรมิ ความรว่ มมือในการจัดตง้ั ศนู ย์วฒั นธรรมระหว่างกัน สรุป ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ คือ การแลกเปล่ยี น การปฏสิ มั พันธ์ ทเ่ี กดิ ขึน้ ขา้ มพรมแดนของประเทศ มีสง่ ผลถึงความร่วมมอื หรือความขัดแยง้ ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลกเกยี่ วข้องกนั โดยตรงกบั การวางนโยบาย ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของแต่ละประเทศเพ่ือรกั ษาผลประโยชน์ของประเทศรวมถึงครอบคลุมทั้งใน ด้านการเมือง และเศรษฐกิจประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งในองค์การระหว่างประเทศและองค์การระดับ ภมู ภิ าค โดยได้พัฒนาความสมั พนั ธ์ใกลช้ ิดกบั ประเทศสมาชิกอาเซียนอ่นื ๆ ซงึ่ ไดจ้ ดั การประชุมระดบั รัฐมนตรี เศรษฐกจิ และการต่างประเทศประจาปี ความรว่ มมือในภูมิภาคกาลงั กา้ วไปขา้ งหน้าทั้งในด้านเศรษฐกจิ การค้า การธนาคาร การเมืองและวัฒนธรรม ในปี 2546 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีของไทย ปัจจุบันรับตาแหน่งเลขาธิการใหญ่การประชุมสหประชาชาติว่า ด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ในปี 2548 ประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นาเอเชีย ตะวันออกเป็นคร้ังแรก ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเมื่อวันท่ี 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 ไทย และ EU มีความสนใจท่ีจะมีความร่วมมือแบบไตรภาคีกับประเทศท่ีสาม โดยเฉพาะในสาขาท่ีไทยมีความ เชยี่ วชาญและอย่ใู นความต้องการของประเทศผู้รับ EU ให้ความสนใจต่อความรว่ มมือแบบไตรภาคกี ับเมียนมาร์ และมีแผนทีจ่ ะให้ความช่วยเหลอื ด้านการพฒั นาแก่เมยี นมาร์มากขน้ึ ในอนาคต โดยไดเ้ ปิดสานกั งาน EU ทเี่ มือง ยา่ งก้งุ เม่ือเดือนเมษายน 2555 มหี นา้ ทด่ี แู ลโครงการความช่วยเหลอื ของ EU แก่เมยี นมาร์
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: