0
ความร้ทู ่ัวไปเกย่ี วกบั สันติวฒั นธรรม สนั ติ หมายถงึ ความสงบสุข สนั ติภาพ หมายถึง ภาวะไรส้ งคราม ความผสานกลมกลนื ความปรองดอง ความเงยี บสงบ ความเยอื ก เย็น ความแจ่มใส ความไม่กังวล ความพอใจ และยอมรับสภาพของตนเอง ฯลฯ แต่สันติภาพที่แท้จริงนั้น อยู่ สูงกว่าและลึกซ้ึงกว่าภาวะความสงบทั้งในระดับส่วนตัวและสังคม และสันติภาพมิใช่เร่ืองของโครงสร้างและ กลไก (นติ ิบัญญตั ิ การเมอื ง เศรษฐกจิ ) แต่เป็นเร่ืองของประชาชนผูส้ รา้ งสันติ บทความออนไลน์ : http://www.royin.go.th ได้ให้ความหมายของ วัฒนธรรม หมายถึง ลักษณะ ท่ีแสดงถึงความเจรญิ งอกงามของสงั คม ความเจรญิ นนั้ แสดงออกได้ด้วยความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย ความกลม เกลียวก้าวหน้าของชาติและศีลธรรมอันดีของประชาชน วัฒนธรรมเป็นส่ิงที่แสดงความเจริญงอกงามทั้งทาง จติ ใจและทางวตั ถุ สิ่งท่ีแสดงใหเ้ หน็ วฒั นธรรมของสังคมมหี ลายอย่าง เช่น ความรู้สึกนกึ คดิ ของสมาชิกในสังคม การรู้จักควบคุมอารมณโ์ ดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้ง มารยาททข่ี ดั เกลาเรยี บร้อย สุภาพเหมาะสมสอดคล้อง ตามบรบิ ทของสถานการณ์ ความรูจ้ ักรักษาสิทธขิ องผูอ้ ่ืนและของตน บทความออนไลน์ : http://social.obec.go.th/ ความหมายของสนั ตวิ ัฒนธรรม สันติวัฒนธรรม หมายถึง แนวทางการประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมท้ังท่ีมี วัฒนธรรมเดยี วกนั หรอื ตา่ งวฒั นธรรมบนหลกั การพน้ื ฐานของความเมตตากรุณามคี วามเจริญงอกงามพัฒนาได้ อย่างตอ่ เนอื่ ง ดังน้นั สันตวิ ฒั นธรรม หมายถึง การปฏิบตั ิของสมาชกิ ในการอย่รู ว่ มกนั อย่างสงบสขุ โดยอยู่ในพนื้ ฐาน ของวัฒนธรรมของความเมตตากรณุ า ลกั ษณะของสันตวิ ฒั นธรรม สันติวฒั นธรรม มีลกั ษณะสาคญั ดังน้ี 1. เป็นเร่อื งของคณุ คา่ ทศั นคติ พฤติกรรม และวิถีชวี ิต ท่ไี มใ่ ชค้ วามรุนแรง 2. เป็นเร่ืองของความใกล้ชิดกลมกลืนกันของลักษณ์ ทัศนคติ คุณค่า ความเชื่อ และแบบ แผนการปฏบิ ัตใิ นการใชช้ ีวติ 3. เป็นเรื่องของการป้องกันจัดการความขัดแยง้ ด้วยวธิ ีการคล่ีคลายเหตุปัจจัยของปญั หาโดย ไม่เผชญิ หนา้ 4. เป็นภูมิคุ้มกันไมใ่ ห้ใชค้ วามรุนแรง เกณฑ์วดั สังคมที่มสี ันติวัฒนธรรม การที่ระบุว่าสังคมใดมีสันติวัฒนธรรม หรือใช้สันติวัฒนธรรมในสังคมมากน้อยเพียงใด ดูจากเกณฑ์ หรือมาตรวดั สันติวัฒนธรรมดงั น้ี 1. มกี ารใชแ้ ละปฏบิ ัติตามหลกั สิทธมิ นุษยชนอยา่ งเทา่ เทียม 2. มีระบบการศึกษาท่เี ปิดโอกาสใหส้ มาชกิ ในสงั คมอย่างเทา่ เทยี มกัน 3. การพัฒนาสงั คมในทุกระดับต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีสว่ นรว่ ม 4. ประชาชนมีสว่ นรว่ มกับกระบวนการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 5. การปกครองหรือการบริหารงานภาครัฐใช้หลกั ธรรมาภิบาลเปน็ ฐาน 6. มีความเสมอภาค และความเทา่ เทียมทางเพศสภาพ ชนชนั้ เชอื้ ชาติ ศาสนา
7. ประชาชนมีอิสรภาพ เสรีภาพในการแสดงความคิดเหน็ ตอ่ สาธารณะ 8. มีอดุ มการณ์ของชาติทีห่ ลอมรวมความเปน็ นา้ หน่งึ ใจเดยี วกนั 9. มีรฐั สวสั ดิการ และความมน่ั คงปลอดภัยในชีวติ และทรัพยส์ นิ 10. ทรัพยากรธรรมชาตแิ บะสงิ่ แวดลอ้ มมีความอุดมสมบูรณแ์ ละสมดุล แนวทางสรา้ งสันตวิ ฒั นธรรมในสังคม การสร้างสันติวัฒนธรรม มนุษย์ต้องสร้างความสัมพันธใ์ ห้เกดิ ข้ึนกับเพือ่ นมนุษย์รว่ มสังคม และสร้าง ธรรมชาตสิ ่งิ แวดล้อม รวมถึงกฎกติกาในสงั คมให้เอือ้ ต่อบรรยากาศ สนั ติวฒั นธรรมในพระพทุ ธศาสนาสอนให้ คนในสังคมสร้างความรกั ความผูกพัน ความมีเมตตากรุณา ความเอื้ออาทรต่อกัน ซึ่งคุณธรรมดังกล่าวถือเปน็ หลักการพ้นื ฐานของการสรา้ งสันติวัฒนธรรม โดยการประพฤติปฏบิ ตั ิตามหลักธรรมเร่อื ง สงั คหวตั ถุ 4 และสา ราณยี ธรรม 6 ซง่ึ มีแนวทางปฏบิ ตั ิดังน้ี สังคหวัตถุ 4 สงั คหวตั ถุ แปลว่า หลกั การสงเคราะห์ ธรรมเครอ่ื งยดึ เหน่ียว คือ หลักธรรมทเี่ ปน็ เคร่อื งยดึ เหนีย่ ว นา้ ใจของผอู้ ่ืน ผกู ไมตรี เอื้อเฟอื้ เกื้อกูล หรอื เป็นการชว่ ยเหลือซึ่ง กนั และกนั 1. ทาน หมายถึง การให้ด้วยเมตตา การให้ด้วย กรณุ า และการให้ดว้ ยมทุ ติ า 2. ปิยวาจา หมายถึง การพูดด้วยเมตตา การพูด ด้วยกรณุ า การพดู ด้วยมทุ ติ า 3. อัตถจริยา การช่วยด้วยเมตตา การช่วยด้วย กรุณา การช่วยดว้ ยมุทิตา ภาพท่ี 7.1 : การใหด้ ้วยเมตตา 4. สมานัตตตา ได้แก่ การมีตนเสมอ เอาตัวเข้า ทีม่ า : http://thaihealthlife.com สมาน เข้าร่วมอย่างเสมอภาค คราวนี้เข้าถึงตัวกันเลย คือ ร่วมสุข วนั ทสี่ บื คน้ : 27 ก.พ. 60 ร่วมทุกข์ ยามสุข สุขร่วมด้วย ยามทุกข์ ไม่ทิ้งกัน มีปัญหาก็ร่วม ช่วยแก้ไข ยามปกติก็เสมอหน้า ไม่ดูถูกดูหมิ่น ไม่เหยียดหยาม กนั ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ไมเ่ ลือกทรี่ กั มักท่ีชงั มีความเสมอภาค ต้งั มนั่ ในอเุ บกขา มจี ติ เป็นธรรม สาราณยี ธรรม 6 สาราณียธรรม หมายถึง ธรรมเป็นที่ต้ังแห่งความระลึกถึงกัน ถือว่าเป็นธรรมท่ีเป็นพลังในการสร้าง ความสามัคคี 6 ประการ คือ 1. เมตตากายกรรม 2. เมตตาวจีกรรม 3. เมตตามโนกรรม 4. สาธารณโภคี 5. สีลสามญั ญตา 6. ทิฏฐิสามัญญตา
อุปสรรคการสรา้ งสนั ติวฒั นธรรมในสงั คม การสรา้ งสนั ติวัฒนธรรมขน้ึ ในสงั คมไมป่ ระสบความสาเร็จหรือเปน็ ไปอย่างไม่ต่อเนื่อง ลว้ นเกิดขึ้นมา จากคนในสังคมที่ยังยึดติดกับความคิด ความเช่ือ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ลัทธิ อุดมการณ์ และ ความเป็นชาติพนั ธ์ุของตนเองอย่างเหนียวแน่น ไมย่ อมปรับหรือยอมการมีอยู่ของสายความคิดหรอื แนวปฏิบัติ ทแี่ ตกต่างจากกลุม่ ตน ในทัศนะของพุทธศาสนากล่าวถึงอุปสรรคหรือสาเหตุที่ส่งผลให้การพัฒนา การคิดริเร่ิม การทาสิ่งสร้างสรรค์สังคม การปรับเปลี่ยนสังคม ไม่ประสบความสาเร็จ เพราะมนุษย์มีอุปนิสัยหรือแนว ทางการประพฤติปฏบิ ตั ิ ตรงกบั หลักธรรม 2 ประการ คอื อคติ 4 และมจั ฉรยิ ะ5 อคติ 4 อคติ ได้แก่ ความลาเอียง ความไมเ่ ท่ยี งธรรม ทางความประพฤติท่ผี ิดมี 4 ประการ คอื 1. ฉันทาคติ 2. โทสาคติ 3. โมหาคติ 4. ภยาคติ มัจฉริยะ 5 มจั ฉรยิ ะ ได้แก่ ความตระหน่ี ความหวงแหน กดี กนั ในหมมู่ นษุ ย์ ซ่งึ ต้องแกไ้ ขให้ได้ เพราะถ้าแก้ไมไ่ ด้ คนก็ยังมีใจคบั แคบ สามคั คีทแ่ี ทจ้ รงิ กม็ ไี ม่ได้ โลกกไ็ มม่ ีทางสงบ 1. อาวาสมัจฉรยิ ะ 2. กลุ มัจฉริยะ 3. ลาภมัจฉรยิ ะ 4. วรรณมจั ฉรยิ ะ 5. ธรรมมัจฉรยิ ะ องค์ประกอบของสันติวัฒนธรรม สานึกหรือทัศนคติท่ีมีอิทธิพลอย่างมากในการผลักดันให้ผู้คนกระทาความรุนแรงต่อกันจนนาไปสู่ สงคราม ก็คือ ความถือตัวถือตนว่าสูงกว่า ไม่ว่าจะโดยทางชาติพันธุ์ หรือผิวสี หรือภาษา หรือแม้แต่ศาสนา ควบคู่กันสานึกดังกล่าว ก็คือการเหยียดคนท่ีมีอัตลักษณ์ต่างจากตนว่าเป็นผู้ท่ีด้อยกว่า หากการเหยียดนั้นไป ไกลถงึ ขน้ั ท่ีเห็นว่าตา่ กว่าความเป็นมนุษย์ การใชค้ วามรุนแรงกบั คนเหล่าน้นั ก็เกดิ ข้นึ ไดไ้ มย่ าก การล้างเผา่ พนั ธุ์ ชาวยวิ เกดิ ขนึ้ ไดเ้ มอื่ ชาวเยอรมันเห็นว่าคนยิวนัน้ คอื “เชื้อโรค” “ไวรสั ” “อสรู ” หรือ “เดนมนษุ ย์” ในทานอง เดยี วกนั สงครามในคาบสมทุ รบอลข่านลุกลามอย่างรวดเรว็ และโหดร้ายยง่ิ กเ็ พราะขณะท่ชี าวโครเอเชียเหยียด ชาวเซอร์เบียว่าเป็น “สัตว์สองขามีเครา” คนเซอร์เบียก็เรียกคนโครเอเชียว่า “ค้างคาวผี” ในสงครามอ่าว เปอรเ์ ซีย ทหารอเมรกิ ันเรียกการสังหารทหารอริ ักท่ีล่าถอยว่า “การยงิ ไกง่ วง” บางคนถงึ กบั เปรยี บทหารอิรัก ว่าเปน็ “แมลงสาบ” การถือตัวถือตนว่าสูงหรอื เหนือกวา่ ผู้อน่ื เมอ่ื เกดิ ขน้ึ แล้วย่อมอดไม่ได้ท่ีจะเหยยี ดอีกฝ่าย หนึ่งให้ต่ากว่า แต่ไม่มีอะไรท่ีอันตรายเท่ากับการถือตัวว่า เป็นผู้ท่ีมีคุณธรรมสูงกว่า หรือประเสรฐิ กว่า เพราะ น่ันจะทาให้ผู้ที่อยู่คนละฝ่ายถูกประทับตราไปในทันทีว่า เป็นผู้ท่ีชั่วร้ายต่าทราม อะไรก็ตามเม่ือถูกตราว่า ช่ัว ร้ายแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลท่ีจะอยู่ หากสมควรที่จะถูกขจัดออกไป ความรุนแรงท่ีกระทากับคนเหล่าน้ันกลายเป็น ความชอบธรรมขึ้นมาทัน ทีอัตลักษณ์นั้น ในด้านหน่ึง ช่วยทาให้เกิดความรู้สึกร่วม กัน ในหมู่ผู้ที่มีอัตลั กษ ณ์ เดยี วกนั แตใ่ นอีกด้านหนง่ึ กท็ าให้ผู้มีอตั ลักษณต์ า่ งจากตน ถกู กีดกันออกไป กลายเป็นคนละพวก จนอาจถงึ ขนั้ กลายเป็นปรปักษก์ นั ความเปน็ ปฏปิ กั ษน์ ีจ้ ะรุนแรงเขม้ ขน้ มากหากเกิดความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเราขึ้นมาว่า “ฉัน
ดี แกชว่ั ” เช้อื ชาติ ผิวสี ภาษา อาจทาให้เกิดความรู้สกึ ดงั กล่าวได้ แตก่ ็ไม่มากเท่ากับศาสนา ไม่วา่ ต่างศาสนา หรือต่างนิกายก็ตาม การปฏิบัติศาสนาย่ิงเคร่งมากเท่าไร ก็ย่ิงเสริมความรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนดี” มากเท่าน้ัน และเห็นคนทไ่ี มป่ ฏิบตั ิตามแนวทางของตวั เป็นคนชวั่ มากขึน้ ตามไปด้วย ในยุคสงครามเย็นนนั้ คาถามสาคัญก็คือ “คุณอยู่ข้างใคร?” แต่ในยคุ ปัจจุบัน คาถามที่สาคญั กว่า คือ “คณุ เปน็ ใคร ?” คุณเปน็ คนผิวสอี ะไร เปน็ คนชาตไิ หน เปน็ คนศาสนาอะไร อัตลักษณ์เหลา่ นก้ี ลายเปน็ ประเด็น สาคัญทางการเมือง ที่กาหนดความสัมพันธ์ทางอานาจของผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ขณะเดียวกันก็เป็นพลัง สาคัญในการระดมทรัพยากรทางการเมืองเพ่ือขับเคลื่อนประเทศ(หรือชุมชนทางการเมือง)ให้ไปในทิศทางที่ ต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นการร้ือฟ้ืนความย่ิงใหญ่ในอดีต(ตามที่เช่ือกัน)ให้กลับคืนมา แต่ส่ิงที่มัก เกิดข้ึนควบคู่กันก็คือการสร้างภาพอีกฝ่ายหน่ึง (ท่ีมีอัตลักษณ์ต่างกัน)ให้เป็นศัตรู หรือเป็นต้นตอแห่งความ เสื่อมทรามและปัญหาท้ังมวลท่ีเกิดข้ึนเช่นเดียวกับท่ีชาวยิวเคยถูกตราหน้าว่าเปน็ ตัวการแห่งความเลวร้ายทง้ั ปวงในประเทศเยอรมนี การมีศัตรูอยู่ข้างนอก ยังทาให้เกิดความสมคั รสมานสามัคคีในหมู่พวกเดียวกนั ไดง้ ่าย ข้นึ การเมอื งที่ชเู รื่องอัตลกั ษณ์ จงึ เป็นตวั บ่มเพาะความเกลียดชังและแพร่ความรนุ แรงให้ระบาดอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน ท้ังนี้โดยวัฒนธรรมแห่งความรุนแรงท่ีมีอยู่เดิม (โดยเฉพาะความถือตัวถือตนว่าสูงกว่าหรือดีกว่า) เปน็ เครอ่ื งมอื ขณะเดยี วกนั ก็ตอกยา้ วัฒนธรรมดงั กลา่ วใหม้ ่นั คงแนน่ หนาข้นึ นอกจากความถือตัวถือตนว่าสูงกว่า(ซ่ึงพุทธศาสนาเรียกว่า“มานะ”)แล้วองค์ประกอบที่สองของ วัฒนธรรมแห่งความรุนแรงก็คือ การยึดติดในความคิดความเช่ือหรือลัทธิอุดมการณ์ (ซ่ึงพุทธศาสนาเรียกว่า “ทิฏฐิ”) ความยึดติดดังกล่าวหากมีมากชนิดฝังหัวสามารถทาให้ผู้คนยอมทาทุกอย่างเพ่ือความเช่ือหรือลัทธิ อุดมการณ์นั้น แม้ว่าตัวเองจะต้องตาย หรือทาให้ผู้อ่ืนตายก็ตาม ในด้านหน่ึงเราจึงเห็นการสละชีวิตราวใบไม้ รว่ งเพอื่ ลทั ธิคอมมวิ นิสต์ในรัสเซีย จนี เวียดนาม กัมพูชา แต่ในอีกด้านหน่ึงเราก็เห็นการสงั หารผู้คนนับไม่ถ้วน ในประเทศเหล่าน้ันเนื่องจากขัดขวางความก้าวหน้าของลัทธิดังกล่าว (อย่างน้อยก็จากมุมมองของผู้นาใน ประเทศดังกล่าว) แม้ลัทธิคอมมิวนิสต์จะล่มสลายไปเกือบหมดแล้ว แต่ก็มีลัทธิอุดมการณ์อ่ืน ๆ ที่เข้ามาครอบงาจิตใจ ของผู้คนแทน จนนาไปสู่การทาสงครามกัน ท่ีสาคัญก็คือลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญในการทาให้เกิด สงครามกลางเมืองเพ่ือแยกประเทศจนเกิดประเทศใหม่ ๆ เพ่ิมขนึ้ มากมาย ในขณะทีอ่ กี หลายประเทศยงั มีการ สู้รบอยา่ ง ไมเ่ ลกิ ราในบัดนี้ เท่านั้นยังไม่พอ ลัทธิอดุ มการณ์ทม่ี าในรูปศาสนายังเป็นอีกปัจจยั หนง่ึ ซ่ึงมีบทบาท อย่างมากในการผลักดันให้เกิดความรุนแรงนานาชนิด ทั้งในรูปสงครามระหว่างประเทศ สงครามกลางเมือง การกอ่ การรา้ ย และการนองเลอื ดระหว่างกลมุ่ ชนความติดยดึ ในลทั ธิอุดมการณ์จนฝงั หัว นอกจากจะทาให้มอง คนท่ีคิดหรือเช่ือต่างจากตนเป็นศัตรูแล้ว ยังอาจบ่มเพาะความโกรธเกลียดจนถึงข้ันทาร้ายคนเหล่าน้ันได้ บ่อยครั้งลัทธิอุดมการณ์ดังกล่าวยังเพ่ิมพูนความถือตัวถือตนของผู้สมาทานลัทธิน้ัน ว่าเป็นผู้สูงกว่าในทาง คุณธรรม ซ่ึงในทางกลับกันก็ทาให้เหยียดอีกฝ่ายว่า มีคุณธรรมด้อยกว่า หรือเป็นคนเลวร้าย (ดังน้ันจึงไม่ สมควรมชี ีวิตอยบู่ นโลกน้ี) ดังผ้ทู ่ีเชอ่ื ว่าชีวิตเป็นสงิ่ ศกั ดิ์สิทธ์ิท่ีต้องเชิดชูปกป้อง (pro-life) บางคนถงึ กับบุกเข้า ไปสังหารหมอและพยาบาลในคลนิ กิ ทาแทง้ หรือ นักอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ มแบบสุดโต่งบางคนลงมือสงั หารผู้ ท่ีทาลายสิ่งแวดล้อมหรือทรมานสัตว์ แน่นอนว่าในบรรดาลัทธอิ ุดมการณ์ท้ังหลาย ศาสนาท่ีสมาทานอย่างยึด ตดิ สามารถทาให้เกิดความร้สู กึ ทางลบไดม้ ากที่สดุ ตอ่ คนทคี่ ดิ ต่างจากตน องค์ประกอบที่สามของวัฒนธรรมแห่งความรุนแรงก็คือ ความทะยานอยาก (พุทธศาสนาเรียกว่า “ตัณหา”) ความทะยานอยากท่ีมีอิทธิพลในปัจจุบันมากท่ีสุด มาในรูปของวัตถุนิยมและบรโิ ภคนยิ ม ซ่ึงทาให้ เช่ือว่า ความสุขเกิดจากการบริโภค หรือบริโภคมากเท่าไร ก็ย่ิงมีความสุขมากเท่าน้นั ความเช่ือดังกล่าวทาให้ เกิดความทะยานอยากไม่รู้จักพอ จึงนาไปสู่การแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น และเอารัดเอาเปรียบกันท้ังตั้งแต่ระดับ
บุคคลไปจนถึงระดับประเทศ ส่งิ ที่ตามมาคอื ความรนุ แรงจนถงึ ข้นั ประหตั ประหารกนั นอกจากอาชญากรรมที่ แพร่ระบาดในหลายประเทศแล้ว ปัจจุบันยังมีสงครามระหว่างประเทศและสงครามกลางเมืองจานวนมาก เกดิ ขนึ้ เพราะการแย่งชิงทรพั ยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ประมาณว่า 1 ใน 4 ของสงครามและการรบ พุ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประทุขึ้นมาหรือลุกลามขยายตัวเพราะการแย่งชิงและครอบครอง ทรัพยากรธรรมชาติ (Williams 161) การประหัตประหารระหว่างเผ่าพันธ์ุในหลายกรณีก็มีความขัดแย้ง ทางด้านทรัพยากรเปน็ แรงผลกั ดนั อยู่เบอื้ งหลงั อาทิ การฆา่ ลา้ งเผ่าพันธุ์ในรวันดา ซึง่ เชื่อมโยงกบั การแย่งชิงที่ ทากิน ดังพบว่าแม้ในชุมชนท่ีมีแต่คนเผ่าเดียวกัน ก็ยังมีการฆ่ากันอย่างมากมาย โดยท่ีคนตายมักจะเป็น เจ้าของทดี่ ิน นอกจากความรุนแรงทางตรงแล้ว การเอารัดเอาเปรียบและแย่งชิงผลประโยชน์ยังก่อให้เกิดความ รุนแรงอีกประเภทหนึ่ง คือ ความยากจนข้นแค้น จนอาจถึงข้ันเสียชีวิต ในปัจจุบันมีคนอดอยากหิวโหยถึง 1,100 ล้านคน (หรือ 1 ใน 5 ของประชากรโลก) ทั้งหมดน้ีเกิดขน้ึ ท่ามกลางอาหารและทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง ลน้ เหลือทว่ั ทัง้ โลก (รวมท้งั ในประเทศท่ีมีคนหิวตายนบั ล้าน) ความอดอยากเหล่านี้ไม่ไดเ้ กิดจากการขาดแคลน ทรพั ยากร หากเกิดจากระบบเศรษฐกิจและการคา้ ท่ไี ม่เป็นธรรม ซงึ่ มงุ่ ตอบสนองความอยากอยา่ งไม่มีที่สุดของ คนสว่ นนอ้ ยทม่ี ีอานาจ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซ่ึงทาให้เกิดชอ่ งวา่ งอย่างมหาศาลระหว่าง คนมีกับคนไม่มี ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่าในขณะท่ีแต่ละปีผู้คนในประเทศยากจนตายถึง 9 ล้านคนเพียงเพราะ ขาดน้าดืม่ และน้าใช้ที่สะอาด (ซ่ึงแก้ไดด้ ้วยเงนิ 9,000 ลา้ นเหรียญ) คนในยโุ รปใชเ้ งินซือ้ ไอศกรีมปีละ 11,000 ล้านเหรียญ และซื้อนา้ หอมปลี ะ 12,000 ลา้ นเหรียญ สว่ นเงินทใี่ ชซ้ ้ือครมี บารุงผวิ ทวั่ ท้ังโลกสูงถงึ 24,000 ลา้ น เหรียญ ไมน่ บั ผลิตภัณฑบ์ ารุงผมอกี 38,000 ล้านเหรยี ญ โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจและคมนาคม โดยเฉพาะการรุกขยายของตลาดเสรี ได้ทาให้บริโภคนิยม แพร่กระจายไปท้ังโลก กระตุ้นความอยากและการแย่งชิงทรัพยากรและผลประโยชน์ให้รุนแรงข้ึนทั่วท้ังโลก ขณะเดียวกันการรุกของวฒั นธรรมตะวนั ตก ไดท้ าให้ผู้คนในหลายประเทศหลายวัฒนธรรมรู้สึกถกู คุกคามและ กลัวจะสูญเสียอัตลักษณ์หรืออ่อนแอลง จึงย่ิงชูอัตลักษณ์ของตนเพ่ือเป็นกาแพงปกป้องตนเองและกีดกันอีก ฝ่ายหนึ่งออกไป มีการสร้างปมเด่นทางเชื้อชาติ สีผิว ภาษา ศาสนา จนเกิดความรู้สึกถือตัวถือตนมากข้ึน ขณะเดียวกนั กม็ กี ารกลับไปหาอุดมการณด์ ั้งเดิมเพอื่ เป็นเครอื่ งมือต่อสกู้ บั โลกาภิวัตน์ ชาตนิ ิยมและศาสนานิยม จงึ แพร่ไปท่ัวโลก โดยมักมีลักษณะเป็นปฏิกิริยาต่อต้านอย่างเข้มข้นต่อส่ิงที่เชื่อว่าเป็นภัยคุกคามจากภายนอก จึงเกิดการเผชิญหน้ากันมากขึ้นระหว่างคนต่างชาติต่างศาสนา ขณะเดียวกันโลกาภิวัตน์ยังทาให้เกิดความ หลากหลายทางความคิดความเช่ือมากข้ึนแม้กระทั่งในชุมชนเดียวกันหรือข้างเคียงกัน จึงง่ายท่ีจะเกิด ความรสู้ กึ เปน็ ปฏิปักษ์ต่อกนั จนเกิดความรนุ แรงไดไ้ ม่ยาก กลา่ วอีกนัยหน่ึง ปัจจุบนั มานะ ทฏิ ฐิ และตณั หา มี แนวโน้มเขม้ ขน้ เพม่ิ พูนมากขึ้น ทาให้วัฒนธรรมแห่งความรุนแรงขยายตัวเปน็ ลาดับ วัฒนธรรมเพอื่ สนั ติภาพ วัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ หมายถึง การสานึก คุณค่า ความเชื่อท่ีไม่ส่งเสริมความรุนแรงเอ้ือต่อความ สมานฉันท์และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หากวัฒนธรรมแห่งความรุนแรง มีพ้ืนฐานอยู่บน ความถือตัวถือตน ความติดยึดในลัทธิอุดมการณ์ องค์ประกอบสาคัญของวัฒนธรรมเพ่ือสันติภาพ คือ ความเคารพผู้อ่ืนว่าเสมอ กับตน ความมีขันติธรรม และความสันโดษ รู้คุณค่าหรือสานึกที่ประสานมนุษย์ให้เป็นหน่ึงเดียวกัน โดยไม่ คานึงถึงความแตกต่างทางอตั ลักษณ์และความเช่ือ เป็นสิ่งจาเป็นอย่างมากในยุคโลกาภิวัตน์ ใช่หรือไม่ว่าการ ขาดคุณค่าหรือสานึกท้ัง 3 ประการดังกล่าวทาให้ผู้คนแบ่งออกเป็นขั้ว ๆ และมีช่องว่างระหว่างกันมากขึ้น นอกจากความร่ารวย ท่ีเกิดข้ึนควบคู่กับความจนอย่างสุดโต่งแล้ว ยังเกิดข้ัวตรงข้ามระหว่างสานึกในความ
เปน็ หนึง่ เดยี วกันของคนท้ังโลก (globalism) กบั การตดิ ยดึ กับมวลหมพู่ วกแคบ ๆ ของตัว ตามลกั ษณะเชื้อชาติ ภาษาและศาสนา (tribalism) หรือการแบ่งเป็นข้ัวระหว่างโลกแห่งวัตถุนิยมและเทคโนโลยี กับโลกแห่งความ เคร่งทางศาสนาจารีตและพระเจ้า ซึ่งมีผู้ต้ังฉายาว่า Mc World กับ Jihad หรือขั้วระหว่างแนวคิดแบบโลกี วิสยั (secularism) กบั ความเคร่งคมั ภีร์ (fundamentalism) ลกั ษณะความเป็นขัว้ ตรงข้ามเกิดขึ้นอยา่ งชัดเจน ในด้านต่าง ๆ จนอาจเรียกยุคนีว้ ่า ยุคแห่งความสุดโต่ง โลกที่แบ่งเป็นขั้วตรงข้าม จะโน้มเข้ามาหากันได้มาก ขึ้น และเบียดเบียนกันน้อยลง หากทุกฝ่ายเปิดใจเข้าหากัน เคารพในอัตลักษณ์ของกันและกัน และมีความ เอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ต่อกันมากข้ึน จะทาเช่นน้ันได้กต็ ่อเม่ือมองเห็นวา่ เราทุกคนมีความเป็นมนษุ ย์เหมือนกัน ไม่ว่า จะมีความแตกต่างกันเพียงใด แต่นั่นเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับส่ิงที่เรามีรว่ มกัน เช่น ความรักสุข เกลียดทุกข์ ความใฝ่ดี ความปรารถนาทจี่ ะได้รบั การยอมรบั และความรกั ในศกั ดิ์ศรขี องตนเอง นอกจากสานึกในความเป็นมนุษย์ร่วมกัน และการเคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของทุกคน แล้ว ความเช่ือในการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี เป็นสานึกอีกประการหนึ่งที่จาเป็นอย่างมากสาหรับการสร้าง วัฒนธรรมเพือ่ สันติภาพ ความรุนแรงน้ันสามารถแก้หรือยตุ ปิ ัญหาไดช้ ่ัวคราว แตก่ ลับสรา้ งปญั หาใหมใ่ หเ้ กดิ ขึ้น หรือทาให้ปญั หารนุ แรงขนึ้ ในระยะยาว ความรุนแรงแม้กาจดั คนชั่วได้ แตม่ นั ก็สรา้ งคนช่ัวคนให้เกิดขนึ้ มาใหม่ ได้ และหนึ่งในจานวนนั้นก็คือผู้ที่ใช้ความรุนแรงเป็นอาจิณน้นั เอง ดังน้ันการปฏิวตั ิด้วยความรุนแรงจึงไมเ่ คย กาจดั คนชัว่ หมดหรอื ก่อใหเ้ กิดสนั ติภาพอย่างแท้จรงิ เสียที เพราะหลงั จากกาจัดฝา่ ยตรงข้ามแลว้ ในทสี่ ุดปนื ทุก กระบอกกห็ นั มายงิ พวกเดียวกนั เอง ประการสุดท้ายก็คอื การเหน็ คุณคา่ ของการมีชีวิตทเ่ี รียบงา่ ย ตระหนักวา่ ความสขุ เกดิ จากการได้ทาสิ่ง ท่มี ีคุณคา่ และความหมายตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น รวมท้งั การเข้าถึงความสขุ ด้านใน อันเกดิ จากจิตทสี่ งบ ไร้ซึ่งความ โกรธเกลียดหรือทะยานอยาก หาไดเ้ กดิ จากการตักตวงวัตถหุ รือสง่ิ เสพใหไ้ ด้มาก ๆ ไม่กล่าวอกี นยั หนง่ึ คือความ ตระหนักวา่ ความสุขนัน้ อยู่ไมไ่ กล หากอยกู่ ลางใจเรานี้เอง บทบาทของศาสนาในการสร้างสันติวฒั นธรรม ความถือตัวถือตน หมายถึง ความยึดติดในลัทธิอุดมการณ์ และความทะยานอยาก ซ่ึงเป็น องค์ประกอบพื้นฐานของวฒั นธรรมแห่งความรุนแรงนั้น โดยเนื้อแท้ก็คือ การเอาตัวตนเป็นศูนย์กลางหรือมงุ่ สรา้ งความเปน็ ใหญ่แหง่ ตัวตน ตวั ตนนัน้ ไม่วา่ ระดบั ปัจเจกหรอื ระดับรวมหมู่ ย่อมต้องการเอาทุกสง่ิ ทุกอย่างมา หนุนเสริมความยิง่ ใหญใ่ หแ้ กม่ ัน ไมว่ ่าส่ิงนั้นจะเปน็ อัตลกั ษณ์ ลทั ธิอุดมการณ์ หรอื ทรัพยส์ ินเงนิ ทอง ศาสนาสาคัญทุกศาสนา มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเห็นแก่ตัวหรือการถือเอาตัวตนเป็นศูนย์กลาง ท่ี หากยกจิตใจของคนให้อยู่เหนอื ความยดึ ติดในตนเอง พดู แบบพทุ ธคือ ทาให้มานะ ทิฏฐิ และตัณหา เบาบางลง หรือหมดสิ้นไป ดังนั้น จึงสวนทางกันกับวัฒนธรรมแห่งความรุนแรง ขณะเดียวกันกส็ ่งเสริมสันติวฒั นธรรม ด้วย การเชดิ ชู ความรัก ขันติธรรม ความเคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเปน็ มนุษย์ของทกุ คน รวมทั้งการเข้าถึงความสุข จากชวี ติ ท่เี รยี บง่ายและไม่องิ วัตถุจะว่าไปแลว้ ทุกศาสนาลว้ นถือเอาสันตภิ าพของมนษุ ยชาตเิ ปน็ เป้าหมาย ด้วยกันทั้งนั้นการปฏิบัติตามแนวทางของศาสนา สามารถบันดาลใจให้เกิดกุศลธรรม หรือทาให้เกิดคุณภาพ ใหม่ในจิตใจ เช่น ความเมตตากรุณา ความเอ้ือเฟื้อเพ่ือแผ่ และความเสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาจึง สามารถเป็นแรงขับเคล่ือนให้เกดิ ความสมานฉันท์ในสังคม อีกท้ังยังสามารถผลักดันให้มีการเอารัดเอาเปรียบ หรอื เบยี ดเบียนกนั นอ้ ยลง ดังทีเ่ คยมบี ทบาทมาแล้วในการต่อต้านทางสงคราม การยกเลกิ ทาส การพิทักษ์สทิ ธิ มนุษยชนของคนผิวสี หรือการคัดค้านระบอบเผด็จการ อย่างไรก็ตามความจริงอย่างหน่ึงท่ีปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ศาสนาตา่ ง ๆ ได้มีส่วนไมน่ อ้ ยในความรนุ แรงทเ่ี กิดขึน้ ทัว่ ทุกมุมโลกไมว่ า่ อดีตหรือปัจจุบัน ส่วนหนึง่ เป็นผลจาก การที่ศาสนาถูกใช้ในการสร้างความชอบธรรมรองรับความรุนแรง เช่น อ้างคาสอนทางศาสนาเพื่อสนับสนุน
สงคราม หรืออ้างว่าทาสงครามเพื่อเผยแพร่ศาสนา หรือก่อการร้ายเพื่อปกป้องศาสนา (โดยผู้ท่ีอ้างเหล่าน้ัน แท้จริงหาได้ศรัทธาในศาสนาได้) แต่บ่อยครั้ง ความรุนแรงก็เกิดข้ึนจากผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าในศาสนา หรือได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาโดยตรงดังได้กล่าวก่อนหน้าน้ีแล้วว่า บางครั้งศาสนาได้กลายมาเป็นอัต ลักษณ์อย่างหนึ่งเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้น ขณะที่เหยียดอีกฝ่ายให้ต่าลงจนถึงกับตราหน้าว่าเขาเป็นคนเลวร้าย และมีหลายครงั้ ท่ีความยึดติดถือม่ันในศาสนาทาให้เกิดความเช่ือม่ันแรงกล้าวา่ จะทาอะไรก็ได้ท้ังนัน้ เพื่อความ รุง่ โรจนข์ องศาสนา พูดอีกอย่างคอื ศาสนากลายเปน็ ใบอนญุ าตให้ฆ่าคนต่างศาสนาก็ได้ ทัศนะดงั กล่าวพบเห็น ได้ในหมู่ศาสนิกชนจานวนไม่น้อยที่เรียกว่าพวกเคร่งคัมภีร์ (fundamentalist) ซ่ึงหลายคนไปไกลถึงขั้นเป็น พวกสุดโต่ง (extremist) อย่างไรก็ตามควรกล่าวว่าพวกสุดโต่งนั้นมิได้มีอยู่ในหมู่ศาสนิกหรือพวกเคร่งจารีต เท่านั้น แม้ผู้ที่มีความเช่ือแบบโลกย์ หรือ secularism เช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิอนุรักษ์นิยมใหม่ (neo- conservatism) หรือลทั ธอิ นุรักษ์ธรรมชาติ กส็ ามารถมคี วามคดิ แบบสดุ โต่งได้ ชนิดท่พี ร้อมใช้ความรุนแรงกับ ผู้ท่ีเห็นต่างจากตน ดังเห็นได้ว่าการสังหารผู้คนนับล้านหลายครั้งเกิดจากลัทธิอุดมการณ์ในทางโลก เช่น นาซี และคอมมิวนิสต์ กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติแบบสุดโต่งบางกลุ่มถึงกับมีคาขวัญว่า “ทุกอย่างทาได้ทั้งน้ัน” (everything is permitted) ในอีกด้านหนึ่งศาสนายังถูกใช้เป็นเคร่ืองมือเพื่อส่งเสริมลัทธิบริโภคนิยม มีการนาคาสอนทางศาสนา ไปใช้ในการสนับสนุนการแสวงหาความร่ารวยหรอื สะสมทรพั ย์สินเงนิ ทอง ปรากฏการณ์อย่างหน่งึ ทเ่ี กิดขึ้นทุก มมุ โลก ก็คือการแห่เขา้ หาศาสนาเพราะต้องการโชคลาภและความมง่ั มี ขณะเดยี วกันสถาบันทางศาสนาก็เป็น แบบอย่างแห่งความมั่งคั่งหรือล้นเหลือในทางวัตถุ ผู้นาศาสนามีวิถีชีวิตอย่างสุขสบาย จนกล่าวได้ว่าสถาบัน ศาสนาจานวนมากไดก้ ลายเป็นรา่ งทรงของบรโิ ภคนิยม ทั้งหมดน้ีลว้ นสง่ เสริมใหผ้ ู้คนมีทะเยอทะยานอยากมาก ขึน้ ทาใหก้ ารแข่งขนั และการเอาเปรยี บเพ่มิ ขึน้ ศาสนา(หรอื การตีความทางศาสนา)จึงสามารถสง่ เสรมิ หรอื เปน็ ทมี่ าของวฒั นธรรมแห่งความรนุ แรงได้ คือสิ่งท้าทายศาสนิกชนที่ปรารถนาจะเห็นศาสนาเป็นบ่อเกดิ แห่งสนั ตวิ ัฒนธรรมไปพ้นความติดยึดทางศาสนา ศาสนามีศักยภาพอย่างมากในการส่งเสริมให้เกิดสันติวัฒนธรรมได้ แต่ทั้งหมดน้ีจะต้องเร่ิมต้นจากก้าวแรกที่ สาคัญ นัน่ คือการท่ศี าสนาจกั ต้องไมก่ ลายเป็นปัจจัยส่งเสรมิ วัฒนธรรมแหง่ ความรุนแรงเสียเอง ศาสนาสามารถก่อใหเ้ กดิ ความรนุ แรงได้ หากการยึดติดศาสนาน้ันเปน็ ไปอย่างสดุ โตง่ หรอื เพื่อส่งเสริม อัตตาจนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นศาสนาจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดแนวโน้มดังกล่าว ด้วยการกระตุ้นให้ ผู้คนหม่ันมองตนอย่างวิพากษ์และรู้เท่าทันตนเองได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อไม่ให้อัตตาเข้ามาเป็นใหญ่เหนือจิตใจ (อัตตาธิปไตย) อันที่จริงหัวใจของทุกศาสนาก็คือการทาให้ผู้คนละวางจากความยึดถือในตัวตนอยแู่ ล้ว ดังน้ัน หากเข้าถึงหัวใจของศาสนา โดยไม่ติดอยู่กับเปลือกหรือรูปแบบของศาสนา ความยึดติดในตัวตนจะลดลง มานะ ทิฏฐิ ตัณหา จะหยั่งได้ยากขึ้น สิ่งท่ีตามมาคือความโกรธเกลียดจะบรรเทาลง เราจะไม่ติดในกับดับ ความคดิ ทีว่ า่ “ฉันถกู แกผิด” “ฉันดี แกเลว” เพราะร้วู า่ นก้ี ค็ อื อาพรางของอัตตาในอกี รูปแบบหน่ึงเทา่ น้ันเอง การมองตนเองอย่างลกึ ซงึ้ ยอ่ มชว่ ยให้เราตระหนกั ว่าเสน้ แบง่ ความดกี ับความชวั่ น้นั หาได้อยนู่ อกตัวแต่อยู่ในใจ เรานีเ่ อง มนุษย์ตราบใดท่ีไมร่ ู้เท่าทนั ตนเอง แมจ้ ะนบั ถอื ศาสนาอะไรกต็ าม ยอ่ มไมต่ ่างจาก ระเบดิ ทย่ี ังไม่ถอด สลัก คือสามารถก่อความรนุ แรงได้รอ้ ยแปด แม้จะไม่มีอาวุธใด ๆ อยู่ในมือเลยก็ตาม การตระหนกั รใู้ นตนเอง อย่างลึกซึ้งเม่ือถูกปลดจากใจ เราย่อมมีจิตใจที่โปร่งเบาและเปิดกว้าง จนสามารถก้าวข้ามพ้นกาแพงแห่ง ศาสนาตลอดจนอัตลักษณ์ทั้งปวง กระทั่งเห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอนั เดียวกันของมวลมนษุ ยชาติ ไม่ว่าเราจะ นับถือศาสนาอะไรก็ตาม เราก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน อันที่จริงมนุษย์นั้นเป็นอะไรต่ออะไรอีกมากมาย นอกจากการเป็นชาวพทุ ธ ชาวคริสต์ หรือชาวมุสลิม แต่เชื่อหรือไม่วา่ บ่อยครงั้ การนับถือศาสนาของเราทาให้ เรามองข้ามคุณสมบัติดังกล่าว และเห็นแต่เพียงว่าเขานับถือศาสนาอะไร หรือมีศาสนาอะไรเป็น “ยี่ห้อ”
เทา่ นน้ั การนบั ถอื ศาสนาเช่นน้ที าใหเ้ รามองมนุษย์อย่างคบั แคบ แทท้ ี่จรงิ ศาสนาจะต้องช่วยให้เรามที ัศนะคติที่ ไม่เพียงแค่มองเห็นตัวเองอย่างลึกซ้ึงเท่าน้ัน หากมองเห็นผู้อ่ืนในมุมมองท่ีกว้างข้ึนศาสนาน้ันในแง่หนึ่ง เปรียบเสมือน “ราก” ท่ีทาให้เราเกิดความรู้สึกม่ันคง และมีจิตใจท่ีลุ่มลึก แต่เท่านั้นหาพอไม่ หากศาสนายงั จะต้องเปรียบเสมือน “ปีก” ท่ีทาให้เรามีอิสระเสรีในทางจิตใจ ช่วยให้เรามองเห็นโลกและเพ่ือนมนุษย์ด้วย ทัศนะทกี่ ว้างไกล (เหมือนกับการมองจากสายตาของนก) ใชห่ รือไม่ว่าเมือ่ เรามองลงมาจากท่สี ูง ความแตกต่าง ของมนุษย์ทั้งหลายท่ีอยู่บนพื้นโลก ไม่ว่าเช้ือชาติ ศาสนา สีผิว ย่อมเลือนหายไป เราจะเห็นแต่ความเป็น มนุษย์เหมือนกันหมดการเห็นความเป็นหน่ึงเดียวกนั ของมวลมนุษยชาติ ย่อมทาให้เรารู้สึกใกล้ชิดกันมากข้นึ จนเหน็ มนุษย์ทุกคนเป็นเพ่ือนหรอื พีน่ ้องกนั โดยไมม่ ศี าสนา เชอื้ ชาติ สีผิว เปน็ เคร่อื งกีดก้นั อีกต่อไป ความ โกรธ เกลยี ด ท่มี ตี ่อกนั กจ็ ะลดลง ถึงตอนน้นั เราจะพบว่ามนษุ ยน์ ้ันมิใชศ่ ัตรขู องเรา ศัตรูของเราคอื ความชั่วร้าย คือตัณหา มานะ ทิฏฐิ หรือความยึดถือในตัวตน ที่ครองจิตใจผู้คนต่างหาก การกาจัดคนท่ีช่ัวร้ายด้วยความ รุนแรงจึงไม่ใช่คาตอบท่ีได้ผลย่ังยืน หากจะต้องมุ่งไปในทางท่ีการขจัดความชั่วร้ายออกไปจากใจเขา ซ่ึงต้อง อาศัยความดีและความรักเท่าน้ันจึงจะสัมฤทธผิ ล เพราะย่ิงใช้ความรุนแรงหรอื ความโกรธเกลียดมากเท่าไร ก็ ยิ่งเพ่ิมพูนความโกรธเกลียดและความชั่วร้ายในใจเขามากขึ้น ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พึงเอาชนะ ความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงเอาชนะความร้าย ดว้ ยความดี พึงเอาชนะคนตระหน่ี ดว้ ยการให้พึงเอาชนะคน พูดพลอ่ ย ดว้ ยคาสัตย์” กลา่ วอย่างถงึ ท่สี ุด อสิ รภาพในทางจิตใจไม่ไดห้ มายถงึ ความเพียรแค่อิสรภาพจากความยึดติดในตัวตน หรืออสิ รภาพจากการครอบงาของความโกรธเกลียดเดยี ดฉันท์เทา่ นัน้ หากยังหมายถึงอิสรภาพจากความยึดติด ในศาสนาด้วย ใช่หรือไม่ว่าลัทธิอุดมการณ์หรือแม้แต่ศาสนาน้ันสามารถเป็นกาแพงหรือคุกกักขังจิตใจของ มนุษย์ได้ อย่างไรก็ตามศาสนาก็สามารถประทานปีกให้แก่เราจนสามารถโบยบินเป็นอิสระเหนือกาแพงทาง ศาสนาหรือลัทธิอดุ มการณ์ได้แต่จะทาเช่นนั้นไดก้ ็ด้วยการเขา้ ถึงหวั ใจของศาสนาจนละวางจากความยึดติดใน ศาสนา เปรียบเสมือนการอาศัยแพเพ่ือข้ามแม่น้า เมื่อถึงฝ่ัง ก็ก้าวออกจากแพ แล้วข้ึนฝั่ง โดยไม่จาเป็นต้อง แบกแพขึ้นไปดว้ ย แต่แม้จะยังไม่ถึงหัวใจของศาสนา ก็ยังจาเป็นอยเู่ องที่จะต้องตระหนักอยูเ่ สมอวา่ ความยึด ติดในศาสนานัน้ อาจก่อโทษได้ ท้ังในแงก่ ารหนุนเสรมิ อตั ตาหรือการแบง่ เขาแบ่งเรา บทภาวนาของนิกายเทียบ หนิ ของตชิ นัท ฮนั ห์ น่าเป็นข้อเตือนใจสาหรบั ศาสนิกทงั้ หลายได้เป็นอยา่ งดใี นเร่อื งนี้ “โดยตระหนักถึงความทุกข์ท่ีเกิดจากความคลั่งไคล้ในอุดมการณ์และความใจแคบ เราขอปณิธานว่า จะไม่หลงใหลติดยึดกับลัทธิอุดมการณ์หรือทฤษฎีใด ๆ แม้ว่าพุทธศาสนา คาสอนทางพุทธศาสนาคือการนา ทางที่ช่วยให้เรารู้จักพิจารณาอย่างลึกซ้ึงและพัฒนาปัญญาและกรุณา หาใช่ลัทธิความเช่ือสาหรับการต่อสู้ สังหาร และยอมตาย โดยไม่ตระหนกั ถงึ ความทกุ ข์ท่ีกอ่ ให้เกิดความติดยดึ ในทัศนะและการรับรู้ทีผ่ ิดพลาด เรา ขอปณธิ าน วา่ จะหลกี เล่ียงความใจแคบและติดยึดกับทัศนะในปัจจุบัน เราจะเรยี นรูแ้ ละฝกึ การปล่อยวางจาก ความคิดเพ่ือเปิดใจรับรู้ปัญญาญาณและประสบการณ์ของผู้อ่ืน เราตระหนักว่าความรู้ที่เรามีอยู่นนั้ มิใช่สัจจะ อันสมั บรู ณท์ ไี่ ม่เปล่ียนแปลง สัจจะน้นั พบไดใ้ นชีวติ และเราจะสังเกตชีวิตทงั้ ภายในและรอบตัวเราในทุกขณะ และพร้อมเรยี นรู้ตลอดชีวติ ” การเขา้ ถงึ หัวใจของศาสนา ยอ่ มช่วยใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงอยา่ งลกึ ซึ้งในระดบั จติ ใจ จนเกดิ อิสรภาพ ภายในอย่างแท้จริง เป็นจิตท่ีไม่แบ่งฝักฝ่าย และมีความเมตตาอย่างไม่มีประมาณต่อสรรพสัตว์ เข้าถึงความ เป็นมนุษย์อนั สากล คือเห็นถึงความเป็นมนุษย์ของทุกคนก่อนท่ีจะเหน็ วา่ เขาเป็นพุทธ คริสต์ หรือมุสลิม และ เข้าถึงความรักอันสากล มีเมตตากับทุกคนเสมอกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็น “จิตใจไร้พรมแดน” (ซึ่งเป็น คุณลักษณะประการหน่ึงของพระอรหันต์หรือผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดในทัศนะของพุทธศาสนา) นี้เป็นการ เสริมสร้างสันติวัฒนธรรมท่ีจัดได้ว่าเป็นบทบาทในแนวลึกปฏิบัติการเพื่อสันติวัฒนธรรม นอกจากบทบาทใน
แนวลึกหรือการสร้างความเปล่ียนแปลงระดับบุคคลแล้ว ศาสนายังควรมีบทบาทในด้านกว้าง ได้แก่การ ส่งเสริมให้เกิดความเปล่ียนแปลงจิตสานึกและคุณค่าในระดับสังคม โดยผ่านระบบการศึกษาและสื่อเพ่ือ สันติภาพ การสงเคราะหเ์ พือ่ นมนุษย์ และการลดทอนความรนุ แรงในสังคม การศึกษาเพื่อสันตภิ าพ หมายถงึ การศึกษาที่เป็นไปเพื่อส่งเสริมขันติธรรม ยอมรับความแตกต่าง และเห็นคุณค่าของความหลากหลายทาง ความคดิ และทางวัฒนธรรม รู้จักใหอ้ ภยั และมีความเอ้อื เฟื้อเก้อื กูลกัน ที่สาคญั อกี ประการหนง่ึ คือตระหนักว่า ความรนุ แรงไมอ่ าจแก้ปญั หาอย่างย่ังยนื หากต้องแกด้ ้วยสันตวิ ิธี เพราะสนั ตวิ ิธเี ท่านั้นทีเ่ ปน็ หนทางสู่สันติภาพ ที่แท้จริง ควบคู่กันไปก็คือการส่งเสริมให้มีทักษะในการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยตระหนักว่าความ ขัดแย้งก็เช่นเดียวกับความแตกต่าง จะเป็นโทษหรือเป็นคุณ ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถจัดการกับมันได้อย่าง ฉลาดหรือไม่ ส่ือเพื่อสันติภาพ นอกจากจะทาหน้าที่เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาเพ่ือสันติภาพตามที่ได้กล่าว ข้างต้นแล้ว ควรจะมีบทบาทในการลดทอนอคตทิ างชาติพันธุ์ ศาสนา และสีผวิ โดยนาเสนอ วถิ ชี วี ิต ประเพณี ความเชื่อ รวมทั้งสุขทุกข์และความใฝ่ฝันของคนกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เห็นว่าแท้จริงเขาก็มีความเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับเรา ขณะเดียวกันควรให้น้าหนักกับข่าวสารที่ส่งเสริมสันติวิธี และการร่วมมือกัน ย่ิงกว่าที่จะ นาเสนอนาเสนอข่าวเก่ียวกับความรุนแรง อาชญากรรม และการทะเลาะวิวาทกัน ส่ือสาหรับเยาวชนและ ครอบครัวเป็นสื่ออีกประเภทหน่ึงที่มีบทบาทสาคัญในการส่งเสริมสันติวัฒนธรรม เพราะช่วยให้เกิดการบ่ม เพาะทัศนคติท่ีดีงามแก่เยาวชน ปฏิเสธไม่ได้ว่าครอบครัวเป็นสถาบันทางจริยธรรมที่สาคัญ ครอบครัวที่ เขม้ แขง็ ย่อมช่วยให้เยาวชนมที ัศนคติทีเ่ กอ้ื กลู ต่อสนั ตภิ าพและสนั ตวิ ธิ ี นอกจากการลดความโกรธเกลียดและความรุนแรงแล้ว การศึกษาและสื่อเพื่อสันติภาพยังควรมี บทบาทในการลดทอนวัตถุนิยมและบริโภคนิยมด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าวัตถุนิยมและบริโภคนิยมกาลังมีอิทธิพล อย่างมากในวงการศึกษาและส่ือมวลชน การศกึ ษาและส่ือควรส่งเสรมิ ให้ผคู้ นมองชวี ิตและโลกโดยไม่ติดยึดกับ ความจริงทางวัตถุอย่างเดียว เพราะความจริงนนั้ มีหลายด้านท่ีไม่อาจช่ังตวงวัดเป็นตัวเลขหรือตีค่าเป็นตัวเงนิ ได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้คนตระหนักว่ามีความสุขอีกมากมายที่อยู่เหนือการเสพหรือการบริโภค เช่น ความสุขจากการทาความดี หรอื ความสขุ จากการให้ เป็นต้น การสงเคราะหเ์ พ่ือนมนุษย์ แกนกลางของสันตวิ ัฒนธรรมคือความรกั และความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล คุณค่า ดังกล่าวแสดงออกได้ชัดเจนที่สุดมิใช่ด้วยคาพูดหรือการเทศน์ แต่ด้วยการลงมือช่วยเหลือผู้อ่ืนอย่างเป็น รูปธรรม การเสริมสร้างสันติวัฒนธรรมท่ีดีที่สุดอย่างหน่ึงคือการเข้าไปช่วยเหลือเพือ่ นมนุษยท์ ี่ตกทุกข์ได้ยาก ไมว่ ่าเปน็ เพราะขาดแคลนปัจจยั สี่ ถูกกระทาความรนุ แรง ถกู เอารัดเอาเปรยี บ หรอื ถกู ละเมิดสิทธิ การช่วยให้ เพ่ือนมนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไม่ว่าระดับบุคคล ระดับชุมชน หรือระดับประเทศ นอกจากจะส่งเสริม วฒั นธรรมนา้ ใจและการเกอ้ื กูลให้แพร่หลาย ชว่ ยใหส้ ังคมร่มเยน็ เป็นสขุ แลว้ ยงั เป็นแบบอยา่ งท่สี ัมผสั ไดจ้ ริงว่า ความสุขนั้นเกิดจากการให้ มิใช่เกิดจากการบริโภคหรือการมีมาก ๆ เท่านั้น ยิ่งศาสนิกชนลดละตัวตนหรือ ความเห็นแก่ตัวได้มากเท่าไร การเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพ่ือนมนุษย์ก็กลายเป็นเร่ืองง่ายมากเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การชว่ ยเหลอื เพ่อื นมนุษย์เป็นเคร่อื งช้ีวัดสาคญั ประการหนึ่งว่าศาสนกิ ได้ลดละตัวตนมากน้อย เพียงใดแล้ว การลดทอนความรนุ แรงในสงั คม ความรุนแรงในสงั คมนน้ั มหี ลายระดับ ต้ังแตร่ ะดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ การป้องกันและระงับความรุนแรงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนวา่ ความรุนแรง เป็นสิ่งท่ีมิอาจยอมรับได้ การที่ความรุนแรงยังแพร่หลายในปัจจุบันก็เพราะมีความเช่ือว่าความรนุ แรง (อย่าง น้อยก็ในบางเรื่อง เช่น การทุบตีภรรยา หรือการรมุ ทาร้ายผู้ต้องหาฆา่ ข่มขืน การประหารชีวิตอาชญากร)เปน็ สิ่งที่ยอมรับได้ ศาสนิกจึงควรให้ควรมีบทบาทแข็งขันในการต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมไปถึงการทา สงคราม อยา่ งไรกต็ ามนอกจากความรนุ แรงทางตรงแลว้ ในสงั คมยังมคี วามรุนแรงทางโครงสรา้ ง คือโครงสร้าง
ท่ีสนบั สนนุ การเอารดั เอาเปรยี บ ทนี่ าไปสคู่ วามยากจน ความเจ็บป่วย และการถกู ละเมิดสิทธิขนั้ พื้นฐาน ความ รุนแรงทางโครงสร้างน้นั มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ การเมือง และระบบยุติธรรม อันสร้างความทุกข์ยากแก่ผ้คู น จานวนมาก ศาสนิกจึงควรให้ความสาคัญในการต่อต้านและขจัดความรุนแรงเชิงโครงสร้างด้วยเช่นกัน จะทา เชน่ น้ันได้ตอ้ งอาศัย ความรกั ความเมตตาต่อผู้ทกุ ข์ยาก ความกลา้ หาญในการเผชิญหน้ากับอุปสรรค ปัญญาใน การเข้าใจสาเหตุอันลึกซ้ึง และสติที่รู้เท่าทันตัณหา มานะ และทิฏฐิในตนเอง ท้ังหมดน้ีคือพลังทางศีลธรรมท่ี ศาสนาสามารถเป็นแรงบันดาลให้ได้อย่างมหาศาล ดังที่มีตัวอย่างมากมากในประวัติศาสตร์ แต่หลายปีท่ีผ่าน มาศาสนาได้ถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจานวนไม่น้อยยอมสละชีวิตเพ่ือปลิดชีพผู้อ่นื ก่อให้เกิดความทุกข์ ยากแก่ผู้คนมากมาย และทาให้หลายมุมโลกต้องลุกเป็นไฟ ถึงเวลาแล้วที่ศาสนาจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คน ท้ังหลายยอมอุทิศตวั เพ่ือปกป้องชีวิตผู้อ่นื และดับเพลิงสงครามดว้ ยความรกั ความเมตตา อย่างกล้าหาญ และ ด้วยสติปัญญาอย่างลึกซ้ึง ทั้งนี้โดยอาศัยความเปล่ียนแปลงอย่างลึกซ้ึงในทางจิตใจเป็นพลังหล่อเลี้ยงภายใน ด้วยวิธีนีเ้ ท่านัน้ สนั ตวิ ัฒนธรรมจึงจะเป็นจรงิ ขึ้นมาได้ อาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจนั ทร์ เคยพดู กับผู้เขียนวา่ “มนั เปน็ เรื่องนา่ เศร้าท่ีในสังคมพุทธ เราได้ยนิ แตเ่ สียงเทศนาที่ฟังดูดมี ีเหตุผล แตไ่ มแ่ น่วา่ ผ้เู ทศนานั้น มีหัวใจที่เชื่ออย่างลึกซ้ึงในสิ่งท่ีตนเองพร่าสอนคนอื่นหรือไม่ มีหัวใจที่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความอยุติธรรม ความ ทุกข์ ความเจ็บปวด และความตายของเพ่ือนมนุษย์หรือไม่ เม่ือไม่มีหัวใจเช่ืออย่างลึกซึ้งในคุณค่าของมนุษย์ และอ่อนไหวต่อความไม่เปน็ ธรรม ความเจบ็ ปวดของเพ่อื นมนษุ ย์ ศาสนากไ็ มม่ ีอยู่จริง สันติศกึ ษานาพาสังคมส่สู ันตสิ ขุ ฟาฏินา วงศ์เลขา จากหนังสอื พิมพ์เดลนิ วิ ส์ ฉบบั วันท่ี 9 ก.พ 53 ธรรมชาตขิ องสงั คมในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตม้ คี วามหลากหลายทางวัฒนธรรมสงู มาก แต่ละประเทศ มีความหลากหลายทางเช้ือชาติทั้งไทย จีน ญวน ลาว เขมร มอญ มาลายู หลากหลายศาสนาท้ังพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ เช่น ศาสนาพุทธเป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนไทย ลาว เวียดนาม พม่า ศาสนาอิสลาม เป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ส่วนศาสนาคริสต์เป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคน ฟิลิปปินส์ การศึกษาเรื่องความหลากหลายของวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ ความแตกต่างและหลากหลายทาง วัฒนธรรมท่ีมีอยู่ในแต่ละประเทศถือเป็นการติดอาวุธทางปัญญาท่ีสามารถทาได้ด้วยการปลูกฝังความ เข้าใจ เรียนรู้ ยอมรับและเคารพในเช้ือชาติ ศาสนา และเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นท่ีแตกต่าง เพ่ือสร้าง ความรัก ความผูกผัน ให้รู้จักซึ่งกันและกัน อันจะนามาซ่ึงความสันติสุขหากสังคมใดมีการเข้าถึงความ หลากหลายทางธรรมชาติและยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมย่อมจะนามาซึ่งความสันติสุขในทาง กลบั กนั หากไมส่ ามารถจัดการกับความหลากหลายทางวฒั นธรรม มกี ารดูถูกเหยียดหยามวฒั นธรรมอืน่ อาจจะ นาไปสู่ความขัดแย้งซ่ึงอาจเกิดความรุนแรงข้ึนได้ในที่สุด ดังนั้นการบริหารจัดการความหลากหลายทาง วั ฒ น ธ ร ร ม จึ ง มี ค ว า ม จ า เ ป็ น อ ย่ า ง ยิ่ ง ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทาง การศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO INNOTECH) ต้ังอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ก่อตั้งขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรว่ มมือของประเทศสมาชิกซีมีโอในการ แก้ไขปญั หาด้านการศึกษาในภมู ิภาค รวมถึงการส่งเสริมนวัตกรรม พัฒนาวิธกี าร รูปแบบการศึกษา ตลอดจน การสารวจการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีทางด้านการศึกษาท่ีมีอยู่ตามความเหมาะสม มีสมาชิกทั้งหมด 11
ประเทศ ซง่ึ ประเทศไทยเป็นหนง่ึ ในบรรดาสมาชิกท่ีมีบทบาทมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการศึกษาสู่สันติภาพ PEACeXCELS เป็นการอบรมระยะสั้นออนไลน์ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีความยืดหยุ่น ภายใต้ หลักสูตร “สันติศึกษาสู่ความเป็นเลิศสาหรับผู้นาสถานศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Peace Education Excellence in School Leadership for Southeast Asia) มุ่งหวังให้ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้นาที่มี บ ท บ า ท ส า คั ญ ใ น ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม แ ล ะ ด า เ นิ น ก า ร สั น ติ วั ฒ น ธ ร ร ม แ ล ะ ก า ร ย อ ม รั บ ค ว า ม ห ล า ก ห ล า ย ท า ง วัฒนธรรม ให้สามารถบริหารจัดการสถานศึกษาในพนื้ ท่ีที่มีความขัดแย้งหรอื ในสถานศกึ ษาที่นักเรยี นมีความ หลากหลายทางวฒั นธรรม เป็นหลักสตู รทอี่ อกแบบเฉพาะสาหรับผ้นู าโรงเรียนในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ ซึ่ง ได้รับการพัฒนาและตรวจสอบโดยผู้เช่ียวชาญจากกระทรวงศึกษาธิการของประ เทศสมาชิกท้ัง 11 ประเทศ เนื้อหาสาระครอบคลุมเรื่องของความสามารถในการส่งเสริมสันติวัฒนธรรมและการยอมรับความ หลากหลายทางวฒั นธรรม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการปลูกฝังสันติภาพ ในตนเองและการเปน็ นักต่อสู้เพ่ือสันติภาพในโรงเรียน (Cultivate Peace in Oneself and Champion the Cause of Peace in Schools) เพ่ือช่วยให้หัวหน้าสถานศึกษาสามารถพัฒนาความรู้สึกเกี่ยวกับสันติภาพและการเคารพในความ หลากหลาย ทางวัฒนธรรมในตนเองเพ่ือเตรียมบทบาทในการ สง่ เสรมิ และดาเนินการสันติวฒั นธรรมและการ เคารพความ หลากหลายทางวัฒนธรรมในโรงเรียนส่วนท่ี 2 การส่งเสริมสันติภาพ และการเคารพในความ หลากหลายทางวัฒนธรรมในโรงเรียนและชุมชน (Promote Peace and Respect for Cultural Diversity in Schools and Communities) มีเน้ือหาที่ครอบคลุมข้อมูลพ้ืนฐานสาคัญในการเป็นหัวหนา้ สถานศึกษาจะ นาไปสกู่ ารการส่งเสริมสันตวิ ฒั นธรรมและ ความเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรมทมี่ ีประสิทธิภาพ รูปแบบการเรียนรู้ได้รับการออกแบบให้มีการโต้ตอบศึกษาด้วยตนเอง และนาหลักการเรียนรู้แบบ ผู้ใหญ่ 4 A’s มาใช้ คือ กิจกรรม การวิเคราะห์ การปฏิบัติ และการนาไปใช้ (Activity, Analysis, Abstraction, and Application) โดยผู้รับการอบรมจะต้องเรียนร้เู นื้อหาด้วยตนเองจากเอกสาร CD-based และ Web-based ท้ัง 2 ส่วน อย่างน้อย 4 สัปดาห์ ตามตารางท่ีหลักสูตรกาหนด และจะต้องออนไลน์ตาม เวลาที่นัดหมายทุกสัปดาห์คร้ังละ 3 ช่ัวโมง เพ่ือสนทนา อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกันและกันโดยมี ผู้เชี่ยวชาญของ SEAMEO INNOTECH เป็นผู้อานวยความสะดวกในการประชุมออนไลน์แต่ละคร้ัง PEACeXCELS มีการประเมินผลอย่างเป็นระบบ โดยผเู้ ขา้ รับการอบรมจะต้องมีส่วนรว่ มกิจกรรมต่าง ๆ เชน่ การสนทนาใน My Chat การร่วมอภิปรายใน My Forum และการส่งชิ้นงาน แผนการดาเนินงาน รวมถึง กระดาษทาการท่ีจะสะท้อนให้เห็นถึงผลการเรียนรู้ทั้งหมดของแต่ละคน และท้ายท่ีสุดจะมีการสัมภาษณ์ ออนไลน์เป็นรายบุคคล หากผู้ได้รับการอบรมผ่านกระบวนการ ประเมินจึงจะได้รับวุฒิบัตรเพ่ือรับรองการจบหลักสูตรดังกล่าว หากทุกสังคมไดศ้ ึกษาเรยี นร้วู ัฒนธรรมของตนเองและผู้อื่นให้เข้าใจ อย่างลึกซ้ึง ยอมรับและเคารพความแตกต่างหลากหลายทาง วั ฒ น ธ ร ร มของ กั น และ กั น หัน หน้าเข้ าหากั น ด้ว ยคว าม จริงใจ เพราะฉะนั้น การอยู่ด้วยกันอย่างสันติไม่ใช่ส่ิงที่อยู่ไกลจน เกินเอื้อม หากทุกคนมีความเชื่อร่วมกันว่า สันติศึกษาจะนาพา สังคมสสู่ นั ติสขุ โดยร่วมกันปลกู ฝงั ลงรากลึกไว้ในจิตใจของเด็กและ ภาพที่ 7.2 : สังคมทอี่ ยรู่ ่วมกันอย่างสงบ ทมี่ า : https://sites.google.com/site/krulakkana26 เยาวชนทุกคนตัง้ แตเ่ ยาว์วัย วันทสี่ บื ค้น : 27 ก.พ. 60
สนั ตวิ ิธีกับการเขา้ ใจคณุ ค่าของประชาธิปไตย บทความออนไลน์ : http://wiki.kpi.ac.th ทกุ คนปรารถนาสังคมท่อี ย่รู ่วมกนั อยา่ งสงบและอย่เู ยน็ เป็นสขุ จากการทจ่ี ะพฒั นาสงั คมไทยใหเ้ ข้าใกล้ สภาพดังกล่าวมากขึ้นเรอื่ ย ๆ จะต้องคานึงถึงจุดท่ีสังคมไทยเป็นอยู่ในขณะนี้เพราะว่าเราไม่ได้กาลังเริ่มสร้าง สังคมใหม่จากจุดศูนย์ คาถามท่ีสาคัญจึงต้องเป็นคาถามว่าจากสภาพปัจจุบันของสังคมไทย สังคมที่พึง ปรารถนามีลักษณะอย่างไรได้บ้าง และควรจะดาเนินการอย่างไรเพื่อไปสู่สังคมเช่นนน้ั สมมุติว่ามีการเสนอให้ สังคมไทยกลับไปสู่สังคมเกษตรกรรม 100% ก็จะต้องถามว่าจากสภาพปัจจุบันทาเช่นน้ีได้หรือไม่โดยรักษา ความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน นอกจากการคานึงถึงสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันแล้ว การแสวงหาทิศ ทางการพฒั นาของสังคมไทยยังตอ้ งยอมรับว่า คงมคี วามเห็นท่ีแตกต่างกันในเรื่องน้ีระหวา่ งคนต่าง ๆ ในสงั คม ความเหน็ ตา่ งกันน้ีอาจจะเป็นความเห็นต่างกันเฉพาะในวธิ ีการไปสู่สงั คมที่พึงปรารถนา โดยที่ลักษณะสังคมที่ พงึ ปรารถนาเปน็ อยา่ งไรน้นั เหน็ เหมอื นกัน กรณเี ชน่ นี้ เหมือนกับการทค่ี นสองคนตอ้ งการเดินทางไปทีเ่ ดียวกัน เพียงแต่มีความเห็นไม่ตรงกันว่าควรจะข้ึนรถเมล์สายไหน แต่อาจเกิดอีกกรณีหนึง่ ขึ้นได้น่ันก็คือ การที่คนสอง คนน้นั ตอ้ งการเดนิ ทางไปคนละท่หี รอื การท่กี ลมุ่ คนในสงั คมมคี วามเหน็ ต่างกันวา่ สังคมไทย ที่พึงปรารถนาเปน็ อย่างไร ในเม่ืออาจเกิดความเห็นต่างทั้งสองแบบนี้ข้ึนได้ ประชาชนทั้งหลายต้องมีคุณค่าร่วมกันเก่ียวกับวิธี จัดการกับความเห็นต่างเช่นนี้ ถ้ายังต้องการอยู่รว่ มกันอยา่ งสงบ และอยู่เย็นเป็นสุขคุณค่าร่วมกันนีม้ ีช่ือเรียก กันต่าง ๆ นานา ช่ือหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ ประชาธิปไตย เม่ือคนในสังคมมีความเห็นต่างกันและไม่ สามารถหาจุดร่วมได้หลังจากพูดคุยเจรจากันพอสมควร ก็ดูเหมือนว่าเดินไปพบกาแพงและไม่รู้ว่าจะเดินต่อ อยา่ งไร วธิ หี น่งึ ทอ่ี าจใช้ก็คือเดินชนกาแพงไปเลย ฆา่ ฟันกนั ฝ่ายใดมกี าลงั มากกวา่ ก็ชนะ แตว่ ธิ ีนี้ (ซ่งึ ใช้กันมา ในทุกสงั คมเป็นเวลานาน) เปน็ วธิ ที ี่ให้ผลในระยะสน้ั เท่าน้ัน และเป็นอปุ สรรคต่อการแสวงหาสิ่งอนื่ ๆ ท่ีมนษุ ย์ ปรารถนา ดงั นน้ั กจ็ ึงเกิดคุณคา่ ใหมซ่ งึ่ ไมใ่ ชค่ ณุ คา่ ของโลกตะวันตกหรือโลกตะวนั ออก คุณค่านั้นคอื \"การอยาก อยู่ร่วมกัน โดยไม่ฆ่ากันตายเมื่อมีความเห็นต่าง\" คุณค่านี้คือ คุณค่าใหม่ของโลก แต่บังเอิญประเทศต่าง ๆ ใน โลกเริ่มต้นส่งเสริมและพัฒนาคุณค่าน้ีในเวลาท่ีต่างกัน และด้วยความเร็วที่ต่างกัน บางคนชอบกล่าวว่า แนวความคดิ ประชาธิปไตยซ่ึงวางอย่บู นพนื้ ฐานคุณคา่ นเี้ ป็นความคดิ แบบตะวนั ตก แตแ่ ทจ้ รงิ แลว้ แนวความคิด ประชาธิปไตยเป็นของแปลกสาหรับทั้งคนตะวันตกและตะวันออกเท่า ๆ กัน เพราะเป็นความพยายามของ มนุษย์ที่จะใช้สติปัญญาเอาตัวออกจากเงื่อนไขที่เคยถูกธรรมชาติบังคับไว้เหมือนกับสัตว์อื่น ๆ ถ้าศึกษา ประวัติศาสตร์จะเห็นวา่ ทุกครั้งท่ีสังคมหนง่ึ จะเริม่ พัฒนาคุณค่านี้กจ็ ะมีคนบางคนเยาะเย้ยวา่ เป็นไปไม่ได้ ผิด ธรรมชาติ แตแ่ นวความคิดประชาธิปไตยสะท้อนความฝนั ของมนษุ ย์ทว่ั ไป ไม่ใช่เฉพาะมนษุ ย์ชาวตะวนั ตกหรือ ตะวนั ออก เปน็ ความฝันของมนษุ ยท์ ่ีต้องการอยรู่ ่วมกนั โดยวธิ อี ื่น นอกจากการใช้กาลงั ฆ่าฟันกันความฝนั นี้ คือ ความฝนั ท่ีพยายามพฒั นาใหเ้ กิดเปน็ จริงอย่างต่อเน่ือง ถึงแมอ้ าจไม่มีวนั ที่จะถึงจุดนั้นในแตแ่ ละสังคม เช่น ใน สหรฐั อเมริกา หรอื ยโุ รป ปัจจบุ ันก็ไมม่ ปี ระชาธปิ ไตยอยา่ งสมบรู ณใ์ นทกุ สว่ นของสงั คมแต่ก็เป็นความฝนั ว่าจะ ไปให้ถงึ สักวนั ถงึ แม้ว่าทกุ สังคมเข้าสูป่ ระชาธิปไตยดว้ ยความเรว็ ท่ีแตกต่างกัน ปญั หาของสงั คมไทยก็คือว่าไม่มี โอกาสเหมือนสังคมตะวันตกบางแห่งท่ีสามารถใช้เวลา 100–200 ปีในการปรับตัว สังคมไทยต้องเร่งการ ปรับตัวเพราะถ้าปรับช้าก็จะเผชิญกับปัญหาอื่นที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อน เช่น ปัญหาทางเศรษฐกิจและทาง สังคม ขณะเดียวกันถ้าปรับตัวเร็วเกินไปก็จะไม่ย่ังยืน เพราะจะเป็นการปรับตัวอย่างผิวเผิน โดยแค่ทาให้เร็ว เพ่ือหลอกให้ได้เงินมาลงทุนโดยที่ฐานรองรับข้างใต้ยังไม่มีอะไร อาจสามารถสร้างภาพที่ดีโดยการมีองค์การ ต่าง ๆ มีรัฐธรรมนูญใหม่ แต่แนวความคิดของประชาชนยังไม่เปลี่ยน แนวคิดแบบประชาธิปไตยยังไม่เข้า ไปอยู่ในใจ ซ่ึงสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลา ดังนั้น สังคมไทยจึงต้องรวมสติปัญญาช่วยกันให้เกิดวิธีคิด
เก่ียวกับการอยู่ร่วมกันแบบนี้ แทนที่จะรอให้เกิดข้ึนเองตามเวลาการวิวัฒนาการของสังคมสิ่งหน่ึงที่จะทาให้ ความคิดเรื่องประชาธิปไตย ฝังรากลึกเข้าไปในใจของคนในสังคมก็คือการพูดคุยกันเกี่ยวกับข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวความคิดน้ที ี่มีการยกข้ึนมาถกเถยี งกัน วิธีนจี้ ะเกดิ การเปลยี่ นแปลงท่ีย่งั ยืนกว่าวธิ ยี ัดเหยียดคุณค่า น้ีให้สงั คมโดยสังคมไม่เขา้ ใจและเพยี งพดู ว่ายอมรบั เพราะกลวั ถูกกล่าวหาวา่ เชยหรือล้าสมัย ข้อสงสัยเก่ียวกับ แนวความคดิ แบบประชาธปิ ไตย ที่จะยกมาพจิ ารณาในทน่ี ้ีมีสองขอ้ 1. ข้อสงสัยวา่ ทาไมสงั คมไทยต้องไปในแนวทางน้ี ในเมอื่ เรามพี น้ื ฐานทางพุทธศาสนาอยู่แลว้ ทาไมยัง ตอ้ งมคี วามใฝฝ่ ันอกี แบบหนง่ึ ซง่ึ โยงกบั ทง้ั กระบวนการและองค์กรท่ดี ูแปลก ทาไมไมใ่ ช้แบบเดมิ ในแง่วชิ าการ คาถามน้ีเป็นคาถามท่ีสาคัญ และขอเสนอแนวความคิดในเรื่องดังกล่าว ดังนี้ การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขใน สังคมมี 2 วธิ ี วิธีแรก คืออยู่กันได้เพราะยอมรับคุณค่าของกระบวนการบางอย่างรว่ มกัน กระบวนการเหล่านอี้ าศัย ระบบต่าง ๆ ที่จะจัดการกับความเห็นต่างและรักษาความเป็นธรรมในสังคม กระบวนการนี้เรียกว่า ประชาธิปไตย เวลามีความเห็นแตกต่างกันแล้วไม่ต้องฆา่ กันเพราะการจัดการจะเป็นไปตามข้ันตอนท่ีทุกฝ่าย ยอมรับมากอ่ น เน่อื งจากทุกฝ่ายมีสว่ นในการสรา้ งขน้ึ มา วิธีท่ีสอง (ซึ่งตรงกับแนวความคิดของพุทธศาสนาค่อนข้างมาก) คือ ไม่จาเป็นต้องอาศัยระบบ หรือ กระบวนการใด ๆ แต่เนน้ ทีก่ ารเปลี่ยนคน ถา้ ทกุ คนในสงั คมมีความเมตตากรุณากัน กจ็ ะไม่เกิดปญั หาใด ๆ ข้นึ ถา้ สามารถเปลี่ยนใจคนส่วนใหญ่ในสังคมได้ แนวความคิดนี้ กเ็ ปน็ สง่ิ ที่ถกู แตม่ คี าวา่ “ถา้ ” อยขู่ ้างหน้าซงึ่ เป็น “ถา้ ” ทีค่ อ่ นขา้ งสาคัญ เม่ือคนดี มีใจเมตตากไ็ ม่ต้องพฒั นาประชาธิปไตย ฉะนั้นจึงคิดวา่ เร่ืองนไ้ี ม่ใช่เป็นการที่ ต้องเลือกระหวา่ งสองทาง เพราะในช่วงท่ีคนทั้งหลาย ยังไม่ได้มีการพัฒนาจิตใจถึงข้ันดังกล่าวก็ยงั จาเปน็ ตอ้ ง อยรู่ ว่ มกัน ในเม่ือคนยงั ไม่ไดเ้ ปลี่ยน ถ้าเราไมม่ ีอีกวธิ ที ี่จะอยู่ร่วมกันไดก้ ็จะไม่มีคนเหลอื ให้มาเปลี่ยน ฉะนัน้ จงึ มองวา่ สองวิธีนีม้ ไิ ด้ขัดกนั เท่าใด วิธีหนง่ึ เป็นเรอื่ งระยะยาวถาวรในประวตั ิของมนุษยชาติ ตอ้ งคอ่ ย ๆ สอนและ ตักเตือนกันไป ซ่ึงจะใชเ้ วลานานเทา่ ใดไม่ทราบ ขณะเดียวกนั กต็ ้องหารูปแบบอีกแบบหน่งึ ไปด้วยเพ่อื ใช้กัน ไปก่อน ซึ่งรูปแบบน้ีก็คือแนวทางประชาธิปไตย 2. มีบางคนสงสัยว่าการประสานความเหน็ ของสมาชิกของกลุ่มเพื่อออกมาเป็นความเห็นขององค์รวม ตามแนวประชาธิปไตย อาจทาไม่ได้เสมอไป วิชาที่ศึกษาเร่ืองทานองน้ีเรียกว่า SOCIAL CHOICE THEORY มีการศึกษากันอย่างละเอียดด้วยเทคนิควิธีต่าง ๆ (ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีคนอยู่กลุ่มหนึ่งทั้งหมด 20 คน ที่ ต้องเลือกนโยบายในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง และมีนโยบายเสนอมาให้เลือก 3 นโยบาย แต่ละคนในกลุ่มอาจจะมี ความเหน็ ตา่ งกันเก่ียวกับขอ้ ดี ขอ้ เสีย ของแต่ละนโยบายหลงั จากอภิปรายกนั และต่างให้เหตุผลซ่ึงกันและกัน แล้วกย็ ังเห็นไมต่ รงกนั ทีเดยี ว ดงั น้นั จะต้องหาวิธีทเี่ อาลาดบั ความพอใจของแต่ละคนในกลุม่ ตอ่ นโยบายทั้งสาม มาผสมผสานกันเพื่อให้ได้ลาดับความสาคัญของกลุ่ม) ในวิชา SOCIAL CHOICE THEORY นี้มีทฤษฏีบทบท หน่ึงช้ีให้เห็นว่า มีบางสถานการณ์ที่หาข้อสรุปของกลุ่มโดยวิธีประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะมีความขัดแย้งในตัว ทฤษฎีบทนี้ชื่อว่า IMPOSSIBILITY THEOREM และผู้ค้นพบ คือ KENNETH ARROW ผู้ซ่ึงได้รับรางวัลโนเบล ทางเศรษฐศาสตร์ แต่สิ่งที่ยังไม่มีการชี้ให้เห็นชัดเก่ียวกับปัญหานี้ก็คือว่า สถานการณ์ท่ีแก้ไขด้วยวิธี ประชาธิปไตยไม่ได้นั้น เป็นสถานการณ์ที่เราพบกันจริงในสังคมต่าง ๆ หรือไม่ ในอดีตเม่ือมีความ คิดเห็นท่ีแตกต่างในสังคม ถ้ามีผู้นาเข้มแข็งเราก็ยินยอมทาตามผู้นา การยินยอมอาจเป็นเพราะไม่กล้าทาขัด หรืออาจไม่มชี ่องทางเลอื กอนื่ หรืออาจเกรงใจ แต่ในปัจจบุ ัน เงอื่ นไขเหล่าน้ีกาลังค่อย ๆ หายไป คอื ประชาชน ไม่กลัว ไม่เกรงใจ การขอร้องกันอาจได้รับการฟังแต่ไม่ทาตาม ศรัทธาในผู้นามีเหลือน้อย ฉะนั้นวิธเี ดิม ซึ่งใน อดีตเป็นสิ่งที่ทาให้ชาติเดินหน้าได้แม้จะไม่เห็นด้วยก็ไม่เหลืออีกแล้ว ปัจจุบันจึงเหลืออยู่ทางเดียวคือ รูปแบบ ใหม่ที่ทาให้ความเห็นทีแ่ ตกต่างกันอยู่ด้วยกันได้ โดยมิใช่ทุกคนได้ส่ิงท่ีต้องการ แต่โดยทุกคนหาความต้องการ
ของส่วนรวม แต่รูปแบบใหม่น้ียังไม่ได้พัฒนา ปัญหาคือในช่วงต่อที่รูปแบบใหม่ยังไม่ลงตัว รูปแบบเดิมสลาย ในช่วงน้ีไม่มีผู้นา ไม่มีองค์กรท่ีจะมาจัดการสิ่งเหล่านี้ ปัญหาท่ีสังคมไทยเผชิญอยู่คือไม่สามารถท่ีจะค่อย ๆ พัฒนาแบบใหม่ และค่อย ๆ สลายแบบเก่า เช่นท่ีเคยเป็นมาในสังคมตะวันตก แต่การเปลี่ยนวิธีจัดการกับ ความแตกต่างได้เปล่ียนอย่างรวดเร็วและกว้างขวางท้ังในครอบครัว โรงเรียน และที่ทางานทาให้เกิดความ สับสนมากและทง้ั ยงั มีบางคนซง่ึ อยา่ งไรก็จะไม่เปลี่ยนจนวนั ตายไม่มที างเป็นไปได้ท่ีความเห็นทุกอย่างจะได้รับ การตอบสนองหมดเพราะโดยตรรกก็เป็นไปไม่ได้คนหนึ่งอาจอยากให้เน้นเทคโนโลยีระดับสูงจึงเห็นว่า การ พัฒนาอุตสาหกรรมทางนี้ต้องได้รับการสนับสนุนพิเศษจากรัฐบาล ส่วนอีกคนอาจไม่อยากให้เน้นเทคโนโลยี แบบนี้เลย สังคมจะเดินไปท้ังสองทางไม่ได้ ในอดีตเรามักจะทาอะไรก็ตามให้คนพอใจ ซ่ึงเป็นการหลบปญั หา อยู่กันได้ก็อยูก่ ันไปอย่าเพ่ิงโวยวาย จึงไม่เกิดทิศทางที่ชัดเจน ต่อไปจะจัดการเช่นนไ้ี ม่ได้เพราะคนจัดการไม่มี แล้ว ดังนั้นต้องยอมรับรูปแบบใหม่ คือได้ตามต้องการหรือไม่ได้ตามต้องการในช่วงหน่ึง ส่วนฝ่ายท่ีไม่ได้ก็ พยายามเปลย่ี นใจสงั คมโดยการสนทนาถกเถยี งในช่วงถดั ไป ถา้ สังคมไทยจะอยู่กันอยา่ งสงบสขุ ประชาชนจะตอ้ งไม่เพยี งแตม่ ีความรู้เก่ียวกับกติกาท่ใี ชเ้ พ่อื การอยู่ ร่วมกนั เทา่ น้นั แตต่ อ้ งเข้าใจในคณุ ค่าของกตกิ าเหลา่ นัน้ ด้วย ท้ังน้ีเพอื่ ใช้เปน็ กรอบในการพัฒนาวธิ จี ดั การ ความขดั แยง้ โดยสันตวิ ิธที ่ีเหมาะสมสาหรบั สังคมไทย ความสาคญั ของความขดั แย้งและสนั ตวิ ธิ ี ปัจจบุ นั สงั คมไทยกาลังอย่ใู นชว่ งการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทัง้ ทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ รวมท้ังพฤติกรรมของคน ในการเปลยี่ นแปลงน้เี ปน็ ธรรมดาท่จี ะเกดิ ความขัดแย้งตา่ ง ๆ มากกว่าปกติ เนื่องจาก มกี ารปรับตัว ปรับทัศนคติ จากฝ่ายตา่ ง ๆ ทัง้ ประชาชน และหนว่ ยงานของรฐั ในอัตราไมเ่ ท่ากนั รวมทัง้ การมี ส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพกย็ ากขึ้น ในเมื่อหลายปัญหาอาศัยความเช่ียวชาญเฉพาะ ดังน้ัน จึงเพิ่มความซับซอ้ น ของปัญหามากยิ่งข้ึน การอยู่ร่วมกันอย่างใหม่บนสถานการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงน้ีเป็นส่ิงท้าทายสัง คม ประชาธิปไตยในทศวรรษหนา้ อย่างมาก แต่จากการทุ่มเท ช่วยกันศึกษาและพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ ของการ จัดการกับความขัดแย้งเหล่านี้ท่ีเกดิ ขึ้น สังคมไทยก็จะสามารถผ่านพน้ ช่วงการเปลี่ยนแปลงที่ยง่ิ ใหญ่น้ี โดยไม่ บอบช้า หรอื เกดิ ความเจ็บปวดแก่สงั คมมากจนเกนิ ไป อย่างเช่น ที่เคยเกดิ กับสังคมอ่นื ท่ีผ่านการเปลี่ยนแปลง เชน่ นีใ้ นอดีต หรอื ที่กาลงั เผชญิ อยู่ในปัจจุบัน เช่นเดยี ว กับเรามบี างคนท่ีมีทัศนะวา่ คงยากท่ีจะหลีกเลี่ยงความ รุนแรง หรอื เชือ่ วา่ ต้องมีความรุนแรงจึงจะมีการเปลี่ยนแปลงจรงิ แตอ่ าจไมต่ อ้ งเปน็ เช่นนี้ก็ได้ ถ้าสังคมไทยใช้ ปัญญาให้มากข้นึ เมื่อเรามงุ่ ม่ันที่จะทาให้สันตวิ ิธีเปน็ ยุทธศาสตร์ของชาติ สิง่ ทจี่ ะเกดิ ขนึ้ กค็ ือ การปรับหางเสือ ของสังคมไทย และนี่แหละที่จะเป็นหน้าเป็นตาของชาติ \"หน้าตา\"ของชาติไทย ไม่ใช่ตึกสูงงดงาม หรือ เทคโนโลยีทันสมัยที่ใช้อยู่ \"หน้าตา\"ของชาติไทย คือ คนไทย สังคมไทย ท่ีเผชิญกับความขัดแย้งโดยท่ีคู่กรณี เริ่มต้นแก้ไขความขัดแย้งด้วยการเข้าใจซ่ึงกัน และกัน การท่ีจะปลูกฝังทัศนคติสันติวิธีให้ลงลึกนั้น สถาบัน ศึกษาท้ังพลเรือน ทหาร ต้องบรรจุเร่ืองนี้ในหลักสูตร แล้วสิ่งท่ีจะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การปรับหางเสือของ สังคมไทย
สรุป สันติวัฒนธรรม หมายถึง การปฏิบัติของสมาชิกในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขโดยอยู่ในพ้ืนฐานของ วฒั นธรรมของความเมตตากรุณามีหลักของสนั ตวิ ฒั นธรรมเป็นเรื่องของคุณค่า ทศั นคติ พฤติกรรม และวิถชี วี ิต ท่ีไม่ใช้ความรุนแรง เป็นเร่ืองของความใกล้ชิดกลมกลืนกันของลักษณ์ ทัศนคติ คุณค่า ความเชื่อ และแบบ แผนการปฏิบัติในการใช้ชีวิต เป็นเร่ืองของการป้องกนั จัดการความขัดแย้งด้วยวิธีการคล่ีคลายเหตุปัจจัยของ ปัญหาโดย ไม่เผชิญหน้า เป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้ใช้ความรุนแรง การสร้างสันติวัฒนธรรม มนุษย์ต้องสร้าง ความสัมพันธ์ให้เกิดข้ึนกับเพ่ือนมนุษย์ร่วมสังคม และสร้างธรรมชาติส่ิงแวดล้อม รวมถึงกฎกติกาในสังคมให้ เอื้อต่อบรรยากาศ สันติวัฒนธรรมในพระพุทธศาสนาสอนให้คนในสังคมสร้างความรักความผูกพัน ความมี เมตตากรุณา ความเอื้ออาทรต่อกัน ซึ่งคุณธรรมดังกล่าวถือเป็นหลักการพื้นฐานของการสร้างสันติวฒั นธรรม โดยการประพฤตปิ ฏิบัติตามหลักธรรมเร่ือง สังคหวัตถุ 4 และสาราณียธรรม 6 ซ่ึงเปน็ แนวทางปฏิบัติ
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: