Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Information science

Information science

Published by s60123468050, 2018-03-25 02:52:22

Description: Information science

Search

Read the Text Version

Information Science How to : 1. Download HP Reveal App 2. Scan QR Code with Line or search “pinyo050” 3. Scan picture

PRESENTED BY PINYO JAIUDOM MANAGEMENT INFORMATION SYSTEMS SUAN SUNANDHA RAJABHAT UNIVERSITY

ขอ้ มลู คอื อะไร

ส า ร ส น เ ท ศ ศ า ส ต ร์ คื อ อ ะ ไ ร ? สารสนเทศศาสตร์ (information science) เปน็ ศาสตร์หรอื สาขาวิชาที่มีลักษณะทางธรรมชาตเิ ป็น “สหวิทยาการ” มีความเชือ่ มโยงและเกี่ยวเน่ืองกับ สาขาวชิ าอื่นๆ อย่างหลากหลาย ไมว่ ่าจะเปน็ มนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ปรชั ญา กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การจดั การ ธุรกจิ การศึกษา วศิ วกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการแพทย์ และท่สี าคญั คอื เป็นศาสตร์ที่มีความ ใกลช้ ิด กับ บรรณารกั ษศาสตร์ (library science) และ วทิ ยาการคอมพิวเตอร์(computer science) ค่อนข้างมาก

Borko (1968) ไดใ้ ห้ความหมายของ Information science เอาไว้วา่ Information science ไมค่ วรมีความหมายเพยี งแคศ่ าสตร์ทว่ี า่ด้วยการรวบรวม การจัดเกบ็ และการคน้ คนื สารเทศ ซง่ึ แปลตามศัพท์ในพจนานกุ รมเทา่ นน้ั แต่ควรมคี วามหมายมากกวา่ นนั้ควรเป็นสาขาวิชาทว่ี ่าดว้ ยการสารวจตรวจสอบคณุ สมบตั แิ ละพฤตกิ รรมของสารสนเทศ กระบวนการสง่ ผา่ นสารสนเทศ และวธิ กี ารทจ่ี ะทาให้สารสนเทศสามารถเขา้ ถงึ ไดแ้ ละนาไปใช้ประโยชน์ เป็นสหวิทยาการทมี่ ีความเกีย่ วขอ้ งกบั ศาสตร์อน่ื ๆด้วยจานวนมาก เชน่ คณติ ศาสตร์ ปรชั ญา ภาษาศาสตร์ จติ วทิ ยาวิทยาการคอมพวิ เตอร์ กระบวนการวิจยั ศิลปกรรม การส่อื สาร บรรณารักษศาสตร์ การจดั การ และอน่ื ๆ มีองค์ประกอบเป็นทงั้ วทิ ยาศาสตร์บริสทุ ธ์ิ (pure science) และวิทยาศาสตร์ประยกุ ต์ (applied science) ในการพัฒนาการผลติและบรกิ ารสารสนเทศ

SARACEVIC (1999) ไดก้ ล่าวถงึ กรอบความคดิ ของคาวา่สารสนเทศและสารสนเทศศาสตรเ์ อาไวว้ า่ เป็นการยากทจี่ ะให้คาอธิบายศพั ทข์ องคาดังกล่าว ทงั้ ในแง่ของวชิ าการและในแง่ของวชิ าชพี เนอื่ งจากสามารถมองตา่ งกนั ไดห้ ลายมุม สารสนเทศศาสตร์ เป็นศาสตรท์ ม่ี บี ทบาทมากข้ึนนบั ตงั้ แต่หลังสงครามโลกครง้ัทสี่ อง (1939-1945) หรือในช่วงกลางของศตวรรษท่ี 20 (ปี ค.ศ.1950-1959) สาเหตุมาจากการเรมิ่ นาเทคโนโลยีคอมพวิ เตอรม์ าชว่ ย ในการจดั เกบ็ รวบรวม ประมวลผล เผยแพรแ่ ละคน้ คนื ขอ้ มลู(INFORMATION RETRIEVAL-IR) อยา่ งเปน็ ระบบ และ ตอ่ มายง่ิ มีววิ ัฒนาการมากขน้ึ ตามการเปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารทพ่ี ัฒนาไปอยา่ ง รวดเร็วมาก นอกจากในแง่ของความเปน็ สหสาขาวิชาที่ตอ้ งอาศยั เทคโนโลยคี อมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ แลว้ สารสนเทศศาสตรย์ ังเป็นศาสตร์ทมี่ ีความเก่ียวขอ้ งกบั สังคมและมนษุ ย์ในบรบิ ทตา่ งๆเปน็ อยา่ งยิง่โดยเฉพาะ การศกึ ษาความตอ้ งการและการเขา้ ถึงสารสนเทศของมนุษย์ พฤตกิ รรมของผูใ้ ช้ในการแสวงหาสารสนเทศใหต้ รง กับความต้องการของตน และการศึกษาปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างมนษุ ยก์ ับระบบการสบื คน้ สารสนเทศ

คาว่า INFORMATION เรม่ิ นามาใช้กับห้องสมุดเฉพาะทาง มาตง้ั แตป่ ี1915 ซึ่งห้องสมุดเฉพาะทางหรือศูนย์เอกสารดงั กล่าว จะเน้นจัดเก็บเอกสารมากกว่าจะจดั เก็บหนงั สอื แบบหอ้ งสมดุ ทว่ั ไป ในยุคกลางศตวรรษท2ี่ 0 เมื่อมกี ารนาเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์เข้ามาชว่ ยจัดทาฐานข้อมูล จัดทาระบบเพอ่ื การค้นคนื (IR) ตามสาขาวชิ าเฉพาะ ต่างๆโดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์ ทาให้ขอ้ มูลเดมิ ทีจ่ ดั เก็บในรูปแบบเอกสาร(DOCUMENTATION) จึงไดก้ ลายมาเปน็ ข้อมลู ในรปู แบบอิเลก็ ทรอนิกส์ดังนั้น จงึ หันมาใชค้ าเรยี กจากเอกสาร มาเป็นสารสนเทศ(INFORMATION) แทนและคาเรียกช่อื ศาสตร์ของการดาเนนิ งานเปลี่ยนความนิยมจากคาว่า DOCUMENTATION SCIENCE กลายมาเป็นINFORMATION SCIENCE และบคุ ลากรผู้ปฏบิ ตั งิ านทีเ่ ดมิ เคยเรียกวา่ DOCUMENT LIST กลายมาเป็น INFORMATION SCIENTISTหรอื INFORMATION SPECIALIST นนั่ เอง

ดังนนั้ สารสนเทศศาสตร์ (INFORMATION SCIENCE) ตามคาจากดัความโดย THE AMERICAN SOCIETY FOR INFORMATIONSCIENCE AND TECHNOLOGY (ASIS&T), BORKO (1968),GRIFFITH (1980) จึงหมายถึง “ศาสตรท์ ่ี เกย่ี วข้องกับการสรา้ งสรรค์การรวบรวม การจัดระเบียบ การแปรผล การจัดเก็บ การคน้ คืน การเผยแพร่ การ แปลงรปู และการใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ ทงั้ นี้ โดยเน้นการน าเทคโนโลยที ่ที นั สมยั มาประยกุ ตใ์ ช้เพ่ือการนั้น”

เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ คื อ อ ะ ไ ร

พฒั นาการของสารสนเทศศาสตร์

1. พฒั นาการกอ่ นสงครามโลกครง้ั ทสี่ อง(ค.ศ.1895-1945) เรมิ่ ตน้ ความคดิ และแนวทางการใช้เทคโนโลยสี มัยใหม่ในการแกป้ ญั หาเก่ียวกับการค้นสารสนเทศ ท่มี กี ารผลติ ออกมามากมาย โดยเกิดความคดิ ในการควบคมุ บรรณานุกรม การดาเนนิ การเกยี่ วกับเอกสาร และการค้นคืนเอกสาร เกดิ แนวคิดและแนวทางการใช้ IT FOR INFORMATION SEARCHING เพ่อืแกป้ ญั หาเกย่ี วกับการค้นสารสนเทศ มีการดาเนนิ การงานเอกสาร การควบคมุ และการค้นคืนเอกสาร

2. พฒั นาการหลงั สงครามโลกครง้ั ทสี่ อง(ค.ศ.1945 เปน็ ตน้ มา) 2.1 พัฒนาการดา้ นงานวิชาชีพสารสนเทศศาสตร์ปัญหาจากสารสนเทศท่วมท้น ทาใหเ้ กดิ ความพยายามใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหา โดยมีแนวคดิ จากบทความชอื่ “AS WE MAY THINK” ซง่ึ กล่าวถงึ การใช้อุปกรณ์เมมเมกซ์ (MEMEX) ในการจดั เกบ็ และคน้ คืนสารสนเทศ ถือเปน็ ยุคของการพฒั นา สาขาวิชาเทคโนโลยคี อมพวิ เตอรแ์ ละโทรคมนาคม มีแนวคิดใหม่ ๆ ในการจดั เกบ็ และคน้ คืนสารสนเทศรวมทง้ั มี การใชค้ อมพวิ เตอรจ์ ดั ทาเคร่อื งมอื ค้นหาทเ่ี รียกวา่ การท าดรรชนีแบบควิก (KEYWORD-IN-CONTEXT INDEX--KWIC) และแบบควอก (KEYWORD-OUT-OF-CONTEXTINDEX--KWOC)

2.2 พัฒนาการดา้ นการจัดการศึกษาสารสนเทศศาสตร์ในสหรัฐอเมรกิ า มกี ารเปิดสอนวชิ าแรกดา้ นสารสนเทศศาสตร์ คือ การคน้ หาวรรณกรรมดว้ ยเครือ่ งจักรกล(MACHINE LITERATURE SEARCHING) ในมหาวทิ ยาลัยเวสเทริ น์ รเี สรฟิ ใน ค.ศ.1955 สหรัฐอเมริกา และ พัฒนาการจัดการเรียนการสอนเป็นหลักสูตรสารสนเทศศาสตร์ในมหาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ โดยมีแนวโนม้ ทจ่ี ะขยาย เนอ้ื หาหลักสตู รที่เน้นสภาพแวดล้อมทางสารสนเทศและเน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง

จะเหน็ ได้วา่ สังคมในยุคขอ้ มูลข่าวสาร (INFORMATIONSOCIETY) หรือคลนื่ โลกทสี่ าม ทีเ่ กิดขนึ้ หลงั จากยุคอุตสาหกรรม ได้เริม่ ต้นในราวปี 1955 เปน็ ตน้ มา ซึ่งบางคนเรยี กว่าเป็นยุค POST-INDUSTRIAL (BELL, 1973)หรอื POST-CAPITALIST (DRUCKER, 1994) กลางศตวรรษท่ี 20 เป็นยคุ ที่มีความเจรญิ เติบโตของวงการวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยเี ป็นอันมาก มีการตีพิมพ์เผยแพร่เอกสารผลงานวิจัย ซึง่ เป็นวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC LITERATURE) จานวนมากทาให้เกิดการลน้ ทะลกั ของสารสนเทศในปริมาณท่ีมหาศาล (INFORMATION EXPLOSION) ดังน้นั ในยุคหลงั จากปี ค.ศ. 1960 จงึ มีกระบวนการรวบรวมจดั เก็บเอกสาร และค้นคืนวรรณกรรม โดยการจดั ทาฐานข้อมูลดรรชนวี ารสารและวารสารสาระสังเขปในสาขาวชิ าต่างๆและมกี ารเร่ิมสร้างระบบจัดเก็บและค้นคืน เพอื่ ใหไ้ ด้สารสนเทศท่ตี รงกับความตอ้ งการ โดยใชเ้ ทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์กันอยา่ งแพร่หลาย และได้มีวิวฒั นาการ กันอย่างต่อเน่ือง เร่อื ยมาจนถงึ ยคุ ของเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตและเครอื ขา่ ยไร้สายในปจั จุบัน

INFORMATIONEXPLOSION

ในยคุ แรกๆ ทศิ ทางของสารสนเทศศาสตร์ จะเปน็ เรือ่ งของการค้นคืนสารสนเทศ การวิเคราะหก์ ารอา้ งอิงผลงานวิจยั การประเมินคุณภาพผลงานวิจัยด้วยดชั นีวรรณกรรม (BIBLIOMETRICS) ทฤษฎีสารสนเทศทฤษฎี ระบบงานห้องสมดุ ท่ัวไปและระบบหอ้ งสมุดอัตโนมัติ การส่ือสารวทิ ยาศาสตร์ การศกึ ษาพฤติกรรมผใู้ ช้ และทฤษฎี การทาดรรชนี เปน็ ตน้ ปัจจุบันมที ิศทางใหมๆ่ เกิดขึ้น เชน่ การสืบคน้ อินเทอร์เน็ต เซิรช์ เอนจนิ้ การค้นคนื แบบ มลั ติมเี ดีย การค้นคนื แบบหลากหลายภาษาและ ระบบหอ้ งสมุดดิจิทลั เปน็ ตน้

3. ยุคของสงั คมฐานความรู้ ปจั จุบนั เปน็ ยุคของสงั คมฐานความรู้(KNOWLEDGE BASED SOCIETY) หรอื สงั คมเศรษฐกจิ กิจฐานความรู้ (KNOWLEDGE BASEDECONOMY SOCIETY) ซ่ึงอาศยั เศรษฐกิจเชงิสรา้ งสรรค์ (CREATIVE ECONOMY) เปน็ ตัว ขับเคลือ่ นจะเหน็ ไดช้ ัดวา่ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของผู้ใชไ้ ดเ้ ปล่ียนแปลงไปจากเดิม โดยหนั มานิยมใช้ SEARCHENGINES ท่ีทนั สมัย เช่น YAHOO!, GOOGLE, BING ในการคน้ คนื สารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตมากขึน้ นอกเหนือจากสารสนเทศทเี่ ป็นบริการของหอ้ งสมุด อกี ทัง้ มีการแสวงหาสารสนเทศผา่ นทางสอ่ืสงั คม ออนไลน์ เชน่ BLOG, WIKI, FACEBOOK, LINE,SNAP CHAT มากขนึ้ และผู้ใช้สามารถแสวงหาสารสนเทศและ ความรไู้ ดด้ ว้ ยตนเองอย่างสะดวกงา่ ยดายเหล่านอี้ าจเป็นจุดเปลี่ยนของกรอบแนวคิดวิชาสารสนเทศศาสตร์ ใน อนาคต

อนาคตของสารสนเทศศาสตร์

บรรณารกั ษศาสตร์ และสารสนเทศศาสตร์ มที ั้งความเหมอื นและความแตกต่าง สารสนเทศศาสตรจ์ ะมี ความเป็นสหวิทยาการมากกว่า แมว้ ่าบางครงั้ ท้งั สองคาถูกนามารวมกนั เป็น บรรณารกั ษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ แต่เมื่อเทียบกับวิทยาการคอมพิวเตอร์แลว้สารสนเทศศาสตร์เป็นเพียงสว่ นหน่งึ ของการศึกษาดา้ นเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ โดยจะเนน้ การจดั การเน้ือหา และคานงึ ถงึ ผใู้ ชม้ ากกวา่ ตัวอย่างเช่น การสรา้ งระบบผเู้ ชย่ี วชาญ การสรา้ งฐานความรู้ การสรา้ งไฮเปอรเ์ ทก็ ซ์ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งมนุษย์และระบบคอมพิวเตอร์ และระบบห้องสมดุ ดิจิทลั เป็นต้น

อยา่ งไรก็ตาม สง่ิ ท่ีน่าคดิ คอื ขณะนี้ เป็นยุคทองของสารสนเทศ(INFORMATION) ซ่งึ ต่อยอดประสทิ ธผิ ล กลายมาเปน็ ความรู้(KNOWLEDGE) ทกุ สาขาอาชพี ทัง้ นักวิชาการ นักวจิ ยั และนักธุรกิจในวงการวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี การแพทย์วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ การบรหิ ารจัดการธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ นติ ิศาสตร์ นเิ ทศศาสตร์สอ่ื สารมวลชน และอ่นื ๆ ต่างพากันก็หนั มาสนใจ INFORMATIONกนั อยา่ งแพร่หลายในมิติ และมุมมองต่างๆ ภายหลังจากการมีเทคโนโลยีคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มาใช้ในการจัดการสารสนเทศกันมากขน้ึ ดังนนั้ จงึ ดเู หมอื นว่า INFORMATION SCIENCE เปน็ศาสตรท์ ก่ี าลังมีคแู่ ขง่ ขันทห่ี ลากหลายรอบดา้ น และอาจเป็นไปได้ทจ่ี ะถกู ทบั ถมให้จมลงไป จนสูญเสยี ความเป็นเจา้ ของและผู้เชย่ี วชาญทางดา้ น INFORMATION ด้วยเชน่ กนั

ทางด้านการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาตอ่ เนอื่ งเพ่ือความกา้ วหน้าของวิชาชพี สาหรับทางบรรณารักษศาสตรจ์ ะมสี มาคมหรือกลุ่มวิชาชีพที่สาคัญของวงการในระดับนานาชาติท่ีดูแลเรอื่ งนี้ คอื THE 6AMERICAN LIBRARY ASSOCIATION (ALA) สว่ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอรจ์ ะมี ASSOCIATION FORCOMPUTING MACHINERY (ACM) ในขณะที่สารสนเทศศาสตร์แม้ว่าจะมีสมาคม THE AMERICAN SOCIETYFOR INFORMATION SCIENCE AND TECHNOLOGY(ASIS&T) แต่ไมไ่ ดม้ ีกจิ กรรมส่งเสริมการศึกษาต่อเนอ่ื งทางด้านนม้ี ากนัก ความกงั วล อีกอยา่ งหนง่ึ คอืเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารทีท่ ันสมัยในอนาคตอาจทาให้สารสนเทศศาสตร์หมด ความหมายในสายตาของผู้ใช้ อยา่ งไรก็ตาม เช่ือวา่ หากทาการศกึ ษาวิจัยทางสารสนเทศศาสตรค์ วามสัมพันธ์ ระหวา่ ง สารสนเทศ/องคค์ วามรู้ + ระบบ/เทคโนโลยี + มนุษย/์ สังคม รวมทั้งการศึกษาวจิ ยั ผู้ใช้และพฤติกรรมการ ใชส้ ารสนเทศอย่างต่อเนอื่ ง จะทาให้เรายงั จะคงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรอื่ งน้ใี หแ้ กส่ ังคมสืบไป

สาหรบั แนวคดิ ใหม่เพือ่ รับการเปลยี่ นแปลงในอนาคต ซ่ึงหลายคนเร่มิ เห็นด้วยแล้ว เกดิ ข้นึ เม่อื ZINS (2006) ได้เรมิ่ เสนอแนวคิดวา่ INFORMATION SCIENCE นน้ั เปน็ศาสตร์ทม่ี ีความเก่ียวข้องกับ DATA, INFORMATIONและ KNOWLEDGE ดว้ ยกนั ทั้งหมด ทัง้ 3 คามีความเช่อื มโยงซ่งึ กนั และกัน และ KNOWLEDGE เป็นขน้ั ท่ีสูงสดุค า เดมิ ท่ีใช้คอื INFORMATION SCIENCE จะมงุ่ เนน้สารสนเทศในแง่ของวัตถุ แต่ KNOWLEDGE SCIENCEจะมุง่ เนน้ จิตใจ และการรับร้ขู องมนษุ ย์ผูร้ ับสารมากกว่าในขณะท่ี ความหมายของระบบสารสารเทศ(INFORMATION SYSTEMS) นนั้ ครอบคลมุ เฉพาะการสร้าง จดั เกบ็ และเผยแพรส่ ารสนเทศ (INFORMATION)แต่กลับกลายเป็นว่า มีสาขาแตก ยอ่ ยๆ ซ้อนอย่ใู นสาขาน้ีเช่นคาว่า KNOWLEDGE ORGANIZATION,KNOWLEDGE MANAGEMENT และยังนบั รวมเป็น สว่ นหนงึ่ ของ INFORMATION SCIENCE ดว้ ย จึงเกดิ แนวคิดใหม่ เสนอให้เปล่ียนมาใช้คาว่า KNOWLEDGE SCIENCEแทน คาวา่ INFORMATION SCIENCE ซงึ่ ประเดน็ดงั กลา่ วนี้ คงเป็นเรือ่ งท่ีจะต้องทาการศึกษาวจิ ัยและอภิปรายกัน อย่างกวา้ งขวาง ในแวดวงวชิ าการสารสนเทศศาสตร์ ท้งั นี้ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาศาสตรแ์ ขนงนี้ ใหก้ า้ วหน้าตอ่ ไปในยุคประเทศไทย4.0

EVALUATION FORM

THANK YOU


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook