Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 5OK

หน่วยที่ 5OK

Published by กฤษฎา พูลสวัสดิ์, 2022-05-31 13:16:56

Description: หน่วยที่ 5OK

Search

Read the Text Version

ใบความรหู้ นว่ ยท่ี 5 ชอ่ื รายวิชา เคร่อื งรบั โทรทัศน์ สอนครัง้ ที่ 10 หน่วยท่ี 5 หลกั การสง่ และรบั สญั ญาณโทรทศั น์ จานวน 6 ชวั่ โมง แนวคดิ หลักการส่งสญั ญาณโทรทศั น์ จะส่งสญั ญาณ 2 สัญญาณ ออกอากาศพร้อมกนั คอื สญั ญาณด้านภาพ และสญั ญาณด้านเสียง หลักการรบั สญั ญาณโทรทัศนจ์ ะรับสญั ญาณของภาพและเสียงมาดาเนนิ กรรมวธิ ี ใหส้ ามารถเห็นภาพและได้ยนิ เสยี ง สาระการเรียนรู้ ด้านสญั ญาณภาพ ต้องนาสัญญาณทางไฟฟา้ ของภาพมารวมกบั คล่นื พาหะหรือแครเ์ รีย เรยี กวา่ วดิ โี อ แครเ์ รีย (Video Carrier) คลื่นน้ีสามารถออกอากาศได้ ด้านสญั ญาณเสียง ตอ้ งนาสญั ญาณไฟฟ้าของเสียงมารวมกบั คลน่ื พาหะหรอื แครเ์ รีย เรียกวา่ ซาวด์ แคร์เรยี (Sound Carrier) คล่ืนนีส้ ามารถออกอากาศได้ จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม เม่ือนกั เรยี น เรียนจบแลว้ สามารถ 1. อธิบายหลักการเคร่อื งส่งโทรทศั นข์ าวดาไดถ้ กู ตอ้ ง 2. อธิบายหลกั การเครือ่ งรับโทรทศั น์ขาวดาไดถ้ ูกต้อง 3. อธบิ ายหลกั การเบอ้ื งต้นเกย่ี วกบั โทรทัศนส์ ไี ดถ้ กู ตอ้ ง 4. อธิบายการทางานเครือ่ งสง่ โทรทัศนส์ ีระบบ PAL ไดถ้ ูกตอ้ ง 5. อธิบายหลกั การเครอ่ื งรบั โทรทัศน์สเี บอื้ งต้นไดถ้ กู ตอ้ ง 6. บอกมาตรฐานการส่งโทรทัศน์ขาวดาได้ถูกต้อง 7. บอกมาตรฐานการสง่ โทรทศั นส์ ไี ดถ้ ูกต้อง 8. อธิบายหลักการเปรยี บเทยี บ Band Width ระบบ PAL–B และ PAL–G ได้ถกู ต้อง 9. อธิบายการทางานซิงค์เซปเปอร์เรเตอรไ์ ด้ถกู ต้อง 10. มีการพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรมคา่ นยิ มและคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ทคี่ รูสามารถ สังเกตเหน็ ได้ ในดา้ นความมมี นุษยสมั พนั ธ์ ความมวี ินยั ความรบั ผิดชอบ ความเชอ่ื มั่นใน ตนเองความสนใจใฝร่ ู้ ความรกั สามัคคคี วามกตญั ญกู ตเวที

หลักการเคร่อื งสง่ โทรทัศนข์ าวดา ไมโครโฟน มอดเู ลชนั่ (เอฟเอม็ ) ออดโิ อ ทรานสมติ เตอร์ แอมปลฟิ ลายเออร์ ด้านเสยี ง กล้อง ถา่ ยภาพ วดิ โี อ ทรานสมติ เตอร์ แอมปลฟิ ลาย ดา้ นภาพ เออร์ ซงิ โครไนเซช่นั มอดูเลช่ัน (เอเอ็ม) รูปที่ 5.1 บลอ็ กไดอะแกรมเครื่องส่งโทรทัศน์ ด้านสญั ญาณภาพ กล้องถา่ ยภาพ เรยี กว่า เคเมร่าทูบ (Camera Tube) จะดาเนินการถา่ ยภาพต่าง ๆ เช่น คน,ววิ หรือ วัตถุต่าง ๆ กล้องถา่ ยจะเปลี่ยนภาพเป็นสญั ญาณทางไฟฟ้าของภาพ เรียกวา่ วดิ โี อ ซิกแนล (Video Signal) และจะนาเอาวิดีโอ ซิกแนล ไปขยายใหม้ ีกาลังสงู ข้นึ ในภาควิดีโอแอมป์ (Video Amp) ในขณะเดยี วกันจะนาสัญญาณวดิ ีโอ ซกิ แนลรวมกับสัญญาณควบคุมเพื่อบังคบั การสแกนสญั ญาณ เรยี กวา่ ซงิ โครไนเซชน่ั (Synchronization) นัน่ หมายความวา่ สัญญาณวิดีโอซิกแนลจะรวมอยใู่ นสญั ญาณ ซงิ โครไนเซชน่ั เป็นสัญญาณภาพท่สี มบรณู ์ เรียกว่า คอมโพสติ วิดโี อ ซกิ แนล ( Composite Video Signal) การมอดเู ลช่ัน ( Modulation) เนอื่ งจากวิดโี อ ซกิ แนล ไม่สามารถออกอากาศได้ ต้องนาไปรวมกบั คล่ืนพาหะ เรยี กว่า แครเ์ รีย (Carrier) หรือนาไปรวมกับคลื่นวทิ ยุ ( RF : Radio Frequency) นาเอาวดิ ีโอ จงึ เรียกสัญญาณนี้ว่า วดิ ีโอ แคร์เรีย (Video Carrier) การมอดูเลช่ันด้านภาพเปน็ การมอดเู ลช่นั แบบเอเอ็ม (AM Modulation) วดิ ีโอ แคร์เรีย กาลังยังน้อยมากต้องนาไปขยายให้มีกาลงั เพียงพอต่อความตอ้ งการในวงจรอารเ์ อฟ แอมป์ (RF Amp) วดิ โี อ แครเ์ รีย ถกู ขยายแลว้ จะถกู ส่งไปท่ีสายอากาศ เพอื่ ให้สายอากาศกระจายสญั ญาณ วดิ โี อ แคร์เรีย ออกอากาศไป

สัญญาณเสยี ง ไมโครโฟน ( Microphone) เม่ือมสี ัญญาณเสียงจากแหลง่ ต่าง ๆ เช่น เสยี งพูด เสียงดนตรี ไมโครโฟน จะทาหนา้ ทเ่ี ปลย่ี นจากเสียงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าของเสยี ง เรยี กว่า ซาวด์ ซิกแนล (Sound Signal) และ ตอ้ งนาไปขยายให้มีกาลงั สูงขน้ึ ในภาคออดิโอ แอมป์ (Audio Amp) ให้ ซาวด์ ซิกแนล มีกาลังตามตอ้ งการ การมอดูเลชน่ั ( Modulation) เน่อื งจากซาวด์ ซิกแนล ไม่สามารถจะออกอากาศได้จะต้องนาไปรวมกับ คลน่ื วทิ ยุ (RF : RadioFrequency) เมือ่ นาเอาซาวด์ ซิกแนลไปรวมกับแคร์เรียจงึ เรยี ก วา่ “ซาวด์ แคร์เรีย” (Sound Carrier) การมอดูเลช่นั ด้านสัญญาณเสียงแบบ เอฟเอ็ม (FM Modulation) ซาวด์ แคร์เรีย นาไปขยายใหม้ ีกาลังเพยี งพอตอ่ ความต้องการในภาคอารเ์ อฟแอมป์ (RF Amp) เม่อื ซาวด์ แครเ์ รยี ขยายแลว้ จะสง่ สัญญาณทีส่ ายอากาศเพ่ือใหส้ ายอากาศกระจายสัญญาณ ซาวด์ แครเ์ รยี ออกอากาศไป หลกั การเครอื่ งรับโทรทศั น์ขาวดา SP CRT รปู ท่ี 5.2 บล็อกไดอะแกรมเครือ่ งรับโทรทัศน์ เคร่อื งรับโทรทัศน์ สญั ญาณภาพ เรยี กวา่ วดิ ีโอ แครเ์ รีย (Video Carrier) และสัญญาณเสียง เรยี กว่า ซาวด์ แคร์เรยี (Sound Carrier) ของแต่ละสถานสี ่งโทรทัศน์จะเข้าภาคจูนเนอรจ์ ะเลือกรับสถานที ตี่ อ้ งการ สญั ญาณดา้ นเสียง สัญญาณด้านเสียงจะเข้าภาคซาวด์ ดีเทคเตอร์( Sound Detector) การดีเทคเตอรจ์ ะเป็นแบบเอฟเอ็ม ดีเทคเตอร์ (FM Detector) วิธีการดีเทคเตอร์ คือ การตดั หรอื บายพาส ( By Pass) แครเ์ รียลงกราวด์ ดังน้นั สญั ญาณด้านเสยี งขณะนี้จะเหลอื ซาวด์ ซกิ แนล(Sound Signal) หรือสัญญาณทางไฟฟ้าของเสยี ง ออดิโอแอมป์ (Audio Amp) จะเป็นภาคขยายเสียงโดยการนาเอาซาวดซ์ กิ แนลมาทาการขยายกาลงั ให้ สูงข้นึ เพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการแล้วส่งต่อไปยังลาโพง ลาโพงเมอ่ื มสี ญั ญาณทางไฟฟ้าของเสียงหรือซาวด์ ซกิ แนล มาต่อเข้าลาโพงจะทาหน้าทเี่ ปลย่ี นสัญญาณ ทางไฟฟา้ ของเสียงใหเ้ ปน็ เสยี ง

สญั ญาณดา้ นภาพ สญั ญาณดา้ นภาพจะเข้าสูว่ ิดีโอดีเทคเตอร์ (Video Detector) เป็นแบบเอเอ็ม ดเี ทคเตอร์ คือการตดั หรือบายพาสแคร์เรยี ลงกราวด์ ดังนัน้ สญั ญาณดา้ นภาพขณะนจ้ี ะเหลือวดิ โี อ ซิกแนล (Video Signal) หรอื สญั ญาณทางไฟฟ้าของภาพ วิดโี อ แอมป์ (Video Amp) จะเปน็ ภาคขยายสัญญาณดา้ นภาพ โดยนาเอาวดิ โี อ ซกิ แนล มาทาการ ขยายกาลังให้สูงขึ้นเพยี งพอต่อความตอ้ งการแล้วสง่ วดิ โี อ ซิกแนล ทถ่ี กู ขยายให้กบั หลอดภาพ หลอดภาพ เมอื่ มีสญั ญาณทางไฟฟ้าของภาพ หรอื วิดโี อ ซิกแนล มาต่อเข้าหลอดภาพ จะทาหน้าท่ี เปลี่ยนจากสญั ญาณทางไฟฟา้ ของภาพใหเ้ ป็นภาพ ความรเู้ กยี่ วกับโทรทศั น์สี การท่ีคนเราสามารถมองเห็นสสี นั ตา่ ง ๆ ย่อมจะมคี วามเปน็ ธรรมชาติ หลังจากทกี่ ารคิดคน้ เคร่ืองสง่ โทรทัศนข์ าวดาเปน็ ผลสาเร็จก็มีการคน้ ควา้ พฒั นาเพอ่ื ให้สามารถส่งโทรทศั น์สโี ทรทัศนส์ มี อี งคป์ ระกอบ มขี ั้นตอนต่าง ๆ ที่สลบั ซบั ซอ้ นมากมาย แตม่ นษุ ยเ์ รากป็ ระสบความสาเร็จในทีส่ ุดสามารถสร้างเครื่องส่ง โทรทศั นส์ ี ประเทศไทยเรมิ่ มกี ิจการโทรทัศน์สีต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2510 และในปัจจุบนั เทคโนโลยตี ่าง ๆ ถูกพฒั นา จนถงึ ยคุ ไมโครคอมพวิ เตอร์ ความสามารถในการมองเหน็ ภาพเปน็ สีตา่ ง ๆ ของดวงตามนุษย์ มีองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ 1. ความส่องสวา่ ง เรยี กว่า ไบรท์เนส (Brightness) หมายถึง ปริมาณของแสงสวา่ งท่ีสะท้อนเข้า สดู่ วงตามคี วามสว่างแตกตา่ งกนั คอื บางสีจะมีความสว่างมาก บางสีจะมคี วามสว่างน้อย เช่น สเี หลือง จะสว่างมากกว่าสนี ้าเงิน 2. สีสันเรียกว่า ฮวิ (Hue) เปน็ ความร้สู กึ ท่สี ามารถบอกวตั ถทุ กี่ าลังมองว่าเปน็ สอี ะไร เช่น สิ่งของเหมอื นวตั ถุนนั้ เป็นสแี ดง,เขยี ว,เหลือง ดงั นัน้ ความสามารถของดวงตามองเห็นเป็นสีอะไรขึน้ อยูก่ ับวตั ถุ นั้นสะท้อนสอี ะไรใหก้ ับดวงตา 3. ความเข้มเรียกว่า แซตทูเรชั่น ( Saturation) เป็นความสามารถบอกถงึ รายละเอยี ด เชน่ มองเห็นวตั ถเุ ป็นสีเหลอื ง, เหลืองเขม้ , หรอื เหลืองเจอื จาง ย่านความถีแ่ สงและความยาวคลนื่ สีสันต่างๆ ทีเ่ กดิ จากการที่มนุษย์สรา้ งข้นึ หรือเกดิ จากธรรมชาติ จะมที ัง้ สมี องเห็นและสที ่มี องไมเ่ หน็ คลน่ื แสงทส่ี ามารถมองเห็นจะอยูร่ ะหว่างรงั สีอนิ ฟราเรด ( Infrared) กับรังสอี ัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) สว่ นทน่ี อกเหนอื จากนจี้ ะมองไมเ่ ห็นสี สีสันทัง้ หลายต่างมพี ลัง แม่เหล็กไฟฟ้า คือ มคี วามยาวคลื่นและความถีข่ องแตล่ ะสจี ะไม่เทา่ กัน - สมี ่วง (Violet) มีความยาวคล่นื ประมาณ 400 -450 มลิ ลิไมครอนหรอื นาโนเมตร - สีน้าเงิน (Blue) มีความยาวคลนื่ ประมาณ 450-500 มลิ ลิไมครอนหรือนาโนเมตร - สีเขียว (Green) มีความยาวคล่นื ประมาณ 500- 570 มลิ ลิไมครอนหรอื นาโนเมตร - สีเหลือง (Yellow) มีความยาวคลืน่ ประมาณ 570-590 มิลลิไมครอนหรอื นาโนเมตร - สสี ้ม (Orange) มีความยาวคลื่นประมาณ 590-610 มลิ ลไิ มครอนหรือนาโนเมตร - สีแดง (Red) มคี วามยาวคลนื่ ประมาณ 610-700 มลิ ลไิ มครอนหรอื นาโนเมตร

แสงจากดวงอาทิตย์ แท่งแกว้ ปรซิ มึ รูปท่ี 5.3 ความถแี่ สงและความยาวคล่นื หลักการผสมสี หลักการผสมสี คือการนาเอาแม่สี ( Primary Color) 3 แมส่ ีมาผสมเข้าด้วยกนั จะก่อใหเ้ กิดสสี ันตา่ งๆ หลกั การผสมสจี ะมี 2 ลกั ษณะ คอื แบบแอ็ดดทิ ีฟ (Additive) และแบบซับแทรกทีฟ (Subtractive) 1. การผสมแบบ แอด็ ดทิ ฟี (Additive) การผสมในลักษณะนีจ้ ะนาเอาแมส่ ี 3 แมส่ ี คือแดง,เขียว และนา้ เงนิ เม่ือนามาผสมกันเข้าจะไดส้ ีท่ี เจือจางกว่าเดิม การผสมแบบแอด็ ดทิ ฟี จะนามาใช้ในกจิ การโทรทัศน์ รปู ท่ี 5.4 การผสมสีแบบแอ็ดดทิ ฟี (Additive) แมส่ ี หรือ ไพรมารี่ คัลเลอร์ (Primary Color) จะประกอบไปด้วย 1. สีแดง (Red=R) 2. สีเขียว (Green=G) 3. สีน้าเงนิ (Blue=B)

เม่อื นาแม่สี 2-3 แม่สีมาผสมกันเขา้ จะเกิดสตี ่าง ๆ เชน่ แดง (R) + เขียว (G) = สีเหลือง (Yellow) เขยี ว (G) + นา้ เงิน (B) = สีฟ้า (Cyan) น้าเงิน (B) + แดง (R) = สีมว่ ง (Magenta) แดง (R) + เขียว (G) + น้าเงนิ (B) = สีขาว (White) ในการผสมลกั ษณะน้คี ือ การนาเอาแม่สมี าผสมกันเข้าในอตั ราส่วนที่เหมาะสมจงึ จะไดส้ ีตามที่กลา่ วมา ข้างตน้ การผสมลักษณะนจี้ ะใชใ้ นกิจการโทรทศั น์ กลอ้ งถ่ายโทรทศั นส์ ีจะต้องมีกล้องเล็กๆ 3 กลอ้ ง คือ กล้องสีแดง, กลอ้ งสีเขยี ว และกล้องสนี ้าเงนิ ส่วนหลอดภาพโทรทัศนส์ ีกจ็ ะมชี ุดปล่อยแมส่ ี 3 ชุด คือแม่สแี ดง (RK) แม่สเี ขยี ว (GK) แม่สนี า้ เงิน (BK) 2. การผสมแบบซบั แทรกทีฟ(Subtractive) การผสมแบบซับแทรกทฟี จะมีแมส่ ี 3 แมส่ ี มาผสมกัน ไดแ้ ก่ 1. แดง 2. นา้ เงนิ 3. เหลอื ง การผสมแบบนี้จะใช้สีเขม้ ขน้ มากกว่าเดมิ จะเปน็ การผสมใช้ในงานวาดเขยี นหรอื การพิมพ์ แดง + เหลอื ง = แดง, เหลอื ง แดง + น้าเงิน = สีม่วง เหลือง + นา้ เงิน = เขยี ว แดง + เหลอื ง + น้าเงิน = ดา , รูปที่ 5.5 การผสมสีแบบซับแทรกทีฟ (Subtractive)

สดั ส่วนการผสมแสงสี ในวิธกี ารของโทรทศั น์ สญั ญาณสอ่ งสวา่ ง เรยี กว่า สญั ญาณลมู ิแนนซ์ (Luminance) หรอื สญั ญาณ Y จะเปน็ สว่ นท่ีจะชี้บอกความส่องสวา่ งของสนี น้ั ๆ ไม่วา่ จะเป็นการผสมสจี ากแมส่ ีผลจากการทดลอง เมือ่ นาหลอดไฟสีแดง สีนา้ เงนิ สเี ขียวให้มีอัตราสว่ นทเ่ี หมาะสมจะเหน็ เป็นสีขาวไดจ้ ากสมการ Y = 0.30 R + 0.59 G + 0.11B จากสมการสญั ญาณลมู ิแนนซ์หรอื สญั ญาณ Y เกิดจากการรวมตัวของแสงสวา่ งแต่ละสี หลอดไฟสแี ดง ความสว่าง 30 % หลอดไฟสีเขยี ว ความสวา่ ง 59 % หลอดไฟสนี า้ เงิน ความสวา่ ง 11 % จากการทดลองแสดงวา่ ความเขม้ ของสตี ่าง ๆ ของทง้ั สามสีมีความสอ่ งสว่างไม่เทา่ กันมอี ัตราสว่ นที่ เหมาะสมจึงจะได้เปน็ สีขาว ดงั นั้นจะสามารถนาไปหาค่าความส่องสวา่ งแตล่ ะสไี ดด้ ังต่อไปน้ี Y = 0.30R + 0.59G + 0.11B หาค่า R – Y = R – (0.30R + 0.59G + 0.11B) R–Y หาคา่ B – Y = R – 0.30R – 0.59G – 0.11B B–Y = 0.70R – 0.59G – 0.11B (1) หาคา่ G – Y = B – (0.30R + 0.59G + 0.11B) G–Y = B – 0.30R – 0.59G – 0.11B = 0.89B – 0.59G – 0.30R (2) = G – (0.59G + 0.30R + 0.11B) = G – 0.59G – 0.30R – 0.11B = 0.41G – 0.30R – 0.11B (3) การรบั ส่งโทรทัศนส์ ีจะตอ้ งพิจารณานาสัญญาณที่นาไปใช้ คือ Y เปน็ สัญญาณส่องสวา่ ง (Luminance) เกดิ จากสัญญาณ R+G+B ในอัตราสว่ นท่ีเหมาะสม วิธีการคานวณไดน้ ีเ้ ป็นค่าสัญญาณทางไฟฟา้ ได้จากกล้องถา่ ยโทรทศั น์สี สาหรบั ค่าตา่ ง ๆ มรี ายละเอียด แทนคา่ ในตาราง ตวั อย่างความสอ่ งสวา่ งของแตล่ ะสดี งั น้ี ภาพสีเหลอื ง จะทางานเฉพาะกล้องสแี ดงกบั สเี ขยี ว Y = 0.30R + 0.59G + 0B = 0.89 ภาพสีฟา้ จะทางานเฉพาะกลอ้ งสเี ขยี วกบั สีน้าเงิน Y = 0R + 0.59G + 0.11B ดังน้ัน Y = 0.70 ภาพสแี ดง จะทางานเฉพาะกล้องสแี ดง Y = 0.30R + 0G + 0B ดังนัน้ Y = 0.30 ภาพสนี ้าเงนิ จะทางานเฉพาะกลอ้ งสนี ้าเงิน Y = 0R + 0G + 0.11B ดังน้ัน Y = 0.11 ภาพสีดา กล้องทั้ง 3 จะไม่ทางาน คือ ไมม่ สี ัญญาณเอาต์พุต Y = 0

การสร้างสัญญาณสีจากภาพสี ภาพท่ีปรากฏอยู่ท่วั ๆ ไป ท่เี ราสามารถมองเหน็ เป็นภาพสี จะประกอบด้วยสสี นั ตา่ ง ๆ สว่ นท่ีเปลีย่ น สัญญาณภาพสีเปน็ สญั ญาณสี ไดแ้ ก่ กลอ้ งถา่ ยโทรทัศน์สแี ละหลอดภาพสี จะสรา้ งสัญญาณสีไม่ครบ แตจ่ ะ สรา้ งขึ้นมาเพยี ง 3 สี เทา่ นัน้ คือ สีแดง (R) สเี ขยี ว (G) สีน้าเงนิ (B) ถ้าต้องการไดส้ ีอ่ืนจะต้องนาสญั ญาณสที ง้ั 3 ไปผสมกันแบบแอ็ดดทิ ีฟ เม่ือนาสัญญาณ R, G, B ผ่านวงจรเมทรกิ ซ์จะไดส้ ัญญาณ Y, B-Yและ R-Y (ไม่มี G-Y) ขาวเหลอื ง 0.89 ฟ้า เขียว ชมพู 0.70 0.59 แดง 0.41 นา้ เงนิ 0.30 ดา 0.11 สญั ญาณลมู แิ นนซ์(Y) 0.89 สัญญาณ (B – Y) 0.59 0.30 -0.30 -0.59 - 0.89 0.70 0.59 0.11 สัญญาณ (R – Y) -0.59 -0.11 -0.70 รปู ท่ี 5.6 ระดบั สญั ญาณจากกล้องถา่ ยจะไดส้ ญั ญาณลมู ิแนนซ์, B – Y และ R – Y

เคร่อื งสง่ โทรทัศนส์ ีระบบ PAL กล้อง เมทริกซ์ สญั ญาณเอาต์พุต เมทรกิ ซ์ Y นา้ เงิน (B) (GแดBง) (R) B-Y (Bเข)(ยี (ว(B()G(B) R-Y ) รูปที่ 5.7 สัญญาณจากกล้องทงั้ 3 เมอ่ื ผ่านเมทรกิ ซ์ (Matrix) สัญญาณซิงโครไนเซชน่ั ดีเลยไ์ ลน์ แอ็ดเดอร์3 เครอื่ งส่ง แอด็ เดอร์ 1 วดิ โี อซิกแนล RY แอมปลฟิ าย G B -Y เมทรกิ ซ์ ฟิลเตอร์ ยู – มอดเู ลชั่น วี – มอดเู ลชน่ั R -Y แอด็ เดอร์2 B ฟลิ เตอร์ 4.43 MHz + 90 ซบั แครเ์ รีย - 90 สวติ ชช์ ่ิงซิกแนล 7.8 kHz 15,6ร2ูป5ทHี่ z5.8 บล็อกไดอะแกรมเครือ่ งส่งโทรทศั น์สรี ะบบPAL รปู ท่ี 5.8 บลอ็ กไดอะแกรมเครือ่ งส่งโทรทศั นส์ รี ะบบ PAL

สัญญาณทางไฟฟา้ จากกล้องถา่ ยแต่ละกลอ้ ง คือ สญั ญาณเอาต์พุตจากกลอ้ งสีแดง (R) กล้องสเี ขียว (G) และกลอ้ งสีนา้ เงนิ (B) ข้นั ตอนตอ่ ไปจะนาสัญญาณท้งั 3 มาเขา้ วงจร เมทรกิ ซ์ จะกอ่ ใหเ้ กิดสญั ญาณ 1. สญั ญาณขาวดา ลูมแิ นนซ์ (Luminance) หรอื สญั ญาณ Y 2. สญั ญาณสี โครมิแนนซ์ (Chrominance) ประกอบด้วยสัญญาณ (R–Y) และ (B–Y) สัญญาณสไี ม่มีสญั ญาณ ( G–Y) สาเหตุเป็นเพราะว่าถ้านาสญั ญาณ (G–Y) มาดาเนินด้วยจะมปี ัญหามาก เพราะขอบเขตการสอ่ งสว่างสงู เทยี บกบั สที งั้ สอง (Y = 0.30R + 0.59G + 0.11B) จะเกิดการรบกวนระหวา่ ง สญั ญาณสีต่อสัญญาณสีได้ง่าย แตส่ ัญญาณ (G–Y) จะถูกสร้างขึ้นในเครอื่ งรบั โทรทศั น์ วธิ ีการดาเนนิ การดา้ นสัญญาณขาวดา (Luminance หรือ Y) จากกลอ้ งถา่ ยสแี ดง (R) สีเขียว (G) และสนี า้ เงนิ (B) มาผ่านเข้าวงจรเม ทรกิ ซ์ (Matrix) จะได้สัญญาณ ภาพขาวดาตามหลกั ของโทรทศั นข์ าวดาในส่วนของสญั ญาณขนาดนี้ยงั ไม่สมบูรณ์จะต้องนาไปรวมกับสญั ญาณ ควบคุมคอื สญั ญาณซงิ โครไนเซชนั่ ในภาคแอด็ เดอร์ 1 (Adder 1) สญั ญาณซิงโครไนเซช่นั สัญญาณ Y แอด็ เดอร์ 1 ดเี ลยไ์ ลน์ แอด็ เดอร์ 3 วิดโี อซิกแนล เคร่อื งส่ง แอมปลฟิ าย สัญญาณจากภาคโครมิแนนซ์ รปู ท่ี 5.9 บล็อกไดอะแกรมดา้ นลมู ิแนนซ์ เมทรกิ ซ์ (Matrix) เมอื่ นาสัญญาณจากกลอ้ งถา่ ย R - G - B มาเขา้ วงจรเมทริกซ์ (Matrix) จะทาให้เกิดสญั ญาณภาพ ขาวดาหรือลูมแิ นนซ์หรือ Y สง่ เข้าภาคแอด็ เดอร์ 1 ซงิ โครไนเซช่ัน (Synchronization) จะนาเอาสัญญาณซงิ โครไนเซชั่น ประกอบด้วย - Hor Sync, Hor Blank - Ver Sync, Ver Blank - Equalizing Pulse สัญญาณทัง้ หมดเหมอื นโทรทศั น์ขาวดา หนว่ ยแอด็ เดอร์ 1 นาสญั ญาณขาวดาและซิงโครไนเซช่นั รวมเขา้ ดว้ ยกนั ก่อใหเ้ กดิ สัญญาณท่ีสมบรู ณ์ เรยี กวา่ คอมโพสิต วดิ โี อ ซิกแนล (Composite Video Signal) สญั ญาณภาพขาวดาประกอบด้วยสญั ญาณต่าง ๆ ดังน้ี

ฮอซงิ ค์ 100 % ฮอแบล็งก้งิ 75 % สัญญาณภาพขาว – ดา 40-50 % 15 % รูปที่ 5.10 สญั ญาณภาพขาวดา ท่ปี ระกอบด้วยสัญญาณต่าง ๆ จากรูปท่ี 5.10 ภาพนค้ี อื ภาพสัญญาณขาวดา 1 เสน้ (H1) ใน 1 ภาพจะตอ้ งมี 625 เส้น ฮอ ซงิ ค์ อยู่ระดบั 100 % เปน็ สัญญาณไปควบคุมเส้นสะบัดกลับในแนวนอน ฮอ แบลง็ กงิ้ อยรู่ ะดับ 75 % เป็นสญั ญาณทาให้เส้นสะบดั กลบั มดื จะมีทง้ั บ่าหน้าและบ่าหลัง ระดับสัญญาณภาพ โดยภาพระดบั ต่าง ๆ ถูกกาหนดโดยประมาณดังนี้ ระดบั ขาว – ดา ประมาณ 10 – 15 % ระดบั เทา – ประมาณ 40 – 50 % ระดับดา – สุด 70 % เวอร์ซงิ ค์ เปน็ สญั ญาณไปควบคุมเส้นสะบัดกลบั ในแนวต้ัง เวอร์แบลง็ กิ้ง เปน็ สญั ญาณทาใหเ้ ส้นสะบัดกลบั แนวตั้งมืด คือมองไม่เห็นสะบัดกลบั อิควอไลซ่งิ พัลส์ เปน็ สัญญาณควบคุมการทางานของแนวตง้ั ดีเลย์ ไลน์ (Delay Line) ดีเลย์ ไลน์ จะทาหนา้ ทห่ี น่วงสัญญาณใหช้ า้ ลงคอื มรี ะยะเวลาการทางาน หมายความวา่ สัญญาณอนิ พุต (INPUT) เข้ามาที่หนว่ ยดเี ลย์ ไลน์ จะต้องมเี วลาการทางานระยะหนึ่งจึงจะมีสัญญาณออกที่เอาต์พุต เหตทุ ี่ต้อง หน่วงสญั ญาณด้านขาวดาให้ชา้ ลงเพราะทางดา้ นสหี รอื การทางานของด้านโครมแิ นนซม์ ีการทางานหลาย ขน้ั ตอนจึงต้องใชร้ ะยะเวลาการทางานนานกว่าขาวดา แตม่ วี ิธกี ารอยู่ว่าสญั ญาณท้งั ขาวดาและสตี อ้ งผสมกนั ใน เวลาทีเ่ หมาะสมสญั ญาณทง้ั สองจงึ จะมกี ารทางานทถี่ ูกต้อง ดงั นั้นจาเปน็ จะต้องหน่วงสัญญาณขาวดาไว้ระยะ หนง่ึ ก่อนทจ่ี ะทาการผสมกนั (ในเคร่อื งรับโทรทัศน์สีก็มหี ลกั การทางานคลา้ ยกัน) หนว่ ยแอ็ดเดอร์ 3 จะนาสญั ญาณจาก 2 แหล่งมารวมเขา้ กนั คือ 1. สญั ญาณลมู แิ นนซ์ ( Luminance) หรอื สัญญาณ Y หรอื สญั ญาณภาพขาวดาที่เปน็ สัญญาณภาพที่ สมบรู ณ์ เรียกวา่ คอมโพสติ วิดโี อ ซิกแนล (Composite Video Signal) 2. สญั ญาณสีหรือโครมแิ นนซ์ (Chrominance) โดยสญั ญาณสจี ะประกอบไปดว้ ย สญั ญาณ (B–Y) หรอื สญั ญาณ U สญั ญาณ (R–Y) หรือสญั ญาณ V (จะไม่มสี ัญญาณ G–Y) เมื่อสัญญาณจาก 2 แหล่งมารวมกัน เข้าแลว้ จะไดเ้ ปน็ สญั ญาณภาพที่สมบรู ณ์ คือ คอมโพสติ วดิ โี อ ซิกแนล

หน่วยวิดโี อ ซกิ แนลแอมป์ จะเป็นวงจรขยายคอมโพสิต วิดีโอ ซกิ แนล ใหม้ ีกาลงั สูงขึ้นตามตอ้ งการแล้วนาไปเข้าเคร่ืองสง่ โทรทัศน์ ส่งออกทางสายอากาศต่อไป วิธีการดาเนนิ การดา้ นสัญญาณสี (Chrominance) 1. สรา้ งสัญญาณสี (R–Y) และ (B–Y) จะเหน็ ไดว้ ่าสญั ญาณ (G–Y) ทเ่ี คร่อื งส่งจะไม่ได้สง่ สญั ญาณ G–Y จะตอ้ งไปสร้างขึน้ ท่ีเคร่ืองรับโทรทศั น์ 2. สรา้ งเคร่ืองพาหะรอง เรียกวา่ ซับแคร์เรีย 4.43 MHz 3. สรา้ งสัญญาณเบิรสต์ (Burst) หรอื สญั ญาณซิงค์ (Sync) ของสี ความถี่ 4.43 MHz 4. สร้างสวิตชช์ งิ่ ซิกแนล (Switching Signal) 7.8 kHz 5. วิธีการยู–มอดเู ลชน่ั (U–Modulation) และวี–มอดเู ลช่นั (V–Modulation) 1. สรา้ งสญั ญาณสี R–Y และ B–Y จากกล้องถา่ ยสแี ดง (R) สเี ขยี ว (G) และสนี า้ เงนิ (B) สญั ญาณจะเข้าสหู่ น่วย Matrix กอ่ ให้เกดิ สญั ญาณ สสี ัญญาณหลกั คือสัญญาณ (B–Y) เรยี กว่า สญั ญาณ U สญั ญาณ (R–Y) เรยี กว่า สัญญาณ V จะเหน็ ไดว้ า่ ไมม่ ี (G–Y) เมือ่ ไดส้ ัญญาณ U และ V แลว้ จะดาเนินตามกรรมวธิ ีดา้ นสี 2. สรา้ งซบั แครเ์ รยี 4.43 MHz การสรา้ งซับแคร์เรยี 4.43 MHz สาเหตุทีต่ ้องมกี ารสร้างคล่ืนพาหะรองหรอื ซับแคร์เรีย 4.43 MHz สาหรบั นาไปมอดูเลชนั่ กบั สญั ญาณ ( B–Y) และ (R–Y) ทาหน้าทค่ี ลนื่ พาหะของสีเมอ่ื ผสมเข้าด้วยกันแลว้ จะ กลายเปน็ สญั ญาณนาออกอากาศและยงั ป้องกันไมใ่ หส้ ัญญาณท้ังสองสอดแทรกเขา้ กบั สญั ญาณขาวดาจงึ เปรยี บเสมือนการห่อหุ้มสญั ญาณ (B–Y) และ (R–Y) วิธีการมอดูเลชนั่ จะเป็นแบบ เอเอ็ม (AM) 0.59 0.89 0.30 สัญญาณ (B – Y) -0.59 -0.30 - 0.89 0.59 0.70 0.11 สัญญาณ (R – Y) -0.11 -0.59 -0.70 รปู ที่ 5.11 สญั ญาณ (R-Y) และ (B-Y) จากวงจร Matrix

สญั ญาณที่จะทาการมอดูเลช่นั แครเ์ รยี สัญญาณที่มอดเู ลชนั่ รูปท่ี 5.12 วธิ กี ารมอดูเลชนั่ ความกวา้ งของสญั ญาณ ( B–Y) และ (R–Y) เรียกว่า แบนด์วดิ ท์ ของสัญญาณ (B–Y) และ (R–Y) สัญญาณยู ( U) เป็นตวั แทนสัญญาณสบี ี –วาย (B–Y) สญั ญาณวี ( V) เป็นตวั แทนสัญญาณสอี าร์ –วาย (R–Y) จะมีแบนดว์ ดิ ธ์ ข้างละ 1 MHz วดิ โี อ แคร์เรีย ซับ แคร์เรีย 4.43 MHz ซาวด์แครเ์ รยี 1 MHz 1 MHz 0 1.25 MHz1 2 3 4 5 6 7 ไซด์แบนด์ของสี รูปท่ี 5.13 แบนดว์ ิดธ์ (Band Width) ของสญั ญาณยแู ละวี และตาแหนง่ ซับแคร์เรยี 3.สญั ญาณเบริ สต์ (Burst) หรอื เรียกวา่ สัญญาณซงิ ค์ (Sync) ของสี สญั ญาณเบิรสต์ หรอื ซงิ ค์สี จะถูกสรา้ งขน้ึ มาเพือ่ คอยควบคุมเฟส (Phase) ของสีให้คงทีส่ มา่ เสมอจะมี ความถ่ีเท่ากบั ซบั แคร์เรีย สญั ญาณเบริ สต์จะมีความถีเ่ ท่ากบั 4.43 MHz ตาแหน่งของสญั ญาณเบิรสต์จะวางไว้ ท่ีบ่าหลังสัญญาณ ฮอแบล็ง (Hor Blank) ทกุ ๆ รูปสญั ญาณ

100 % Sync เบริ สต์ 75 % Black รปู ที่ 5.14 ตาแหน่งเบริ สตท์ อ่ี ยูบ่ นบา่ หลงั ฮอแบลง็ ซิงค์ 100 % สญั ญาณ เบิรสต์ สญั ญาณ สัญญาณแบลง็ กง้ิ 70 % เบิรสต์ สัญญาณลมู ิแนนซ์ สญั ญาณ โครมแิ นนซ์ 20 % 0% รูปท่ี 5.15 ตาแหนง่ เบริ สตจ์ ะอย่บู นบา่ หลงั ของ ฮอแบล็งทกุ ๆ ลกู 3. สรา้ งสัญญาณสวิตชิง่ ซกิ แนล (Switching Signal) สัญญาณสวิตชง่ิ ซิกแนล หรือ สัญญาณไอเดนต์ ( I dent) 7.8 MHz กาหนดให้พลั สส์ วติ ช์ ( PAL SW) ทางานจะเป็นสวติ ช์อเิ ล็กทรอนกิ สจ์ ะสลับเฟสของสัญญาณระหวา่ ง +90 องศา และ -90 องศา สัญญาณไอเดนต์ 7.8 MHz ทาหนา้ ท่สี ลบั การทางานของพัลส์ สวติ ช์ ( PAL SW) เพื่อกาหนดให้ สญั ญาณ (R–Y) สลบั เฟสบวก 90 องศา และลบ 90 องศา (0 -180 องศา) เส้นหนง่ึ เป็นเฟสบวกอกี เส้นหน่ึง เป็นเฟสลบการสลับเฟสจะดาเนินการอย่างตอ่ เนือ่ งโดยมสี ญั ญาณเบริ สต์สอดแทรกเข้ามาด้วย

สญั ญาณ (R – Y) วี – มอดูเลชน่ั เบิรสต์ 4.43 + 90 % MHz - 90 % ซับ แครเ์ รีย 4.43 MHz ไอเดนต์ 7.8 MHz รูปท่ี 5.16 การทาสญั ญาณสวติ ชง่ิ มากาหนดทางานพลั สส์ วติ ช์ 5. วิธกี าร ยู - มอดเู ลช่ัน และวี - มอดเู ลชัน่ การมอดเู ลชน่ั หมายถึง การนาคลืน่ พาหะรองหรอื ซับแคร์เรีย จะทาการมอดูเลชั่นตอ้ งกาหนดให้ สัญญาณเย้อื งเฟสกันอยู่ 90 องศากอ่ นเพอ่ื ปอ้ งกนั การรบกวน UV 45o 90o รูปท่ี 5.17 สญั ญาณ U จะนาหน้าสญั ญาณ V อยู่ 90 องศา ด้านสญั ญาณ (B–Y) หรือสญั ญาณ U (สัญญาณ U ตัวแทนคือสญั ญาณ B-Y) สญั ญาณ B–Y เม่ือผ่าน หนว่ ยกรอง ( Filter) ใหส้ ัญญาณ ( B–Y) จะต้องทามุม 0 (สว่ น (R–Y) จะตอ้ งทามมุ 90 องศา) หมายความวา่ สญั ญาณท้งั สองเย้อื งเฟสกนั วธิ ีการยู – มอดูเลชน่ั คอื นาเอาสัญญาณซบั แครเ์ รยี 4.43MHz มามอดูเลช่นั เข้า กับสัญญาณ (B–Y) จากน้ันเรยี กสัญญาณ U เป็นตัวแทนของสัญญาณ (B–Y) ไปรอรวมสญั ญาณ V ในหนว่ ย แอด็ เดอร์ (Adder) สญั ญาณ ( R–Y) หรือสัญญาณ V (สัญญาณ V คอื ตัวแทน (R–Y)) เมือ่ ผา่ นหน่วยกรอง จะตอ้ งสลบั เฟส ของซบั แครเ์ รียคอื +90 องศา และ -90 องศา เสน้ เว้นเสน้ โดยนาเอาสญั ญาณไอเดนต์ 7.8 kHz มากาหนดให้ พลั ส์ สวิตช์ทาหน้าทีส่ ลับเฟสสญั ญาณซับแคร์เรียจะถกู ดาเนินการมอดูเลช่นั ในวงจรวี –มอดูเลช่ัน โดยมี สัญญาณเบิรสต์สอดแทรกเข้ามาดว้ ย

เมื่อผา่ นขัน้ ตอนยู –มอดเู ลชัน่ และวี –มอดเู ลช่ัน ก็จะนาสัญญาณมารวมกนั เข้าในหน่วยแอด็ เดอร์ 2 กเ็ สร็จสน้ิ วิธกี ารทางดา้ นสัญญาณสเี พอ่ื นาไปรวมกับสัญญาณลูมแิ นนซใ์ นแอ็ดเดอร์ 3 ตอ่ ไป ++ (R–Y) Modulation 0 R–Y 0 Modulation -- Chrominance + + 0 0 - - ++ (B–Y) Modulation 0 B–Y 0 -- รปู ท่ี 5.18 การนา(R – Y)และ(B – Y)มาทาการมอดูเลช่นั วิธกี ารนาสัญญาณ (R–Y) และ (B–Y) มาทาการมอดเู ลชัน่ 1. รปู สัญญาณ (R–Y) ที่ออกจากวงจรไปเม ทริกซ์จะนาไปมอดูเลช่นั คอื การเอาสญั ญาณ ( R–Y) รวมเขา้ กบั คลื่นพาหะรอง ความถี่ 4.43 MHz จะได้รูปสญั ญาณ (R–Y) มอดเู ลชั่นหรอื วี–มอดเู ลชัน่ 2. รูปสญั ญาณ (R–Y) และ (B–Y) จากมอดูเลชั่นมารวมเขา้ ดว้ ยกันจะไดส้ ัญญาณโครมแิ นนซ์ 3. รูปสัญญาณ (B–Y) ทีอ่ อกจากวงจรเมตรกิ ซจ์ ะนาไปมอดเู ลช่นั คอื การนาเอาสัญญาณ (B–Y) รวมเข้ากบั คลน่ื พาหะรอง ความถี่ 4.43 MHz จะไดร้ ูปสญั ญาณ (B–Y) มอดเู ลช่ันหรือยู–มอดเู ลชั่น

สรปุ รูปสญั ญาณท่ีเคร่ืองส่งโทรทศั นส์ ี 100 % ซิงค์ 75 % 60 % แบล็งกง้ิ 4ด0า- 50 % เ1ท5า % สญั ญาณภาพขาวดา ขาว เบิรสต์ Chrominanc e เบริ สต์ สญั ญาณสี สัญญาณภาพขาวดา รปู ท่ี 5.19 การผสมสัญญาณรวมสีและสัญญาณขาวดารวมท้งั ตาแหน่งสญั ญาณเบริ สต์

หลกั การเคร่อื งรบั โทรทศั น์สีเบ้ืองตน้ หลกั การเคร่อื งรบั โทรทัศน์สเี บ้อื งต้น โดยพิจารณาว่าเครอื่ งรบั โทรทัศน์สจี ะคล้ายกบั เครอื่ งรบั โทรทัศน์ ขาวดาจะแตกตา่ งเฉพาะเครือ่ งรับโทรทศั นส์ ีจะเพม่ิ วงจรภาคสหี รือโครมิแนนซ์ ซาวด์ ออดโิ อ แอมป์ SP ดเี ทคเตอร์ ลมู แิ นนซ์ จนู เนอร์ โครมแิ นนซ์ วิดีโอ ดเี ทคเตอร์ วงจร CRT เมทริกซ์ รปู ที่ 5.20 บล็อกไดอะแกรมเคร่อื งรับโทรทัศนส์ ีเบื้องตน้ สัญญาณจากสถานีสง่ จะประกอบไปดว้ ยสัญญาณหลกั 2 สญั ญาณ 1. สัญญาณด้านเสยี ง 2. สญั ญาณด้านภาพ 2.1 สญั ญาณดา้ นขาวดา 2.2 สญั ญาณด้านสี 2.3 สญั ญาณซงิ โครไนเซช่นั สญั ญาณเขา้ มาทส่ี ายอากาศ จะเข้าสวู่ งจรของเครื่องรับ คือ จนู เนอรจ์ ะเลือกรบั สถานีที่ตอ้ งการและ ดาเนนิ วธิ กี ารของจูนเนอร์จะไดส้ ญั ญาณเอาต์พตุ คอื VIF และ SIF สัญญาณด้านเสยี ง สัญญาณดา้ นเสยี งจะเข้าสู่วงจรซาวด์ ดเี ทคเตอร์ หรอื เอฟเอ็ม ดีเทคเตอร์ การดีเทคเตอร์ คือ การตดั หรอื บายพาส ( By Pass) สญั ญาณอาร์เอฟ ( RF) หรือแครเ์ รยี ลงกราวด์ ดังน้ันสัญญาณด้านเสียงขณะน้จี ะ เหลือเฉพาะซาวด์ ซิกแนลหรือสัญญาณทางไฟฟา้ ของเสียงเพ่อื ลงไปขยายเสียงต่อไป ออดโิ อแอมปเ์ ป็นวงจรขยายเสยี ง โดยการนาเอาซาวด์ ซิกแนล ดาเนนิ การขยายกาลงั ให้มีกาลงั เพียงพอ ตอ่ ความต้องการแล้วสง่ ไปยงั ลาโพงทาหนา้ ทีเ่ ปลี่ยนจากซาวด์ ซกิ แนล เป็นเสยี ง สัญญาณด้านภาพ สัญญาณดา้ นภาพจะมีทั้งสญั ญาณขาวดาและสีรวมมาด้วยกนั เข้าวงจรวิดโี อ ดเี ทคเตอร์ ภาควดิ โี อ ดีเทคเตอร์ ทาการตัดหรือบายพาส สญั ญาณอาร์เอฟ หรือแคร์เรยี ลงกราวด์ ดังนัน้ สัญญาณดา้ นภาพขณะนจ้ี ะ เหลือเฉพาะ (Composite Video Signal) สญั ญาณขาวดาและสจี ะทาการแยกออกจากกัน

ดา้ นขาวดาหรือลูมิแนนซ์ สัญญาณขาวดาจะผา่ นดเี ลย์ ไลน์จะทาการหน่วงสญั ญาณขาวดาให้ชา้ ลง เนื่องจากในดา้ นสนี นั้ มวี งจรที่ สลับซบั ซอ้ นมากทาให้การทางานต้องใชเ้ วลานาน ดังน้นั เพื่อให้สัญญาณขาวดาไปพบกบั สญั ญาณสพี อดใี นตอน รวมกันเข้าจึงจาเปน็ จะตอ้ งหน่วงสญั ญาณขาวดาไวก้ อ่ น ลมู ิแนนซ์ คือ การขยายสัญญาณขาวดา จะมภี าคขยายเพียง 2 -3 ภาค ก็จะสมบูรณ์จะส่งไปรอรวมกับ สัญญาณสีทว่ี งจรเมทริกซ์ ดา้ นสัญญาณสหี รอื โครมิแนนซ์ มีกรรมวธิ หี รือข้นั ตอนการทางานคอ่ นขา้ งจะสลบั ซบั ซอ้ นมาก คอื นาเอาสัญญาณ (R–Y) และ (B–Y) มาดาเนนิ การตามขัน้ ตอนและสร้างสญั ญาณ ( G–Y) ได้สญั ญาณสหี ลกั คื อ สญั ญาณสแี ดง (R) สัญญาณสเี ขียว (G) และสัญญาณสีน้าเงนิ (B) แลว้ นาไปรวมกบั สัญญาณดา้ นขาวดา ทวี่ งจร เมทรกิ ซ์ วงจรเมทริกซ์ จะทาการผสมสัญญาณขาวดาและสญั ญาณสีเข้าดว้ ยกนั แล้วจึงส่งต่อให้หลอดภาพสี หลอดภาพสี หลอดภาพทจ่ี ะนาเอาแมส่ ีหลัก คือ แม่สแี ดง ( R) แมส่ ีเขยี ว ( G) แม่สนี า้ เงิน (B) แลว้ ดาเนินการตาม กรรมวธิ ขี องหลอดภาพสีแม่สีตา่ งๆ จะทาการผสมสีแล้วยงิ อเิ ลก็ ตรอนไปกระทบทหี่ น้าจอ เพอื่ ใหม้ องเห็นเป็น ภาพสี มาตรฐานการรับส่งโทรทศั น์ คณะกรรมการที่ปรกึ ษาทางวทิ ยุระหวา่ งประเทศ (CCIR: International Committee) ได้แตง่ ตั้ ง คณะทางานเพ่ือกาหนดด้านเทคนคิ ของโทรทัศน์ขาวดาที่มใี ชอ้ ย่ใู นประเทศตา่ งๆ มอี ย่หู ลายระบบ คือ แบบ 525 เสน้ System M แบบ 625 เส้น System C, B, G, H, I, K, L, N แบบ 819 เส้น System E, F 5.1 มาตรฐานการสง่ โทรทศั น์ขาวดา มาตรฐานการสง่ โทรทัศน์ขาวดาครงั้ แรกประเทศไทยใช้ระบบของอเมรกิ า 525 เสน้ ต่อมาเปลี่ยนเป็น ระบบของยุโรป 625 เส้น (PAL – B) ประมาณปี พ.ศ. 2510 ทกุ สถานีได้เปลยี่ นแปลงมาส่งโทรทศั นส์ ใี ชร้ ะบบ PAL – B จนถงึ ปัจจบุ ัน ดงั นน้ั ถ้าเปน็ ระบบ PAL – B ขาวดาและสีใชม้ าตรฐานอยา่ งเดยี วกนั

PAL-B รายการด้านเทคนคิ มาตรฐาน System PAL-B 1. ใช้ระบบ 625 เสน้ 2. จานวนเสน้ 50 3. จานวน Frame (2 Frame = 1 Field) 25 ภาพ 4. จานวนภาพ ตอ่ วินาที Interlace Scanning 5. การสแกน 15,625 Hz 6. ความถข่ี อง Horizontal 50 Hz 4:3 7. ความถ่ขี อง Vertical 5 MHz 7 MHz 8. อัตราส่วนจอภาพ (กวา้ ง : สูง) 5.5 MHz 9. ขอบเขตความกวา้ งของสญั ญาณภาพ 1.25 MHz 10. ของเขตความกว้างของชอ่ ง (Band Width) 0.25 MHz 5 MHz 11. ระยะหา่ งของคลน่ื พาหะของเสียงและคลนื่ พาหะของภาพ 0.75 MHz 100 % 12. คลน่ื พาหะของภาพอย่หู ่างจากความถี่ต่าสดุ 13. คลื่นพาหะของเสียงห่างจากความถ่ีสงู สดุ 75 % 12 % 14. ความกว้างของภาพ (Upper Side Band) 70 % 4.43 MHz 15. ความกว้างของ Vertigial Side Band 16. ระดบั สัญญาณ ซงิ ค์ (Sync Lever) 17. ระดับแบลง็ ก้ิง (Blanking Level) 18. ระดบั ขาวสุดของภาพประมาณ 19. ระดบั ดาสุดของภาพประมาณ 20. ซบั แคร์เรยี

มาตรฐานการส่งโทรทศั นส์ ี เนือ่ งด้วยประเทศไทยได้สง่ โทรทัศน์สีตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2510 ในระบบ PAL-B สง่ ยา่ น VHF ช่อง 3, 5, 7, 9, 11 ในยา่ น VHF จะเพ่ิมสถานสี ง่ ไมไ่ ด้อกี ถา้ จะทาการเปิดสถานีส่งโทรทศั น์สขี ึ้นมาใหมจ่ ะต้องส่งความถ่ยี า่ น UHF เทา่ น้นั ในอนาคตอาจจะสง่ ดว้ ยระบบ PAL-G PAL-G มาตรฐาน รายการดา้ นเทคนิค System PAL-G 1. ใช้ระบบ 2. จานวนเส้น 625 เส้น 3. จานวน Frame (2 Frame = 1 Field) 50 4. จานวนภาพ ต่อ วนิ าที 5. การสแกน 25 ภาพ 6. ความถ่ขี อง Horizontal Interlace Scanning 7. ความถ่ีของ Vertical 8. อัตราสว่ นจอภาพ (กวา้ ง : สงู ) 15,625 Hz 9. ขอบเขตความกว้างของสญั ญาณภาพ 50 Hz 10. ของเขตความกวา้ งของช่อง (Band Width) 4:3 11. ระยะหา่ งของคล่ืนพาหะของเสยี งและคล่ืนพาหะของภาพ 5 MHz 12. คลน่ื พาหะของภาพอยหู่ ่างจากความถ่ีต่าสุด 7 MHz 13. คล่นื พาหะของเสยี งหา่ งจากความถีส่ ูงสดุ 5.5 MHz 14. ความกว้างของภาพ (Upper Side Band) 15. ความกว้างของ Vertigial Side Band 1.25 MHz 16. ระดบั สญั ญาณ ซิงค์ (Sync Level) 0.25 MHz 17. ระดบั แบลง็ กิง้ (Blanking Level) 5 MHz 18. ระดับขาวสดุ ของภาพประมาณ 0.75 MHz 19. ระดับดาสดุ ของภาพประมาณ 100 % 20. ซับแคร์เรีย 21. ความถีข่ องเสียง (SC)(เสียง 2 ภาษา) 75 % ภาษาท่ี 1 (SC1) 12 % ภาษาท่ี 2(SC2) 70% 4.43 MHz 5.5 MHz 5.74 MHz

เปรียบเทยี บ Band Width ระบบ PAL- B และ PAL-G คณุ ลกั ษณะของระบบ PAL-B 7 MHz VC 0 dB LSB USB SC -10 dB -10 dB -16 dB CC -13 dB -20 dB +4.43 +5 +5.5 +5.75 MHz -1.25 -0.75 0 รปู ที่ 5.21 ความกว้างของความถขี่ องแตล่ ะชอ่ งระบบ PAL-B 1. ความกวา้ งของช่อง (Channel Band Width) = 7 MHz 2. ความกวา้ งของความถภี่ าพ (Upper Side Band) = 5 MHz 3. ความกวา้ งของ Vestigial Side Band = 0.75 MHz 4. ความถ่ขี องภาพและความถข่ี องเสยี งห่างกนั = 5.5 MHz 5. ความถี่ของภาพห่างจากความถเ่ี ริม่ ตน้ ของชอ่ ง = 1.25 MHz 6. ความถข่ี องเสียงห่างจากความถี่สูงสุดของชอ่ ง = 0.25 MHz

คุณลกั ษณะของระบบ PAL-G 8 MHz VC 0 dB LSB -10 dB USB SC1 -13 dB -20 dB PAL-G CC SC2 -20 dB -30 dB MHz -1.25 -0.75 0 +4.43 +5 +5.5 +5.74 รปู ท่ี 5.22 คุณลักษณะของระบบ PAL-G VC = Video Carrier = 1.25 MHz (หา่ งจากความถี่ด้านตา่ ) SC1 = Sound Carrier 1 = 5.5 MHz SC2 = Sound Carrier 2 = 5.74 MHz = 4.43 MHz CC = Color Carrier VSB = Vestigial Side Band ระบบเสียง 2 ภาษา (Dual Sound) USB = Upper Side Band 5.75 ซิงค์เซปเปอรเ์ รเตอร์ (Sync Separator) วิธกี ารของโทรทัศน์ ในด้านสญั ญาณภาพมิใช่ว่าจะสง่ สญั ญาณภาพมาเพยี งอยา่ งเดยี ว โดยใหเ้ คร่ือง ทางานอย่างมอี สิ ระ ในลกั ษณะนเ้ี ครอื่ งรับกส็ ามารถดาเนินการได้ แต่ภาพทีป่ รากฏบนจออาจจะเกิดการ ผิดพลาดได้ เช่น ภาพเลื่อนไป –มา ทางซา้ ยทางขวา หรือเลอื่ นขนึ้ เลอ่ื นลง เพือ่ ไมใ่ ห้เกิดปัญหาดงั กลา่ ว เครือ่ งส่งจะต้องมสี ัญญาณควบคมุ มาพรอ้ มกบั การส่งสัญญาณภาพดว้ ย เพื่อใหเ้ ครื่องรบั และสถานสี ง่ เกดิ การ ทางานทพี่ รอ้ มกันหรือตรงกนั เรยี กว่า การซิงโครไนเซชน่ั (Synchronization) สญั ญาณทจี่ ะมาควบคมุ ให้ การทางานของเคร่ืองรบั เปน็ ไปอย่างถกู ต้องเรียกสัญญาณภาพสมบรู ณห์ รอื เรียกวา่ คอมโพสติ วดิ โี อ ซกิ แนล ประกอบด้วยสัญญาณหลกั คือ

- วดิ ีโอ ซกิ แนล (Video Signal) - ฮอซงิ ค์ (Hor– Sync) - ฮอแบลง็ (Hor– Blank) - เวอร์ซิงค์ (Ver – Sync) - เวอร์แบลง็ (Ver–Blank) - อคิ วอไลซง่ิ พลั ส์ (Equalizing Pulse) จะนาสญั ญาณเหล่าน้ีเขา้ ส่วู งจรซงิ คเ์ ซปเปอร์เรเตอร์ เพอื่ ทาการดาเนนิ การใหเ้ หลอื เฉพาะเวอร์ซงิ ค์ และฮอซงิ ค์ไปใช้งานตอ่ ไป วงจรซิงคเ์ ซปเปอรเ์ รเตอร์ วงจรซิงค์เซปเปอร์เรเตอร์ จะนาสัญญาณภาพท่ีสมบูรณค์ อื คอมโพสิต วดิ ีโอ ซกิ แนลมาดาเนินการตดั สัญญาณท้งั หมดใหเ้ หลือเฉพาะเวอรซ์ ิงค์ ความถี่ 50 Hz และฮอซงิ ค์ ความถี่ 15,625 Hz HH V Composite Sync Separator Video Signal รูปท่ี 5.23 วงจรซิงคเ์ ซปเปอร์เรเตอร์ จากรปู ท่ี 5.23 สัญญาณทป่ี ้อนเขา้ วงจรซิงคเ์ ซปเปอร์เรเตอร์ ได้แก่ คอมโพสิต วิดโี อ ซกิ แนล นาสัญญาณนี้ผา่ นเขา้ วงจรซิงคเ์ ซปเปอรเ์ รเตอรท์ าการตดั ระดบั สญั ญาณต่ากวา่ 75 % ทง้ิ สญั ญาณท่เี หลอื คอื สญั ญาณที่สูงกวา่ 75 % ขึน้ ไปเหลอื เฉพาะเวอรซ์ งิ ค์กบั ฮอซิงค์เท่านน้ั

ฮอซิงค์ 100 % เวอรซ์ งิ ค์ 100 % ฮอแบล็ง 75 % เวอรแ์ บลง็ 75 % 100 75 50 25 0 25 50 75 100 วิดโี อ ซิกแนล รปู ท่ี 5.24คอมโพสิต วดิ โี อ ซกิ แนล จากรูป 5.24 จะเปน็ สัญญาณคอมโพสติ วิดีโอ ซิกแนล ซึ่งประกอบด้วย - วิดโี อ ซกิ แนล (Video Signal) - ฮอซิงค์ (Hor– Sync) - ฮอแบลง็ (Hor – Blank) - เวอร์ซงิ ค์ (Ver – Sync) - เวอร์แบล็ง (Ver–Blank) - อิควอไลซิง่ พลั ส์ (Equalizing Pulse) +B R1 HH V C1 Sync output R2 R4 รูปที่ 5.25 ซงิ คเ์ ซปเปอร์เรเตอร์

เม่ือทราบถึงจุดประสงคข์ องภาคซิงค์เซปเปอรเ์ รเตอร์ ต้องการระดบั สัญญาณท่สี งู กวา่ ระดับ แบล็งกิง้ (Blanking) คอื 75 % ขนึ้ ไป โดยกาหนดให้วงจรทรานซสิ เตอร์ (Transistor) ทางานหรือนากระแสได้ เฉพาะตอนส่วนสงู ของสญั ญาณมากกว่าระดับ 75 % ขึน้ ไป ถ้าตา่ กวา่ ระดับ 75 % แล้วทรานซสิ เตอร์จะ หยดุ ทางานหรือหยดุ นากระแส วิธแี ยก ซิงค์ พัลส์ (Sync Pulse) อนั ประกอบด้วย 1. เวอร์ซิงค์ ความถ่ี 50 Hz 2. ฮอซิงค์ ความถ่ี 15,625 Hz ขนั้ ตอนตอ่ ไปจะตอ้ งแยกซิงค์ เวอร์ซิงค์ ความถี่ 50 Hz ไปควบคุมภาคเวอรต์ ิคอล แยกด้วยวงจรโลว์ พาส ฟิลเตอร์ ( Low Pass Filter) หรอื อินตเิ กรเตอร์ (Integrator) H-Sync R1 R2 V-Sync V-Sync C1 C2 รปู ท่ี 5.26 วงจรโลว์ พาส ฟลิ เตอร์ ลักษณะการทางาน วงจรโลว์ พาส ฟลิ เตอร์หรืออนิ ทิเกรเตอร์โลว์ พาส ฟลิ เตอร์ คือ กรองใหเ้ ฉพาะความถีต่ า่ เท่านัน้ ผ่านได้ ทางด้านอินพุตของวงจรสญั ญาณที่เข้ามามีเวอรซ์ งิ คค์ วามถี่ 50 Hz (ความถ่ีต่า) และฮอซงิ ค์ความถ่ี 15,625 Hz (ความถ่สี งู ) สัญญาณทงั้ สองน้ีจะผา่ น R1, R2, C1และ C2, C1 และ C2 มีผลตอ่ ความถ่สี งู จะทาการ บายพาสความถีส่ ูงลงกราวด์ดงั น้นั สญั ญาณเอาตพ์ ตุ จงึ เหลือเฉพาะเวอร์ซิงคเ์ ทา่ นน้ั เอาตพ์ ตุ ของวงจรโลว์ พาส ฟลิ เตอร์ มเี ฉพาะเวอร์ ซิงค์ ความถ่ี 50 Hz เพื่อไปควบคมุ การทางาน ทางเวอร์ติคอลต่อไป ฮอซงิ คค์ วามถ่ี 15,625 Hz ไปควบคมุ ภาคฮอริซอนทอล แยกดว้ ยวงจรไฮ ฟลิ เตอร์ ดฟิ เฟอเรนตเิ อเตอร์

H-Sync C1 C2 H-Sync V-Sync R1 R2 รูปที่ 5.27 วงจรไฮ พาส ฟลิ เตอร์ ลักษณะการทางาน วงจรไฮพาส ฟิลเตอร์ หรอื ดิฟเฟอเรนติเอเตอร์ คือ วงจรกรองใหเ้ ฉพาะความถ่สี งู ผ่านไดเ้ ท่าน้ันผ่านได้ อนิ พตุ ของวงจรสัญญาณทีเ่ ข้ามามีเวอร์ ซงิ ค์ ความถี่ 50 Hz (ความถ่ีต่า) และฮอซงิ ค์ความถี่ 15,625 Hz (ความถี่สงู ) สัญญาณทั้งสองผา่ น C1, C2 และ R1, R2 , C1, C2 จะมีผลให้ความถ่สี ูงผ่านได้สะดวกมาก ความถส่ี ูงจะผา่ นทางดา้ น C1 และ C2 ความถีต่ ่าจะไม่ผ่าน C1 และ C2 สัญญาณเอาต์พตุ จะเหลือ เฉพาะฮอซงิ ค์เท่าน้ัน เอาต์พตุ ของวงจรไฮ พาส ฟิลเตอร์มเี ฉพาะฮอซงิ ค์ความถ่ี 15,625 Hz เพือ่ ไปควบคุมการ ทางานภาคฮอริซอนตอลตอ่ ไป วงจรซงิ ค์เซปเปอรเ์ รเตอร์ สญั ญาณจะเข้าสู่วงจรซิงคเ์ ซปเปอรเ์ รเตอร์ คือ คอมโพสิต วิดโี อ ซกิ แนล สญั ญาณเอาต์พุตของขา 3 ของไอซี UPC1366 จะทาการแยกไปหลายทศิ ทาง - SIF 5.5 MHz - Video Out - Sync Separator ทรานซสิ เตอร์ ทาหนา้ ท่ซี ิงคเ์ ซปเปอรเ์ รเตอร์ คือ Q501 ทางเดินของสัญญาณจากขา 3 ของไอซี UPC1366 จะเขา้ วงจรซิงค์เซปเปอร์เรเตอร์โดยผา่ น R501, C502, C501, R502 เขา้ ขาเบสของทรานซสิ เตอร์ (Q501) สญั ญาณออกทีข่ าคอลเล คเตอร์เหลอื เพยี งฮอซิงคแ์ ละเวอรซ์ ิงคเ์ ทา่ นนั้ เพ่อื จะไปดาเนินการแยก ฮอซงิ คอ์ อกจากเวอรซ์ ิงค์ต่อไป ตัวอยา่ งที่ 1 วงจรซงิ ค์เซปเปอร์เรเตอร์ โทรทัศน์ ขาว-ดา ยีห่ ้อ International

3 R501 C502 R503 C501 R502 R504 C503 Q501 C504 R505 R506 รปู ท่ี 5.28 วงจรซงิ ค์เซปเปอร์เรเตอร์ ตัวอยา่ งท่ี 2 ภาค Sync Separatorใชไ้ อซี ของโทรทศั นส์ ี ไอซเี บอร์ TA7698AP ในการพิจารณาในวงจร Sync Separator ในไอซี AFC Sync Sep AFC Out In รูปที่ 5.29 โครงสรา้ งภายในไอซเี บอร์ TA7698AP

อาการขดั ข้องของวงจร Sync Separator 1. สัญญาณ Composite Video Signal จะเข้าสภู่ าค Sync Separator เพ่ือทจ่ี ะเลือกเอาเฉพาะ Ver–Sync ความถี่ 50 Hz และ Hor–Sync ความถ่ี 15,625 Hz 2. สญั ญาณ Ver–Sync ความถ่ี 50 Hz ไปควบคุมการทางานของภาค Ver–Osc ความถี่ 50 Hz อาการที่ 1 ถ้าวงจรภาค Sync Separator ไม่ทางาน คือ ไม่มี Ver–Sync ความถ่ี 50 Hz และไมม่ ี Hor–Sync ความถี่ 15,625 Hz ภาพจะเกดิ อาการลม้ และเล่ือนตลอดเวลา ภาพเล่อื นขนึ้ ลง รปู ท่ี 5.30 อาการที่ 1 ภาพลม้ ซา้ ยขวา อาการที่ 2 ไม่มี Ver–Sync ความถ่ี 50 Hz แตม่ ี Hor–Sync ความถ่ี 15,625 Hz ปกติ อาการทป่ี รากฏ “ภาพเลอ่ื นข้ึนลงตลอดเวลา” รปู ที่ 5.31 อาการที่ 2 ภาพเลือ่ นขึน้ ลงตลอดเวลา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook