Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 5 ใบความรู้ การปรับปรุงดิน

5 ใบความรู้ การปรับปรุงดิน

Published by บวรศักดิ์ รักธรรม, 2021-08-08 05:37:44

Description: 5 ใบความรู้ การปรับปรุงดิน

Search

Read the Text Version

สมบัตบิ างประการของดนิ และการปรบั ปรงุ คณุ ภาพของดิน บทนำ 1. สมบตั บิ างประการของดนิ 2. การปรับปรุงคุณภาพของดนิ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- • ความเป็นกรด-เบสของดิน o ดนิ ทีม่ ี pH เทา่ กบั 7 เรยี กวา่ ดินเป็นกลาง o ดินทม่ี ี pH ต่ำกวา่ 7 เรียกว่า ดินเป็นกรด o ดินทมี่ ี pH สงู กว่า 7 เรียกว่า ดนิ เปน็ ดา่ ง ความเป็นกรด-เบส เปน็ สมบตั ทิ างเคมอี ยา่ งหนึง่ ของดนิ สามารถตรวจสอบไดโ้ ดยนำดินมาผสมกับน้ำกล่ัน ใช้แท่ง แกว้ คนใหเ้ ข้ากัน จากน้ันตง้ั ทิง้ ไวใ้ หด้ ินตกตะกอน แล้วนำสว่ นท่เี ปน็ ของเหลวไปทดสอบความเปน็ กรด-เบสของดินโดยใช้อินดิเค เตอร์ สขี องอินดิเคเตอร์จะเปลีย่ นไปตามคา่ ความเป็นกรด-เบสทน่ี ำมาทดสอบ อินดิเคเตอรท์ ่นี ิยมใช้มดี งั นี้ 1. กระดาษลิตมัส มีอยู่ 2 สี คือ สีแดงและสีน้ำเงิน เมื่อนำของเหลวที่ได้จากการผสมดินกับน้ำ หรือสารต่างๆมา ทดสอบด้วยกระดาษลติ มสั จะให้ผลดงั น้ี - ดินทเี่ ปน็ กรดจะเปล่ียนสกี ระดาษลติ มสั จากสนี ำ้ เงนิ เปน็ สีแดง แตไ่ มเ่ ปลีย่ นสกี ระดาษลติ มสั สแี ดง - ดนิ ทเ่ี ปน็ เบสจะเปล่ียนสกี ระดาษลติ มสั จากสแี ดงเปน็ สีน้ำเงนิ แตไ่ มเ่ ปล่ยี นกระดาษลติ มสั สีน้ำเงนิ - ดินที่เปน็ กลางจะไมเ่ ปลี่ยนสกี ระดาษลติ มสั ทง้ั สแี ดงและสนี ้ำเงิน 2. ยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ มีทั้งชนิดที่เป็นสารละลายและชนิดที่เป็นกระดาษ ถ้าเป็นแบบกระดาษจะอยู่ในตลับ และมแี ผ่นเทยี บสคี ่า pH ต้งั แต1่ -14 สามารถทดสอบได้โดยนำของเหลวท่ไี ดจ้ ากการผสมดนิ กับนำ้ หรือสารที่ต้องการทดสอบมา แตะกระดาษยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ แล้วนำไปเทียบกบั แถบสีแสดงค่า pH ท่มี ีอยู่ในตลับ โดยปกตแิ ล้วยูนิเวอร์ซัลอินดิเคเตอร์ จะมสี เี หลือง แต่ถ้าถูกสารท่ีเป็นกรดจะเปล่ียนเป็นสสี ้ม แดง และถา้ ถูกสารที่เปน็ เบสจะเปล่ยี นจากสีเหลืองเป็นสีเขียวหรือสีน้ำ เงิน นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบความเป็นกรด-เบสของดินได้จากการใช้เครื่องวัด pH โดยนำหัววัดของเครื่องไปจุ่มใน สารละลายผลทไี่ ดจ้ ะออกมาเปน็ ตวั เลข ความเป็นกรดของดนิ มีผลทำใหร้ ะดบั ธาตอุ าหารในดิน และชีวภาพในดนิ เปลีย่ นแปลงไป ไม่เหมาะสมกบั การเจรญิ เตบิ โตของพชื วิธแี ก้ความเปน็ กรดเบสของดนิ ดนิ ท่มี คี วามเปน็ กรด ทำได้โดยการเติมสารทีม่ ีสมบัติเปน็ เบสลงในดิน เพอ่ื ปรับค่า pH ของดิน ได้แก่ ปูนขาว ปูน บด หรอื ดนิ มาร์ลลงในดนิ ดินทมี่ คี วามเป็นเบส หรือดินเค็ม เป็นดินท่ีมีเกลอื โซเดียมคลอไรด์ หรอื เกลอื โซเดยี มคาร์บอเนตปนอยู่ มีวิธีแก้คือ การเตมิ ผงกำมะถันลงไปในดิน

• การปรบั ปรุงคุณภาพดิน กรมพัฒนาที่ดินได้ศึกษาดินในปริมาณต่างๆ ของประเทศไทย และได้จำแนกดินออกเป็นกลุ่มต่างๆ เรียกว่า ชุดดิน พบว่าดินในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยมีลักษณะต่างกัน เช่น ในบริเวณเขตภาคกลางซ่ึงเป็นทีร่ าบลุ่ม ถ้าเป็นบริเวณที่มีน้ำ มากกจ็ ะปลกู ข้าวเปน็ ส่วนใหญ่ แตถ่ ้าอยู่ในบริเวณภูเขาดินจะมีสีดำเขม้ รว่ นซยุ จึงเหมาะต่อการปลูกพืชไร่ และถ้าเป็นบริเวณ ริมแม่น้ำใหญ่จะเป็นดินร่วนและดินร่วนค่อนข้างเหนียว ส่วนดินในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเขตที่ราบสูงโคราชดิน ส่วนมากจะเปน็ ดินทราย จะเห็นว่าดินในแต่ละบรเิ วณจะมลี ักษณะและโครงสร้างดินแตกตา่ งกันไป เราจึงควรใชป้ ระโยชน์จาก ดินใหเ้ หมาะสม เพราะถา้ ใช้ดินอยา่ งไมเ่ หมาะสมแลว้ จะทำให้เกิดปัญหาเก่ียวกบั ดินตามมาได้ สาเหตุท่ีทำใหด้ นิ เส่อื มสภาพและขาดความสมบรู ณ์ ผลจากการพัฒนาด้านการเกษตร การอุตสาหกรรม และการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น การเติมแร่ธาตุต่างๆลงในดิน การใชส้ ารเคมปี ้องกันหรือกำจัดศัตรูพืช การอตุ สาหกรรมต่างๆ กอ่ ใหเ้ กดิ มลพษิ ของดิน มผี ลทำให้เกดิ การสญู เสียสภาพของดิน เนอื่ งจากสาเหตุ ดังน้ี - การชะล้างพังทลายของหน้าดินจากการกระทำของธรรมชาติ เช่น ลมและกระแสน้ำทำให้บริเวณผิวดิน ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ - การปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำเดมิ เป็นเวลานาน ทำให้ปุย๋ และแรธ่ าตบุ างชนดิ ทีอ่ ย่ใู นดนิ ลดน้อยลง - การตัดไม้ทำลายปา่ ทำใหพ้ ืชทีค่ ลุมดินถกู ทำลายไป เมอื่ ฝนตกลงมากจ็ ะเกดิ การ กัดเซาะหน้าดนิ ทำให้ปุ๋ย และแร่ธาตุถูกน้ำชะล้างไป - การใชป้ ระโยชนจ์ ากทด่ี ินโดยไม่ระมัดระวัง เชน่ การใชส้ ารเคมชี ่วยเพิม่ ผลผลติ มากเกนิ ไป ทำให้ความอุดม สมบูรณข์ องดินเสื่อสภาพลง เกิดการสะสมสารพษิ ในดิน ซ่งึ สามารถถา่ ยทอดไปตามโซอ่ าหารได้ - เกษตรกรขาดความรูค้ วามเข้าใจ เขา้ บกุ รุกทำลายพนื้ ทป่ี า่ เพอ่ื ทำไรเ่ ลอ่ื นลอย จากปัญหาดงั กล่าว จงึ มีความจำเป็นตอ้ งหาแนวทางในการใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรดนิ ใหค้ ุ้มค่า และความระมดั ระวัง เพอ่ื ให้เกิดประโยชน์สูงสดุ ซ่งึ เปน็ การอนรุ ักษ์ดิน การอนรุ กั ษด์ ิน 1. การเพม่ิ แรธ่ าตุในดินโดยการใส่ปุย๋ เพื่อเพิ่มแร่ธาตุท่ีพืชต้องการหรือช่วยให้ดินมีความพรุนมากขึ้น นำและอากาศ ถ่ายเทไดส้ ะดวก ซงึ่ มีวธิ ีการดงั นี้ (1) การใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือปุย๋ เคมี เพื่อเพิม่ แรธ่ าตุบางชนดิ ใหก้ บั พืชที่ปลูก เช่น ไนโตรเจน(N) ฟอสฟอรัส(P) และโพแทสเซียม(K) แต่ชนิดและปรมิ าณของปุ๋ยท่ใี สข่ ึน้ กับสภาพของดนิ และชนิดของพืชท่ปี ลกู หากใชไ้ ม่ถกู ต้อง และเหมาะสมอาจทำใหด้ นิ แนน่ มีสารเคมีตกค้าง และพชื ไม่เจรญิ เตบิ โต (2) การใส่ป๋ยุ อนิ ทรีย์ เชน่ ปุ๋ยคอกและปยุ๋ พชื สดจะชว่ ยให้ดินมีความพรนุ มากขนึ้ เนื้อดินไม่แน่น และอุ้มน้ำได้ ดี แต่ควรจะใช้ในปรมิ าณทเ่ี หมาะสม

2. การใช้สารเคมีปรับสภาพดินท่ีมีปัญหา มีแนวทางในการแก้ไขดังน้ี (1) ดินเปรี้ยว คือดินที่มีสภาพเปน็ กรด แก้ไขโดยใส่สารทีม่ ีสภาพเป็นดา่ งลงในดินเพื่อปรับให้ดินมีสภาพเป็น กลาง โดยทว่ั ไปนิยมใชป้ นู ขาว หรอื ดนิ มาร์ลใสล่ งไปในดนิ (2) ดินเค็ม คอื ดนิ ทีม่ เี กลอื อยู่ในปรมิ าณมาก แก้ไขโดยใชน้ ้ำจืดชะลา้ งและอาจจะเตมิ ผงกำมะถนั หรอื แคลเซียม ซัลเฟตลงไปในดนิ เพื่อปรบั ใหด้ นิ กลายเปน็ เกลือซัลเฟต (3) ดินฝาด คือดินที่มีสภาพเป็นเบสสูง ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชและการแก้ไขนั้นทำได้ยาก มี ความซบั ซอ้ น 3. การปลกู พชื เพ่อื ป้องกนั ดนิ เส่ือมสภาพ มีแนวทาง ดังนี้ - การปลกู พชื คลมุ ดิน จะเป็นการชว่ ยยึดดนิ ลดแรงปะทะของลม ฝน ควรเลอื กพชื ทจ่ี ะนำมาปลูกคลุมดินเป็น ใบหนา มรี ากมากและลกึ เชน่ พืชตระกลู ถ่ัว ซง่ึ นอกจากจะชว่ ยยดึ ดินแลว้ ยังช่วยตรงึ ไนโตรเจน ในอากาศ ทำให้ดินมีความอุดม สมบูรณ์เพิม่ ขึ้น -การปลูกพืชตามแนวระดับทำได้โดยการไถพรวนดินแล้วหว่านหรือปลูก ตลอดจนถึงขั้นการเกบ็ เกีย่ วผลผลิต ตามแนวระดับขวางความลาดชันของพื้นที่ มักทำในพื้นที่ที่มีความลาดชันร้อยละ 3-8 การปลูกพืชตามแนวระดับจะช่วยลด อัตราการไหลของนำ้ เป็นการปอ้ งกนั การพังทลายของหนา้ ดนิ -การปลกู พืชสลบั แถว เป็นวิธกี ารปลกู พชื ต่างชนิดกนั ลงบนพ้ืนที่แปลงเดยี วกนั เชน่ ปลกู พืชชนิดหนึ่งซ่ึงทำให้ เกิดการพังทลายของหน้าดนิ ไดง้ า่ ยกห็ าพืชอน่ื ทยี่ ึดเกาะดนิ ได้ดีปลกู ถัดลงมาเผอ่ื ว่าดินท่พี ังทลายมาจากแปลงแรกจะถูกกักอยู่ใน แปลงถดั ไป โดยการทำเป็นแปลงขาดเลก็ ขวางแนวระดับความลาดเอียงของพืน้ ที่ ซึ่งสามารถทำไดใ้ นพน้ื ทท่ี เ่ี ป็นไหลเ่ ขา มีความ ลาดเอียงของพื้นที่มากกว่าทอ้ งทุ่งที่เปน็ ท่ีราบ หรือการปลูกพชื ที่มีระดบั ความสูงแตกต่างกนั ไป ผลดีของการปลูกพืชสลบั แถว คอื ช่วยชะลอความเร็วของน้ำทไี่ หลและลมท่ีพดั ได้ -การปลูกพืชกำบังลม เป็นวิธีการปลูกต้นไม้เป็นแนวกำบังลม ซึ่งอาจปลูกไม้พุ่มหรือพืชบางชนิดที่ช่วยลด ความเรว็ ของลมท่พี ัดผ่าน การปลกู พืชโดยวธิ ีการนนี้ ยิ มกระทำกันในเขตทีม่ ีสภาพภูมิอากาศแบบแหง้ แลง้ หรือกึ่งแห้งแล้ง ผลดี ของการปลูกพืชในลักษณะนี้ คือ ช่วยลดความรุนแรงของการสูญเสียหน้าดินที่เกิดจากการกระทำของลมได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ี ยังชว่ ยลดความสญู เสยี ความช้ืนในดนิ และการคายน้ำของพืชได้อกี ดว้ ย - การปลูกพืชหมนุ เวียน เป็นการปลูกพืชมากกวา่ สองชนิดสบั เปลีย่ นลงที่ดินแปลงเดียวกัน เนื่องจากการปลกู พืชชนิดเดียวกันซ้ำหลายๆ ครั้งจะทำให้ขาดแร่ธาตุและสารอาหารบางชนิด ช่วยลดโรคระบาดของพืช ช่วยป้องกันการชะล้าง พังทลายของดิน และช่วยเพมิ่ ผลผลิต หลกั การเลือกชนดิ ของพชื ทนี่ ำมาปลกู เป็นพืชหมุนเวียน มดี ังน้ี - พืชแตล่ ะชนิดตอ้ งการแร่ธาตุต่างชนดิ กัน - พชื แตล่ ะชนดิ มีระบบรากหยัง่ ตน้ื ลึกทแี่ ตกต่างกนั - พืชแต่ละชนิดมอี ายตุ ่างกัน มคี วามเหมาะสมกบั ฤดูกาลและสภาพแวดลอ้ ม ที่ตา่ งกนั ประโยชนจ์ ากการปลูกพืชหมนุ เวยี น มีดงั นี้ - ปอ้ งกนั ไม่ให้ไมใ่ ห้แรธ่ าตชุ นดิ หนึ่งชนิดใดหมดไปจากพ้นื ทีน่ ้ัน - ปอ้ งกันการซะล้างพังทลายของดิน

- ช่วยเพมิ่ ผลผลิตดา้ นการเกษตร - เปน็ การนำแรธ่ าตใุ นดนิ ไปใชอ้ ยา่ งคุม้ ค่า - ช่วยลดการระบาดของแมลงศัตรพู ชื - การปลูกพืชแบบวนเกษตร หรือไร่นาสวนผสม สามารถทำได้ ๓ แบบ คือ การปลูกไม้ยืนต้น ควบคู่กับพืช เกษตร การปลูกไม้ยืนต้นควบคู่กับพืชอาหารสตั วแ์ ละเลี้ยงสัตว์ และการปลูกไม้ยืนต้นควบคู่กับพืชเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะ ชว่ ยลดการพังทลายของดิน ชว่ ยรักษาสมดุลของธาตุอาหารในดนิ และชว่ ยเก็บความชุ่มชืน้ ในดิน - การปลูกพืชแบบขัน้ บนั ได เปน็ การสรา้ งคันดนิ ให้มลี ักษณะเหมือนข้ันบันได เพือ่ ปลกู พืช จะชว่ ยลดความลาดเทของพื้นท่ี ลดอัตราการไหลบ่าของน้ำบนผิวดนิ ลดการพงั ทลายของดิน สามารถเกบ็ กกั ความชื้นไว้ได้ ทำ ใหด้ นิ มสี ภาพโครงสรา้ งท่ีดีพืชสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้เตม็ ท่ี - การเลอื กใช้ประโยชน์จากดินให้เหมาะสมกับลกั ษณะของดิน ควรเลือกใชป้ ระโยชน์ จากทีด่ ินให้เหมาะสมกับกจิ กรรมที่จะทำ เช่น การเพาะปลกู การเลยี้ งสัตว์ ทอ่ี ยูอ่ าศยั และต้องได้สดั สว่ นสมดุลเหมาะสมกันเพื่อ รักษาระบบนเิ วศตาม ธรรมชาติและคุณภาพ ของส่ิงแวดลอ้ ม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook