ศาสตรข์ องพระราชา
คำนำ รำยงำนเลม่ นีจ้ ดั ทำขนึ ้ เพื่อเป็นสว่ นหนง่ึ ของวิชำ คอมพิวเตอร์ เพ่ืองำนอำชีพชนั้ มธั ยมศกึ ษำปี ที่5/2เพื่อให้ได้ศกึ ษำหำ ควำมรู้ในเร่ือง ศำสตร์ของพระรำชำและได้ศกึ ษำอยำ่ งเข้ำใจ เพื่อเป็นประโยชน์กบั กำรเรียน ผ้จู ดั ทำหวงั วำ่ รำยงำนเลม่ นีจ้ ะเป็นประโยชน์กบั ผ้อู ำ่ น หรือ นกั เรียน นกั ศกึ ษำ ท่ีกำลงั หำข้อมลู เรื่องนีอ้ ยู่ หำกมีข้อแนะนำ หรือข้อผิดพลำดประกำรใด ผ้จู ดั ทำขอน้อมรับไว้และขออภยั มำ ณ ท่ีนีด้ ้วย
สำรบญั หน้ำ ควำมหมำยของศำสตร์พระรำชำ 4 หลกั กำรทรงงำนของพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยหู่ วั 23 ข้อ 5-19 บรรณำนกุ รม 20
ความหมายของศาสตรพ์ ระราชา “ศาสตร์พระราชา”คือศาสตร์การจัดการและ การอนุรักษ์ดินน้าป่าที่พระบาทสมเด็จพระบรมชน กาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตร ทรงศึกษาคิดค้นและวิจัยแล้วพระราชทาน ให้กับปวงชนชาวไทย เพ่ือใช้ในการจัดการลุ่มน้า ตังแต่ต้นน้า กลางน้า สู่ปลายน้า จากภูผาสู่มหานที เ มื่ อ น้ า อ ง ค์ ค ว า ม รู้ นี ม า ป ฏิ บั ติ ต า ม ห ลั ก ป รั ช ญ า เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่จะน้าไปสู่การพ่ึงพา ตนเองและการพฒั นาอย่างยง่ั ยนื
หลักการทรงงานของพระบาทสมเดจ็ พระ เจ้าอยหู่ ัว 23 ข้อ ใ น ห ล ว ง รั ช ก า ล ท่ี 9 ท ร ง เ ป็ น พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ ท่ี น อ ก จ า ก จ ะ ท ร ง ด้ ว ย ทศพิธราชธรรมแล้ว ทรงยังเป็นพระราชาท่ีเป็น แบบอย่างในการด้าเนินชีวิต และการท้างานแก่ พสกนิกรของพระองค์ และนานาประเทศอีกด้วย ผู้คนต่างประจักษ์ถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ และมคี วามส้านกึ ในพระมหากรุณาธิคุณเปน็ ลน้ พน้ อันหาที่สุดมิได้ ซึ่งแนวคิดหรือ หลักการทรงงาน ของในหลวงรัชกาลท่ี 9 มีความน่าสนใจ ที่สมควร น้ามาประยุกต์ใช้กับชีวิตการท้างานเป็นอย่าง ย่ิง หากท่านใดต้องการปฏิบัติตามรอยเบืองพระ ยุคลบาท ท่านสามารถน้าหลักการทรงงานของ พระองค์ไปปรบั ใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ได้ ดังนี
1. จะทา้ อะไรต้องศึกษาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นระบบ ทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็น ระบบจากข้อมูลเบืองต้น ทังเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าท่ี นักวิชาการ และราษฎร ในพนื ทใี่ ห้ไดร้ ายละเอียดท่ีถกู ต้อง เพื่อน้าข้อมูล เหล่านันไปใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างถูกต้อง รวดเรว็ และตรงตามเปา้ หมาย 2. ระเบิดจากภายใน จะท้าการใดๆ ต้องเริ่มจากคนท่ี เกี่ยวข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแข็งจาก ภายในใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและอยากทา้ ไมใ่ ช่การ ส่ังให้ท้า คนไม่เข้าใจก็อาจจะไม่ท้าก็เป็นได้ ใน การท้างานนันอาจจะต้องคุยหรือประชุมกับ ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือคนในทีมเสียก่อน เพื่อใหท้ ราบถงึ เป้าหมายและวธิ ีการตอ่ ไป
3. แกป้ ัญหาจากจุดเลก็ ควรมองปญั หาภาพรวมกอ่ นเสมอ แต่เม่ือ จะลงมือแก้ปัญหานัน ควรมองในส่ิงท่ีคนมักจะ มองข้าม แล้วเริ่มแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ เสียก่อน เม่ือส้าเร็จแลว้ จงึ ค่อยๆ ขยับขยายแก้ไปเร่ือยๆ ที ละจุด เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับการ ท้างานได้ โดยมองไปท่ีเป้าหมายใหญ่ของงานแต่ ละชิน แล้วเร่ิมลงมือท้าจากจุดเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ท้า ค่อยๆ แก้ไปทีละจุด งานแต่ละชินก็จะลุลวง ไปได้ตามเป้าหมายท่ีวางไว้ “ถ้าปวดหัวคิดอะไร ไม่ออก ก็ต้องแก้ไขการปวดหัวนีก่อน มันไม่ได้ แก้อาการจริง แตต่ อ้ งแก้ปญั หาท่ีท้าให้เราปวดหัว ให้ได้เสยี ก่อน เพ่อื จะให้อยูใ่ นสภาพทด่ี ีได้…”
4. ทา้ ตามลา้ ดับขนั เร่ิมต้นจากการลงมือท้าในส่ิงที่จ้าเป็นก่อน เมอื่ ส้าเร็จแลว้ กเ็ ริ่มลงมอื สิง่ ทจ่ี า้ เปน็ ล้าดบั ตอ่ ไป ดว้ ย ความรอบคอบและระมัดระวัง ถ้าท้าตามหลักนีได้ งานทุกสิ่งก็จะส้าเร็จไดโ้ ดยง่าย… ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเร่ิมต้นจากส่ิงท่ีจ้าเป็นท่ีสุดของประชาชน เสียก่อน ได้แก่ สุขภาพสาธารณสุข จากนันจึงเป็น เรื่องสาธารณูปโภคขันพืนฐาน และสิ่งจ้าเป็นในการ ประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้าเพ่ือการเกษตร การอุปโภคบริโภค เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ราษฎรสามารถน้าไปปฏิบัติได้ และเกิดประโยชน์ สูงสุด “การพัฒนาประเทศจ้าเป็นต้องท้าตามล้าดับ ขัน ต้องสร้างพืนฐาน คือความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบืองต้นก่อน ใช้วิธีการ และอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อ ได้พืนฐานท่ีม่ันคงพร้อมพอสมควร สามารถปฏิบัติได้ แล้วจึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจ ขนั ท่ีสูงขนึ โดยลา้ ดับต่อไป…” พระบรมราโชวาทของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เมอ่ื วนั ที่ 18 กรกฎาคม 2517
5. ภูมสิ งั คม ภมู ศิ าสตร์ สังคมศาสตร์ การพัฒนาใดๆ ต้องค้านึงถึงสภาพภูมิ ประเทศของบริเวณนันว่าเป็นอย่างไร และ สังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละทอ้ งถิ่นท่ีมี ความแตกต่างกัน “การพัฒนาจะต้องเป็นไป ตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศ ทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอ ของคนเรา จะไปบังคับให้คนอ่ืนคิดอย่างอ่ืน ไม่ได้ เราต้องแนะน้า เข้าไปดูว่าเขาต้องการ อะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการ ของการพัฒนานกี ็จะเกิดประโยชน์อยา่ งยิ่ง”
6. ทา้ งานแบบองค์รวม ใช้วิธีคิดเพอื่ การท้างาน โดยวิธีคิดอย่าง องค์รวม คือการมองสิ่งต่างๆ ท่ีเกิดอย่างเป็น ระบบครบวงจร ทุกส่ิงทุกอย่างมีมิติเช่ือมต่อ กัน มองสิ่งท่ีเกิดขึนและแนวทางแก้ไขอย่าง เชอ่ื มโยง 7. ไม่ตดิ ตา้ รา เมื่อเราจะท้าการใดนัน ควรท้างาน อย่างยืดหยุ่นกับสภาพและสถานการณ์นันๆ ไม่ใช่การยึดติดอยู่กับแค่ในต้าราวิชาการ เพราะบางที่ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด บางครังเรายึดติดทฤษฎีมากจนเกินไปจนท้า อะไรไม่ได้เลย สิ่งท่ีเราท้าบางครังต้องโอบอ้อม ต่อสภาพธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม สังคม และ จติ วิทยาดว้ ย
8. รู้จกั ประหยดั เรียบงา่ ย ได้ประโยชน์สงู สดุ ในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎร ใน หลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงใช้หลักในการแก้ปัญหา ด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎร สามารถท้าได้เอง หา ได้ใน ท้ องถ่ิน และ ประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนันมาแก้ไข ปรับปรุง โดยไม่ต้องลงทุนสงู หรือใช้เทคโนโลยีท่ี ยุ่งยากมากนัก ดังพระราชด้ารัสตอนหน่ึงว่า “… ให้ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกโดยปล่อยให้ขึนเอง ตามธรรมชาตจิ ะได้ประหยดั งบประมาณ…” 9. ทา้ ให้งา่ ย ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไข งาน การพัฒนาประเทศตามแนวพระราชด้าริไป ได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและท่ีส้าคัญอย่าง ย่ิงคือ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของ ประชาชนและระบบนิเวศโดยรวม “ท้าใหง้ ่าย”
10. การมสี ว่ นร่วม ทรงเปน็ นักประชาธิปไตย ทรงเปดิ โอกาส ให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าท่ีทุกระดับ ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น “ส้าคัญที่สุดจะต้อง หัดท้าใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จักรับฟังความ คิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่น อย่างฉลาดนัน แท้จริงคือ การระดมสติปัญญาละ ประสบการณ์อนั หลากหลายมาอ้านวยการปฏิบัติ บริหารงานให้ประสบผลส้าเรจ็ ทส่ี มบูรณน์ ั่นเอง”
11. ตอ้ งยดึ ประโยชนส์ ว่ นรวม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงระลึกถึง ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นส้าคัญ ดังพระราช ด้ารัสตอนหนึ่งว่า “…ใครต่อใครบอกว่า ขอให้ เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนีฟังจนเบ่ือ อาจร้าคาญด้วยซ้าว่า ใครต่อใครมาก็บอกว่า ขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจ ว่า ให้ๆ อยู่เร่ือยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้ คิดว่าคนท่ีให้เป็นเพ่ือส่วนรวมนัน มิได้ให้ ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็นการให้เพื่อตัวเอง สามารถท่ีจะมีสว่ นรวมทจ่ี ะอาศยั ได…้ ”
12. บรกิ ารทจ่ี ุดเดยี ว ทรงมีพระราชด้าริมากว่า 20 ปีแล้ว ให้ บ ริ ห า ร ศู น ย์ ศึ ก ษ า ก า ร พั ฒ น า ห ล า ย แ ห่ ง ทั่ ว ประเทศโดยใช้หลักการ “การบริการรวมที่จุด เดียว : One Stop Service” โดยทรงเน้นเร่ืองรู้ รักสามัคคีและการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันด้วย การปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานทเี่ ก่ยี วขอ้ ง 13. ใชธ้ รรมชาติชว่ ยธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ ประชาชนใกล้ชิดกับทรัพยากรธรรมชาติ ทรง มองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียด โดยหากเรา ต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้า ช่วยเหลอื เราด้วย
14. ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม ทรงน้าความจริงในเรื่องธรรมชาติและ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการแนวทาง ปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ ไม่ปกติเข้าสู่ระบบท่ีปกติ เช่น การบ้าบัดน้าเน่า เสียโดยให้ผักตบชวา ซ่ึงมีตามธรรมชาติให้ดดู ซึม สิง่ สกปรกปนเป้อื นในนา้ 15. ปลูกปา่ ในใจคน การจะท้าการใดส้าเร็จต้องปลูกจิตส้านึก ของคนเสยี กอ่ น ต้องให้เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ กับส่ิงท่ีจะท้า…. “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูก ต้นไมล้ งในใจคนเสยี ก่อน แล้วคนเหล่านนั กจ็ ะพา กันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาต้นไม้ ดว้ ยตนเอง”
16. ขาดทนุ คอื กา้ ไร ห ลั ก ก า ร ใ น พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เจา้ อยูห่ ัว รัชกาลท่ี 9 ทม่ี ตี ่อพสกนกิ รไทย “การ ให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระท้าอันมี ผลเป็นกา้ ไร คอื ความอยู่ดมี สี ุขของราษฎร 17. การพึ่งพาตนเอง การพัฒนาตามแนวพระราชด้าริ เพื่อ การแก้ไขปัญหาในเบืองตน้ ด้วยการแก้ไขปัญหา เฉพาะหน้า เพ่ือให้มีความแข็งแรงพอท่ีจะ ด้ารงชวี ติ ได้ต่อไป แลว้ ขันตอ่ ไปก็คือ การพัฒนา ใ ห้ ป ร ะ ช า ช น ส า ม า ร ถ อ ยู่ ใ น สั ง ค ม ไ ด้ ต า ม สภาพแวดลอ้ มและสามารถ พึง่ ตนเองได้ในท่สี ุด
18. พออยพู่ อกิน ให้ประชาชนสามารถอยู่อย่าง “พออยู่พอ กิน” ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีด สมรรถนะทีก่ า้ วหนา้ ต่อไป 19. เศรษฐกิจพอเพียง เ ป็ น ป รั ช ญ า ท่ี ใ น ห ล ว ง รั ช ก า ล ที่ 9 พระราชทานพระราชด้ารัสชีแนะแนวทางการ ด้าเนินชีวิต ให้ด้าเนินไปบน “ทางสายกลาง” เพอื่ ให้รอดพ้นและสามารถด้ารงอยู่ไดอ้ ย่างม่ันคง แ ล ะ ยั่ ง ยื น ภ า ย ใ ต้ ก ร ะ แ ส โ ล ก า ภิ วั ต น์ แ ล ะ ก า ร เปล่ียนแปลงต่างๆ ซึ่งปรัชญานีสามารถน้าไป ประยุกตใ์ ชไ้ ด้ทงั ระดับบคุ คล องคก์ ร และชมุ ชน
20. ความซอ่ื สัตย์สจุ รติ จรงิ ใจตอ่ กนั ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธ์ิใจ แม้จะ มีความรู้น้อย ก็ย่อมท้าประโยชน์ให้แก่ ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มี ความสจุ รติ ไมม่ ีความบริสุทธใ์ิ จ 21. ทา้ งานอยา่ งมคี วามสุข ท้างานต้องมีความสุขด้วย ถ้าเราท้า อย่างไม่มีความสุขเราจะแพ้ แต่ถ้าเรามี ความสุขเราจะชนะ สนุกกับการท้างานเพียง เท่านัน ถือว่าเราชนะแล้ว หรือจะท้างานโดย ค้านึงถึงคว ามสุขท่ีเกิ ดจา ก ก าร ได้ท้า ประโยชน์ให้กับผู้อ่ืนก็สามารถท้าได้ “… ท้างานกบั ฉนั ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการ มีความสุขร่วมกัน ในการท้าประโยชน์ให้กับ ผู้อ่นื …”
22. ความเพยี ร การเร่ิมต้นท้างานหรือท้าส่ิงใดนันอาจจะ ไม่ไดม้ ีความพร้อม ต้องอาศัยความอดทนและความ มุ่งม่ัน ดังเช่นพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่งก็จะว่ายน้า ต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเป็นอาหารปู ปลาและไมไ่ ด้พบกบั เทวดาท่ีช่วยเหลือมใิ หจ้ มนา้ 23. รู้ รกั สามคั คี • รู้ คอื รู้ปญั หาและรู้วิธีแก้ปญั หานนั • รัก คือ เม่ือเรารู้ถึงปัญหาและวิธีแก้แล้ว เรา ต้องมีความรัก ท่ีจะลงมือท้า ลงมือแก้ไข ปัญหานนั • สามัคคี คือ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่สามารถ ลงมือท้าคนเดียวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจกัน
บรรณานุกรม https://sites.google.com/site/sastrphrara cha2513/hlak-kar-thrng-ngan-khxng- phrabath-smdec-phraceaxyuhaw-23-khx .สืบค้นวนั ที่ 22 ก.พ. 2563
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: