Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัยในชั้นเรียน

รายงานวิจัยในชั้นเรียน

Published by ครูณัฐดนัย ศรีศิริ, 2021-01-03 14:45:29

Description: รายงานวิจัยในชั้นเรียน

Search

Read the Text Version

รายงานวจิ ัยในชัน้ เรียน เรอ่ื ง การเรียนรวู้ ทิ ยาการคำนวณดว้ ยบทเรียนออนไลน์ผ่านเวบ็ ไซต์ CODE.ORG ของนกั เรยี นระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 จัดทำโดย นายณัฐดนยั ศรศี ิริ ครปู ระจำรายวิชา วทิ ยาการคำนวณ โรงเรยี นสาธิตละ อออทุ ิศ มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิตศูนย์การศกึ ษานอกท่ตี ้งั ลำปาง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563

สารบัญ หน้า บทคดั ยอ่ 1 กติ ตกิ รรมประกาศ 3 สารบญั 3 บทที่ 1 บทนำ ………………………………………………………….………………………………………… 3 4 ความเปน็ มาและความสำคญั ………………………………………………………………….. 5 คำถามงานวจิ ยั ................................................................................................... 6 วัตถุประสงค์ของวจิ ัย ……………………………………………………………..……………… สมมตฐิ าน …………….…………………..…………………………………………..….............. 8 ขอบเขตของวิจยั ……………..……………………………...……………………………………… 9 นิยามศพั ท์เฉพาะ ………………………………………………………..…..…………………….. 14 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ ………………………………………………………………………. 17 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วข้อง ……………………………..……………………..………... 20 สาระและมาตรฐานการเรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยสี าระสนเทศ ........ 25 แนวคิดทฤษฏีทีเ่ กยี่ วข้อง ……..………….………………………………..…………………… 27 เอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับสื่อการเรยี นการสอนออนไลนด์ ว้ ยเว็บไซด์….......................... 29 ความสำคญั และความจำเปน็ ของการจดั การสอนแบบ E – Learning.................... 29 ประโยชนข์ องการเรยี นการสอนแบบ E – Learning........................................... ขอ้ พงึ ระวงั ในการจดั การเรยี นการสอนแบบ E – Learning …………………………… 34 เอกสารท่เี กีย่ วข้องกบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น …………………………………………….. เอกสารท่ีเก่ียวข้องกบั ความพงึ พอใจ …………………………………………………………. งานวจิ ยั ที่เกีย่ วขอ้ ง ........................................................................................... บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวิจยั ………………………………..……………………………………….……….. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง ………………………………………………………………………..

สารบัญ (ต่อ) หน้า แบบแผนท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา ……………………………………………………………………………… 34 เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย …………………………….…….….………………………………… 34 การรวบรวมข้อมูลในการวิจยั ................................................................................ 38 การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย.............................................................

บทท่ี 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเครือข่าย และเทคโนโลยีด้านการส่ือสารได้เข้ามามี บทบาทในดา้ นการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยการนําเอาเทคโนโลยดี ังกล่าวมาช่วยในการจดั การเรยี น การ สอน เรียกว่า e-Learning ซ่ึง e-Learning เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์และส่งผ่านองค์ความรู้ ใน รูปแบบต่างๆ ไปยังผู้เรียนที่อยู่ในสถานท่ีท่ีแตกต่างกันให้ได้รับความรู้ ทักษะและประสบการณ์ ร่วมกัน กระบวนการเรียนรู้จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างเหมาะสม โดยท่ีผู้เรียนสามารถเรียนรู้ไดต้ าม ความถนัด และความสามารถของตนเอง e-Leaning เป็นการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบ เครือข่าย คอมพิวเตอรท์ ี่มีปฏสิ ัมพนั ธ์ ไม่ว่าจะเปน็ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผเู้ รียนกับบทเรยี น ผู้เรียนกับผสู้ อน หรือ ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันเอง จึงทําให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ และทําให้การ จัดการเรียนการสอนมีลักษณะคล้ายกับการจัดการเรียนการสอนในชันเรียนที่มีการ ปฏิสัมพันธ์กันของ ผู้สอนและผู้เรียนรูปแบบของ e-Learning ไม่ว่าจะเป็น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียน ออนไลนผ์ ่านเว็บไซต์ ในส่วนของการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บหรือผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (Web Based instruction : WBl) ถือเป็นการนําความสามารถของเทคโนโลยีและเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้า มาช่วยในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งการเรียนการสอนในปัจจุบันไม่จําเป็นท่ีจะต้องเรียนอยู่ใน ห้องเรียนเท่าน้ัน สามารถท่ีจะเรียนที่ไหนและเมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ และเป็นนวัตกรรมท่ีออกแบบ มาเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีระบบ ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กัน โดยผ่าน ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอรท์ ่ีเชอื่ มโยงถงึ กนั กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ในการเรยี นการสอน ประโยชน์ของการ เรยี นการสอนผา่ นระบบเครือข่ายอินเตอร์เนต็ ในกระบวนการเรียนการ สอน ได้แก่ 1) การเรียนการสอน สามารถเข้าถึงทุกหน่วยงานและทกุ สถานที ทีมอินเตอร์เน็ตติดตั้งอยู่ 2) การเรียนการสอนกระทําได้โดย ผู้เรียนไม่จําเป็นต้องทิ้งงานประจําเพ่ือเข้าเรียน 3) ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอน เช่น ค่าที่ พัก ค่าเดินทาง 4) การเรียนการสอนกระทําได้ตลอด 24 ช่ัวโมง 5) การจัดการเรียนการสอน มีลักษณะ ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนรู้เกิดจากผู้เรียนเข้า เรียนโดยตรง 6)สามารถทบทวนบทเรียนและ เนื้อหาได้ตลอดเวลา 7) การเรียนรู้เป็นไปตามความก้าวหน้าของผู้รับการเรียนการสอนเอง 8) สามารถ ซักถาม หรือเสนอแนะ ได้ด้วยเคร่ืองมือบนเว็บ9) สามารถแลกเปล่ียนข้อคิดเห็นระหว่างผู้เรียนได้ โดย เคร่ืองมือส่อื สาร ในระบบ อนิ เตอร์เนต็ ทง้ั ไปรษณีย์อิเล็กทรอนกิ ส์ ห้องสนทนา หรือกระดานขา่ ว

2 ซ่ึงจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน ทําให้เยาวชนยุคใหม่มีสื่อ และแหล่งเรียนรู้มากมาย และมีเคร่ืองมือที่สามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ระบบอินเทอร์เน็ต ท่ีช่วยให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว สืบค้นข้อมูลต่างๆ ได้ภายใน ระยะเวลา อันส้ัน ซ่ึงเทคโนโลยีเหล่าน่ีหากนักเรียนนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา ก็จะเป็นสิ่งท่ี จะทําให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรอบด้าน และเรียนรู้ได้ทุกทีทุกเวลา จากสถิติการใช้งานอินเตอร์เน็ต พบว่านักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย มีการใช้บิรการอินเทอร์เน็ตใน การเล่น Social Network 82.7% อ่านหนังสืออิเล็คทรอนิกส์ 52.2% ดูโทรทัศน์,ภาพยนตร์,ฟังวิทยุ ออนไลน์ 42.3% (สำนกั งานพัฒนาธุรกรรมทางอเิ ล็กทรอนิกส์ 2558) ซ่ึงพบว่ามีนักเรยี นจาํ นวนมากท่ีมี การใช้บริการ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook Twitter Line instargram หลายคนที่ใช้ เวลาสว่ นใหญ่ในการใชบ้ ริการสอื่ สังคมออนไลน์เหล่าน้ี เพือ่ เขา้ ไปพบปะพูดคยุ กับเพื่อน หรือเล่นเกม ซึ่ง อาจจะส่งผลทาํ ให้ไม่มีเวลาทําการบ้านหรือทบทวนบทเรียน และเป็นผลให้ผลการ เรียนของนักเรียนตก ต่ำลงได้ แต่ถ้าหากนักเรียนสามารถเปล่ียนพฤติกรรมการใชง้ านอนิ เทอร์เน็ตและ สื่อสังคมออนไลน์ โดย ใชง้ านในเชิงที่สรา้ งสรรค์และเกิดประโยชน์ เช่น ใชใ้ นการปรกึ ษา สอบถาม ข้อสงสยั กับครูผสู้ อนหรือผู้รู้ หรือแนะนําเก่ียวกบั การเรียนและแหล่งเรียนรู้ที่ได้ค้นพบมาให้กับ เพ่ือน หรอื ใช้เป็นแหล่งในการบันทึก เก็บรวบรวมความรู้ ข้อมูลที่นักเรียนได้ศึกษาเรียนรู้ทั้งใน ห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยสรุปเป็น ใจความหรอื เน้ือหาสําคัญไว้ เพือ่ ใช้เป็นแหล่งทบทวน บทเรียนและเผยแพร่ความร้ใู หเ้ พ่ือนหรอื ผ้ทู ส่ี นใจ ได้เข้ามาศึกษา เคร่ืองมือเหล่านี้ก็จะเป็นเครื่องมือท่ี มีประโยชน์มากต่อการเรียนรู้ของนักเรียนเอง และ จะช่วยให้นักเรียนสามารถร่วมกันเรยี นรู้ร่วมกัน ปรกึ ษา แก้ปญั หา และหาคําตอบได้เป็นอย่างดี อีกท้ัง ยังเป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตและนําส่ือสังคม ออนไลน์มาใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ต่อการเรียนของ ตนเอง ปัทมา นพรัตน์ (2548) ให้ความหมายของ การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ E - Learning ว่า เป็นการศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต (Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของ บทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่น ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และเพ่ือนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยน ความคดิ เห็นระหวา่ งกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ ส่ือสารท่ี ทันสมัย ( E-Mail , Web-Board , Chat ) จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานท่ี ด้วยเหตุผลทก่ี ลา่ วไว้ข้างตน้ ข้าพเจ้าจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาและวิจัยเร่ือง “การเรียนรู้วิทยาการคำนวณด้วยบทเรียน ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ CODE.ORG ของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ลำปาง โดยการใช้ นวัตกรรมและสื่อต่างๆ มาสร้างเป็นเว็บไซต์ (E-learning) เพื่อใช้ในการเรียนการ

3 สอน วิชาวิทยาการคำนวณ ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนท่ีได้เรียนผ่านส่ือการเรียนรู้นี้สามารถ พัฒนาทักษะความรู รู้จักเทคโนโลยีสารสนเทศ นอกจากน้ีระบบ (e-Leaning) จะทําให้นักเรียนทุกคน ยังสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ตลอดเวลาและสามารถใช้ศึกษาเรียนรู้ที่ได้ก็ได้หากท่ีนั้นสามารถเชื่อมต่อ อินเตอรเ์ นต็ ได้ 2. คำถามงานวิจยั 2.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี นของนักเรยี นช้ันชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 80 หรือไม่ 3. วัตถปุ ระสงค์การศกึ ษา 3.2 เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ท่ีเรียนวิทยาการคำนวณด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ CODE.ORG ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศลำปาง เทียบ เกณฑร์ ้อยละ 80 4. สมมติฐานการวจิ ัย 4.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าหรือเท่ากับ เกณฑ์รอ้ ยละ 80 5. ขอบเขตของการวจิ ัย 5.1 ขอบเขตประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง 5.1.1 ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังนี้ คือ นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนสาธิต ละอออุทศิ ลำปาง จำนวน 27 คน 5.1.2 กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน สาธติ ลอออุทศิ จำนวน 27 คน

4 5.2 ขอบเขตด้านเนือ้ หา เน้ือหาท่ีใช้ในการศึกษาเป็นเน้ือหาของรายวิชา วิทยาการคำนวณหน่วยท่ี 4 สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศลำปาง ซึ่งเป็นสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ ผ่านเวบ็ ไซด์ จำนวน 1 หน่วย 5.3 ขอบเขตด้านตวั แปร 5.3.1 ตวั แปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่านเวบ็ ไซต์ หน่วยการเรยี นรู้ วิทยาการคำนวณ สำหรับนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 5.3.2 ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 5.4 ขอบเขตด้านเวลา ปกี ารศกึ ษา 2563 6. การใหค้ ำนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 6.1 บทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์กระทำผ่าน เวบ็ ไซต์ หน่วยการเรียนรู้ วทิ ยาการคำนวณ 6.2 ทฤษฎคี อนสตรัคติวิสต์ หมายถึง ทฤษฏีการเรียนรู้ ทีเ่ ชื่อมโยงความรู้ความเข้าใจทีม่ ีอยู่เดิม ของนักเรยี นและความร้ใู หม่ มาสรา้ งเปน็ ความเขา้ ใจของนักเรยี นเอง หรือเรียกว่า โครงสร้างทางปัญญา ซึ่งจะนำมาใช้ในบทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ รายวิชาคอมพิวเตอร์ หน่วยการเรียนรู้วิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1/1 โดยมีการสร้างสถานการณ์ปัญหา เพ่ือให้นักเรียน เสียสมดุล ทางปัญญา จากน้ันให้นักเรียนเร่ิมทำภารกิจ ถ้านักเรียนทำภารกิจไม่ได้ให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมจาก ฐานความช่วยเหลอื และแหล่งการเรยี นรเู้ พิม่ เติม 6.3 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซด์ หมายถึง การจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยให้ผูเ้ รียนศึกษาเน้ือหาบทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ หน่วยการเรียนรู้ paint 3D โดยให้นักเรียนศึกษา โดยเรม่ิ จากการศึกษาสถานการณ์ปัญหาที่กำหนดไว้ และทำภารกิจที่กำหนด เม่ือ นกั เรียนศึกษาเน้อื หาแล้วให้นักเรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี น

5 6.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนทผ่ี ู้เรียนได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ หน่วยการเรียนรู้ paint 3D ได้คะแนนเฉลีย่ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 7. ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ บั 7.1 คาดว่าจะเปน็ แนวทางในการจดั การเรียนการสอนผา่ นเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 7.2 คาดวา่ จะเป็นแนวทางในการพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผู้เรียนมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการ เรยี นให้ดีมากย่งิ ขึ้น 7.3 คาดว่าจะได้นวัตกรรมทมี่ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้

6 บทท่ี 2 ทฤษฎีและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ ง การวิจยั คร้ังน้ี ผวู้ ิจัยไดศึกษาทฤษฎแี ละงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง เพ่ือให้เข้าใจแนวทางหลักการและทฤษฎีท่ีมี สว่ นเกย่ี วข้องกับงานวิจัย โดยแยกเปน็ หัวข้อดงั นี้ 1. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 1.1 วทิ ยาศาสตร์ 1.2 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ 1.3 คณุ ภาพผู้เรยี น 2. แนวคดิ ทฤษฏีทีเ่ กี่ยวข้อง 2.1 ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ลุ่มพฤตกิ รรมนยิ ม 2.2 ทฤษฏีการเรียนรกู้ ลุม่ คอนสตรัคตวิ สิ ต์ 2.3 ทฤษฏี ADDIE model 3.เอกสารท่ีเก่ียวข้องกับสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยเว็บไซด์ (Web Based Instruction) 3.1 ความหมายของสื่อการเรยี นการสอนออนไลน์ดว้ ยเว็บไซด์ (Web Based Instruction) 3.2 ประเภทของสื่อการเรยี นการสอนออนไลนด์ ้วยเวบ็ ไซด์ (Web Based Instruction) 3.3 องค์ประกอบส่อื การเรยี นการสอนออนไลนด์ ้วยเวบ็ ไซด์ (Web Based Instruction) 3.4 หลกั การออกแบบส่ือการเรียนการสอนออนไลน์ดว้ ยเวบ็ ไซด์ (Web Based Instruction) 4.ความสำคัญและความจำเป็นของการจดั การสอนแบบ E – Learning 5.ประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบ E – Learning 6.ขอ้ พึงระวังในการจดั การเรยี นการสอนแบบ E - Learning 7. เอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 7.1 ความหมายของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น 7.2 ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 7.3 ลกั ษณะของแบบทดสอบที่ดี 8. งานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง

7 1. สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีสาระสนเทศ 1.1 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาใหผ้ ู้เรียนมี ความรู้ ความเข้าใจ มที ักษะพืน้ ฐานท่ีจำเป็นต่อการดำรงชีวติ และรู้เท่าทันการเปล่ียนแปลง สามารถนำ ความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิต การอาชีพ และเทคโนโลยี มาใช้ประโยชน์ในการทำงานอย่างมีความคิด สร้างสรรค์ และแข่งขันในสังคมไทยและสากล เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทำงาน และมี เจตคติท่ีดตี อ่ การทำงาน สามารถดำรงชวี ติ อย่ใู นสงั คมไดอ้ ย่างพอเพยี งและมคี วามสุข กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม เพื่อให้มคี วามรู้ความสามารถ มีทักษะในการทำงาน เหน็ แนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยมีสาระสำคญั ดังน้ี 1.1.1 การดำรงชีวิตและครอบครัว เป็นสาระเก่ียวกับการทำงานในชีวิตประจำวัน ช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว และสังคมได้ในสภาพเศรษฐกิจท่ีพอเพียง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เน้นการปฏิบัติ จริงจนเกิดความม่ันใจและภูมิใจในผลสำเรจ็ ของงาน เพ่ือให้ค้นพบความสามารถความถนัด และความสนใจ ของตนเอง 1.1.2 การออกแบบและเทคโนโลยี เป็นสาระการเรียนรู้ที่เก่ียวกับการพัฒนา ความสามารถของมนุษย์อย่างสร้างสรรค์ โดยนำความรู้มาใช้กับกระบวนการเทคโนโลยี สร้างส่ิงของ เคร่ืองใช้วิธีการ หรอื เพิม่ ประสิทธภิ าพในการดำรงชวี ติ 1.1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นสาระเก่ียวกับกระบวนการ เทคโนโลยีสารสนเทศ การติดต่อส่ือสาร การค้นหาข้อมูล การใช้ข้อมูลและสารสนเทศ การแก้ปัญหา หรือการสร้างงาน คณุ คา่ และผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร 1.1.4 การอาชีพ เป็นสาระที่เก่ียวข้องกับทักษะที่จำเป็นต่ออาชีพเห็นความสำคัญของ คุณธรรมจริยธรรมและเจตคติที่ดีต่ออาชีพใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสมเห็นคุณค่าของอาชีพสุจริต และ เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ 1.2 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ 1 การดำรงชีวติ และครอบครัว มาตรฐาน ง1.1 เข้าใจการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะกระบวนการ ทำงานทักษะการจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหาทักษะการทำงานร่วมกันและทักษะการแสวงหา ความรู้มีคุณธรรมและลักษณะนิสัยในการทำงานมีจิตสำนึกในการใช้พลังงานทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม เพื่อการดำรงชวี ติ และครอบครวั

8 สาระท่ี 2 การออกแบบและเทคโนโลยี มาตรฐาน ง 2.1 เขา้ ใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้าง ส่ิงของเครื่องใช้หรือวิธีการ ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้เทคโนโลยี ในทางสร้างสรรคต์ ่อชีวิต สงั คม สิง่ แวดล้อม และมีส่วนรว่ มในการจัดการเทคโนโลยีทยี่ ่ังยืน สาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาตรฐาน ง3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่าและใช้กระบวนการเทคโนโลยสี ารสนเทศในการ สืบค้นข้อมูล การเรียนรู้ การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีคณุ ธรรม สาระที่ 4 การอาชพี มาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงาน อาชพี ใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื พฒั นาอาชพี มคี ณุ ธรรม และมีเจตคตทิ ่ีดตี ่ออาชีพ 2. แนวคิดทฤษฏที ่ีเกีย่ วขอ้ ง 2.1 ทฤษฎีการเรยี นร้กู ลุ่มพฤติกรรมนิยม โนซีลา สุไลมัน (2555) ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเง่ือนไขแบบโอเปอแรนท์ (Operant Conditioning Theory) หรือ ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบการกระทำซ่ึงมี สกินเนอร์ (B.F. Skinner) เป็นเจ้าของทฤษฎี สกินเนอร์ เกิดเม่ือปี ค.ศ. 1904 เขาเป็นนักการศึกษาและนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียง มาก เขาได้ทดลองเกี่ยวกับการวางเง่ือนไขแบบอาการกระทำ (Operant Conditioning) จนได้รับการ ยอมรบั อย่างกวา้ งขวางต้งั แตป่ ี ค.ศ. 1935 เป็นตน้ สกินเนอร์ได้ทดลองการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์กับหนูและนกในห้องทดลองจนกระท้ังได้ หลักการต่าง ๆ มาเป็นแนวทางการศึกษาการเรียนรู้ของมนุษย์ สกินเนอร์มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นภายใต้เง่ือนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะ ทฤษฎีน้ีต้องการเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ส่ิงสนับสนุนและการลงโทษ โดยพัฒนาจากทฤษฎีของ พาฟลอฟ และธอร์นไดค์ โดยสกินเนอร์มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อสิ่งแวดล้อมของ ตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์จะคงอยู่ตลอดไป จำเป็นต้องมีการเสริมแรง ซึ่งการเสริมแรงนี้มีท้ังการ เสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) และการเสรมิ แรงทางลบ (Negative Reinforcement) การเสริมแรง หมายถงึ ผลของพฤตกิ รรมใด ๆ ท่ีทำใหพ้ ฤตกิ รรมนนั้ เข้มแข็งข้ึน

9 การเสรมิ แรงทางบวก หมายถงึ สภาพการณ์ที่ชว่ ยให้พฤตกิ รรมโอเปอแรนทเ์ กิดขนึ้ ในด้านความ ท่ีน่าจะเป็นไปได้ ส่วนการเสริมแรงทางลบเป็นการเปล่ียนแปลงสภาพการณ์อาจจะทำให้พฤติกรรมโอ เปอแรนท์เกดิ ข้นึ ได้ ในด้านการเสริมแรงน้ัน สกินเนอร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยได้แยกวิธีการเสริมแรง ออกเป็น 2 วธิ ี คอื 1. การให้การเสริมแรงทุกครั้ง (Continuous Reinforcement) เป็นการให้การ เสรมิ แรงทกุ ครัง้ ท่ผี ูเ้ รยี นแสดงพฤตกิ รรมทีพ่ งึ ประสงค์ตามที่กำหนดไว้ 2. การให้การเสริมแรงเป็นคร้ังคราว (Partial Reinforcement) เป็นการให้การ เสริมแรงเป็นคร้ังคราว โดยไม่ให้ทกุ คร้ังท่ีผูเ้ รียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยแยกการเสริมแรงเป็น ครงั้ คราว ได้ดงั นี้ 2.1 เสริมแรงตามอัตราสว่ นทีแ่ น่นอน 2.2 เสรมิ แรงตามอัตราส่วนท่ไี มแ่ น่นอน 2.3 เสริมแรงตามช่วงเวลาท่ีแนน่ อน 2.4 เสรมิ แรงตามช่วงเวลาท่ีไมแ่ นน่ อน การเสริมแรงแต่ละวิธีให้ผลต่อการแสดงพฤติกรรมท่ีต่างกัน และพบว่า การเสริมแรงตาม อัตราส่วนที่ไม่แน่นอนจะให้ผลดีในด้านท่ีพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์จะเกิดข้ึนในอัตราสูงมาก และเกิดข้ึน ตอ่ ไปอีกเป็นเวลานานหลังจากท่ไี ม่ไดร้ บั การเสรมิ แรง สรุปแนวคิดตามทฤษฏีน้ีได้ว่า การกระทำใดๆ ถ้าได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มท่ีจะเกิดข้ึน อกี การเสรมิ แรงทแ่ี ปรเปล่ียนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงที่ตายตัว การจดั การเรียนการ สอนตามทฤษฏีนี้จงึ เนน้ ท่ีการเสนอส่งิ เร้าในการเรยี นการสอน การจัดกจิ กรรมอยา่ งตอ่ เน่ือง มีการแสริม แรงหรือใหร้ างวลั เพอื่ ให้ผเู้ รียนเกดิ ความพงึ พอใจที่จะเรียนรู้ 2.2 ทฤษฏีการเรยี นรกู้ ลมุ่ คอนสตรคั ติวิสต์ อนุชา โสมาบุตร (2556) ได้กล่าวถึงทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Theory) ว่าเป็น ทฤษฎีสร้างความรู้ของผู้เรียน ซึ่งถ้าพิจารณาจากรากศัพท์ “Construct” แปลว่า “สร้าง” โดยในท่ีนี้ หมายถึงการสร้างความรู้โดยผู้เรียนน่ันเอง ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เชื่อว่า การเรียนรู้ หรือการสร้าง ความรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนภายในของผู้เรียน โดยท่ีผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ โดยการนำ ประสบการณ์หรือสิ่งท่ีพบเห็นในสิ่งแวดล้อมหรือสารสนเทศใหม่ท่ีได้รับมาเชื่อมโยงกับ ความรู้ความ เข้าใจท่ีมีอยู่เดิม มาสร้างเป็น ความเข้าใจของตนเอง หรือ เรียกว่า โครงสร้างทางปัญญา (Cognitive structure) หรือท่ีเรียกว่า สกีมา (Schema) ซึ่งนั่นคือ ความรู้ นั่นเอง ซึ่งอาจมิใช่เป็นเพียงการจดจำ สารสนเทศมาเท่าน้ัน แต่จะประกอบด้วย โดยท่ีแตล่ ะบุคคลนำประสบการณ์เดิม หรือความรู้ความเข้าใจ

10 เดิมที่ตนเองมีมาก่อน มาสร้างเป็นความรู้ความเข้าใจท่ีมีความหมายของตนเองเก่ียวกับส่ิงน้ันๆ ซึ่งแต่ บุคคลอาจสร้างความหมายท่ีแตกต่างกัน เพราะมีประสบการณ์ หรือ ความรู้ความเข้าใจเดิมที่แตกต่าง กนั กนิ ษ ฐ์กาน ต์ ปั น แก้ว (2556) ได้กล่าวว่าท ฤษ ฏี การสร้างความ รู้ให ม่ ด้วยตน เอง (Constructivism) มีรากฐานมาจากทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) ซ่ึงเน้น เก่ียวกับสร้างความรู้นิยมเชิงปัญญา (Cognitive Constructivism) และไวก็อตสกี้ (Vygotsky) ซ่ึงเน้น เกี่ยวกับสร้างความรู้นิยมเชิงสังคม (Social Constructivism) แนวคิดของทฤษฏีนี้มุ่งเน้นการสร้าง มากกว่าการรับรู้ โดยเช่ือว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นภายในของผู้เรียน โดยมีผู้เรียนเป็น ผู้สร้าง(Construct) ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจ ท่ีมีมาก่อนโดย พยายามนำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์ท่ีตนพบเห็นมาสร้างเป็นโครงสร้างทาง ปัญญาหรือท่ีเรียกว่าสกีมา (Schema) โครงสร้างทางปัญญาของบุคคลจะมีการพัฒนาโดยผ่าน กระบวนการดูดซึม (Assimilation) ซ่ึงเป็นการนำส่ิงแวดล้อมภายนอกหรือความรู้ใหม่เข้ามา และปรับ โครงสร้างทางปัญญา (Accommodation) เป็นการปรับโครงสร้างทางปัญญาของตนเองในการรับ สิ่งแวดล้อมภายนอกหรือความรู้ใหม่ โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมหรือสกีมาของตนเองเพ่ือให้เกิด การเรยี นรู้ ทฤษฏีการเรียนรู้เพ่ือสร้างสรรค์ด้วยปัญญา (Constructivism) เป็นการเรียนการสอนที่ผเู้ รยี น เรียนรู้จากการสร้างงาน ผู้เรียนได้ดำเนินกิจกรรมการเรียนด้วยตนเองโดยการลงมือปฏิบัติหรือสร้างงาน ท่ีตนเองสนใจ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สัมผัสและแลกเปล่ียนความรู้กับสมาชิกในกลุ่ม ผู้เรียนจะ สร้างองค์ความรู้ข้ึนด้วยตนเองจากการปฏิบัติงานท่ีมีความหมายต่อตนเอง ครูผู้สอนจะต้องสร้างให้เกิด องค์ประกอบครบท้ัง 3 ประการ คือ 1) ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง(ไดส้ ร้างงาน) ตามความสนใจ ตามความชอบหรือตามความถนัดของแต่ละบุคคล 2) ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ภายใต้ บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ท่ีดี และ 3) มีเครอ่ื งมือและอุปกรณ์ในการประกอบกิจกรรม การเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสม สายสวาท ปั้นแกว้ (2553) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ การทำให้นกั เรียนเกดิ การเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัค ติวิสต์ (Constructivist) จะต้องทำให้นักเรียนอยู่ในสถานการณ์ท่ีนักเรียนได้เป็นผู้ลงมือปฏิบัติได้เป็นผู้ คิดเอง หรือได้เป็นผู้จัดกระทำต่อส่ิงนั้น มีข้อสงสัยเกิดข้ึน และนักเรียน ค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง เปรียบเทยี บผลของตนเองกับผู้อืน่ ให้ความสำคญั กับวฒั นธรรมและสงั คม สมุ าลี ชัยเจริญ (2551) กลา่ ววา่ กลุม่ คอนสตรคั ตวิ ิสต์ (Constructivism) เช่ือวา่ การเรียนรเู้ ป็น กระบวนการสร้างมากกว่าการรับความรู้ดังนั้นเป้าหมายของการสอนจะสนับสนุนการสร้างมากกว่า ความพยายามในการถ่ายทอดความรู้ ดังน้ัน กลุ่มคอนสตรัคติวิสต์จะมุ่งเน้นการสร้างความรู้ใหม่อย่าง เหมาะสมของแต่ละบุคคลและส่ิงแวดล้อมมีความสำคัญในการสร้างความหมายตามความเป็นจริง เป็น วิธีการท่ีนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน มีหลักการที่สำคัญว่า ในการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนลงมือ

11 กระทำในการสร้างความรู้ ซึ่งปรากฏแนวคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการสร้างความรู้ หรือการเรียนรู้ ทั้งนี้ เน่ืองมาจากแนวคิดที่เป็นรากฐานสำคัญซ่ึงปรากฏจากรายงานของนักจิตวิทยาและนักการศึกษา คือ Jean Piaget ชาวสวิส และ Lev Vygotaky ชาวรัสเซีย ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ Cognitive Construtivist และ Social Constructivist มรี ายละเอียด ดงั น้ี 1. Cogitive Constructivist มีรากฐานทางปรัชญาของทฤษฎีมาจากความพยายามที่จะ เช่ือมโยงประสบการณ์เดมิ กับประสบการณ์ใหม่ ด้วยกระบวนการท่ีพิสจู น์อย่างมีเหตผุ ลเปน็ ความรู้ทีเ่ กิด จากการไตร่ตรอง ซ่ึงถือเป็นปรชั ญาปฏิบัตินิยม ประกอบกับรากฐานทางจิตวิทยาการเรียนรทู้ ่ีมีอิทธพิ ล ต่อพื้นฐานแนวคิดน้ี นักจิตวิทยาพัฒนากรชาวสวิส คือ จีน เพียเจต์ (Jean Piaget) ทฤษฎีของ Piaget จะแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ Ages และ Stages ซึ่งท้ังสององค์ประกอบนี้จะทำนายว่าเด็กจะสามารถ หรือไมส่ ามารถเข้าใจสง่ิ หนึ่งส่ิงใดเม่ือมีอายแุ ตกต่างกนั และทฤษฎีเกย่ี วกับด้านพัฒนาการท่ีจะอธบิ ายว่า ผู้เรียนจะพัฒนาความสามารถทางการรู้คิด (Cognitive Abillities ) ทฤษฎีพัฒนาการท่ีจะเน้นจุด ดงั กล่าวเพราะว่าเป็นพื้นฐานหลักสำหรบั วิธีการทาง Cognitive Constructivism ทางดา้ นการเรียนการ สอนนั้นมี แนวคิดว่ามนุษย์เราต้อง “สร้าง” (Construct) ความรู้ด้วยตนเองโดยผ่านทางประสบการณ์ ซ่ึงประสบการณ์เหล่านี้จะกระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างโครงสร้างทางปัญญา หรือเรียกว่า สกีมา (Schemas) เมนทอลโมเดล(Mental Model) ในสมอง สกีมาเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Chang) ขยาย (Enlarge) และซับซ้อนขึ้นได้ โดยผ่านทางกระบวนการดูดซึม(Assimilation) และการปรับเปลี่ยน (Accommodation) 2. Social Constructivism เป็นทฤษฎีที่มรี ากฐาน มาจาก Vygotsky ได้เน้นเกี่ยวกับบริบทการเรียนรู้ทางสังคม (Social Context Learning) ทฤษฎีพุทธิ ปัญญาของเพียเจต์ท่ีใช้กันมาเป็นพื้นฐาน สำหรับการเรียนรู้แบบค้นพบ (Discovery Learning) ซ่ึง ผสู้ อนมีบทบาทค่อนข้างจำกดั สว่ นทฤษฎีของ Vygotsky เปิดโอกาสให้ครูหรอื ผู้เรียนที่อาวุโสกว่าแสดง บทบาทในการเรียนรู้ของผู้เรียนการออกแบบการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ในที่น้ีได้น ำหลักการท่ี สำคัญของท้ังสองกลุ่มแนวคิด คือ Cognitive Constructivism และ Social Constructivism มาใช้ใน การออกแบบ 2.3 ทฤษฏี ADDIE model อภิชาติ อนกุ ลู เวช (2553 : ออนไลน์) หลักการออกแบบของ ADDIE model มขี น้ั ตอนดังน้ี 1. ขัน้ การวิเคราะห์ (Analysis) 2. ขน้ั การออกแบบ (Design) 3. ขน้ั การพฒั นา (Development) 4. ขั้นการนำไปใช้ (Implementation) 5. ขน้ั การประเมนิ ผล (Evaluation)

12 ข้ันตอนการพัฒนา ADDIE model 1. ขน้ั ตอนการวเิ คราะห์ (Analysis) ประกอบด้วยรายละเอยี ดแตล่ ะส่วน ดังน้ี 1.1 การกำหนดหวั เร่อื งและวัตถปุ ระสงค์ทว่ั ไป 1.2 การวิเคราะห์ผ้เู รียน 1.3 การวเิ คราะห์วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1.4 การวิเคราะหเ์ นือ้ หา 2. ขัน้ ตอนการออกแบบ (Design) ประกอบด้วยรายละเอยี ดแต่ละสว่ น ดังนี้ 2.1 การออกแบบ Courseware (การออกแบบบทเรียน) ซึ่งจะประกอบด้วย ส่วนต่างๆ ได้แก่ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เน้ือหา แบบทดสอบก่อนบทเรียน (Pre-test) สื่อ กิจกรรม วิธีการนำเสนอ และแบบทดสอบหลังบทเรียน (Post-test) 2.2 การออกแบบผังงาน (Flowchart) และการออกแบบบทดำเนินเร่ือง (Storyboard) (ขั้นตอนการเขียนผังงานและสตอร่ีบอร์ดของ อลาสซ่ี) 2.3 การออกแบบหน้าจอภาพ (Screen Design) การออกแบบหน้าจอภาพ หมายถึง การจัดพ้ืนที่ของจอภาพเพื่อใช้ในการนำเสนอเนื้อหา ภาพ และส่วนประกอบอื่นๆ สิ่งที่ต้อง พจิ ารณามีดังน้ี 2.3.1 การกำหนดความละเอยี ดภาพ (Resolution) 2.3.2 การจัดพ้นื ทีแ่ ตล่ ะหน้าจอภาพในการนำเสนอ 2.3.3 การเลือกรูปแบบและขนาดของตัวอักษรทั้งภาษาไทยและ ภาษาองั กฤษ 2.3.4 การกำหนดสี ได้แก่ สีของตวั อกั ษร (Font Color), สขี องฉากหลัง (Background), สขี องส่วนอืน่ ๆ 2.3.5 การกำหนดส่วนอ่ืนๆ ที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ บทเรยี น

13 3. ขั้นตอนการพัฒนา (Develop) (ข้ันตอนการสร้าง/เขียนโปรแกรม และผลิต เอกสารประกอบการเรียน) ประกอบดว้ ยรายละเอียดแต่ละส่วน ดังน้ี 3.1 การเตรยี มการ การเตรียมการเกี่ยวกบั องคป์ ระกอบดังน้ี 3.1.1 การเตรยี มข้อความ 3.1.2 การเตรยี มภาพ 3.1.3 การเตรียมเสียง 3.1.4 การเตรยี มโปรแกรมจัดการบทเรยี น 3.2 การสร้างบทเรียน หลังจากได้เตรียมข้อความ ภาพ เสียง และส่วนอ่ืน เรียบร้อยแล้ว ข้ันต่อไปเป็นการสร้างบทเรียนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จัดการ เพ่ือเปล่ียน สตอรบี่ อร์ดให้กลายเปน็ บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน 3.3 การสร้างเอกสารประกอบการเรยี นหลังจากสรา้ งบทเรียนเสร็จสิ้นแลว้ ใน ขัน้ ตอ่ ไปเป็นการตรวจสอบและทดสอบความสมบรู ณ์ข้นั ตน้ ของบทเรียน 4. ขั้นตอนการนำไปใช้ (Implement) การนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ไปใช้ โดยใช้กับ กลุ่มตัวอย่างมาย เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของบทเรียนในข้ันต้น หลังจากนั้น จึงทำการปรับปรุง แก้ไขก่อนที่จะนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริง เพ่ือหาประสิทธิภาพของบทเรยี น และนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความเหมาะสมและประสทิ ธิภาพ 5. ขั้นตอนการประเมินผล (Evaluate) การประเมินผล คือ การเปรียบเทียบกับการ เรยี นการสอนแบบปกติ โดยแบ่งผู้เรียนออกเปน็ 2 กลุ่ม เรยี นด้วยบทเรียนที่ สร้างขน้ึ 1 กลุ่ม และเรียน ดว้ ยการสอนปกตอิ ีก 1 กลุ่ม หลังจากน้ันจงึ ให้ผู้เรียนทั้งสองกลุ่ม ทำแบบทดสอบชดุ เดียวกัน และแปล ผลคะแนนทีไ่ ด้ สรุปเป็นประสทิ ธิภาพของบทเรียน เอกสารที่เกี่ยวข้องกับส่ือการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอรบ์ ทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Web Based Instruction) 3.เอกสารทเี่ กยี่ วข้องกับส่ือการเรยี นการสอนออนไลนด์ ว้ ยเว็บไซด์ (Web Based Instruction) ปัจจุบนั มผี ู้ใหค้ วามสำคญั และมีการนำเอาเวบ็ มาใช้ประโยชนเ์ พือ่ การศกึ ษา การจัดการเรยี นการสอน ผา่ นเว็บ(Web-Based Instruction) นอกจากจะเรียกว่าการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ(Web-Based Learning) แล้วยังมี เว็บฝึกอบรม(Web-Based Training) อินเทอร์เน็ตฝึกอบรม (Inter-Based Training) และเวิล์ดไวด์เว็บช่วยสอน (WWW-Based Instruction) ทั้งนี้ได้มีผู้นิยามและให้ความหมาย ของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ (Web-Based Instruction) เอาไวด้ ังนี้

14 ภาสกร เรืองรอง (2544) ได้ให้ความหมาย WBI (Web-based Instruction) คือ การเรียนการสอนผ่านเว็บ หรือการดำเนินการจัดสภาวะการณ์การเรียนการสอน ผ่านทางระบบ เครอื ขา่ ยโดยมกี ารกำหนดเงอ่ื นไขและกิจกรรม ถนอมพร เลาจรัสแสง (2544) ให้ความหมายว่า การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) เป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการ สอนเพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเร่ืองข้อจำกัดทางด้านสถานที่และเวลา โดย การสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและทรัพยากรของ เวิลด์ ไวด์ เว็บ ในการจัดสภาพแวดล้อมท่ี ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอนซ่ึงการเรียนการสอนที่จัดข้ึนผ่านเว็บน้ี อาจเป็นบางส่วนหรือ ทงั้ หมดของกระบวนการเรยี นการสอนกไ็ ด้ จากนิยามและความคิดเห็นของนักวิชาการและนักการศึกษา ทั้งในต่างประเทศและภายใน ประเทศไทยดังท่ีกล่าวมาแล้วน้ันสามารถสรุปได้ว่า สื่อการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็น การจัดสภาพการเรยี นการสอนทีไ่ ด้รับการออกแบบอย่างมีระบบ โดยอาศัยคุณสมบัตแิ ละทรัพยากรของ เวิลด์ไวด์เว็บ มาเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเพ่ือส่งเสริมสนับสนุนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ โดยอาจจัด เป็นการเรียนการสอนท้ังกระบวนการหรือนำมาใช้เป็นเพียงส่วนหน่ึงของกระบวนการ ท้ังหมดและช่วยขจัดปัญหาอุปสรรคของการเรียนการสอนทางด้านสถานท่ีและเวลาอีกด้วย ซึ่งแบ่ง ออกเปน็ หลายประเภท 3.1องคป์ ระกอบของส่อื การเรียนการสอนออนไลนด์ ว้ ยเว็บไซด์ (Web Based Instruction) Rattiporn Chumnanphol (2555) ได้แบ่งองค์ประกอบของ Web Based Instruction ไว้ ดงั นี้ 1. องค์ประกอบดา้ นการเรียนการสอน 1.1 การพฒั นาเน้อื หา 1.2 ทฤษฎีการเรยี นรู้ 1.3 การออกแบบระบบการสอน 1.4 การพฒั นาหลกั สตู ร 1.5 มัลตมิ ีเดยี 1.6 ขอ้ ความและกราฟิก 1.7 ภาพเคลือ่ นไหว 1.8 การออกแบบการปฏสิ มั พนั ธ์

15 1.9 เครือ่ งมอื ในอินเทอร์เนต็ 1.10 เครอ่ื งมือในการตดิ ต่อสือ่ สาร 3.3หลักการออกแบบสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ด้วยเวบ็ ไซด์ (Web Based Instruction) ประภัสรา โคตะขุน (2555) ได้กล่าวถึงหลักการออกแบบสื่อการเรียนการสอนบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต (Web Based Instruction) ไว้ดังน้ี 1.ให้แรงจูงใจแก่ผู้เรียน (Motivating the leaner) มีการใช้การออกแบบบนเรียนโดยการวาง layout ท่ีน่าสนใจ และการใส่ภาพกราฟิกที่สวยงาม การเลือกใช้สีที่ไม่มากจนเกินไป โดยอาจมีการใช้ ภาพเคลื่อนไหวประกอบบ้างในบ้างครั้ง แต่ข้อควรระวังคือ ไม่ใช้มากจนเป็นที่รำคาญสายตาของผู้เรียน อีกส่ิงหนึ่งที่สำคัญคือ การใช้คำถามนำก่อนการเข้าสู่บทเรียน เพื่อความน่าติดตาม และจูงใจให้ผู้เรียน อยากทราบคำตอบโดยการเขา้ มาเรยี นในบทเรียนของเรา 2. การบอกให้ผู้เรียนทราบว่าเขาจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง (Specifying what is to be learn)เรา สามารถบอกให้ผู้เรียนทราบได้ว่าจะต้องเรียนรู้ หรอื ทำกิจกรรมอะไรบ้าง หลังจากเรยี นจบจากบทเรียน แล้ว โดยครูจะบอกในลักษณะของจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ปัญหาอยา่ งหนึง่ ในการเรยี นบนเวบ็ กค็ อื ถ้า มลี ิงค์ข้อมูลท่ีเก่ียวข้องไปยังหน้าเวบ็ อื่นๆ เป็นจำนวนมาก และผู้เรียนเข้าไปยังเว็บเหลา่ น้ันจนหลง จาก เป้าหมาย เราก็ควรแกไ้ ขโดยการทำลิงค์ท่ีเกยี่ วข้องในบทเรียนของเรา เฉพาะท่ีจำเปน็ จริงๆ เทา่ นน้ั เพื่อ ป้องกันปัญหา การหลงทางใน Hyperspace 3. การเชื่อมโยงความร้เู กา่ กับความรใู้ หม่ (Reminding learners of past knowledge) นกั จิตวทิ ยากลุ่ม Cognitive มีความเชื่อวา่ ผเู้ รียนจะสามารถจดจำขอ้ มลู ต่างๆ ได้งา่ ย และนานย่ิงขึ้น ถ้า เราสามารถนำเสนอเน้ือหาโดยการเช่ือมโยงความรู้เก่าๆ กับความรู้ใหม่ อย่างมีความหมาย เช่นการ ยกตัวอย่างโดยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่นักเรียนเรียนรู้มาแล้ว หรือการนำเข้าสู่บทเรียน โดยการ เช่ือมโยงส่ิงที่เรียนมาแล้วกับส่ิงที่เขากำลังจะเรียน โดยในการออกแบบเว็บนั้น เราสามารถใช้ลิงคข์ ้อมูล ที่มีความเก่ียวข้องกับส่ิงท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วเพ่ือการทบทวน หรือการเปรียบเทียบกับเน้ือหาที่เขา กำลงั เรยี นอยู่ได้ 4. การนำเสนอเนอ้ื หาใหม่ (Providing new information)การนำเสนอเน้อื หาของบทเรียน ซ่ึง ในการนำเสนอเนื้อหาในบทเรียนบนเว็บนั้น จำเป็นต้องออกแบบอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจาก คุณลักษณะท่วั ไปของเวบ็ ไซต์ และตวั ผเู้ รยี นเอง 5. สร้างความกระตือรือร้นของผู้เรียน (Need Action Participation)ในการเรียนการสอน บน เว็บต้องการให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นระหว่างเรียน (Active learner) โดยการให้ผู้เรียนทำ กิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างเรียน หรือจบบทเรียน เช่น มีการทำแบบฝึกหัดระหว่างบทเรียน

16 หน่วยย่อยแต่ละหน่วย ให้นักเรียนทำบทสรุป วิจารณ์ นำเสนอแง่มุมมองของตนเอง ต่อเรื่องท่ีเรียนมา สง่ ผ้สู อนหลงั จากเรยี นจบบทเรยี นน้ันๆ 6. การใหข้ ้อเสนอแนะ และข้อมูลยอ้ นกลบั (Offering guidance and feedback) การให้ขอ้ มลู ตอบกลบั ไปของโปรแกรม ตอ่ ผู้ใช้ค่อนข้างทำได้ยาก ในบทเรยี นบนเวบ็ เม่ือเปรยี บเทียบกับ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แต่ก็สามารถทำได้โดยใช้โปรแกรมภาษาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เราสามารถให้ คำแนะนำ และการตอบกลบั ในการใช้งานของการตง้ั กระทใู้ นหนา้ เวบ็ หรือ อีเมลก์ ็ได้ 7. การทดสอบ (Testing) สิ่งที่จำเป็นอย่างย่ิง คือการทดสอบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม จุดมุ่งหมายหรือไม่ การทำแบบทดสอบสามารถทำได้จากในบทเรียนออนไลน์ แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อ วิพากษ์วิจารณ์ในเรือ่ งของผทู้ ำข้อสอบว่าเป็นตัวจริงกบั ผู้เรยี นหรือไม่ ถ้าเป็นการทดสอบเพื่อให้ทราบว่า ผู้เรยี นเกิดการเรียนรูห้ รือไม่ โดยไมเ่ ก็บคะแนนเพอ่ื การประเมินผลจริง กส็ ามารถทำข้อสอบออนไลนไ์ ด้ 8. ให้ ข้ อ มู ล ท่ี เกี่ ย ว ข้ อ งเพ่ิ ม เติ ม ห รือ ก ารซ่ อ ม เส ริม (Supplying enrichment or remediation) การให้แหล่งข้อมูลเพ่ิมเติมสามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยการทำลิงค์ท่ีเก่ียวข้องกับ เนื้อหาบทเรียน ที่ผู้เรียนต้องการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ส่วนการให้ข้อมูลซ่อมเสริมก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยการสรา้ งขึ้นเอง หรอื การลิงค์ไปยังเวบ็ ไซตท์ ่ีมีเนอ้ื หาไม่ซับซ้อนจนเกินไป สำหรบั ผู้ที่เรียนอ่อน 4. ความสำคญั และความจำเปน็ ของการจัดการสอนแบบ E - Learning ในโลกยคุ ปัจจุบัน E – Learning เร่ิมมีความสำคัญมากขึ้น จนสามารถทำให้เกดิ การเรียนรไู้ ด้ ทุกเวลา ทุกสถานท่ี ไม่จำกัดอยูแ่ ต่ในห้องเรยี น หรือในโรงเรยี นเท่าน้ัน นอกจากนี้ ยงั เปน็ การส่งเสริม ความสามารถในการเรียนรู้เป็นรายบุคคล และการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต ตอบสนองคณุ ลักษณะใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และพฒั นาทักษะการคิด การสืบค้นของผเู้ รยี น โดยส่วนใหญ่แล้ว E - Learning จะถกู ใชป้ ระโยชนใ์ นกรณตี อ่ ไปนี้ คือ 1. เป็นแหล่งความรู้ของผู้เรียน (Knowledge Based) โดยท่ีอินเตอร์เน็ตถือเป็นแหล่ง ความรู้ท่ียิ่งใหญ่กว้างขวางที่สุดในโลก ที่ผู้เรียนควรได้รู้จักศึกษา เพ่ือการแสวงหา วิเคราะห์และสร้าง องคค์ วามร้ไู ด้เป็นอยา่ งดี 2. เป็นห้องปฏิบัติการของผู้เรียน (Virtual Lab) ในโลกของอินเตอร์เน็ตผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ฝึกฝนทักษะและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย โดยมีแหล่งความรู้ท่ีกว้างขวาง แต่ อย่างไรก็ตามการที่ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ นั้น อาจต้องอยู่ในความดูแล กำกับ แนะนำ ติดตามของครูผู้สอนด้วยจึงจะทำให้กิจกรรมต่าง ๆ มีส่วนเสริมการเรียนรูข้ องผู้เรียนได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ

17 3. เป็นส่วนของห้องปฏิบัติการจำลองสภาพต่าง ๆ ( Sim Lab)ในโลกของคอมพิวเตอร์ สามารถกระทำส่ิงต่าง ๆ ได้ในขณะท่ีโลกท่ีเป็นจริงไม่สามารถกระทำได้ เช่น การจำลองปรากฏการณ์ ธรรมชาติ การเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวิต การเกิดภูเขาไฟระเบิด ระบบสุริยะจักรวาล ฯลฯ หรือ เหตุการณ์ท่ีอันตราย เช่น การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ หรือ การถ่ายทอดจินตนาการออกมาเป็นภาพที่ ชัดเจนเสมือนจริง ทำให้การเรียนรู้และความคิดของมนุษย์เป็นไปอย่างกว้างขวาง อิสระ ไร้ขอบเขต และไร้ข้อจำกัดมากข้ึน 4. นำผู้เรียนออกไปสู่โลกกว้าง ( Reaching Out) เป็นการเปิดประตูห้องเรียนออกไป สัมผัสกับความเป็นไปของโลก ศึกษาสิ่งท่ีเป็นอยู่จริงๆ ท่ีไม่ได้มีอยู่เฉพาะแต่ในห้องเรียน หรือหนังสือ เรียนเท่านั้น แต่เป็นการศึกษาความรู้ที่เป็นอยู่จรงิ ทำให้รเู้ ท่าทนั ความเป็นไป การเปล่ียนแปลงของโลก และร้จู กั โลกทเ่ี ราอยู่มากข้ึน 5. นำโลกกว้างมาสู่ห้องเรียน ( Reaching within ) เป็นการดึงเอาเรื่องที่อยู่ไกลตัว ไกลจากประสบการณ์ท่ีผู้เรียนจะสัมผัสได้จริง ๆ มาสู่ห้องเรียน ทำให้มีความรู้กว้างขวาง และรู้จัก นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ และใช้ในชีวิตประจำวันมากข้ึน ในโลก ปจั จบุ ันเราจะพบว่า “ ผ้ทู ี่มีขอ้ มูลมากกว่าย่อมได้เปรียบ และผู้ท่ีมีข้อมูลมากที่สุดจะได้เปรียบกวา่ แต่ ที่ย่ิงไปกว่าน้ันอีกก็คือ ผู้ที่มีข้อมูลท่ีถูกต้องและใช้ข้อมูลเป็นจะได้เปรียบท่ีสุด ” ดังนั้น นอกจากผู้เรียน จะรู้จักแสวงหาข้อมูลแล้ว ยังต้องรู้จักวิเคราะห์ความถูกต้อง ความเหมาะสมของข้อมูลที่มีอยู่ และ สามารถนำขอ้ มูลไปใชจ้ งึ จะเกิดประโยชนส์ งู สุด 6. เป็นเวทีการแสดงออก ( Performance ) ระบบอินเตอร์เน็ตเป็นระบบท่ีเช่ือมโยงโลก ทงั้ หมดเข้าด้วยกนั ทำให้ระยะทางไม่เป็นปัญหาในการติดตอ่ สื่อสารอีกต่อไป ผู้เรยี นสามารถแสดงความ คิดเห็น แสดงผลงาน แสดงทักษะ ความรู้ ความสามารถออกไปสู่การรับรู้ของผู้คนได้อย่างไร้ขอบเขต และได้รบั การยอมรบั มากข้นึ รวมถงึ มโี อกาสทีจ่ ะก้าวหน้าและประสบความสำเรจ็ ไดม้ ากขึน้ นอกจากนี้ในการจัดการเรียนรู้ E-Learning นั้นถือว่าเป็นเร่ืองใหม่ที่ครูผู้สอนจำเป็นต้องปรับแนวคิด ปรัชญาเกี่ยวกับการเรียนการสอนไปบ้าง และยอมรับข้อจำกัดบางประการเก่ียวกับการจดั การเรียนการ สอน โดยปรบั แนวคดิ เกีย่ วกับเรื่องต่อไปนี้ เป็นการจดั การเรียนรู้ทีท่ ดแทนการเรียนการสอนในชั้นเรยี น เพื่อให้ผเู้ รียนมีทางเลือกใหมใ่ นการเรียนรทู้ ี่ ไม่ได้ข้ึนอยู่กับความสามารถในการถ่ายทอดเนื้อหาจากครูผู้สอนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ผู้เรียนยัง สามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งแวดล้อม และจากแหล่งเรียนรู้อื่นๆ ที่อยู่รอบตัว รวมทั้งแหล่งเรียนรู้ใน อินเตอร์เน็ตอีกด้วย ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีการเรียนการสอนในชั้นเรียน เพียงแต่ต้องการให้เป็นอีกทางเลือกหน่ึงของการศึกษาเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการเพิ่มศักยภาพในการ

18 เรียนรู้เพ่ิมเติมจากในช้ันเรียน นอกจากน้ี การจัดการเรียนรู้ในลักษณะอื่นๆ ให้หลากหลายออกไปก็จะ เป็นการกระต้นุ ให้ผ้เู รียนเกดิ การเรยี นรู้ได้ดียิ่งข้นึ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองผู้เรียนเป็นรายบุคคล ซึ่งความมุ่งหมายของการสอนรายบุคคลนั้นจะ ยึดหลักวา่ “ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนด้วยตนเอง ได้มีโอกาสเรียนตามลำพัง จะต้องเป็น การสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นผู้เรียนตลอดชีวิต มากกว่าเป็นผู้เรียนท่ีอยู่ภายใต้การบังคับ ตลอดเวลา เป็นการเน้นการเรียนมากกว่าการสอน เน้นในเร่ืองความสนใจ ความต้องการและความรู้สึก ของผู้เรียนเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก และผู้เรียนได้รับการประเมินความก้าวหน้าด้วยตนเอง” ดังน้ัน ความสามารถในการเรียนรดู้ ้วยตนเองของผู้เรียนจงึ เป็นคุณลักษณะสำคัญต่อการเรียนร้เู ป็นรายบุคคลที่ ควรเน้นในโลกยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่ิงท่ีดี แต่การรู้จักแต่ ตนเอง มีเฉพาะโลกของตัวเอง ขาดความเข้าใจต่อผู้อนื่ ขาดการคิดแบบองค์รวม ก็เป็นส่ิงที่ครผู ู้สอน ตอ้ งพึงตระหนัก เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีครูผู้สอนเปลี่ยนบทบาทจาก “ ผู้สอน” (Teacher) เป็น “ ผู้ แนะนำ ” ( Facilitator )การเรียนการสอนในช้ันเรียนน้ันครูมักจะเป็นผู้มีบทบาทมากที่สุดในชั้นเรียน ทำให้ช้ันเรียนเป็นกิจกรรมสำคัญของผู้สอนไม่ใช่ผู้เรียน นอกจากนี้ผู้เรียนแต่ละคนก็มีโอกาสในการ เรียนรู้ท่ีแตกต่างกันซ่ึงเป็นไปตามลักษณะการเรียน ( Learning Style ) ของแต่ละคน การจัดการ เรียนรู้ E - Learning จะทำให้ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้ ไม่ขึ้นอยู่กับผู้อื่น ดังน้ัน บทบาทของครูในการสอนจะเปลี่ยนไป โดยครจู ะเปน็ ผู้แนะนำวิธีการเรยี น เสนอแนะแนวทางการเรียนรู้ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการเรียนรขู้ องผูเ้ รียน เป็นการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนเปลี่ยนบทบาทจาก “ ผู้เรียน ” (Learner) เป็น “ ผู้แสวงหา ” (Researcher) เม่ือบทบาทของครูเปล่ียน บทบาทของผู้เรียนก็ควรเปลี่ยนตาม โดยผู้เรียนจะไม่เป็นผู้ท่ี คอยแต่รับการสอน แต่จะมีบทบาทเป็นผู้ศึกษา ผู้ค้นคว้า เสาะแสวงหาความรู้ สร้างองค์ความรู้และใช้ องค์ความรนู้ น้ั ๆ ดว้ ยตนเอง เป็นการย้ายฐานการสอนจากห้องเรียนจริง (Classroom-Based Instruction) ไปสู่ ห้องเรียนเสมือนบนเว็บ (Web-Based Instruction) ซ่ึง E - Learning เป็นการเรียนการสอนผ่าน ระบบอินเตอร์เน็ต โดยที่ผู้เรียนเป็นผู้ศึกษาหาความรู้จากบทเรียนออนไลน์ท่ีผู้สอนจัดเตรียมไว้ และ ระบบการติดต่อสื่อสารท่ีสามารถโต้ตอบกันได้ทำให้มีลักษณะเหมือนกับห้องเรียนห้องหน่ึง ซ่ึงเรียกว่า หอ้ งเรยี นเสมือน (Virtual classroom) ในการเรียนรลู้ ักษณะน้ีครูต้องยอมรบั ข้อจำกัดบางประการ เช่น ครูไม่ได้เป็นผคู้ วบคมุ ชัน้ เรียน ไม่ไดเ้ ปน็ ผู้คอยสอดส่องสังเกตพฤติกรรมของผู้เรยี น อย่างไรก็ตามกย็ ังมี พฤติกรรมท่ีครูสามารถประเมินได้ เช่น ความรับผิดชอบ ความใฝ่รู้ใฝ่เรียน ความพากเพียรพยายาม

19 ความสนใจ ความร่วมมือ ฯลฯ ที่สามารถประเมินได้จากผลงานของผู้เรียน และการติดต่อส่ือสาร ระหว่างกนั ทางระบบอินเตอรเ์ นต็ เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีผสมผสานความร่วมมือหลายฝ่าย การจัดการเรียนรู้ E - Learning มี องค์ประกอบหลายประการ นอกจากครูผู้สอน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเนอื้ หาแล้วยังต้องมีผู้ดูแลระบบ โปรแกรมเมอร์ ผู้ช่วยในการผลิตบทเรียน รวมถึงผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญภายนอก และผู้ปกครอง ท่ีจะต้องมี ส่วนรว่ มในการจัดการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธภิ าพมากท่ีสดุ เพราะเม่ือการจัดการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ ในชน้ั เรียนหรอื ในโรงเรยี นแล้ว ผู้มีส่วนร่วมกไ็ ม่ได้มจี ำกดั อยู่แค่ครกู บั นักเรยี นอกี ต่อไป 5. ประโยชน์ของการจดั การเรยี นการสอนแบบ E - Learning E - Learning ถือได้ว่าเป็นการปรับกระบวนทัศน์ใหม่ ( New Paradigm Shift ) ทาง การศึกษา เพราะ E-learning สามารถนำไปใช้เพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและ ประสิทธผิ ลยงิ่ ขนึ้ ประโยชน์ของ E - Learning มีอย่ดู ว้ ยกนั หลายประการ ดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี 1.E - Learning ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน งานวิจัยหลายช้ิน สนับสนุนเนื้อหาการเรียนซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านทางมัลติมีเดียน้ันสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ ดกี ว่าการเรียนจากสอ่ื ข้อความแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น หากจะเปรียบ E - Learning กับการ สอนที่เน้น การบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk ซึ่งผู้สอนในปัจจุบันยังคงใช้กันอยู่น้ัน E - Learning ที่ได้รับการออกแบบและผลิตมาอย่างมีระบบ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากกว่า นอกจากในด้านของประสิทธิภาพการเรียน อันเกิดจากส่ือแล้ว ในด้านของ ระบบ E – Learning ยังมีการจัดหาเคร่ืองมือ ( Course Management Tool ) ซ่ึงทำให้ผู้สอน สามารถตรวจสอบความกา้ วหนา้ ของพฤตกิ รรมการเรียนของผ้เู รยี นได้อย่างละเอียดและตลอดเวลา 2.E - Learning จะมีการใช้เทคโนโลยี Hypermedia ซึ่งเป็นการเช่ือมโยงของข้อมูลไม่ว่าจะ เป็นในรูปของข้อความ ภาพน่ิง เสียง กราฟิก วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว ท่ีเก่ียวเนื่องกันเข้าไว้ด้วยกันใน ลักษณะ Non – Linear เพ่ือความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ ประโยชน์ของการประยุกต์ใช้ Hypermedia ไว้วา่ Hypermedia สามารถใช้เป็นวิธีการนำเสนอความรู้สำหรับส่ือการเรียนการสอนที่ มีประสิทธิภาพได้ ทั้งน้ีเนื่องจากการท่ี Hypermedia น้ี สามารถนำเสนอเน้ือหาในลักษณะของกรอบ ความคิดแบบใยแมงมุม (Web Framework) ซ่ึงเป็นกรอบความคิดที่เช่ือว่าจะมีลักษณะท่ีคล้ายคลึง กันกับวิธีที่มนุษย์จัดระบบความคิดภายในจิตใจ ดังนั้นผู้เรียนที่เรียนจาก E - Learning จะสามารถ ควบคมุ การเรยี นของตนได้และย่อมจะได้รับความรแู้ ละมีการจดจำได้ดขี นึ้ 3.E -Learning ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตน ( Self - paced Learning ) ผู้เรียนสามารถท่ีจะควบคุมการเรียนของตนในด้านของลำดับการเรียน ( Sequence ) ตามพ้ืน

20 ฐานความรู้ ความถนัดและความสนใจของตน ผู้เรยี นสามารถเลือกเรยี นเฉพาะเนอ้ื หาส่วนท่ีต้องการ ทบทวนโดย ไม่ต้องเรียนในส่วนท่ีเข้าใจแล้ว ซ่ึงในลักษณะน้ี ถือเป็นการให้อิสระแก่ผู้เรียนในการ ควบคุมการเรยี นของตน ( Learner Control ) 4.E - Learning เอื้อให้เกิดการโต้ตอบ ( Interaction ) ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการ โต้ตอบกับเน้ือหา การโต้ตอบกับครูผู้สอนและกับเพ่ือน คอร์สแวรท์ ่ีได้รับการออกแบบมาอย่างดีนั้นจะ เอ้ือให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่าง เช่น การออกแบบ เน้ือหาในลักษณะเกม หรือ การจำลอง เป็นต้น นอกจากนี้ E - Learning ยังเอื้อให้ผู้เรียนเกิดการ โต้ตอบกับครูผู้สอนและกับเพ่ือนได้ อย่างที่เราทราบกันดีว่า การเรียนการสอนท่ีดีท่ีสุด ก็คือ การเรียน การสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีการโต้ตอบกับผู้สอนหรือกับผู้เรียนอื่น ๆ ได้มากที่สุด เพราะการ เรียนในลักษณะนี้ผู้สอนจะสามารถตอบสนองความต้องการ ปัญหา และคำถามต่าง ๆ ของผู้เรียน ได้ทันที E - Learning ให้โอกาสผู้เรียนในการโต้ตอบกับครูผู้สอนและ/หรือการได้รับผลป้อนกลับทั้ง ในลักษณะเวลาเดียวกัน ( Synchronous ) เช่น การสนทนา (Chat) หรือ การออกอากาศสด (Live Broadcast) และ ในลักษณะตา่ งเวลากัน (Asynchronous) เชน่ การทง้ิ ขอ้ ความไวบ้ นเวบ็ บอร์ด (Web Board) 5.E - Learning ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ รวมท้ังเนื้อหาท่ีมีความทันสมัย และ ตอบสนองต่อเรื่องราวตา่ ง ๆ ในปจั จบุ ันได้อย่างทนั ท่วงที เพราะการที่เนื้อหาการเรียนอยู่ในรปู ของ ข้อความอิเล็กทรอนิกส์ ( E – Text ) ซ่ึงได้แก่ ข้อความซึ่งได้รับการจัดเก็บ ประมวลผล นำเสนอ และเผยแพร่ทางคอมพิวเตอร์จึงทำให้มีข้อได้เปรียบสื่ออ่ืนๆ หลายประการ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในด้านของความสามารถในการปรับปรุงเนื้อหาสารสนเทศให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา การเข้าถึง ข้อมลู ท่ีตอ้ งการดว้ ยความสะดวกและรวดเร็ว และความคงทนของข้อมูล 6.ข้อความซึ่งได้รับการจัดเก็บ ประมวลผล นำเสนอ และเผยแพรท่ างคอมพิวเตอร์จึงทำให้มีข้อ ไดเ้ ปรยี บส่อื อ่ืน ๆ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในดา้ นของความสามารถในการปรับปรุงเน้ือหา สารสนเทศให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา การเข้าถึงข้อมูลท่ีต้องการ ด้วยความสะดวกและรวดเร็ว และความคงทนของขอ้ มลู 7.E - Learning ถือเป็นรูปแบบการเรียนท่ีสามารถจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนในวงกว้าง ขึ้น เพราะผ้เู รียนใช้การเรยี นในลักษณะ E - Learning จะไม่มีขอ้ จำกัดในด้านการท่ีจะต้องเดินทางมา ศึกษาในเวลาใดเวลาหนึ่งและสถานท่ีใดสถานที่หน่ึง ดังน้ัน E-learning ยังสามารถนำไปใช้เพ่ือ สนบั สนนุ การเรียนในลักษณะตลอดชีวิต (Life Long Learning)ได้ด้วย และยง่ิ ไปกวา่ นน้ั เราสามารถนำ E - Learning ไปใช้เพ่ือเปิดโอกาสสำหรับผู้เรียนที่ขาดโอกาสในการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้เป็น

21 อย่างดี ซ่ึงจากงานวิจัยในประเทศไทย พบว่า ยังมีผู้เรียนที่ขาดโอกาสในการศึกษา ข้ันอุดมศึกษาอัน เน่ืองมาจากข้อจำกัดของสถาบันการศึกษาท่ีจำกัดจำนวนในการรับผู้เรียนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก และมี แนวโน้มท่ีจะเพ่ิมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอีกทศวรรษข้างหน้า ซึ่งการจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียน จำนวนทมี่ ากข้นึ โดยมคี ่าใช้จา่ ยเทา่ เดิม ก็เทา่ กับเปน็ การลดตน้ ทุนในการจดั การศึกษานั้น ๆ ถนอมพร เลาหจรสั แสง (2544) ได้กลา่ วถึงการสอนบนเวบ็ มขี ้อดอี ยหู่ ลายประการ กล่าวคอื 1. การสอนบนเว็บเปน็ การเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนท่อี ยู่ห่างไกล หรอื ไม่มเี วลาในการมาเข้าช้ันเรียน ได้เรียนในเวลาและสถานท่ี ๆ ต้องการ ซ่ึงอาจเป็นท่ีบ้าน ท่ีทำงาน หรือสถานศึกษาใกล้เคียงท่ีผู้เรียน สามารถเข้าไปใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตได้ การที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสถานศึกษาท่ี กำหนดไว้จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาในด้านของข้อจำกัดเก่ียวกับเวลา และสถานท่ีศึกษาของผู้เรียนเป็น อย่างดี 2. การสอนบนเว็บยังเป็นการสง่ เสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันทางการศกึ ษา ผู้เรียนทีศ่ กึ ษาอยู่ ในสถาบันการศึกษาในภูมิภาคหรือในประเทศหนึ่ง สามารถท่ีจะศึกษา ถกเถียง อภิปราย กับ อาจารย์ ครูผู้สอน ซึ่งสอนอยู่ที่สถาบันการศกึ ษาในนครหลวงหรอื ในต่างประเทศก็ตาม การสอนบนเว็บ น้ี ยังช่วยส่งเสรมิ แนวคิดในเร่ืองของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เน่ืองจากเว็บเป็นแหล่งความรู้ที่เปิดกวา้ งให้ผู้ ท่ตี ้องการศึกษาในเรอ่ื งใดเร่ืองหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างต่อเน่อื งและตลอดเวลาการ สอนบนเว็บ สามารถตอบสนองต่อผู้เรียน ที่มีความใฝ่รู้ รวมท้ังมีทักษะในการตรวจสอบการเรียนรู้ ด้วยตนเอง ( Meta - Cognitive Skills ) ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 3. การสอนบนเว็บ ช่วยทลายกำแพงของห้องเรียนและเปล่ียนจากห้องเรียน 4 เหล่ียมไปสู่ โลกกว้างแห่งการเรยี นรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่าง สะดวกและมีประสิทธิภาพสนับสนุนสิ่งแวดล้อมทางการเรียนที่เช่ือมโยงส่ิงท่ีเรียนกับปัญหาท่ีพบใน ความเป็นจริง โดยเน้นให้เกิดการเรียนรู้ตามบริบทในโลกแห่งความเป็นจริง (Contextualization) และ การเรียนร้จู ากปัญหา ( Problem – Based Learning) ตามแนวคดิ แบบ Constructivism 4. การสอนบนเว็บเป็นวิธีการเรียนการสอนที่มีศักยภาพ เน่ืองจากท่ีเว็บได้กลายเป็น แหล่งค้นคว้าข้อมูลทางวิชาการรูปแบบใหม่ครอบคลุมสารสนเทศท่ัวโลก โดยไม่จำกัดภาษา การสอน บนเว็บช่วยแก้ปัญหาของข้อจำกัดของแหล่งค้นคว้าแบบเดิมจากห้องสมุดอันได้แก่ ปัญหาทรัพยากร การศึกษาท่ีมีอยู่จำกัดและเวลาท่ีใช้ในการค้นหาข้อมูล เน่ืองจากเว็บมีข้อมูลท่ีหลากหลายและเป็น จำนวนมาก รวมท้ังการที่เว็บใช้การเชื่อมโยงในลักษณะของ Hypermedia ( ส่ือหลายมิติ ) ซึ่งทำให้ การค้นหาทำได้สะดวกและง่ายดายกว่าการค้นหาข้อมูลแบบเดมิ

22 5. การสอนบนเว็บจะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ท่ีกระตือรือร้น ท้ังนี้เน่ืองจากคุณลักษณะ ของเว็บท่ีเอ้ืออำนวยให้เกิดการศึกษา ในลักษณะท่ีผู้เรียนถูกกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็นได้อยู่ ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนท่ีแท้จริง ตัวอย่างเช่น การให้ผู้เรียนร่วมมือกันในการทำ กิจกรรมต่าง ๆ บนเครือข่ายการให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแสดงไว้บนเว็บบอร์ดหรือ การให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้ามาพบปะกับผู้เรียนคนอ่ืน ๆ อาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญในเวลาเดียวกันท่ีห้อง สนทนา เป็นต้น 6. การสอนบนเว็บเออื้ ให้เกิดการปฏิสัมพนั ธ์ ซึ่งการเปิดปฏิสัมพันธ์นอ้ี าจทำได้ 2 รปู แบบ คือ ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนด้วยกันและ/หรือผู้สอน ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนในเน้ือหาหรือส่ือการสอนบน เว็บ ซึ่งลักษณะแรกนี้จะอยู่ในรูปของการเข้าไปพูดคุยพบปะ แลกเปล่ียน ความคิดเห็นกัน ส่วนใน ลักษณะหลังน้ันจะอยู่ในรูปแบบของการเรียนการสอน แบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบที่ผู้สอนได้จัดหาไว้ ใหแ้ ก่ผเู้ รียน 7. การสอนบนเว็บยังเป็นการเปิดโอกาสสำหรับผู้เรียนในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ท้ังในและนอกสถาบัน จากในประเทศและตา่ งประเทศทั่วโลก โดยผ้เู รียนสามารถติดตอ่ สอบถาม ปญั หาและขอขอ้ มูลต่าง ๆ ท่ีต้องการศึกษาจากผู้เช่ียวชาญจริงโดยตรงซึ่งไม่สามารถทำได้ในการเรียน การสอนแบบดั้งเดิม นอกจากน้ี ยังประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเม่ือเปรียบเทียบกับการติดต่อสอื่ สาร ในลกั ษณะเดมิ ๆ 8. การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้มีโอกาสแสดงผลงานของตน สู่สายตา ผู้อน่ื อย่างงา่ ยดาย ทง้ั นี้ ไม่ไดจ้ ำกัดเฉพาะเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนหากแต่เป็นบคุ คลท่ัวไปท่ัวโลกได้ ดังน้ัน จงึ ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจภายนอกในการเรียนอยา่ งหน่ึงสำหรับผู้เรียน ผเู้ รียนจะพยายามผลิตผลงาน ท่ีดีเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงตนเองนอกจากน้ีผู้เรียนยังมีโอกาสได้เห็นผลงานของผู้อ่ืนเพื่อนำมาพัฒนางาน ของตนเองใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้ 9. การสอนบนเว็บเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเน้ือหาหลักสูตร ให้ทันสมัยได้ อย่าง สะดวกสบายเน่ืองจากข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร ( Dynamic ) ดังน้ันผู้สอนสามารถ อัพเดตเนื้อหาหลักสูตรท่ีทันสมัยแก่ผู้เรียนได้ตลอดเวลา นอกจากนี้การให้ผู้เรียนได้ส่ือสารและแสดง ความคิดเห็นท่ีเกี่ยวข้องกับเน้ือหา ทำให้เน้ือหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าการเรียนการสอน แบบเดิมและเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ การสอนบนเว็บสามารถนำเสนอ เนอื้ หาในรูปของมลั ตมิ เี ดยี ไดแ้ ก่ ข้อความ ภาพนง่ิ เสียง ภาพเคล่ือนไหว วีดีทัศน์ ภาพ 3 มิติ โดยผ้สู อน และผู้เรยี นสามารถเลอื กรปู แบบของการนำเสนอเพือ่ ใหเ้ กิดประสิทธภิ าพสูงสุดทางการเรยี น

23 ปรัชญนันท์ นิลสุข ( 2543 ) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะสำคัญ ของเว็บซ่ึงเอ้ือประโยชน์ต่อ การจดั การเรียนการสอน มีอยู่ 8 ประการ ได้แก่ 1. การที่เว็บเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ( Interactive ) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและ ผูเ้ รียนกับผเู้ รยี นหรอื ผเู้ รยี นกับเนื้อหาบทเรียน 2. การทีเ่ ว็บสามารถนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบของสอ่ื ประสม ( Multimedia ) 3. การที่เว็บเป็นระบบเปิด ( Open System ) ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้มีอิสระในการเข้าถึงข้อมูล ได้ทัว่ โลก 4. การที่เว็บอุดมไปด้วยทรัพยากร เพือ่ การสบื คน้ ออนไลน์ ( Online Search/Resource ) 5. ความไม่มีข้อจำกัดทางสถานที่และเวลาของการสอนบนเว็บ ( Device, Distance and Time Independent ) ผู้เรียนที่มีคอมพวิ เตอร์ในระบบใดก็ได้ ซึง่ ต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตจะสามารถ เขา้ เรยี นจากทใี่ ดก็ได้ในเวลาใดกไ็ ด้ 6. การท่ีเวบ็ อนุญาตให้ผเู้ รียนเป็นผคู้ วบคมุ (Learner Controlled) ผ้เู รยี นสามารถเรียนตาม ความพรอ้ ม ความถนดั และความสนใจของตน 8. การที่เว็บมีความสมบูรณ์ ในตนเอง (Self- contained) ทำให้เราสามารถจัด กระบวนการ เรียนการสอนทั้งหมดผ่านเว็บได้ การที่เว็บอนุญาตให้มีการติดต่อส่ือสารท้ังแบบเวลาเดียว (Synchronous Communication) เช่น Chat และต่างเวลากัน (Asynchronous Communication) เชน่ Web Board เป็นตน้ สรปุ ได้ว่า การเรยี นการสอน E - Learning มีประโยชน์มากมายหลายประการ ท้งั นขี้ ึ้นอยู่กับ จดุ ประสงค์ของการนำไปใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน ซง่ึ พอสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. ความรวดเร็วและผลกระทบท่ีมีต่อการพัฒนาตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการ เรียนรู้ เพราะ E - Learning ใหบ้ รกิ ารผา่ นส่ือทใ่ี ช้เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ เป็นหลกั จึงมขี อ้ ไดเ้ ปรยี บ ท่ีสามารถนำผู้เรียนเข้าสู่บทเรียนได้อย่างรวดเร็วโดยผู้เรียน ไม่ต้องเสียเวลาในการรอเพื่อเข้าสู่บทเรียน นนั้ ๆ เลยนอกจากน้ัน ผูเ้ รยี นสามารถเลือกที่จะเข้าเรียนในบทเรียนใดก่อนหรือหลังไดด้ ้วยตวั เองโดยท่ี ไมต่ อ้ งเรยี นตามลำดบั ของบทเรียนในรายวชิ าน้นั ซ่งึ นับเปน็ จดุ เด่นของการเรยี นแบบ E - Learning 2. ความทันสมัยอยู่เสมอของหลักสูตรการอบรม การท่ีผู้เรียนสามารถเลือกบทเรียนและ จัดลำดับของการเรียนด้วยตนเอง ในบริการแบบ E - Learning ทำให้สามารถ สนองตอบ พฤติกรรมการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดี เพราะผู้เรียนบางคนมีพฤติกรรมที่จะเลือกเรียน

24 ในหัวข้อหรือ บทเรียนที่ตนคดิ วา่ มีประโยชน์หรือสามารถตอบปัญหาทต่ี นสงสัย ในขณะนั้นก่อนแลว้ จึง เรียนบทเรียนอื่น ๆ ภายหลัง นอกจากนั้น การท่ีผู้เรียนสามารถเลือกสถานท่ี เวลา และ ช่วงเวลาท่ีผู้เรียนรู้สึกว่าสะดวกสบาย หรือเหมาะสมต่อการเรียนรู้ของตนมากท่ีสุด การเรียน ย่อมเกิดจากความเต็มใจและมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ทำให้เกิดสัมฤทธิผลของการเรียนรู้และการ ที่ผู้พัฒนาระบบ E - Learning มีการปรับปรุงข้อมูลในบทเรียนของตนให้ทันสมัยอยู่เสมอจะส่งผลให้ ผ้เู รียนไดร้ บั ความรทู้ ี่เหมาะสมกับสถานการณ์ปจั จุบนั 3. เป็นการศึกษาที่เสียต้นทุนต่ำ ท้ังนี้เพราะผู้เรียนสามารถ เรียนจากแหล่งท่ีมีการ เชื่อมโยงเครือข่ายท่ีใกล้กับที่พักอาศัยหรือ แหล่งท่ีผู้เรียนสะดวกที่สุด และส่วนใหญ่ผู้เรียนเสียค่า สมัครคร้ังเดียว แต่สามารถเรียนบทเรียนน้ัน ๆ ได้หลายครั้งไม่มีการจำกัดจำนวนคร้ังท่ีเรียน การสอบ เพื่อวัดผลก็สามารถทำได้ จากสถานท่ีเดียวกับท่ีเรียน ดังน้ัน เมื่อมองในแง่ของการเปรียบเทียบ ต้นทุนแห่งค่าเสียโอกาส (Opportunity cost) แล้ว E - Learning มีต้นทุนต่อหน่วยสำหรับผู้เรียนต่ำ กว่าการเรียนโดยปกติเพราะไม่มีค่าเดินทาง ค่าท่ีพัก (ในกรณีท่ีผู้เรียนอยไู่ กลสถานศึกษา) และสามารถ เรียนในขณะท่ีกำลังทำงานอยู่ในท่ีทำงานด้วยในช่วงท่ีมีเวลาว่าง หรือนายจ้างอนุญาต โดยไม่ต้องทิ้ง งานเพื่อเดนิ ทางไปเรยี นในส่วนของผพู้ ฒั นาบทเรยี นเองก็เสียตน้ ทนุ ต่ำเพราะเสยี ต้นทุนในการพัฒนาครั้ง เดียวก็สามารถนำไปใช้งานได้หลายต่อหลายครั้ง โดยจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นคร้ังคราว เฉพาะเพื่อการ บำรุงรักษาข้อมูล อุปกรณ์ท่ีให้บริการและค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงข้อมูลเท่าน้ัน ซ่ึงจะต่ำกว่าท่ีจะต้อง พัฒนาบทเรียนใหม่ทุกคร้ังที่จะให้บริการอย่างเห็นได้ชัด ดังน้ันผู้ให้บริการสามารถคิดค่าบริการในการ เรยี นในราคาไม่แพงนกั เพื่อแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอน่ื 6.ขอ้ พงึ ระวังในการจัดการเรยี นการสอนแบบ E – Learning การไม่ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงความหมาย วิธีการ รวมไปถึงรูปแบบ ระดับการใช้งานและ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ E-learning และนำไปใช้ ( Implement ) ตามกระแสความนิยม ก็อาจจะ ส่งผลในทางลบต่างๆ แทนที่ข้อไดเ้ ปรยี บท้งั หมด เชน่ 6.1 ผู้สอนท่ีนำ E-learning ไปใช้ในลักษณะของสื่อเสรมิ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน เลย กล่าวคือ ผู้สอนก็ยังคงใช้แต่วิธีการบรรยายในทุกเนื้อหาและส่ังให้ผู้เรียนไปทบทวนจาก E - Learning หาก E - Learningไม่ได้ออกแบบให้จูงใจผู้เรียนแล้ว ผู้เรียนก็คงใช้อยู่พักเดียวก็เลิกไปเพราะ ไมม่ ีแรงจูงใจใด ๆ ในการไปใช้ E - Learning กจ็ ะกลายเปน็ การลงทุนที่ไม่คุ้มค่าแตอ่ ยา่ งใด 6.2 การลงทุนในด้านของ E – Learning จะต้องครอบคลุมถึงการจัดการให้ผู้สอนและผู้เรียน สามารถเข้าถึงเน้ือหาหรือการติดต่อสื่อสารออนไลน์ ได้โดยสะดวก สำหรับ E - Learning แล้ว ผู้สอน

25 และผู้เรียนท่ีใช้รูปแบบการเรียนในลักษณะน้ีจะต้องมีส่ิงอำนวยความสะดวก (Facilities) ต่าง ๆ ใน การเรียนที่พร้อมเพรียงและมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อส่ือสารกับผู้อ่ืนได้ และสามารถเรียกดูเนื้อหาโดยเฉพาะอย่างย่ิงในลักษณะมัลติมีเดีย ได้อย่างครบถ้วนด้วยความเร็ว พอสมควรเพราะหากปราศจากข้อได้เปรียบในการติดต่อส่ือสารและการเข้าถึงแหล่งเน้ือหาได้สะดวก รวมทั้งข้อได้เปรียบส่ืออ่ืนๆ ในด้านลักษณะของการนำเสนอเน้ือหา เช่น มัลติมีเดีย แล้วน้ัน ผู้เรียนและ ผู้สอนก็อาจไม่เห็นความจำเป็นใด ๆ ท่ีจะต้องใช้ E - Learning การออกแบบ E - Learning ที่ไม่ เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนระดับอุดมศึกษาในบ้านเรา ซ่ึงส่วนใหญ่อยู่ในวัยรุ่น E - Learning จะต้องได้รับการออกแบบตามหลักจิตวทิ ยาการศึกษา กล่าวคือ จะต้องเน้นการออกแบบ ให้มีกิจกรรมการโต้ตอบอยู่ตลอดเวลา ไม่วา่ จะเป็นกับเนื้อหาเอง กบั ผู้เรียนอ่ืน ๆ หรอื กับผู้สอนก็ ตาม นอกจากน้ันแล้ว การออกแบบ การนำเสนอเนื้อหาทางคอมพิวเตอร์ นอกจากจะต้องเน้นให้ เนื้อหามีความถูกต้องและชัดเจน ยังคงต้องเน้นให้มีความน่าสนใจ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ได้ ตัวอย่างเช่นการออกแบบการนำเสนอโดยใช้มัลติมีเดีย รวมท้ัง การนำเสนอเน้ือหาในลักษณะ non- linear ซ่ึงผู้เรียนสามารถเลือกทีจ่ ะเรยี นเนอ้ื หาใด กอ่ นหรอื หลังไดต้ ามความตอ้ งการ จาก NECTEC'S WEB BASE LEARNING ได้กล่าวถึงข้อเสีย ของการเรียนการสอนแบบ E - Learning ว่าการจัดการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ ควรคำนึงถึงประเดน็ ตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ 6.2.1 ความพรอ้ มของอปุ กรณแ์ ละระบบเครือข่าย เนื่องด้วยการเรียนการสอนผ่านเว็บ เป็นการปรับเนื้อหาเดิมสู่รูปแบบใหม่ จำเป็นต้องมี เคร่ืองมือ อุปกรณ์ และระบบเครือข่ายที่พร้อมและสมบูรณ์ เพื่อให้ได้บทเรียนดิจิตอลท่ีมีคุณภาพ และ ทันตอ่ ความต้องการเรยี น ผเู้ รยี นสามารถเลือกเวลาเรยี นได้ทกุ ชว่ งเวลาตามที่ตอ้ งการ ซึ่งในประเทศไทย พบวา่ มีปญั หาในดา้ นนม้ี าก โดยเฉพาะในเขตนอกเมอื งใหญ่ 6.2.2 ทกั ษะการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนและผู้สอน ต้องมีความรู้และทักษะท้ังด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่าย อินเทอร์เน็ตพอสมควร โดยเฉพาะผู้สอนจำเป็นต้องมีทักษะอ่ืน ๆ ประกอบเพ่ือสร้างเว็บไซต์การ สอนทน่ี า่ สนใจใหก้ ับผู้เรียน 6.2.3 ความพร้อมของผู้เรยี น ผูเ้ รยี นจะต้องมีความพร้อมท้ังทางจิตใจ และความรู้ คือ จะต้องยอมรับในเทคโนโลยี รูปแบบน้ี ยอมรับการเรียนด้วยตนเอง มีความกระตือรือร้น ต่ืนตัว ใฝ่รู้ มีความรับผิดชอบ กล้าแสดง ความคิดเหน็ และศกึ ษาความรูใ้ หม่ๆ

26 6.2.4 ความพร้อมของผสู้ อน ผสู้ อนจะต้องเปล่ียนบทบาทจากผู้แนะนำมาเป็นผู้อำนวยความสะดวก ยึดผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้ กระตุ้นการทำกิจกรรม เตรียม เน้ือหาและแหล่งค้นคว้าท่ีมีคุณภาพรวมทั้งความพร้อมด้านการใช้คอมพิวเตอร์ การผลิตบทเรียน ออนไลน์ และการเผยแพรบ่ ทเรยี นผ่านเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต 6.2.5 เนื้อหา บทเรียน เนื้อหาบทเรียนจะตอ้ งเหมาะสมกับผู้เรียนให้มากกลุ่มที่สุด มีหลากหลายให้ผู้เรียนแต่ ละกลุ่มเลือกเรียนได้ด้วยตนเอง มีกิจกรรมวัตถุประสงค์ท่ีชัดเจน เลือกใช้ส่ือการสอนท่ีเหมาะสม และ เหมาะสมกบั ความพร้อมของเทคโนโลยี การลำดบั เน้ือหาไม่ซับซอ้ น ไม่ก่อให้เกดิ ความสบั สน ระบแุ หล่ง ค้นควา้ อื่น ๆ ท่ีเหมาะสม สรุปไดว้ า่ ข้อเสยี หรือขอ้ พึงระวงั ในการจดั การเรยี นการสอนแบบ E - Learning มีดังนี้ 1) ไม่สามารถรบั ร้คู วามรู้สกึ ปฏิกิริยาที่แทจ้ รงิ ของผ้เู รียนและผู้สอน 2) ไม่สามารถส่ือความรูส้ กึ อารมณใ์ นการเรียนรู้ไดอ้ ย่างแทจ้ ริง 3) ผ้เู รียน และผู้สอน จะต้องมีความพร้อมในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ท้ัง ดา้ นอุปกรณ์ ทกั ษะการใช้งาน 4) ผเู้ รยี นบางคน ไม่สามารถศกึ ษาด้วยตนเองได้ 7. เอกสารท่เี กี่ยวข้องกับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 7.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ปราณี กองจินดา (2549) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ผลสำเร็จท่ีได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ ทางด้านพุทธพิ ิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นไว้ตามลกั ษณะของ วตั ถปุ ระสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกตา่ งกัน ประภัสสร วงษ์ศรี (2554) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและ ความสามารถของบุคคล เกิดจากการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ การเรียนรู้ท่ีเกิดจากการอบรม หรือจากการสอน การวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นการตรวจสอบระดับ ความสามารถของบคุ คลวา่ เรียนแลว้ มคี วามรู้เท่าใด จากความหมายของผลลัพธ์ทางการเรียนท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนท่ีได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรยี นการสอน

27 หรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติ กรรมและประสบการณ์ เรียนรทู้ างดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั จติ พสิ ัย และทักษะพสิ ยั ซ่งึ สามารถวัดไดโ้ ดยการใชแ้ บบทดสอบ 7.2 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน แบบทดสอบนั้นความจริงมีการแบ่งแตกต่างกันมากมาย ขึ้นอยู่ว่าจะใช้เกณฑ์อะไรในการแบ่ง ประเภท ส่วนแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการแบ่งตามจุดมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ เปน็ เกณฑ์ โดยมผี ้กู ลา่ วถงึ ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนไว้ ดังนี้ พรเพญ็ ฤทธิลัน (2554) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น หมายถึง ชุดของคำถาม) ท่มี ุ่ง วดั ความรูค้ วามสามารถ ทักษะ และสมรรถภาพทางสมองดา้ นต่าง ๆ ของผู้เรียน ใช้เป็นเคร่ืองมอื ในการ ตรวจสอบระดับความรู้ความเข้าใจของกลุ่มเป้าหมาย อาจเป็นความรู้ท่ีมีอยู่แต่เดิม ความรู้ที่ได้จาก ประสบการณ์ ความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรม หรอื เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากการเรยี นรู้ ซึ่งแบบทดสอบที่ใช้ วัดความรคู้ วามเข้าใจทเ่ี กิดจากการเรียนรนู้ ้เี รยี กว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น บุญชม ศรีสะอาด (2532) อ้างถึงใน ปัทมา จารุรัตนวิบูลย์ (2552) ได้ให้ความหมายแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์วา่ หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรคู้ วามสามารถของบุคคล ในด้านวิชาการซงึ่ เป็นผลจากการ เรียนรู้ในเน้ือหาสาระและตามจุดประสงค์ของวิชาและเนื้อหาท่ีสอนน้ัน แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ของนักเรยี นท่ีเรียนไปแล้วจริง ซ่ึงมักจะเป็นคำถามให้นักเรียนตอบ ด้วยกระดาษและดินสอ กับให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจรวมไปถึงการวัดการ เปลีย่ นแปลงทางพฤตกิ รรมของนกั รเยนภายหลังจากการท่ีได้รบั การเรียนการสอน จากความหมายท่ีกล่าวมาท้ังหมดสรุปความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ความสามารถและทักษะของ ผู้เรียนว่ามีมากน้อยเพยี งใดหลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนข้ึนอยู่กับลักษณะของแบบทดสอบ ผลสัมฤทธ์ทิ ่ีดีดังน้ี 8. วิจยั ทีเ่ กีย่ วข้อง สิทธิชัย พลายแดง (2557) บทเรียนออนไลน์ เร่ือง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้ เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพ่ิมเติม) ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 4)มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) บทเรียนออนไลน์ เร่ือง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้เทคนิค

28 Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิม่ เติม) ระดับช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ให้ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังการเรียน ด้วยบทเรียนออนไลน์ เรื่อง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพ่ิมเติม) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ3) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนบทเรียนออนไลน์ เร่ือง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพ่ิมเติม) ระดับช้ัน มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4ประชากรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา เป็นนักเรียนระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบา้ นแหลม วทิ ยา อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ปีการศึกษา 2558 จำนวน 2 ห้องเรียน รวมทง้ั สิ้น 46 คนกลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านแหลมวิทยา อำเภอบ้าน แหลม จังหวัดเพชรบุรี ปีการศึกษา 2558 ได้มาโดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 1 ห้องเรียน จำนวน 24 คนเคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาประกอบด้วย1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การสร้างเวบ็ ไซตด์ ้วยภาษา HTML โดยใช้เทคนคิ Problem Based Learning : PBL วิชาง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 8 เร่ือง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนแบบเลือกตอบชนิด 4 ตวั เลือก จำนวน 40 ข้อ 4) แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียนสถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่าง โดยใช้ค่า ท(ี t – testแบบ dependent) ผลการศกึ ษาพบว่า 1.บทเรียนออนไลน์ เร่ือง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีผู้ศึกษาพัฒนาข้ึน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 92.33/85.54 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนด คือ 80/80 แสดงว่าบทเรียนออนไลน์ เร่ือง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชา ง 31201 คอมพิวเตอร์ (เพม่ิ เติม) ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 มปี ระสทิ ธภิ าพเป็นไปตามเกณฑ์ทกี่ ำหนดไว้ 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้ เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปที ่ี 4 โรงเรียนบ้านแหลมวทิ ยา ท่ีเรยี นโดยใชบ้ ทเรียนออนไลน์ ก่อนเรยี นและหลงั เรียน มคี วามแตกตา่ ง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และคะแนนหลังเรียนมีค่าสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน แสดงว่า บทเรียนออนไลน์ เรอ่ื ง การสร้างเว็บไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใชเ้ ทคนคิ Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธิผล ซึ่งช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนร้ไู ด้จรงิ

29 3.ความพึงพอใจของนักเรียน หลังใช้บทเรียนออนไลน์ เรื่อง การสรา้ งเวบ็ ไซต์ด้วยภาษา HTML โดยใช้เทคนิค Problem Based Learning : PBL วิชา ง31201 คอมพิวเตอร์ (เพิ่มเติม) ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยภาพรวม นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( = 4.53) ซ่ึงประเด็นท่ี นักเรียนมีความพึงพอใจมากเป็นลำดับแรก คือ ด้านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ( = 4.87) รองลงมา มี 3 ประเด็นท่ีเท่ากัน ได้แก่ 1) นักเรียนชอบเรียนด้วยวิธีสอนโดยใช้บทเรียนออนไลน์นี้ 2) นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมการเรียนการสอน และ 3) นักเรียนตอ้ งการเรียนดว้ ยวธิ ีสอนน้ีอกี ใน โอกาสตอ่ ๆ ไป ( = 4.83) ชนิดาพร พลนามอินทร์ (2558) การพัฒนาบทเรียนบทเรียนออนไลน์ เรื่อง เซลล์และ กระบวนการดำรงชีวิตของพืช มีวัตถุประสงค์ เพ่ือ 1) พัฒนาบทเรียนบทเรียนออนไลน์ เร่อื ง เซลล์และ กระบวนการดำรงชีวิตของพืช ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) หาค่าดัชนีประสิทธิผลของ บทเรียนออนไลน์ เรอื่ ง เซลลแ์ ละกระบวนการดำรงชีวิตของพชื 3) เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ก่อนและหลังการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ และ4) ศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เร่ืองเซลล์และกระบวนการ ดำรงชีวติ ของพืช โดยกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนเมืองพลพิทยาคม อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น สังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดขอนแก่น จำนวน 35 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) บทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์และกระบวนการดำรงชีวิตของ พืช 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยออนไลน์ เร่ือง เซลล์และกระบวนการ ดำรงชีวิตของพชื 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อ การเรียนรู้โดยใช้บทเรยี นออนไลน์ เรอ่ื ง เซลล์และกระบวนการดำรงชีวิตของพืช เวลาท่ใี ชใ้ นการทดลอง จำนวน 20 ช่ัวโมง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที (t-test dependent)ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพบทเรียนออนไลน์ เร่ือง เซลล์และกระบวนการดำรงชีวิตของพืช สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.88/82.08 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกำหนดไว้ คือ 80/80 2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนออนไลน์ เรื่อง เซลล์และกระบวนการดำรงชีวิตของพืช สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.6512 แสดงว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียน เพิ่มขึน้ รอ้ ยละ 65.12 3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05

30 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เรื่อง เซลล์และ กระบวนการดำรงชีวติ ของพืช พบว่าโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไป หาน้อยดังนี้ 1) ด้านการออกแบบการสอน 2) ด้านการเก็บบันทึกข้อมูลและการจัดการ 3) ด้านเน้ือหา บทเรียน และ 4) ด้านคำแนะนำในการใช้บทเรียน และเม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า มีความพึงพอใจ ในระดบั มากทีส่ ุด 3 ข้อ คือบทเรยี นช่วยแกป้ ญั หาการเรียนไมท่ ันเพอ่ื นได้มากท่ีสุด รองลงมา คือ ชว่ ยให้ นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ มากขึ้น และการใช้ภาพกราฟิกในบทเรียนมีความเหมาะสมตามลำดับ และมีความพงึ พอใจในระดับมาก 17 ขอ้ นิกร ประวันตา (2558) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต รายวิชา เทคโนโลยี สารสนเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรบั นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ (1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่อง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และ อินเตอร์เน็ต รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธผิ ล ของบทเรียนออนไลน์ เรือ่ ง ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรแ์ ละอนิ เตอร์เน็ต รายวชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 (3) เปรียบเทยี บ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่อง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้บทเรียนออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 4 และ (4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ทใี่ ช้บทเรียนออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนตะก่ัวป่า “เสนานุกูล” สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 14 จำนวน 30 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาประกอบด้วย (1) บทเรียนออนไลน์ เรื่อง ระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 (2) แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ เร่ือง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และ อินเตอร์เน็ต และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานดว้ ยสถิติทดสอบทีแบบไม่อิสระ (dependent- samples t-test) ผลการศกึ ษาพบว่า 1.บทเรียนออนไลน์ เรื่อง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต รายวิชา เทคโนโลยี สารสนเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 87.13/86.01 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 แสดงว่า บทเรียนออนไลน์มี ประสทิ ธภิ าพเป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐานทีก่ ำหนด

31 2.นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เร่ือง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนหลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนทุกคน โดยก่อนเรียน มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 19.53 คะแนน และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 3.03 และคะแนนเฉลี่ย หลงั เรียนมีค่าเท่ากับ 34.07 คะแนน และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.42 และเมื่อนำคะแนนจากการทดสอบมาหาค่าดัชนี ประสิทธผิ ลมีค่าเทา่ กบั 0.7100 ซงึ่ สงู กว่าเกณฑ์ทกี่ ำหนด 3.ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียนด้วยบทเรียน ออนไลน์ เร่ือง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05 4.นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ เร่ือง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ทพ่ี ัฒนาขึ้นมีความพึงพอใจโดยรวมในระดบั มาก ปรานิสา ทองอ่อน (2558) รายงานการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เรื่อง หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 สำหรับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 การพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพบทเรียน ออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 2) เพ่อื เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนรายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศ2 รหัสวชิ า ง21104 ก่อนและหลัง การใช้บทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยี สารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 สำหรับนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 3) เพื่อศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหสั วิชา ง21104 สำหรับนักเรียนระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1เคร่ืองมือที่ ใช้ในการพัฒนาคร้ังนี้ ได้แก่ บทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เรื่อง หลักการทำงานของ คอมพวิ เตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหสั วิชา ง21104 สำหรับนักเรยี นระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 จำนวน 1 หน่วยการเรียนรู้ ประกอบด้วยเน้ือหา 5 เรื่อง ได้แก่ เร่ืองหน่วยรับเข้า เร่ืองหน่วย ประมวลผลกลาง เร่ืองหน่วยความจำหลัก เร่ืองหน่วยความจำรอง และเรื่องหน่วยส่งออก แบบทดสอบ ก่อนเรียน-หลังเรียน ท้ัง 5 เร่ือง เร่ืองละ 10 ข้อ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการ เรียนรู้ท่ี 3 หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 จำนวน 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง

32 หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 สำหรับนักเรียน ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการพัฒนาคร้ังนี้ พบว่า 1) บทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง หลักการทำงานของ คอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัส วิชา ง21104 สำหรับนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างข้ึนมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.06 / 82.06 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่ต้ังไว้ 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง 21104 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 หลังการใช้บทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่า ก่อนการใช้บทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 สำหรับ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ 3) นักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีความพึงพอใจต่อบทเรียนออนไลน์ LMS ด้วย Moodle เร่ือง หลักการทำงานของ คอมพิวเตอร์ รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัสวิชา ง21104 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ2 รหัส วิชา ง21104 สำหรับนกั เรยี นระดับชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 อย่ใู นระดบั พงึ พอใจมาก

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเรื่องการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ หน่วยการเรียนรู้ รู้จัก เทคโนโลยสี ารสนเทศ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โดยขนั้ ตอนการวิจัยประกอบดว้ ย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 5.1.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียนสาธิต ละอออุทิศลำปาง จำนวน 27 คน 5.1.2 กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ี คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียน สาธติ ละอออุทศิ ลำปาง จำนวน 27 คน โดยใชว้ ธิ กี ารสมุ่ อย่างง่าย 2. แบบแผนที่ใชใ้ นการศึกษา ผู้วิจัยได้ใช้แบบแผนการทดลองแบบ one-group posttest only design (ดำรง ชำนาญรบ , 2559) ทดลอง ทดสอบหลงั X O2 X แทน การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใชบ้ ทเรยี นออนไลนผ์ า่ นเว็บไซต์ O2 แทน การทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น 3. เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการศึกษา 3.1 บทเรยี นออนไลนผ์ า่ นเวบ็ ไซต์ หนว่ ยการเรียนรู้วทิ ยาการคำนวณ 3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นแบบทดสอบที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นซ่ึงเป็นข้อ ทดสอบแบบใหน้ ักเรยี นปฏิบัติสร้างชิ้นงาน จำนวน 1ข้อ

34 4. การรวบรวมขอ้ มลู ในการวจิ ัย 4.1วธิ กี ารรวบรวมข้อมูลในการวิจยั 4.1.1 คดั เลือกนักเรียนท่ีจะทำการวิจัย ครชู ี้แจงทำความเขา้ ใจและอธิบายสิ่งท่ีกำลังจะ ดำเนินกจิ กรรมใหน้ ักเรยี นทราบ 4.1.2 ผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านสื่อการเรียนออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ ทไ่ี ดส้ รา้ งขนึ้ จำนวน 1 เรอื่ งโดยใช้เวลา 1 ช่ัวโมง 4.1.3 วัดและประเมินผลโดยแบบทดสอบทา้ ยเร่ือง ทผี่ ู้วจิ ยั สร้างข้นึ 4.1.4 บันทึกผลหลังการจัดกิจรรม โดยผู้วิจัยเขียนรายงาน และให้คะแนนผลงานของ นักเรียนท่ีทำข้ึนเพื่อหาประสิทธ์ิภาพของสื่อ โดยบันทึกข้อมูลลงในแบบประเมินผลงานของนักเรียน 4.1.5 เมื่อดำเนินกิจกรรมจนครบเสร็จสิ้น ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผล สมั ฤทธิ์ทางการเรยี น)โดยใชเ้ วลา 30 นาที 4.1.6 นำผลคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบท้ายหน่วยวิเคราะห์และแปลผล ใน รูปแบบตารางและการบรรยาย และสรปุ ผล 4.2การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยอาศัย เครื่องมือ 3 ประเภท ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ดังนี้ 4.2.1 บทเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ รายวิทยาการคำนวณ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 เรื่องใช้เก็บข้อมูลระหว่างการดำเนินกิจกรรมต้ังแต่ต้นจนจบกระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี น การสอนดว้ ยบทเรยี นออนไลนผ์ า่ นเว็บไซต์ 4.2.2 แบบทดสอบหลังเรียนแต่ละเรื่อง จะมีการทดสอบหลังเรียนเสร็จในแต่ละเรื่อง จำนวน 10 ขอ้ 4.2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะมีการทดสอบหลังจากท่ีนักเรยี นเรียน แลว้ เสรจ็ ทัง้ หมด 1 เร่อื ง จึงทำการทดสอบ จำนวน 1 ข้อ

35 5. การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใชใ้ นการวิจัย 5.2 หาค่าเฉล่ีย ( ฉัตรศิริ ปยิ ะพมิ ลสิทธ์ิ,2548 ) X = X N X = คา่ เฉลี่ยของคะแนน  X = ผลรวมของคะแนน N = จำนวน 5.3 สถติ ิ t-test (ฉัตรศริ ิ ปิยพมิ ลสิทธ์ิ ม, 2548) ดังน้ี ������̅ − µ ������ = ������ √������ t แทน คะแนน t-test ������̅ แทน คา่ เฉลย่ี คะแนนของกลุ่มตวั อย่าง µ แทน เกณฑ์ร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม 10 (คิดเป็น 8 คะแนน) s แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานคะแนนของกลุ่มตัวอยา่ ง n แทน ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook