¹เทÇคโѵนโ¡ลยÃี ÃแลÁะ
วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาอยา่ งยัง่ ยืน สำนกั งานพฒั นาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พิมพ์คร้ังท่ี 1 จำนวนพมิ พ์ 3,000 เลม่ สงวนลิขสทิ ธิ์ พ.ศ. 2556 ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี ห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไมอ่ นุญาตให้คดั ลอก ทำซ้ำ และดัดแปลง ส่วนใดส่วนหนึ่งของหนงั สือเลม่ น้ี นอกจากไดร้ ับอนญุ าตเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรจากเจา้ ของลิขสิทธเิ์ ท่าน้นั วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพ่อื การพฒั นาท่ยี ัง่ ยนื /โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแหง่ ชาติ – ปทมุ ธานี : สำนกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยแี หง่ ชาติ, 2557. 106 หน้า : ภาพประกอบ ISBN: 978-616-12-0322-1 1. วิทยาศาสตร์ – ไทย 2. เทคโนโลยี – ไทย 3. นวตั กรรม – ไทย I. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี II. สำนกั งานพฒั นาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ห่งชาติ III.ชอื่ เร่อื ง Q127.T5 509.593 จัดพมิ พโ์ ดย ฝ่ายวิจัยนโยบาย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี หง่ ชาติ กระทรวงวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 111 อุทยานวิทยาศาสตรป์ ระเทศไทย ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนงึ่ อำเภอคลองหลวง จังหวดั ปทุมธานี 12120 โทรศพั ท์ 0 2564 7000 โทรสาร 0 2564 7002-5 E-mail: [email protected] http://www.nstda.or.th
สารจากผูอ้ ำนวยการ สำนักงานพฒั นาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งชาติ แนวคิด“การพัฒนาอยา่ งย่ังยนื ” (Sustainable Development) ทม่ี กี ารบูรณาการ และพจิ ารณาองค์ประกอบต่างๆอย่างเป็นองคร์ วม(Holistic)ไดถ้ กู นำมาใชเ้ ปน็ หลักการและ แนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ท้ังในระดับประเทศและนานาชาติ โดยเป็นแนวคิดท่ีคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาคุณภาพการดำรงชีวิตเพ่ือตอบ สนองความต้องการของมนุษย์ กับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมท่ีมีอยู่อย่าง จำกัดอย่างมีสติ เพ่ือไม่ให้การตอบสนองความต้องการในปัจจุบันทำลายโอกาสของลูก หลานหรอื คนในอนาคต ทีจ่ ะไดม้ ชี วี ติ อย่ทู า่ มกลางสงิ่ แวดลอ้ มท่ีดี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะหน่วยงาน หลักด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ เล็งเห็นว่าองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม (วทน.) เปน็ ปจั จยั ขบั เคลอ่ื นสำคญั ตอ่ การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื ทง้ั ดา้ น เศรษฐกจิ สงั คม และสง่ิ แวดล้อมจงึ ไดจ้ ดั ทำเอกสารเผยแพร่ฉบบั น้ขี น้ึ เป็นส่วนหน่ึงของงาน การประชมุ วชิ าการประจำปี 2557 ของสำนกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ชาติ (NSTDA Annual Conference: NAC 2014) ภายใต้หัวข้อ ว และ ท: พลังขับเคลอ่ื นเพอ่ื การพัฒนาอย่างย่ังยืน “S&T: Driving Force for Sustainable Development” เพื่อ อภิปรายถึงบทบาทของ วทน. ต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสามเสาหลัก นั่นคือ เศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม รวมถึงนำเสนอตัวอย่างของงานวิจัย และพัฒนาเพื่อการพัฒนา อยา่ งย่ังยนื ทัง้ 3 มติ ิ ที่ดำเนินงานโดย สวทช. เอกสารเผยแพร่ฉบับนี้ แบง่ การนำเสนอขอ้ มลู ออกเป็น 5 บท โดยบทท่ี 1 นำเสนอ วิวฒั นาการของแนวคดิ “การพัฒนาอย่างยง่ั ยนื ” ท่บี อกถงึ ทมี่ าทไี่ ปของแนวคดิ ดังกลา่ วที่ได้ ถกู นำมาใชใ้ นการพิจารณาทำนโยบายและแผนการพัฒนา เศรษฐกจิ สังคม และสงิ่ แวดล้อม ของประเทศต่างๆ รวมถงึ ประเทศไทย ในขณะที่บทที่ 2-4 นำเสนอบทบาทและความสำคัญ ของ วทน. ต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมตามลำดับ รวมถึงยกตัวอย่างงานวิจัยที่พัฒนาและได้มีการนำมาใช้ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมเพ่ือตอบ สนองการพัฒนาอย่างยงั่ ยืนในสามมิติ และบทที่ 5 สรุปบทบาทของ วทน.ต่อการพฒั นาอยา่ ง ย่ังยืน และแนวทางในการสนับสนุน วทน. เพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืนอย่างเป็นระบบ ในระยะยาว
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารฉบับน้ี จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจในบทบาทของ วทน. ทีต่ อ้ งพฒั นาอย่างมีดุลยภาพ ไม่ใช่เปน็ การพัฒนา วทน. เพ่อื ด้านเศรษฐกิจ และการพัฒนา ขีดความสามารถในการแข่งขันเท่านั้น แต่ วทน. เองยังมีบทบาทไม่แพ้กันในการพัฒนา คุณภาพชีวิต สังคม และการดำรงไว้ซึ่งส่ิงแวดล้อมที่ย่ังยืนและยังรวมไปถึงการพัฒนา กำลังคน และโครงสร้างพ้นื ฐาน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความก้าวหนา้ อย่างสอดคล้องกันทัง้ ระบบ สวทช. มุ่งมั่นเสมอมาในการริเริ่ม ร่วมเป็นจุดต้ังต้น และผลักดันให้สร้างสรรค์ และใชอ้ งคค์ วามรูด้ า้ น วทน. เพ่ือการพฒั นาประเทศอยา่ งย่ังยืนต่อไป ทวีศักด์ิ กออนนั ตกลู ผอู้ ำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ มนี าคม 2557
สารบัญ บทท่ี 1 การพฒั นาอยา่ งยั่งยืน หน้า 1.1 ความเป็นมาของการพัฒนาแนวคิดการพฒั นาอย่างยั่งยืน 9 1.2 ความหมายของการพฒั นาที่ยั่งยนื 9 1.3 ความสำคัญของการพฒั นาทย่ี ่งั ยนื ตอ่ การพัฒนาของประเทศไทย 14 20 บทที่ 2 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม 25 กับการพฒั นาเศรษฐกิจอย่างย่ังยืน 2.1 การพัฒนาเศรษฐกจิ อยา่ งยง่ั ยืน 25 2.1.1 การพฒั นาอย่างมคี ณุ ภาพ: ประสิทธภิ าพการผลิตโดยรวม 27 2.1.2 การพัฒนาอย่างมคี ณุ ภาพ: ผลผลติ ทางการเกษตร 28 2.2 บทบาทวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม 29 ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอยา่ งย่ังยนื 2.2.1 วทน. เพื่อภาคอตุ สาหกรรม 29 2.2.2 วทน. เพ่ือภาคเกษตรกรรม 32 2.3 ตัวอยา่ ง วทน. ท่นี ำมาใชพ้ ัฒนาอย่างยั่งยนื ทางด้านเศรษฐกจิ 33 2.3.1 ตวั อย่าง วทน. เพอื่ ใช้ในภาคอตุ สาหกรรม 33 37 2.3.2 ตัวอยา่ ง วทน. เพ่อื ใชใ้ นภาคเกษตรกรรม 57 บทที่ 3 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม กับการพัฒนาสังคมอยา่ งยง่ั ยืน 57 59 3.1 การพัฒนาสงั คมอย่างยงั่ ยืน 3.1.1 การพัฒนาคุณภาพชวี ติ และความม่นั คงในการดำรงชีวติ : 62 ด้านสาธารณสขุ 3.1.2 การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ และความมน่ั คงในการดำรงชวี ิต: ด้านความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต
3.2 บทบาทวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ หน้า นวตั กรรมตอ่ การพฒั นาสังคมอยา่ งยั่งยนื 63 3.2.1 วทน. เพื่อการแพทยแ์ ละสาธารณสุข 64 3.2.2 วทน. เพ่อื สร้างความมนั่ คงและปลอดภยั ในชีวติ 65 3.3 ตวั อยา่ ง วทน. ทีน่ ำมาใช้พัฒนาทางด้านสงั คม 65 3.3.1 ตัวอย่าง วทน. เพอ่ื การแพทยแ์ ละสาธารณสุข 65 3.3.2 ตัวอยา่ ง วทน. เพ่อื สร้างความมน่ั คงและปลอดภัยในชีวติ 74 บทที่ 4 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม 77 กบั การพัฒนาสิ่งแวดล้อมอยา่ งยง่ั ยนื 77 4.1. การพัฒนาสงิ่ แวดล้อมอยา่ งย่ังยืน 80 4.1.1 การสงวนรกั ษา 81 4.1.2 การเปลีย่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศและภาวะโลกร้อน 83 4.2 บทบาทวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม 83 กับการพัฒนาสงิ่ แวดล้อมอย่างย่ังยนื 84 4.2.1 วทน. เพื่อการสงวนรกั ษา: การบริหารจดั การทรัพยากร 85 ธรรมชาติอย่างสมดุลระหวา่ งการอนรุ กั ษแ์ ละการพฒั นา 85 4.2.2 วทน. ท่ีเกย่ี วกบั การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศและ 92 ภาวะโลกรอ้ น 4.3 ตวั อย่าง วทน. ท่นี ำมาใชพ้ ัฒนาทางดา้ นสง่ิ แวดล้อม 99 4.3.1 ตวั อยา่ ง วทน. เพื่อการสงวนรกั ษา 4.3.2 ตวั อย่าง วทน. ท่ีเกยี่ วกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ 102 และภาวะโลกร้อน บทที่ 5 บทสรุป วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพอ่ื การพัฒนาอยา่ งยั่งยืน บรรณานุกรม
สารบัญตาราง ตารางท่ี 2-1 สรปุ ตวั ชีว้ ัดเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างย่งั ยืน หนา้ ตารางท่ี 2-2 บัญชกี ารเจริญเติบโตของอตุ สาหกรรมรวมและระดบั TFP 26 ตารางที่ 3-1 สรุปตวั ชี้วัดเพอ่ื การพฒั นาสงั คมอยา่ งยั่งยนื 27 ตารางท่ี 3-2 การมีสทิ ธิในระบบหลกั ประกันสขุ ภาพของประชาชนไทย ปี 58 ตารางที่ 3-3 2548 และ 2556 61 ตารางท่ี 4-1 อตั ราสว่ นบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากร ปี 2554 62 สรปุ ตัวช้วี ัดเพอื่ การพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างย่ังยืน 78
สารบัญรูป รูปท่ี 1-1 ววิ ฒั นาการและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกจิ และ หนา้ รูปท่ี 1-2 สงั คมแบง่ ตามยุคการพัฒนา 10 รปู ที่ 1-3 การประชุมระดับโลกของสหประชาชาตภิ ายใต้แนวคิดเร่อื ง 11 รูปที่ 1-4 การพฒั นาอย่างย่ังยืน 16 รปู ที่ 1-5 สามมติ หิ ลักของการพฒั นาอย่างย่งั ยนื 17 รปู ท่ี 1-6 การพัฒนาอย่างย่งั ยืนในมติ ิทางเศรษฐกจิ 18 รูปท่ี 1-7 การพฒั นาอย่างยงั่ ยืนในมิติทางสังคม 19 รปู ท่ี 2-1 การพัฒนาอย่างย่ังยนื ในมติ ิทางสง่ิ แวดล้อม 21 รปู ที่ 3-1 ความสำคัญของการพัฒนาอย่างยง่ั ยืน 28 รปู ที่ 3-2 สดั ส่วนโครงสรา้ งการผลิตและโครงสรา้ งการจา้ งงาน 60 รปู ที่ 5-1 ของภาคีอาเซียน 63 อายุขยั เฉลยี่ เมือ่ แรกเกดิ จำแนกตามเพศของประชากร 100 ปี 2507-2555 อตั ราการเกิดคดอี าชญากรรมและยาเสพติดต่อประชากร ปี 2551-2555 บทบาทของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม ตอ่ การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื
บทที่ 1 ความเปน็ มาและความสำคญั ของการพฒั นาอย่างยัง่ ยืน 1.1 ความเปน็ มาของการพฒั นาแนวคิดการพัฒนาอย่างย่ังยนื การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื (Sustainable Development) เปน็ เรอ่ื งของการบรหิ ารจดั การ และการกำหนดกฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่อย่างจำกัด เพ่ือให้สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์โดยที่ไม่มีการทำลายความคงอยู่ของ ระบบธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และสามารถอนุรักษ์การดำรงอยู่แบบสมดุลเช่นน้ี เพื่อประชากรรุ่นต่อๆ ไป ทั้งนี้ การพัฒนาอย่างย่ังยืนถูกริเร่ิมจากการคำนึงถึงระดับความ สามารถในการรองรับการเจริญเติบโต หรือการทนต่อการเปลี่ยนแปลง (Environment Carrying Capacity) ที่เป็นผลกระทบจากการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่มีวิวัฒนาการ มาจากยุคต่างๆ ดังตัวอย่างของการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมของมนุษย์ เหมือนกับคลื่นสามลูก คือ การปฏิวัติเกษตรกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรม และ การปฏิวตั ิเทคโนโลยสี ารสนเทศ (Toffler, 1987) ตามรายละเอยี ดดังรปู ที่ 1-1 การเปล่ียนแปลงของโลกทั้ง 3 ยุค ที่นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ประกอบกับประชากรโลกที่เพิ่มจำนวนข้ึนทุกปี ทำให้มีความต้องการและการแข่งขันในการ ผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารเพม่ิ มากขน้ึ และสง่ ผลใหม้ กี ารใชท้ รพั ยากรทม่ี อี ยู่ ในอตั ราทเ่ี พม่ิ ขน้ึ มาก นอกจากน้ี การปฏิวตั อิ ุตสาหกรรมยังถกู กลา่ วถึงวา่ ส่งผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ ม มนุษย์ สตั ว์ และพืชพรรณต่างๆ จากอุบัติการณ์มลพิษและภัยพิบัติท่ีเกิดข้ึนท่ัวโลกนั้น จึงได้นำไปสู่การ ประชุมระดับโลกของสหประชาชาติเพื่อร่วมกันถกปัญหาและแนวทางแก้ไขภายใต้ แนวคิดเร่ืองการพัฒนาอย่างย่ังยืนที่สำคัญ จำนวน 4 ครั้ง (รูปที่ 1-2) ดังน้ี (กรมควบคุม มลพษิ , 2556) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 9 และนวัตกรรม เพ่อื การพัฒนาอย่างยั่งยนื
รูปท่ี 1-1 วิวัฒนาการและการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกจิ และสงั คมแบง่ ตามยคุ การพฒั นา คลน่ื ลูกที่ 1 การปฏิวัติเกษตรกรรม (Agricultural Revolution หรือ Green Revolution) (ก่อน ค.ศ. 1650) เป็นยุคสมัยท่ีมนุษย์เปล่ียนแปลงความป่าเถื่อน ซึ่งยังชีพด้วยการเก็บผลไม้ ล่าสัตว์ ตกปลา มาเป็นความมีอารยธรรม (Civilization) คือเริ่มรู้จักการทำการเกษตร การขุด พรวนดิน เพาะปลูก นำ้ สตั ว์ป่ามาเลยี้ งเป็นอาหารและใช้งาน มีการคา้ ขายกนั ทำใหส้ ังคมมนษุ ยเ์ จรญิ ข้นึ มามาก อยา่ งไรก็ตาม การ ปฏิวัติเกษตรกรรมน้ีส่งผลให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเร่ิมถูกทำลาย เช่น การเผา ถางปา่ เพือ่ ขยายพื้นทกี่ ารเกษตร การทำไร่เลื่อนลอย คล่นื ลกู ที่ 2 การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) เกิดขึ้นราว 200-300 ปีก่อน (ค.ศ. 1650-1750) เป็นยุคสมัยท่ีมนุษย์เร่ิมรู้จักการนำพลังงานจากน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติมาใช้ และก่อให้เกิดการ เปล่ียนแปลงการผลิตวัตถุดิบและสินค้าจากการเกษตรมาเป็นการผลิตโดยใช้เคร่ืองจักรกล และกระบวนการ ผลติ ในโรงงานอตุ สาหกรรม คลื่นลกู ท่ี 3 การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Revolution) เกิดข้ึนราว ค.ศ. 1955 ถึงปัจจุบัน ท่ีมีการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีด้านเครือข่ายสื่อสารและโทรคมนาคม ซ่ึงส่ง ผลให้เกิดเสรีภาพในการแพร่กระจายข้อมูลขา่ วสารอย่างรวดเรว็ และไรข้ อบเขต ทมี่ า: Toffler, 1987 10 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพ่ือการพัฒนาอย่างยง่ั ยนื
รูปที่ 1-2 การประชมุ ระดบั โลกของสหประชาชาตภิ ายใตแ้ นวคดิ เรอ่ื ง การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื พ.ศ. 2515 การประชมุ สหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดลอ้ มของมนุษย์ (UN Conference on Human Environment, Stockholm Conference) ทกี่ รุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวเี ดน พ.ศ. 2535 การประชุมสุดยอดของโลก (Earth Summit, Rio Conference) หรือ การประชุม สหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยเร่ืองส่งิ แวดล้อม และการพัฒนา (UN Conference on Environment and Development: UNCED) ท่กี รงุ ริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล พ.ศ. 2545 การประชุมสดุ ยอดของโลกวา่ ด้วยการพฒั นาอย่างย่ังยนื (World Summit on Sustainable Development: WSSD หรอื Rio+10) ทนี่ ครโจฮนั เนสเบอรก์ สาธารณรัฐอฟั ริกาใต้ พ.ศ. 2546 การประชุมคณะกรรมมาธิการว่าด้วยการพัฒนาอย่างย่ังยืน (UN Commission on Sustainable Development: CSD) ครง้ั ที่ 11 ท่ีนครนวิ ยอร์ค สหรัฐอเมริกา ท่ีมา: กรมควบคุมมลพษิ , 2556 1) การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ (UN Conference on Human Environment, Stockholm Conference) เมือ่ พ.ศ. 2515 ที่กรงุ สตอกโฮล์ม ประเทศสวเี ดน ในการประชุมน้ี ได้กล่าวถึงปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดล้อมข้ึน โดยมีการเจรจาและเรยี กรอ้ งใหท้ กุ ประเทศตระหนกั ถงึ การใชท้ รพั ยากรอยา่ ง ฟุ่มเฟือยและเกินขีดจำกัดของโลก ซ่ึงจากผลการประชุมดังกล่าวก่อให้เกิดการจัดตั้ง หน่วยงานด้านส่ิงแวดล้อมท่ีมีบทบาทสำคัญ เช่น โครงการส่ิงแวดล้อมแห่ง ประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) มีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือ ประเมินสถานการณ์และทิศทางของส่ิงแวดล้อมทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการจัดการส่ิงแวดล้อม และการอำนวยความสะดวก ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรูเ้ พอ่ื การพัฒนาอย่างย่ังยนื วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 11 และนวัตกรรม เพือ่ การพัฒนาอย่างย่งั ยนื
2) การประชุมสดุ ยอดของโลก (Earth Summit, Rio Conference) หรอื การ ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเร่ืองสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (UN Conference on Environment and Development: UNCED) เมอ่ื พ.ศ. 2535 ทก่ี รุงรโิ อ เดอจาเนโร ประเทศบราซลิ วัตถุประสงค์ของการประชุมเพ่ือกำหนดยุทธศาสตร์ว่าด้วยส่ิงแวดล้อมและ การพัฒนา ซ่ึงนับเป็นการประชุมครั้งแรกที่ได้กำหนดแนวทางการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมท่ีจะ ต้องดำเนินการพัฒนาให้ครอบคลุม 3 เสาหลักของการพัฒนาอย่างย่ังยืน คือ เศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม ทั้งนี้ ท่ีประชุมได้มีมติให้จัดต้ังคณะกรรมาธิการว่าด้วยการพัฒนา อย่างยั่งยืน (Commission on Sustainable Development: CSD) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 53 ประเทศ รับผิดชอบเรื่องการพัฒนาอย่างย่ังยืน โดย CSD จะรายงานผลต่อสมัชชาสหประชาชาติ (UN General Assembly) โดยผ่านคณะมนตรี เศรษฐกิจและสงั คมแหง่ สหประชาชาติ (Economic and Social Council: ECOSOC) ซึง่ ท่ี ประชุมไดใ้ หก้ ารรับรองเอกสาร 3 ฉบบั และอนุสญั ญา 2 ฉบับ ไดแ้ ก่ • ปฏิญญาริโอ (Rio Declaration on Environment and Development) เปน็ หลักการเกี่ยวกับสิทธิและความรับผิดชอบของสหประชาชาติในการดำเนินงาน พัฒนาเพอื่ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน • แถลงการณเ์ ก่ยี วกับหลักการดา้ นปา่ ไม้ (Statement of Forest Principle) เป็น แนวทางสำหรบั การจดั การทรัพยากรป่าไม้อย่างยง่ั ยืน • แผนปฏบิ ัติการ 21 (Agenda 21) เพ่ือเป็นแผนแมบ่ ทของโลกในการดำเนนิ งาน เพอื่ การพัฒนาอยา่ งยัง่ ยืน ทงั้ ทางสงั คม เศรษฐกิจ และสิง่ แวดล้อม • อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC หรือ FCCC) ซ่งึ ไทยได้ให้สัตยาบนั เม่อื วันที่ 28 ธันวาคม 2537 • อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity) ซึง่ ไทยได้ใหส้ ตั ยาบันเมือ่ วันท่ี 29 มกราคม 2547 12 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพ่อื การพัฒนาอยา่ งยง่ั ยืน
3) การประชุมสุดยอดของโลกว่าด้วยการพัฒนาอย่างย่ังยืน (World Summit on Sustainable Development: WSSD) เมื่อ พ.ศ. 2545 ที่นครโจฮันเนสเบอร์ก สาธารณรฐั อฟั รกิ าใต้ ท่ีประชุม WSSD เน้นผลักดันแผนปฏิบัติการ 21 และข้อตกลงอ่ืนๆ ให้สามารถดำเนินการ ไปสู่ผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งข้ึน ซึ่งผู้นำทั่วโลกได้เห็นพ้องและ ให้การรับรองพันธกรณีทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาโจฮันเนสเบอร์ก (Johannesburg Declaration on Sustainable Development) และแผนการดำเนินงานโจฮันเนสเบอร์ก (Johannesburg Plan of Implementation: JPOI) ซึ่งแผนงาน JPOI มีกรอบการ ดำเนินงานในประเด็นต่างๆ อาทิ การขจัดความยากจน การเปล่ียนแปลงรูปแบบการผลิต และการบริโภคที่ไม่ย่ังยืน การคุ้มครองและการจัดการฐานทรัพยากรธรรมชาติสำหรับการ พัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คม การพฒั นาอยา่ งยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัฒน์ สุขภาพอนามัยและ การพฒั นาอยา่ งย่ังยนื เปน็ ต้น 4) การประชมุ คณะกรรมาธกิ ารวา่ ดว้ ยการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื (UN Commission on Sustainable Development: CSD) คร้ังท่ี 11 เมื่อ พ.ศ. 2546 ที่นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ผลการประชุมได้เน้นให้มีความร่วมมือกันในระดับโลกเพื่อให้แผนงาน JPOI ประสบผลสำเร็จ โดยมีเป้าหมายให้มีการทำงานร่วมกันอย่างจริงจังระหว่างประเทศสมาชิก หนว่ ยงานสหประชาชาติ องคก์ ารและสถาบันระหว่างประเทศ ที่ประชมุ ไดใ้ ห้การรบั รองข้อ มตกิ ารกำหนดแผนการดำเนินงานของ CSD (Multi - Year Program of Work of the CSD) ในระยะเวลา 14 ปี (2547-2560) โดยแต่ละรอบการดำเนินงาน ปีแรกจะเป็นการทบทวน การดำเนินงาน และในปีท่ี 2 จะเปน็ ปีที่พิจารณากำหนดนโยบายการดำเนนิ งาน โดยกำหนด แผนการดำเนินงานของ CSD แต่ละรอบให้มีสาระครอบคลุมกลุ่มหัวข้อหลัก (Thematic Cluster) เช่น • เร่ือง นำ้ สขุ อนามยั และการต้งั ถน่ิ ฐานมนษุ ย์ (พ.ศ. 2547 - 2548) • เรื่อง พลังงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การพัฒนาอุตสาหกรรม มลพิษ ทาง อากาศ/บรรยากาศ และการเปลย่ี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ (พ.ศ. 2549 - 2550) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 13 และนวัตกรรม เพ่อื การพัฒนาอยา่ งยง่ั ยนื
• เรือ่ งการเกษตรกรรมการพัฒนาชนบททดี่ ินการขาดแคลนน้ำและความแห้งแล้ง (พ.ศ. 2551 - 2552) • เรอ่ื ง การคมนาคม เคมี การจดั การของเสยี เหมืองแร่ และกรอบ 10 ปี สำหรับ การผลิตและการบรโิ ภคที่ยง่ั ยนื (พ.ศ. 2553 - 2554) • เรื่อง ป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ การท่องเที่ยว และภเู ขา/ทส่ี งู (พ.ศ. 2555 - 2556) • เรื่อง มหาสมุทรและทะเล ทรัพยากรทางทะเล และการจัดการเตือนภัยทาง ธรรมชาติ (พ.ศ. 2557 - 2558) • เรื่อง การประเมินโดยรวมตามการอนุวัตแผนปฏบิ ตั กิ าร 21 และ JPOI และ The Programme for Further Implementation of Agenda 21 (พ.ศ. 2559 - 2560) 1.2 ความหมายของการพัฒนาอย่างยงั่ ยืน คณะกรรมาธกิ ารโลกในเร่ืองสิ่งแวดล้อมและการพฒั นา (World Commission on Environment and Development: WCED) ไดใ้ ห้นยิ ามของการพฒั นาอย่างยง่ั ยนื ไวด้ งั น้ี (สศช., 2547) “การพัฒนาอย่างย่ังยืน คือ การพัฒนาท่ีสนองตอบต่อความต้องการของคน ในรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ทำให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตต้องประนีประนอมยอมลดทอนความ สามารถในการทจ่ี ะตอบสนองความต้องการของตนเอง” พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตโต) ไดใ้ ห้คำจำกัดความในแบบฉบับทีเ่ ข้าใจได้ง่ายขน้ึ ดังน้ี “การพัฒนาอย่างย่ังยืน มีลักษณะที่เป็นบูรณาการ (Integrated) คือทำให้เกิดเป็นองค์รวม หมายความว่า องค์ประกอบท้ังหลายท่ีเก่ียวข้องจะต้องมาประสานกันครบองค์ (Holistic) และมีลักษณะอีกอย่างหน่ึง คือ มีดุลยภาพ (Balance) หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือ การทำให้ กิจกรรมมนษุ ย์สอดคล้องกบั เกณฑข์ องธรรมชาติ” (พระธรรมปฎิ ก, 2539) 14 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพอ่ื การพฒั นาอยา่ งยัง่ ยนื
นอกจากน้ี ราชบัณฑิตยสถาน ยังได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาอย่างย่ังยืน ซ่ึงประกอบดว้ ยแนวคดิ 3 ประการ ดังนี้ ความต้องการของมนุษย์: การพัฒนาอย่างย่ังยืนคำนึงถึงแนวคิดเก่ียวกับความ ต้องการของมนุษย์ ซ่ึงอาจเป็นความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีวิต และความ ต้องการท่ีจะมคี ณุ ภาพชีวติ ที่ดีกวา่ เดมิ ขีดจำกัดของสิ่งแวดล้อม: ระบบสภาพแวดล้อมมีขีดจำกัดในการให้ทรัพยากร และมขี ีดจำกัดในการรองรบั ของเสยี ความยุติธรรมในสังคมทั้งระหว่างชนรุ่นเดียวกันกับชนรุ่นต่อๆ ไป (Intergenerational Equity) : ความยั่งยนื นั้นไมอ่ าจมัน่ คงอยไู่ ด้ หากปราศจาก นโยบาย การพัฒนาที่คำนึงถึงปัจจัยทางสังคมและทางวัฒนธรรมเข้ามาพิจารณาด้วย จึงต้องคำนึงถึง หลักการความยุตธิ รรมระหวา่ งชนรนุ่ ปัจจบุ ันกบั ชนรุ่นต่อๆ ไป นัน่ คอื คนรนุ่ ปัจจบุ นั จะตอ้ ง ไมท่ ำลายโอกาสคนรนุ่ อนาคต เพือ่ คนรุน่ อนาคตจะไดม้ ชี ีวิตอยู่ ทา่ มกลางส่งิ แวดลอ้ มทดี่ ี นอกจากน้ี นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้กล่าวไว้ใน ยุทธศาสตร์ชุมชนท้องถ่ิน ยทุ ธศาสตรช์ าตเิ พื่อการพัฒนาอยา่ งย่ังยืน ปี 2555 ว่า การพัฒนาทไี่ ม่ย่งั ยนื และวิกฤตการณ์ ต่างๆ เกิดจากการพัฒนาแบบแยกส่วน เช่น การพัฒนาแต่เศรษฐกิจ แยกส่วนจากสังคม และส่ิงแวดล้อม ทำให้สังคมและส่ิงแวดล้อมเกิดวิกฤติตามมา ก็ส่งผลกลับไปยังเศรษฐกิจ เพราะทุกอยา่ งเชือ่ มโยงกัน นน่ั คอื เศรษฐกจิ สงั คม และสิ่งแวดล้อม ต้องบูรณาการเข้ามาสู่ วตั ถปุ ระสงคเ์ ดยี วกนั นั่นคือ เพ่อื การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับคน และระหวา่ งคน กบั สง่ิ แวดลอ้ ม ในปี 2547 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้จัดทำนิยามและตัวช้ีวัดการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้อย่างเป็นรูปธรรม ในคู่มือการจัดทำตัว ช้ีวัดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย (2547) ว่า เป็นการพัฒนาท่ีมุ่งเน้นการสร้าง ความสมดลุ ใน 3 มติ ิ ไดแ้ ก่ เศรษฐกิจ สังคม และสงิ่ แวดล้อม โดยการพฒั นาทกุ ดา้ นมีความ สัมพนั ธเ์ กยี่ วเนอื่ งกัน แสดงได้ดังรูปท่ี 1-3 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 15 และนวตั กรรม เพอื่ การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยืน
รปู ท่ี 1-3 สามมติ ิหลักของการพัฒนาอยา่ งยง่ั ยนื Economy Environment Sustainable Development Social Equity ท่ีมา: สำนกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาต,ิ 2547 มิติทางเศรษฐกิจ หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่องใน ระยะยาว และเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ จะต้องเป็นไปอย่างสมดุลและเอ้ือประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีมีความ สามารถในการแข่งขนั และการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ น้ันจะตอ้ งมาจากกระบวนการผลิต ท่ีใช้เทคโนโลยีสะอาด ลดปริมาณของเสีย ไม่ทำลายสภาพแวดล้อมและไม่สร้างมลพิษท่ี จะกลายมาเป็นต้นทุนทางการผลิตระยะต่อไป รวมท้งั เป็นข้อจำกัดของการพัฒนาเศรษฐกิจ อย่างมีประสิทธิภาพอย่างย่ังยืน โดยองค์ประกอบของการพัฒนาในมิติทางเศรษฐกิจ แสดงในรูปท่ี 1-4 16 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพอ่ื การพฒั นาอย่างยง่ั ยืน
รปู ที่ 1-4 การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื ในมติ ิทางเศรษฐกิจ การพัฒนาอย่างมี มิตเิ ศรษฐกิจ การพฒั นาอยา่ งมี คณุ ภาพ เสถียรภาพ การกระจายรายได้ ท่ีมา: สำนักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาต,ิ 2547 มิติการทางสังคม หมายถึง การพัฒนาคนและสังคมให้เชื่อมโยงกับการพัฒนา เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อมได้อย่างสมดุล โดยพัฒนาคนให้มีผลิตภาพ สูงขึ้น ปรับตัวรู้เท่าทันการเปล่ียนแปลง มีจิตสำนึกและวิถีชีวิตท่ีเกื้อกูลต่อธรรมชาติ มีสิทธิ และโอกาสที่จะได้รับการจัดสรรทรัพยากรและผลประโยชน์จากการพัฒนา และคุ้มครอง อยา่ งท่วั ถงึ และเปน็ ธรรม พึ่งพาตนเองไดอ้ ยา่ งมน่ั คง มรี ะบบการจดั การทางสงั คมท่สี ร้างการ มีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย รวมทั้งมีการนำทุนทางสังคมที่มีอยู่หลากหลายมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมท่ีมีคุณภาพ มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีความสมานฉันท์ เอือ้ อาทร โดยองค์ประกอบของการพฒั นาในมิติทางสงั คม แสดงในรูปท่ี 1-5 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 17 และนวัตกรรม เพ่ือการพัฒนาอย่างยง่ั ยนื
รปู ที่ 1-5 การพัฒนาอยา่ งย่ังยืนในมติ ทิ างสงั คม การพฒั นาคณุ ภาพ ชีวติ และความม่นั คง ในการดำรงชีวติ การพฒั นาศกั ยภาพและ มิติสังคม การสร้างคา่ นยิ ม การปรับตวั บนสังคม ภูมิปัญญา และ วฒั นธรรมไทยให้เป็น ฐานความรู้ ภมู ิคุ้มกันของสงั คม การสร้างความเสมอ ภาคและการมีสว่ นร่วม ทมี่ า: สำนกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ, 2547 มติ ทิ างสง่ิ แวดลอ้ ม หมายถงึ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ในขอบเขตที่ คงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ และสามารถพลิกฟ้ืนให้กลับคืนสู่สภาพใกล้เคียงกับ สภาพเดิมให้มากที่สุด เพ่ือให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสและมีปัจจัยในการดำรงชีพ ซึ่งจะต้อง ปรับเปลี่ยนทัศนคติในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มุ่งจัดการให้เกิดสมดุลระหว่างการใช้ ทรัพยากรธรรมชาตไิ ด้อยา่ งเก้อื กูล รวมถึงการชะลอการใช้ และการนำเทคโนโลยสี ะอาดมา ใชใ้ หม้ ากทีส่ ดุ โดยองค์ประกอบของการพัฒนาในมติ ทิ างสิ่งแวดลอ้ ม แสดงในรูปที่ 1-6 18 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการพฒั นาอยา่ งยั่งยนื
รปู ที่ 1-6 การพฒั นาอย่างยงั่ ยนื ในมิตทิ างส่งิ แวดล้อม การสงวนรักษา มิติส่ิงแวดล้อม การมคี ณุ ภาพ สง่ิ แวดลอ้ มท่ดี ี การมสี ่วนร่วม และการกระจาย การใช้ทรพั ยากร ทีม่ า: สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ, 2547 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 19 และนวตั กรรม เพือ่ การพฒั นาอย่างย่ังยนื
1.3 ความสำคญั ของการพัฒนาอยา่ งยงั่ ยืนต่อการพัฒนา ของประเทศไทย จากการท่ีประเทศไทยพยายามเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ในแต่ละยุคสมัย เช่น ปัญหาความยากจน การว่างงาน โดยการเร่งการลงทุนในการผลิตสินค้าท่ีมาจากทรัพยากร ธรรมชาตทิ ่มี อี ยเู่ หลอื เฟือ โดยที่ไมไ่ ดค้ ำนงึ ถงึ การสรา้ งมูลคา่ เพมิ่ จากการผลิตสนิ คา้ เหลา่ นัน้ และการเร่งพัฒนาเพ่ือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าผ่านมา ทำให้เกิดการพัฒนาที่ไม่ได้สัดส่วน เช่น ปัญหาการอพยพแรงงานเข้ามาในเมือง ความเหล่ือมล้ำของรายได้ของประชากรในภาคส่วน ต่างๆ ปัญหาสังคมและวัฒนธรรม และปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่ยากจะฟื้นฟู จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ทำให้ประเทศไทยเริ่มคำนึงถึงแนวทางการ พัฒนาประเทศที่ยังคงสามารถสืบทอดการดำรงชีวติ อยา่ งอยดู่ ี มสี ขุ ใหแ้ กค่ นไทยในรนุ่ ตอ่ ๆ ไป (รูปที่ 1-7) จากการประชุมสุดยอดของโลก (Earth Summit, Rio Conference) หรือ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (UN Conference on Environment and Development: UNCED) เม่ือ พ.ศ. 2535 ที่กรุงริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล ประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองปฏิญญาริโอ ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและ การพัฒนา และแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) ซ่ึงเป็นแผนแม่บท เพ่ือการพัฒนา อย่างย่ังยืนของโลก ในการสนองตอบต่อแนวทางการพัฒนาอย่างย่ังยืนของไทย สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำแผนการพัฒนาอย่างย่ังยืน ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยระบุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ซึ่งมียุทธศาสตร์และวัตถุประสงค์เพ่ือนำไปสู่การพัฒนาอย่างย่ังยืนท้ังหมด 7 ขอ้ ดังน้ี 1) การพัฒนาคุณภาพคนท่ีต่อเน่ืองจากแผนที่ผ่านมา การมีคุณธรรม จริยธรรม และความรู้ สขุ ภาพท่ดี ี 2) การเน้นความสมดุลและชนบท โดยทำใหเ้ กิดความสมดลุ และเชื่อมโยงกนั 3) การบรหิ ารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ในเรอ่ื งปญั หาการแยง่ ชงิ ทรพั ยากรในภาคเศรษฐกจิ 20 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพอ่ื การพฒั นาอยา่ งย่ังยนื
รปู ท่ี 1-7 ความสำคญั ของการพัฒนาอยา่ งยง่ั ยนื ประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกจิ อย่างตอ่ เนอ่ื ง มกี ารใช้ทรพั ยากรอยา่ งฟุม่ เฟอื ย/ประชากรเพิม่ ขึ้น ทรพั ยากรร่อยหรอ คุณภาพสง่ิ แวดล้อมเสอื่ มโทรมลง ความยากจน การว่างงาน ปัญหาการอพยพแรงงานเขา้ มา ในเมือง ความเหลอ่ื มล้ำของรายได้ เศรษฐกิจ การพัฒนาอยา่ งยง่ั ยืน สงิ่ แวดลอ้ ม สังคม แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และ สงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ที่ 8, 9, 10 และ 11 คุณภาพชวี ิตของประชาชนดีขึ้น สามารถสืบทอดการดำรงชวี ิตอยา่ งอยดู่ ี มสี ุข ใหแ้ ก่คนไทยในรนุ่ ตอ่ ไป วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 21 และนวัตกรรม เพ่อื การพฒั นาอยา่ งยัง่ ยนื
4) การพัฒนาการจัดการเศรษฐกิจมหภาคโดยมีประสิทธิภาพท้ังเรื่องการเงิน การคลัง ภาษรี วมทัง้ บทบาทภาครฐั เอกชนและบริการ 5) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการปรับโครงสร้างภาคการผลิต และบริการ 6) พัฒนาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ 7) บริหารจดั การท่ดี ีทกุ ระดับทง้ั การเมอื ง ราชการ เอกชน ชมุ ชนและครอบครัว ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (ปี 2545-2549) ได้นำเอา “ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนาและบริหารประเทศ ควบคู่ไปกับ กระบวนทัศน์การพฒั นาแบบบรู ณาการเปน็ องคร์ วม ทม่ี คี นเปน็ ศนู ยก์ ลางการพฒั นาตอ่ เนอ่ื ง จากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 โดยให้ความสำคัญกับการพฒั นาท่ีสมดลุ ทง้ั ดา้ นตัวคน เศรษฐกจิ สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม เพื่อนำไปส่กู ารพฒั นาอยา่ งย่งั ยืน และความอย่ดู ีมีสุขของคนไทย ในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบบั ที่ 10 (ปี 2550-2554) ประเทศไทยยังคงตอ้ งเผชิญ กบั การเปลย่ี นแปลงทส่ี ำคญั ในหลายบรบิ ท ทง้ั ทเ่ี ปน็ โอกาสและขอ้ จำกดั ตอ่ การพฒั นาประเทศ จึงมีการเตรียมความพร้อมของคนและระบบให้มีภูมิคุ้มกัน พร้อมรับการเปล่ียนแปลงและ ผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้น โดยยังคงอัญเชิญปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวปฏิบัติ ในการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวม ทม่ี คี นเป็นศนู ย์กลางการพัฒนา ตอ่ เนอื่ งจากแผน พฒั นาฯ ฉบบั ที่ 8 และแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 9 และใหค้ วามสำคญั ตอ่ การรวมพลงั สงั คมจาก ทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมดำเนินการในทุกขั้นตอนของแผนฯ พร้อมท้ังสร้างเครือข่ายการ ขับเคล่อื นยุทธศาสตรก์ ารพฒั นา สกู่ ารปฏบิ ัติ การพฒั นาประเทศในระยะแผนพฒั นาฯ ฉบับท่ี 11 (ปี 2555-2559) เน้นเรง่ สร้าง ภูมคิ มุ้ กันในประเทศใหเ้ ข้มแข็งขึ้น เพ่ือเตรยี มความพร้อมคน สงั คม และระบบเศรษฐกจิ ของ ประเทศให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงได้อย่างเหมาะสม โดยให้ ความสำคัญกับการพฒั นาคนและสังคมไทยใหม้ คี ุณภาพ มีโอกาสเขา้ ถงึ ทรัพยากร และไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมอยา่ งเปน็ ธรรม รวมทง้ั สรา้ งโอกาสทางเศรษฐกจิ ด้วยฐานความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นฐานการผลิตและ การบรโิ ภคท่เี ปน็ มติ รกับส่งิ แวดล้อม ท้ังนี้ ในแผนได้ระบุถงึ ยทุ ธศาสตร์การจัดการทรัพยากร 22 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาอย่างยงั่ ยนื
ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่างย่ังยืน (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแหง่ ชาติ, 2547) ซ่ึงมงุ่ เน้นใหค้ วามสำคญั ใน 8 เรื่องดังน้ี 1) การอนรุ กั ษฟ์ น้ื ฟแู ละสรา้ งความมน่ั คงของฐานทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม 2) การปรับกระบวนทัศน์การพัฒนาและขับเคล่ือนประเทศเพื่อเตรียมพร้อมไปสู่ การเป็นเศรษฐกจิ และสังคมคาร์บอนตำ่ และเปน็ มติ รกบั สง่ิ แวดล้อม 3) การยกระดับขีดความสามารถในการรองรับและปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลง สภาพภูมอิ ากาศเพ่ือให้สงั คมมภี มู ิค้มุ กนั 4) การเตรยี มความพรอ้ มรองรับกับภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ 5) การสร้างภูมิคุ้มกันด้านการค้าจากเงื่อนไขด้านส่ิงแวดล้อมและวิกฤตจากการ เปล่ยี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ 6) การเพิ่มบทบาทประเทศไทยในเวทีประชาคมโลกที่เกี่ยวข้องกับกรอบความ ตกลงและพนั ธกรณดี ้านสงิ่ แวดล้อมระหวา่ งประเทศ 7) การควบคมุ และลดมลพษิ 8) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มี ประสิทธภิ าพโปร่งใสและเปน็ ธรรมอย่างบรู ณาการ ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการบูรณาการยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) เพื่อใช้เป็นกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2557 โดย สศช. มีเป้าหมายครอบคลุม 3 ประเด็นที่สำคัญ คือ หลุดพ้นจากรายได้ปานกลาง (Growth & Competitiveness) ลดความเหลื่อมล้ำ (Inclusive Growth) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Growth) ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 3 มิติ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในประเด็นของ Green Growth ที่เน้น การเติบโตท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5 ด้าน คือ การพัฒนาเมือง อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นโยบายการคลังเพ่ือสิ่งแวดล้อม การฟืน้ ฟทู รัพยากรธรรมชาตแิ ละการบรหิ ารจดั การน้ำ ตลอดจนการเปลย่ี นแปลงสภาวะภมู ิ อากาศ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 23 และนวตั กรรม เพอื่ การพฒั นาอย่างยง่ั ยืน
นอกจากน้ี ในประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมน้ัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมยังได้จัดทำนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ มีความมุ่งหมายที่จะให้มีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการส่งเสริมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดลอ้ มแหง่ ชาติให้ควบคู่ไปกับการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม อนั จะยังผลใหก้ ารพฒั นา ประเทศเป็นการพัฒนาอย่างย่ังยืนและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยได้ กำหนดแนวทางที่จำเป็นเร่งด่วนในการฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติท่ีเกิดทดแทนได้ ให้เข้า สู่สภาพสมดุลของการใช้และการเกิดทดแทน และกำหนดแนวทางการแกไ้ ข ขจัดภาวะมลพษิ ทางน้ำ มลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียงและความสั่นสะเทือน มูลฝอยและสิ่งปฏิกูล สารอันตราย และของเสียอันตราย ตลอดจนการกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและรักษา คณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ มแหง่ ชาติในอนาคต ด้วยความสำคัญของการพัฒนาอย่างย่ังยืนท้ังสามมิติ เอกสารฉบับนี้ นำเสนอ บทบาทของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม ในการขับเคลอื่ นการพฒั นาอยา่ งยั่งยืน ในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยสาระสำคัญของการพัฒนาในแต่ละมิตินั้น จะอ้างอิงจากตัวช้ีวัดการพัฒนาอย่างย่ังยืนในแต่ละมิติหลักท่ีสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, (2547)1 กำหนดไว้เพ่ือให้เกิดความชัดเจนในการ ตรวจตดิ ตาม และใชเ้ ปน็ เกณฑม์ าตรฐานในการประเมินผลการพัฒนา และการดำเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายท่ีกำหนดไว้เป็นตัวชี้วัดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย แต่จะไม่ลงประเด็นรายตัวช้ีวัดทุกๆ รายการ หากแต่จะคัดเลือกเฉพาะบางประเด็นเพ่ือ อภปิ รายถงึ บทบาทของวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม อยา่ งเปน็ รปู ธรรม 1 สามารถดตู ารางสรุปตัวชี้วดั การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยืนของประเทศไทย ในแต่ละมิติในบทที่ 2-4 24 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพอ่ื การพัฒนาอย่างยงั่ ยนื
บทท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม กบั การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างย่ังยืน 2.1 การพฒั นาเศรษฐกจิ อยา่ งย่งั ยนื การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเศรษฐกิจที่สามารถสร้าง รายได้ สร้างงาน ให้กับประชาชน โดยการพัฒนาดังกล่าวตั้งอยู่บนฐานของความรู้ ทักษะ และขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศ โดยวัตถุประสงค์หลักสำหรับมิติด้าน เศรษฐกิจตามแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนท้ังสามมิติหลักสำหรับประเทศไทย ที่ดำเนินการ โดยสำนักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ (สศช.) คอื การพฒั นา เศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพอย่างต่อเน่ืองในระยะยาว และสามารถเอ้ือประโยชน์แก่คน ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยแบ่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ การพัฒนาอย่างมีเสถียรภาพ และการกระจายความม่ังคั่ง และ มีรายละเอียดของตวั ชว้ี ัดดงั ตารางท่ี 2-1 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 25 และนวัตกรรม เพ่ือการพัฒนาอยา่ งยงั่ ยนื
ตารางที่ 2-1 สรปุ ตวั ชว้ี ัดเพื่อการพัฒนาเศรษฐกจิ อยา่ งย่งั ยนื มติ ิ เกณฑพ์ จิ ารณา 1.การพัฒนาอย่างมคี ณุ ภาพ อัตราการเปลีย่ นแปลงของคา่ TFP 1.1 ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม ขยายตวั ร้อยละ 5.0 ต่อปี 1.2 การสง่ ออกสนิ คา้ เทคโนโลยขี ้นั สงู ปริมาณการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีข้ันสงู 1.3 ผลติ ภาพทางการเกษตร การใช้แรงงานเทียบกบั การสรา้ งมลู ค่าผลผลิต ของมลู ค่าผลิตภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศ ของประเทศ (GDP) 1.4 อัตราการนำของเสียกลบั มาใช้ใหม่ อตั ราการนำขยะชมุ ชนกลบั มาใชใ้ หมไ่ มน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 30 ของปริมาณขยะท้งั หมด 2. การพัฒนาอย่างมเี สถยี รภาพ เปา้ หมายอตั ราการว่างงานต่ำกว่า รอ้ ยละ 2.0 ต่อปี 2.1 การวา่ งงาน 2.2 หน้สี าธารณะ หน้ีคงคา้ งสาธารณะตำ่ กว่า ร้อยละ 60 ของ GDP 2.3 ดุลบัญชเี ดนิ สะพดั ดุลบญั ชเี ดนิ สะพดั ต่อ GDP มีคา่ อย่ใู นช่วงรอ้ ยละ 4 ถึง –4 ของ GDP 3. การกระจายความม่งั คัง่ เปา้ หมายสมั ประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคดา้ น รายได้ (Gini Coefficient) ต่ำกว่า 0.40 3.1 การกระจายรายได้ 3.2 การแก้ไขปัญหาความยากจน ลดจำนวนคนยากจนดา้ นรายไดต้ ำ่ กวา่ รอ้ ยละ 10 ของประชากรทงั้ ประเทศ ทีม่ า: ดัดแปลงมาจากดชั นีชว้ี ัดการพฒั นาอย่างยัง่ ยืน โดยสำนักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาต,ิ 2547 เพื่อให้สามารถอภิปรายบทบาทของ วทน. ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม คณะผู้จัดทำได้เลือกประเด็นของประสิทธิภาพการผลิตโดย รวม และผลผลิตทางการเกษตร สำหรบั มติ ิคณุ ภาพ มานำเสนอในบทน้ี 26 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพ่อื การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยืน
2.1.1 การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ: ประสิทธิภาพการผลติ โดยรวม ผลติ ภาพการผลิต (Productivity) หมายถงึ ขนาดของผลผลิต (Output) ทีผ่ ลติ ได้ จากการใส่ปัจจัยการผลิต (Input) เข้าไปในกระบวนการผลิต และประสิทธิภาพ/ ผลิตภาพการผลิตโดยรวม (Total Factor Productivity: TFP) หมายถึงการเพ่ิมขึ้นของ ผลผลิต โดยมิได้มีท่ีมาจากการเพ่ิมข้ึนของปัจจัยการผลิต คือ ปัจจัยแรงงาน ที่ดิน และ ปัจจยั ทุน ซึ่งนกั เศรษฐศาสตร์จะเรียกสว่ นทเ่ี พมิ่ ข้ึนดังกล่าวว่าเป็น Residual Growth หรอื เป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอื่นๆ ซึ่งมีองค์ประกอบหลายปัจจัย เช่น การบริหารจัดการ ประสบการณ์ คุณภาพของแรงงาน ปัจจัยทางเทคโนโลยี รวมถึง การวิจัยและพฒั นา การมปี ระสทิ ธิภาพในการผลิต เปน็ ตน้ (สำนกั งานคณะกรรมการพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต,ิ 2551) การวัดประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยการผลิตโดยรวม (Total Factor Productivity: TFP) ของอุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศไทย ในปี 2555 พบว่า ระดับ TFP มคี ่า 92.33 ลดลงจาก ปี 2554 ซ่ึงระดับ TFP มีคา่ 93.72 หรอื ลดลงรอ้ ยละ 1.48 หรือคิดเป็นค่าดัชนีชี้วัดการขยายตัวผลิตภาพรวม (Total Factor Productivity Growth: TFPG) เท่ากบั -1.48 (ตารางที่ 2-2) ทัง้ น้ี เกณฑก์ ารพิจารณาการพัฒนาอยา่ งมี คุณภาพน้ัน อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่า TFP ควรมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 5.0 ต่อปี (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2547) ดังนั้น ประสิทธิภาพ การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทย ในปี 2555 จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาอย่าง มคี ุณภาพในแงข่ องการพฒั นาประสทิ ธภิ าพการผลติ โดยรวม ตารางที่ 2-2 บัญชกี ารเจรญิ เตบิ โตของอุตสาหกรรมรวมและระดบั TFP บญั ชีการเจริญเติบโต (Growth Accounting) ระดบั TFP ภาพรวมอตุ สาหกรรม เทียบกับ 100 จำนวน 2554 2555 โรงงาน ผลการขยายตัวท่มี าจาก ผลการขยายตัวท่มี าจาก 2551 2552 2553 2554 2555 มลู ค่าเพม่ิ มลู ค่าเพม่ิ ทนุ แรงงาน TFPG ทุน แรงงาน TFPG 1380 -0.02 -0.05 -0.01 0.04 0.36 1.85 -0.002 -1.48 93.61 93.54 93.68 93.72 92.33 ท่มี า: รายงานผลิตภาพและผลประกอบการอุตสาหกรรมปี 2555, สำนกั งานเศรษฐกิจอตุ สาหกรรม, 2556 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 27 และนวัตกรรม เพอ่ื การพัฒนาอย่างยงั่ ยืน
2.1.2 การพัฒนาอยา่ งมีคุณภาพ: ผลิตภาพทางการเกษตร หากเปรียบเทียบระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีโครงสร้างและการเติบโตทาง เศรษฐกจิ ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั จากประสทิ ธภิ าพการผลติ โดยพจิ ารณาวา่ แรงงาน 1 คน สรา้ งผลผลติ ในระบบเศรษฐกิจได้เท่าใด จะพบความน่าเป็นห่วงด้านประสิทธิภาพการผลิตในภาคเกษตร กรรมของทุกประเทศ กล่าวคือ ในภาคเกษตรกรรมยังคงใช้สัดส่วนแรงงานมากกว่าสัดส่วน มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เช่น กรณีประเทศไทย ใช้แรงงานมากถึง ร้อยละ 41.5 ของกำลงั แรงงานท้ังประเทศ แตส่ ร้างมลู ค่าผลผลติ เพยี งร้อยละ 12.3 ของมูลค่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพการ ผลิตสงู ทีส่ ดุ รองลงมา คือ ภาคบริการ โดยภาคอตุ สาหกรรม ใชแ้ รงงานเพียงรอ้ ยละ 15.5 ของแรงงานท้ังประเทศ แต่สามารถสร้างมูลค่าผลผลิตได้ร้อยละ 41.1 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ(GDP) และภาคบรกิ ารใชแ้ รงงานรอ้ ยละ38.9ของแรงงานทงั้ ประเทศ แต่สามารถสร้างมูลค่าผลผลิตได้ร้อยละ 46.4 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) (รปู ที่ 2-1) รูปที่ 2-1 สัดส่วนโครงสร้างการผลติ และโครงสรา้ งการจ้างงานของภาคีอาเซยี น สดั ส่วนโครงสรา้ งการผลติ 28 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการพฒั นาอย่างยั่งยืน
สดั ส่วนโครงสร้างการจา้ งงาน ท่ีมา: ธนาคารโลก, 2555 2.2 บทบาทวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม กับการพฒั นาเศรษฐกิจอยา่ งยง่ั ยนื บทบาทของ วทน. กบั การเพม่ิ ขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ของประเทศ โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่งในภาคการเกษตรและการผลิต ปรากฏชดั เจนใน Country Strategy และนโยบาย และแผนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติฉบับท่ี 1 (ปี 2555-2564) ซ่ึงได้ กำหนดมาตรการการพัฒนา วทน. ดา้ นตา่ งๆ เพ่อื ยกระดับความสามารถในการเพิม่ ประสิทธิ ภาพและผลิตภาพรายสาขา เพื่อการสร้างมูลค่าเพ่ิม สร้างคุณค่า และนวัตกรรม รายสาขา เพอื่ สง่ เสริมการวางแผนและการปรบั ตวั ตอ่ ความเปลย่ี นแปลงและการกีดกนั ทางการคา้ 2.2.1 วทน. เพ่ือภาคอุตสาหกรรม เปน็ ท่ีตระหนกั กันดีว่า ผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมหรอื การบริการ จำเปน็ ตอ้ งอาศัย ขีดความสามารถทางเทคโนโลยี (Technological Capabilities) ในการปรับตัวและสามารถ พัฒนาเทคโนโลยีให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสามารถตอบสนองความ ต้องการของตลาดหรือลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องในยุคปัจจุบัน ซ่ึงขีดความสามารถในการผลิต หรือการลดต้นทุนการผลิตจากแรงงาน ที่อาศัยเทคโนโลยีนำเข้าอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ตอ่ การรกั ษาขดี ความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว (Bell และ Pavitt, 1995) วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 29 และนวตั กรรม เพ่อื การพฒั นาอยา่ งย่ังยนื
ดังน้ัน ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซ่ึงมีขีดความสามารถทาง วทน. ในระดับสูง มกั ใชเ้ ทคโนโลยเี ขม้ ขน้ เพอ่ื เปน็ กลไกสำคญั ตอ่ การขบั เคลอ่ื นการพฒั นาระบบเศรษฐกจิ ใหเ้ จรญิ รุดหน้าอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ประเทศเหล่านี้ใช้ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีในการ เพ่ิมอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งออกของประเภทสินค้าท่ีมีมูลค่าหรือมีเทคโนโลยีใน ระดับทส่ี ูงข้ึน (High Tech Manufacturing Exports) ซง่ึ สามารถเพิม่ ขีดความสามารถทาง การแขง่ ขันและเพมิ่ อตั ราการเตบิ โตของGDPของประเทศได้ในขณะทปี่ ระเทศที่กำลงั พฒั นา เช่น บราซลิ ไทย อินเดีย มาเลเซีย เมก็ ซโิ ก และฟลิ ิปปินส์ เนน้ การใช้แรงงานเข้มขน้ ท่ียังตอ้ ง อาศัยเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่นำเข้าจากต่างประเทศมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและ อตุ สาหกรรมของประเทศเป็นหลัก ส่วนใหญผ่ ู้ประกอบการในประเทศเหลา่ นี้ ยงั อยใู่ นระดบั การรับจ้างผลิต (Original Equipment Manufacturer: OEM) โดยไม่ได้อาศัยความ ก้าวหน้าทางนวัตกรรมที่อยู่บนฐานความรู้ที่เข้มแข็งเป็นแรงขับเคล่ือนความก้าวหน้าทาง เศรษฐกิจของประเทศมากนัก (ศรีไพพรรณ และคณะ, 2542) และการเผชิญกับภาวะการ แข่งขนั ทส่ี งู ข้นึ ทัง้ ในและต่างประเทศ ในเรอ่ื งของตน้ ทุนการผลิตและคุณภาพที่ต้องพฒั นาไป อยา่ งตอ่ เน่ือง ทำให้ผปู้ ระกอบการท่ไี มไ่ ด้มีขีดความสามารถในการปรบั ตวั ไมส่ ามารถแขง่ ขัน ได้ในระยะยาว ซ่ึงการสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีน้ีจำเป็นต้องอาศัยทักษะและ ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับท่ีเพียงพอในการปรับตัวและเรียนรู้จาก เทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีท่ีมีอยู่ (Absorptive Capacity) ทส่ี ามารถพฒั นาตอ่ จากเทคโนโลยภี ายนอกทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงแบบกา้ วกระโดดอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จากส่วนต่างๆ ของโลก (Cohen และ Levinthal, 1990) นอกจากน้ี สำหรับภาคอุตสาหกรรม นัน้ เปน็ ทชี่ ัดเจนวา่ วทน. เข้ามามีบทบาทตอ่ การสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและการแข่งขันในตลาดได้โดยการสร้างมูลค่าเพ่ิม ให้แก่สนิ ค้าของผูผ้ ลิตในภาคอตุ สาหกรรม จากการเพมิ่ ขดี ความสามารถในการปรบั ปรุงและ พฒั นาเทคโนโลยตี อ่ ยอดจากเทคโนโลยที ม่ี อี ยเู่ ดมิ นน่ั คอื การพฒั นาและปรบั เปลย่ี นเทคโนโลยี และนวัตกรรมตลอดท้ังสายของกระบวนการผลิต หรือแม้กระทั่งการเพ่ิมผลผลิตได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (Productive Capacity) โดยนโยบายและแผนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ นวตั กรรมแห่งชาตฉิ บบั ที่ 1 ในยทุ ธศาสตรท์ ี่ 2 ได้ยกตัวอยา่ งการใช้ วทน. ไวใ้ นสองประเดน็ หลกั ดังนี้ 30 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพอื่ การพัฒนาอยา่ งยัง่ ยนื
• เพือ่ ยกระดบั ความสามารถในการเพม่ิ ประสิทธิภาพและผลติ ภาพ ไดแ้ ก่ การใช้ วทน. ในการบริหารจัดการทรัพยากรและปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ (Supply Chain and Cluster Management) การปรบั ปรงุ ระบบการจดั การวตั ถดุ บิ การปรับปรงุ และพฒั นากระบวนการผลติ ทม่ี อี ยู่ การสร้างเทคโนโลยกี ารผลติ หรือ อุปกรณ์การผลิตแบบใหม่ การใช้เคร่ืองจักรกลหรือระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation) การพัฒนา software ในการช่วยบริหารการจัดการตลอดสาย การผลิตและบริการ รวมถึงเทคโนโลยีการขนส่งให้ไปถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิ ภาพและราคาท่ีแข่งขันได้ ซ่ึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของ ผปู้ ระกอบการภาคอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดนัน้ เป็นอกี ทางออก หนง่ึ ทจ่ี ะสามารถสรา้ งความยง่ั ยนื ในการพฒั นาเศรษฐกจิ และเพม่ิ รายไดป้ ระชากร ไดจ้ ากค่าจา้ งแรงงานทีส่ งู ขึน้ จากการผลติ สินค้าทีม่ ีมลู คา่ เพ่ิมสูงขนึ้ • การสรา้ งมลู คา่ เพม่ิ ใหแ้ กส่ นิ คา้ และบรกิ าร ไดแ้ ก่ เทคโนโลยเี พอ่ื นำมาใชใ้ นการยก ระดับผลิตภัณฑ์และบริการใหไ้ ดค้ ุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยในระดบั สากล เช่น เทคโนโลยกี ารกำจดั สิง่ สกปรก การค้นคว้าเทคโนโลยีการแปรรูปเพือ่ เก็บรักษาอาหารได้นานขึ้น การวิจัยด้านสมบัติเชิงหน้าที่ของอาหาร (Food Functional Properties) เทคโนโลยีการออกแบบทั้งในส่วนกระบวนการผลิต และ ผลิตภัณฑ์ (Product or Process Design) เทคโนโลยสี นับสนนุ งานโลหะ งานพิมพ์ และงานพลาสติก รวมถึงการพัฒนา วทน. เพื่อการปรับตัวรองรับ เศรษฐกิจสีเขียว เช่น ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-products and Renewable Packaging) ตลอดจนการ ใช้ วทน. ในการ พัฒนาฐานข้อมูล LCA (Life Cycle Assessment) เพื่อใช้ในการประเมิน และคาดการณ์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการ ประเภทต่างๆ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 31 และนวตั กรรม เพ่อื การพัฒนาอย่างยง่ั ยนื
2.2.2 วทน. เพ่อื ภาคเกษตรกรรม เกษตรกรรมเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศ ในโลก ดังน้ันการเพ่ิมผลิตภาพทางการเกษตรจึงเป็นความท้าทายและความสำคัญในระดับ ตน้ ๆ ของหลายๆ ประเทศ (Herz, 1993) รวมถึงประเทศไทย ทม่ี รี ายไดห้ ลักจากผลผลติ ทาง การเกษตร และยังคงเป็นปัจจัยท่ีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และส่งผลต่อ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็น พน้ื ฐานสำคญั ของการปฏวิ ตั เิ ขยี ว (Green Revolution) ซง่ึ เปน็ การนำวทิ ยาศาสตรม์ าประยกุ ต์ ให้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ กับเกษตรกรรม ทงั้ นี้ วทน. มีบทบาทสำคญั ใน 2 ประเด็นหลัก คือ • การเพม่ิ คณุ ภาพและการเพม่ิ ผลผลติ ทางการเกษตร วทน.เขา้ มามบี ทบาทในการ เข้ามาช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลิตภาพการผลิตพืชผลทางการเกษตร ต้ังแต่ การพฒั นาพนั ธพ์ุ ชื ทท่ี นตอ่ สภาวะแวดลอ้ มทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปหรอื กบั โรคและแมลง ต่างๆ การลดการพ่ึงสารเคมีและหันมาพ่ึงวิธีการทางธรรมชาติในข้ันตอนต่างๆ การเกบ็ เกย่ี วทอ่ี าจจะตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งจกั รและเครอ่ื งทนุ่ แรง เพอ่ื ชว่ ยลดความเสยี หาย ระหวา่ งการเกบ็ เกย่ี ว จนไปถงึ การเกบ็ รกั ษาผลผลติ ทางการเกษตรทช่ี ว่ ยยดื ระยะ เวลาการเก็บรักษาให้นานข้ึน และทำให้สามารถควบคุมผลผลิตและคุณภาพของ พชื ได้ • การใช้พ้ืนที่เพาะปลูกได้อย่างคุ้มค่า เนื่องจากปัจจุบันเราเผชิญกับภาวะการ เส่ือมโทรมของผืนป่าและความอุดมสมบูรณ์ของดินท่ีใช้ในการเพาะปลูก รวมถึง ภาวการณม์ งุ่ สคู่ วามเปน็ เมอื ง (Urbanization) ทำใหท้ ด่ี นิ ทต่ี อ้ งใชใ้ นการเพาะปลกู ผลผลติ ทางการเกษตรเรม่ิ ลดน้อยลงเร่ือยๆ ดงั น้นั เราต้องการ วทน. มาใช้ในการ ปรบั ปรงุ ดนิ นำ้ ใตด้ นิ และฟน้ื ฟรู ะบบนเิ วศ รวมไปถงึ การมผี ลติ ภาพ (Productivity) เป็นต้น นอกเหนือไปจากนั้น การนำเทคโนโลยีด้านสารสนเทศและการส่ือสาร มาใช้ในการบริหารการจัดการยังเป็นส่ิงที่สามารถพัฒนาได้จากองค์ความรู้ทาง วิทยาศาสต์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน ดังน้ัน จากการพัฒนาส่ิงต่างๆ เหล่านี้ สามารถส่งผลให้เกิดผลดีต่อความสามารถในการเพ่ิมผลผลิตทางการเกษตรหรือ ปริมาณการผลิตและจัดหาอาหาร (Food Production) ที่สูงขึ้นได้อย่างมี ประสิทธิภาพบนพ้ืนที่เพาะปลูกทเ่ี ร่ิมจะขาดแคลนมากขน้ึ ๆ ในปัจจบุ นั 32 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการพฒั นาอย่างยง่ั ยนื
2.3 ตัวอยา่ งงานวิจยั และพัฒนาทีน่ ำมาใช้พฒั นา ทางดา้ นเศรษฐกจิ อยา่ งยง่ั ยนื สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเป็นหน่ึง หนว่ ยงานท่ีมบี ทบาทสำคญั ในการพฒั นาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยขี องประเทศ อกี ท้งั เปน็ หน่วยงานที่มีบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีมากที่สุดแห่งหน่ึงของประเทศ ซ่ึงจะเห็นได้จากการผลิตผลงานวิจัยและพัฒนาท่ีมีส่วนช่วยในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ จำนวนมาก โดยในที่น้ี จึงเป็นเพียงการยกตัวอย่างผลงานวิจัยและพัฒนาทางด้าน วทน. จำนวนหนึ่งที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างย่ังยืนของไทย ท่ีนำ วทน. มาช่วยเพ่ิม ประสิทธิภาพการผลติ การใชพ้ ลังงานทางเลือก หรือพลงั งานหมนุ เวียน หรือการนำของเสยี กลับมาใช้ใหม่ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ให้กับหน่วยงานต่างๆ ช่วยให้เกิดการกระจาย รายได้ และแก้ไขปัญหาความยากจน โดยมีตวั อย่างผลงานวิจัยเพ่อื การพัฒนาเศรษฐกิจอยา่ ง ยง่ั ยืนโดยแบง่ ตามประเภทเทคโนโลยีหลกั ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.3.1 ตัวอย่าง วทน. เพื่อใชใ้ นภาคอตุ สาหกรรม (1) การวิจยั และพฒั นาเทคโนโลยีการออกแบบและผลติ ชน้ิ ส่วนรถยนต์ พัฒนาโดย: ศูนยเ์ ทคโนโลยีโลหะและวสั ดุแหง่ ชาติ (ศว.) รว่ มกบั บริษทั ซมั มทิ อารแ์ อนด์ดี เซ็นเตอร์ จำกดั (SRDC) วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 33 และนวัตกรรม เพือ่ การพัฒนาอย่างยง่ั ยนื
ศว. ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการผลิตอุตสาหกรรมชิ้นส่วน ยานยนต์ เพื่อยกฐานะผ้ผู ลิตไทยจากผูผ้ ลติ OEM (Original Equipment Manufacturer) เป็นผู้ผลิตระดับ ODM (Original Design Manufacturer) อาทิ การพัฒนากระบวนการ ข้ึนรูปโลหะความแข็งแรงสูง การพัฒนาเทคโนโลยีในการออกแบบการรีดขึ้นรูปโละแผ่น การพัฒนาการข้ึนรูปยางติดเหล็ก การพัฒนาน้ำยาเคลือบแม่พิมพ์ยาง การพัฒนาการผลิต หุ่นยนตอ์ ตุ สาหกรรม และการพฒั นาการผลิตสารเคลือบ Catalytic Converter เป็นตน้ ทั้งนี้ ในอดีตท่ีผ่านมา ประเทศไทยต้องพ่ึงพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศในการ ดำเนินการออกแบบผลิตภัณฑ์ การทดสอบ และการผลิตมาโดยตลอด สวทช. และบริษัท ซัมมิท อาร์แอนด์ดี เซ็นเตอร์ จำกัด (SRDC) จึงร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ใหมๆ่ เพื่อพงึ่ พาตนเอง สรา้ งองคค์ วามรู้ ยกระดบั ศกั ยภาพในการผลิตชนิ้ สว่ นยานยนต์ของ คนไทยให้เกิดข้ึนในประเทศไทย สามารถแข่งขันกับกลุ่มผู้ผลิตชาวต่างชาติท่ีกำลังย้ายฐาน การผลิตเขา้ มาต้งั โรงงานในประเทศไทย เพ่ือรักษาฐานการเปน็ ผู้ผลติ ชิ้นส่วนยานยนต์อนั ดบั ต้นในอาเซียน และเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายตามแผนแม่บทยานยนต์ของประเทศซ่ึงได้กล่าว ไว้ว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์พร้อมด้วยห่วงโซ่อุปทานท่ีสร้างมูลค่าเพิ่มใน ประเทศและเป็นมิตรกบั ส่ิงแวดลอ้ ม (2) ระบบวางแผนอัตโนมัตสิ ำหรับการบรหิ ารอะไหล่กังหันกา๊ ซ พฒั นาโดย: ศนู ยเ์ ทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอรแ์ หง่ ชาติ (ศอ.) หนว่ ยงานผรู้ ับถ่ายทอด: การไฟฟ้าฝา่ ยผลติ แห่งประเทศไทย 34 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพอื่ การพัฒนาอย่างยั่งยนื
ระบบวางแผนอัตโนมัติสำหรับการบริหารอะไหล่กังหันก๊าซ เป็นระบบท่ีการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยใช้สำหรับสร้างแผนการใช้งาน แผนการซ่อม และแผนการซื้อ อะไหล่อย่างอัตโนมัติ รวมถึงการคำนวณงบประมาณท่ีต้องการใช้ในแต่ละช่วงเวลาด้วย ย่ิงไปกว่าน้ัน เม่ือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามแผน ระบบคำนวณจะทำการเลือกอะไหล่ ที่เหมาะสมท่สี ดุ เข้าใชง้ าน จากความสามารถในการคำนวณการวางแผนแทนคนได้ จึงช่วยประหยัดเวลา การทำงาน และช่วยลดข้อผิดพลาดจากการทำงานของคนเนื่องจากข้อมูลของอะไหล่ และข้อจำกัดต่างๆ มีจำนวนมาก โดยระบบสามารถทำงานแบบอัตโนมัติและก่ึงอัตโนมัติ เพียงให้ผู้ใช้งานกำหนดค่าตัวแปรต่างๆ ระบบก็จะสามารถทำงานให้แบบอัตโนมัติ เพื่อช่วย ให้ผ้ใู ช้งานสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น นอกจากนนั้ ระบบถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่น โดยผใู้ ชง้ านสามารถปรับแกไ้ ด้เอง ในบางส่วน หรือทั้งหมดของงาน รวมถึงการมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพ่ือช่วยให้สามารถ ทำงานตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสนับสนุนการจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถสบื ค้นง่าย และสามารถใช้งานเอกสารร่วมกันได้ อีกท้งั ช่วยในด้านการติดตาม งานสำหรับผู้บรหิ าร ซ่ึงสามารถเห็นภาพรวมของระบบได้ และสามารถดแู นวโนม้ จากข้อมลู เชงิ สถิติได้ (3) เคร่อื งขนั สกรูอตั โนมัติสำหรับการประกอบแผน่ วงจรฮาร์ดดสิ ก์ไดร์ฟ พัฒนาโดย: ศูนยเ์ ทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนกิ ส์ และคอมพวิ เตอร์แหง่ ชาติ (ศอ.) หน่วยงานผู้รับถา่ ยทอด: บรษิ ัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 35 และนวตั กรรม เพ่อื การพัฒนาอยา่ งยง่ั ยืน
เครอ่ื งขันสกรอู ตั โนมตั สิ ำหรบั การประกอบแผน่ วงจรฮาร์ดดิสกไ์ ดรฟ์ เป็นเทคโนโลยี การพฒั นาตวั ควบคุมการเคลอื่ นที่ โดยตวั ควบคมุ และหน้าจอแสดงการทำงานสำหรับเคร่ือง ขันสกรูอัตโนมัติจะถูกพัฒนาข้ึนเองภายในภายในห้องปฏิบัติการเพ่ือให้ต้นทุนต่ำ แต่มีความ แมน่ ยำสูง ซง่ึ มีค่าความผิดพลาดไม่เกนิ 20 ไมครอน อีกท้ังการส่งสัญญาณควบคมุ ใหก้ ับตัว ขับเคลื่อนมอเตอรจ์ ะต้องเปลย่ี นจากอนาลอกมาเปน็ แบบดจิ ิตอล (Pulse train command) ท่ีได้จากโปรไฟล์การเคลื่อนท่ีโดยตรง ซึ่งสามารถนำไปผลิตใช้งานในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ ไดร์ฟได้ และสามารถช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังน้ัน จึงเหมาะสำหรับผู้ประกอบ การขนาดเล็กในประเทศ โดยจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตชุดควบคุมและเครื่องจักร ได้เอง และสามารถซ่อมแซมอปุ กรณ์ได้เองในราคาทม่ี ตี น้ ทุนต่ำ อกี ท้งั ยังสามารถนำชุดควบ คมุ ตน้ แบบนไี้ ปใช้งานกบั เครอื่ งจกั รอ่นื ๆ ได้อกี ดว้ ย (4) ผิวเคลอื บฉนวนความรอ้ นสำหรับอตุ สาหกรรมการผลิตไฟฟ้า พัฒนาโดย: ศูนยเ์ ทคโนโลยีโลหะและวสั ดุแห่งชาติ (ศว.) หนว่ ยงานผู้รบั ถ่ายทอด: การไฟฟ้าฝา่ ยผลติ แห่งประเทศไทย (กฟผ.) กฟผ. ได้นำเขา้ ชิ้นสว่ น Swirl Plate ที่ใช้ในเครือ่ งยนต์ใบพดั กังหนั กา๊ ซทอี่ ณุ หภมู ิสงู ซงึ่ มีหน้าทเ่ี ปลย่ี นทศิ ทางการไหลของกา๊ ซรอ้ นมาจากต่างประเทศทั้งนี้ชิน้ งานนำเข้าดังกลา่ ว ถูกผลิตจากวัสดุ Ni-Superalloy จึงมีราคาสูงมาก แต่กลับพบปัญหาหลังจากการใช้งาน เพียง 4,000 ชั่วโมง คือ Swirl Plate ถูกกัดกร่อนตามบริเวณครีบด้านหน้าขณะใช้งาน ทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่าปกติ ส่งผลให้ กฟผ. ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อการนำ เข้าชน้ิ สว่ นดงั กล่าวในปรมิ าณมากกวา่ ทค่ี วรจะเปน็ 36 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการพฒั นาอย่างยง่ั ยืน
สวทช. โดย ศว. จึงได้ทำการวิเคราะห์หาสาเหตุของความเสียหายที่เกิดข้ึนและ นำเทคนิคการพ่นเคลือบด้วยเปลวความร้อนเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทำให้ชิ้นงาน Swirl Plate มอี ายกุ ารใชง้ านท่ีสงู ข้นึ โดยชน้ิ งานท่ผี ่านการพน่ เคลอื บโดย ศว. หลังจากการ ใช้งานเป็นเวลา 4,000 ชั่วโมง ไม่มีร่องรอยของการกัดกร่อนท่ีมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถใช้งานต่อไปได้ถึง 8,000 ชั่วโมง หรือสามารถเพิ่มอายุการใช้งานได้อย่างมีนัย สำคญั ดงั นนั้ ในปจั จุบันจึงมกี ารใชง้ านผวิ เคลอื บดังกล่าวบนช้นิ งานอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เปน็ ผลให้ สามารถลดการนำเข้าช้นิ สว่ นดงั กลา่ วจากตา่ งประเทศ 2.3.2 ตัวอยา่ ง วทน. เพ่ือใชใ้ นการเกษตรกรรม (1) กรรมวิธีการแยกเน้อื ยางออกจากตะกอนน้ำยางธรรมชาตทิ ่สี ามารถชว่ ยลด ปริมาณใช้สารเคมีและปริมาณการใชน้ ้ำในโรงงาน และผลงานวจิ ยั กรรมวิธี การแยกเนือ้ ยางและสารอนินทรยี ์ออกจากตะกอนน้ำยางธรรมชาติ พัฒนาโดย: ศูนย์เทคโนโลยโี ลหะและวสั ดุแห่งชาติ (ศว.) หนว่ ยงานผ้รู ับถา่ ยทอด: บริษทั วงศ์บัณฑติ จำกัด บริษทั ไทยรบั เบอร์ลาเท็คซค์ อร์ปอร์เรช่นั (ประเทศไทย) จำกดั มหาชน บรษิ ัท ถาวรอตุ สาหกรรมยางพารา (1982) จำกัด บริษัท อนิ เตอร์ รับเบอร์ ลาเท็คซ จาํ กดั บรษิ ัท ไทยอีสเทิรน์ รบั เบอร์ จำกัด และ บรษิ ัท เอ็น วาย รับเบอร์ จำกัด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 37 และนวัตกรรม เพื่อการพฒั นาอย่างย่ังยืน
อุตสาหกรรมผลิตน้ำยางข้นมีการเติมสารไดแอมโมเนียมไฮโดรเจนฟอสเฟต อ((NอกHใ4ห)2อ้HยPู่ใOน4ร)ปู ลขงอไงปกใานกนต้ำะยกาองนสดนเ้ำพยื่อางตธกรตระมกชอานตแิ แมลกะนนีเซำียไปมปไอ่ันอเหอวนี่ยง(Mใหg้ไ2ด+้น) ้ำทย่ีมาีองขย้นู่ในนซึง่้ำกยาารง ตกตะกอนแมกนีเซียมไอออนดังกล่าวทำให้มีเน้ือยางปนออกมากับกากตะกอนน้ำยางเป็น จำนวนมาก ในแต่ละวันจะมีกากตะกอนน้ำยางธรรมชาตินี้เกิดข้ึนทั้งในเครื่องป่ันเหวี่ยง ก้นบอ่ นำ้ ยางสด และนำ้ ล้างเคร่ือง ประเทศไทยมโี รงงานผลิตนำ้ ยางขน้ จำนวน 77 โรงงาน มกี ำลังการผลิตน้ำยางข้น 1,100,000 ตนั /ปี เกดิ กากตะกอนนำ้ ยางธรรมชาตมิ ากถึง 10,000 ตัน/ปี โดยในปัจจุบันโรงงานน้ำยางข้นมีวิธีการจัดการกากตะกอนน้ำยางธรรมชาติท่ีเกิดขึ้น ในโรงงานโดยการนำไปฝังกลบหรอื ถมท่ี ทำใหส้ ูญเสียเนอื้ ยางท่มี มี ลู ค่าสูงจำนวนมาก ดังนัน้ การแยกยางธรรมชาติออกจากกากตะกอนน้ำยางธรรมชาติ จะทำให้สามารถนำเศษยาง ธรรมชาติกลับมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากขึ้น และเป็นการเพ่ิมรายได้ให้กับโรงงานผลิต นำ้ ยางข้น สวทช. โดยห้องปฏบิ ัตกิ ารยาง ศว. จงึ ได้พฒั นาเทคโนโลยีการแยกเนอื้ ยางออกจาก กากตะกอนน้ำยางธรรมชาติข้ึน ซ่ึงสามารถนำเน้ือยางกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้เนื้อยางที่มีคุณภาพดี และได้สารอนินทรีย์ที่มีความบริสุทธิ์สูงเหมาะกับการนำไปใช้เป็น ปยุ๋ จากการทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยีดังกล่าวกับโรงงานผลิตน้ำยางข้น 6 แห่ง พบว่า ต้นทุนการแยกเนอ้ื ยางมีค่า 4.50 บาท/กิโลกรมั ยางแหง้ และตน้ ทุนการแยกสาร อนินทรยี ์มคี ่า 14 บาท/กิโลกรัมสารอนนิ ทรีย์ ยางทแ่ี ยกไดส้ รา้ งรายได้ใหก้ ับโรงงานเพม่ิ ขนึ้ อย่างมาก และช่วยลดภาระในการกำจัดข้ีแป้ง ซึ่งเป็นปัญหาอย่างมากของโรงงานผลิต นำ้ ยางขน้ สว่ นสารอนนิ ทรยี ท์ แ่ี ยกออกมาไดส้ ามารถนำไปใชป้ ระโยชนส์ รา้ งมลู คา่ เพม่ิ ไดเ้ ชน่ กนั 38 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพอ่ื การพฒั นาอย่างยั่งยืน
(2) เม็ดพลาสติกเขม้ ขน้ (Masterbatch หรอื Compound) และกระบวนการ ขึ้นรูปเพอ่ื การผลติ และจำหน่ายบรรจภุ ัณฑพ์ ลาสติกชนิด Active ท่ีมี คณุ สมบัตใิ นการยืดอายุผกั สดและผลไม้สดเพอ่ื การขยายผลในเชงิ พาณิชย์ พฒั นาโดย: ศนู ยเ์ ทคโนโลยีโลหะและวัสดแุ ห่งชาติ (ศว.) หนว่ ยงานผูร้ ับถ่ายทอด: บรษิ ัท นารายณ์แพค จำกัด สวทช. โดย ศว. ไดท้ ำการพฒั นาวธิ กี ารเตรยี มเมด็ พลาสตกิ เขม้ ขน้ หรอื มาสเตอรแ์ บช (Masterbatch) โดยใช้เคร่ืองอัดรีดสกรูคู่ และการออกแบบสกรูด้วยหลักการเชิงวิศวกรรม เพือ่ ออกแบบสกรทู ่ีเหมาะสมในการเตรยี มเมด็ พลาสตกิ นอกจากนี้ ทมี วิจยั ยงั มีการทดสอบ สมบัติของเม็ดพลาสติกเข้มข้นท่ีเตรียมได้ตามมาตรฐาน FDA เป็นเม็ดพลาสติกท่ีใช้ในการ เตรียมบรรจภุ ณั ฑ์ผลิตผลสด มีการให้คำแนะนา ใหค้ ำปรึกษา และช่วยวิเคราะห์แกไ้ ขปญั หา ทเี่ กดิ ขน้ึ ในระหวา่ งกระบวนการการนำเมด็ พลาสตกิ เข้มข้นไปใชง้ าน และการสนับสนนุ ฟิลม์ ตวั อยา่ งใหแ้ กเ่ ครอื ขา่ ยนกั วจิ ยั เทคโนโลยหี ลงั การเกบ็ เกย่ี ว ผใู้ ชง้ านเพอ่ื การสง่ ออกผลติ ผลสด และผู้ใชง้ านบรรจผุ ลิตผลสดภายในประเทศ ฟิลม์ บรรจภุ ัณฑเ์ พอื่ ยดื อายผุ ลิตผลสด ท้ังนี้ จากการประเมินผลจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีฟิล์มบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุ ผลิตผลสดท่ีผ่านมา พบว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการท่ีใช้ฟิล์มฯ มากกว่า 100 ราย พบว่า ผลงานช้นิ นสี้ รา้ งรายได้ส่บู ริษัทผรู้ บั สทิ ธิฯ มากกว่า 8 ล้านบาท เกดิ รายได้สู่ สวทช. มากกว่า 4 ล้านบาทและส่งผลต่อการลดการนำเข้าฟิล์มพลาสติกยืดอายุผลิตผลสดราคาแพง ไดม้ ากกว่า 22 ล้านบาท วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 39 และนวัตกรรม เพ่อื การพฒั นาอย่างยั่งยืน
(3) เทคโนโลยชี ดุ ตรวจไวรัส IHHNV ในกงุ้ โดยใชเ้ ทคนิค LAMP ร่วมกับการแปรผลดว้ ยเทคนิค LFD โดยใช้ไพรเมอร์ 6 ตวั ท่จี ำเพาะต่อจึโนมของไวรัส IHHNV 8 ตำแหน่ง พัฒนาโดย: ศูนย์พนั ธุวศิ วกรรมและเทคโนโลยชี วี ภาพแห่งชาติ (ศช.) หนว่ ยงานผรู้ ับถ่ายทอด: บรษิ ัท โมบลิ สิ ออโตมาตา้ จำกัด การเพาะเล้ียงกุ้งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมท่ีสำคัญอย่างหน่ึงของประเทศไทย แตผ่ ลกระทบสำคญั ตอ่ ยอดการผลติ สาเหตหุ นง่ึ คอื โรคระบาดของกงุ้ โดยเฉพาะโรคทเ่ี กดิ จาก เชอ้ื ไวรสั โรคติดเช้ือไวรัสชนิดต่างๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากใน อุตสาหกรรมการเล้ียงกุ้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ท่ัวโลก โรคติดเชื้อไวรัสในกุ้งมี หลายชนิด ชนิดหน่ึงท่ีสำคัญคือ โรคตัวพิการ ซ่ึงเกิดจากเชื้อไวรัส IHHNV (Infectious Hypodermal and Hematopoietic Necrosis Virus) เปน็ โรคไวรสั ทพ่ี บไดท้ ว่ั ไปในระหวา่ ง การเล้ียงในบ่อ ซึ่งทำให้กุ้งที่ติดเชื้อดังกล่าวไม่โต มีขนาดแคระแกรน ได้ผลผลิตท่ีต่ำ ทำให้ เกษตรกรเสียหายจากค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ดังน้ัน การตรวจวินิจฉัยโรคในกุ้งในช่วงต่างๆ ของการผลติ กงุ้ จงึ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง สวทช. โดย ศช. จึงไดพ้ ัฒนาเทคโนโลยีชดุ ตรวจไวรสั IHHNV โดยใชเ้ ทคนิค Loop Mediated Isothermal Amplification (LAMP) ร่วมกบั การแปรผลดว้ ยเทคนิค Lateral Flow Dipstick (LFD) ขนึ้ เพอื่ ให้เกษตรกรสามารถตรวจโรคแคระแกรนทเ่ี กิดจากเช้ือไวรัส IHHNV ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ แม่นยำ และมีกระบวนการตรวจท่ีไม่ยงุ่ ยากและวเิ คราะหผ์ ล ได้ง่าย ชดุ ตรวจไวรสั IHHNV เป็นการพฒั นาเทคนิค LAMP และตรวจสอบดว้ ยเทคนคิ LFD ใช้สำหรับตรวจการติดเช้ือไวรัส IHHNV ในตัวอย่างกุ้ง รวมทั้งสัตว์พาหะ โดยใช้เวลาใน การตรวจเพียง 45 นาที เพอื่ ลดความเสียหายทเี่ กดิ ขึ้นจากการระบาดของเชื้อไวรัส IHHNV 40 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพือ่ การพฒั นาอย่างยั่งยืน
(4) เทคโนโลยชี ดุ ตรวจไวรสั YHV โดยใชเ้ ทคนคิ LAMP ร่วมกับ การแปรผลด้วยเทคนิคการตกตะกอนอนุภาคทองคำโดยใชไ้ พรเมอร์ 3 คู่ ทจ่ี ำเพาะต่อจโี นมของไวรสั YHV 8 ตำแหนง่ พัฒนาโดย: ศูนย์พนั ธุวศิ วกรรมและเทคโนโลยชี วี ภาพแหง่ ชาติ (ศช.) หนว่ ยงานผู้รับถ่ายทอด บริษทั โมบิลสิ ออโตมาต้า จำกัด การเล้ียงกุ้งในประเทศไทยสามารถทำรายได้เข้าสู่ประเทศได้อย่างมาก อย่างไร กต็ ามในระยะหลังน้ีการติดเชื้อไวรสั โรคหัวเหลอื ง (Yellow-head virus : YHV) ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ดังนั้นการวินิจฉัยและการป้องกันการติดเช้ือไวรัส ในกุ้งจึงเปน็ สง่ิ จำเป็นอย่างยงิ่ สวทช. โดย ศช. จงึ ไดพ้ ฒั นาชุดตรวจไวรัส YHV ขนึ้ ซ่งึ เป็นการพฒั นาวธิ ีการตรวจ หาเช้อื ไวรสั กอ่ โรคหัวเหลืองในกุง้ โดยการเพม่ิ สารพันธกุ รรมของไวรสั ในหลอดทดลองโดยใช้ เทคนิค Loop Mediated Isothermal Amplification (LAMP) ร่วมกับการแปรผลด้วย เทคนิคการตกตะกอนอนุภาคทองคำ ซงึ่ ใชเ้ วลาในการอ่านผลไมเ่ กนิ 1 นาที วธิ กี ารนใ้ี ช้เวลา รวมเพยี ง1ชว่ั โมง10นาทีและไมต่ อ้ งใชเ้ ครอื่ งThermalCyclerและเครอ่ื งแยกสารพนั ธกุ รรม ดว้ ยกระแสไฟฟา้ จงึ เหมาะกับการใช้งานในห้องปฏบิ ตั กิ ารและภาคสนาม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 41 และนวตั กรรม เพื่อการพฒั นาอย่างยงั่ ยนื
(5) การพัฒนาวิธีการตรวจแบคทเี รียสาเหตุกงุ้ ตายด่วน หนว่ ยงานทรี่ บั ผดิ ชอบ: หน่วยวจิ ยั เพอ่ื ความเป็นเลศิ เทคโนโลยชี วี ภาพกุ้ง ศช. มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั และหน่วยงานวจิ ยั ของประเทศไต้หวนั หน่วยงานที่รบั การถ่ายทอด: เกษตรกร และผ้ปู ระกอบการท่ัวไป คณะนักวิจัยไทยและคณะนักวิจัยไต้หวัน ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการ ตรวจแบคทเี รยี สาเหตกุ งุ้ ตายดว่ น ดว้ ยเทคนคิ Polymerase Chain Reaction (PCR) ซง่ึ การ ตรวจแบคทเี รียก่อโรคนีไ้ ด้ จะชว่ ยลดการแพรก่ ระจายอย่างรวดเรว็ และลดความเสย่ี งในการ ระบาดของแบคทีเรียสาเหตุกุ้งตายด่วน และด้วยเล็งเห็นผลกระทบของโรคระบาดต่อ อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในระดับโลก และความเร่งด่วนที่จะต้องควบคุมการระบาด คณะนักวิจัยจึงได้เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ท้ังวิธีการ และลำดับเบสในการออกแบบไพรเมอร์ สำหรับตรวจหาเช้ือดังกล่าวสู่สาธารณะ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำวิธีการไปใช้เพ่ือ ลดความเสีย่ งการระบาดของโรคได้อย่างกว้างขวาง ปัญหากุ้งตายด่วนเร่ิมมีการระบาดครั้งแรกในสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2552 และมีการแพรก่ ระจายสู่ประเทศเวยี ดนาม มาเลเซีย และไทย ในปี 2553, 2554 และ 2555 ตามลำดับ จากตัวอย่างกุ้งตายด่วนท่ีทำการศึกษาพบว่า มีตัวอย่างที่มีโรคของตับและ ตับอ่อนวายฉับพลัน (Acute Hepatopancreatic Necrosis Disease: AHPND) เขา้ มาเก่ียวข้อง ซง่ึ มกั จะเกดิ ขนึ้ หลงั การปลอ่ ยลกู กงุ้ ลงบอ่ ดนิ ไม่เกิน 35 วัน ในต้นปี 2556 ได้ค้นพบแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคน้ีคือ แบคทีเรียในกลุ่ม vibrio parahaemolyticus ท้ังน้ีถึงแม้จะทราบสาเหตุของโรค แต่การควบคุมและป้องกันแบคทีเรียสาเหตุเป็นไปได้ยาก เน่ืองจากขาดวิธีการตรวจวินิจฉัยเชื้อก่อโรคที่มีความจำเพาะและรวดเร็ว ที่สามารถจะนำไป ใช้ตรวจหาเชื้อก่อโรคในพ่อพันธ์ุแม่พันธุ์ และคัดกรองลูกกุ้งก่อนปล่อยลงบ่อดินคณะนักวิจัย จึงพัฒนาวิธีการตรวจแบคทีเรียสาเหตุโรค AHPND ด้วยเทคนิคพีซีอาร์ และเผยแพร่ข้อมูล ลำดับเบสของไพร์เมอร์และข้ันตอนเทคนิคพีซีอาร์เพ่ือใช้ตรวจแบคทีเรียก่อโรคสู่สาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการลดการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคและการประเมินประสิทธิภาพของ เทคนิคท่พี ฒั นาได้ 42 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพ่อื การพัฒนาอย่างยงั่ ยืน
(6) ข้าวเจ้าพนั ธ์ุ กข51 ข้าวเหนยี วพนั ธ์ุ กข18 และขา้ วเหนยี วพันธ์ุ กข6 ตน้ เตย้ี ตา้ นทานโรคไหม้และโรคขอบใบแหง้ หน่วยงานทร่ี ับผดิ ชอบ: หนว่ ยปฏิบัติการค้นหาและใชป้ ระโยชนย์ นี ขา้ ว ศช. สวทช. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนาและกรมการขา้ ว หน่วยงานท่รี บั การถ่ายทอด: เกษตรกรในจงั หวัดภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงเหนอื คณะนักวิจยั ได้ดำเนินการวจิ ยั พัฒนาพนั ธุ์ขา้ วโดยการค้นหายีน ดว้ ยเทคนคิ โมเลกุล เครอื่ งหมายดีเอ็นเอในการคัดเลือก (DNA Marker Assisted Selection) รว่ มกับวิธีปรับปรงุ พันธุ์แบบผสมกลับ (Backcrossing) เพื่อพัฒนาข้าวนาน้ำฝน พัฒนาพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข6 ให้มีเสถียรภาพในการให้ผลผลิต ต้านทานโรคและแมลง ทนต่อสภาพแวดล้อม ทไ่ี ม่เหมาะสม และยังคงคณุ ภาพ ลกั ษณะเด่นใกลเ้ คยี งกับพันธ์เุ ดมิ ในปี 2556 มีสายพนั ธุข์ ้าว ท่สี ำคญั ดงั น้ี ข้าวเจ้าพนั ธุ์ กข51 เป็นขา้ วพันธแุ์ รกที่ได้จากการปรับปรุงพนั ธ์โุ ดยใชเ้ คร่อื งหมาย โมเลกลุ ในการคัดเลอื กและได้รับการรบั รองพันธุ์จากกรมการขา้ วเม่อื วนั ท่ี 12 มนี าคม 2556 โดยพัฒนาจากพันธ์ุข้าวขาวดอกมะลิ 105 กับพันธ์ุ IR49830-7-1-2-2 ทำให้ได้พันธุ์ข้าว กข51 ทนนำ้ ทว่ มฉบั พลนั มลี กั ษณะเดน่ คอื เปน็ ขา้ วไวตอ่ ชว่ งแสงมคี ณุ ภาพเมลด็ ทางกายภาพ เคมี การหุงรับประทานใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 และสามารถทนน้ำท่วมฉับพลัน ในระยะเจริญเติบโตทางลำต้นได้ 12 วัน เหมาะแก่การปลูกในพื้นที่นาน้ำฝนท่ีมีความเสี่ยง ต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันในพ้ืนท่ีภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ผลผลิต เฉลยี่ สงู สดุ 736 กิโลกรัมตอ่ ไร่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 43 และนวัตกรรม เพ่อื การพัฒนาอย่างย่ังยืน
ข้าวเหนียวพันธ์ุ กข18 เป็นข้าวพันธ์ุที่ 2 ท่ีได้จากการปรับปรุงพันธุ์โดยใช้เคร่ือง หมายโมเลกลุ ชว่ ยในการคดั เลอื กทไ่ี ดร้ บั การรบั รองพนั ธจ์ุ ากกรมการขา้ วเมอ่ื วนั ท่ี 19 สงิ หาคม 2556 โดยพัฒนาจากพันธ์ุข้าวเหนียว กข6 กับข้าวเจ้าหอมนิล ทำให้ได้พันธุ์ข้าวเหนียว กข18 ต้านทานโรคไหม้ มีลักษณะเด่นคือ เป็นข้าวเหนียวไวต่อช่วงแสง สูงประมาณ 158 เซนติเมตร เมล็ดข้าวเปลือกสีน้ำตาล ใบสีเขียว คอรวงยาว ต้านทานโรคไหม้ในระยะกล้า คณุ ภาพเมลด็ ทางกายภาพและการสีดี คุณภาพหุงตม้ ใกล้เคยี งกับพันธ์ุ กข6 เมื่อนึ่งสุกมีเนอื้ สัมผสั นมุ่ มกี ลิ่นหอม เหมาะสำหรบั พน้ื ที่นาน้ำฝนภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ตอนบนท่ีมีการระบาดของโรคไหม้ ให้ผลผลิตเฉลี่ยสงู สุด 609 กิโลกรมั ต่อไร่ 44 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพ่อื การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยนื
ขา้ วเหนยี วพนั ธ์ุ กข6 ต้นเตี้ย ตา้ นทานโรคไหมแ้ ละโรคขอบใบแหง้ เป็นข้าวเหนียว พันธุ์ใหม่ท่ีเกิดจากการปรับปรุงพันธ์ุแบบการผสมข้ามสายพันธ์ุเพ่ือรวมยีนและทำการ คัดเลือกแบบสืบประวัติจนได้ข้าวเหนียวต้นเต้ียสายพันธ์ุดีโดยเป็นการผสมระหว่างพันธ์ุ RGD05219-12-12-B (KDML105/IR62266) ซ่งึ เปน็ พนั ธ์ตุ า้ นทานโรคขอบใบแห้ง และพันธ์ุ RGD04069-1-179-1 (RD6*5/Jao Hom Nin)*3/// (KDML105*5/IR1188) ซง่ึ เปน็ สายพันธุร์ ับ มลี ักษณะเด่นคอื เปน็ ขา้ วนาปไี วตอ่ ช่วงแสง ตา้ นทานต่อโรคไหมแ้ ละโรค ขอบใบแห้ง มขี นาดลำตน้ สงู เฉลี่ย 130 เซนติเมตร ทำให้สามารถเกบ็ เกยี่ วไดง้ ่ายดว้ ยเครอ่ื ง จักร มีการแตกกอดี ลำต้นมคี วามแข็งแรง จึงมีความทนทานตอ่ ลมแรง ลดปัญหาการหกั ลม้ เมล็ดเรยี วยาว เมื่อนำมาหงุ ต้ม มีคุณภาพและความเหนียวนุ่มคลา้ ยพันธ์ุ กข6 ใหผ้ ลผลติ เฉล่ยี 700-800 กิโลกรมั ต่อไร่ (7) การพัฒนาระบบวเิ คราะหข์ อ้ มูลโครงการวจิ ัยท่อี งิ กับฐานความรู้ออนโทโลยี กรณศี กึ ษาการประยุกต์ในระบบสนับสนุนการตดั สินใจเพ่ือสนับสนุนงาน นโยบายยุทธศาสตร์วิจัยขา้ ว พัฒนาโดย: ศูนย์เทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนิกสแ์ ละ คอมพวิ เตอรแ์ หง่ ชาติ (ศอ.) หนว่ ยงานผูร้ ับถา่ ยทอด: สำนกั งานพฒั นาการวิจยั การเกษตร (องค์การมหาชน) วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 45 และนวัตกรรม เพือ่ การพฒั นาอยา่ งย่ังยืน
การพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลโครงการวิจัยท่ีอิงกับฐานความรู้ออนโทโลยีนี้ เป็น ระบบท่ไี ดน้ ำมาประยกุ ตใ์ ช้เพื่อสนบั สนนุ งานวจิ ัยนโยบายยทุ ธศาสตร์วิจัยข้าว เพอ่ื ประโยชน์ สำหรบั การตดั สนิ ใจการบรหิ ารเชงิ ยทุ ธศาสตรใ์ นการจดั การงานวจิ ยั ระดบั ประเทศ โดยระบบ วิเคราะห์ข้อมูลน้ีได้จัดเก็บรวบรวมข้อมูลโครงการวิจัยด้านข้าวจากอดีตย้อนหลัง 5 ปี จนถงึ ปจั จุบนั (พ.ศ.2549-2553) จากหนว่ ยงานใหท้ ุนหลกั ของประเทศ และนำเสนอขอ้ มูล เชิงวิเคราะห์ให้กับผู้เชยี่ วชาญเพอื่ ประกอบการจดั ทำยุทธศาสตรง์ านวจิ ยั ข้าวประจำปี 2555 นอกจากน้ี นอกจากการพัฒนาได้ใช้กรอบแนวคิดของ ontology-based research visualization system จึงทำให้สามารถนำระบบท่ีพัฒนาไปประยุกต์ใช้งานกับข้อมูลโครง การวจิ ัยในสาขาต่างๆได้อย่างยดื หย่นุ (8) ระบบอา่ นคา่ ข้อมลู เซนเซอร์ไรส้ ายด้วยเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์แบบพกพา พัฒนาโดย: ศนู ย์เทคโนโลยีอเิ ลก็ ทรอนิกสแ์ ละคอมพวิ เตอร์แห่งชาติ (ศอ.) หนว่ ยงานผรู้ ับถ่ายทอด: สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจา้ คุณทหารลาดกระบัง และสำนกั งานคณะกรรมการอ้อยและนำ้ ตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม ระบบอา่ นคา่ ขอ้ มลู เซนเซอรไ์ รส้ ายดว้ ยเครอ่ื งคอมพวิ เตอรแ์ บบพกพา เปน็ ระบบอา่ น คา่ ขอ้ มูลเซนเซอร์ความชื้นในดินจากโหนดเซนเซอร์ไรส้ ายทอ่ี ยใู่ นแปลงเพาะปลูก ซ่ึงสามารถ เรยี กดขู อ้ มลู การตรวจวดั ทบ่ี นั ทกึ อยใู่ นโหนดไดโ้ ดยตรง ผา่ นเครอื ขา่ ยเซนเซอรไ์ รส้ ายมาตรฐาน IEEE 802. 15.4/ZigBee โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทพ่ี ฒั นาข้นึ ดว้ ยภาษา JAVA บนเครือ่ ง คอมพิวเตอร์แบบพกพาท่ีมีอุปกรณ์ไร้สายมาตรฐาน EEE 802. 15.4/ZigBee ติดต้ังอยู่ ท่พี อรต์ USB 46 วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพ่อื การพัฒนาอย่างยัง่ ยืน
นอกจากน้ี ระบบยังสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ดูแลแปลงเพาะปลูกหรือ นักวจิ ัยทางด้านการเกษตร ทไ่ี ม่สามารถเข้าถึงระบบเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ เพ่อื ใช้งานเครือ่ ง เซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางที่เก็บข้อมูลการตรวจวัดในพื้นที่ได้ ช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการอ่าน ค่าจากหัววัดเซนเซอร์ในแปลงเพาะปลูก โดยไม่ต้องเดินเข้าไปในแปลงท่ีเข้าถึงได้ไม่สะดวก และสามารถนำอุปกรณ์อ่านค่าไปใช้งานในแปลงเพาะปลูกบริเวณอ่ืนท่ีมีการติดตั้งระบบ แบบเดยี วกนั น้ไี ด้ (9) การแปรรปู ผกั ตบชวาใหเ้ ปน็ วสั ดุทางการเกษตร หรือสมาร์ทซอยล์ (Smart Soil) พัฒนาโดย: ศูนยน์ าโนเทคโนโลยแี ห่งชาติ (ศน.) ผักตบชวาที่มีจำนวนมากในแม่น้ำลำคลองเป็นปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศในน้ำ กระทบท้ังพืชน้ำและสัตว์น้ำตายและเกิดน้ำเน่าเสียตามลุ่มน้ำ เจ้าพระยาและลำน้ำอืน่ ๆ ของประเทศไทย นักวิจัยห้องปฏิบัติการวัสดุนาโนเพื่อพลังงานและการเร่งปฏิกิริยา ศูนย์นาโน เทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. จงึ ริเรมิ่ โครงการแปรรปู ผกั ตบชวาใหเ้ ป็นวสั ดุทางการ เกษตร หรือสมาร์ทซอยล์ (Smart Soil) ซ่ึงเป็นได้ท้ังวัสดุเพาะเมล็ด วัสดุปลูก และวัสดุ ปรับปรุงดิน ที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก นักวิจัยใช้กระบวนการไฮโดรเทอร์มอล คาร์บอไนเซชนั (Hydrothermal Carbonization) ซง่ึ ใชเ้ วลาเพยี ง 1-2 ชว่ั โมง กระบวนการ ดังกล่าวสามารถช่วยร่นเวลาในการกำจัดผักตบชวาได้อย่างมาก และยังลดปริมาณก๊าซ เรือนกระจก จากการกำจัดผักตบชวาด้วยวิธีการเผาทำลายอีกด้วย ทำใหไ้ ดส้ ารปรบั ปรงุ ดนิ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี 47 และนวตั กรรม เพื่อการพัฒนาอยา่ งยัง่ ยนื
จากผักตบชวาท่ีมีธาตุอาหารเหมาะกับการเพาะปลูก แถมยังมีคุณสมบัติท่ีเทียบเท่าดินที่ ผ่านการหมักหมมตามธรรมชาติเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี นอกจากนี้การใช้สารนาโน เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ทำให้สมาร์ทซอยล์มีคุณสมบัติพิเศษท่ีท้ังช่วยปรับปรุงให้ดินมีคุณสมบัติ อุ้มน้ำ ช่วยทำให้ดินดูดซับและปลดปล่อยธาตุอาหารพืชได้ดี มีคุณภาพคล้ายดินแถบลุ่มน้ำ อเมซอนท่ีมีธาตุอาหารสูงเหมาะกับการใช้เป็นวัสดุทางการเกษตร ด้วยเนื้อดินที่มีความโปร่ง และเบา จึงชว่ ยการกระจายตวั ของรากพชื ได้ดี ปัจจุบันโครงการแปรรูปผักตบชวาให้เป็นสารปรับปรุงดิน อยู่ระหว่างดำเนินการ ขยายกำลังการผลิต จากระดับห้องปฏิบัติการ เป็นระดับภาคสนาม โดยมีอัตราการแปรรูป ผกั ตบชวาอยู่ที่ 8 ตันตอ่ วัน รวมถึงการพฒั นาระบบการผลติ ในรูปแบบ เคลอ่ื นท่ไี ด้ ท่ีสามารถ นำไปใชง้ านไดจ้ ริง ณ พ้ืนที่เปา้ หมาย เชน่ ประตูระบายนำ้ เป็นต้น (10) การผลิตขา้ วอินทรียไ์ ด้มาตรฐาน พฒั นาโดย: ศูนยบ์ ริหารจดั การเทคโนโลยี (ศจ.) หนว่ ยงานผู้รับถ่ายทอด วสิ าหกจิ ชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ หมู่ 17 จังหวัดมหาสารคาม ขา้ วอินทรีย์ (Organic Rice) เป็นขา้ วท่ีไดจ้ ากการผลติ ดว้ ยกระบวนการผลิตที่ไมใ่ ช้ สารเคมี หรอื สารสังเคราะหต์ า่ งๆ อาทเิ ชน่ ปยุ๋ เคมี สารควบคมุ การเจริญเตบิ โต สารควบคมุ และกำจัดศัตรูพืช ในทุกข้ันตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความ 48 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพอ่ื การพฒั นาอยา่ งย่งั ยืน
จำเป็นสามารถใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษ ตกค้าง ในขณะเดียวกันเป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวท่ีมีคุณภาพดีและ ปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ท้ังนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิด ความมน่ั ใจและเช่อื ถอื ในระบบการผลติ และผลติ ภัณฑ์ จงึ จำเปน็ ตอ้ งผา่ นการตรวจสอบและ ไดร้ ับการรบั รอง ดงั นน้ั จงึ ต้องมีระบบการผลติ ขา้ วอนิ ทรยี ์ท่ไี ด้มาตรฐาน ด้วยเหตุน้ี โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สวทช. จึงให้การสนับสนุนผู้เช่ียวชาญในการให้คำปรึกษา รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาระบบ การผลิตขา้ วอนิ ทรีย์ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ หมู่ 17 จังหวัดมหาสารคาม ให้มี คณุ ภาพตามมาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ์ ทำใหส้ มาชกิ กลมุ่ วสิ าหกจิ ชมุ ชนสามารถผลติ ขา้ วอนิ ทรยี ์ อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ สมาชิกสามารถบริหารจัดการนำทรัพยากรท่ีมี อยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อันนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ในครัวเรือน และลดมลพิษในชุมชน ด้วยการอนรุ ักษธ์ รรมชาติและสงิ่ แวดล้อม และก่อให้เกิดการลงทุนใน ระบบการผลิตคดิ เป็นมูลคา่ 210,669 บาท จากโครงการดงั กลา่ ว (11) ตน้ แบบเตาผลิตความรอ้ นและระบบลมร้อนสำหรบั อบยางพาราแผ่นที่มี ประสทิ ธิภาพและความปลอดภัยสูง พัฒนาโดย: ฝ่ายบรหิ ารคลัสเตอร์และโปรแกรมวิจยั ร่วมกบั มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยมี หานคร และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนือ หน่วยงานผรู้ ับถา่ ยทอด: กลมุ่ เกษตรกรบ้านทา้ ยวงั และ บา้ นเขาหมาก อ.เมือง จ.ตราด และกลุ่มพฒั นายางในชมุ ชน จ.สรุ าษฎรธ์ านี จ.พัทลงุ จ.ชุมพร จ.นครศรธี รรมราช จ.นา่ น และภาคเอกชน ใน จ.นครพนม จ.รอ้ ยเอ็ด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 49 และนวัตกรรม เพือ่ การพัฒนาอยา่ งย่งั ยนื
จากปัญหาสำคัญในการผลิตยางแผ่นรมควันในประเทศไทย คือ การแห้งของ แผ่นยางที่ไม่สม่ำเสมอ เน่ืองจากความร้อนที่เข้าสู่ห้องอบกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ มีการ ร้อนมากเป็นจุดๆ ทำให้ยางแผ่นรมควันท่ีได้มีคุณภาพต่ำ และใช้เวลามากในการอบยาง แต่ละคร้ัง ทำให้สูญเสียไม้ฟืนท่ีใช้เป็นเช้ือเพลิงจำนวนมาก ในขณะท่ีราคาไม้ฟืนสูงข้ึน จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงเตาอบยางให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึน สามารถควบคุมอุณหภูมิ ในหอ้ งอบยางไดด้ ขี น้ึ เพื่อใหผ้ ลติ ยางแผ่นรมควนั ทม่ี คี ุณภาพสูงขึ้น สวทช. โดยฝ่ายบรหิ ารคลสั เตอรแ์ ละโปรแกรมวจิ ยั รว่ มกบั มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยี มหานคร และ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ จึงดำเนนิ การส่งเสริมการ ใช้เตาอบยางแผ่นรมควนั ประหยดั พลงั งาน ในปี 2555 ไดด้ ำเนนิ การขยายผลการใชง้ านเตา อบยางแผ่นรมควันประหยัดพลังงานกับเกษตรกรสวนยาง กลุ่มสัจจะพัฒนายางบ้านท้ายวัง อ.เมอื ง จ.ตราด เพอื่ ปรบั ปรุงระบบ โดยใชเ้ ตาผลติ ความร้อน 1 เตา ให้รองรับการใช้งานได้ กับห้องอบรมควันแบบสหกรณ์กองทุนสวนยาง (สกย.) (สร้างปี 2538) จำนวน 2 ห้อง บรรจยุ างแผน่ ไดท้ ้งั หมด 12 เก๊ะยางหรือคิดเป็นนำ้ หนกั ยางแห้งประมาณ 7 ตนั ทำให้ยาง แผ่นที่ได้มคี ณุ ภาพดขี นึ้ ประหยดั เชอ้ื เพลิงร้อยละ 30 คดิ เป็นมูลค่า 105,000 บาทต่อเตาตอ่ ปี (คำนวณจากราคาไม้ฟนื 1.2 บาทต่อกิโลกรมั ) ผลติ ยางแผน่ เพิ่มขนึ้ รอ้ ยละ 70 จากเดมิ 42 เปน็ 72 ตนั ยางแหง้ ต่อเดอื น และลดระยะเวลาในการอบยางแผ่นร้อยละ 20 จากเดิม 4 วัน 3 คืน เป็น 3 วนั 2 คืน จากผลการดำเนินงานท่ีดีขน้ึ ทำใหก้ ลมุ่ เกษตรกรลงทนุ สรา้ งเตาผลติ ความร้อนอีก 1 เตา โดยเปลี่ยนรูปทรงกลมเป็นทรงสี่เหลี่ยมทำให้ใส่ฟืนได้ง่ายข้ึน เกิดผล กระทบเชงิ เศรษฐกจิ ทำให้เกษตรกรสร้างมลู คา่ เพ่มิ จากน้ำยางสด 8.4 ลา้ นบาทต่อปี นอกจากน้ี ในปี 2556 มีการขยายงานไปในกลุ่มสัจจะพัฒนายาง บ้านเขาหมาก อ.เมอื ง จ.ตราด อกี 2 เตา และมีแผนการขยายผลไปยังชมุ ชนใน จ.สรุ าษฎรธ์ านี จ.พัทลงุ จ.ชุมพร จ.นครศรีธรรมราช จ.น่าน และภาคเอกชน ใน จ.นครพนม จ.ร้อยเอด็ ตอ่ ไป 50 วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม เพือ่ การพฒั นาอย่างยั่งยนื
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106