Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Final หลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน Traffic med_มคว2 update 28-11-62 update

Final หลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน Traffic med_มคว2 update 28-11-62 update

Published by สวปศ กรมควบคุมโรค, 2021-06-23 07:43:40

Description: Final หลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน Traffic med_มคว2 update 28-11-62 update

Search

Read the Text Version

หลักสูตรและเกณฑ์การฝึกอบรมแพทยป์ ระจำบา้ น เพื่อวุฒบิ ัตรแสดงความรคู้ วามชำนาญในการประกอบวิชาชพี เวชกรรม สาขาเวชศาสตรป์ ้องกนั แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร กรมควบคุมโรค 1. ชื่อหลักสตู ร (ภาษาไทย) หลกั สตู รการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านเพ่ือวุฒบิ ัตรแสดงความรู้ความชำนาญ ในการประกอบวชิ าชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตรป์ ้องกนั แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร (ภาษาอังกฤษ) Residency Training in Preventive Medicine (Traffic Medicine) 2. ชอ่ื วฒุ ิบตั ร ชือ่ เตม็ (ภาษาไทย) วุฒิบัตรเพื่อแสดงความรคู้ วามชำนาญในการประกอบวชิ าชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตรป์ ้องกนั แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร (ภาษาองั กฤษ) Diploma of the Thai Board of Preventive Medicine ( Traffic Medicine) ชือ่ ยอ่ (ภาษาไทย) วว. เวชศาสตร์ปอ้ งกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร (ภาษาอังกฤษ) Dip. Preventive Medicine (Traffic Medicine) 3. หนว่ ยงานท่รี ับผดิ ชอบ กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ 4. ทีม่ าและพันธกิจของการฝึกอบรม/หลักสตู ร เวชศาสตร์การจราจร เป็นเวชศาสตร์ป้องกันแขนงหนึ่งที่มุ่งเน้นดูแลประชากรทั่วไปทุกวัย ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางโดยทางจราจร และระบบขนส่งอื่นๆ ในประเทศไทย การเดนิ ทางแตล่ ะคร้งั อาจจะมคี วามเส่ียงต่ออุบัติเหตุ จากข้อมูลการศึกษาปริมาณยานพาหนะที่วิ่ง บนทางหลวงในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงกว่า 52,000 กิโลเมตร ในปี 2560 รวมทั้งสิ้น 269 ,866 ล้านคัน - กิโลเมตร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีประชากรในประเทศไทยรวมประมาณ 66 ล้านคน รถยนต์ทีจ่ ดทะเบียน 38 ล้านคัน** เป็นรถจักรยานยนตป์ ระมาณ 20 ล้านคัน และมที าง/ถนน รวมทง้ั สิ้นประมาณ 452,500 กิโลเมตร มีอุบัติเหตุบนทางหลวงเกิดขึ้น 15,936 ครั้ง (ทั้งประเทศ 85,915 ครั้ง) จำนวนคนตาย 2,409 คน (ทั้งประเทศ 8,733 คน) จำนวนคนบาดเจ็บ 14,692 คน (ทั้งประเทศ 3,796 คน) รถที่เกิดอุบัติเหตุ 23,855 คัน เวชศาสตร์การจราจร เป็นเวชศาสตร์ป้องกันแขนงใหม่ ที่เกิดจากการบูรณาการของศาสตรต์ า่ งๆ ทางด้านวิศวกรรม สาธารณสุขและทางการแพทย์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจราจร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวช ศาสตร์การจราจร จำเป็นต้องมีความรู้และทักษะทั้งในด้านวิทยาการระบาดและเวชปฏิบัติโรคท่ีสัมพันธ์กับ การจราจรและอุบัติเหตุอื่นๆ ที่สำคัญทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก การเฝ้าระวัง สอบสวน

[2] และปอ้ งกนั ควบคุมการเกิดอุบตั ิเหตุ และภยั ทางการจราจร รวมถงึ สามารถบูรณาการความรู้และทักษะเหล่าน้ีเพื่อ ต่อยอดองคค์ วามรแู้ ละสรา้ งองค์ความรู้ใหม่ได้ กรมควบคุมโรค ได้เลง็ เหน็ ถงึ ความสำคัญดังกล่าว จึงเปิดการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน สาขาเวช ศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร รุ่นแรกขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2562 ซึ่งกรมควบคุมโรค เป็นสถาบันหลักในการ ฝึกอบรม โดยมีพันธกิจในการฝึกอบรมที่สอดคล้องกับพันธกิจหลักของสถาบันฯ คือ ผลิตแพทย์ ผู้มีความรู้ ความชำนาญ ด้านเวชศาสตร์ป้องกันแขนงต่างๆ เพื่อเป็นแกนหลักในการพัฒนานโยบาย พัฒนาวิชาการ องค์ความรู้ และนำสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแพทย์ผู้จบหลักสูตรด้านเวชศาสตร์ปอ้ งกัน แขนงเวช ศาสตร์การจราจร ต้องมีความรู้ความสามารถครอบคลุมตั้งแต่การประเมินความเสี่ยง ให้คำปรึกษา ให้ความรู้ที่ เกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและดูแลรักษาผู้โดยสารในระบบจราจรอย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึงการเฝ้าระวัง สอบสวนโรคที่เกิดจากการจราจร จัดการแก้ไขปัญหาภัยสุขภาพต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการจราจรได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมปี ระสทิ ธิภาพ นอกจากความรู้และทักษะเฉพาะแขนงแล้ว แพทย์ด้านเวชศาสตร์การจราจร ต้องมีความรู้ ความสามารถ ความปลอดภัยทางการขนส่ง ความสามารถในการเรียนรู้เพื่อให้มีการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ความสามารถด้านการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเป็นมืออาชีพ การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ การทํางาน เป็นทีม การปฏิบัติงานแบบสหวิชาชีพ มีความรู้ความเข้าใจในระบบสุขภาพของประเทศ การบริหารจัดการ กระบวนการคุณภาพและความปลอดภัย ตลอดจนความรับผิดชอบ จริยธรรม ทัศนคติ และเจตคติที่ดีต่อผู้ป่วย ผูร้ ่วมงานและองค์กร รวมทง้ั มีความเอ้ืออาทรและใส่ใจในความปลอดภัยโดยยดึ ถือผูป้ ว่ ยเปน็ ศูนย์กลาง 5. ผลลพั ธ์ของการฝึกอบรม/หลกั สูตร แพทย์ที่จบการฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทาง สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร ตอ้ งมคี วามสามารถทั้ง 6 ดา้ น ดงั นี้ 1) การดแู ล รักษา และฟน้ื ฟผู ูบ้ าดเจ็บจากการจราจร (Patient Care) ก. มที ักษะในการประเมิน ใหค้ วามเห็นและรับรอง สมรรถนะรวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพ ของผู้ขับขี่ที่อาจจะมีต่อสมรรถนะขับขี่ทางบก เดินเรือ ทางอากาศ และทางราง ก่อน ออกใบอนุญาต รวมท้ังการต่อใบอนุญาตไดต้ ามกรอบของกฏหมายในแต่ละด้าน ข. มีความรู้ในการเฝ้าระวัง สอบสวนโรค ภัยสุขภาพ โดยเฉพาะการสอบสวนอุบัติเหตุทาง จราจรตา่ งๆ เพอื่ นำมาสู่ขอ้ เสนอแนะเพ่ือการป้องกนั เชงิ ระบบ ค. มีความรู้และทักษะเวชกรรมในการตรวจวินิจฉัย การประเมินสภาพ และการ บำบัดรักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการจราจรที่ต้องได้รับการดูแลรักษาฉุกเฉิน ในสถานที่เกิดเหตุ ง. มีความรู้หรือทักษะในการวินิจฉัยหรือบำบัดรักษาปัญหาซับซ้อนทางเวชกรรมที่อาจพบใน แผนกฉกุ เฉิน เพ่ือสง่ ต่อให้แก่แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นๆเพ่ือวนิ ิจฉัยหรือบำบัดรักษาอย่าง เหมาะสมตอ่ ไป จ. ประยุกต์แนววิธีการคิดอย่างเป็นระบบและรอบคอบ ในการกำหนดระดับความเร่งด่วน ในการประเมินและการบำบัดรักษาผู้บาดเจ็บจากการจราจร โดยเฉพาะการจัดการกับ อบุ ตั เิ หตหุ มู่ ฉ. การให้ความรูแ้ ก่ผู้ป่วยและสาธารณชน รวมทั้งดำเนินการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การป้องกนั การบาดเจบ็ จากการจราจรอย่างเป็นระบบ โดยต้องผ่านการประเมิน EPA หลกั ท้งั 3 อยา่ ง ตามภาคผนวก 3, 4, 5

[3] EPA 1: ทักษะด้านการส่งเสริม ป้องกัน อุบัติภัยเชิงระบบ โดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ ประสาน ศาสตร์ทางวศิ วกรรม และความรู้ด้านอ่นื ๆในด้านเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร EPA 2: ทักษะด้านการเฝ้าระวัง สอบสวนโรค ภัยสุขภาพ และ การทำ health project โดยเฉพาะการสอบสวนอบุ ัติเหตทุ างจราจรตา่ งๆ EPA 3: ทักษะด้านการบำบัดวินิจฉยั ในระยะเบ้ืองต้น ประสานการรักษา และประสานการฟื้นฟู สมรรถภาพของผู้บาดเจ็บ เนน้ การประเมนิ สมรรถนะรวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพของผู้ขับข่ีที่อาจจะมี ต่อสมรรถนะการขับขี่ 2) ความรู้ ความเชยี่ วชาญ และความสามารถในการนำไปใช้แกป้ ญั หาของผปู้ ่วย และสังคมรอบ ด้านในการปอ้ งกันควบคุมโรคและการบาดเจ็บจากการจราจร (Medical Knowledge and Skill) ก. นำความรู้ ทักษะ ไปใช้ในการดูแล รักษา เฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคที่เกี่ยวเนื่องกับ การจราจรโดยเนน้ การดูแล ณ จดุ เกดิ เหตุ ข. อธิบายหลักการ และการประยุกต์ใช้เวชศาสตร์ป้องกันทั่วไป และเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร ค. อธิบายหลกั การทางระบาดวทิ ยาและการเฝ้าระวงั การบาดเจ็บจากการจราจร มีทักษะใน การบริหารเชื่อมโยง และจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เกี่ยวข้องกับการจราจร เพอ่ื ใชใ้ นการวางแผน กำหนดมาตรการในการแกไ้ ขปัญหา สามารถบรู ณาการข้อมูลจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วเิ คราะห์ สรุปประเด็น จัดทำรายงานและขอ้ เสนอ รวมทั้งมีทักษะ ในการนำเสนอขอ้ มลู ง. มคี วามร้แู ละทกั ษะในการสอบสวนการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจราจร จ. สามารถวิเคราะห์ระบบและกลไกการทำงาน และพัฒนารูปแบบ มาตรการ และนโยบาย การทำงานปอ้ งกันและลดการบาดเจ็บจากการจราจร (Systems analyst and design) ฉ. ให้คำปรึกษาและเป็นผู้นำด้านการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการจราจร บูรณาการ การทำงานในระดับพ้ืนท่ีได้ ช. สามารถประสานการทำงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกโรงพยาบาล (Trauma Administrative Unit) 3) การเรียนรู้จากการปฏบิ ตั ิ และการพัฒนาตนเอง (Practice-based learning and Improvement) ก. ดำเนนิ การวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขได้อย่างถูกต้อง และเปน็ ไปตามมาตรฐานการ วิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข ข. วพิ ากษบ์ ทความและงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข ค. เรยี นรูแ้ ละเพม่ิ ประสบการณ์ไดด้ ้วยตนเองจากการปฏบิ ตั ิ 4) ทักษะปฏสิ ัมพันธ์ และการสอ่ื สาร (Interpersonal and Communication Skills) ก. สื่อสารให้ข้อมูลด้านเวชศาสตร์การจราจรแก่ผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วย ญาติ ประชาชน ชุมชน และสังคม ได้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อสังคมและ ชุมชน ข. นำเสนอข้อมูลผู้บาดเจ็บจากการจราจร/ผู้ป่วย/ประชาชน ชุมชนและสังคม และอภิปราย ปัญหาอยา่ งมีประสิทธภิ าพ

[4] ค. ถ่ายทอดความรู้และทกั ษะ ใหบ้ คุ ลากรทางการแพทย์ ประชาชน และชุมชน ง. เผยแพร่ ส่ือสาร ข้อมลู ความรดู้ า้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุขที่เกยี่ วกบั เวชศาสตร์ ปอ้ งกันเพื่อการเฝา้ ระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคจากระบบจราจรที่มคี วามนา่ เช่ือถือ แก่ สาธารณชน ชมุ ชน และสงั คม จ. มีมนุษยสัมพันธท์ ่ีดี ทำงานกบั ผรู้ ่วมงานทุกระดบั อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ฉ. เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่แพทย์และบุคลากรอื่น โดยเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร 5) ความเปน็ มืออาชีพ (Professionalism) ก. มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และเจตคตอิ ันดีต่อผู้ป่วย ญาติ เพ่ือนร่วมวิชาชพี ประชาชนชุมชน และสงั คม ข. มจี ติ สำนึกแห่งการปอ้ งกันโรค (Preventive Mind) ค. มีทักษะด้านที่ไม่ใช่เทคนิค (Non-technical skills) และสามารถบริหารจัดการ สถานการณ์ ที่เกยี่ วขอ้ งได้เหมาะสม ง. มีความสนใจใฝ่รู้ และสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต (continuous professional development) จ. มีความรับผิดชอบต่องานทีไ่ ด้รับมอบหมาย ฉ. คำนงึ ถงึ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม 6) การปฏบิ ัติงานใหเ้ ขา้ กบั ระบบ (System-based practice) ก. มคี วามรู้เก่ยี วกับระบบสุขภาพ และการสาธารณสุข ในระดบั ประเทศ ระดับภูมิภาคและ นานาชาตทิ เ่ี ก่ยี วขอ้ ง ข. เข้าใจ และสามารถประยุกตใ์ ช้กฎหมายท่ีเกีย่ วกับการจราจร การเฝ้าระวัง ป้องกัน และ ควบคุมโรคติดต่อระหวา่ งประเทศได้อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม ค. มคี วามร้แู ละมีส่วนร่วมในระบบพฒั นาคุณภาพการดแู ลรักษา การเฝา้ ระวัง ปอ้ งกัน และ ควบคมุ โรคในผปู้ ่วย ประชาชน ชมุ ชน และสังคม ง. ใช้ทรัพยากรสุขภาพอย่างเหมาะสม (cost consciousness medicine) และสามารถ ปรับเปลี่ยนการดูแลรักษา การเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค ในผู้ป่วย ประชาชน และชุมชน ใหเ้ ข้ากบั บรบิ ทของการบรกิ ารสาธารณสขุ ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ 6. แผนการฝึกอบรม/หลักสูตร เม่อื จบการศึกษาการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านครบ 3 ปี และสอบผา่ นจะได้รบั ใบวุฒิบัติแสดง ความรูค้ วามชำนาญในการประกอบวิชาชีพ แขนงเวชศาสตร์การจราจร 6.1 วิธีการใหก้ ารฝึกอบรม 1) สมรรถนะการดแู ล รักษา และฟน้ื ฟูผบู้ าดเจบ็ จากการจราจร (Patient Care) ก. แพทย์ประจำบ้านช้ันปีที่ 1 เรยี นรู้ด้านตา่ งๆ ดังต่อไปนี้ ในระดับท่ไี ม่ซบั ซ้อน ภายใต้ความควบคุมของ อาจารย์ ดังน้ี

[5] มาตรฐานการเรียนรู้ วิธกี ารให้การฝึกอบรม/กลยุทธก์ ารสอนทีใ่ ช้ กลยุทธก์ ารประเมนิ ผล พัฒนา การเรียนร้ใู นแต่ละดา้ น 1. มีทักษะการให้คำปรึกษาด้าน แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 เรียนรู้ทักษะการให้ 1. การสอบ OSCE สาธารณสุขเกี่ยวกับระบบการจราจร คำปรกึ ษาเก่ยี วกบั การป้องกันภัยจากการจราจร 2. การสอบ Long case ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ไมซ่ บั ซ้อน โดยเน้นทกั ษะการซกั ประวัติและการ 3. การสอบอตั นัย MEQ เน้นการประเมินสมรรถนะทั้งทาง ประเมินอย่างรอบด้าน (risk assessment) 4. การสอบปรนัย MCQ ร่างกาย และจติ ใจของผู้ขบั ขย่ี านยนต์ และให้คำแนะนำอย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึง ความเขา้ ใจทางวิศวกรรมที่เก่ยี วขอ้ ง โดยจัดให้มี การเรยี นการสอนแบบบรรยาย (Lecture) และมี การสอนแบบกรณีสาธิตและการสังเกตการณ์ (Case demonstration and observation) โดยอาจารย์และแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 2,3 และฝึกปฏบิ ัตใิ นสถานที่จรงิ 2. มีทักษะในการดูแลผปู้ ่วยที่มีอาการ แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 เรียนรู้ทักษะการ 1. การสอบ OSCE บาดเจ็บจากภยั ทางจราจร ให้การดูแลผู้ป่วยที่มีการอาการบาดเจ็บทาง 2. การสอบ Long case การจราจรที่ไม่ซับซ้อนและพบได้บ่อย โดยจัด 3. การสอบอัตนยั MEQ ให้มีการเรยี นการสอนแบบบรรยาย (Lecture), 4. การสอบปรนยั MCQ การสอนข้างเตียง (Bed-sided teaching) โดยอาจารย์และแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 2, 3 และฝึกปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วย ในแผนกฉกุ เฉนิ และหอผูป้ ่วยอบุ ตั เิ หตุ 3. ทักษะการเฝ้าระวังสอบสวนภัยจาก แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 เรียนรู้ทักษะการ 1. การสอบ OSCE ระบบการจราจรทั้งทางการแพทย์ เฝา้ ระวังสอบสวนโรคและภัยสุขภาพที่เก่ียวกับ 2. การสอบ Long case และเชิงวิศวกรรม การจราจร โดยจัดให้มีการเรียนการสอนแบบ 3. การสอบอตั นัย MEQ บรรยาย (Lecture) สัมมนาเชิงปฏิบัติการ 4. การสอบปรนัย MCQ (workshop) และฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง ภายใต้การควบคุมดูแลโดยอาจารย์และแพทย์ ประจำบา้ นช้นั ปที ี่ 2, 3 ข. แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 2,3 เรียนรู้ด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น ภายใต้การดูแล และใหค้ ำแนะนำของอาจารย์ ดงั นี้ มาตรฐานการเรียนรู้ วธิ กี ารใหก้ ารฝึกอบรม/กลยุทธ์การสอนทีใ่ ช้ กลยุทธ์การประเมนิ ผล พฒั นา การเรยี นรูใ้ นแต่ละด้าน 1. มีทักษะการให้คำปรึกษาด้าน แพทย์ประจำบ้านชน้ั ปีที่ 2,3 เรียนร้ทู กั ษะการให้ 1. การสอบ OSCE สาธารณสุขเกี่ยวกับระบบการจราจร คำปรกึ ษาการป้องกนั ภยั จากการจราจรท่ีซับซ้อน 2. การสอบ Long case ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศเน้น มากขึ้น การเดินทางในสถานการณ์หรือพื้นที่ 3. การสอบอตั นยั MEQ การประเมินสมรรถนะทั้งทางร่างกาย เฉพาะ โดยเน้นการบูรณาการความรู้ ทักษะการ 4. การสอบปรนยั MCQ และจิตใจของผูข้ ับข่ียานยนต์ ซักประวัติและการประเมินผู้โดยสารในระบบ

[6] มาตรฐานการเรยี นรู้ วิธกี ารให้การฝึกอบรม/กลยุทธก์ ารสอนทใี่ ช้ กลยุทธ์การประเมนิ ผล พัฒนา การเรยี นร้ใู นแต่ละดา้ น จราจรอย่างรอบด้าน (risk assessment) และให้คำแนะนำอย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึง สามารถเป็นที่ปรึกษาของแพทย์ประจำบา้ นชั้นปี ที่ 1 ได้ โดยจัดให้มีการเรียนการสอนแบบ บรรยาย แบบเน้นพัฒนาการเรียนรู้ (Active learning) โดยมีการมอบหมายงาน (assignment) และสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (workshop) การสอนแบบกรณีสาธิตและการสังเกตการณ์ (Case demonstration and observation) โดยอาจารย์แพทย์ และฝึกปฏิบัติในห้องฉุกเฉิน และหอผ้ปู ่วย 2. มีทักษะในการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการ แพทย์ประจำบา้ นชัน้ ปีท่ี 2,3 เรียนรทู้ ักษะการให้ 1. การสอบ OSCE บาดเจบ็ จากภัยทางจราจร การดูแลผู้ป่วยที่มีการอาการบาดเจ็บที่ซับซ้อน 2. การสอบ Long case โดยจัดให้มีการสอนสาธิตและการสังเกตการณ์ 3. การสอบอัตนยั MEQ (Case Demonstration and observation) 4. การสอบปรนยั MCQ สอนข้างเตียงและดูแลผู้ป่วยพร้อมกับอาจารย์ (Specialty Round) และสามารถเป็นที่ปรึกษา ให้กับแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 โดยฝึกปฏิบัติ การดแู ลผปู้ ว่ ยในหอผปู้ ่วย 3. ทักษะการเฝ้าระวังสอบสวนภัยจาก แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 2,3 เรียนรู้ทักษะการ 1. การสอบ OSCE ระบบการจราจรทัง้ ทางการแพทย์ และ เฝ้าระวงั สอบสวนโรคและภัยท่เี ก่ียวกบั การจราจร 2. การสอบ Long case เชิงวศิวกรรม โดยจัดให้มีการเรียนการสอนแบบ (Lecture) 3. การสอบอตั นัย MEQ สัมมนาเชิงปฏิบัติการ (workshop) และฝึก 4. การสอบปรนัย MCQ ปฏิบตั ใิ นสถานการณ์จรงิ ภายใตก้ ารใหค้ ำแนะนำ และดูแลของอาจารย์แพทย์ และเป็นพี่เลี้ยง ให้แกแ่ พทย์ประจำบ้านช้ันปีที่ 1 2) ความรู้ ความเช่ียวชาญ และความสามารถในการนำไปใชแ้ กป้ ัญหาของผ้ปู ่วย และสังคมรอบด้าน ในการป้องกนั ควบคุมโรคและการบาดเจบ็ จากการจราจร (Medical Knowledge and Skills) ก. แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 ศึกษาความรู้พื้นฐานด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (Lecture กลางที่สมาคมฯ จัดให้ สำหรบั แพทยป์ ระจำบ้านทุกแขนงเรียนพร้อมกัน) และความรทู้ ี่สำคัญเฉพาะแขนง ข. แพทยป์ ระจำบ้านชั้นปีท่ี 1, 2, 3 เรียนและปฏบิ ตั ิงานในแขนงเวชศาสตร์การจราจร ค. แพทย์ประจำบ้านทุกชั้นปี เข้าร่วมในกิจกรรมทางวิชาการ เช่น outbreak investigation, topic review, interesting case, morbidity-mortality conference, journal club เป็นตน้

[7] มาตรฐานการเรยี นรู้ วธิ ีการใหก้ ารฝกึ อบรม/กลยุทธ์การสอนทใ่ี ช้ กลยุทธ์การประเมินผล พัฒนา การเรียนรู้ในแตล่ ะด้าน 2.1 สามารถอธิบาย หลักการและการ เรียนรู้เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านเวชศาสตร์ 1. การสอบ OSCE ประยกุ ตด์ ้านเวชศาสตร์ปอ้ งกนั ทว่ั ไป ปอ้ งกัน 2. การสอบ Long case 2.2 สามารถอธิบาย หลักการของ เรียนและฝึกปฏิบัติงานในสาขาเฉพาะแขนง 3. การสอบอตั นัย MEQ การสอบสวนอุบัติเหตุ และการ เวชศาสตร์การจราจร เข้ารว่ มกิจกรรมวิชาการ 4. การสอบปรนัย MCQ ป ร ะ ย ุ ก ต ์ ด ้ า น เว ช ศ า ส ต ร ์ ป ้ อ ง กั น เช่น August Course, March Course และ การสังเกตการปฏิบัติงานใน เฉพาะแขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร การศึกษาระดับปริญญาโท สถานการณ์จริง 5. ประเมิน 360 2.3 สามารถอธิบาย หลักการของ ฝึกอบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านระบาดวิทยาจาก 6. แ ฟ ้ ม ส ะ ส ม ผ ล ง า น (Portfolio) ระบาดวทิ ยาและการเฝ้าระวังโรค หลักสูตรระยะสั้น June Course (โครงการ 7. แบบประเมินกิจกรรม ระบาดวิทยาภาคสนาม) และเข้าร่วมใน วชิ าการ กิจกรรมทางว ิช า กา ร เช ่น outbreak investigation, Topic review, interesting case, morbidity- mortality conference และ journal club เป็นตน้ 3) การพฒั นาตนเองและการเรียนรจู้ ากการปฏิบตั ิ (Practice-based Learning and Improvement) ระหว่างการฝึกอบรม 3 ปี แพทย์ประจำบา้ นทุกคนต้องไดร้ ับการฝกึ อบรมทักษะ ดังต่อไปน้ี ก. เรยี นรเู้ กย่ี วกบั การวจิ ัยทางการแพทย์และสาธารณสุข ข. เรียนรูก้ ารวิพากษ์บทความและงานวจิ ยั ทางการแพทย์และสาธารณสุข ค. ฝกึ การวิเคราะห์ปัญหา และค้นหาปัญหาวจิ ัย (research question) และสามารถนำเสนอโครงร่างการวิจัย และผ่านการประเมินจากอาจารยท์ ่ีปรึกษา ง. สามารถดำเนนิ การวจิ ยั ทางการแพทย์และสาธารณสขุ และเปน็ ไปตามมาตรฐานการวิจยั ทางการแพทย์และ สาธารณสขุ มาตรฐานการเรยี นรู้ วิธกี ารให้การฝึกอบรม/กลยุทธ์การสอนทใี่ ช้ กลยทุ ธ์การประเมินผล พัฒนา การเรยี นรู้ในแตล่ ะดา้ น 3.1 ส า ม า ร ถ ด ำ เ น ิ น ก า ร ว ิ จัย จัดอบรมหลักสูตรการทำวิจัย จริยธรรมการ 1. ประเมินความรู้ ความ ทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ วิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติทางการแพทย์ เข้าใจก่อนและหลังการ อย่างถูกต้อง และเป็นไปตาม การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการทำวิจัย อบรม มาตรฐานการวิจยั การเขียนบทความวิชาการ และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 2. ติดตามการดำเนินงาน 3.2 สามารถวิเคราะห์ปัญหา และ ที่ทางกรมควบคุมโรค จัดอบรมหรือส่งไปอบรม วิจัยตามเป้าหมายและ ค้นหาปัญหาวิจัย (research กบั เครือข่าย เวลา question) และสามารถนำเสนอ 3. การสอบอตั นยั MEQ โครงร่างการวิจัย และผ่านการ 4. การสอบปรนยั MCQ ประเมินจากอาจารย์ทป่ี รึกษา

[8] มาตรฐานการเรยี นรู้ วธิ ีการใหก้ ารฝึกอบรม/กลยุทธ์การสอนท่ีใช้ กลยุทธ์การประเมนิ ผล พฒั นา การเรียนรใู้ นแตล่ ะดา้ น 3.3 สามารถวิพากษ์บทความและ แพทย์ประจำบ้านทุกคนเข้าร่วมกิจกรรม แบบประเมินกิ จกรรม งานวจิ ัยทางการแพทย์ วิชาการและฝึกนำเสนอปัญหาในกิจกรรม วิชาการ วิชาการ เชน่ Journal club, Friday meeting งานประชุมวชิ าการท่ีเกี่ยวข้อง 4) ทักษะปฏสิ ัมพนั ธ์ และการส่ือสาร (Interpersonal and Communication Skills) แพทย์ประจำบา้ นทุกชนั้ ปตี ้องได้รับการฝึกอบรมทกั ษะ ดังตอ่ ไปน้ี ก. ฝึกสื่อสารให้ข้อมูลด้านเวชศาสตร์การจราจรแก่ผู้บาดเจ็บ ญาติ ประชาชน ชุมชน และสังคมได้อย่าง ถกู ต้องและมปี ระสิทธภิ าพ และไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อสังคม และชมุ ชน ข. ฝกึ การนำเสนอข้อมูลทางสาธารณสุขที่เกยี่ วข้องกับการจราจร และอภิปรายปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ค. ฝกึ ถา่ ยทอดความรู้และทักษะให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ประชาชน และชุมชน ง. เรียนรู้การเผยแพร่ สื่อสาร ข้อมูล ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่เกี่ยวกับเวชศาสตร์ป้องกัน เพอ่ื การป้องกนั ควบคมุ ภัยท่มี คี วามน่าเช่อื ถอื แก่สาธารณชน ชมุ ชน และสังคม จ. มีมนุษยสัมพนั ธท์ ีด่ ี ทำงานกับผู้รว่ มงานทุกระดับอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ฉ. ฝึกการเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่แพทย์และบุคลากรอื่น โดยเฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร มาตรฐานการเรียนรู้ วธิ กี ารใหก้ ารฝึกอบรม/กลยุทธ์การสอนทใ่ี ช้ กลยุทธก์ ารประเมินผลการ พฒั นา เรียนรู้ในแตล่ ะด้าน 4.1 ส า ม า ร ถ น ำ เ ส น อ ข ้ อ มู ล ฝึกนำเสนอข้อมูลผู้บาดเจ็บจากการจราจร การประเมินการนำเสนอ ผู้บาดเจ็บจากการจราจร ผู้ป่วย ผู้ป่วย ประชาชน ชุมชน และอภิปรายปัญหา ขอ้ มูลและอภิปรายปัญหา ประชาชน ชุมชน และอภิปราย อย่างมีประสิทธภิ าพ เชน่ Monday Meeting ปญั หาอย่างมปี ระสิทธภิ าพ 4.2 สามารถถ่ายทอดความรู้และ ฝึกปฏิบัติภาคสนามในการถ่ายทอดความรู้และ 1. ประเมิน 360 องศา ทักษะให้กับบุคลากรทางการแพทย์ การให้ข้อเสนอแนะแก่บุคลากรทางการแพทย์ 2 . แ ฟ ้ ม ส ะ ส ม ผ ล ง า น และสาธารณสุข ประชาชน และ และสาธารณสุข ประชาชน และชมุ ชน (Portfolio) ชมุ ชน 4.3 สามารถสื่อสารให้ข้อมูลด้าน จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการสื่อสารให้ 1. ประเมินความรู้ความเข้าใจ เวชศาสตร์การจราจร แก่ผู้บาดเจ็บ ข้อมูลด้านเวชศาสตร์การจราจร แก่ผู้บาดเจ็บ ก่อนและหลงั การอบรม ญาติ ประชาชน ชุมชน และสังคม ญาติ ประชาชน ชุมชน และสังคม โดยการสอน 2. แ ฟ ้ ม ส ะ ส ม ผ ล ง า น ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ส า ธ ิ ต แ ล ะ ก า ร ส ั ง เ ก ต ก า ร ณ์ ( Case (Portfolio) และไมส่ ง่ ผลกระทบทางลบต่อสังคม Demonstration and observation) เ ช่ น 3. ประเมิน 360 องศา และชมุ ชน August course, March course รวมทั ้ งฝึ ก ปฏบิ ัตงิ านในคลนิ ิกเวชศาสตรก์ ารจราจร

[9] มาตรฐานการเรยี นรู้ วิธกี ารใหก้ ารฝกึ อบรม/กลยุทธ์การสอนท่ีใช้ กลยทุ ธ์การประเมินผลการ พัฒนา เรยี นรู้ในแตล่ ะด้าน 4.4 สามารถเผยแพร่ ส่ือสาร ขอ้ มูล ความรู้ด้านการแพทย์และ จัดอบรมการเผยแพร่ สื่อสาร ข้อมูล ความรู้ 1. การสอบปากเปล่า OSCE สาธารณสุขท่ีเกยี่ วกบั เวชศาสตร์ ดา้ นการแพทย์และสาธารณสุขและ ฝกึ ปฏิบัติ 2. ประเมนิ 360 องศา ป้องกนั เพ่ือการป้องกันการ บาดเจบ็ ท่ีมีความนา่ เชื่อถือ แก่ ศึกษาระบบเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพ สาธารณชน ชุมชน และสงั คม 4.5 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำงาน ฝึกปฏบิ ตั งิ านร่วมกบั สหวชิ าชีพทุกระดับ ประเมิน 360 องศา ประเมิน ก ั บ ผ ู ้ ร ่ ว ม ง า น ท ุ ก ร ะ ด ั บ อ ย ่ า ง มี โดยอาจารย์พี่เลยี้ งท่ีดูแลการ ประสิทธิภาพ ฝกึ ปฏิบัติ 4.6 เป็นทป่ี รึกษาและให้คำแนะ ฝึกปฏิบัติการเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ 1. การสอบ OSCE นำแก่แพทย์และบุคลากรอ่ืน แก่แพทย์และบุคลากรอื่น โดยเฉพาะทาง 2. ประเมิน 360 องศา โดยเฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน เวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์ แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร การจราจร 5) ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) แพทย์ประจำบา้ นทุกชน้ั ปีต้อง ก. เรียนรู้การมีคุณธรรม จรยิ ธรรม และเจตคติอันดตี ่อผู้โดยสารในระบบจราจร ผู้ป่วย ญาติ เพื่อนร่วมวิชาชีพ ประชาชนและชมุ ชน จากอาจารย์และแพทย์รุ่นพี่ ข. พัฒนาจิตสำนึกแห่งการป้องกันโรค (Preventive Mind) ค. ฝึกทักษะด้านที่ไม่ใช่เทคนิค (Non-technical skills) และสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ท่ี เก่ยี วข้องไดเ้ หมาะสม ง. พัฒนาตนเองให้มีความสนใจใฝ่รู้ และสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต (Continuous professional development) มาตรฐานการเรยี นรู้ วิธกี ารใหก้ ารฝกึ อบรม/กลยุทธก์ ารสอนท่ใี ช้ กลยุทธ์การประเมินผลการ พฒั นา เรยี นรูใ้ นแตล่ ะด้าน 5.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และเจต คติอันดีต่อผู้โดยสารในระบบจราจร จัดอบรมเร่ืองจริยธรรมทางการแพทย์ 1. ประเมินความรู้ ความ ผู้ป่วย ญาติ เพื่อนร่วมวิชาชีพ เขา้ ใจก่อนและหลังการอบรม ประชาชน และชุมชน 2. ประเมิน 360 องศา 5.2 มีความเข้าใจและยอมรับใน แพทย์ประจำบ้านเรียนรู้ความแตกต่างของ ประเมิน 360 องศา ความแตกต่างของวัฒนธรรมใน วัฒนธรรมในผู้โดยสารในระบบจราจร และเข้า ผู้โดยสารในระบบจราจร และเข้า ใจความแตกต่างในความเชื่อ ความคิดของ ใจความแตกตา่ งในความเช่ือ ความคดิ ผโู้ ดยสารในระบบจราจร ด้วยตนเอง ของผู้โดยสารในระบบจราจร

[10] มาตรฐานการเรียนรู้ วิธกี ารให้การฝกึ อบรม/กลยุทธ์การสอนทใ่ี ช้ กลยุทธก์ ารประเมินผลการ พฒั นา เรียนรใู้ นแตล่ ะด้าน 5.3 มีจิตสำนึกแห่งการป้องกันโรค จัดกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและ ประเมนิ 360 องศา (Preventive Mind) ปอ้ งกนั โรค 5.4 มีทักษะด้านที่ไม่ใช่เทคนิค พัฒนาให้มีเจตคติที่ดีระหว่างการปฏิบัติงาน ประเมิน 360 องศา โดยการ ( Non- technical skills) แ ล ะ ส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่ประกอบไปด้วย สังเกตการปฏิบัติจริงจาก สามารถบริหารจัดการสถานการณ์ ทักษะทางปัญญา ทางสังคม และทักษะรอบ อาจารยพ์ ี่เลี้ยง ทีเ่ ก่ยี วข้องได้เหมาะสม ด้านของบุคคล ที่ใช้ร่วมกับความรู้และ technical skill 5.5 สามารถพัฒนาตนเองให้มีความ 1. แพทย์ประจำบ้านเรียนรู้การพฒั นาตนเอง 1. ประเมนิ 360 องศา สนใจใฝ่รู้ และสามารถพัฒนาไปสู่ ให้มีความสนใจใฝ่รู้ และสามารถพัฒนา 2. ติดตามความก้าวหน้า ความเป็นผู้เรียนรู้ต่อเนื่องตลอด ไปสู่ความเป็นผู้เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต ของงานวิจัยที่แพทย์มีส่วน ชีวิต (Continuous professional (Continuous professional development) ร่วม development) 2. ทำงานวิจยั โดยเป็นผ้วู ิจัยหลกั /รว่ ม 6) การปฏิบตั ิงานให้เขา้ กบั ระบบ (System-based Practice) แพทยป์ ระจำบา้ นทกุ ชนั้ ปี ก. เรียนรู้เกี่ยวกับระบบสุขภาพ และการสาธารณสุข ในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และนานาชาติที่ เกยี่ วข้อง ข. ฝกึ การมสี ว่ นรว่ มในระบบพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษา และปอ้ งกันผ้ปู ่วย ประชาชน และชมุ ชน ค. เรียนรู้การใช้ทรัพยากรสุขภาพอย่างเหมาะสม (cost consciousness medicine) และสามารถ ปรับเปลี่ยนการดูแลรักษาและป้องกันผู้ป่วย ประชาชน และชุมชน ให้เข้ากับบริบทของการบริการ สาธารณสขุ ไดต้ ามมาตรฐานวิชาชีพ มาตรฐานการเรียนรู้ วธิ ีการใหก้ ารฝึกอบรม/กลยุทธก์ ารสอนทใี่ ช้ กลยุทธก์ ารประเมนิ ผลการ พัฒนา เรยี นรใู้ นแต่ละด้าน 6.1 มีความรู้เกี่ยวกับระบบสุขภาพ ฝกึ ทกั ษะ ประสบการณ์ภาคสนาม ประเมิน 360 องศา โดย และการสาธารณสุขในระดบั ประเทศ อาจารย์พ่ีเลี้ยง ระดับภูมิภาค และนานาชาติที่ เกี่ยวข้อง 6.2 มีส่วนร่วมในระบบพัฒนา ฝึกทกั ษะ ประสบการณภ์ าคสนาม ประเมิน 360 องศา โดย คุณภาพการดูแลรักษา และป้องกัน อาจารยพ์ ี่เลี้ยง ผปู้ ่วย ประชาชน และชุมชน 6.3 ใช้ทรัพยากรสุขภาพอย่าง ฝึกทกั ษะ ประสบการณ์ภาคสนาม ประเมิน 360 องศา โดย เหมาะสม (cost consciousness อาจารย์พี่เลีย้ ง medicine) และสามารถปรับเปลี่ยน การดูแลรักษาและป้องกันผู้ป่วย ประชาชน และชุมชน ให้เข้ากับ

[11] มาตรฐานการเรยี นรู้ วธิ กี ารใหก้ ารฝึกอบรม/กลยุทธ์การสอนท่ใี ช้ กลยุทธ์การประเมนิ ผลการ พฒั นา เรยี นรู้ในแตล่ ะด้าน บริบทของการบริการสาธารณสุขได้ ตามมาตรฐานวิชาชพี 6.2 เนอื้ หาของการฝึกอบรม/หลักสตู ร 6.2.1 ความรพู้ ืน้ ฐานของเวชศาสตร์ปอ้ งกันทั่วไป ประกอบไปด้วย • พื้นฐานและหลักการของเวชศาสตร์ป้องกันทั่วไป (Fundamental and Principle of Preventive Medicine) • ความรู้พื้นฐานของเวชศาสตร์ป้องกันเฉพาะแขนงทั่วไป (Fundamental of Special Branch in Preventive Medicine) รายละเอยี ดในภาคผนวกที่ 1 6.2.2 ความรูพ้ ้ืนฐานของเวชศาสตร์ปอ้ งกนั เฉพาะแขนง • ความร้พู ืน้ ฐานด้านเวชศาสตร์การจราจร • การใหค้ ำปรึกษาเกีย่ วกับระบบจราจรในมุมมองด้านสาธารณสขุ • การควบคมุ ปอ้ งกนั และรกั ษาภัยจากการจราจร • สามารถระบปุ ัญหาทางการแพทย์และสาธารณสขุ ทสี่ ำคญั ในเวชศาสตร์การจราจร • วิทยาการระบาด การเฝ้าระวงั สอบสวนโรคทเ่ี ก่ียวกบั การจราจร/ระเบียบวธิ ีวิจยั • เวชศาสตร์การบนิ ทเี่ ก่ียวข้องกบั เวชศาสตร์การเดนิ ทาง • การเฝ้าระวงั สอบสวนโรค และตรวจรักษาภยั จากการจราจร รายละเอียดในภาคผนวกท่ี 2 6.2.3 ทกั ษะ เจตคตขิ องวิชาชพี และความรู้ด้านบรู ณาการ แพทย์ประจำบ้านทกุ ชั้นปีตอ้ งเรยี นรู้ ดงั ตอ่ ไปน้ี • ทักษะและเจตคตขิ องวชิ าชพี o การสรา้ งความสมั พนั ธท์ ีด่ รี ะหวา่ งแพทย์และผปู้ ว่ ย o การรกั ษามาตรฐานการดแู ลรกั ษาผู้ป่วยใหด้ ีท่ีสดุ o การยดึ ถือประโยชน์ของผปู้ ว่ ยเปน็ สำคัญ o ความปลอดภยั ของผู้ป่วย o ทกั ษะการสื่อสารกบั ผู้ปว่ ย ญาตแิ ละบุคลากรทางการแพทย์อน่ื ๆ o มารยาทในการดูแลผู้ปว่ ยขา้ งเตยี ง o การเรียนร้ตู ลอดชีวิต และการถา่ ยทอดความรใู้ หผ้ ้ปู ่วย ญาติ เพอื่ นร่วมงาน ฯลฯ • ความรดู้ า้ นกฎหมาย o การบันทึกเวชระเบียนท่ีครบถว้ นถกู ตอ้ ง o การขอความยนิ ยอมจากผู้ปว่ ยในการดแู ลรกั ษาและการทำหัตถการ o สทิ ธิผปู้ ว่ ย o การให้ขอ้ มูลผปู้ ว่ ยทถี่ กู ต้องครบถว้ น o พรบ.วชิ าชพี เวชกรรม และจรยิ ธรรมแห่งวิชาชพี o การฟ้องร้องทางการแพทย์และการป้องกัน

[12] o กฎอนามัยสุขภาพระหวา่ งประเทศ (International Health Regulation) o พรบ. ท่เี กี่ยวข้อง • ความรู้ด้านการบรหิ ารจัดการทางการแพทย์ o ระบบประกันสุขภาพต่างๆ เช่น ระบบประกันสุขภาพทั่วหน้า ระบบประกันสังคม ระบบ ประกันสุขภาพเอกชน o ระบบประกันสุขภาพระหว่างเดินทาง และระบบการประกันสุขภาพของต่างประเทศหลักการ บรหิ ารจัดการ การใช้ยาและทรพั ยากรอย่างสมเหตุสมผล o บทบาทของการแพทยท์ างเลอื ก การดแู ลรักษาสุขภาพของตนเอง o ระบบคา่ ตอบแทนทางการแพทย์ เชน่ pay for service, DRG o ระบบและกระบวนการรบั รองคณุ ภาพของโรงพยาบาล เช่น HA, JCI • ความรู้เฉพาะแขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร o สถิติ ตัวเลขภาพรวมของระบบจราจรของประเทศไทย และประเทศอื่นๆในภูมภิ าค o โครงสร้างของภาครฐั ท่เี ก่ียวกับการจราจรของประเทศ เชน่ กระทรวงคมนาคม กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ ฯลฯ o ระบบการช่วยเหลือทางการจราจรในปัจจุบัน เช่น สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กองบญั ชาการตำรวจทอ่ งเท่ยี ว

[13] ตารางการฝกึ อบรม แพทย์ประจำบา้ น รายวชิ า ชน้ั ปที ่ี 1 ช้นั ปีที่ 2 ชัน้ ปที ี่ 3 (สปั ดาห์) (สปั ดาห์) (สัปดาห์) พื้นฐานและหลักการของเวชศาสตรป์ ้องกนั ท่ัวไป 6 พ้ืนฐานและหลักการของเวชศาสตรก์ ารจราจร การใหค้ ำปรึกษาระบบจราจรในมุมมองสาธารณสขุ 4 การควบคุม ป้องกัน และรักษาการบาดเจ็บจากการจราจร 3 ระบบคมนาคม ปญั หาทางการแพทย์และสาธารณสุขท่สี ำคัญ ในเวชศาสตร์การจราจร 8 การเฝา้ ระวงั ตรวจรกั ษา และติดตามผู้บาดเจ็บจากระบบ 8 จราจร วิทยาการระบาด การเฝ้าระวัง สอบสวนโรคที่เกีย่ วกบั 8 การจราจร ระเบียบวธิ ีวจิ ยั 6 เวชศาสตรก์ ารบนิ ทเ่ี ก่ียวข้องกับเวชศาสตรก์ ารจราจร วชิ าเลอื ก 2 4 เวชศาสตรก์ ารจราจรระดบั สูง 8 การฝึกอบรมเวชศาสตร์การจราจรภาคปฏบิ ัติ 10 (ศลั ยกรรมท่วั ไป ศลั ยกรรมกระดูก และเวชกรรมท่เี ก่ยี วข้อง) 24 ทกั ษะ/เจตคติของวิชาชพี และความรู้ดา้ นบรู ณาการ 32 ปริญญาโทสาขาทเ่ี กย่ี วข้อง เชน่ สาธารณสขุ วิศวกรรมการ 48* ประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ 48 48 48 รวมระยะเวลา * หมายเหตุ 1. หลักสตู รปรญิ ญาโทสามารถศกึ ษาในภาคปกติ ภาคพเิ ศษ และ/หรือปรับเปลย่ี นช้ันปที ี่ศกึ ษาได้ตามหลักการ ของสถาบนั ฝกึ อบรม 2. หากแพทย์ประจำบา้ นสำเรจ็ การศึกษาปริญญาโทมาแลว้ ในสาขาที่เกี่ยวขอ้ งหรอื เทียบเท่า ให้สามารถเทียบ วฒุ กิ ารศกึ ษาได้ ท้ังนต้ี อ้ งอยู่ในดลุ ยพินิจของคณะกรรมการคดั เลือกแพทยป์ ระจำบ้าน

[14] การทำวจิ ัย แพทย์ประจำบ้านต้องทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเวชศาสตร์การจราจร ได้แก่ งานวิจัยแบบ Retrospective/ prospective/cross sectional/systematic review/meta-analysis 1 เรื่องในระหว่างฝึกอบรม ที่สถาบัน 2 ปี โดยเป็นผู้วิจัยหลัก และวิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์ในระดับปริญญาโท 1 เรื่อง ทั้งนี้ ต้องได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย Thai-Journal Citation Index Center-TCI หรือตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ ที่ผ่าน Peer review ก่อนสอบวัดความรู้เพ่ือ วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกั น แขนงเวชศาสตร์ การจราจร คณุ ลกั ษณะของงานวจิ ัย 1) เป็นผลงานที่ริเริ่มใหม่ หรือเป็นงานวิจัยที่ใช้แนวคิดที่มีการศึกษามาก่อนทั้งในและต่างประเทศ แต่นำมาศึกษาเพมิ่ เตมิ เพื่อให้ดีขนึ้ หรือเข้ากบั บรบิ ทของชมุ ชนหรอื ประเทศ 2) แพทย์ประจำบ้านและอาจารย์ผู้ดำเนินงานวิจัยทุกคน ควรผ่านการอบรมด้านจริยธรรมการวิจัยในคน งานวจิ ัยในคนทุกเรื่องต้องไดร้ ับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวจิ ัยของกรมควบคุมโรคและ หน่วยงานท่ีไดร้ ับการรับรอง และไม่คดั ลอกผลงานจากผ้อู น่ื (Plagiarism) 3) งานวิจัยทกุ เรื่องต้องทำตามระเบยี บวจิ ยั ทถ่ี กู ต้องและเหมาะสมกับคำถามวิจยั 4) ควรใช้ภาษาอังกฤษในการนำเสนอผลงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์โดยเฉพาะในบทคดั ย่อ ขั้นตอนการดำเนินการวิจยั 1) ทบทวนวรรณกรรม และเตรียมคำถามการวิจัย ติดต่ออาจารยท์ ปี่ รกึ ษา 2) นำเสนอคำถามงานวจิ ยั 3) จัดทำโครงรา่ งงานวจิ ัย 4) นำเสนอโครงร่างงานวจิ ยั 5) สอบโครงร่างการวจิ ัย 6) ขออนุมัติการวิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของกรมควบคุมโรคหรือหน่วยงานที่ได้รับ การรบั รอง 7) เกบ็ ขอ้ มลู เสนอความคบื หน้างานวิจยั ต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาเป็นระยะ 8) วิเคราะห์ข้อมูล อภิปรายและจัดทำรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ภายใต้การดูแลของคณะอาจารย์ท่ี ปรกึ ษาหลกั และท่ปี รกึ ษาร่วม 9) สอบป้องกนั งานวิจยั 10) ส่งรายงานการวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ต่อกรมควบคุมโรค เพ่อื ส่งตอ่ ให้สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแหง่ ประเทศไทย 11) ตีพิมพ์หรือนำเสนอผลงานในการประชุมวิชาการ ในกรณีที่ต้องการเสนอพิจารณาเพื่อเทียบวุฒิ การศกึ ษาปริญญาเอก ต้องทำตามหลักเกณฑข์ องสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา รายงานการวิจัยฉบับสมบรู ณ์ตอ้ งประกอบด้วยหัวข้อหลัก ดงั น้ี 1) บทคัดยอ่ 2) ความเป็นมาของการวิจยั 3) จุดประสงค์ของการวจิ ัย 4) ระเบียบวิธกี ารวิจยั 5) ผลการวจิ ยั 6) การวิจารณผ์ ลการวจิ ัย 7) เอกสารอา้ งองิ

[15] 6.3 จำนวนปขี องการฝึกอบรม 3 ปี 6.4 การบริหารการจดั การฝึกอบรม กรมควบคุมโรคมีคณะกรรมการซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบบริหารจัดการ ประสานงาน และประเมินผล สำหรับแตล่ ะขั้นตอนของการฝึกอบรม รวมทั้งพัฒนาหลักสตู รและวางแผนการฝึกอบรมรว่ มกบั ผมู้ สี ่วนไดส้ ่วนเสีย เพ่อื ให้สอดคลอ้ งกับบรบิ ทของประเทศและสถานการณ์โลก ประธานแผนการฝึกอบรม/หลักสูตร ของสถาบันมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสาขา มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ภายหลังได้รับหนังสือวุฒิบัตรหรืออนุมัติฯ และได้รับการรับรองจากสมาคมเวชศาสตร์ ปอ้ งกนั แหง่ ประเทศไทย กรมควบคุมโรค รับผิดชอบการฝึกอบรมด้านการดูแล รักษา และฟื้นฟูผู้บาดเจ็บ ในเชิงคลินิก โดยจัดให้มีการอบรมด้านระบาดวิทยาพื้นฐาน ด้านเวชศาสตร์การจราจรระดับพื้นฐานและระดับกลาง ดา้ นการสอบสวนโรคและภัยสุขภาพ ดา้ นการวจิ ัย ดา้ นระบบฐานข้อมลู และการจดั การโครงการด้านการจราจร แพทย์ประจำบ้านฝึกปฏิบัติงานโดยรับผิดชอบในด้านดูแลผู้ป่วยอุบตั ิเหตุในห้องฉุกเฉนิ และสถานที่เกิดเหตุ การ ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมทั่วไป ผปู้ ่วยศลั ยกรรมเฉพาะและผู้ปว่ ยศลั ยกรรมกระดูกทีเ่ ก่ียวกับอุบัติเหตุ การดูแลผู้ป่วย เวชกรรมฟื้นฟู และเวชกรรมสังคมท่เี ก่ียวกับอุบตั ิเหตุ รวมถึงการศึกษาระบบการบริหารจัดการในการดำเนินงาน ดา้ นการจราจรในพ้ืนท่ี โครงการต่างๆท่ีเกี่ยวข้องกับระบบการจราจร และการสอบสวนโรคและภัยสุขภาพท่ีเกิด อุบตั ิเหตุในระบบจราจร ศึกษาในระดับปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรวิศวกรรมการประเมินและ ความปลอดภัยยานยนต์ เพื่อให้แพทย์ประจำบ้านมีความรู้เรื่องหลักการวิจัยและเครื่องมือในการออกแบบ ทางวิศวกรรม หลักพ้ืนฐานทางยานยนต์และการประเมินคุณภาพยานยนต์ การยอ้ นรอยอบุ ัติเหตแุ ละการจำลอง ผใู้ ช้รถใชถ้ นน รวมทง้ั มาตรฐานยานยนต์และกฏระเบยี บข้อบังคับ เพอื่ ประยกุ ต์องค์ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการ สอบสวนโรคและภัยสขุ ภาพทเ่ี กิดอบุ ัติเหตุในระบบจราจรอยา่ งมปี ระสิทธิภาพสงู สดุ รายละเอียดสถานทฝ่ี ึกอบรม ระยะเวลา 18 เดือน 1. กรมควบคุมโรค และสถานท่อี ืน่ ๆ - การอบรมดา้ นระบาดวทิ ยาพืน้ ฐาน (June course) - การอบรมเวชศาสตร์การจราจรพ้นื ฐาน - การอบรมเวชศาสตร์การจราจรระดบั กลาง - การอบรมการสอบสวนโรค และภยั สุขภาพ - การอบรมด้านการวิจยั และกระบวนการทำวจิ ัย - การศึกษาด้านระบบฐานข้อมูลและการจัดการโครงการด้านการจราจร กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคมุ โรค - การเตรียมความพร้อมทางด้านคลินกิ เวชศาสตรฉ์ ุกเฉนิ ศัลยกรรม และศัลยกรรม กระดูกในสถาบนั บำราศนราดูร - การสอน การบรรยาย และการศึกษาดงู านสัปดาหล์ ะ 1 คร้งั - การศึกษาดูงาน และฝกึ งานในหนว่ ยงานทเี่ ก่ียวข้อง ไดแ้ ก่ คณะวิศวกรรมศาสตรฯ์ กรมทางหลวง สำนักงานตำรวจแหง่ ชาติ เปน็ ต้น

[16] ระยะเวลา 3 เดอื น รายละเอียดสถานที่ฝึกอบรม 3 เดอื น - วิชาเลอื ก - การเตรียมตัวสำหรับการสอบ และการสอบ 4 เดอื น 12 เดอื น - การศึกษาด้วยตนเอง 2. โรงพยาบาลขอนแกน่ - สสจ. ขอนแกน่ 1 เดอื น - ศปถ. และหน่วยงานอ่ืนๆท่ีเก่ียวขอ้ งภายในจงั หวัด - การดแู ลผปู้ ่วยอบุ ตั เิ หตใุ นหอ้ งฉุกเฉิน และสถานทีเ่ กิดเหตุ - การดูแลผู้ปว่ ยศัลยกรรมทวั่ ไปที่เกย่ี วกบั อุบัติเหตุ - การดูแลผู้ป่วยศลั ยกรรมเฉพาะทาง เช่น ทางเดินปสั สาวะ ทเ่ี ก่ียวกบั อบุ ัตเิ หตุ - การดแู ลผปู้ ่วยศัลยกรรมกระดกู ทเ่ี กยี่ วกับอุบตั เิ หตุ - การดูแลผู้ปว่ ยเวชกรรมฟืน้ ฟู และเวชกรรมสงั คมท่ีเก่ยี วกับอุบัติเหตุ - การศกึ ษาระบบการบรหิ ารจดั การในการดำเนนิ งานด้านการจราจรในพนื้ ท่ี - โครงการต่างๆท่ีเกย่ี วข้องกับระบบการจราจร - การสอบสวนโรคและภยั สขุ ภาพท่ีเกิดอบุ ตั ิเหตุในระบบจราจร 3. โรงพยาบาลวชิระภเู กต็ - สสจ ภูเกต็ 1 เดอื น - ศปถ. และหน่วยงานอน่ื ๆทเ่ี กย่ี วข้องภายในจังหวัด - การดแู ลผปู้ ว่ ยอบุ ตั ิเหตุในหอ้ งฉกุ เฉิน และสถานท่ีเกิดเหตุ - การดูแลผู้ปว่ ยศลั ยกรรมทว่ั ไปที่เกี่ยวกบั อบุ ตั เิ หตุ - การดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมเฉพาะทาง เชน่ ทางเดินปสั สาวะ ทเี่ ก่ยี วกับอบุ ตั เิ หตุ - การดูแลผู้ปว่ ยศัลยกรรมกระดกู ที่เกย่ี วกับอุบตั เิ หตุ - การดแู ลผปู้ ่วยเวชกรรมฟื้นฟู และเวชกรรมสงั คมท่ีเกย่ี วกับอบุ ัติเหตุ - การศึกษาระบบการบริหารจดั การในการดำเนินงานด้านการจราจรในพืน้ ที่ - โครงการตา่ งๆท่เี กีย่ วขอ้ งกับระบบการจราจร - การสอบสวนโรคและภยั สุขภาพท่ีเกิดอุบตั ิเหตุในระบบจราจร 4. สถาบันการศึกษาในระดบั ปริญญาโท - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หลักสูตรวิศวกรรมการ ประเมนิ และความปลอดภยั ยานยนต์ - มหาวิทยาลยั ทจ่ี ัดการเรยี นการสอนในหลักสูตร/สาขาท่เี กี่ยวข้อง

[17] 6.5 สภาวะการปฏิบัติงาน กรมควบคมุ โรคจัดให้มสี ภาวะการปฏบิ ัตงิ าน ดงั ตอ่ ไปน้ี • ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเข้าร่วมกิจกรรมวิชาการ (รวมถึงการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ) ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรม โดยระบุกฎเกณฑ์และประกาศชัดเจนเรื่องเงื่อนไขงานบริการและ ความรับผิดชอบของผเู้ ข้ารับการฝึกอบรม • มีการกำหนดการฝึกอบรมทดแทนในกรณีที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีการลาพัก เช่น การลาคลอดบุตร การเจ็บป่วย การเกณฑ์ทหาร การถูกเรียกฝึกกำลังสำรอง การศึกษาดูงานนอกแผนการฝึกอบรม/ หลักสตู ร • จัดให้มีค่าตอบแทนผู้เข้ารบั การฝึกอบรมอย่างเหมาะสมกบั ตำแหนง่ และงานที่ได้รับมอบหมาย • กำหนดให้ชั่วโมงการทำงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรมนอกเวลาราชการ ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ (อ้างองิ ตามประกาศแพทยสภา) • มีการกำหนดระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในระหว่างการฝึกอบรมของผู้เข้ารับการฝึกอบรม (รายละเอยี ดตามคูม่ ือการฝกึ อบรมแพทย์ประจำบ้านฯ กรมควบคมุ โรค) 6.6 การวัดและประเมินผล กรมควบคุมโรคจัดกระบวนการการวัดและประเมินผลเป็นระยะและแจ้งให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับทราบ โดยสามารถตรวจสอบและอทุ ธรณผ์ ลไดเ้ ม่ือต้องการ การวัดและประเมินผลผเู้ ขา้ รับการฝกึ อบรม ประกอบดว้ ย 6.6.1 การวดั และประเมนิ ผลระหวา่ งการฝกึ อบรมและการเล่ือนชนั้ ปี • การประเมนิ ระหว่างการฝกึ อบรม กรมควบคุมโรคจัดให้มีการประเมินแพทย์ประจำบ้านระหว่างการฝึกอบรม (Formative evaluation) พร้อมทั้งแจ้งผลให้แพทย์ประจำบ้านทราบอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่แพทย์ประจำบ้านไม่ผ่านการประเมิน สถาบัน ฝกึ อบรม จดั ใหม้ ีการสอบแกต้ ัว/ทำช้ินงานเพิ่มเติม/ฝึกปฏบิ ัติเพ่ิมเติมตามความเหมาะสม ครอบคลุมท้ังด้านความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และกิจกรรมทางการแพทย์ ในมติ ติ ่างๆ ดงั น้ี มิติที่ 1 ประเมินสมรรถนะ EPA ตามท่ีคณะกรรมการฝึกอบรมและสอบ (อฝส.) กำหนดโดยอาจารย์ (ภาคผนวกท่ี 3,4,5) มติ ทิ ี่ 2 การรายงานผลการสอบของสถาบนั ฝึกอบรม (ผา่ น/ไมผ่ า่ น) มติ ิที่ 3 การรายงานประสบการณเ์ รียนรู้จากผูป้ ่วย: portfolio มิติท่ี 4 การรายงานความกา้ วหน้างานวิจัย มติ ทิ ่ี 5 การร่วมกจิ กรรมประชมุ วิชาการทางเวชศาสตร์การจราจร มิติที่ 6 การประเมินสมรรถนะด้าน professionalism and interpersonal and communication skills โดยอาจารย์และผู้ร่วมงาน • การบนั ทึกข้อมูลผลการประเมนิ ผ้เู ขา้ รบั การฝกึ อบรมทำโดย กรมควบคุมโรค ทำการบันทึกข้อมูล (E-folio) ผลการประเมินผู้เข้ารับการฝึกอบรมในมิติที่ 1 - 6 เป็นรายบุคคล และรายงานผลไปยังคณะกรรมการฝึกอบรมและสอบ (อฝส.) ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยผลการ ประเมนิ ดังกล่าวจะนำไปใชใ้ นกรณเี ล่ือนระดับชน้ั ปี และพจิ ารณาคุณสมบัตผิ เู้ ขา้ สอบเพ่ือวฒุ บิ ัตรฯ • เกณฑ์การเลอ่ื นช้ันปี 1) ปฏบิ ตั งิ านไดไ้ ม่ต่ำกว่ารอ้ ยละ 80 ของระยะเวลาการฝึกอบรม 2) ผ่านการประเมนิ ตามมิติต่างๆ ท่กี ำหนดในหลักสูตร โดยไดค้ ะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของแต่ละ มิติ ยกเว้นการสอบตามมิติที่ 2 สถาบันฝึกอบรมกำหนดให้แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1

[18] ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 และแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 2 ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของขอ้ สอบแต่ละประเภท หากไมผ่ า่ นการประเมินดงั กลา่ วใหม้ ีการสอบแกต้ ัว/ทำช้นิ งานเพ่ิมเติม/ ฝกึ ปฏบิ ัตเิ พิ่มเตมิ ตามท่ีกำหนด 3) ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ EPA (ภาคผนวก 3,4,5) 4) ปฏิบตั งิ านไดส้ อดคล้องตามข้อกำหนดของสถาบันและไม่ก่อใหเ้ กิดความเสื่อมเสยี แก่สถาบัน • แนวทางการดำเนินการกรณไี มผ่ า่ นการประเมินเพ่อื เลื่อนช้ันปี 1) ต้องสอบแก้ตัว (กรณีการสอบแก้ตัวสามารถสอบได้เพียง 2 ครั้ง)/ทำชิ้นงานเพิ่มเติม/ฝึกปฏิบัติ เพมิ่ เติมตามทีส่ ถาบนั ฯกำหนด ถา้ ผ่านการประเมินถึงสามารถเล่ือนช้นั ปีได้ 2) ถ้าไม่ผ่านการประเมินเพื่อเลื่อนชั้นปีซ้ำตามข้อที่ 1 หรือไม่ผ่านการประเมินเพื่อรับการเสนอชื่อ เข้าสอบวฒุ ิบัตร ต้องปฏบิ ัติงานในระยะช้นั ปเี ดิมอีก 1 ปี (ซ้ำชัน้ ป)ี 3) หลังจากปฏิบัติงานซ้ำในชั้นปีเดิมอีก 1 ปี แล้วยังไม่ผ่านการประเมินเพื่อเลื่อนชั้นปี ให้ยุติการ ฝกึ อบรม ทง้ั นี้ สถาบนั ฯ จะสง่ ผลการประเมินแพทย์ประจำบ้าน ภายในวันที่ 31 กรกฎาคมของทุกปี เพอ่ื เสนอที่ประชุมคณะอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบ (อฝส.) สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่ง ประเทศไทย และแพทยสภาตามลำดับ 6.6.2 การวัดและประเมินผลเพื่อวฒุ บิ ัตรฯ การสอบเพอื่ วฒุ บิ ตั รฯ • คณุ สมบัติผมู้ สี ทิ ธเิ์ ข้าสอบ 1) ผ่านการฝกึ อบรมครบตามหลักสูตร ไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 80 ของระยะเวลาการฝกึ อบรม 2) ผ่านการประเมินความรู้ ทักษะ และเจตคติ ตลอดการฝึกอบรม 3 ปี 3) ส่งชิ้นงานวิจัยในระหว่างฝึกอบรมท่ีสถาบันฝึกอบรม 1 เรื่อง และวิทยานิพนธ์/สารนิพนธ์ ที่ใช้ประกอบการสำเร็จหลักสูตรปริญญาโท 1 เรื่อง พร้อมมีการเผยแพร่ผลงานหรือได้รับการ ตอบรบั ใหเ้ ผยแพร่ในวารสารวิชาการแล้ว 4) สถาบนั ฝกึ อบรมเห็นสมควรและเสนอชื่อให้เข้าสอบ • เอกสารประกอบ 1) เอกสารรบั รองประสบการณ์ภาคปฏิบตั ิจากสถาบันฝึกอบรม 2) รายงานวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ และใบรบั รองจากคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวิจยั ในมนุษย์ 3) รายงานการเผยแพรง่ านวิจยั ตามเกณฑ์ท่ีคณะอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบ (อฝส.) กำหนด • วธิ ีการประเมินเพื่อวุฒบิ ัตร ประกอบดว้ ย 1) ขอ้ สอบกลางของสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแหง่ ประเทศไทย เป็นขอ้ สอบปรนยั (300 คะแนน) เนอื้ หาประกอบด้วย • ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน และความรู้พื้นฐานด้านเวชศาสตร์ป้องกัน 200 คะแนน • ความรเู้ ฉพาะแขนงเวชศาสตร์การจราจร 100 คะแนน 2) ข้อสอบเฉพาะแตล่ ะแขนง (700 คะแนน) ประกอบด้วย • การสอบปรนยั (MCQ) ในแขนงของตนเอง (200 คะแนน) • การสอบอัตนยั (MEQ, essay, short answer question) (200 คะแนน) • การสอบรูปแบบอื่นๆ (300 คะแนน) โดยสถาบันสามารถเลือกรูปแบบและกำหนดสัดส่วน การสอบได้เอง โดยต้องมีการสอบอย่างนอ้ ย 2/3 รปู แบบ คอื

[19] o การสอบ OSCE (Objective Structured Clinical Examination) o การสอบ Long case/Long Scenario ทดสอบทกั ษะการแกป้ ญั หาในแขนงท่เี กย่ี วขอ้ ง o การสอบปากเปลา่ (Oral Examination) 3) ผา่ นการประเมินผลงานวิจัย 4) ผ่านการประเมินผลปฏิบัตงิ านจากสถาบันฝึกอบรม เชน่ แฟ้มสะสมผลงาน (portfolio), EPA เกณฑ์การพิจารณาตัดสินผลการประเมิน ใช้เกณฑ์ร้อยละ 60 หรือโดยอยู่ในดุลยพินิจของ คณะอนกุ รรมการฝึกอบรมและสอบ (อฝส.) แต่ละแขนง 6.6.3 การวดั และประเมินผลเพ่ืออนุมตั บิ ัตรฯ ผสู้ มคั รสอบต้อง 1) เป็นผู้ไดร้ บั ใบอนุญาตประกอบวชิ าชีพเวชกรรมและทำงานสาขาเวชศาสตร์การจราจรไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยต้องทำงานในสถาบันท่ีผา่ นการรับรองจากคณะอนกุ รรมการฝกึ อบรมและสอบ 2) ตอ้ งมีการปฏิบตั ิงาน และมี long case ทแี่ สดงวา่ มีการปฏบิ ัติงานในแขนงเวชศาสตร์การจราจร จริง โดยต้องมีการลงรายมือชื่อรับรองจากแพทย์ที่ได้รับหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรสาขาเวช ศาสตรป์ ้องกนั แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร และผู้สมัครต้องมีประสบการณ์ ดังตอ่ ไปน้ี • ต้องมกี ารตรวจรักษาผู้บาดเจ็บจากการจราจร อย่างนอ้ ย 100 ราย • ตอ้ งมีการเขียน case study หรอื การสอบสวนอบุ ตเิ หตุจราจรอยา่ งน้อย 5 เหตกุ ารณ์ 3) ต้องมีผลงานวิจัยในแขนงเวชศาสตร์การจราจร อย่างน้อย 1 เรื่อง ซึ่งผู้สมัครสอบต้องเป็นชื่อ และมีสัดส่วนการเปน็ เจ้าของผลงานไม่น้อยกว่า 40% และผลงานวิจัยนั้นต้องได้รับการตีพิมพ์ ในวารสารทางการแพทย์ ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย Thai-Journal Citation Index Centre-TCI หรือตีพิมพใ์ นวารสารวิชาการนานาชาติ ทีผ่ า่ น Peer review 4) ต้องผ่านการฝึกอบรมระยะสั้น อย่างน้อย 2 เดือน ในหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจาก คณะอนุกรรมการฝกึ อบรมและสอบ สาขาเวชศาสตรป์ ้องกนั แขนงเวชศาสตร์การจราจร เกณฑ์การตัดสิน 1) มีคุณสมบตั แิ ละผลงานครบถ้วนตามเกณฑ์ 2) ส่งผลงานวจิ ัยตามเวลาท่กี ำหนด และผลงานต้องมีคุณภาพผา่ นการพิจารณาขอ คณะอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบ (อฝส.) 3) ผา่ นการประมิน EPA เชน่ เดียวกบั ผูส้ อบเพอ่ื วฒุ ิบตั รฯ 4) การสอบจะใช้ข้อสอบและเกณฑ์การตดั สินเช่นเดียวกบั การสอบเพ่ือวฒุ บิ ัตร การรับรองวุฒบิ ัตรหรือหนังสืออนุมัติ สาขาเวชศาสตรป์ อ้ งกนั แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจรให้มวี ุฒิบตั ร “เทยี บเท่าปริญญาเอก” ปัจจุบันสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแหง่ ประเทศไทย ยังไม่มีนโยบายและระเบยี บในการรับรอง วุฒิบัตรหรอื หนังสืออนุมัติให้ “เทียบเท่าปริญญาเอก” 7. การรับและคดั เลอื กผู้เข้ารับการฝกึ อบรม 7.1 คุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์ การจราจร 1) ผู้เข้ารับการฝกึ อบรมจะต้องมคี ุณสมบัติ ดงั ตอ่ ไปนี้ ผ้สู มคั รทม่ี ตี น้ สงั กัด

[20] • ได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต หรือเทียบเท่าที่แพทยสภารับรอง ได้รับการขึ้นทะเบียน ประกอบวชิ าชพี เวชกรรมจากแพทยสภาแลว้ • ผ่านการอบรมแพทย์เพม่ิ พนู ทักษะเป็นเวลา 1 ปี ผทู้ ่ไี มม่ ตี น้ สังกัด (อิสระ) • ได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต หรือเทียบเท่าที่แพทยสภารับรอง ได้รับการขึ้นทะเบียน ประกอบวิชาชพี เวชกรรมจากแพทยสภาแลว้ • ผ่านการอบรมแพทย์เพ่ิมพนู ทกั ษะเปน็ เวลา 1 ปี • ปลอดภาระการชดใชท้ นุ หรือภาระอน่ื กบั หนว่ ยงานของรฐั 2) มคี ุณสมบัตคิ รบถว้ นตามเกณฑ์แพทยสภาในการเข้ารบั การฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทาง 3) มีความประพฤติ ทักษะ ทศั นคติการทำงานร่วมกบั ผู้อืน่ ได้เปน็ อย่างดี 4) มสี ขุ ภาพแข็งแรงสมบรู ณท์ ง้ั กายและใจ ไมเ่ ปน็ อุปสรรคต่อการปฏบิ ตั งิ าน 7.2 จำนวนผู้เขา้ รับการฝึกอบรม กรมควบคุมโรคจัดให้มีผู้เข้ารบั การฝึกอบรมสัดส่วนปีละ 1 คน ต่ออาจารย์ผู้ให้การฝึกอบรม 2 คน รวมทั้งมีงานบริการต่อจำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรม 1 คน ตามข้อกำหนดของสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่ง ประเทศไทย โดยมีรายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปนี้ กิจกรรม/โครงการด้านส่งเสรมิ ปอ้ งกัน/การบรกิ าร จำนวนแพทยป์ ระจำบา้ น (คน) 123 4 5 6 จำนวนอาจารยเ์ วชศาสตรก์ ารจราจรผู้ให้การฝึกอบรมเตม็ เวลา 2 3 4 5 6 7 ประชมุ การปอ้ งกนั ปญั หาการจราจรในเขตเมอื ง (ครงั้ /ป)ี 122 2 2 2 มกี ารประชุมการบรู ณาการงานด้านการจราจรในระดับ อำเภอ 2 2 2 3 3 3 จงั หวดั และเขต (คร้ัง/ป)ี มีรายการผลวิเคราะห์การจัดทำบรู ณาการและจดั การข้อมูลท่ี 1 3 5 7 9 12 เก่ยี วข้องกับการจราจร อยา่ งนอ้ ย 3 แหล่งข้อมูล (ครั้ง/ปี) การสอบสวนการบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตจุ ากการจราจร คร้ัง/ปี 2 3 4 5 6 7 โครงการแกไ้ ขปัญหาทเี่ ก่ียวข้องกบั เวชศาสตร์การจราจรทไี่ ดร้ ับ 1 2 2 3 3 3 อนุมัติใหด้ ำเนินโครงการ (จำนวนโครงการตอ่ ปี) มสี ว่ นรว่ มแผนและยุทธศาสตรก์ ารดำเนนิ งานดา้ นการจราจรใน 1 1 1 2 2 2 ระดบั ตำบล อำเภอ จงั หวดั (ครัง้ ตอ่ ปี) การนเิ ทศและติดตามผลการดำเนินงานด้านการจราจรในชุมชน 222 3 3 3 ร่วมกับภาคเี ครือขา่ ยระดับ ตำบล อำเภอ จงั หวดั (ครัง้ ต่อป)ี จำนวนอาจารย์แพทยเ์ วชศาสตรฉ์ กุ เฉิน 233 4 5 6 จำนวนอาจารย์ศลั ยแพทย์อบุ ตั เิ หตุ 223 4 5 6 จำนวนพยาบาล ประจำ Trauma Administration Unit 111 2 2 2 จำนวนผู้ป่วยที่เกิดจากอุบัตเิ หตุจราจร (ราย/ปี) 5,000 6,500 8,500 10,000 12,000 15,000 การทำเวชหัตถการ (ครั้ง/ป)ี 20 24 36 48 60 72 - Cardiopulmonary resuscitation 50 60 80 100 150 200 8 12 18 24 30 36 - Point of care ultrasound - Central venous access

[21] 7.3 กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครเขา้ รับการฝึกอบรม กรมควบคุมโรคมีคณะกรรมการเพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้สมัครเข้ารับการฝึกอบรม โดยการ คดั เลือกเปน็ ไปอย่างยุติธรรม โปรง่ ใส และเทา่ เทียมกันโดยมกี ารดำเนนิ การ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) มีการประกาศคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ จำนวนแพทย์ประจำบ้านที่จะรับ และวิธีคัดเลือกผู้สมัครให้ ชัดเจนผ่านทางสื่อต่างๆ และ website ของกรมควบคุมโรค 2) คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครโดยละเอียด และแจ้งผู้สมัครให้รับทราบในกรณีที่มี คุณสมบัติไมค่ รบถว้ น 3) คณะกรรมการดำเนินการคัดเลือกผู้สมัครโดยวิธีการสอบสัมภาษณ์ ประเมินจากประสบการณ์การ ทำงาน ประวตั กิ ารศกึ ษา ผลงานทางวิชาการ ทศั นคติ ฯลฯ และแจ้งหวั ข้อในการประเมนิ คุณสมบัติ ใหผ้ ู้สมัครรบั ทราบกอ่ นการสมคั ร 4) หลงั การสอบคดั เลือก มกี ารประชมุ คณะกรรมการเพ่ือลงมติเลือกผูส้ มคั รเขา้ รับการฝึกอบรม 5) สถาบันฝึกอบรมแจ้งผลการคัดเลือกให้ผู้สมัครและต้นสังกัดของผู้สมัครทราบ (กรณี มีต้นสังกัด) เปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร 6) รายงานผลการคดั เลอื กไปยังสมาคมเวชศาสตร์ป้องกนั แหง่ ประเทศไทย 8. อาจารย์ผู้ให้การฝึกอบรม 8.1 คณุ สมบตั ขิ องประธานการฝึกอบรม ประธานหลักสตู รฝึกอบรมของสถาบนั ฯ เปน็ แพทย์ซึ่งไดร้ ับวุฒบิ ัตรหรือหนงั สืออนุมัตเิ พื่อแสดง ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน ในแขนงท่ีเกย่ี วข้อง มีประสบการณ์ใน การปฏิบัติงานในสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร ไม่น้อยกว่า 5 ปี และได้รับการรับรองจาก สมาคมเวชศาสตร์ปอ้ งกันแหง่ ประเทศไทย 8.2 คณุ สมบตั แิ ละจำนวนของอาจารย์ผู้ใหก้ ารฝึกอบรม 8.2.1 คณุ สมบัติของอาจารย์ผใู้ หก้ ารฝกึ อบรม อาจารย์ผูใ้ ห้การฝึกอบรมของสถาบนั ฯ เป็นแพทย์ซึ่งได้รบั วุฒิบัตรหรือหนงั สืออนุมัตเิ พือ่ แสดง ความรคู้ วามชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน ในแขนงท่ีเก่ียวข้อง มีประสบการณ์ใน การปฏิบัติงานในสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร ไม่น้อยกว่า 2 ปี และได้รับการรับรองจาก สมาคมเวชศาสตรป์ อ้ งกนั แห่งประเทศไทย 8.2.2 จำนวนอาจารยผ์ ู้ให้การฝึกอบรม กรมควบคุมโรคมีอาจารย์ผู้ให้การฝกึ อบรมปฏิบตั ิงานเต็มเวลาอย่างน้อย 2 คนต่อจำนวนผู้เขา้ รับการฝึกอบรม 1 คน และในกรณีทีม่ ีจำนวนอาจารย์ผู้ให้การฝกึ อบรมเต็มเวลาไม่เพยี งพอ สถาบนั ฯกำหนดให้มี อาจารย์แบบไม่เตม็ เวลา ดงั นี้ • จำนวนอาจารย์แบบไมเ่ ตม็ เวลาตอ้ งไม่มากกวา่ รอ้ ยละ 50 ของจำนวนอาจารยเ์ ตม็ เวลา • ภาระงานของอาจารย์แบบไม่เต็มเวลาแต่ละคนต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของภาระงานอาจารย์ เต็มเวลา ในกรณีที่สัดส่วนของอาจารย์ต่อผู้เข้ารับการฝึกอบรมลดลงกว่าที่ได้รับอนุมัติไว้ สถาบันฯ จะพิจารณาลดจำนวนผ้เู ข้ารบั การฝึกอบรมลงตามความเหมาะสมเพ่ือคงคณุ ภาพการฝึกอบรมไว้ กรมควบคมโรคดำเนินการสรรหาและคัดเลือกอาจารย์ผู้ให้การฝึกอบรมท่ีสอดคล้องกับพันธกิจ ของแผนการฝึกอบรม/หลักสูตร โดยมีการระบุคุณสมบัติของอาจารย์ผู้ให้การฝึกอบรมที่ชัดเจน ครอบคลุม ความชำนาญที่ต้องการ ได้แก่ คุณสมบัติทางวิชาการ ความเป็นครู ความชำนาญทางคลินิก และระบุหน้าท่ี ความ รับผิดชอบ ภาระงานของอาจารย์ ความสมดลุ ระหวา่ งงานด้านการศึกษา การวจิ ยั ของอาจารยต์ อ่ ผเู้ ข้ารบั การฝึกอบรม

[22] เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีแพทยสภากำหนดไว้ รวมทั้งได้จัดให้มกี ารประเมนิ อาจารย์เป็นระยะ โดยอาจารย์ผู้ให้การฝึกอบรม จะต้องให้คำปรึกษา กำกับดูแลผู้เข้ารับการฝึกอบรม และพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองเป็นระบบ ทั้งด้านการแพทยแ์ ละ แพทยศาสตรศึกษา 9. ทรัพยากรทางการศกึ ษา กรมควบคุมโรค จัดให้มีทรัพยากรการศกึ ษา ดงั ตอ่ ไปนี้ • สถานท่ี o จัดให้มีหอพัก ห้องพัก โต๊ะทำงานสำหรับผู้เข้ารับการฝึกอบรม ที่ปลอดภัย สะดวก และเหมาะสม สำหรบั การฝึกอบรม • โอกาสในการเรยี นรู้ o มีแหล่งข้อมูลทางวิชาการที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถเข้าถึงได้ ได้แก่ ห้องสมุดต่างๆภายใน กระทรวงสาธาณสุข เช่น ห้องสมุดสถาบันบำราศนราดูร FETP กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ Thailand – US collaboration (TUC) และสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา o มีหน่วยงานที่สนับสนุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เช่น สถาบัน บำราศนราดูร กองระบาดวิทยา กองโรคติดต่อทั่วไป สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และโรงพยาบาลขอนแกน่ เป็นต้น o มีกรมควบคุมโรคเป็นหน่วยงานสนับสนนุ ทส่ี ำคัญในการเรียนรภู้ าคปฏิบัติในด้านคลนิ ิก ซึ่ง มีจำนวนผู้ป่วยท่ีเพียงพอ และชนิดของผู้ป่วยหลากหลายสอดคล้องกับผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่ คาดหวัง ทั้งผู้ป่วยนอกและในห้องผ่าตัด ผู้ป่วยนอกเวลาราชการและผู้ป่วยวิกฤต โดยสามารถเข้าถงึ ส่ิงอำนวยความสะดวกทางคลินกิ ได้ o มกี ารจดั ประสบการณใ์ นการปฏบิ ตั งิ านเปน็ ทมี ร่วมกับผ้รู ่วมงานและบุคลากรวชิ าชีพอน่ื o มีการประยุกต์ความรู้พื้นฐานและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การบูรณาการ ระหว่างการ ฝึกอบรมกบั การวจิ ยั อย่างเพยี งพอ และจดั หาแหล่งทุนวจิ ัย o จัดให้มีการฝกึ อบรมในสถาบนั อน่ื ทงั้ ในและนอกประเทศ o จดั ใหม้ ีระบบการโอนผลการฝกึ อบรม o มีการนำความเช่ียวชาญทางแพทยศาสตรศึกษามาใช้ในการจัดทำแผนการฝึกอบรม การดำเนินการ ฝกึ อบรม และการประเมนิ การฝึกอบรม • อุปกรณอ์ ำนวยความสะดวกและเทคโนโลยสี ารสนเทศ o จัดให้มีอุปกรณ์สำนักงาน และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการฝึกอบรมสำหรับผู้เข้ารับการฝึกอบรม เชน่ Laptop เป็นต้น o มีสอ่ื อิเลก็ ทรอนกิ ส์สำหรับการเรียนรู้ท่ีผเู้ ข้ารับการฝึกอบรมสามารถเขา้ ถงึ ได้ o มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมอย่างมี ประสทิ ธภิ าพและถกู หลกั จรยิ ธรรม เชน่ การสอ่ื สารทางโปรแกรมไลน์ เป็นต้น

[23] • บุคลากร o มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานและมีความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม สามารถสนับสนุนการดำเนินการ ฝึกอบรมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยบุคลากรปฏิบัติงานตามกลุ่มต่างๆ ตามโครงสร้าง สถาบันฝกึ อบรม o มีอาจารย์ผเู้ ชี่ยวชาญสาขาทเ่ี กย่ี วข้องจากหนว่ ยงานต่างๆภายในกรมควบคมุ โรค สนับสนุนการ ฝึกอบรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง • งบประมาณ o ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกรมควบคุมโรค ตามปีงบประมาณที่เพียงพอและเหมาะสม เพอื่ ใช้ในการบรหิ ารจดั การการฝึกอบรม 10. การประเมินแผนการฝึกอบรม/หลักสูตร กรมควบคุมโรคมีการกำกบั ดูแลการฝึกอบรมเปน็ ไปตามแผนการฝึกอบรม/หลกั สตู ร อย่างต่อเนื่อง และมีกลไกสำหรบั การประเมนิ หลักสูตรพร้อมนำไปใช้จริง ซง่ึ ครอบคลุมดงั น้ี • พนั ธกจิ ของแผนการฝึกอบรม/หลกั สตู ร • ผลลัพธก์ ารเรยี นรทู้ ี่พึงประสงค์ • แผนการฝึกอบรม • ขน้ั ตอนการดำเนินงานของแผนการฝึกอบรม • การวดั และประเมนิ ผล • พฒั นาการของผรู้ ับการฝึกอบรม • ทรพั ยากรทางการศึกษา • คุณสมบตั ขิ องอาจารยผ์ ู้ใหก้ ารฝกึ อบรม • ความสัมพันธร์ ะหว่างนโยบายการรับสมัครผรู้ บั การฝกึ อบรมและความต้องการของระบบสขุ ภาพ • หน่วยงานทีส่ นับสนนุ การฝึกอบรม • ขอ้ ควรปรบั ปรุง โดยสถาบันฝึกอบรมมีการแสวงหาข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับการฝึกอบรม/หลักสูตร จากอาจารย์แพทย์ผู้เข้ารับการฝึกอบรม นายจ้างหรือผู้ใช้บัณฑิต และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก รวมถึงใช้ข้อมูล เกย่ี วกับความสามารถในการปฏิบัติงานของแพทย์ผสู้ ำเร็จการฝึกอบรม เพ่ือการประเมนิ การฝกึ อบรม/หลกั สูตร 11. การทบทวน/ พัฒนาหลกั สูตรการฝึกอบรม กรมควบคุมโรคจัดให้มีการทบทวนและพัฒนาคุณภาพของหลักสูตรฝึกอบรม เป็นระยะหรือ อย่างน้อยทุก 2 ปี โดยการปรับปรุงกระบวนการ โครงสร้าง เนื้อหา ผลลัพธ์ และสมรรถนะของผู้สำเร็จการ ฝึกอบรม รวมถึงการวัดและการประเมินผล และสภาพแวดล้อมในการฝึกอบรม ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง ที่ตรวจพบ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยมีข้อมูลอ้างอิง พร้อมทั้งแจ้งผลการทบทวนและพัฒนาให้สมาคมเวชศาสตร์ ป้องกันแหง่ ประเทศไทยและแพทยสภารบั ทราบ สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับผิดชอบดูแลการฝึกอบรม และทบทวน/ พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมเป็นระยะหรืออย่างน้อยทุก 5 ปี และแจ้งผลการทบทวน/พัฒนาให้แพทยสภา รบั ทราบ

[24] 12. ธรรมาภบิ าลและการบริหารจัดการ • ผู้บริหารสถาบันสนับสนุนการฝึกอบรม โดยจัดให้มีบุคลากร งบประมาณ และทรัพยากรต่างๆที่ จำเปน็ ในการดำเนินการของหลักสูตร • กรมควบคุมโรคมีการบริหารจัดการหลักสูตรท่ีสอดคล้องกับกฎระเบียบที่กำหนดไว้ในด้านต่างๆ ได้แก่ การรับสมัครผู้เข้ารับการฝึกอบรม (เกณฑ์การคัดเลือกและจำนวนที่รับ) กระบวนการ ฝึกอบรม การวัดและประเมินผล และผลลัพธ์ของการฝึกอบรมที่พึงประสงค์ การออกเอกสารที่ แสดงถึงการสำเร็จการฝึกอบรมในแต่ละระดับ หรือหลักฐานอย่างเป็นทางการอื่นๆ ที่สามารถใช้ เป็นหลกั ฐานแสดงการผา่ นการฝกึ อบรมในระดับนั้นได้ • กรมควบคุมโรคกำหนดหน้าท่ีรับผิดชอบและบริหารจัดการงบประมาณของแผนการฝึกอบรม/ หลักสตู รทสี่ อดคล้องกับความจำเปน็ ดา้ นการฝึกอบรม • กรมควบคุมโรคมีบุคลากรท่ีปฏิบัติงานและผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสม รวมถึงหน่วยงานที่สนับสนุน ด้านอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการฝึกอบรมและกิจกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้องครบถ้วน สอดคล้อง กบั ข้อบงั คบั และประกาศของแพทยสภาในการเปิดการฝกึ อบรม • กรมควบคุมโรคมีการบริหารจัดการการฝึกอบรมที่สอดคล้องตามโครงสร้างของสถาบันฝึกอบรม ซ่ึงแบ่งกลุ่มงานภายในดงั น้ี o กลุ่มบริหารทั่วไป o กลุ่มนโยบายแผนและพฒั นาองคก์ ร o กลุ่มฝกึ อบรมและพัฒนาหลักสูตร o กลุ่มประกนั คุณภาพการศกึ ษาและประเมนิ ผล o กล่มุ วิจยั และบรกิ ารวิชาการ 13. การประกันคณุ ภาพการฝึกอบรม กรมควบคุมโรคจัดให้มีการประกันคุณภาพการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ตามข้อกำหนดของ สมาคมเวชศาสตรป์ อ้ งกนั แห่งประเทศไทย ดงั น้ี 13.1.1 การประกันคุณภาพการฝึกอบรมภายในสถาบันฝึกอบรม กรมควบคุมโรคจัดให้มีระบบและ กลไกการประกันคุณภาพการฝึกอบรม อยา่ งนอ้ ยทกุ 2 ปี 13.1.2 การประกันคุณภาพการฝึกอบรมภายนอกสถาบันฝึกอบรม กรมควบคุมโรคได้รับการประเมิน คณุ ภาพจากคณะอนกุ รรมการฝกึ อบรมฯ อย่างน้อยทกุ 5 ปี

ภาคผนวก

[28] ภาคผนวกที่ 1 ความรูพ้ น้ื ฐานของเวชศาสตรป์ ้องกนั ทั่วไป 1. ความรพู้ ้นื ฐานของเวชศาสตร์ปอ้ งกันทั่วไป ประกอบดว้ ย 1.1. พนื้ ฐานและหลักการของเวชศาสตรป์ ้องกันทัว่ ไป (Fundamental and Principle of Preventive Medicine) ประกอบดว้ ย 1.1.1. Principles of preventive medicine 1.1.2. Concept of diseases prevention and health promotion 1.1.3. Public health system administration and intervention 1.1.4. Principles of Epidemiology and its applications 1.1.5. Biostatistics 1.2. ความรพู้ ้นื ฐานของเวชศาสตร์ป้องกนั เฉพาะแขนงทัว่ ไป (Fundamental of Special Branch in Preventive Medicine) ประกอบด้วย 1.2.1. ความรู้พืน้ ฐานแขนงสาธารณสขุ ประกอบด้วย • Concept of Public Health • Measuring, Monitoring and Evaluation the Health of population, • Manage the health problem of population • National Health system and Global health • Planning and Managing health system • The Epidemiologic Approach to Disease and Intervention 1.2.2. ความรพู้ น้ื ฐานแขนงระบาดวทิ ยา ประกอบดว้ ย • Concept of disease distribution, determinants and epidemiological triad • Study designs and basic statistics • Concept of public health surveillance 1.2.3. ความรู้พ้นื ฐานแขนงจติ เวชชมุ ชน ประกอบด้วย • Concept of prevention and promote community mental health • Mental health problem and how to prevent • Risk assessment and risk management in community mental health problem 1.2.4. ความรพู้ ื้นฐานแขนงอาชวี เวชศาสตร์ ประกอบดว้ ย • principle of occupational and environmental medicine • health hazard and health effects • fit for work • basic safety 1.2.5. ความรพู้ ้ืนฐานแขนงเวชศาสตร์ป้องกนั คลนิ ิก ประกอบดว้ ย • Natural history of diseases and level of prevention in clinical preventive medicines.

[29] • Principles and provision of vaccines. • Prevention and control of sexually transmitted infections. • Prevention and care of geriatric patients. 1.2.6. ความรพู้ นื้ ฐานแขนงเวชศาสตรท์ างทะเล ประกอบด้วย • Core Concept of Maritime Health and Maritime Medicine • Health Requirements and Fitness Examination for Seafarers and Working at Sea • Basic Knowledge of Diving and Hyperbaric Medicine • Emergency Service for Maritime Health 1.2.7. ความรพู้ น้ื ฐานแขนงเวชศาสตร์การบนิ ประกอบด้วย • Concept of Aviation Medicine • Health risk among aircrew, passenger and how to prevent • Risk assessment and risk management among aircrew and passenger • Risk of aircraft accident and how to prevent 1.2.8. ความรูพ้ ้ืนฐานแขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว ประกอบด้วย • Concept of Travel Medicine, pre- and post-travel care • Health risk among travelers and how to prevent • Risk assessment and risk management among travelers 1.2.9. ความรพู้ ื้นฐานด้านการแพทย์ทางเลือก ประกอบด้วย • Concept of traditional Thai medicine • Concept of mind-body interventions • Concept of biologically based therapies • Concept of manipulative and body-based methods • Concept of energy therapies

[30] ภาคผนวกท่ี 2 เนอ้ื หาเฉพาะของสาขาเวชศาสตร์ปอ้ งกนั แขนงเวชศาสตรก์ ารจราจร 1. ความรูพ้ ้ืนฐานด้านเวชศาสตร์ป้องกันเฉพาะแขนงเวชศาสตร์การจราจร ประกอบดว้ ย 1.1. Epidemiology of Traffic-related Injury and Death 1.2. Risk Factors Analysis 1.3. Global Road Traffic Injury: Trend, Strategy, Targets and Indicators 1.4. Economic Loss from RTI and Benefit from TIP 1.5. Trauma and Emergency Care System 1.6. Safe System Approach to Road Safety 1.7. Traffic Governance and Management 1.8. Traffic Injury Information System 1.9. Traffic Engineering and Road Safety Audit and Traffic Accident Investigation 1.10. Traffic Behaviors Modification 1.11. Medical statistics 1.12. Applied Health Economics 1.13. Advocacy and Policy 1.13.1. Advocacy and Media Network 1.13.2. Policy Analysis and Development 1.13.3. Strategic Planning 1.13.4. Strategic Implementation 1.13.5. Strategic Evaluation 1.13.6. Project development 1.13.7. Project implementation 1.13.8. Project Evaluation 1.14. Management and Collective Leadership 1.14.1. Development of Leadership for Change • การสร้าง Personal brand • Multi sectorial coordination and collaboration 1.15. Health Service System Administration • โครงสร้างการบริหารงานด้านการป้องกัน รักษา ด้านงานอุบัติเหตุของประเทศ บทบาทของกระทรวง สาธารณสขุ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงคมนาคม • โครงสร้างการทำงานด้านการสง่ เสริม ป้องกัน รักษา ด้านงานอุบัติเหตใุ นระดบั จงั หวัด อำเภอ ตำบล • ระบบการเงินการคลงั ทางสาธารณสุข เชน่ ระบบประกนั สุขภาพถ้วนหนา้ ระบบประกันสงั คม ระบบ ประกันสุขภาพเอกชน • หลกั การบรหิ ารจดั การ การใชย้ าและทรัพยากรอยา่ งสมเหตุสมผล • บทบาทของการแพทยท์ างเลอื ก การดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง

[31] • ระบบค่าตอบแทนทางการแพทย์ เชน่ pay for service, DRG • ระบบและกระบวนการรับรองคณุ ภาพของโรงพยาบาล เชน่ HA, JCI 1.16. ทักษะและเจตคตขิ องวิชาชีพ • การสรา้ งความสัมพนั ธ์ท่ีดีระหว่างแพทย์กบั ผู้ปว่ ย • การรักษามาตรฐานการดแู ลรักษาผูป้ ว่ ยให้ดที ่ีสุด • การยดึ ถือประโยชน์ของผูป้ ่วยเปน็ สำคัญ • ความปลอดภยั ของผู้ป่วย • ทกั ษะการส่ือสารกับผ้ปู ่วย ญาติ และบคุ ลากรทางการแพทยอ์ ่ืนๆ • มารยาทในการดูแลผปู้ ว่ ยข้างเตยี ง • การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ และการถ่ายทอดความรู้ใหผ้ ู้ป่วย ญาติ และเพ่ือร่วมงาน ฯลฯ 1.17. Behavioral Science and Cultural Science 1.18. Traffic Law and Regulations and other Related Legislation • กฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศลิ ปะ พรบ.วชิ าชพี เวชกรรม และจริยธรรมแหง่ วชิ าชีพ • การให้ข้อมูลผู้ป่วยท่ถี ูกต้องครบถ้วน • การขอความยินยอมจากผปู้ ว่ ยในการดแู ลรกั ษาและการทำหตั ถการ • สิทธิผปู้ ่วย • การบนั ทกึ เวชระเบียนท่ีครบถ้วนถูกต้อง • กฎหมายว่าดว้ ยวธิ ีปฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง ประมวลอาญา กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ • กฎหมายว่าดว้ ยความรบั ผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี • กฎหมายว่าดว้ ยการคุ้มครองผ้ปู ระสบภัยจากรถ • กฎหมายท่เี ก่ียวข้องในการจราจร ท้งั ทางบก ทางนำ้ และทางอากาศ • กฎหมายวา่ การแพทย์ฉุกเฉนิ • การฟ้องร้องทางการแพทยแ์ ละการป้องกัน • กฎอนามยั สุขภาพระหว่างประเทศ (International Health Regulation) • พรบ. โรคตดิ ต่อ พ.ศ.2558 1.19. Post-crash management • rehabilitation consumer protection • insurance system • post-crash legal issue 1.20. Area for research on RTI and TIP 1.21. Translating Research Knowledge into Practice 2. ดา้ นการตรวจรกั ษาผบู้ าดเจบ็ จากการจราจร 2.1. เวชศาสตรฉ์ ุกเฉินอบุ ัตเิ หตุ

[32] • จัดการบริบาลเวชกรรมผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งนอกโรงพยาบาล (out of hospital care) และในโรงพยาบาล (hospital care) คือสามารถจัดการดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งนอกและในโรงพยาบาลด้วยตนเอง รวมทั้งสามารถให้คำสั่งการแพทย์หรือการอำนวยการแก่ผู้ช่วยเวชกรรมทั้งการอำนวยการตรงและ อำนวยการทั่วไป ตลอดจนการรวบรวมข้อมูลจากการปฏิบัติการนอกโรงพยาบาลมาใช้ในการประเมิน และการจัดการดูแลรักษาผู้ปว่ ยฉุกเฉิน • จัดการสร้างเสริมเสถียรภาพแก่ผู้ป่วย (stabilization) คือสามารถประเมินขั้นต้นและดำเนินการข้ัน ตอ่ ไปอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผูป้ ่วยฉุกเฉินมีเสถยี รภาพและป้องกันการเสียชีวิตหรือพิการรุนแรงขึ้นของ การบาดเจบ็ หรอื อาการป่วยนั้น • ซักประวัติและตรวจร่างกายผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างตรงเป้าหมาย (focused history and physical examination) คือ สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิผลเพื่อแปลและประเมินผลอาการและประวัติของ ผู้ป่วยฉุกเฉิน การประเมินผลได้ตรงประเด็น แปลผลสัญญาณชีพ แปลผลภาวะและลักษณะผู้ป่วยที่ ปรากฏ ตรวจพบที่สำคัญ และกระทำการทางเทคนิคท่ีจำเปน็ ในการตรวจวนิ จิ ฉยั • รู้ปัจจยั อนั มผี ลกระทบต่อการจัดการดแู ลรักษาผู้ปว่ ยฉุกเฉิน (modifying factors) ไดแ้ ก่ เพศ อายุ เช้ือ ชาติ อุปสรรคการส่อื สาร สถานภาพทางเศรษฐกจิ สงั คม โรคพื้นฐานประจำตวั และปัจจยั อน่ื ๆ • ร้ปู ระเด็นวิชาชพี และกฎหมาย คือเขา้ ใจและสามารถประยุกตห์ ลกั การทางวิชาชพี (professional and legal issues) จรรยาบรรณ และแนวคดิ ทางด้านกฎหมายท่ีมีความสำคญั ตอ่ การจดั การดแู ลรกั ษาผปู้ ว่ ยฉกุ เฉนิ • เลือกการสืบค้นเพื่อการวินิจฉัยได้อย่างเหมาะสม (diagnostic studies) คือสามารถเลือกและ ดำเนนิ การสบื ค้นท่เี หมาะสมที่สดุ เพ่ือการวินิจฉัยโรค และแปลผลดังกลา่ วไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง • การวินิจฉัย คือการสามารถวินิจฉัยแยกโรค และกำหนดรู้การวินิจฉัยโรคที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดจาก ขอ้ มลู ซักประวตั ิ การตรวจร่างกาย การทำหตั ถการ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัตกิ าร • เวชหัตถการเพื่อการบำบัดรักษา (therapeutic intervention) คือสามารถทำเวชหัตถการและดำเนิน มาตรการทไี่ มใ่ ช่การใหย้ า เพ่ือบำบดั รักษาและการให้คำแนะนำปรึกษา • การบำบัดรักษาด้วยยา (Pharmacotherapy) คือสามารถเลือกการบำบัดรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยยาได้ อย่างเหมาะสม รวมทั้งรู้และเข้าใจสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ อันตรกิริยา และปฏิกิริยาอันไม่พึง ประสงค์ของยาดงั กล่าวอย่างลกึ ซ้ึง • การสงั เกตอาการและประเมินซำ้ (observation and reassessment) คือสามารถประเมินและทำการ ประเมินซ้ำถึงประสิทธิผลของการบำบัดรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมทั้งระบุภาวะแทรกซ้อน และความ ผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ ตลอดจนตรวจติดตาม เฝ้าระวัง สังเกตอาการ จัดการและธำรงเสถียรภาพ ของผปู้ ่วยฉุกเฉิน ในระยะต่างๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม • การปรึกษาและจำหน่ายผู้ป่วยฉุกเฉิน (consultation and disposition) คือสามารถทำงานร่วมกับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอื่นๆ ในการประเมินและบำบัดรักษาผูป้ ่วยฉุกเฉนิ รวมทั้งจัดการส่งผู้ป่วย ฉุกเฉินไปยังสถานที่ที่เหมาะสม วางแผนการตรวจติดตาม ตลอดจนสือ่ สารกับผู้ป่วยฉุกเฉิน ครอบครัว และผเู้ กยี่ วข้องในการดแู ลรกั ษาผปู้ ่วยฉกุ เฉินอยา่ งมีประสิทธผิ ล

[33] • การป้องกันและการให้ความรู้ (prevention and education) คือสามารถประยุกต์ข้อมูลทาง วิทยาการระบาด เพ่ือกำหนดปจั จัยเสย่ี งของผูป้ ่วยฉุกเฉนิ รวมท้งั ให้การศกึ ษาแกผ่ ู้ป่วยฉุกเฉินตลอดจน เลอื กวิธกี ารป้องกนั โรคและการบาดเจบ็ ได้อย่างเหมาะสม • การบันทึก (documentation) คือสามารถบันทึกเอกสารเพื่อเป็นข้อมูลสื่อสารการดูแลรักษาผู้ป่วย ฉกุ เฉิน ได้อย่างรัดกุม เพ่อื ชว่ ยปรับปรุงคณุ ภาพ การประมวลผล และเปน็ หลักฐาน • การจัดการภารกิจร่วมและทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน (multi-tasking and team management) คือ สามารถกำหนดระดับความเร่งด่วน และความจำเป็นของผู้ป่วยในแผนกฉุกเฉิน เพื่อให้การบริบาล เวชกรรมแก่ผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสมที่สุด สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ ประสานงาน ให้การศึกษา และกำกับดูแลคณะผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยทั้งหมด ตลอดจนสามารถจัดการใช้ทรัพยากร ของสถานพยาบาลได้อย่างเหมาะสม และมีความคนุ้ เคยกับการจัดการในภาวะภยั พิบัติ 2.2. ความรเู้ กย่ี วกับโรค/ภาวะทส่ี ำคญั และพบบ่อยทางเวชกรรมฉุกเฉิน อบุ ตั ิเหตุ Major Traumatic Disorders เช ่น Abdominal trauma, Chest trauma, Facial trauma, Head trauma, Genitourinary trauma, Injuries of the spine, Extremity bony trauma, Neck trauma, Otologic trauma, Ophthalmologic trauma, Pediatric fractures, Pelvic fractures, Soft- tissue extremity injuries, Spinal cord and nervous system trauma 2.3. ทกั ษะเวชหัตถการฉกุ เฉนิ ไดแ้ ก่ Airway Techniques, Resuscitation, ACLS ATLS and PLS, Anesthesia and Acute Pain Management, Diagnostic and therapeutic Procedures, การลำเลียงผู้ป่วย, Psycho behavioral, Foreign body removal 3. การฝกึ ปฏบิ ัตสิ ำนกั งานสาธารณสขุ จงั หวัด ศูนยอ์ ำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด (ศปถจ) และงานวิจัย ด้านการจราจร 3.1. ฝึกปฏบิ ตั ิการจดั การดา้ นเวชศาสตรป์ อ้ งกันสำหรับการจราจร โดย • ฝึกดำเนนิ งานดา้ นการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาจากการจราจรในชมุ ชน • ฝึกการเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเครือข่ายในการดำเนินงานป้องกัน และแก้ไขปัญหาจาก การจราจรในชมุ ชน • ฝึกวิธีการสนับสนุนเครือขา่ ยในการดำเนินงานการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาจากการจราจร 3.2. ฝึกการบริหารจัดการงานเวชศาสตร์ปอ้ งกันสำหรับการจราจรในด้าน ศปถ.จงั หวดั • การบรหิ ารองคก์ ร/หนว่ ยงาน/กลมุ่ งาน/ฝ่าย • การบริหารทรัพยากรบคุ คล • การกำหนดนโยบายดา้ นการประสานงาน การสร้างเครือข่ายปอ้ งกัน และแกไ้ ขปัญหาการจราจร • สมั มนาวิชาการดา้ นเวชศาสตร์การจราจร 3.3. ฝึกการจดั การดา้ นวิชาการเวชศาสตร์ปอ้ งกนั สำหรับการจราจรในงานดา้ น • ระบาดวทิ ยา • การวิเคราะห์ขอ้ มลู ที่เก่ียวข้องกับการจราจร big data management

[34] • ประเดน็ แนวโนม้ ปัญหาที่เก่ยี วขอ้ งกับการจราจร • การประเมินปญั หาเพือ่ การป้องกนั 3.4. การวิจยั เวชศาสตรป์ ้องกันด้านการจราจรแบบมีสว่ นรว่ ม • ศึกษาสภาพทั่วไปของชมุ ชนดา้ นตา่ งๆ ดงั น้ี o ขอ้ มลู พ้นื ฐาน o โครงสร้างพ้นื ฐานทางสงั คม o กระบวนการเรียนรู้และการตัดสนิ ใจในเรอ่ื งส่วนรวม o รูปแบบของประชาชนเกีย่ วกับการกระทำเพอื่ ส่วนรวม o ศึกษาความสำคัญความเก่ยี วข้องขององค์กรตา่ งๆ ตอ่ การแก้ไขปญั หาจากการจราจร • ศึกษาปญั หาทเ่ี กดิ จากผลกระทบท่เี กิดจากปญั หาการจราจรและความตอ้ งการช่วยเหลอื ของชมุ ชน • พัฒนากระบวนการคิดและการมีส่วนรว่ มในการรบั ผดิ ชอบตอ่ ปัญหาจากการจราจรในชมุ ชน • ปฏิบัติการวิจัยด้านเวชศาสตร์การจราจรแบบมีส่วนร่วมตามระเบียบวิธีวิจัย และเขียนรายงา นการ ศึกษาวิจัยฉบับสมบรู ณไ์ ด้ 3.5. การฝกึ ปฏบิ ตั ิงานเวชศาสตร์การจราจรในโรงพยาบาลศูนย/์ โรงพยาบาลทั่วไป • ในด้านการป้องกนั o ฝึกการบรหิ ารจัดการในศนู ยบ์ รหิ ารงานอุบัติเหตุฉุกเฉนิ Trauma administrative unit o เป็นท่ปี รึกษาให้คำแนะนำแก่บคุ ลากรสาธารณสุข ในการวางแผนแก้ไขปญั หาจากการจราจร o วางแผนดำเนินงาน และประเมนิ ผล เพอื่ พฒั นางานป้องกันปัญหาจากการจราจรอยา่ งเป็นระบบ o รว่ มพัฒนาและประสานกบั บุคลากรอน่ื ๆ ท่ีเก่ียวข้องทั้งระบบ เครือขา่ ยทกุ ระดบั ท้งั ในดา้ นวิชาการ และการบรหิ ารงานอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ o มีคณุ ธรรมจรรยาแพทย์ และมนุษยสัมพันธ์ที่ดกี บั ผูป้ ่วยและประชาชนทั่วไป • ในดา้ นการรกั ษา o ฝึกปฏิบตั กิ ารจดั การเวชกรรมฉกุ เฉนิ ทห่ี ้องอบุ ตั เิ หตฉุ ุกเฉิน o ฝึกปฏบิ ัติการจดั การผปู้ ว่ ยศลั ยกรรมอบุ ัติเหตุ o ฝกึ ปฏิบตั ิการจดั การผูป้ ว่ ยศัลยกรรมประสาทอุบตั เิ หตุ o ฝึกปฏิบตั ิการจัดการผปู้ ว่ ยศัลยกรรมออรโ์ ธปดิ ิกส์ o ฝึกปฏิบัตกิ ารจดั การผู้ป่วยเวชศาสตรฟ์ ้ืนฟู

[35] ภาคผนวกที่ 3 EPA 1 ทักษะด้านการส่งเสริม ป้องกัน อุบัติภัยเชิงระบบ โดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ ประสานศาสตร์ทาง วศิ วกรรม และความรดู้ า้ นอ่นื ๆในดา้ นเวชศาสตร์ปอ้ งกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร • ระดบั ท่ี 1 ทักษะทตี่ อ้ งทำได้ ในสถานการณ์ทไี่ มซ่ ับซ้อน รู้แนวทางปฏิบตั ิในการประสานงานหรอื สง่ ต่อ ให้แก่ผู้เกยี่ วข้องเพอ่ื ดำเนินการอยา่ งเหมาะสมต่อไป • ระดับที่ 2 ทักษะที่ต้องทำได้ ในสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อน และสามารถเป็นที่ปรึกษาได้ สามารถ ประยกุ ต์ใชค้ วามรู้และทักษะดังกลา่ วไดด้ ้วยการทบทวนตำรา ปรกึ ษาหรือสง่ ต่อไปยงั ผูเ้ ก่ยี วข้องได้ • ระดบั ท่ี 3 ทักษะท่ีตอ้ งทำได้ ในสถานการณท์ ่ซี ับซอ้ นมากขึน้ และสามารถเป็นท่ีปรกึ ษาได้ • ระดับที่ 4 ทักษะที่ต้องทำได้ ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น สามารถเป็นที่ปรึกษาได้และกำกับการ ปฏิบัติงานของแพทย์ทีม่ ีประสบการณ์น้อยกว่าได้ ความรู้และทักษะบุคคลทที่ ำงานด้าน การสง่ เสรมิ ป้องกนั โรค แพทยป์ ระจำบา้ น 1 23 1. Interpersonal and Communication Skills 1.1 Interpersonal skills 1 34 1.1.1 Inter-departmental and medical staff relations 1 24 1.1.2 Inter-departmental relations, teamwork and collaboration skills 1 34 1.1.3 Patient and family experience of care 1.2 Communication skills 1 34 1.2.1 Complaint management and service recovery 2 34 1.2.2 Conflict management 2 34 1.2.3 Crisis resource management 1 24 1.2.4 Delivering bad news 1 23 1.2.5 Multicultural approach to the ED patient 2 34 1.2.6 Negotiation skills 1 34 1.2.7 Media and public communication skill 1 34 2. Practice-based Learning and improvement 2 34 2.1. Performance improvement and lifelong learning 1 24 2.1.1. Evidence-based medicine 2 34 2.1.2. Interpretation of medical literature 1 34 2.1.3. Knowledge translation 1 34 2.1.4. Patient safety and medical errors 1 34 2.1.5. Performance evaluation and feedback 2.1.6. Research 2.1.7. Surveillances

[36] แพทย์ประจำบ้าน 1 23 ความรแู้ ละทกั ษะบุคคลที่ทำงานด้าน การสง่ เสรมิ ป้องกนั โรค 1 34 1 34 2.1.8. Traffics/injury and related investigation 2 34 2.1.9. Evaluation 1 34 2.2. Practice guidelines 1 34 2.3. Education 1 34 2.3.1. Patient, family and community 1 34 2.3.2. Provider 2.4. Principles of quality improvement 24 3. Professionalism 1 24 3.1. Advocacy 3.1.1. Patient 24 3.1.2. Family 34 3.1.3. Community management 1 34 1 24 3.1.3.1. health need assessment 13 3.1.3.2. health projection implantation/evaluation 1 24 3.2. Ethics principles 1 24 3.2.1. Conflicts of interest 13 3.2.2. Diversity awareness 1 24 3.2.3. Electronic communications/Social media 1 34 3.2.4. Medical ethics 1 24 3.3. Leadership and management principles 2 34 3.3.1. Policy analysis 1 24 3.3.2. Policy development 1 24 3.3.3. Policy Implementation 3.3.4. Policy evaluation 1 24 3.3.5. Project development/ implementation/evaluation 1 34 3.3.6. Personal branding 3.3.7. Communication/presentation 3.3.8. Policy brief and pitch 3.3.9. Presentation and advocacy 3.4. Well-being 3.4.1. Fatigue and impairment 3.4.2. Time management/Organizational skills

[37] แพทย์ประจำบ้าน 1 23 ความรแู้ ละทักษะบุคคลทีท่ ำงานดา้ น การสง่ เสรมิ ปอ้ งกันโรค 2 34 2 34 3.4.3. Work/Life balance 3.4.4. Work dysphoria (burn-out) 1 24 4. Systems-based Practice 1 24 4.1. Clinical informatics 2 34 4.1.1. Computerized order entry 2 34 4.1.2. Clinical decision support 4.1.3. Electronic health record 24 4.1.4. Health information integration 24 4.2. ER Administration 34 4.2.1. Contacts and practice models 13 4.2.2. Patient flow and throughput 24 1 23 4.2.2.1. Patient triage and classification 1 34 4.2.2.2. Hospital crowding and diversion 2 34 4.2.2.3. Observation and rapid treatment unit 1 24 4.2.3. Financial principles 1 24 4.2.3.1. Billing and coding 13 4.2.3.2. Cost-effective care and resource utilization 1 24 4.2.3.3. Reimbursement issues 4.2.4. Human resource management 1 24 4.2.4.1. Allied health professionals 1 34 4.2.4.2. Recruitment, credentialing and orientation 24 4.3. ED operations 4.3.1. Policies and procedures 24 4.3.2. ED data acquisition and operational metrics 24 4.3.3. Safety, security and violence in the ED 24 4.4. Health care coordination 4.4.1. End-of-life and palliative care/Advance directives 34 4.4.2. Placement options 23 4.4.3. Outpatient services 2 34 4.5. Regulatory/Legal 2 34 4.5.1. กฎหมาย (เฉพาะสว่ นทีเ่ กย่ี วข้องกับเวชกรรมฉุกเฉนิ ) 4.5.1.1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 4.5.1.2. กฎหมายว่าดว้ ยสขุ ภาพแหง่ ชาติ 4.5.1.3. กฎหมายวา่ ดว้ ยวิธปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง

[38] แพทยป์ ระจำบา้ น 1 23 ความรู้และทกั ษะบุคคลทที่ ำงานด้าน การสง่ เสรมิ ปอ้ งกนั โรค 1 23 1 23 4.5.1.4. ประมวลกฎหมายอาญา 2 34 4.5.1.5. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2 34 4.5.1.6. กฎหมายวา่ ดว้ ยความรบั ผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2 34 4.5.1.7. กฎหมายว่าดว้ ยการประกอบโรคศิลปะ 1 23 4.5.1.8. กฎหมายวา่ ดว้ ยวชิ าชพี เวชกรรม 2 34 4.5.1.9. กฎหมายวา่ ดว้ ยวชิ าชพี พยาบาลฯ 2 34 4.5.1.10. กฎหมายวา่ ด้วยวชิ าชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขอนื่ ๆ 2 34 4.5.1.11. กฎหมายว่าดว้ ยสถานพยาบาล 1 23 4.5.1.12. กฎหมายว่าดว้ ยการแพทยฉ์ ุกเฉนิ 13 4.5.1.13. กฎหมายว่าดว้ ยยา 1 23 4.5.1.14. กฎหมายวา่ ดว้ ยเคร่อื งมือแพทย์ 1 23 4.5.1.15. พระราชกฤษฎกี าเงนิ สวัสดิการเกี่ยวกับการรกั ษาพยาบาล 2 34 4.5.1.16. กฎหมายวา่ ดว้ ยประกนั สังคม 2 34 4.5.1.17. กฎหมายว่าดว้ ยหลักประกนั สุขภาพแหง่ ชาติ 1 23 4.5.1.18. กฎหมายว่าดว้ ยการคมุ้ ครองผปู้ ระสบภยั จากรถ 4.5.1.19. กฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารและ 2 34 2 34 เทคโนโลยีสารสนเทศ 2 34 4.5.2. Accreditation 2 34 4.5.3. Compliance and reporting requirements 4.5.4. Confidentiality 4.5.5. Consent, capacity, and refusal of care 4.5.6. External quality metrics 4.6. Risk management 4.7. Evolving trends in health care delivery 4.8. Regionalization of emergency care 4.9. การประเมินและให้ความเห็นในการออกใบรับรองสุขภาพ ที่อาจจะส่งผล กระทบตอ่ สมรรถนะในการขับขี่ รถยนต์ การเดินเรือ ทางอากาศและทางราง

[39] ภาคผนวกที่ 4 EPA 2 ทกั ษะด้านการเฝ้าระวงั สอบสวนโรค ภยั สุขภาพ และ การทำ health project โดยเฉพาะการสอบสวน อุบัติเหตทุ างจราจรตา่ งๆ • ระดับท่ี 1 ทักษะท่ตี ้องทำได้ ในสถานการณ์ท่ีไม่ซบั ซอ้ น รแู้ นวทางปฏบิ ตั ิในการประสานงานและส่งต่อ ให้แก่ผ้เู กีย่ วข้องเพ่ือดำเนินการอย่างเหมาะสมต่อไป รู้ถงึ ความแตกต่างของข้อมลู จากแตล่ ะหน่วย และ ท่สี ำคัญทส่ี ุดคือสามารถบรู ณาการข้อมูลจากทุกๆหนว่ ยงาน วเิ คราะห์ จับประเด็น จดั ทำรายงาน จัดทำ ขอ้ เสนอ และมีทกั ษะในการนำเสนอข้อมลู • ระดับที่ 2 ทักษะที่ต้องทำได้ ในสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อน และสามารถเป็นที่ปรึกษาได้ สามารถ ประยุกตใ์ ช้ความรูแ้ ละทกั ษะดงั กลา่ วไดด้ ว้ ยการทบทวนตำรา ปรกึ ษาหรือสง่ ต่อไปยงั ผเู้ กยี่ วขอ้ งได้ • ระดบั ที่ 3 ทกั ษะทต่ี ้องทำได้ ในสถานการณท์ ซี่ บั ซ้อนมากขึ้น และสามารถเปน็ ทป่ี รกึ ษาได้ • ระดับที่ 4 ทักษะที่ต้องทำได้ ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น สามารถเป็นที่ปรึกษาได้และกำกับการ ปฏิบตั ิงานของแพทยท์ ่มี ปี ระสบการณ์นอ้ ยกว่าได้ ความรู้และทกั ษะดา้ นการเฝ้าระวัง สอบสวนโรค ภัยสุขภาพ แพทย์ประจำบ้าน 3 และการจดั ทำ health project 12 4 1. การเฝ้าระวังโรคและภยั ทเ่ี ก่ียวข้องกับเวชศาสตร์การจราจร 13 4 1.1. รูร้ ะบบเฝา้ ระวงั ท่ีมีอยู่ เช่น บรษิ ัทกลาง ตำรวจ กระทรวงสาธารณสุข 13 1.2. พฒั นาระบบเฝา้ ระวงั ได้ 4 23 4 2. การสอบสวนโรคและภยั สขุ ภาพทเี่ กย่ี วเนอื่ งกับการจราจร 4 2.1. การรวบรวมขอ้ มูล 4 4 2.2. การคน้ หาขอบเขตการกระจายของโรค การบาดเจบ็ 23 4 2.3. การเกบ็ สิง่ ส่งตรวจ 23 4 4 2.4. การควบคุม และป้องกนั 2 3 4 2 3 4 2.5. การเขียนรายงาน และนำเสนอ ในสว่ นของสาธารณสุข และหนว่ ยงาน 4 ภายนอก 2 3 4 2 3 4 3. การสอบสวนโรคและภัย ในสถานการณ์ขนาดใหญ่ 2 3 4 3.1. การเตรยี มการภาคสนาม 2 3 3.2. ตรวจสอบการวินิจฉยั 1 3 3.3. ตรวจสอบเหตกุ ารณ์ 1 3 3.4. กำหนดนยิ ามและคน้ หาผู้ป่วยเพ่มิ เติม 1 3 3.5. การศึกษาทางระบาดวทิ ยา 1 3 3.6. การศกึ ษาระบาดวทิ ยาเชิงวิเคราะห์ ทดสอบสมมตุ ิฐาน 2 3 3.7. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงทดลอง 3.8. การควบคมุ ป้องกนั โรคและภยั สขุ ภาพทเ่ี ก่ยี วข้อง 3.9. การเขียนรายงาน การนำเสนอในสว่ นของสาธารณสุขและหนว่ ยงานภายนอก

[40] แพทยป์ ระจำบ้าน 3 12 ความรู้และทักษะดา้ นการเฝา้ ระวงั สอบสวนโรค ภัยสขุ ภาพ และการจัดทำ health project 23 4 23 4 4. การจดั ทำ community health project ท่เี กี่ยวของกับเวชศาสตร์ 13 4 การจราจร 13 4 4.1. Community need assessment 4.2. Health need assessment 13 4 4.3. Health Project development 13 4 4.4. Health project implementation 4.5. Health project evaluation 13 4 23 4 5. การนำเสนอผลงาน 5.1. ผลงานวชิ าการ 13 5.2. โครงการ 12 3 5.3. Power point presentation 5.4. Info graphic presentation 5.5. Poster presentation 5.6. Clip VDO

[41] ภาคผนวกท่ี 5 EPA 3 ทกั ษะด้านการบำบัดวนิ ิจฉยั ในระยะเบ้ืองต้น ประสานการรกั ษา และประสานการฟ้นื ฟสู มรรถภาพของ ผูบ้ าดเจบ็ เน้นการประเมนิ สมรรถนะรวมถึงผลกระทบดา้ นสขุ ภาพของผู้ขับขที่ ี่อาจจะมีตอ่ สมรรถนะการขบั ข่ี • ระดบั ที่ 1 ทักษะการบำบดั รักษาท่ตี ้องทำได้ ในสถานการณท์ ไี่ ม่ซับซอ้ น รู้แนวทางปฏิบัติในการส่งต่อ ใหแ้ ก่ผู้เกีย่ วข้องเพอื่ ดำเนนิ การอย่างเหมาะสมตอ่ ไป จะตอ้ งมที ักษะ step approach ในการดูแลผู้ป่วย อุบัติเหตุ โดยยึดหลักการตาม ATLS และเข้าใจหลักการในการดูแล first hour ใน ER ซึ่งเป็น multi-disciplinary team approach (แม้วา่ จะไม่ต้องลงไปดแู ลคนไขเ้ องก็ตาม) • ระดับที่ 2 ทักษะที่ต้องทำได้ ในสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อน และสามารถเป็นที่ปรึกษาได้ สามารถ ประยกุ ต์ใช้ความร้แู ละทักษะดงั กล่าวไดด้ ว้ ยการทบทวนตำรา ปรึกษาหรือสง่ ต่อไปยังผเู้ ก่ียวขอ้ งได้ • ระดับท่ี 3 ทักษะท่ีต้องทำได้ ในสถานการณ์ท่ซี ับซ้อนมากขนึ้ และสามารถเปน็ ทปี่ รกึ ษาได้ • ระดับที่ 4 ทักษะที่ต้องทำได้ ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น สามารถเป็นที่ปรึกษาได้และกำกับการ ปฏิบัติงานของแพทยท์ ่มี ปี ระสบการณน์ อ้ ยกวา่ ได้ ภาวะฉุกเฉนิ ดา้ น Trauma แพทยป์ ระจำบ้านชน้ั ปี 12 3 1. Abdominal trauma 12 Diaphragm S27.8 Hollow viscus S36.7 12 Penetrating S36 Retroperitoneum S36.8 Solid organ S36.0.2 Vascular S35 2. Chest trauma Aortic dissection/disruption S25.0 Contusion Cardiac S26.8 Pulmonary S27.30 2.1. Fracture Clavicle S42.0 Ribs/Flail chest S22.3, S22.4 Sternum S22.2 2.2. Hemothorax S27.1 2.3. Penetrating chest trauma S27 2.4. Pericardial tamponade S26.0 2.5. Pneumothorax Simple S27.10

[42] แพทย์ประจำบ้านช้นั ปี 12 3 ภาวะฉุกเฉนิ ด้าน Trauma 12 Tension 12 Open S27.11 3. Cutaneous injuries 12 Avulsions T14.7 Burns 12 12 • Electrical W85-w87 12 • Chemical X69 • Thermal W92,x10,x19 Laceration T14.1 Puncture wound T14.1 4. Facial fractures Dental S02.5 Le Fort S02.4 Mandibular S02.6 Orbital S02.6 Nasal S02.2 Septal hematoma Zygomatic arch S02.6 5. Genitourinary trauma Bladder S37.2 External genitalia S39,S37 Renal S37.0 Ureteral S37.1 Urethral S37.3 6. Head trauma Intracranial Injury S06 Scalp lacerations/Avulsions S00.0, S01.0 Skull fractures 7. Injuries of the spine Dislocation/Subluxations S1.3.1, S23, S33 Fractures S12, S22, S33.5 Sprain/strains S13.4, S23.3, S33.5 8. Extremity bony trauma

[43] แพทย์ประจำบ้านช้นั ปี 12 3 ภาวะฉุกเฉนิ ดา้ น Trauma 12 Dislocations/Subluxations S6.3, S73 12 Fractures (open and closed) S6.2, S72 9. Neck trauma 12 Laryngotracheal injuries S11.0 12 Penetrating neck trauma S11.9 12 Vascular injuries 12 Carotid artery S13.0 Jugular vein S15.1, S15.2 Strangulation 10. Ophthalmologic trauma Corneal abrasions/Lacerations S50.0 Corneal burns • Acid T26.1 • Alkali T26.1 • Ultraviolet T26.1 Eyelid laceration S00.2, S01.1 Foreign body T15 Hyphema S05 Lacrimal duct injuries S05.8 Penetrating glove injuries S05.9 Retinal detachments S33.0 Traumatic iritis S05.8 Retrobulbar hematoma S05.8 11. Otologic trauma Hematoma S01.3 Perforated tympanic membrane S09.2 12. Pediatric fractures Epiphyseal Salter-Harris classification • Greenstick • Torus 13. Pelvic fracture S32.6 14. Soft-tissue extremity injuries

[44] แพทยป์ ระจำบ้านช้ันปี 12 3 ภาวะฉุกเฉินดา้ น Trauma 12 Amputations/Replantation S68,S98 12 Compartment syndromes T79.6 12 High-injection T70.4 Injuries of joints T14.9 Penetrating trauma T01.2,T01.3 Periarticular Sprains/Strains T03.0,T03.2 Tendon injuries • Lacerations/Transections T14.6 • Ruptures • Achilles tendon S86.0 • Patellar tendon S76.1 • Vascular injuries S85, S55 15. Spinal cord and nervous system trauma Cauda equine syndrome G83.4 Injury to nerve roots T09.4 Peripheral nerve injury T14.4 Spinal cord injury T09.3 Without radiologic abnormality (SCIWORA) 16. Trauma in Pregnancy Abruptio placentae 045. Perimotem Caesareon section Premature labor 060 Rupture of uterus 071.1 17. Multi-system Trauma Blast injury T70.8

[45] ทักษะเวชหัตถการฉุกเฉิน เมื่อสำเร็จการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านแล้ว ต้องมีความรู้ความสามารถระบุข้อบ่งช้ี ขั้นตอนวิธีทำ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และสามารถทำ เวชหัตถการฉุกเฉินด้วยตนเอง รวมทั้งสอนผู้อื่นทำได้อย่าง ถกู ตอ้ ง ได้อย่างน้อยตามจำนวนครัง้ ท่ี ว.ว. กำหนด โดยจำแนกระดับความร้คู วามสามารถเปน็ 3 ระดับ ดังตาราง ทักษะเวชหตั ถการฉุกเฉิน แพทยป์ ระจำบ้าน 12 3 1. Airway Techniques 12 1.1. Intubution 96.04 1.2. Airway adjuncts 12 1.3. Surgical airway 1.4. Mechanical ventilation 96.7 12 1.5. Non-invasive ventilator management 93.90 12 1.6. Ventilatory monitoring 2. Resuscitation 2.1. Cardiopulmonary resuscitation 99.60 2.2. Neonatal resuscitation 99.6 2.3. Pediatric resuscitation 2.4. Post-resuscitation care 2.5. Blood, fluid and component therapy 99, 99.18 2.6. Arterial catheter insertion 38.91 2.7. Central venous access 38.93 2.8. Intraosseous infusion 2.9. Defibrillation 99.61, 99.62 2.10. Open Thoracotomy for cardiac massage/stop bleeding 3. Anesthesia and Acute Pain Management 3.1. Local Anesthesia 3.2. Regional nerve block 04.81 3.3. Procedural sedation and analgesia 4. Diagnostic and Therapeutic Procedures 4.1. Abdominal and gastrointestinal 4.1.1 Anoscopy 49.21 4.1.2 Excision of thrombosed hemorrhoid 49.46 4.1.3 Gastric Lavage 96.33 4.1.4 Gastrostomy tube replacement 97.02 4.1.5 Nasogastric tube replacement 96.07, 96.6 4.1.6 Paracentesis 54.91

[46] แพทย์ประจำบา้ น 12 3 ทกั ษะเวชหตั ถการฉกุ เฉนิ 4.2. Cardiovascular and Thoracic 4.2.1 Cardiac pacing externakl 99.62 4.2.2 Cardioversion 99.61, 99.62 4.2.3 ECG interpretation 89.52 4.2.4 Pericardiocentesis 37 4.2.5 Thoracentesis 34.91 4.2.6 Thoracostomy 34.09 4.3. Cutaneous 4.3.1 Escharotomy 86.09 4.3.2 Incision and drainage 86.04 4.3.3 Wound closure techniques 86.59 4.3.4 Lateral canthotomy 08.51 4.3.5 Slit lamp examination 4.3.6 Tonometry 89.11 4.3.7 Tooth stabilization 4.3.8 Corneal foreign body removal 98.21 4.3.9 Drainage of hematoma 86.04 4.4. Systemic infectious 4.4.1 Personal protection (equipment and techniques) 4.4.2 Universal precaution and exposure management 4.5. Musculoskeletal 4.5.1 Arthrocentesis 81.91 4.5.2 Compartment pressure measurement 89.39 4.5.3 Fracture/Dislocation immobilization techniques 93.53, 93.54 4.5.4 Fracture/Dislocation reduction techniques 96.7 4.5.5 Spine immobilization techniques 93.52 4.5.6 Fasciotomy 83.14