คู่มือแพทยป์ ระจำบา้ น หลกั สตู รฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตรป์ อ้ งกนั (อาชีวเวชศาสตร์) ปีการฝกึ อบรม 2565 1.6.4 Reproductive consideration in Work’s Fitness and Risk Evaluation 1.6.5 Return to work 1.7 จกั ษวุ ิทยา ฝึกอบรมที่โรงพยาบาลที่แพทยสภารับรอง โดยให้มีการจัดกิจกรรมวิชาการอาชีวเวชศาสตร์เป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม และประกอบด้วยการฝึกอบรมดูแลผู้ป่วยและ/หรืออภิปรายปัญหาผู้ป่วย ทางอาชวี เวชศาสตร์ ดังนี้ :- 1.7.1 Eye Injuries due to Physical and Chemical Agents 1.7.2 Visual Fitness test 1.7.3 Assessment of Visual impairment for Disability Evaluation 1.7.4 Return to work 1.8 โสต นาสกิ ลารงิ ซ์วิทยา ฝึกอบรมที่โรงพยาบาลที่แพทยสภารับรอง โดยให้มีการจัดกิจกรรมวิชาการอาชีวเวชศาสตร์เป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม และประกอบด้วยการฝึกอบรมดูแลผู้ป่วยและ/หรืออภิปรายปัญหาผู้ป่วย ทางอาชีวเวชศาสตร์ ดงั นี้ : 1.8.1 Occupation Hearing Loss 1.8.2 Hearing Tests, - Audiometry 1.8.3 Hearing Conservation Program - Personal Hearing Protection - Audiometric Examination of Employees 1.8.4 Assessment of Hearing Impairment for Disability Evaluation 1.8.5 Return to work 1.9 จิตเวชศาสตร์ ฝึกอบรมที่โรงพยาบาลที่แพทยสภารับรอง โดยให้มีการจัดกิจกรรมวิชาการอาชีวเวชศาสตร์เป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม และประกอบดว้ ยเน้ือหาการฝึกอบรมดงั น้ี : 1.9.1 Assessment of Mental Stress Factors at Work - Occupational Stress 1.9.2 Health and Safety in Shift Workers 1.9.3 Diagnosis of absenteeism 1.9.4 Neuropsychiatric Tests 1.9.5 Mental and Behavioral Disorders Impairment Evaluation - Psychiatric Examination for Stress Claims and Impairment Ratings 1.9.6 Return to work กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 40
คู่มอื แพทย์ประจำบา้ น หลกั สูตรฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ปอ้ งกนั (อาชวี เวชศาสตร์) ปีการฝกึ อบรม 2565 2. ศกึ ษาหลกั สูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบณั ฑิตหรือเทียบเทา่ เพื่อศึกษาพื้นฐานความรู้ด้านอาชีวเวชศาสตร์ และศึกษาการทำวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับ งานอาชีวเวชศาสตร์ สำหรบั ผู้ท่ีเคยศึกษาวุฒิดงั กลา่ วหรอื เทยี บเทา่ มาแลว้ อาจได้รับการพิจารณาให้ยกเว้น - ศกึ ษาพื้นฐานอาชวี เวชศาสตร์ในหลกั สตู รสาธารณสุขศาสตรมหาบณั ฑิตหรือเทยี บเท่า - การทำวิทยานิพนธใ์ นหลักสตู รสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิตหรือเทยี บเท่าตามทก่ี ำหนดในหลกั สตู ร 3. ฝึกอบรมวชิ าอาชวี เวชศาสตรภ์ าคปฏิบตั ิในสถาบัน โรงพยาบาล และสถานประกอบกจิ การ ท่ีแพทยสภา รับรอง ระยะเวลาอยา่ งน้อย 12 เดอื น คือ 3.1 ฝึกปฏิบตั งิ านอาชีวเวชกรรมในสถาบนั และโรงพยาบาล โดยครอบคลมุ กจิ กรรม ดังต่อไปนี้ - บริการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ และปอ้ งกันโรคและ/หรือการบาดเจบ็ แกผ่ ปู้ ระกอบอาชพี ทุกสาขา - เฝ้าระวัง สอบสวน ควบคมุ โรคและ/หรอื การบาดเจบ็ จากการประกอบอาชีพ และโรคเน่อื งจากงาน - วินิจฉัย รักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้ป่วยด้วยโรคและ/หรือการบาดเจ็บจากการประกอบอาชีพ และโรคเน่ืองจากงาน - ตรวจวัด แปลผลการตรวจสงิ่ แวดล้อมในท่ีทำงานและรอบสถานประกอบกจิ การ - ประเมนิ สภาวะสขุ ภาพเพ่อื ความเหมาะสมกับการทำงานและกลบั เขา้ ทำงานหลังการเจบ็ ป่วย/บาดเจ็บ - ประเมินการสูญเสียสมรรถภาพรา่ งกายและจติ ใจจากการทำงาน - วางแผนและดำเนินการบริการอาชีวอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานบริการสาธารณสุข สถานประกอบกิจการและชมุ ชน รวมทง้ั การเตรยี มการและตอบโต้อุบตั ภิ ัย - เผยแพรฝ่ ึกอบรม ใหค้ ำแนะนำ และคำปรึกษาเกี่ยวกบั การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ การป้องกันอุบตั ิภยั และ โรคจากการประกอบอาชพี และการปรบั ปรุงภาวะแวดลอ้ มในการทำงาน - ฝึกปฏิบตั ิงานอนื่ ๆ ตามลักษณะเฉพาะของสถานฝึกปฏิบตั งิ าน 3.2 ฝกึ ปฏบิ ตั งิ านในสถานประกอบกิจการ 3.2.1 การบรหิ ารจดั การทวั่ ไปในสถานประกอบกิจการ 3.2.1.1 ร่วมเป็นคณะกรรมการความปลอดภัยของสถานประกอบกิจการ เพื่อให้ข้อมูลหรื อ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับกิจการของสถานประกอบกิจการ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ จะได้ดำเนินการปอ้ งกันตงั้ แต่เริ่มตน้ 3.2.1.2 แพทย์ควรมีบทบาทในการร่วมสำรวจทั่วไปในสถานประกอบกิจการ เพื่อเฝ้าระวัง และใหค้ ำแนะนำเก่ียวกับปญั หาท่อี าจเกิดขนึ้ แกส่ ุขภาพของพนักงานในแตล่ ะแผนกได้ 3.2.2 การจัดการทางสุขภาพ 3.2.2.1 การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ ได้แก่ - การใหค้ ำแนะนำเกย่ี วกับระบบงานและลกั ษณะการทำงานท่เี หมาะสม - การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพที่ดี และการระวัง ป้องกันกบั ตนเองไมใ่ ห้เกิดการเจ็บปว่ ยจากการทำงาน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย 41
คู่มอื แพทยป์ ระจำบา้ น หลกั สูตรฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตรป์ ้องกนั (อาชวี เวชศาสตร์) ปกี ารฝกึ อบรม 2565 - การให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพแก่พนักงานและครอบครัว ตามความเหมาะสม - การจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โภชนาการ เพือ่ สุขภาพ เป็นตน้ 3.2.2.2 การป้องกันโรค - การดูแลเกย่ี วกบั การป้องกันโรคติดตอ่ ทวั่ ไปในโรงงาน - การจดั วคั ซนี ปอ้ งกันโรคตดิ เชื้อท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การประกอบอาชีพ เชน่ งานปศสุ ตั ว์ เป็นตน้ 3.2.2.3 งานบริการทางอาชวี เวชกรรม - การตรวจสขุ ภาพพนักงานกอ่ นรับเขา้ ทำงาน (Pre-employment examination) - การตรวจสุขภาพเมอ่ื จะบรรจพุ นกั งานในแต่ละแผนก หรอื เม่ือมีการยา้ ยแผนก - (Pre-placement examination) - การตรวจสุขภาพเป็นระยะ (Periodic medical examination) ในกรณีทั่วไป มักเป็นการตรวจสุขภาพพนักงานปีละครั้ง แต่ในบางงานอาจต้องมีการตรวจ สุขภาพพนกั งานทุก 3 เดอื น หรือทุก 6 เดอื น - ก า ร ต ร ว จ ส ุ ข ภ า พ ก ่ อ น อ อ ก จ า ก ง า น ( Pre-retirement examination) เปน็ การตรวจสุขภาพก่อนที่พนักงานคนนัน้ จะลาออกจากบรษิ ัท/โรงงาน ซึง่ จะเป็น การตรวจยนื ยันภาวะสขุ ภาพก่อนทพี่ นกั งานคนน้ันจะไปทำงานอนื่ 3.2.2.4 การตรวจพเิ ศษทางสุขภาพ ได้แก่ การตรวจวิเคราะหป์ ัญหาเฉพาะ เชน่ - การตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometry) เพื่อการเฝ้าระวังปัญหาประสาทหู เส่ือมในพนกั งานท่ที ำงานเกย่ี วขอ้ งกับเสยี งดัง - การตรวจสมรรถภาพการมองเห็น (Vision test) ในพนกั งานทต่ี อ้ งทำงานใช้สายตา มากเป็นพเิ ศษ - การตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด ( Pulmonary Function test) ในพนักงานท่ที ำงานเกย่ี วขอ้ งกบั ฝ่นุ หรือก๊าซตา่ ง ๆ - การตรวจเลอื ดและปสั สาวะพนกั งานทท่ี ำงานเกีย่ วข้องกับสารเคมีบางชนิด เชน่ สารตะก่ัว แมงกานสี ปรอท เบนซนี โทลอู ีน เปน็ ตน้ - การตรวจพเิ ศษอน่ื ๆ 3.2.2.5 การตรวจรกั ษาโรคและการบาดเจ็บ ได้แก่ - การตรวจรักษาโรคเจ็บป่วยทว่ั ไป - การตรวจรกั ษาโรคเจบ็ ป่วยเรอ้ื รัง เชน่ โรคความดันโลหติ สงู โรคเบาหวาน - การตรวจรกั ษาโรค และการบาดเจ็บจากการทำงาน - การสง่ พนกั งานที่เจบ็ ปว่ ยหนักไปรับการรกั ษาท่ีโรงพยาบาล - การดูแลฟนื้ ฟสู มรรถภาพพนักงานทบี่ าดเจบ็ จนสามารถกลับเข้าทำงานได้ตามปกติ หรอื แนะนำการยา้ ยแผนกตามความเหมาะสม 3.2.3 การดูแลเกย่ี วกบั ปญั หากฎหมายทางสุขภาพและประโยชนท์ ดแทนตา่ งๆ เช่น 3.2.3.1 การลาปว่ ยของพนักงาน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 42
คู่มือแพทย์ประจำบา้ น หลกั สตู รฝกึ อบรมแพทย์เวชศาสตรป์ ้องกัน (อาชวี เวชศาสตร์) ปีการฝึกอบรม 2565 3.2.3.2 การออกใบรบั รองแพทย์ 3.2.3.3 เงินทดแทนกรณีบาดเจ็บหรือปว่ ยจากการทำงานตาม พ.ร.บ. เงนิ ทดแทน 3.2.3.4 การเจบ็ ป่วยและประโยชนท์ ดแทนตาม พรบ. ประกันสงั คม 3.2.3.5 การดูแลการจดั เกบ็ เวชระเบยี น และอ่นื ๆ 3.2.3.6 คา่ ใช้จา่ ยทางการแพทย์/สวสั ดกิ ารอน่ื ๆ 3.2.4 การตรวจวัดสง่ิ แวดลอ้ มและการแปลผล ไดแ้ ก่ - การตรวจวดั สิง่ แวดล้อมในการทำงาน เช่น การวัดแสง เสียง ความร้อน ความช้นื ฝนุ่ สารเคมี เป็นตน้ - การตรวจวัดส่ิงแวดล้อมรอบสถานประกอบกิจการ เช่น การตรวจอากาศ และน้ำท่ีปล่อยออกจาก สถานประกอบกิจการ เป็นต้น 3.3 ฝกึ ปฏบิ ัตงิ านที่กองโรคจากการประกอบอาชพี และส่ิงแวดล้อม และหน่วยงานภาครัฐทเ่ี ก่ยี วข้อง กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย 43
คู่มอื แพทยป์ ระจำบา้ น หลกั สตู รฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ป้องกนั (อาชวี เวชศาสตร์) ปีการฝึกอบรม 2565 ภาคผนวกท่ี 8 กจิ กรรมวชิ าชพี ท่เี ชอ่ื มน่ั ได้ (EPAs) 1. แนวทางการเรียนร้แู ละการประเมนิ ความเช่ือมนั่ ตาม EPAs ระดบั ที่ 1: สังเกตการปฏิบตั งิ าน และสามารถอธิบายถงึ วัตถุประสงค์และขั้นตอนของงานหรอื กิจกรรมได้ อยา่ งถูกต้องเหมาะสม ระดบั ท่ี 2: สามารถปฏิบัติงานหรอื กจิ กรรมได้เบื้องตน้ ภายใต้การควบคุมดแู ลของอาจารย์อยา่ งใกลช้ ดิ ระดับที่ 3: สามารถปฏบิ ัตงิ านหรอื กจิ กรรมไดด้ ว้ ยตนเอง ภายใต้การดูแลของอาจารย์ ระดับที่ 4: สามารถปฏิบัติงานหรอื กิจกรรมได้ดว้ ยตนเองโดยไม่ต้องมีการกำกบั ดูแลของอาจารย์ แต่ สามารถขอความช่วยเหลอื จากอาจารย์ไดเ้ ม่ือจำเปน็ ระดบั ที่ 5: สามารถปฏิบัตงิ านหรอื กจิ กรรมได้ดว้ ยตนเองได้อยา่ งมั่นใจ และสามารถควบคุมการปฏิบัติงาน ของผูม้ ปี ระสบการณ์น้อยกว่าได้ 2. เนือ้ หาการเรียนร้แู ละการประเมิน 2.1 การประเมนิ ภาวะสขุ ภาพตามหลักอาชวี เวชศาสตร์ 1. หัวขอ้ กิจกรรมวิชาชพี ท่ีเช่ือมน่ั ได้ การประเมนิ ภาวะสุขภาพตามหลักอาชีวเวชศาสตร์ 2. ลักษณะเฉพาะ 2.1 บง่ ช้ตี ำแหน่งงาน (job title) หน้าท่ี (duty) ทตี่ อ้ งการความปลอดภยั สงู หรือ มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ที่จำเป็นต้องได้รับการประเมินภาวะสุขภาพก่อนเริ่ม ปฏิบัติงานตามแนวปฏิบัติของสถาบันด้านอาชีวเวชศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับ จากองค์กรวิชาชีพ 2.2 สามารถระบุภาวะสุขภาพ (medical condition) ที่จำเป็นต้องได้รับการ ประเมนิ ก่อนกลับเข้าทำงานได้ 2.3 สามารถซักประวัติ และตรวจร่างกายคนทำงานได้อย่างถูกต้องครอบคลุม ทั้งปัจจัยจากงาน/อาชีพ และปัจจัยกำหนดสุขภาพและการเจ็บป่วย (health determinants) 2.4 สามารถประเมิน risk, capacity และ tolerance ได้อย่างถูกต้อง ตามหลกั การในการประเมนิ return to work โดยอ้างอิงตามแนวทางการประเมนิ ตามหลกั สากลท่ีเป็นท่ยี อมรับ 2.5 สามารถเลือกใช้เครื่องมอื ประเมิน functional capacity evaluation (FCE) ทีเ่ หมาะสม หรือปรกึ ษาสหสาขาเพอื่ รว่ มประเมนิ FCE ไดอ้ ย่างเหมาะสม 2.6 สามารถรวบรวมข้อมูล สังเคราะห์ อภิปราย เพื่อประเมินภาวะสุขภาพ ตามหลักอาชีวเวชศาสตร์ และให้ความเห็นเกี่ยวกับสุขภาพในหนังสือรับรอง สขุ ภาพหรือใบรับรองแพทยไ์ ด้ 2.7 สามารถอธิบาย ส่ือสาร แกค่ นทำงานและนายจ้าง ถงึ สุขภาพท่มี หี รอื อาจมีผล กับลักษณะงานที่มีความเสี่ยง รวมถึงผลการประเมินภาวะสุขภาพในประเด็น ข้อห้าม (restriction) และขอ้ จำกัด (limitation) ของงานได้ 2.8 สามารถให้คำแนะนำสถานประกอบกิจการในการจัดทำเอกสาร (documents) แนวปฏิบัติของฝ่ายบุคคล เรื่อง medical assessment for fitness for work & return to work กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 44
คูม่ ือแพทย์ประจำบา้ น หลกั สูตรฝกึ อบรมแพทย์เวชศาสตรป์ ้องกัน (อาชวี เวชศาสตร์) ปกี ารฝึกอบรม 2565 3. บรบิ ท 3.1 การจัดและให้บริการอาชีวเวชกรรมทีโ่ รงพยาบาล (occupational medicine service) OPD/IPD 3.2 การใช้องค์ความรู้อาชีวเวชศาสตร์ในการให้บริการอาชีวอนามัย ณ สถานประกอบกิจการ (enterprise setting) 4. สมรรถนะหลักทใี่ ช้ 4.1 worker and people care, medical knowledge and skills, interpersonal and communication skills, professionalism 5. ความรู้ ทักษะ เจตคติ พฤติกรรม และ 5.1 ความรู้ ประสบการณ์ทจ่ี ำเป็นเพื่อใหเ้ ชือ่ ม่ันได้ - occupational health and safety management, occupational health service in workplace, occupational medicine service, physical and psychological demand, potential risk of high physical and psychological demand job, law and regulations, principle of medical fitness for work and return to work assessment, nature of diseases, treatment and prognosis of acute and chronic diseases, medical guideline of fitness for work and return to work (international) 5.2 ทักษะ - ทักษะการซกั ประวัติอาชีพ ตำแหน่งงาน และลักษณะงาน/กิจกรรม (task) และ ประวัติสุขภาพ การตรวจร่างกาย การใช้ evidence-based medicine การ วเิ คราะห์ความสมั พนั ธข์ องข้อมูลทางการแพทย์กับความเสย่ี งจากงาน การส่ือสาร กับคนทำงานและนายจ้าง 5.3 เจตคติและพฤติกรรม - professionalism 5.4 ประสบการณ์ - จัดประสบการณใ์ ห้ผปู้ ระกอบวิชาชีพเวชกรรมสามารถเขา้ ร่วมได้ตั้งแต่ต้นจนจบ กระบวนการประเมิน fit for work อย่างน้อย 2 กลุ่มอาชีพ/job title/duty (ตารางท่ี 2) - จัดประสบการณใ์ หผ้ ปู้ ระกอบวชิ าชพี เวชกรรมสามารถเขา้ ร่วมได้ตั้งแต่ต้นจนจบ การประเมิน return to work อย่างน้อย 2 กลุ่มโรคหรือภาวะสุขภาพ (ตารางที่ 3) โดยใช้แนวทางการประเมินตามหลักสากลหรือราชวิทยาลัย ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง - จัดประสบการณ์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้จัดทำ เอกสารแนวปฏิบัติ fitness for work and return to work สำหรับสถานประกอบกจิ การ 6. แหล่งสารสนเทศการประเมินผลเพ่ือ 6.1 สังเกตการปฏบิ ัติงาน ประเมินความก้าวหน้าและเพื่อการ 6.2 รายงานการประเมินภาวะสุขภาพเพื่อความเหมาะสมกับงาน หรือก่อนกลับ ตดั สนิ ใจใหค้ วามเช่อื ม่นั รวบยอด เขา้ ทำงานภายหลังการ บาดเจบ็ /เจบ็ ป่วย การให้ความเหน็ FCE ทจี่ ำเปน็ 6.3 ความสมบูรณข์ องการบนั ทกึ เวชระเบียนตามหลักอาชวี เวชศาสตร์ 6.4 หนังสือให้ความเห็นภาวะสุขภาพหรือใบรับรองแพทย์ตามหลัก อาชวี เวชศาสตร์ 7. ความเชื่อมั่นในการกำหนดระดับการ 7.1 fit for work กำกับดแู ลว่าถงึ ระยะใดของการฝกึ อบรม ประเมนิ เม่ือจบช้ันปีที่ 1 – ความเชือ่ มน่ั ระดบั ท่ี 1 ประเมินเมื่อจบชั้นปีที่ 2 – ความเชื่อมั่นระดับที่ 2 (5 รายจากกลุ่มอาชีพ/job title/ duty ท่ีแตกต่างกนั ) ประเมินเมื่อจบขั้นปีที่ 3 – ความเชื่อมั่นระดับที่ 3,4 (5 รายจากกลุ่มอาชีพ/job กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย 45
คมู่ ือแพทย์ประจำบา้ น หลกั สตู รฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ป้องกนั (อาชวี เวชศาสตร์) ปีการฝึกอบรม 2565 title/ duty ทีแ่ ตกตา่ งกนั สำหรบั ระดับท่ี 3 และ 5 รายจากกลุ่มอาชีพ/job title/ duty ทแ่ี ตกตา่ งกนั สำหรบั ระดับที่ 4) 7.2 return to work ประเมนิ เมอื่ จบขน้ั ปที ่ี 1 – ความเช่อื ม่ันระดับท่ี 1 ประเมินเมื่อจบขั้นปีที่ 2 – ความเชื่อมั่นระดับที่ 2 (2 รายจากกลุ่มโรคหรือ ภาวะสขุ ภาพทแ่ี ตกต่างกนั ) ประเมินเมื่อจบชั้นปีที่ 3 – ความเชื่อมั่นระดับที่ 3,4 (2 รายจากกลุ่มโรคหรือ ภาวะสุขภาพที่แตกต่างกันสำหรับระดับที่ 3 และ 2 รายจากกลุ่มโรคหรือ ภาวะสุขภาพท่ีแตกต่างกนั สำหรบั ระดับที่ 4) 2.2 การสร้างเสริมสุขภาพแก่คนทำงาน 1. หวั ขอ้ กิจกรรมวชิ าชพี ทเ่ี ช่อื มั่นได้ การสรา้ งเสริมสุขภาพแก่คนทำงาน 2. ลกั ษณะเฉพาะ 2.1 การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ เช่น ผลการตรวจสุขภาพประจำปีหรือผลสขุ ภาพ อื่น ๆ เพื่อพัฒนาโปรแกรมหรือกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ให้เหมาะสมกับอาชีพ หรือหนา้ ที่ 2.2 การสร้าง คัดเลือกรูปแบบ และพัฒนาโปรแกรมหรือกิจกรรมการสร้างเสริม สขุ ภาพ 2.3 การจัดและบรหิ ารกิจกรรมสร้างเสริมสขุ ภาพ 2.4 การประเมนิ ผลโปรแกรมหรือกิจกรรมสรา้ งเสริมสุขภาพ 3. บริบท 3.1. การใหบ้ รกิ ารอาชวี อนามยั ท่ีสถานประกอบกิจการ 4. สมรรถนะหลักทใ่ี ช้ 4.1 worker and people care, medical knowledge and skills, interpersonal and communication skills, professionalism, system-based practice 5. ความรู้ ทักษะ เจตคติ พฤติกรรม และ 5.1 ความรู้ ประสบการณ์ที่จำเป็นเพอ่ื ใหเ้ ช่ือมัน่ ได้ - theory of occupational health and safety management, behavioral theory, stage of change model, organization culture, qualities of instruments, evaluation instruments at worksite for health promotion, clinical preventive medicine, tools for health promotion, i. e. , Ottawa Charter, quality of work life assessment 5.2 ทักษะ - need assessment การประมวลผลข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ การวิเคราะห์ ข้อมูลเชิงวทิ ยาการระบาด การส่ือสาร การจดั การอาชวี อนามัยและความปลอดภยั การบรหิ ารจดั การโครงการ (project management) 5.3 เจตคตแิ ละพฤติกรรม - professionalism 5.4 ประสบการณ์ - จดั ประสบการณใ์ ห้ผู้ประกอบวชิ าชีพเวชกรรมสามารถจัดโปรแกรมหรือกิจกรรม สร้างเสรมิ สุขภาพแก่คนทำงานได้ 6. แหล่งสารสนเทศการประเมินผลเพ่ือ 6.1 สังเกตการปฏบิ ัติงาน ประเมินความก้าวหน้าและเพื่อการ 6.2 ความครบถ้วนสมบูรณ์ของรายงานประเมินโปรแกรมหรือกิจกรรมการสร้าง ตดั สินใจใหค้ วามเช่อื ม่นั รวบยอด เสริมสขุ ภาพ 6.3 ประเมนิ โดย HR personnel, occupational safety and health personnel กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 46
คู่มือแพทย์ประจำบา้ น หลกั สูตรฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ปอ้ งกนั (อาชีวเวชศาสตร์) ปีการฝกึ อบรม 2565 7. ความเชื่อมั่นในการกำหนดระดับการ 7.1 ประเมินเม่ือจบชน้ั ปที ่ี 1 – ความเชอ่ื มน่ั ระดบั ท่ี 1 กำกบั ดูแลวา่ ถงึ ระยะใดของการฝึกอบรม (1 โปรแกรมหรอื กจิ กรรมสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ) 7.2 ประเมินเมอ่ื จบชนั้ ปที ี่ 2 – ความเชอ่ื ม่ันระดับที่ 2 (1 โปรแกรมหรือกิจกรรมสร้างเสรมิ สขุ ภาพ) 7.3 ประเมนิ เมอื่ จบชัน้ ปีท่ี 3 – ความเชอ่ื ม่ันระดับท่ี 3, 4 (1 โปรแกรมหรอื กจิ กรรมสร้างเสริมสุขภาพ) 2.3 การเฝ้าระวงั ทางการแพทย์ (medical surveillance) 1. หวั ขอ้ กิจกรรมวชิ าชีพท่เี ชื่อมั่นได้ การเฝา้ ระวงั ทางการแพทย์ 2. ลกั ษณะเฉพาะ 2.1 เข้าใจและสามารถระบสุ ิง่ คุกคามสุขภาพต่อสุขภาพ (occupational health hazard) ประเมินการรับสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพต่อคนทำงาน (occupational exposure) ระบุอันตรายและผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผัสสิ่งคุกคาม รวมทงั้ สามารถประเมินความเสยี่ งต่อสขุ ภาพได้ 2.2 ออกแบบการเฝ้าระวังทางการแพทย์ได้ โดยเลือกใช้เครือ่ งมือในการคัดกรอง (screening) การเฝา้ ระวงั (surveillance) ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม 2.3 วางแผนการใหบ้ ริการการเฝ้าระวังทางการแพทย์และสขุ ภาพแกค่ นทำงานท้ัง ในบรบิ ททีโ่ รงพยาบาลและทสี่ ถานประกอบกจิ การ 2.4 เขียนรายงานการเดินสำรวจประกอบการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตั้งแต่ กระบวนการระบุสิ่งคุกคามสุขภาพ การประเมินการรับสัมผัส การระบุผู้สัมผัส (significant exposed person) การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ ตลอดจนถึง การตรวจสขุ ภาพหรอื การตรวจรา่ งกายท่จี ำเป็นต่อการเฝ้าระวงั ทางการแพทย์ 2.5 สามารถซักประวัติตำแหน่งงาน (job title) และกิจกรรมทีป่ ฏิบัติ (job task) และตรวจรา่ งกายคนทำงานไดอ้ ย่างถูกตอ้ งครอบคลมุ ทั้งปจั จัยจากงาน และปจั จัย กำหนดสขุ ภาพและการเจบ็ ปว่ ย โดยใช้แนวทางขององค์กรที่เป็นท่ียอมรบั 2.6 แปลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจากการเฝ้าระวังทางการแพทย์ ทั้งรายบุคคล และรายกลุ่ม หรือ similar exposure group (SEG) รายงานผล และติดตาม กระบวนการเฝ้าระวังทางการแพทยอ์ ยา่ งตอ่ เนื่องและเป็นระบบจากข้อมูลทม่ี ี 2.7 สามารถให้คำแนะนำสถานประกอบกิจการในการจัดทำเอกสาร (documents) แนวปฏบิ ัติของฝ่ายบคุ คล เร่ือง medical surveillance 2.8 สามารถให้คำแนะนำด้านการจัดการทรัพยากรบุคคลได้จากผลการเฝ้าระวัง ทางการแพทย์ เช่น การส่งตัวไปตรวจวินิจฉัยหรือรักษาเพิ่มเติม การปรับเปลี่ยน หน้างาน หรือ medical removal รวมถึงคำแนะนำด้านการป้องกันโรค แก่คนทำงาน เชน่ การเลือกใช้อปุ กรณ์คุม้ ครองความปลอดภยั สว่ นบุคคลที่ถูกต้อง การสรา้ งเสริมภูมิคุ้มกันโรคดว้ ยวคั ซีน 3. บริบท 3.1 การจัดและใหบ้ รกิ ารอาชีวเวชกรรมทีโ่ รงพยาบาล (hospital setting) 3.2 การใหบ้ รกิ ารอาชวี อนามยั ที่สถานประกอบกิจการ (enterprise setting) 4. สมรรถนะหลกั ท่ใี ช้ 4. 1 worker and people care, medical knowledges and skills, interpersonal and communication skills, professionalism, system-based practice 5. ความรู้ ทักษะ เจตคติ พฤติกรรม และ 5.1 ความรู้ ประสบการณ์ที่จำเปน็ เพ่อื ให้เชอ่ื มัน่ ได้ - occupational health and safety management, occupational health service in workplace, occupational medicine service hazard identification, walk through survey, occupational exposure กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย 47
คมู่ ือแพทยป์ ระจำบา้ น หลกั สูตรฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ปอ้ งกนั (อาชวี เวชศาสตร์) ปกี ารฝึกอบรม 2565 assessment, occupational exposure limit, health risk assessment, biological monitoring, health screening, common medical surveillance program, post-exposure surveillance, standard and regulations related to medical surveillance or medical examination 5.2 ทักษะ - ทักษะการซักประวัติงาน หน้าที่ กิจกรรมในงาน สิ่งคุกคามต่อสุขภาพ ตรวจ รา่ งกาย การวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ evidence-based medicine การเดิน สำรวจสถานประกอบกิจการ การประเมินการรับสัมผัส การประเมนิ ความเส่ยี งต่อ สุขภาพ การอ่านผลการประเมินการสมั ผัสโดยสุขศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม (industrial hygiene assessment) การสื่อสาร การจดั การอาชวี อนามัยและความปลอดภยั 5.3 เจตคติและพฤติกรรม - professionalism 5.4 ประสบการณ์ - จดั ประสบการณ์ให้ผู้ประกอบวชิ าชพี เวชกรรมสามารถเขา้ ร่วมไดต้ ้ังแต่ต้นจนจบ กระบวนการเฝ้าระวังทางการแพทย์ (medical surveillance) ในทุกลักษณะ สิ่งคุกคามจากการทำงาน (ตารางที่ 4) ในช่วงระยะเวลาฝึกอบรม 3 ปี ทั้ง periodic และ post-exposure โดยใหใ้ ชต้ ามมาตรฐานสากล อาทิ US OSHA - จัดกิจกรรมเดินสำรวจสถานประกอบกิจการให้ได้อย่างน้อย 10 ครั้ง ในช่วง ระยะเวลาฝึกอบรม 3 ปี - จัดประสบการณ์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมสามารถให้คำแนะนำ สถานประกอบกิจการในการจัดทำเอกสาร (documents) แนวปฏิบัติของฝ่าย บุคคล เร่ือง medical surveillance 6. แหล่งสารสนเทศการประเมินผลเพ่ือ 6.1 สังเกตการปฏิบตั งิ าน ประเมินความก้าวหน้าและเพื่อการ 6.2 ความครบถว้ นสมบูรณ์ของรายงานการเดนิ สำรวจสถานประกอบกจิ การ ตัดสินใจให้ความเช่อื มน่ั รวบยอด 6.3 ความครบถ้วนสมบูรณ์ของแนวทางการเฝ้าระวังทางการแพทย์และการ รายงานผลการเฝ้าระวังทางการแพทย์ท้งั รายบคุ คลและรายกลุ่ม 6.4 feedback from OHD และ HR ของสถานประกอบกิจการ 7. ความเชื่อมั่นในการกำหนดระดับการ 7.1 ประเมนิ เม่ือจบชั้นปที ่ี 1 – ความเชอ่ื มัน่ ระดับท่ี 1 กำกับดแู ลวา่ ถงึ ระยะใดของการฝกึ อบรม 7.2 ประเมินเมื่อจบชัน้ ปีท่ี 2 – ความเชอ่ื ม่นั ระดบั ท่ี 2 7.3 ประเมนิ เม่ือจบชน้ั ปีท่ี 3 – ความเชือ่ ม่ันระดบั ที่ 3, 4 2.4 การวินิจฉัยและการจัดการโรคและ/หรือการเจบ็ ปว่ ยจากการทำงาน 1. หัวข้อกิจกรรมวชิ าชีพท่เี ช่อื ม่ันได้ การวินิจฉัยและการจัดการโรคและ/หรือการเจ็บป่วยจากการทำงาน 2. ลกั ษณะเฉพาะ 2.1 สามารถซักประวัติการทำงาน/job title/ job task และตรวจร่างกาย คนทำงานได้อย่างถูกต้องครอบคลุมทั้งปัจจัยจากงาน และปัจจัยกำหนดสุขภาพ และการเจบ็ ปว่ ย 2.2 สามารถระบุสิง่ คุกคามสุขภาพจากงาน ระบุการรับสัมผัส ระบุผลกระทบทาง สขุ ภาพท่ีเกี่ยวขอ้ งได้ 2.3 สามารถเลือกใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการตรวจพิเศษต่าง ๆ ที่จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยหรือวินิจฉัยแยกโรคที่ไม่เนื่องจากงานออกไปได้ อย่างถกู ตอ้ งและเหมาะสม 2.4 สามารถตัดสินใจส่งปรึกษาสหวิชาชีพเพื่อช่วยวินิจฉัยหรือจัดการได้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 48
คมู่ อื แพทยป์ ระจำบา้ น หลกั สูตรฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตรป์ อ้ งกนั (อาชีวเวชศาสตร์) ปีการฝึกอบรม 2565 อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม 2.5 สามารถวินิจฉัยโรคจากการทำงานและให้ความเห็นเพื่อประโยชน์ แกค่ นทำงานในการขอรับเงนิ ทดแทนหรือทางกฎหมาย 2.6 สามารถบริหารจัดการ case ตามหลัก patient care process และตาม บรบิ ทการบรกิ ารอาชีวอนามัยเช่น return to work 2.7 สามารถอธิบาย สื่อสาร แก่คนทำงาน นายจ้าง และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ถงึ ประเด็นสขุ ภาพหรอื โรคจากทำงานได้ 3. บรบิ ท 1. การใหบ้ รกิ ารอาชวี เวชกรรมทโ่ี รงพยาบาล (hospital setting) OPD/IPD 2. การสนับสนุนการจัดบริการอาชีวอนามัยของสถานประกอบกิจการ (enterprise setting) 4. สมรรถนะหลกั ที่ใช้ worker and people care, medical knowledges and skills, interpersonal and communication skills, professionalism, system-based practice 5. ความรู้ ทักษะ เจตคติ พฤติกรรม และ 5.1 ความรู้ ประสบการณท์ จี่ ำเป็นเพอ่ื ใหเ้ ช่ือมั่นได้ - effects of work on health, internal medicine, orthopedics, psychiatry, otolaryngology, ophthalmology, medical rehabilitation, reproductive health, occupational toxicology, occupational diseases, occupational epidemiology, industrial hygiene, environmental diseases, law and regulations 5.2 ทกั ษะ - ทักษะการซักประวัติการทำงาน/job title/ job task การตรวจร่างกาย การ วิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ การสื่อสารกับคนทำงานและนายจ้าง ทักษะ evidence-based medicine 5.3 เจตคติและพฤติกรรม - professionalism - empathy 5.4 ประสบการณ์ - จัดประสบการณ์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมสามารถเข้าร่วมกระบวนการ วินิจฉัยโรคและ/หรอื การเจ็บป่วย จากการทำงานได้ตามโรคหรือการเจ็บปว่ ยจาก การทำงานทผี่ ูป้ ระกอบวิชาชพี เวชกรรม เวชศาสตร์ปอ้ งกนั (อาชีวเวชศาสตร์) ตอ้ ง วนิ จิ ฉยั และจัดการได้ (ตารางท่ี 5) อยา่ งน้อย 100 ราย ในช่วงระยะเวลาฝึกอบรม 3 ปี - จดั ประสบการณใ์ ห้สามารถแยกโรคจากการทำงาน/โรคทเี่ กยี่ วเน่อื งจากการทำงานกบั โรคที่ไม่เกิดจากการทำงาน/โรคที่ไม่เกี่ยวเนื่องจากการทำงาน ในผู้ป่วยทาง internal medicine, orthopedics, psychiatry, otolaryngology, ophthalmology ได้ - จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเขียนรายงาน การวนิ ิจฉัยโรคและ/หรอื การเจบ็ ป่วย จากการทำงาน (case report) ได้ - จัดประสบการณ์การวินิจฉัยโรคจากการทำงานพื้นฐาน และการส่งต่อ เพอื่ การดแู ลรักษาพยาบาลเพิม่ เติม 6. แหล่งสารสนเทศการประเมินผลเพื่อ 6.1 สังเกตการปฏบิ ตั งิ าน ประเมินความก้าวหน้าและเพื่อการ 6.2 รายงานการวินจิ ฉยั โรคและ/หรอื การเจ็บปว่ ย จากการทำงาน ตัดสินใจใหค้ วามเชือ่ มนั่ รวบยอด 6.3 ความสมบูรณ์ของการบันทึกเวชระเบียนแบบอาชีวเวชศาสตรแ์ ละครอบคลุม patient care process กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 49
คู่มอื แพทยป์ ระจำบา้ น หลกั สตู รฝกึ อบรมแพทย์เวชศาสตรป์ ้องกนั (อาชีวเวชศาสตร์) ปกี ารฝึกอบรม 2565 7. ความเชื่อมั่นในการกำหนดระดับการ 7.1 ประเมนิ เมือ่ จบชน้ั ปีที่ 1 – ความเช่ือมั่นระดับท่ี 1 กำกับดูแลว่าถึงระยะใดของการฝึกอบรม 7.2 ประเมนิ เมื่อจบชน้ั ปีท่ี 2 – ความเชอ่ื มั่นระดบั ที่ 2 7.3 ประเมนิ เม่อื จบชน้ั ปที ี่ 3 – ความเชื่อม่ันระดบั ท่ี 3, 4 2.5 การสอบสวนทางระบาดวิทยาของโรคและ/หรือการบาดเจบ็ จากการทำงานหรือโรคติดต่อในท่ที ำงาน 1. หวั ข้อกจิ กรรมวชิ าชพี ท่เี ช่อื ม่นั ได้ การสอบสวนทางระบาดวิทยาของโรคและ/หรือการบาดเจ็บจากการทำงานหรือ โรคติดต่อทรี่ ะบาดในท่ีทำงาน 2. ลักษณะเฉพาะ 2.1 สามารถยืนยันถึงการระบาดของโรคและ/หรือการบาดเจ็บจากการทำงาน หรือโรคตดิ ต่อในที่ทำงานได้ 2.2 สามารถวิเคราะห์ และสังเคราะห์เลือกใช้รูปแบบการศึกษาทางวิทยาการ ระบาดในการสอบสวนฯ ได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม 2.3 สามารถซักประวตั ิ และตรวจรา่ งกายคนทำงานหรือผไู้ ด้รบั ผลกระทบ ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้องครอบคลุม 2.4 สามารถเลือกใช้เครื่องมือ หรือพัฒนาเครื่องมือในการคัดกรองผู้ได้รับ ผลกระทบจากโรคและ/หรอื การบาดเจบ็ จากการทำงานหรอื โรคตดิ ต่อในที่ทำงาน ได้ 2.5 สามารถวิเคราะห์สาเหตุการระบาดหรือการเกิดโรค ปัจจัยสนับสนุน การระบาดหรือการเกิดโรค จากขอ้ มลู ท่ไี ดร้ ับ 2.6 สามารถให้คำแนะนำในการป้องกันการระบาดของโรคและ/หรือการบาดเจ็บ จากการทำงานหรือโรคติดต่อในที่ทำงานได้ เช่น การให้วัคซีน การปรับเปลี่ยน หนา้ งาน medical removal การเลอื กอปุ กรณ์คมุ้ ครองความปลอดภยั สว่ นบคุ คล ทถี่ กู ตอ้ ง 2.7 สามารถอธิบาย สื่อสาร แก่คนทำงาน นายจ้าง และประชาชนผู้ได้รับ ผลกระทบถึงประเดน็ สขุ ภาพหรือโรคจากการทำงานได้ 2.8 สามารถเขยี นรายงานการสอบสวนเชงิ ระบาดวิทยาภาคสนามได้ 3. บรบิ ท 3.1. การให้บรกิ ารอาชวี เวชกรรมทโ่ี รงพยาบาล (hospital setting) 3.2. การใหบ้ ริการอาชวี อนามยั ท่ีสถานประกอบกิจการ (enterprise setting) 3.3. หน่วยงานราชการดา้ นการป้องกนั และควบคุมโรค 4. สมรรถนะหลกั ทใ่ี ช้ 4. 1 worker and people care, medical knowledges and skills, interpersonal and communication skills, Learning and Improvement, professionalism, system-based practice, field epidemiology, 5. ความรู้ ทักษะ เจตคติ พฤติกรรม และ 5.1 ความรู้ ประสบการณท์ ่จี ำเปน็ เพือ่ ใหเ้ ช่ือมนั่ ได้ - occupational epidemiology, field epidemiology, disease surveillance and investigation, the occurrence of disease, diagnostic and screening test, study designs, principle of prevention 5.2 ทักษะ - ทักษะการซักประวัติการทำงาน/ job title/ job task ประวัติสุขภาพของเพือ่ น ร่วมงานหรือชุมชน ตรวจร่างกาย การวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ field epidemiology การสอ่ื สารกับคนทำงานและนายจ้าง 5.3 เจตคตแิ ละพฤตกิ รรม - professionalism - empathy กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 50
คมู่ ือแพทย์ประจำบา้ น หลกั สูตรฝกึ อบรมแพทย์เวชศาสตรป์ อ้ งกัน (อาชีวเวชศาสตร์) ปกี ารฝกึ อบรม 2565 5.4 ประสบการณ์ - จัดประสบการณ์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมสามารถเข้าร่วมกระบวนการ สอบสวนทางระบาดวิทยาของโรคและ/หรือการบาดเจ็บจากการทำงาน หรือ โรคตดิ ตอ่ ในที่ทำงานได้อยา่ ง โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การสอบสวนโรค จากการทำงาน และการสอบสวนการระบาดของโรคติดต่อในที่ทำงาน 6. แหล่งสารสนเทศการประเมินผลเพ่ือ 6.1 สงั เกตการปฏิบตั ิงาน ประเมินความก้าวหน้าและเพื่อการ 6.2 รายงานการสอบสวนทางระบาดวทิ ยาของโรคและ/หรือการบาดเจบ็ จาก ตดั สินใจใหค้ วามเช่อื ม่นั รวบยอด การทำงาน หรือโรคตดิ ต่อในที่ทำงาน 6.3 แนวทางการควบคุมโรคจากการทำงาน 7. ความเชื่อมั่นในการกำหนดระดับการ 7.1 ประเมนิ เมอื่ จบชน้ั ปที ่ี 1 – ความเชอื่ มน่ั ระดบั ที่ 1 กำกับดแู ลวา่ ถึงระยะใดของการฝกึ อบรม 7.2 ประเมินเมอ่ื จบชัน้ ปีท่ี 2 – ความเชอื่ มน่ั ระดบั ท่ี 2 7.3 ประเมินเมือ่ จบชั้นปที ี่ 3 – ความเชอ่ื มั่นระดบั ท่ี 3, 4 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 51
คูม่ ือแพทย์ประจำบา้ น หลกั สูตรฝึกอบรมแพทย์เวชศา ภาคผ แบบประเมินความกา้ วหน้า หลักสตู รฝกึ อบรมแพทย์เวชศ หัวข้อวจิ ัย: ช่อื - สกลุ แพทย์ประจำบ้าน ใบประเมนิ ความคบื หวั ขอ้ วันที่ พึงพอใจ (S) 1. กำหนดหวั ขอ้ วจิ ยั 2. การทบทวนวรรณกรรม ใบประเมนิ ความคืบหน 3. ระเบยี บวิธีวิจยั (ถา้ มี) 4. ผา่ นการประเมนิ ทางจรยิ ธรรมในคน (ถ้าม)ี 5. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู (ถ้าม)ี ใบประเมนิ ความคบื หน 6. วเิ คราะหข์ ้อมูล 7. วิจารณ์ และสรุปผล และการทำ Manuscript 8. การตีพิมพ์ในวรสารวชิ าการ * ไมพ่ งึ พอใจ (U) กรณุ าใหใ้ สเ่ หตผุ ลในช่องหมายเหตุแล้วพิจารณาประเมนิ อีกครัง้ กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ และ โรงพยาบา
าสตร์ปอ้ งกนั (อาชีวเวชศาสตร์) ปกี ารฝึกอบรม 2565 หมายเหตุ ผนวกท่ี 9 างานวิจยั ของแพทย์ประจำบ้าน ศาสตรป์ ้องกนั (อาชวี เวชศาสตร)์ อาจารย์ที่ปรึกษา บหนา้ ทางงานวิจยั ไมพ่ ึงพอใจ (U)* ลงชอ่ื นา้ ทางงานวิจัย ชั้นปีที่ 2 นา้ ทางงานวจิ ยั ช้นั ปีท่ี 3 าลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 52
คู่มือแพทย์ประจำบา้ น หลกั สตู รฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ปอ้ งกัน (อาชีวเวชศาสตร์) ปกี ารฝึกอบรม 2565 ภาคผนวกท่ี 10 รปู ถ่าย แบบประเมินการฝกึ ปฏิบตั ิงานของแพทย์ประจำบ้าน หลักสูตรฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (อาชีวเวชศาสตร)์ ชือ่ ................................................................................นามสกลุ ........................................................................ชั้นปีท่.ี .......................... สถานที่ปฏิบัติงาน...................................................................ระยะเวลาท่ปี ฏบิ ัติงาน............................................................................. งานท่ีมอบหมายให้แพทย์ประจำบา้ นปฏบิ ตั .ิ ........................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................................ การประเมนิ 0 = ไมผ่ ่าน, 1 = น้อย, 2 = ปานกลาง, 3 = มาก, 4 = มากท่ีสุด คุณสมบัติ ประเดน็ พิจารณา การประเมิน 0 (ไมผ่ ่าน) 1 2 3 4 1. ด้านความร/ู้ 1.1 ความมงุ่ มนั่ ทจี่ ะทำงานใหส้ ำเร็จ ความสามารถทางวชิ าการ 1.2 ความสามารถในการทำงานเปน็ ระบบ ตามลกั ษณะงาน 1.3 ความรูค้ วามสามารถด้านอาชวี เวชศาสตร์ 2. ด้านความร/ู้ 2.1 ความเปน็ ผู้นำ ความสามารถทส่ี ่งผลตอ่ การ 2.2 การมีทักษะในการสื่อสาร (การพูด เขียน การแสดงออก ทำงาน ต่อผรู้ ว่ มงาน) 2.3 มคี วามสามารถในการวเิ คราะห์ และแก้ไขปญั หา 3. ดา้ นคุณธรรมจริยธรรม ในการปฏิบตั งิ าน และจรรยาบรรณในวิชาชพี 2.4 มีทกั ษะในการทำงานเปน็ ทมี 2.5 การปรับตวั เข้ากบั เพื่อน และสิง่ แวดลอ้ ม 3.1 ตรงตอ่ เวลา 3.2 ความเคารพและใหเ้ กียรติอาจารย/์ วทิ ยากร ลงชือ่ ผปู้ ระเมิน ........................................................................... (..............................................................................) ตำแหน่ง ............................................................................. วันท่ี ............................................................................. • โปรดประเมนิ การฝึกงานของแพทยป์ ระจำบ้านและแพทยใ์ ช้ทุน แล้วสง่ การประเมนิ กลับมาท่ี E-mail : [email protected] ภายใน 1 สัปดาหห์ ลงั ฝกึ งาน โทรศพั ท์ 02 590 3727 กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ และ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรรี าชา สภากาชาดไทย 53
คู่มือแพทยป์ ระจำบา้ น หลกั สตู รฝึกอบรมแพทย์เวชศาสตรป์ ้องกนั (อาชีวเวชศาสตร์) ปีการฝกึ อบรม 2565 ภาคผนวกที่ 11 แนวทางการขออุทธรณ์การวดั และประเมนิ ผล 1. ผู้เข้ารับการฝึกอบรม สามารถยื่นขออุทธรณ์การวัดและประเมินผล ภายหลังทราบผลการวัด หรอื ผลการประเมนิ ในระยะเวลาไม่เกิน 7 วนั ทำการ 2. การอุทธรณ์จะเสนอต่อคณะอนุกรรมการคัดเลือกและอุทธรณ์ผลการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน เพื่อชี้แจง และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข ให้นำการอุทธรณ์เสนอต่อคณะกรรมการบริหาร หลักสูตรฝึกอบรมฯ และหากปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข คณะกรรมการบริหารหลักสูตรฝึกอบรมฯ ดำเนินการเสนอเรื่องไปยังคณะอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ เวชกรรม เวชศาสตร์ป้องกัน (อาชวี เวชศาสตร์) กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา สภากาชาดไทย 54
Search