ผลลพั ธข์ องหลักสตู รการฝึกอบรมแพทย์ประจำบา้ น แพทยท์ จ่ี บการฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทาง สาขาเวชศาสตรป์ ้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร ต้องมคี วามสามารถท้ัง 6 ด้าน ดงั นี้ 1) การดแู ล รกั ษา และฟ้นื ฟูผบู้ าดเจ็บจากการจราจร (Patient Care) ก. มีทักษะในการประเมิน ให้ความเห็นและรับรอง สมรรถนะรวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพ ของผู้ขับขี่ที่อาจจะมีตอ่ สมรรถนะขับขีท่ างบก เดินเรือ ทางอากาศ และทางราง ก่อนออก ใบอนญุ าต รวมทงั้ การตอ่ ใบอนุญาตไดต้ ามกรอบของกฏหมายในแต่ละด้าน ข. มีความรู้ในการเฝ้าระวัง สอบสวนโรค ภัยสุขภาพ โดยเฉพาะการสอบสวนอุบัติเหตุทาง จราจรตา่ งๆ เพ่อื นำมาสู่ข้อเสนอแนะเพื่อการป้องกนั เชงิ ระบบ ค. มีความรู้และทักษะเวชกรรมในการตรวจวินิจฉัย การประเมินสภาพ และการบำบัดรกั ษา ผู้ป่วยทไ่ี ดร้ บั บาดเจ็บจากการจราจรท่ตี อ้ งได้รบั การดแู ลรักษาฉกุ เฉินในสถานทีเ่ กิดเหตุ ง. มีความรู้หรือทักษะในการวินิจฉัยหรือบำบัดรักษาปัญหาซับซ้อนทางเวชกรรมที่อาจพบใน แผนกฉุกเฉิน เพื่อส่งต่อให้แก่แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นๆเพื่อวินิจฉัยหรือบำบัดรักษาอย่าง เหมาะสมตอ่ ไป จ. ประยุกต์แนววิธีการคิดอยา่ งเป็นระบบและรอบคอบ ในการกำหนดระดับความเร่งด่วนใน การประเมินและการบำบัดรักษาผู้บาดเจ็บจากการจราจร โดยเฉพาะการจัดการกับ อบุ ัติเหตุหมู่ ฉ. การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและสาธารณชน รวมทั้งดำเนินการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การป้องกัน การบาดเจบ็ จากการจราจรอยา่ งเปน็ ระบบ โดยต้องผา่ นการประเมิน EPA หลักท้งั 3 อยา่ ง ตามภาคผนวก 3, 4, 5 EPA 1: ทักษะด้านการส่งเสริม ป้องกัน อุบัติภัยเชิงระบบ โดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ ประสาน ศาสตรท์ างวิศวกรรม และความร้ดู ้านอนื่ ๆในด้านเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร EPA 2: ทกั ษะด้านการเฝา้ ระวัง สอบสวนโรค ภยั สขุ ภาพ และ การทำ health project โดยเฉพาะ การสอบสวนอุบตั เิ หตุทางจราจรตา่ งๆ EPA 3: ทักษะด้านการบำบัดวินิจฉัยในระยะเบื้องต้น ประสานการรักษา และประสานการฟื้นฟู สมรรถภาพของผู้บาดเจ็บ เน้นการประเมินสมรรถนะรวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพของผู้ขับขี่ท่ี อาจจะมตี ่อสมรรถนะการขับข่ี 2) ความรู้ ความเชยี่ วชาญ และความสามารถในการนำไปใชแ้ กป้ ัญหาของผู้ป่วย และสังคมรอบด้าน ในการป้องกนั ควบคุมโรคและการบาดเจ็บจากการจราจร (Medical Knowledge and Skill) ก. นำความรู้ ทักษะ ไปใช้ในการดูแล รักษา เฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคที่เกี่ยวเนื่องกับ การจราจรโดยเนน้ การดูแล ณ จุดเกดิ เหตุ ข. อธิบายหลักการ และการประยุกต์ใช้เวชศาสตร์ป้องกันทั่วไป และเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร
ค. อธิบายหลักการทางระบาดวิทยาและการเฝ้าระวังการบาดเจ็บจากการจราจร มีทักษะใน การบริหารเชื่อมโยง และจดั การขอ้ มลู ขนาดใหญ่ (Big Data) ทีเ่ กีย่ วข้องกบั การจราจรเพ่ือ ใช้ในการวางแผน กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหา สามารถบูรณาการข้อมูลจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ สรุปประเด็น จัดทำรายงานและข้อเสนอ รวมทั้งมีทักษะ ในการนำเสนอขอ้ มูล ง. มคี วามรแู้ ละทักษะในการสอบสวนการบาดเจ็บและเสยี ชวี ติ จากการจราจร จ. สามารถวิเคราะห์ระบบและกลไกการทำงาน และพัฒนารูปแบบ มาตรการ และนโยบาย การทำงานปอ้ งกันและลดการบาดเจ็บจากการจราจร (Systems analyst and design) ฉ. ให้คำปรึกษาและเป็นผู้นำด้านการป้องกันโรคและการบาดเจ็บจากการจราจร บูรณาการ การทำงานในระดับพ้ืนท่ีได้ ช. สามารถประสานการทำงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกโรงพยาบาล (Trauma Administrative Unit) 3) การเรยี นร้จู ากการปฏบิ ตั ิ และการพฒั นาตนเอง (Practice-based learning and Improvement) ก. ดำเนินการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปตามมาตรฐานการ วจิ ยั ทางการแพทย์และสาธารณสุข ข. วพิ ากษ์บทความและงานวจิ ัยทางการแพทยแ์ ละสาธารณสุข ค. เรยี นรแู้ ละเพิม่ ประสบการณ์ได้ด้วยตนเองจากการปฏบิ ตั ิ 4) ทักษะปฏสิ ัมพันธ์ และการสื่อสาร (Interpersonal and Communication Skills) ก. ส่ือสารให้ขอ้ มูลดา้ นเวชศาสตร์การจราจรแกผ่ บู้ าดเจบ็ ผู้ปว่ ย ญาติ ประชาชน ชุมชน และ สังคม ไดอ้ ย่างถกู ต้องมปี ระสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบทางลบตอ่ สังคมและชุมชน ข. นำเสนอข้อมูลผู้บาดเจ็บจากการจราจร/ผู้ป่วย/ประชาชน ชุมชนและสังคม และอภิปราย ปัญหาอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ค. ถา่ ยทอดความรู้และทกั ษะ ใหบ้ ุคลากรทางการแพทย์ ประชาชน และชมุ ชน ง. เผยแพร่ ส่ือสาร ข้อมลู ความรูด้ า้ นการแพทย์และสาธารณสุขที่เกยี่ วกับเวชศาสตร์ป้องกัน เพือ่ การเฝา้ ระวัง ป้องกนั ควบคมุ โรคจากระบบจราจรท่ีมีความน่าเชื่อถือ แกส่ าธารณชน ชุมชน และสังคม จ. มมี นษุ ยสมั พนั ธ์ที่ดี ทำงานกบั ผรู้ ่วมงานทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ ฉ. เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่แพทย์และบุคลากรอื่น โดยเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การจราจร 5) ความเปน็ มอื อาชีพ (Professionalism) ก. มีคุณธรรม จริยธรรม และเจตคติอันดีต่อผู้ป่วย ญาติ เพื่อนร่วมวิชาชีพ ประชาชนชุมชน และสงั คม ข. มีจิตสำนึกแห่งการป้องกันโรค (Preventive Mind) ค. มีทักษะด้านที่ไม่ใช่เทคนิค (Non-technical skills) และสามารถบริหารจัดการ สถานการณ์ ท่ีเกยี่ วขอ้ งไดเ้ หมาะสม
ง. มีความสนใจใฝ่รู้ และสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้เรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต (continuous professional development) จ. มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ งานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย ฉ. คำนึงถงึ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม 6) การปฏบิ ตั งิ านใหเ้ ขา้ กับระบบ (System-based practice) ก. มีความรู้เกี่ยวกับระบบสุขภาพ และการสาธารณสุข ในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและ นานาชาตทิ ี่เก่ียวขอ้ ง ข. เข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้กฎหมายท่ีเกี่ยวกับการจราจร การเฝ้าระวัง ป้องกัน และ ควบคมุ โรคตดิ ตอ่ ระหว่างประเทศได้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม ค. มีความรู้และมีส่วนร่วมในระบบพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษา การเฝ้าระวัง ป้องกัน และ ควบคมุ โรคในผ้ปู ว่ ย ประชาชน ชุมชน และสังคม ง. ใช้ทรัพยากรสุขภาพอย่างเหมาะสม (cost consciousness medicine) และสามารถ ปรบั เปลี่ยนการดูแลรกั ษา การเฝา้ ระวงั ป้องกัน และควบคมุ โรค ในผปู้ ว่ ย ประชาชน และ ชุมชน ใหเ้ ข้ากับบริบทของการบรกิ ารสาธารณสุขได้ตามมาตรฐานวชิ าชีพ
Search
Read the Text Version
- 1 - 3
Pages: