จติ วทิ ยาในพระไตรปิฏก Psychology in Tipitaka บรรยายโดย พระมหาคมคาย สริ ปิ ญโญ ดร. ศน.บ.,ศน.ม.,M.A,Ph.D. วทิ ยาลยั สงฆร์ อ้ ยเอ็ด.
ความหมายของจติ วทิ ยา ´คําวา่ “จติ วทิ ยา (Psychology)” หมายถงึ วชิ า ทศีJ กึ ษาเกยJี วกบั พฤตกิ รรมมนุษยแ์ ละ กระบวนการของจติ เพอJื ทําความเขา้ ใจสาเหตุ ของพฤตกิ รรมตา่ งๆ ทจJี ะนําไปชว่ ยในการ พยากรณแ์ ละ ควบคมุ พฤตกิ รรมนันR ๆ ´ประวตั แิ ละววิ ฒั นาการแหง่ การศกึ ษาจติ วทิ ยา ´ววิ ฒั นาการความเชอJื และการศกึ ษาเรอืJ งจติ ในสมยั โบราณ ´ววิ ฒั นาการความเชอJื และการศกึ ษาเรอJื งจติ ในสมยั ใหม่ ´ววิ ฒั นาการศกึ ษาเรอืJ งจติ ในสมยั ปัจจบุ นั
วธิ กี ารศกึ ษาและการอธบิ ายแนวคดิ เรอJื งจติ วทิ ยาตะวนั ตก ´ สําหรับพนืR ฐานของจติ วทิ ยาตะวนั ตกนันR มพี ัฒนาจากวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติ โดยทกุ แนวคดิ ของจติ วทิ ยามงุ่ ศกึ ษาทําความเขา้ ใจและอธบิ าย การเกดิ ขนRึ ของพฤตกิ รรมในลกั ษณะของ การกระทําวา่ เป็ นไปในลกั ษณะเชน่ ใด การกระทํานันR มมี ลู ฐานหรอื แรงผลกั ดนั มาจากสาเหตุ อะไร เนอืJ งจากทกุ แนวคดิ ของจติ วทิ ยาตา่ งใชห้ ลกั เกณฑท์ างวทิ ยาศาสตรเ์ ป็ นพนืR ฐานใน การศกึ ษา การศกึ ษาแบบวทิ ยาศาสตรต์ อ้ งมลี กั ษณะ สําคญั ๕ คอื ´๑) ตอ้ งไดม้ าจากประสบการณจ์ ากประสาทสมั ผัสและทดสอบไดด้ ว้ ยประสาทสมั ผัสคอื สามารถทจีJ ะสงั เกต พสิ จู น์ และทดลองได ้ ´๒) มคี วามเป็ นสาธารณะ คอื จําเป็ นตอ้ งสามารถอธบิ ายหรอื ทดลอง ทําใหผ้ อู ้ นืJ เขา้ ใจได ้ ตรงกนั สงิJ ทซJี งึJ อาจเป็ นไปไดท้ งัR ในหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์หรอื เชงิ การใหเ้ หตผุ ล ´๓) ตอ้ งเป็ นความจรงิ สากล คอื จะตอ้ งสามารถแสดงความจรงิ ของทกุ ๆ สงิJ หรอื สงJิ ทีJ กําลงั เกดิ ขนRึ หรอื ปรากฏการณน์ ันR ๆ ทอJี ยใู่ นบรบิ ทเดยี วกนั ´๔) สามารถคาดหมายอนาคตไดถ้ กู ตอ้ งแมน่ ยํา ซงJึ เป็ นเรอJื งของการทํานายผลทจีJ ะ เกดิ ขนRึ ในอนาคต โดยเชอืJ วา่ ถา้ ทําซาํR ในหลกั การ กฎ หรอื เงอJื นไขทกJี ําหนดไวแ้ ลว้ ในอดตี ผลทอีJ อกมาจะตรงกบั สงJิ ทกีJ ําหนดไว ้
องคป์ ระกอบของพลงั จติ (psychic energy) ´ ฟรอยดไ์ ดแ้ บง่ องคป์ ระกอบของพลงั จติ (psychic energy) เป็ น 3 สว่ น คอื ´ อดิ ี (id) เป็ นสว่ นทตีJ ดิ ตวั มาโดยกําเนดิ จัดเป็ นเรอJื งของแรงขบั ตาม สญั ชาตญาณ ความอยาก ตณั หา เป็ นสว่ นของจติ ทกJี ระตนุ ้ ใหบ้ คุ คล แสดงพฤตกิ รรม ตามหลกั แหง่ ความพอใจ ถา้ บคุ คลใดแสดงพฤตกิ รรม ตาม id นJันคอื พฤตกิ รรมนันR ๆ เป็ นไปเพอืJ สนองความตอ้ งการของตนเอง เป็ นสว่ นใหญ่ ´ อโี ก้ (ego) เป็ นพลงั สว่ นทผีJ า่ นกระบวนการเรยี นรมู ้ าแลว้ เป็ นสว่ นทีJ ควบคมุ การแสดงพฤตกิ รรมของคน ๆ นันR ใหด้ ําเนนิ ไปอยา่ งเหมาะสม ทงัR ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลของอดิ และซปุ เปอร์ อโี ก ้พยายามแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้ ตา่ ง ๆ ของอดิ แี ละซปุ เปอรอ์ โี ก ้จนในทสJี ดุ บางคนจะทกุ ขร์ อ้ น วติ ก กระวน กระวาย จนอาจถงึ ขนัR โรคจติ ประสาท ถา้ ความขดั แยง้ ดงั กลา่ วมมี าก วธิ ี หนงึJ ทเีJ ป็ นทางออกของอโี กก้ ค็ อื ปรับตนโดยการใชก้ ลไกการป้องกนั ตวั (defense mechanism) ซงJึ หมายถงึ การทบJี คุ คลพยายามแกไ้ ขความ คบั ขอ้ งใจของตนเองโดยทมJี ไิ ดจ้ งใจ เป็ นไปเพอJื รักษาหนา้ และศกั ดศbิ รี ´ ซุปเปอรอ์ โี ก้ (super ego) เป็ นพลงั จากสงั คมทเีJ กยJี วกบั หลกั ศลิ ธรรม คณุ ธรรม จรยิ ธรรม อดุ มคตใิ นการดําเนนิ ชวี ติ เป็ นพลงั สว่ นทคีJ วบคมุ ให ้ บคุ คลแสดงพฤตกิ รรมโดยสอดคลอ้ งกบั หลกั แหง่ ความเป็ นจรงิ (principle of reality) เชน่ บญั ชาใหค้ น ๆ นันR เลอื กกลไกการป้องกนั ตวั ทเJี หมาะสมมาใช ้
แนวคดิ เรอืJ งจติ ในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ´คําวา่ จติ ตามทรรศนะฝ่ ายเถรวาท หมายถงึ ธรรมชาตทิ รีJ ู ้อารมณ,์ สภาพทนJี กึ คดิ , ความคดิ , ใจ ´ในคมั ภรี ฝ์ ่ ายอภธิ รรม พระอาจารยท์ งัR หลาย ไดใ้ หค้ ําจํากดั ความ ธรรมชาตขิ องจติ ไวเ้ มอJื กลา่ วโดยสรปุ แลว้ มี ๓ อยา่ ง คอื ´(๑) มกี ารคดิ คอื รับรอู ้ ารมณ์ (จนิ ฺเตตตี ิ จติ ฺต อารมฺมณ วชิ านาตนี ิ อตฺโถ) ธรรมชาตทิ ชีJ อJื วา่ จติ เพราะอรรถวา่ คดิ คอื รอู ้ ารมณ์ ´(๒) เป็ นเหตใุ หเ้ จตสกิ ทงัR หลายรอู ้ ารมณ(์ จนิ ฺเตสิ เอเตน กรณภเู ตน สมฺปยตุ ฺตธมฺมาติ จติ ฺต) ธรรมชาตทิ ชีJ อJื วา่ จติ เพราะเป็ นเหตใุ ห ้ สมั ปยตุ ตธรรม คอื เจตสกิ ทงัR หลายรอู ้ ารมณ์ ´(๓)ทําใหส้ งJิ มชี วี ติ และไมม่ ชี วี ติ วจิ ติ รพสิ ดาร(จติ ฺตึ กโรตตี ิ จติ ฺต) ธรรมชาตทิ ชีJ อJื วา่ จติ เพราะทาสตั วแ์ ละสงJิ ของทงัR หลายใหว้ จิ ติ ร
มนุษยก์ บั พฤตกิ รรม ´ พฤตกิ รรม หมายถงึ กริ ยิ าอาการตา่ งๆ ทเJี กดิ ขนึR กบั มนุษยห์ รอื ทมJี นุษยไ์ ดแ้ สดง หรอื ปฏกิ ริ ยิ าทเีJ กดิ ขนRึ กบั มนุษยเ์ มอJื ไดเ้ ผชญิ กบั สงJิ เรา้ พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ทกJี ลา่ วมาแลว้ อาจจะ จําแนกออกไดเ้ ป็ น 2 ลกั ษณะ คอื ´1. พฤตกิ รรมทไJี มส่ ามารถควบคมุ ไดเ้ รยี กวา่ เป็ นปฏกิ ริ ยิ าสะทอ้ น เชน่ การสะดงุ ้ เมอJื ถกู เข็มแทง การกระพรบิ ตา เมอJื มสี งิJ มากระทบกบั สายตา ฯลฯ ´2. พฤตกิ รรมทสJี ามารถควบคมุ และจัดระเบยี บได ้เนอJื งจากมนุษยม์ สี ตปิ ัญญา และ อารมณ์ (EMOTION) เมอืJ มสี งJิ เรา้ มากระทบ สตปิ ัญญาหรอื อารมณ์ จะเป็ นตวั ตดั สนิ วา่ ควรจะปลอ่ ยกริ ยิ าใดออกไป ถา้ สตปิ ัญญาควบคมุ การปลอ่ ยกริ ยิ า เราเรยี กวา่ เป็ นการ กระทําตามความคดิ หรอื ทําดว้ ยสมอง แตถ่ า้ อารมณค์ วบคมุ เรยี กวา่ เป็ นการทําตาม อารมณ์ หรอื ปลอ่ ยตามใจ นักจติ วทิ ยาสว่ นใหญเ่ ชอJื วา่ อารมณม์ อี ทิ ธพิ ลหรอื พลงั มากกวา่ สตปิ ัญญา ทงัR นเRี พราะ มนุษยท์ กุ คนยงั มคี วามโลภ ความโกรธ ความหลง ทําใหพ้ ฤตกิ รรมสว่ นใหญเ่ ป็ นไปตาม ความรสู ้ กึ และอารมณเ์ ป็ นพนืR ฐาน
รปู แบบพฤตกิ รรมของมนุษย์ แบง่ ไดเ้ ป็ น 2 อยา่ งคอื ´ 1. พฤตกิ รรมเปิดเผยหรอื พฤตกิ รรมภายนอก (Overt Behavior) เป็ นพฤตกิ รรมทJี บคุ คลแสดงออกมา ทําใหผ้ อู ้ นJื สามารถมองเห็นได ้สงั เกตได ้เชน่ การเดนิ การหวั เราะ การพดู ฯลฯ ´ 2. พฤตกิ รรมปกปิดหรอื พฤตกิ รรมภายใน (Covert Behavior) เป็ นพฤตกิ รรมทบJี คุ คล แสดงแลว้ แตผ่ อู ้ นืJ ไมส่ ามารถมองเห็นได ้สงั เกตไดโ้ ดยตรงจนกวา่ บคุ คลนันR จะเป็ นผู ้ บอกหรอื แสดงบางอยา่ งเพอืJ ใหค้ นอนืJ รับรไู ้ ด ้เชน่ ความคดิ อารมณ์ การรับรู ้ ´ ประเภทของพฤตกิ รรมมนษุ ย์ ´ นักจติ วทิ ยาแบง่ พฤตกิ รรมมนุษยอ์ อกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื ´ 1. พฤตกิ รรมทมีJ มี าแตก่ ําเนดิ ซงJึ เกดิ ขนRึ โดยไมม่ กี ารเรยี นรมู ้ ากอ่ น ไดแ้ ก่ ปฏกิ ริ ยิ า สะทอ้ นกลบั (REFLECT ACTION) เชน่ การกระพรบิ ตา และสญั ชาตญาณ (INSTINCT) เชน่ ความกลวั การเอาตวั รอดเป็ นตน้ ´ 2. พฤตกิ รรมทเีJ กดิ จากอทิ ธพิ ลของกลมุ่ ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมทเJี กดิ จากการ ทบJี คุ คลตดิ ตอ่ สงั สรรคแ์ ละมคี วามสมั พันธก์ บั บคุ คลอนืJ ในสงั คม
การปรับเปลยีJ นพฤตกิ รรมของมนุษยใ์ หเ้ หมาะสมกบั สงJิ แวดลอ้ มแบง่ ออกไดเ้ ป็ น 4 ลกั ษณะคอื ´ 1. การปรับเปลยJี นทางดา้ นของสรรี ะรา่ งกาย เชน่ การปรับปรงุ บคุ ลกิ ภาพ การแตง่ กาย การพดู ´ 2. การปรับเปลยJี นทางดา้ นอารมณแ์ ละความรสู ้ กึ นกึ คดิ ใหม้ ี ความสมั พันธภาพทดJี กี บั บคุ คลอนืJ ปรับอารมณค์ วามรสู ้ กึ ให ้ สอดคลอ้ งกบั บคุ คอนืJ รจู ้ ักการยอมรับผดิ ´ 3. การปรับเปลยีJ นทางดา้ นสตปิ ัญญา เชน่ การศกึ ษาคน้ ควา้ เพอืJ ใหม้ คี วามรทู ้ ทีJ นั สมยั ทนั เหตกุ ารณ์ การมคี วามคดิ เห็น คลอ้ ยตามความคดิ เห็นของคนสว่ นใหญ่ ´ 4. การปรับเปลยีJ นอดุ มคติ หมายถงึ การสามารถปรับเปลยีJ น หลกั การ แนวทางบางสว่ นบางตอนเพอืJ ใหเ้ ขา้ กบั สงั คมสว่ น ใหญไ่ ด ้โดยพจิ ารณาจากความจําเป็ น และเหตกุ ารณท์ เีJ กดิ ขนึR เพอJื ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย เป็ นประโยชนแ์ กต่ นเอง เพอJื สวสั ดภิ าพ ของตนเองและของกลมุ่
การศกึ ษาเกย=ี วกบั การเกดิ ของพฤตกิ รรมมนษุ ย์ ´ มนุษยไ์ ดพ้ ยายามทจีJ ะศกึ ษาการเกดิ พฤตกิ รรมของมนุษยด์ ว้ ย ตนเอง เพอJื ประโยชนใ์ นการทจJี ะทําใหก้ ารอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม เป็ นไปดว้ ยดี และมคี วามสขุ จงึ ทําใหเ้ กดิ มคี วามเชอJื หลกั การ และทฤษฎตี า่ งๆ เกดิ ขนRึ อยา่ งมากมาย จากบรรดาผรู ้ แู ้ ละนักการ ศกึ ษาทงัR หลายทพJี ยายามหาหลกั เกณฑม์ าเพอJื อธบิ าย พฤตกิ รรมของมนุษย์ ซงึJ สามารถรวบรวมทศั นะตา่ งๆ เป็ น หมวดหมไู่ ด ้3 ประเภท ´ 1. พฤตกิ รรมของมนุษยเ์ กดิ ขนRึ จากแรงผลกั ดนั ภายในตวั ของ มนุษย์ ´ 2. พฤตกิ รรมของมนุษยเ์ กดิ ขนRึ จากแรงผลกั ดนั ของสงิJ แวดลอ้ ม ´ 3. พฤตกิ รรมของมนุษยเ์ กดิ ขนึR จากทงัR แรงผลกั ดนั ภายในตวั มนุษย์ และสงิJ แวดลอ้ ม
พฤตกิ รรมมนษุ ยต์ ามแนวจติ วทิ ยา ´ นักจติ วทิ ยาเชอJื วา่ พฤตกิ รรมมนุษยส์ ว่ นใหญจ่ ะประพฤติ ปฏบิ ตั ติ ามแบบแผนของกฏระเบยี บหรอื วธิ กี าร ทมีJ อี ยใู่ น สงั คม รวมทงัR วฒั นธรรมทมJี อี ยใู่ นสงั คมนันR ๆ ซงึJ มนุษยย์ อ่ ม เขา้ ใจในสถานภาพ และบทบาทตามทกีJ ลมุ่ สงั คมคาดหวงั ดงั นันR พฤตกิ รรมมนุษย์ อาจจะเกดิ ขนึR ไดใ้ นรปู แบบตา่ ง ๆ ดงั นRี ´ 1. การตดิ ตอ่ สอJื สาร (COMMUNICATION) ´ 2. การขดั แยง้ (CONFLICT) ´ 3. การแขง่ ขนั (COMPETITION) ´ 4. การประนปี ระนอมผลประโยชนท์ ขีJ ดั แยง้ กนั (ACCOMODATION) ´ 5. การผสมผสานกลมกลนื เขา้ หากนั (ASSIMILATION) ´ 6. การรว่ มมอื สนับสนุนซงึJ กนั และกนั (COOPERATION)
การพฒั นาพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ´การพัฒนาพฤตกิ รรมมนุษยข์ นึR อยกู่ บั ปัจจัย สําคญั ดา้ นตา่ ง ๆ 6 ประการ คอื ´1. การเรยี นรู ้ (LEARNING) ´2. คา่ นยิ ม (VALUE) ´3. บรรทดั ฐานของสงั คม (NORMS) ´4. ทศั นคติ (ATTITUDE) ´5. ความเชอJื (BELIEF) ´6. การปฏสิ มั พันธท์ างสงั คม (SOCIAL INTERSACTION)
พระพทุ ธเจา้ ทรงแบง่ พฤตกิ รรมมนุษยต์ ามหลกั จรติ ´ จรติ คอื พฤตกิ รรมของมนุษยท์ หJี นักไปดา้ นใดดา้ นหนงJึ แบง่ 6 แบบ ´ 1. ราคะจรติ คอื ผมู ้ ปี กตนิ สิ ยั หนักไปทางราคะ รักสวย รักงาม ละมนุ ละไม ชอบสงJิ ทสีJ วยๆ เสยี งเพราะๆ กลนJิ หอมๆ รสอรอ่ ยๆ สมั ผัส ทนJี ุ่มละมนุ และจติ ใจจะยดึ เกาะกบั สงJิ เหลา่ นันR ไดเ้ ป็ นเวลานานๆ ´ 2.โทสจรติ คอื ผมู ้ ปี กตนิ สิ ยั หนักไปทางโทสะ ใจรอ้ น ววู่ าม หงดุ หงดิ งา่ ย อารมณร์ นุ แรง โผงผาง เจา้ อารมณ ´ 3.โมหจรติ คอื ผมู ้ ปี กตนิ สิ ยั หนักไปทางโมหะ เขลา เซอJื งซมึ เชอJื คน งา่ ย งมงาย ขาดเหตผุ ล มองอะไรไม่ ทะลปุ รโุ ปรง่ ´ 4. วติ กจรติ คอื ผมู ้ ปี กตนิ สิ ยั หนักไปทางฟ้งุ ซา่ น คดิ เรอืJ งนทีR เี รอืJ งนันR ที เปลยJี นไปเปลยJี นมา ไมส่ ามารถยดึ เกาะกบั เรอJื งใดเรอืJ งหนงึJ ไดน้ านๆ ไมต่ งัR มนJั ไมม่ นัJ คง นัJนเอง ´ 5.สทั ธาจรติ คอื ผมู ้ ปี กตนิ สิ ยั หนักไปทางศรัทธา นอ้ ม ใจเชอJื เลอืJ มใส ไดง้ า่ ย ซงJึ ถา้ เลอืJ มใสในสงJิ ทถีJ กู กย็ อ่ ม เป็ นคณุ จติ ใจเบกิ บานใจ แตถ่ า้ ไปเลอืJ มใสในสงJิ ทผJี ดิ ก็ ยอ่ มเป็ นโทษ ´ 6. พทุ ธจิ รติ คอื ผมู ้ ปี กตนิ สิ ยั หนักไปทางชอบคดิ พจิ ารณาดว้ ยเหตผุ ล อยา่ งลกึ ซงRึ ชอบใชป้ ัญญา พจิ ารณาตามความเป็ นจรงิ ไมเ่ ชอJื อะไร โดยไมม่ ี เหตผุ ล
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: