ใบความร้เู รอื่ ง กฎหมายแพง่ เกย่ี วกับครอบครวั และมรดก กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไว้ เพ่ือให้รัฐต้อง ส่งเสริมและ พัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว รับรองสิทธิของบุคคลในครอบครัว และกาหนดให้เด็ก เยาวชน และ บคุ คลในครอบครัวมีสทิ ธิได้รับความคุ้มครองโดยรฐั จากการใช้ความรุนแรง และการปฏบิ ัติอันไมเ่ ปน็ ธรรม เด็ก และเยาวชนทไ่ี มม่ ผี ดู้ แู ล มีสทิ ธไิ ดร้ บั การเลย้ี งดู และการศึกษาอบรมจากรฐั 1. กฎหมายครอบครัว บัญญัติขอ้ กาหนดเกย่ี วกบั ความสัมพนั ธท์ างครอบครวั ต้ังแต่การหมั้นไปจนถึง การสมรส ความสัมพนั ธ์ในครอบครวั และการขาดจากความสัมพันธใ์ นครอบครัว ไดแ้ ก่ 1.1 การหม้นั เป็นการทาสัญญาระหว่างชายกับ หญิงว่าต่อไปจะสมรสกัน ซ่ึงจะทาได้ต่อเม่ือชายและ หญิง มีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ แต่ถ้าชายหรือหญิงยังเป็น ผู้เยาว์ จะต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดา หรือ ผู้ปกครองเสียก่อน ในการหมั้นฝ่ายชายจะให้ของหมั้น แก่ฝ่ายหญิง เพื่อเป็นหลักฐานและประกันว่าจะสมรส กับหญิงด้วยของหมั้นน้ี เมื่อสมรสแล้วของหมั้นจะตก เป็นของฝ่ายหญิงแต่ถ้าไม่มีการสมรสอันเนื่องมาจาก ความผิดของฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงต้องคืนของหมั้นให้แก่ฝา่ ยชาย การผิดสัญญาหมั้นฝ่ายท่ีเสยี หายสามารถเรียก ค่าทดแทนได้ แต่จะให้ศาลบังคับให้มีการสมรสไม่ได้ เพราะว่าการสมรสน้ันขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้จะ สมรสเทา่ นน้ั 1.2 การสมรส เป็นการทาสัญญาตกลงเป็นสามีภริยากันระหว่างชายกับหญิง กฎหมาย กาหนดเงือ่ นไขของการสมรสไว้ ดังน้ี 1) การสมรสจะทาไดต้ ่อเม่อื ชายและหญิงมอี ายุ 17 ปีบริบรู ณ์แล้ว หากมอี ายุตา่ กว่านต้ี ้องให้ ศาลอนญุ าต ซึ่งจะต้องมเี หตุผลอันสมควร 2) ชายหรือหญิงท่ีเป็นบุคคลวิกลจริตหรือศาลส่ังให้เป็นคนไร้ความสามารถจะทาการสมรส ไมไ่ ด้ 3) ชายหรือหญิงซ่ึงเป็นญาติสืบสายโลหิตกัน เช่น พ่อหรือแม่กับลูก พ่ีน้องร่วมบิดามารดา กนั หรอื เป็นพ่ีน้องร่วมแต่เพียงบดิ าหรอื มารดากนั จะสมรสกนั ไม่ได้ 4) ผูร้ บั บตุ รบญุ ธรรมและบุตรบญุ ธรรมจะสมรสกันไมไ่ ด้ 5) ชายหรือหญงิ จะทาการสมรสในขณะที่ตนมีค่สู มรสอยู่แลว้ ไม่ได้
6) หญิงท่ีเคยสมรสแล้วแต่สามีตาย หรือการสมรสครั้งก่อนสิ้นสุดลงโดยเหตุอื่น เช่น การ หย่าจะสมรสใหม่ได้ ก็ต่อเม่ือการสมรสครั้งก่อนส้ินสุดไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่จะสมรสกับคู่สมรส เดมิ คลอดบุตรระหว่างนัน้ มีใบรบั รองแพทยว์ า่ มไิ ด้ตงั้ ครรภ์หรือมีคาสัง่ ของศาลให้สมรสได้ 7) ถ้าชายหรือหญิงฝ่ายใดอายุยังไม่ครบ 20 ปี บริบูรณ์ ฝ่ายน้ันต้องได้รับความยินยอมจาก บิดามารดาหรอื ผู้ปกครองเสยี ก่อน 8) การสมรสจะตอ้ งจดทะเบียน โดยมีนายอาเภอหรอื ปลดั อาเภอผู้เป็นหัวหนา้ ก่งิ อาเภอและ เป็นนายทะเบียน 9) ชายหญิงจะต้องแสดงความยินยอมเปน็ สามีภริยากัน โดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบยี นและ นายทะเบียนต้องบนั ทึกความยนิ ยอมน้ันไว้ด้วย การสมรสทถี่ กู ต้องตามเง่อื นไขของกฎหมายก่อให้เกิดความสัมพันธร์ ะหว่างสามภี ริยา 2 ประการ ดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ทางครอบครัว กฎหมายกาหนดให้สามีภริยาต้องอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยา ต้อง ช่วยเหลืออุปการะเล้ียงดูกันตามความสามารถของฐานะของตน และในกรณีท่ีศาลส่ังให้สามีหรือภริยาเป็นคน ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ สามีหรือภริยาย่อมได้เป็นผู้อนุบาลหรือหรือผู้พิทักษ์และต้องให้ การอปุ การะเลย้ี งดูอกี ฝ่ายหนึ่งตามสมควร 2. ความสมั พนั ธ์ทางทรพั ย์สิน กฎหมายแบ่งทรัพยส์ นิ ระหวา่ งสามภี ริยาเปน็ สินสว่ นตวั และสินสมรส 1) สินส่วนตวั ได้แก่ ทรัพย์สินท่ีสามีหรือภริยามีอยู่ก่อนสมรสเป็นเครอ่ื งใชส้ อยสว่ นตัว หรือ เป็นทรัพย์สินท่ีได้มาระหว่างสมรส โดยการยกให้หรือรับมรดก สาหรับภรยิ าของหมั้นจะถือเปน็ สินส่วนตวั ของ ภรยิ าด้วยสินส่วนตัวของคสู่ มรสฝ่ายใด ฝา่ ยนัน้ ยอ่ มเป็นผ้มู อี านาจจดั การ 2) สินสมรส ได้แก่ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสหรือฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงได้มาโดยการ ยกให้หรือโดยพินัยกรรม ซึ่งระบุให้เป็นสินสมรส รวมท้ังดอกผลที่เกิดจากสินส่วนตัวด้วย สามีภริยาเป็น ผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน โดยการจัดการจะต้องได้รับความยินยอมร่วมกัน เว้นแต่จะตกลงไว้เป็นอย่างอื่นโดย สัญญาก่อนสมรส หรือศาลส่ังให้สามีหรือภริยาเป็นผู้จัดการแต่ฝ่ายเดียว และเม่ือการสมรสสิ้นสุดลงจะต้องมี การแบ่งสินสมรสระหวา่ งชายกบั หญงิ โดยนาสินสมรสมาแบง่ เทา่ ๆ กัน แต่ถา้ ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงจาหนา่ ยสินสมรส ไปโดยมิไดร้ ับความยินยอมจากอีกฝา่ ยหน่งึ ต้องนาสินส่วนตัวของตนเองมาใชส้ ินสมรสทตี่ นจาหนา่ ยไป ในทางกฎหมาย การสมรสจะสนิ้ สดุ ลงดว้ ยปจั จยั ท่ีสาคญั ดงั น้ี 1. ศาลพิพากษาว่า การสมรสเป็นโมฆะ หรือโมฆียะ หรือให้เพิกถอนการสมรสเพราะทาการสมรส โดยผิดเง่อื นไข 2. คสู่ มรสฝ่ายใดฝ่ายหนงึ่ ตาย 3. การหย่า ได้แก่ การหย่าโดยความยินยอมของท้ัง 2 ฝ่าย ซ่ึงต้องทาเป็นหนังสือและมีพยานลง ลายมือช่ือรับรองอย่างน้อย 2 คน โดยต้องมีการจดทะเบียนหย่า และการหย่าโดยคาพิพากษาของศาล ได้แก่ คู่สมรสไม่อาจตกลงหย่ากันโดยความยินยอมได้ ฝ่ายที่ต้องการหย่าจะฟ้องต่อศาลให้ศาลพิพากษาให้หย่า โดย ต้องอ้างเหตุหย่า ซ่ึงกฎหมายกาหนดไว้หลายประการด้วยกัน เช่น สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะ เหตุทไ่ี ม่อาจอยรู่ ่วมกนั ฉนั สามีภรยิ าได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี หรือแยกกนั อย่ตู ามคาสงั่ ศาลเปน็ เวลาเกิน 3 ปี เป็นต้น
1.3 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งบดิ ามารดากับบุตร สามารถแบ่งออกได้ ดงั น้ี 1) การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและการรับรองบุตร เด็กที่เกิดจากบิดามารดาซ่ึงจด ทะเบียนสมรสกัน แม้จะมีการเพิกถอนภายหลังก็ตาม หรือเกิดภายใน 310 วัน นับแต่วันที่การสมรสส้ินสุดลง กฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เคยเป็นสามี เว้นแต่จะมีการฟ้องคดีไม่รับเด็กน้ัน เป็นบตุ รภายในหนงึ่ ปี นบั แต่วนั รถู้ งึ การเกิดของเด็กหรือฟ้องเสียหายภายในสิบปี นับแต่วนั เกดิ ของเด็ก เดก็ ซ่ึง เกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน ยอ่ มเปน็ บุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดาฝา่ ยเดียวเท่านนั้ จะเปน็ บุตรชอบ ด้วยกฎหมายของบิดาด้วยต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันภายหลัง โดยมีผลนับต้ังแต่วันสมรส หรือเมื่อบิดาจด ทะเบียนว่าเป็นบุตร โดยจะต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาของเด็กและจะมีผลน้ันต้ังแต่วันจด ทะเบียน ในกรณีท่ีเด็กหรือมารดาไม่ให้ความยินยอม หรือคัดค้านว่าผู้ท่ีขอจดทะเบียนรับรองบุตรไม่ใช่บิดา หรือในกรณีทต่ี อ้ งมีการฟ้องชายเพื่อขอให้รับเด็กเป็นบตุ ร หากศาลพพิ ากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย การ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายย่อมมีผลนับแต่วันท่ีศาลพิพากษาถึงท่ีสุด ซึ่งจะทาให้ผู้ที่เป็นบุตรน้ันมีสิทธิ เช่น ใช้ ชื่อสกุลของบิดา รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมได้ เป็นต้น ส่วนผู้รับรองบุตรก็สามารถใช้อานาจปกครอง รวมทัง้ ตอ้ งอปุ การะเลี้ยงดบู ตุ รนั้นตอ่ ไป 2) การรับบุตรบุญธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาหรือมารดากับบุตรอาจเกิดข้ึน นอกเหนือจากกรณีข้างต้น โดยการรับบุตรบุญธรรม หมายถึง การจดทะเบียนรับรองบุตรของผู้อื่นมาเล้ียงดู เป็นบุตรของตนเอง โดยดาเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกาหนดเง่ือนไขพ้ืนฐาน รวมทั้ง ความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมไว้ประกอบกับพระราชบัญญัติการรับ บุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 ซึง่ กาหนดรายละเอยี ดเพ่ิมเติมเพ่ือคุ้มครองสวัสดภิ าพของเดก็ ทีจ่ ะเป็นบุตรบุญธรรม ยิ่งขึ้น เช่น ในกรณีท่ีขอรับบุตรบุญธรรมของผู้ท่ีมิใช่เครือญาติกับเด็กจะมีการทดลองเล้ียงดู มีการตรวจสอบ คณุ สมบตั แิ ละข้อเท็จจรงิ เกย่ี วกบั สภาพความเปน็ อยู่และความเหมาะสมของผ้รู ับเดก็ เป็นบุตรบญุ ธรรม เปน็ ตน้ เงอ่ื นไขพืน้ ฐานของการรับบุตรบุญธรรม ประกอบดว้ ย อายแุ ละความยนิ ยอม คือ บุคคลท่ีจะ รับผู้อื่นเป็นบุตรบุญธรรมได้ต้องมีอายุไม่ต่ากว่า 25 ปีบริบูรณ์ และต้องแก่กว่าผู้ท่ีตนจะรับเป็นบุตร บุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี และถ้าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์ การรับบุตรบุญธรรมต้องได้รับความ ยินยอมจากบดิ ามารดาโดยกาเนดิ ของผู้ที่จะเป็นบตุ รบุญธรรม และต้องได้รับความยนิ ยอมจากคู่สมรสก่อนดว้ ย การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมมีผลให้บุตรบุญธรรมมีฐานะเสมือนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของผ้รู ับบุตรบญุ ธรรม เชน่ มีสทิ ธิใช้ชือ่ สกุล มสี ิทธริ บั มรดกของผู้รบั บตุ รบุญธรรม ผู้รับบุตรบุญธรรมมีอานาจปกครองและมีหน้าท่ีให้การอุปการะเล้ียงดูแตไ่ ม่มีสิทธิรับมรดกในส่วนของบุตรบุญ ธรรม และจะสมรสกบั บุตรบญุ ธรรมไม่ได้ สว่ นบดิ ามารดาโดยกาเนิดเปน็ อันหมดอานาจปกครอง อย่างไรก็ตาม บุตรบุญธรรมไม่สูญเสียสิทธิและหน้าท่ีในครอบครัวที่กาเนิดมาเช่น มีสิทธิรับ มรดกของบิดามารดาโดยกาเนิด การรับบุตรบุญธรรมมีทางเลิกได้โดยการจดทะเบียนเลิก ตามความยินยอม ของบุตรบุญธรรมท่ีบรรลนุ ิตภิ าวะแลว้ กับผู้รบั บตุ รบุญธรรม หรือเม่ือมีการสมรสระหว่างบุตรบุญธรรมกับผูร้ บั บตุ รบญุ ธรรม 1.4 สิทธิและหน้าท่ีของบิดามารดา บิดามารดามีหน้าท่ีอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา ตามสมควรแก่บุตรระหว่างที่บุตรยังเป็นผู้เยาว์ หรือแม้บุตรจะบรรลุนิติภาวะแล้วแต่เป็นผู้ทุพพลภาพ และหา เลีย้ งตนเองไม่ได้บดิ ามารดากย็ ังมีหน้าที่ต้องอปุ การะเลี้ยงดูต่อไป ระหว่างที่บตุ รเป็นผเู้ ยาว์บิดามารดาเป็นผู้ใช้
อานาจปกครองบุตรโดยมีสิทธิกาหนดท่ีอยู่ของบุตรทาโทษบุตรตามสมควร หรือว่ากล่าวสั่งสอนให้บุตรทาการ งานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูป มีสิทธิเรียกบุตรคืนจากผู้อ่ืนซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วย กฎหมาย เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร ในการฟ้องคดีและมีสิทธิจัดการทรัพย์สินของบุตรด้วย ถ้าบุตรมี เงินได้ บิดามารดามีสิทธินามาใช้เป็นค่าอุปการะเล้ียงดู และการศึกษาของบุตร ส่วนที่เหลือต้องเก็บรักษาไว้ เพ่อื มอบแก่บุตรภายหลงั เว้นแตบ่ ิดามารดาจะยากจนไมม่ เี งินได้พอแก่การครองชีพจึงอาจนาเงินน้นั มาใช้ได้ ในกรณที ี่บดิ ามารดาตาย หรือถกู ศาลส่ังถอนอานาจปกครอง เพราะวกิ ลจริตหรอื ประพฤติไม่เหมาะสม ศาลมีอานาจตั้งผู้ปกครองให้บุตรซง่ึ เป็นผูเ้ ยาว์ เพ่ืออุปการะเลี้ยงดูและให้ความคุ้มครอง แก่ผูเ้ ยาวน์ น้ั แทนบดิ ามารดาได้ 1.5 สิทธิและหน้าท่ีของบุตร บุตรมีสิทธิใช้ชื่อ สกุลของ บิดาเว้นแต่ไม่ปรากฏบิดาให้ใช้ช่ือสกุลของมารดา บุตรมีสิทธิได้รบั การอุปการะเล้ยี งดู และได้รบั การศึกษาตามสมควรจากบิดามารดา แต่บุตรมีหน้าท่ีต้องดูแลบิดามารดาของตนเป็นการตอบแทน บุญคุณโดยบุตรจะฟ้องบิดา มารดา รวมท้ังบุพการีอ่ืนของตนเป็น คดีแพ่ง หรือคดีอาญาไม่ได้ ต้องขอให้พนักงานอัยการยกคดีขึ้นว่า กลา่ วให้ 2. กฎหมายเร่ืองมรดก มีเน้ือหาเกี่ยวกับลักษณะของมรดกและผู้ที่จะมีสิทธิรับมรดก หรือทายาท โดยมรดกหรือกองมรดก ได้แก่ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าท่ี และความรับผิดชอบต่างๆของผู้ตาย หรือเจ้าของมรดก ซึ่งเม่ือผู้ใดถงึ แก่ความตาย มรดกของเขายอ่ มตกทอดแกท่ ายาททนั ทเี ว้นแต่สงิ่ ท่ีกฎหมายหรอื ตามสภาพแล้วถือ เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ ย่อมไม่ตกทอดเป็นมรดก เช่น สิทธิรับราชการ เป็นต้น กรณีท่ีบุคคลใด หายไปจากท่ีอยูโ่ ดยไม่ได้ข่าวคราวเปน็ เวลานาน ศาลอาจส่ังใหบ้ ุคคลน้ันเปน็ คนสาบสูญ ซงึ่ กฎหมายถือเสมือน ว่าถึงแก่ความตาย และมรดกของผู้สาบสูญย่อมตกทอดแก่ทายาทเหมือนกรณีตายจริงๆทายาท คือ ผู้มีสิทธิ ไดร้ บั มรดกในทางกฎหมาย แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดังนี้ 1) ทายาทโดยธรรมหรือทายาทตามที่กฎหมายกาหนด ได้แก่ คู่สมรส และญาติสนิทของ ผู้ตาย ซึ่งสิทธิได้รับมรดกและส่วนแบ่งที่จะได้รับจะลดลงตามความห่างของญาติๆน้ัน เช่น ถ้าคู่สมรส บุตร และบิดามารดาของผู้ตายยังอยู่ ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายโดยเท่าเทียมกันโดยคู่สมรสมีสิทธิได้รับหนึ่ง ส่วน บุตรแต่ละคนมีสิทธิได้รับคนละส่วน และบิดามารดาของผู้ตายมีสิทธิได้รับคนละหนึ่งส่วน กล่าวคือบิดา หน่ึงส่วนและมารดาหนึ่งส่วน ในกรณีเช่นน้ีญาติอื่นไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายอีก เพราะได้ถูกตัดโดยญาติ สนทิ กวา่ ของเจา้ ของมรดกแลว้ 2) ทายาทตามพินัยกรรม ได้แก่ ผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามที่พินัยกรรม ซ่ึงเป็นหนังสือแสดง ความประสงค์ส่ังการเผื่อตายของผู้ตายระบุไว้ โดยทายาทพวกน้ีอาจเป็นญาติของผู้ตายหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่ ผู้ตายจะตั้งใจยกมรดกของตนให้แก่ผู้ใดบ้างในกรณีที่ผู้ตายทาพินัยกรรมยกมรดกของตนให้ทายาทตาม พินัยกรรมทั้งหมดทายาทโดยธรรมย่อมไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย แต่บุคคลจะทาพินัยกรรมยกมรดกได้เฉพาะ ทรพั ยส์ นิ ของตนเท่านัน้ ในกรณีที่ตนมคี ู่สมรสก็จะต้องแบง่ ทรัพย์สินระหว่างสามภี ริยาก่อน ส่วนของตนจึงเป็น มรดกตกทอดตอ่ ไปได้ เรียบเรียงโดย สุคนธ์ สินธพานนท์
Search
Read the Text Version
- 1 - 4
Pages: