เอกสารประกอบการสอนรายวชิ ามนี วทิ ยา รหสั วชิ า 3601-2103 หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชน้ั สงู พทุ ธศกั ราช 2557 สาขาวชิ าเพาะเลย้ี งสตั วน์ า้ ประเภทวชิ าประมง หนว่ ยที่ 11 อนกุ รมวธิ านของปลา ั ทา้ โ ย ภาควชิ าประมง วทิ ยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปตั ตานี ส้านกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
หนว่ ยที่ 11 อนกุ รมวธิ านของปลา (Taxonomy of Fishes) ุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. นกั ศกึ ษามีความร้คู วามเข้าใ เกยี่ วกับอนุกรมวิธานของปลา 2. นักศกึ ษาสามารถอธิบายความหมายของอนุกรมวธิ านไ ้ 3. นกั ศกึ ษาสามารถ ้าแนกชนิ ของปลาไ ถ้ ูกต้องตามหลักอนกุ รมวธิ าน 4. นักศกึ ษามีความสนใ ใฝ่รู้ มคี วามรบั ผิ ชอบเรียนรู้ ว้ ยความซือ่ สัตย์ มีคุณธรรมและมี มนษุ ยส์ ัมพนั ธ์ า้ เนินชวี ติ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิ พอเพียง สาระการเรยี นรู้ ปลาเป็นสัตวม์ ีกระ ูกสันหลังกลมุ่ แรกของโลก เรม่ิ มีวิวัฒนาการมาแลว้ ไม่นอ้ ยกว่า 500 ลา้ น ปี ตลอ ระยะเวลาของการวิวัฒนาการ ไ ้มีการเปล่ียนแปลงมาโ ยตลอ ากปลาปากกลมที่ไม่มี ขากรรไกร ที่ยังเหลือสมาชิกอยู่ 2 กลุ่มคือ ปลาแลมเพรย์ และปลาแฮก และกลุ่มที่มีขากรรไกร แบ่ง ออกเปน็ ปลากระ กู อ่อน คอื ปลาฉลามและปลากระเบน และปลากระ ูกแขง็ ที่มีชีวิตอยู่ในปั ุบนั ไม่ น้อยกว่า 28,000 ชนิ (Nelson, 2006) และยังคงมีการค้นพบชนิ ใหม่เพ่ิมข้ึนทุกปี เมื่อแบ่งออก ตามแหล่งท่ีอยู่อาศัยสามารถแบ่งออกไ ้เป็นกลุ่มท่ีอาศัยอยู่ในทะเล 58 เปอร์เซ็น และในน้า ื 41 เปอร์เซ็น ส่วนอีก 1 เปอร์เซ็น เป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในน้ากร่อย หรือมีการอพยพไปมาระหว่างน้า ื และน้าเค็มในช่วงชีวิต หลักการเบ้ืองต้นของการศึกษาทาง ้านอนุกรมวิธานคือ การ ้าแนกชนิ ของ สิ่งมีชีวิตอาศัยหลักการของความเหมือนที่อยู่บนความแตกต่าง (differerentiated on Similarity) โ ยอาศัยลักษณะภายนอกเปน็ หลกั ในการ ั ้าแนก เชน่ ลกั ษณะของรูปร่าง กา้ ง หรือการมีหรือไม่มี เกล็ รูปร่างล้าตวั ที่ยาว สน้ั ปอ้ ม กลม หรอื เป็นริบบ้ิน เปน็ ต้น ลักษณะของปาก ลักษณะและ ้านวน ของ มูก มีหรือไม่มีหนว ต้าแหน่งของครีบท้อง เกล็ ที่แปรรูป ครีบหลังท่ีมีตอนเ ียวหรือสองตอน เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วหลายชนิ ท่ีต้องอาศัย ลักษณะหลายอย่างรวมกันหรือไม่สามารถ ั ้าแนก ออกมาใหไ้ ้ 11.1 การศึกษาอนกุ รมวธิ าน ในการศึกษาอนุกรมวิธาน ะมีคา้ ศพั ทห์ ลายค้าท่ีเกย่ี วข้อง ซง่ึ ควร ะไ ้ทา้ ความเข้าใ ก่อน เพื่อให้เขา้ ใ ความหมายของสิ่งต่างๆในระบบอนุกรมวธิ านไ ้ถูกต้องชั เ น
11.1.1 อนุกรมวิธาน (taxonomy) เป็นการศึกษาทาง ้านทฤษฎีของการ ั ล้า ับ ซ่ึง รวมท้ังพ้ืนฐาน กฎเกณฑ์ วิธีการและกฎข้อบังคบั ต่างๆ หมายถึงการกระท้าท่ีปฏิบตั ิกันอยู่เป็นประ ้า ทุกวันในเร่ืองที่เกี่ยวกับส่ิงที่มีชีวิต ซ่ึงรวมไปถึงการ ั การ และการแยกชนิ ของตัวอย่าง การตีพิมพ์ ข้อมูล การศึกษา ากเอกสาร และการวิเคราะห์ความแปรปรวนท่มี ีอยูใ่ นตวั อย่างน้นั ๆ 11.1.2 การ ั หมว หมู่ (classification) กระบวนการที่เกิ ขึ้นต่อเนื่องมา ากการ ้าแนกหรือแยกชนิ กล่าวคือ เม่ือแยกชนิ ของ สิ่งมีชีวิตไ ้แล้วก็น้ามา ั ให้เข้าหมว หมู่ โ ยอาศัยความสัมพันธ์กันในทางรูปร่างลักษณะและ โครงสร้าง ส่ิงมีชีวิตชนิ ใ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิ ใน ้านวิวัฒนาการของรูปร่าง ลักษณะและ โครงสรา้ งก็ ะถูก ั เข้าไว้ในหมู่เ ยี วกัน สิ่งมชี ีวิตหลายๆ หมู่ยอ่ ยซ่ึงมีลักษณะส้าคัญบางอยา่ งรว่ มกัน ก็ ะถกู ั เข้าไวใ้ นหมู่ทใี่ หญ่ขน้ึ ไปอกี 11.1.3 การ า้ แนกชนิ (Identification) การน้าสัตว์หรอื ส่ิงมีชวี ติ กล่มุ ใ กลุ่มหนงึ่ ที่ต้องการศึกษามาวเิ คราะหช์ นิ ว่าเป็นชนิ อะไร โ ย อาศัยความสมั พนั ธ์กนั ในทางรูปร่างลักษณะและโครงสรา้ งเป็นส้าคัญ 11.1.4 การ ั ระบบ (systematic) การศึกษาท่ีเกี่ยวข้องกับชนิ และความเปล่ียนแปลงของสิ่งมีชีวิต ความแตกต่างอย่างเห็นไ ้ ชั ากชนิ อื่นๆ การแยกชนิ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ะเห็นไ ้ว่า การ ั ระบบไ ้รวม เอาความหมายของค้าว่า อนุกรมวิธาน การ ั หมว หมู่ และวิวัฒนาการ (evolution) เข้า ้วยกัน โ ยเป็นการศึกษาถึงทุกแง่ทุกมุมของสิ่งมีชีวิตที่เราก้าลังศึกษาอยู่ อย่างไรก็ ี ในบางคร้ังก็ไ ้มี นักวิทยาศาสตร์หลายท่านทก่ี ล่าวว่า ความหมายของอนกุ รมวธิ านกบั การ ั ระบบนัน้ เหมือนกัน 11.1.5 ชนิ (species หรือ biological species ) กลุ่มของประชากรของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ที่ท้าการผสมกันเองอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่ม ของประชากรกล่มุ นี้ ะไมผ่ สมพันธกุ์ ันกบั ประชากรของส่งิ มีชีวติ ในธรรมชาตกิ ลุ่มอื่นๆ ในการศึกษาทางอนุกรมวิธานของปลานั้น ต้องอาศัยสิ่งท่ีไ ้เคยศึกษามาบ้างแล้วในตอนต้น เช่น รูปร่างลักษณะของล้าตัว เกล็ ก้านครีบ และปาก เป็นต้น และการแยกชนิ ของปลาต้องอาศัย วธิ ีการ 2 วธิ ีใหญๆ่ ้วยกนั คอื 1. การวั ขนา (morphometric measurement ) 2. การนับ า้ นวน ( meristic count) 11.2 การวั ขนา (morphometric measurement ) เมื่อกลา่ วถึงการวั ขนา เรามัก ะเขา้ ใ โ ยใชส้ ามญั ส้านึกว่าเปน็ การวั ความยาวตวั ปลา คอื ยาว ากหัว ร หางและขนา โ ยรอบลา้ ตวั ปลา แตใ่ นทางวชิ าการแลว้ ะมคี วามละเอีย ถ่ีถว้ น
กว่านน้ั ทั้งนี้เพราะการวั ส่วนต่างๆ ในตวั ปลา มคี วามหมายและความส้าคญั ต่อการวเิ คราะห์ชนิ ของปลา เพราะปลาแตล่ ะชนิ ะมคี วาม ้าเพาะของสั สว่ นรา่ งกายเปน็ แบบเฉพาะตัวไมซ่ า้ กนั (ภาพท่ี 11.1) การวั สั สว่ นนัน้ สามารถวั ไ ท้ ุกๆ ส่วน เช่น ความยาวสว่ นหวั ความกวา้ งของตา ความสูง ของก้านครบี ความลึกของตัวปลา ความยาวของหนว การวั ขนา และสั ส่วนตา่ งๆ นั้น ะวั สว่ น ใ กแ็ ล้วแต่ชนิ ปลาซึ่งไม่เหมือนกนั ขึ้นกบั ลักษณะเ ่นหรือความ ้าเปน็ ในการบรรยายหรือวเิ คราะห์ ปลาชนิ นั้นๆ หนว่ ยของการวั นยิ มบอกเป็นมิลลิเมตรและอา มที ศนิยมไ ้ 1 ต้าแหน่ง 11.2.1 ุ ประสงค์ในการวั ขนา ปลา เมือ่ กลา่ วถึงการวั ขนา ปลา ก็มักนึกถงึ การวั ความยาวของปลาตงั้ แตห่ ัวถงึ ปลายหาง แท้ ริงแลว้ การวั ขนา ปลามวี ธิ วี ั หลายแบบ แล้วแต่ ะตอ้ งการวั ขนา ของอวัยวะไหน เชน่ ขนา หัว ขนา ตา ความสงู ของครบี เป็นต้น แลว้ แต่ ุ ประสงค์ของผู้วั ซง่ึ มี 2 ประการคอื 1. วั ความยาว ความกว้าง และความลึกตัวปลา เพื่อทราบขนา ใหญส่ ุ หรือเล็กสุ ของปลาแต่ละชนิ 2. วั ความยาวหรอื ความกว้างของอวัยวะส่วนใ สว่ นหนง่ึ บนตัวปลา เชน่ นยั นต์ า ปาก หัว ลา้ ตัว หาง ครบี ตา่ งๆ แลว้ เปรียบเทียบหาอัตราส่วนของความยาว หรือบรรยายลักษณะของ ปลาแต่ละชนิ 11.2.2 การวั ขนา ของปลา สามารถแบง่ ออกไ ้เป็นหลายแบบยอ่ ยๆ แต่ทส่ี า้ คญั มี ังน้ี 1. การวั ขนา ความยาวล้าตัว เป็นวิธีการท่ีใช้วั ความยาวล้าตัวปลา ตามท่ีนิยม ท้ากนั มอี ยู่ ว้ ยกัน 3 วิธี คอื ก. การวั ความยาวรวม (total length ) วั ากปลายสุ ทาง ้านหัวไปถึงเส้น ่ิงทลี่ ากลงมาตั กบั ปลายสุ ของครีบหางสว่ นท่ยี าวที่สุ ข. การวั ความยาวมาตรฐาน (standard length ) วั ากปลายสุ ทาง ้านหวั ไป ร กบั เสน้ ่งิ ท่ลี ากลงมาตั กบั ฐานครบี หางหรือปลายสุ ของกระ ูกไฮพรู ลั เพลต (hypural plate) ค. การวั ความยาวตรงรอยเว้าของครีบหาง (forked length) วั ากปลายสุ ทาง ้านหัวไปถึงส่วนท่ีเว้าลึกที่สุ ของรอยหยักเว้าของครีบหาง ในปลาที่มีครีบหางรูปส้อม (forked tail) 2. การวั ขนา ความยาวของ ะงอยปาก (snout lenght) เร่ิมวั ากปลายสุ ทาง า้ นหัวหรือ ะงอยปากมาถงึ เสน้ ต้ังฉากท่ีตั ผา่ นขอบหนา้ ของตา
3. การวั ขนา เส้นผ่าศูนย์กลางของตา (eye diameter) วั ากเส้นต้ังฉากที่ตั กับขอบทาง ้านหน้าสุ ของตาไป น ร เส้นตั้งฉากทีต่ ั กบั ขอบหลังสุ ของตา 4. การวั ขนา ความยาวของหัว (head lenght ) เริ่มวั ากปลายสุ ของ ะงอย ปากไป นถึงเส้นตง้ั ฉากทลี่ ากลงมาตั กบั ้านท้ายสุ ของแผ่นเย่อื ปิ กระพุง้ แก้ม 5. การวั ความลึก (height หรอื depth ) เป็นการวั ช่วงทล่ี ึกหรือสงู ทส่ี ุ ของตัว ปลา ซ่ึงโ ยท่ัวไปแล้วมัก ะเป็นบริเวณหน้าครีบหลัง ( หรือครีบหลังอันแรก ในกรณีท่ีปลาชนิ น้ันมี ครีบหลัง 2 ครบี ) เป็นแนว ง่ิ ลงไปท่ีบรเิ วณสว่ นทอ้ งของปลา 6. การวั ความกว้างล้าตัว (body width) เป็นการวั ระยะเป็นเส้นตรง าก ้าน หนง่ึ ไป นถึง ้านหน่ึงของตัวปลา คือวั ระยะซีกซ้าย-ขวาของตัวปลา 7. การวั เปรียบเทียบ เป็นวิธีการวั ความยาวของส่วนหัว ะงอยปาก หรือ เส้นผ่าศูนย์กลางตา หรือส่วนอ่ืนๆ อาทิ ความลึกของล้าตวั มาเปรียบเทยี บกับความยาวของล้าตัว ซ่ึง โ ยมากแล้ว ะใช้ความยาวมาตรฐาน ตัวอย่างในการใช้เปรียบเทียบที่พบ เช่น eye in head = 5 หรือ eye 5 in head ซึ่งมีความหมายว่า ตามีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นความยาวเท่ากับหนึ่งส่วนห้าเท่า ของความยาวของหัว หรือ depth 4 in standard length ก็หมายความวา่ ความลึกของล้าตัวมีความ ยาวเท่ากบั หนึง่ ส่วนสเ่ี ทา่ ของความยาวมาตรฐาน ภาพท่ี 11.1 การวั ขนา ทม่ี า: อภิรักษ์ (2561)
11.3 การนับ (Meristic count) การนับที่ใช้ในทางอนุกรมวิธานนั้น เป็นการนับส่ิงที่นับไ ้ที่มีอยู่บนตัวปลา เช่น เกล็ ก้าน ครีบ และซ่ีกรองเหงือก เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่กล่าวถึงน้ี ไ ้น้ามาใช้ประโยชน์มากในการแยกชนิ ของปลา ังนนั้ ึงขอกลา่ วถึงวิธีการนบั ไปทีละอยา่ ง 11.3.1 การนับเกล็ การนับแบบนก้ี ระท้าไ ้หลายแห่งบนตัวปลา แตท่ ี่นิยมท้ากนั มีอยู่ 5 ต้าแหนง่ คือ (ภาพท่ี 10.2) 1. การนบั เกล็ ท่ีอยบู่ นสัน ้านบนของหัว (predorsal-scale count) ซึ่ง ะเร่ิมต้น มตี ัง้ แต่ตา้ แหน่งใ ก็ไ ้ ทาง ้านหนา้ ของหวั ไป น ร ุ เร่มิ ตน้ ของฐานของครบี หลงั 2. การนับเกล็ ตามเส้นข้างตัว (lateral-line-scale count) โ ยเริม่ นับ ากเกล็ ที่ อยู่ถั ากรอยเปิ ของช่องเหงือก ้านบนไปตามเส้นข้างตัว และไปสิ้นสุ ลงท่ีโคนครีบหาง หรือที่ ปลายสุ ของกระ ูกไฮพลูรลั เพลต 3. การนับเกล็ ที่ ุ เร่ิมต้นของครีบหลังเรียงลงไปเป็นแถวตามแนวเฉียง (ตามแนว ของเกล็ ) น ร เส้นขา้ งตัว (transverse-scale count) ากนน้ั กน็ ับ ้านวนเกล็ าก ุ เร่ิมตน้ ของ ครีบก้นเรียงข้ึนไปเป็นแถวตามแนวเฉียง (ตามแถวของเกล็ ) นไป ร เส้นข้างตัว ้านวนเกล็ ตาม การนับวิธีน้ี ะอยู่ในรูปของตัวอย่างต่อไปนี้ คือ 4/1/3 โ ยที่ 4 หมายถึง ้านวนของเกล็ าก ุ เร่ิมต้นของครีบหลังตามแถวของเกล็ ไป ร เส้นข้างตัว 1 เป็นเกล็ บนเส้นข้างตัว และ 3 ก็คือ ้านวนของเกล็ ทน่ี ับ าก ุ เริ่มตน้ ของครีบก้นเฉยี งข้นึ ไปตามแถวของเกล็ ไป ร เส้นขา้ งตวั 4. การนับเกล็ บริเวณแก้ม (cheek-scale count) เป็นการนับ ้านวนของเกล็ ที่เรียงกันอยู่ในแนวเฉียง โ ยเริ่มนับ ากเกล็ ที่อยู่ที่ขอบตาเฉียงลงไปยังมุมแก้ม หรือส่วนโค้งของ กระ กู แกม้ า้ นล่าง 5. การนับเกล็ บริเวณคอ หาง (circumpeduncular-scale count) เป็นการนับ า้ นวนของเกล็ ที่อยู่รอบคอ หางบรเิ วณท่เี ลก็ ทส่ี ุ การนบั แบบนี้ตอ้ งนบั ซิกแซก็ สลับไปมา 11.3.2 การนับก้านครีบ โ ยทั่วไปแล้วการนับก้านครีบของปลาน้ี ก็ใช้ตัวเลขแส ง ้านวนของก้านครีบที่มีอยู่ท้ังหม ก้านครีบแขง็ ะถูกแทน ้วยตัวเลขโรมัน เช่น I, II ,III ส่วนก้านครีบอ่อน ะถูกแทน ้วยตัวเลขอารบิก เช่น 3,5,7 เป็นต้น ในต้าราบางเล่ม ะแยกก้านครีบอ่อนท่ีเป็นซิมเพิลเรย์ (simple ray) และแบรนซ์ เรส์ (branch rays) ออก ากกันโ ยใช้ตัวเลขโรมันตัวเล็กแทนซิมเพิลเรส์ ส่วนแบรนซ์เรส์ก็ยังคงถูก แทนท่ี ้วยตัวเลขอารบิกเช่นเ ิม ตัวอย่างเช่น ii,5 ซ่ึงหมายถึงมีซิมเพิลเรส์ 2 ก้านกับแบรนซ์เรส์ 5 กา้ น
ครีบหลัง (dorsal fin) ใช้แทนตวั อักษร D ในกรณีท่ีปลาชนิ น้ันมีครีบหลงั 2 ครีบก็ ะใช้ D1 แทนก้านครีบแข็ง (spinous) หรือครีบหลังตอนแรก (first dorsal fin) และ D2 แทนครีบหลังตอนที่ 2 (second dorsal fin) ครีบหู (pectoral fin) ใช้แทน ว้ ยอักษร P1 หรอื P ครบี ทอ้ ง (pelvic fin หรือ ventral fin) ใชอ้ ักษร P2 หรือ V ครบี กน้ (anal fin) ใชอ้ กั ษร A ครบี หาง (caudal fin) ใช้อกั ษร C ในกรณีของครีบหลังและครีบก้น บางครั้งก้านครีบอันสุ ท้ายของครีบท้ังสองน้ัน ะมี ลักษณะคล้ายกับว่าประกอบไป ้วยแบรนซ์เรส์ 2 อัน โ ยมีการแตกแขนงออกไปเป็น 3-4 แฉก แต่ เมื่อ ูท่ีฐานของก้านครีบแล้ว ะมีฐานอยู่เพียงอันเ ียว การนับก้านครีบแบบนี้ให้นับว่าเป็นก้านครีบ เพยี งกา้ นเ ยี วเทา่ น้นั (ภาพที่ 11.2) ภาพที่ 11.2 การนบั ลักษณะของปลา ไ ้แก่ เกล็ กา้ นครีบ ทม่ี า: อภิรกั ษ์ (2561) 11.3.3 การนบั ซก่ี รอง การนับแบบน้ีนับ ้านวนของซ่ีกรองที่อยู่บนแกนกระ ูกเหงือกอันแรก โ ยอา นับ ้านวน ของซ่ีกรองท่ีมีอยู่ทั้งหม หรือนับ ้านวนซี่กรองท่ีส่วนบนส่วนโค้งและส่วนล่างของกระ ูกเหงือกก็ไ ้ (ภาพที่ 11.3)
… …… . 4 …. 1 23 ภาพท่ี 11.3 การนบั ซ่ีกรอง ทม่ี า: ถ่ายถาพโ ยนุสราสินี (2561) 11.4 การเก็บตัวอย่างปลาและการเก็บรกั ษาเพ่ือใช้ในการวิเคราะห์ การเก็บตัวอย่างและการเก็บรักษาตัวอย่างปลานับไ ้ว่ามีความส้าคัญต่อการศึกษาทาง อนุกรมวิธานของปลา ทั้งนี้กเ็ พื่อประโยชน์ในการอ้างองิ เมื่อมีปัญหาเกิ ข้ึนกับการวิเคราะห์หรือการ แยกชนิ ของปลา ตัวอย่างปลาที่ไ ้มาอา ไ ้รับมา ากวิธีการและเคร่ืองมือชนิ ต่างๆ ซ่ึงเหมาะสมกับการ ับ โ ยปกติแล้วเครื่องมือทใี่ ช้ บั มัก ะเป็นอวนหรอื ตาขา่ ย การ ับปลา ้วยเครื่องมือมัก ะท้าใหป้ ลาบาง ชนิ โ ยเฉพาะปลาน้า ื บอบช้า ไม่อยู่ในสภาพที่ ี ึงมีการปรับปรุงวิธีการ ับให้ ีข้ึน ส้าหรับ ับ ปลาท่ีบอบช้าง่าย กล่าวคือ การใช้ยาเบื่อเมา นิยมใช้หางไหลหรือโล่ติ๊นซึ่งอา อยู่ในสภาพส้าเร็ รูป เป็นผงใช้การไ ้ทันที หรือยังอยู่ในสภาพของหางไหลซ่ึงต้องน้ามาทุบให้ละเอีย แล้ว ึงน้ามาขย้าใน น้า นมีสีขาวขุ่นคล้ายน้านม ึงน้าน้าโล่ติ้นน้ันไปสา ลงในบริเวณท่ี ะเก็บตัวอย่างปลา โล่ต๊ินมีสาร พวกโรติโนน (rotenone) ซ่งึ ะไปท้าใหเ้ ส้นเลือ ที่เหงือกห ตัว ทา้ ใหป้ ลาหายใ ไม่สะ วก ะลอยตัว ขนึ้ สู่ผิวน้าและตายในท่ีสุ ปฏิกิริยาของโล่ต๊ินท่ีมีต่อปลาน้ัน ะช้าหรือเร็วก็ข้ึนอยู่กบั อุณหภูมขิ องน้า ถา้ อุณหภูมิของน้าสูงก็ ะเกิ ปฏิกิริยาเร็ว และถ้าอุณหภูมิต้่าก็ ะเกิ ข้ึนช้า ในน้าน่ิงๆ ฤทธิ์ของโล่ต๊ิน ะคงอยู่เป็นเวลาหลายวัน ถ้าต้องการ ับปลาในบริเวณท่ีมีน้าไหลควรใช้อวนก้ันบริเวณท้ายน้าให้ ห่างไกลออกไป เพราะกระแสน้า ะพาโล่ตน๊ิ ไหลตามนา้ ลงไป ้วย ึงต้องใชเ้ วลานานกว่า ะมีปฏิกิรยิ า ตอ่ ปลา การ ับปลาในบริเวณปะการังก็เช่นเ ียวกัน แต่ ้าเป็นต้องใช้ยาเบ่ือ ้านวนมากกว่าปกติและ ในบางครง้ั กใ็ ช้ไซยาไน ์ (cyanide) ซึ่งเปน็ พษิ ตอ่ คนเราในการ บั ปลาแทนโลต่ น๊ิ
เม่ือ ับปลาไ ้แล้ว ึงน้ามา องในน้ายาฟอร์มาลิน 10 เปอร์เซ็น โ ยใช้อัตราส่วนน้ายา 1 สว่ นต่อนา้ 9 ส่วน ทั้งน้ี น้ายาฟอร์มาลินเขม้ ขน้ ท่สี ุ ะมีปริมาณของฟอร์มาล ีไฮ ์ (formaldehyde) อยู่เพียง 40 เปอร์เซ็น (คิ ความเข้มข้น 10 เปอร์เซ็น หมายถึง ให้คิ ฟอร์มาลินเข้มข้นเป็น 100 เปอร์เซ็น ) ส้าหรับตัวอย่างปลาท่ีมีความยาวเกิน 3 นิ้วฟุตขึ้นไป ควรท้าการผ่าท้องเสียก่อน เพื่อให้ น้ายาซึมเข้าไปภายในช่องท้อง หรืออา ใช้วิธีฉี น้ายาเข้าไปภายในช่องท้องก็ไ ้ ตามปกติแล้วน้ายา ฟอร์มาลินสามารถใช้เก็บรักษาตัวอย่างปลาไ ้เป็นเวลานาน แต่เมื่อใช้ไปนานๆฟอร์มาล ีไฮ ์ ะ ระเหยไป ึงต้องมีการเติมน้ายาเพ่ิมเติม ข้อเสียของการเก็บรักษา ้วยน้ายาฟอร์มาลินก็คือ เม่ือน้ามา วิเคราะห์มัก ะท้าให้เกิ การระคายเคืองตา ังนั้น ึงมีการแก้ปัญหานี้ โ ยการที่น้าปลาที่ องอยู่ใน น้ายาฟอร์มาลินมาแล้วอย่างน้อย 1 สัป าห์ออกมาแช่เอาไว้ในน้าธรรม า และคอยเปลี่ยนน้าทุกวัน นกระท่ังกลิ่นฟอร์มาล ีไฮ ์หม ไป ซึ่งโ ยปกติแล้ว ะใช้เวลาประมาณ 1-7 วัน แล้วแต่ขนา ของ ปลา เสร็ แลว้ งึ นา้ มาเก็บรักษาในแอลกอฮอล์ 70 เปอรเ์ ซน็ สิ่งท่ี ะลืมไม่ไ ้ นอก ากช่ือวิทยาศาสตร์ของปลาแล้ว ก็ยังมีแผ่นกระ าษบันทึกข้อความ ตา่ งๆ ซ่ึงเป็นรายละเอีย เกี่ยวกับสถานที่ที่ ับตวั อย่าง สภาวะส่ิงแว ล้อม ลักษณะสขี องน้า ความลึก และอ่นื ๆ ภาพที่ 11.4 การเก็บรักษาตัวอยา่ งปลา ทม่ี า: ถ่ายภาพโ ยนุสราสินี (2561)
11.5 อนกุ รมวธิ านของปลา การ ั และ ้าแนกครอบครัวของปลา โ ยการ ั เรียงตามหลักอนุกรมวิธาน ะประกอบ ว้ ย ปลาที่สูญพันธ์ุไปแล้วและท่ียังมีชีวิตอยู่ในปั ุบัน ในหนังสือ Fishes of the world โ ย Nelson, 2006 ปลาทมี่ ีชวี ติ ในปั บุ นั แบง่ ออกไ ้เป็น4 Class ( ั แปลง าก Nelson และคณะ, 2016) Phylum ChordataI Subphylum Craniata Infraphylum Myxinomorphi 1. Class Myxini Order Myxiniformes (ปลาแฮก) Infraphylum Vertebrata Superclass Petromyzontinomorphi 2. Class Petromyzontida Order Petromyzontiformes (ปลาแลมเพรย์) Superclass Gnathostomata Grade Chondrichthyomorphi 3. Class Chondricthyes Subclass Holocephali Order Chimaeriformes (ปลากระตา่ ย) Subclass Euselachii Infraclass Elasmobranchii Division Order Heterodontiformes (ปลาฉลามมา้ ลาย) Order Orectolobiformes (ปลาฉลามกบ) Order Lamniformes (ปลาฉลามขาว) Order Carcharhiniformes (ปลาฉลามหู า้ ) Order Hexanchiformes (ปลาฉลามววั ) Order Squaliformes (ปลาฉลามปากหมา) Order Echinorhiniformes (ปลาฉลามหนาม) Order Squantiniformes (ปลาฉลามนางฟา้ ) Order Pristiophoriformes (ปลาฉลามฟนั เลอื่ ย) Division Order Torpediniformes (ปลากระเบนไฟฟ้า) Order Rajiformes (ปลากระเบนหลังหนาม) Order Pristiformes (ปลาฉนาก ปลาโรนนั ) Order Myliobatiformes (ปลากระเบน)
4. Class Osteichthyes Subclass Sarcopterygii Infraclass Actinistia Order Coelacanthiformes (ปลาซลี าแคนธ์) Infraclass Onychodontida Order Ceratodontiformes (ปลาปอ X Subclass Cladistia Order Polypteriformes (ปลาบิเชยี ร์X Infraclass Chondrostei Order Acipenseriformes (ปลาสเตอรเ์ ียน) Infraclass Holostei Division Ginglymodi Order Lepiisosteiformes (ปลาอลั ลเิ กเตอร)์ Division Halecomorphi Order Amiiformes (ปลาเอเมียร์) Division Teleosteomorpha Subdivision Teleostei Supercohort Teleocephala Cohort Elopomorpha Order Elopiformes (ปลาตาเหลือก) Order Albuliformes (ปลากระบอกยล) Order Notacanthiformes (ปลาไหลนา้ ลึก) Order Anguilliformes (ปลาตูหนา) Supercohot Osteoglossocephala Cohort Otocephala Superorder Clupeomorpha Order Clupeiformes (ปลาหลงั เขยี ว) Superorder Alepocephali Order Alepocephaliformes ( ปลาหวั ใส) Superorder Ostariophysi Series Anotophysi Order Gonorynchiformes (ปลานวล นั ทร์ทะเล) Series Otophysi Subseries Cypriniphysi Order Cypriniformes (ปลาตะเพียน) Subseries Characiphysi Order Characiformes (ปลาปิรันยา)
Subseries Siluriphysi Order Siluriformes (ปลาหนัง) Order Gymnotiformes* (ปลาผี) Cohort Euteleostei Order Lepidogalaxiformes (ปลาซาลาแมนเ อร)์ Superorder Protacanthopterygii Order Salmoniformes (ปลาแซลมอน) Order Esociformes (ปลาไปค์) Superorder Osmeromorpha Order Argentiniformes* Order GAlaxiiformes* Order Osmeriformes (ปลากว๋ ยเตี๋ยว) Order Stomiiformes (ปลามงั กร) Superorder Atleopodomorpha Order Ateleopodiformes* SuperorderCyclosquamata Order Aulopiformes (ปลาปากคม) Superorder Lamprimorpha Order Lampriformes* Order Percopsiformes* Order Zeiformes (ปลา อร่ี) Order Stylephoriformes* Order Gadiformes (ปลาคอ ) Superorder Acanthopterygii Series Berycida Order Holocentriformes ( ปลาข้าวเม่านา้ ลึก) Order Trachithyiformes* Order Beryciformes* Series Per comorpha Subseries Ophidiida Order Ophidiiformes*
Subseries Batrachoidida Order Batrachoidiformes (ปลาคางคก) Subseries Gobiida Order kurtiformes (ปลาพยาบาล) Order Gobiiformes (ปลาบ)ู่ Subseries Ovalentaria Order Mugilliformes (ปลากระบอก) Order Cichliformes (ปลานลิ ) Order Blenniformes (ปลาตุ้ ต)ู่ Order Gobiesociformes* Order Atheriniformes (ปลาหัวตะกว่ั ) Order Beloniformes (ปลาเขม็ ) Order Cyprinodontiformes Order Synbranchiformes (ปลาไหลนา) Order Carangiformes (ปลาหางแขง็ ) Order Istiophoriformes (ปลากระโทงแทง) Order Anabantiformes (ปลาหมอ) Order Pleuronectiformes (ปลาซีกเ ยี ว) Order Syngnathiformes (ปลา ิ้มฟัน ระเข)้ Order Icosteiformes* Order Callionymiformes (ปลามงั กรนอ้ ย) Order Scombrolabraciformes* Order Scombriformes (ปลาอนิ ทรีย)์ Order Trachiniformes (ปลา าบเงิน) Order Labriformes (ปลานกแกว้ ) Order Perciformes (ปลากะพง) Order Scorpaeniformes (ปลาสงิ โต) Order Morniformes* Order Acanthuriformes (ปลาขี้ตงั เป็ ) Order Spariformes (ปลาครฑุ ) Order Caproiformes*
Order Lophiiformes (ปลาลอ่ เหย่ือ) Order Tetraodontiformes (ปลาปักเปา้ ) หมายเหตุ* ไมพ่ บในนา่ นน้าไทย Class1 Amphioxi ั เปน็ สตั ว์ทีเ่ ร่มิ มกี ระ กู แกนกลางกลมุ่ แรกท่สี ามารถว่ายน้าไ อ้ ย่างอิสระไ ้แก่ Amphioxus หรอื ที่เรียกชื่อหน่ึงวา่ Lancelets มีถิ่นอาศัยในทะเลเขตร้อนและอบอนุ่ มีวิวัฒนาการมา ากพวก Cephalaspides มีลักษณะที่ใกล้เคียงปลามขี นา เลก็ มาก Class 1 Myxini มีล้าตวั ยาวคล้ายปลาไหล มีตาขนา เลก็ มีหนว บริเวณรอบปาก ชอ่ งเปิ เหงอื กมีมากกว่า 7 ชอ่ ง พบต้ังแต่ยุค Cambrian เป็นต้นมา ในปั ุบันพบประมาณ 67 ชนิ ทั้งหม ท่ียังคงมีชีวิตอยู่ใน ปั ุบัน ั อย่ใู นอนั บั Myxiniformes และพบวงศ์เ ียวคอื Myxinidae มีชื่อสามัญว่า hagfish (แฮกฟิช) หรือ slime eel เป็นปลาที่สามารถผลิตเมือกไ ้มากเป็นพิเศษ ไม่มีครีบคู่ไม่มีครีบหลัง สว่ นของครีบหางยาวเลยขนึ้ ไปทาง ้านสันหลัง ตาล รูปไปมากมีหนว อย่รู อบปาก มฟี ันเฉพาะบนลิ้น รวมกนั เปน็ แผน่ เ ยี ว โ ยมีรากของเส้นประสาท dorsal และ ventral nerve เช่อื มต่อกับคอหอย มี ช่องเปิ ออกทาง ้านนอก ล้าไส้เป็นแบบบันไ วนหรือไม่มี cilia ภายในล้าไส้เล็ก มีช่องขับเมือกอยู่ ตลอ แนว ้านข้างทาง ้านข้างล้าตัว ไม่มีสมองส่วน cerebellum ส่วนของอัณฑะและรังไข่แยก พัฒนา แต่ ะเป็นเพศผหู้ รือเพศเมียในตัวเ ียวกนั ไข่มีขนา ใหญ่ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลงรปู ร่างในขณะที่ เ ริญเติบโตแรง ันเลือ ต่้า ตาล รูปลงไปมากเมื่อเปรียบเทียบกับปลาท่ีเป็นบรรพบุรุษที่มีตาขนา โตกว่า มีรายงานพบในเขตน่านน้าไทยเพียง 1 ชนิ ในทะเลอัน ามันของมหาสมุทรอินเ ีย ที่ระ ับ ความลกึ 267-400 เมตร ปั บุ นั ยงั ไม่เคยมีรายงานอกี คอื ปลาแฮกฟชิ อนิ ทรมั พรรย์ Eptartretus indrambaryai (ภาพท่ี 11.5) ปลาแฮก ภาพท่ี 11.5 ปลาแฮก ท่มี า: http://aruttubtim.blogspot.com/2015/08/phylum-chordata.html
Class 2 Petromyzontida มีล้าตัวยาวคล้ายปลาไหล ไม่มีเกล็ เป็นเมือกล่ืน มีเฉพาะกระ ูกอ่อนไม่มีครีบคู่ มีรู มูกรู เ ียวระหว่างตา ช่องเปิ เหงือก 7 คู่ ปากเป็นแบบปาก ู ตาเ ริญ ี สามารถแบ่งออกไ ้เป็น 2 ้าพวกใหญ่ๆคือ พวกอาศัยอยู่ในน้า ื ะอาศัยอยู่ในล้าธาร ช่วงชีวิตส่วนใหญ่ ะเป็นระยะตัวอ่อนท่ี กินอาหารแบบกรอง ตัวเต็มวัยมีชีวิตอยู่ 3-4 สัป าห์ โ ยไม่กินอาหารเนื่อง ากทางเ ินอาหาร สลายตัว เหลือเพียงสายของเน้ือเยื่อท่ีไม่มีหน้าที่การท้างานและ ะตายไปหลังวางไข่ ปลาแลมเพรย์ ้าพวกนี้สามารถ ้ารงชีวิตไ ้เอง โ ยการกินสัตว์อ่ืนเป็นอาหาร และปลาแลมเพรย์ท่ีเป็นปรสิต ะมี ปากคล้ายแว่น ู และมีอุ้งปาก และล้ินมีฟันที่เ ริญ ีอยู่ มัน ะใชป้ ากเกาะเหย่อื และใช้ฟันและล้ินครู เอาเน้ือออก และให้ของเหลวภายในเซลล์และเลือ ของเหยื่อไหลผ่านไ ้สะ วก ปลาแลมเพรย์ ะ สร้างสารป้องกันการตกตะกอนของเลือ ส่งไปท่ีปากแผลของเหย่ือ เม่ือ ู เลือ และของเหลวภายใน ตัวของเหยื่อ นแห้งก็ ะปล่อยแลว้ หาเหยื่อใหม่ (Alaxander,1975;Young,1981;Nelson,2006 และ Helfman และคณะ, 1978) ั อยูใ่ นอนั บั Petromyzontidae (ภาพที่ 11.6) ปลาแลมเพรย์ ภาพที่ 11.6 ปลาแลมเพรย์ ทมี่ า: http://www.liekr.com/post_141689.html
Class 3 Chondrichthyes เปน็ ชัน้ ของปลากระ ูกอ่อน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช้ันยอ่ ยคอื Subclass Holocephali เป็นปลายคุ โบราณส่วนใหญส่ ูญพันธ์ุไปแลว้ ปลาในช้นั ย่อย (subclass) นี้มีลักษณะคล้ายทั้งปลากระ ูกอ่อนและปลากระ ูกแข็ง กล่าวคือมีช่องเปิ เหงือกทาง ้านในคล้าย กับของปลากระ ูกอ่อน ้านวน 4 คู่ และมีแผ่นปิ เหงือกทาง ้านนอกคล้ายกับปลากระ ูกแข็ง 1 แผน่ ไ ้แกอ่ ัน ับ Chimaeriformes พบในเขตอบอุน่ ถงึ เขตหนาว ไม่พบในน่านนา้ ไทย Subclass Elasmobranchii; ปลากระ ูกอ่อน ปลาฉลาม ปลากระเบน เป็นช้ันย่อยของพวกปลา ฉลาม ปลากระเบน และพวกกลุ่มปลากระ ูกอื่นๆ เช่น ปลาโรนัน ปลาโรนิน ปลาฉนาก ผิวหนังปก คลุม ้วยเกล็ ชนิ พลาคอย ์ หรือปุ่มกระ ูกเล็กๆ (tubercle) ล้าไส้สั้นแต่มีประสิทธิภาพในการ ู ซมึ ีมาก ภายในล้าไส้ ะเป็นเกลียววนเป็นชั้นๆ (spiral value) หรือเป็นแบบพบั ม้วน (scroll valve) สามารถแบ่งออกไ ้เป็นกลุ่มปลาฉลามและกลุ่มปลากระเบน ตามลักษณะของช่องเปิ เหงือก โ ยที่ กลุ่มปลาฉลามมีช่องเปิ เหงือกอยู่ทาง ้านข้างของส่วนหัว ในขณะท่ีกลุ่มปลากระเบนมีช่องเปิ เหงอื กอยูท่ างสว่ นลา่ งของสว่ นหัว (ภาพท่ี 11.7) 1 2 ภาพที่ 11.7 ตา้ แหน่งของปลากระ ูกอ่อน (1) ปลาฉลาม (2) ปลากระเบน ทม่ี า: อภริ ักษ์ (2561)
Order Heterodontiformes (ปลาฉลามม้าลาย) หน้าครีบหลังมี spine ท้ังสองครีบ มีครีบก้น ไม่มี nictiating membrane ปากตั ตรงอยู่ ในต้าแหน่งทาง ้านล่าง มีร่องเช่ือมระหว่าง มูกกับปาก มีspiracle อาศัยอยู่บริเวณพื้นท้องน้า พบ วงศเ์ ยี วคอื Family Heterodontidae พบในน่านน้าไทยชนิ เ ียว ไ แ้ ก่ Heterodontus zebra Order Orectolobiformes ปลาฉลามทราย ปลาฉลามกบ ครีบหลังมี 2 ตอน ไม่มี spine หน้าครีบหลังมีช่องเชื่อมระหว่าง มูกกับปาก oronasal groove) มีหนว แบบแข็ง (cirri) ช่องรับน้า หลังตามีหลายขนา มีครีบก้น มกั อาศัยอยู่ทีพ่ ้ืนท้องน้า เป็นกลมุ่ ปลาฉลามท่วี ่ายนา้ ช้า ส่วนของครีบ หางทอ ยาวไปกับพ้ืนทอ้ งน้า และสว่ นของครีบก้นเคลื่อนไปอยู่ทาง ้านท้ายของส่วนหาง ยกเว้นปลา ฉลามวาฬ พบหลายวงศไ์ แ้ ก่ Family Rhincodontidae หรือ Rhineodontidae พบชนิ เ ียวไ ้แก่ Rhincodon typus ปลาฉลามวาฬ whale shark เป็นชนิ เ ียวที่ไม่มี spiracle หากินบริเวณผิวน้า กินแพลงก์ตอนเป็น อาหาร เปน็ ปลาท่มี ขี นา ใหญ่ทส่ี ุ ในโลก (ภาพท่ี 11.8) ก.ปลาฉลามวาฬ ข.ฉลามกบ ภาพที่ 11.8 ตวั อย่างปลาฉลามในอัน บั Orectolobiformes ทมี่ า: https://phuketaquarium.org/ Order Torpediniformes ปลากระเบนไฟฟ้า หรือ Electric rays หรือ Numb fish ล้าตัวแบน ากบนลงล่าง ส่วนหัวบริเวณท่ีเป็น านกลม ะงอยปากสั้นและมนกลมผิ ากกระเบนชนิ อ่ืนๆ มี อวัยวะสร้างประ ุไฟฟ้าอยู่ท่ี 2 ข้างระหว่างหัวกับครีบหู ผิวหนังเรียบ ล้าตัวอ่อนนิ่ม ไม่มีปุ่มกระ ูก ฟันมีลักษณะเป็นแถบหางส้ัน ไม่มีหนามแข็งที่ครีบหาง ตอนปลายเปน็ ครีบหางใหญ่ ตาเลก็ มีช่องรับ นา้ อยู่ ้านหลังของตา รอ่ งรอบปากลึก ปากยื ห ไ ม้ าก ะงอยปากกว้างมคี รีบหลัง 2 ตอน หรอื อา ไมม่ ี
Family Torpedinidae ปลากระเบนไฟฟา้ สว่ นหนา้ ของ านตั ตรงหรอื เวา้ เล็กน้อย ปากยื ห ไ ้มาก ไม่มีกระ กู อ่อนท่ขี อบปาก (ภาพท่ี 11.9) ภาพที่ 11.9 ตวั อย่างปลากระเบนไฟฟา้ ในอนั ับ Torpediniformes ท่มี า: http://animal-of-the-world.blogspot.com/2009/09/blog-post_01.html Class 4 Actinopterygii เกล็ เป็นแบบ ganoid, cycloid และ ctenoid และบางกลุ่มไม่มีเกล็ กระ ูกpectoral radial ต่อกับกระ ูก scapulocoracoid ยกเว้นในอัน ับ Polypteriformes ปกติมีกระ ูก interopercle และกระ ูก branchiostegal ray ปกติมี gular plate ไม่มีโพรง มูก ้านใน มูกอยู่ ในต้าแหน่งส่วนหัว ส่วนใหญ่เป็นปลาท่ียังมีชีวิตอยู่ในปั ุบัน เกล็ เป็นแบบ ganoid, cycloid และ ctenoid หรือบางชนิ ไมม่ ีเกล็ แต่ ะมตี ่อมเมือก ้านวนมากเพ่ือใชใ้ นการหล่อล่ืน ไ ้แก่ ปลากระ ูก แข็งทั้งหม แบ่งเป็น 2 Subclass คือ Subclass Sacopterygii และ Subclass Actinopterygii (Nelson และคณะ, 2016) Subclass Sacopterygii (lobefin fish) พบ2 อัน ับท่ียังคงมีชีวิตในโลกนี้ เป็นกลุ่มปลาท่ีมีครีบ คู่ซึง่ มีเกล็ ปกคลมุ อยู่ กระ ูกกา้ นครบี มี radial มี gular plate ขนา ใหญ่เป็นคู่ เปน็ ปลาทม่ี ชี ีวติ หลง เหลอื อยู่ ากยุค ึก า้ บรรพ์ เกล็ เปน็ แบบ cosmoid ซ่งึ เป็นเกล็ ของกลมุ่ ปลาโบราณ และในอนั ับ ทย่ี งั มีชีวติ อย่ถู ึงปั ุบนั น้ีคืออัน บั ของปลาซลี าแคนธ์และอนั บั ของปลาปอ Infraclass Actinistia ปลาซีลาแคนธ์ Order Coelacanthiformes มีกลุ่มประชากรหลงเหลืออยู่ในโลกน้ีเพียง 2 ชนิ ท้ังหม อาศัย อยู่ในทะเล Family Latimeriidae พบ 2 ชนิ ไ ้แก่ ปลาซีลาแคนธ์ Latimeria chalumnae เป็นปลา โบราณที่ยังคงมีชีวิตอยู่ นถึงปั ุบัน ท่ีมีครีบเป็นเหมือนแขนหรือขาของสัตว์เล้ือยคลาน มีเกล็ ที่ หนา ครีบหลังมีสองตอน ชนิ แรกท่ียังมีชีวิตอยู่ ไ ้ถูกค้นพบในมหาสมุทรอินเ ีย ใกล้กับเกาะโคไม รอส เป็นการค้นพบครั้งแรกในปี 2481 เป็นปลาที่อาศัยอยู่ที่ระ ับความลึก 150-400 เมตร โ ย
ชาวประมงท้องถน่ิ เป็นผู้ บั ไ ้ สว่ นปลาซีลาแคนอ์ นิ โ นีเซีย Latimaria meladoensis เปน็ ชนิ ทีเ่ พิ่ง คน้ พบเมือ่ ปี 2542 ทผ่ี ่านมา ปลากลมุ่ นเ้ี ปน็ ปลาชนิ ท่ีมไี ข่ขนา ใหญท่ ส่ี ุ ในโลก (ภาพที่ 11.10) ภาพท่ี 11.10 ปลาซลี าแคนธ์ ทีม่ า: http://oknation.nationtv.tv/blog/dreamline/2008/02/14/entry-1 Division Teleosteomorpha กลุ่มนี้มีความส้าคัญมากต่อมนุษย์ แบ่งออกเป็นอัน ับต่างๆ เป็น ้านวนมากซึ่งมีอยู่ ้านวน มากมายหลายชนิ พันธุ์ เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุ ในบรร าปลากระ ูกแข็งท้ังหม มีความส้าคัญทาง เศรษฐกิ สิ่งแว ลอ้ มและการศกึ ษาเปน็ แหล่งอาหารโปรตีนของมนษุ ย์ Cohort Elopomorpha เป็นกลุ่มปลาที่มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างในระหว่างท่ีมีการเ ริญเติบโต ตวั อ่อนมีลกั ษณะเหมือนใบไมล้ อยน้าไ ้ Order Elopiformes ท้องอยู่ในต้าแหน่งท้อง ไม่มีก้านครีบแข็ง มีครีบหลังเพียงอันเ ียว มีเส้น ข้างตัว ล้าตัวยาวเรียวแบนข้างเล็กน้อย ช่องเปิ เหงือกกว้าง ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม เกล็ แบบ cycloid มีกระ ูก mesocoracoud และกระ ูก postcleithrum ที่คางมีแผ่นกระ ูกยาวรีเรียกว่า gular plate 1 อัน อยู่ตรงกลาง มี ้านวนกระ ูกค้า ุนแกนเหงือก 23-35 ช้ิน ขอบปากเป็นกระ ูก premaxilla และมีฟันที่กระ ูก maxilla ปากกว้างขอบปากยาว ถึงตา ตัว อ่อนเรียกว่า Leptocephalous ขนา เล็กเข้ามาเ ริญเติบโตในบริเวณปากแม่น้าท่ีติ ต่อกับทะเล สามารถอาศัย อยู่ที่บริเวณน้ากร่อยไ ้ มี ้านวนมั กล้ามเน้ือ 53-86 ปล้อง ล้าตัวมีสีเงิน ครีบไม่มีสี (Talwar และ Jhingran,1991) (ภาพท่ี 10.11) Family Elopidae เชน่ ปลาตาเหลือกยาว Giant herring Family Megalopidae (Tarpons ปลาตาเหลอื กสนั้ ) เช่น Megalops cyprinides
ภาพที่ 11.11 ปลาตาเหลอื ก ทม่ี า: https://th.wikipedia.org/wiki/ Oosteglossocephala Cohort Osteoglossomorpha Order Osteoglossiformes ปลาตะพั ปลาสลา ปลากราย ปลาตองลาย ลา้ ตวั แบนข้างมาก ไมม่ เี กล็ บนหัว เกล็ เปน็ แบบ cycloid เกล็ บนลา้ ตัวมขี นา ใหญ่ กระ กู premaxilla และกระ ูก maxilla เปน็ ขอบปาก มฟี ันในปาก ขนา และตา้ แหน่งของฟนั ขน้ึ อยู่กบั ชนิ ครบี หลังและครบี กน้ อยู่ คอ่ นไปทาง ้านทา้ ยของล้าตัวใกล้กบั คอ หาง ล้าไส้อยู่ทาง ้านซา้ ยของหลอ คอและกระเพาะอาหาร ซง่ึ ในปลากระ กู แข็งชนิ อ่นื อยู่ในตา้ แหน่งทาง ้านขวา ยกเว้นในกลุ่มปลาตะเพียน มีไส้ตง่ิ 1-2 อนั มฟี ันบนลน้ิ และบนกระ ูก parasphenoid ส่วนของกระเพาะลมไม่ย่ืนเขา้ ไปในสมอง มีก้านครีบท้อง 6 ก้าน (Talwar และ Jhingran,1991 และ Nelson และคณะ, 2016) Family Osteoglossidae พบในประเทศไทยเพยี งชนิ เ ียวเทา่ นนั้ คือ ปลาตะพั Scleropges formosus ั เปน็ ปลาท่ีใกล้สญู พันธุ์ ปลามงั กรทีม่ ีสสี นั แตกต่างกนั เช่น ปลามังกรทอง หรอื ปลามังกรแ ง (ภาพท่ี 11.12) ภาพที่ 11.12 ปลาตะพั Scleropges formosus ที่มา: https://www.thaidrawing.com/20535.html Family Notpteridae ปลากราย ปลาสลา มีแผน่ gular plate เ รญิ ี มี branchiostegal ray า้ นวน 12-15 อัน มฟี นั ทีก่ ระ ูก maxilla ขากรรไกรบนยาวเลยตา ขากรรไกรลา่ งยาวกว่า
ขากรรไกรบน พบในประเทศไทย 4 ชนิ ปลากราย Chitala ornata ปลาสะตอื Chitala lopis ปลา ตองลาย Chitala blanci และ ปลาสลา Notopterus notopterus (ภาพที่ 11.13) ก.ปลากราย ข. ปลาสลา ภาพท่ี 11.13 ตัวอยา่ งปลาใน Family Notpteridae ท่มี า: ก. http://nongtoob1.blogspot.com/2012/05/blog-post_03.html ข. ถา่ ยภาพโ ยนสุ ราสินี (2561) Order Siluriformes (catfish) ไม่มีเกล็ สว่ นใหญม่ หี นว โ ยเฉพาะท่ี maxillary ยาว บางชนิ มี ครีบหลงั ยาว บางชนิ มีครบี หลงั สนั้ ตงั้ อยบู่ นกระ ูก maxilla ท่ีล ขนา ลง ไม่มีกระ ูก subopercular bone มีหรอื ไมม่ ี adipose fin อาศยั อยู่ทั้งในนา้ ื ทะเล ส่วนใหญ่เปน็ ปลากนิ เนื้อ Family Aridae (sea catfish ปลาก ทะเล ปลาริวกิว) ลา้ ตวั คอ่ นข้างใหญ่ หรอื ปานกลาง แบน ขา้ ง ส่วนหัวใหญ่ อา มฟี ันท่กี ระ กู premaxilla กระ ูก mandibular กระ ูก vomer และกระ ูก palatine มูกคูห่ น้าและคหู่ ลงั ติ ตอ่ กนั ชอ่ งหลงั มีแผน่ หนงั กน้ั แต่ไมม่ ลี ักษณะเหมือนหนว มีหนว 2- 6 เสน้ ปกตมิ หี นว 3 คู่ ไมม่ ีหนว ท่ี มูก ช่องเปิ เหงือกกว้างถึงฐานครีบหู กระ ูกค้า นุ กระพ้งุ แก้ม 5-6 ก้าน มี bony plate บนหวั และใกลก้ ับ ุ เรม่ิ ต้นของครบี หลงั ครบี หูและครีบหลงั มเี งยี่ ง ขนา ใหญ่ ครีบหางเว้าลกึ แบบสอ้ ม มีครบี ไขมนั เสน้ ขา้ งตัวสมบูรณ์ กระเพาะลมมขี นา ใหญ่ และ หนาอยู่ในต้าแหน่งชอ่ งท้อง ไม่ถูกคลมุ ไว้ ้วยกล่องกระ ูก อาศยั อย่ใู นทะเลมีหลายชนิ เข้ามาหากิน ในน้า ื ตัวผู้ฟักไขใ่ นปาก ไข่มขี นา ใหญ่ เช่น ปลารวิ กิว Arius thalassinus ปลาอกุ Cephalocassis borneensis (ภาพที่ 11.14) ก. ปลารวิ กวิ ข.ปลาก ข้ีลงิ ภาพที่ 11.14 ปลาก ทะเล ทีม่ า: ก. http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4708.15 ข. ถ่ายภาพโ ยนุสราสนิ ี (2561)
Family Clariidae (Walking catfish) ปลา ุก ล้าตัวยาว หัวแบนลง ครีบหลังยาวไม่มีก้านครีบ แข็ง ปากอยู่ในแนวขวางต้าแหน่งตรง ขากรรไกรบนยาวกว่าขากรรไกรล่างเล็กน้อย แผ่นหนังคลุม กระพงุ้ แกม้ ไม่เชื่อมต่อกับคอคอ บางชนิ ไมม่ คี รบี หูและครีบทอ้ ง ครบี หางกลม ช่องเปิ เหงอื กกว้าง มีหนว 4 คู่ ที่บรเิ วณ มูก 1 คู่ ท่ีกระ ูกขากรรไกรบน 1 คู่ ท่ขี ากรรไกรลา่ ง 1 คู่ และท่ีใตค้ าง 1 คู่ มี dendrite เป็นอวัยวะช่วยหายใ ท่ีพัฒนามา ากกระ ูกแกนเหงือก (epibranchial คู่ท่ี 2, 3 และ 4 ครีบหลัง ครีบหางและครีบก้นอา เชื่อมติ ต่อกัน ไม่มคี รีบไขมัน ครบี หูมีก้านครบี แขง็ ที่มหี ยักท้ัง ้าน นอกและ ้านใน 1 ก้าน และมีต่อมพิษ ครีบก้นไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหางกลม เช่น ปลา ุก ้าน Clarias batrachus ปลา ุกภูเขา Clarias cataratus ปลา กุ อุย Clarias macrocephalus ปลา กุ นา Clarias gariepinus ปลา กุ ลา้ พัน Clarias nieuhofi (ภาพท่ี 10.15) ก. ปลา กุ ทะเล ข. ปลา ุก ้าน ค. ปลา ุกอุย ภาพท่ี 11.15 ตัวอยา่ งปลาใน Family Clariidae ทม่ี า: ก. ถ่ายภาพโ ยนสุ ราสินี (2561) ข.-ค. web.facebook.com/INMUCAL/photos Super Order Acanthopterygii Order Gobiformes ปลาบู่ ล้าตัวค่อนข้างยาวไป นถึงยาวมาก แบนข้างหรือกลม ส่วนมากมีรูเปิ และ mucous canal บนส่วนหัวเกล็ แบบ cycloid, ctenoid หรือไม่มีเกล็ ไม่มีเส้นข้างตัว ปาก เลก็ ขนา ปานกลางถึงขนา ใหญ่ มีprotractile premaxilla สว่ นแผ่นหนงั คลมุ กระพุ้งแก้ม
(gill membrane) ติ กับคอ คอ (isthmus) ครีบหลังอา มีหรือไม่มีก้านครีบแข็งถ้ามี ะมีลักษณะ ออ่ น ครีบก้นอา มีหรือไม่มีกา้ นครีบแข็ง ถ้ามี ะมีลักษณะอ่อนเพียงอันเ ียว ครีบท้องอยู่ในต้าแหน่ง อก (thoracic) หรืออยู่ในต้าแหน่งใกล้คอ (subjugular) และอา ะเชื่อมติ กันในบางวงศ์ ชนิ ที่ นา้ มาท้าเป็นอาหารไ แ้ ก่ ปลาบ่ทู ราย Family Eleotridae บู่เกล็ แข็ง บู่เอื้อย บู่ทราย ล้าตัวค่อนข้างยาว แบนข้างเล็กน้อย หรือกลม ส่วนหัวมีท่อรับความรู้สึก และรูเปิ แผ่นหนังปิ กระพุ้งแก้มเชื่อมติ กับคอคอ กระ ูก parapophyes ของกระ ูกสันหลงั ข้อท่ีสามมีขนา ใหญ่ ครีบท้องแยก ากกนั เป็นสองครีบแตอ่ ยใู่ กล้ กัน มคี รีบหลงั สองครีบแยกกันหรือติ กันโ ยเย่ือท่ีฐานครบี เท่านน้ั ครีบกน้ ยาวไมเ่ ชื่อมติ กับครบี หาง เกล็ แบบ ctenoid, cycloid หรอื ไม่มีเกล็ ไม่มเี สน้ ขา้ งตวั เช่น Oxyleotris marmorata ปลาบทู่ ราย (ภาพที่ 11.16) ปลาบูท่ ราย (Oxyleotris marmorata) ภาพท่ี 11.16 ตัวอยา่ งปลาใน Family Eleotridae ทม่ี า : ถา่ ยภาพโ ยนสุ ราสนิ ี (2561) Order Mugilliformes ล้าตัวยาวครบี ท้องอยู่ในต้าแหน่งท้อง หรืออย่ใู นต้าแหนง่ sub abdominal และกระ ูกครบี ท้องติ ตอ่ กับกระ กู cleithrum หรอื กระ ูก postcleithrum ซึง่ เปน็ ลกั ษณะท่ีแตกต่าง ากปลาในอนั บั Perciformes ส่วนใหญอ่ าศัยบริเวณน้าตน้ื ใกล้ชายฝง่ั และเขา้ มาในน้ากร่อยในปลาบางชนิ กินแพลงก์ตอน สาหรา่ ย ลูกหอย สัตว์ไมม่ ีกระ ูกสนั หลงั หรือปลา ขนา เลก็ เปน็ อาหาร Family Mugillidae (Mullets ปลากระบอก) ไมม่ เี สน้ ขา้ งตัว หวั แบนลง ปากอยูใ่ นตา้ แหน่งตรง มีกระเพาะหนาเป็นพิเศษเพ่ือชว่ ยในการหายใ หากนิ บรเิ วณใกล้กบั ชายฝัง่ บางคร้งั พบเข้ามาในนา้ กรอ่ ย เชน่ ปลากระบอกทอ่ นใต้ Lisa subviridis และกระบอกเทา Mugil cephalus เปน็ ต้น (ภาพท่ี 11.17)
ปลากระบอกเทา Mugil cephalus ภาพที่ 11.17 ตวั อยา่ งปลาใน Family Eleotridae ทม่ี า : ถ่ายภาพโ ยนุสราสินี (2561) Order Crangiformes เป็นปลาทะเลทม่ี ีทอ่ ท่ลี ้อมรอบกระ กู nasal ้านวน 1-2 ทอ่ เกล็ แบบ cycloid ขนา เล็ก Family Carangidae (Jacks หรอื Trevallies ปลาสีกนุ ปลาหางแข็ง) ล้าตัวส้ันหรือค่อนข้างส้ัน แบนข้าง คอ หางเรียว มีเกล็ ขนา เลก็ แบบ cycloid เส้นขา้ งตัวสมบูรณ์ สว่ นหน้าโค้งงอ ส่วนใหญ่ มีซี่กรอง เหงือกยาวเรียว ครีบหลังสองครีบแยก ากกัน ครีบหลังอันแรกมีก้านครีบเ ่ียวเรียวไม่ แข็งแรง หรือมีก้านครีบเ ่ียวสั้น มี procumbent predorsal spine เป็นส่วนมากบริเวณหน้าครีบ ก้นมีก้านครีบเ ี่ยว 2 ก้านแยกออกมาเรียกว่า two detached anal spine ครีบท้องอยู่ในต้าแหน่ง อก ครีบหูยาวเรียวโค้งรูปเคียว (falcate) ครีบหางเว้าลึกแบบส้อมเป็นกลุ่มปลาที่มีความส้าคัญทาง เศรษฐกิ มาก เช่น ปลาทแู ขก (Decapterus kurroides) ปลาแขง้ ไก่ (Megalaspis cordyla) ปลาสกี ุน (Caranoides spp.) ปลา ะละเม็ ้า (Parastromateus niger) (ภาพที่ 11.18)
ก. ปลาแขง้ ไก่ ข. ปลาสีกนุ ค. ปลา าระเม็ ้า ภาพที่ 11.18 ตัวอยา่ งปลาใน Family Carangidae ทม่ี า: ถา่ ยภาพโ ยนสุ ราสนิ ี (2561) Order Istiophoriform มี ะงอยปากย่ืนยาว รูปทรงเปน็ แบบกระสวย Family Sphyraenidae (Barracudas ปลาสาก ปลาน้า อกไม้ ล้าตัวยาวมาก เป็นรูปทรงกระบอก หวั มีขนา ใหญ่ ตามขี นา ใหญอ่ ย่ทู าง ้านขา้ ง ะงอยปากแหลม ปากกว้างอยู่ในตา้ แหนง่ ตรง มมุ ปาก ยาวเลยขอบหลังของตา ฟันเป็นเข้ียวขนา ใหญ่ท้ังขากรรไกรบนและขากรรล่าง ท่ีกระ ูก palatine ไม่มีฟันบนกระ ูก vomer ครีบหลังมีสองตอนแยกห่าง ากกันมาก ครีบท้องอยู่ในต้าแหน่งท้องอยู่ ตรงข้ามกับครีบหลังตอนแรก ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม เกล็ ขนา เล็กแบบ cycloid เส้นข้างตัวม สมบูรณ์ มีไส้ต่ิงหลายอัน มีฟันท่ีแหลมคม เป็นปลาล่าเนื้อ บางคร้ังอยู่รวมกันเป็นฝูง เช่น ปลา น้า อกไม้ (Sphyraera obtusata) (ภาพท่ี 11.19) ปลาน้า อกไม้ (Sphyraera obtusata) ภาพท่ี 11.19 ตัวอยา่ งปลาใน Family Sphyraenidae ทม่ี า: ถ่ายภาพโ ยนุสราสนิ ี (2561)
Family Anabantidae Climbing perch ปลาหมอ ลา้ ตวั ค่อนข้างยาว แบนข้าง ส่วนหวั ปกคลุม ้วยเกล็ แบบ ctenoid มีฟันบนขากรรไกร กระ ูก vomer และกระ ูก parasphenoid ฟันมี ลักษณะเป็นรูปกรวยมี ้านวน 2 แถว มีอวัยวะช่วยหายใ เรียกว่า Labyrinth organ ซ่ีกรองเหงือก แข็งแรง และคม ขอบหลังของกระ ูก opercle และขอบทาง ้านลา่ งของกระ กู interopercle เป็น หยักปากค่อนขา้ งใหญ่ เฉียงลง มุมปาก ร ขอบตา ้านหน้าฐานของครบี หลังยาวกวา่ ฐานของครีบก้น (ฐานของครีบกน้ ยาวกว่าฐานของครบี หลังในวงศ์ Osphronemidae) กา้ นครีบเ ี่ยวของครีบท้องไม่มี เส้นยื่นออกมา (ก้านครีบเ ยี่ วของครีบท้องมเี ส้นยืน่ ออกมาในวงศ์ Osphronemidae) ครีบทอ้ งอยใู่ น ต้าแหนง่ อกอยู่ใตค้ รีบหู พบชนิ เ ยี วคอื ปลาหมอ (Anabas testudineus) (ภาพท่ี 11.20) ปลาหมอ (Anabas testidineus) ภาพที่ 11.20 ตัวอยา่ งปลา Family Anabantidae ทมี่ า: ถา่ ยภาพโ ยนุสราสินี (2561) Family Osphronemidae ลา้ ตวั เป็นรูปไขแ่ บนข้าง เสน้ ขา้ งตัวสมบูรณ์ ปากเลก็ ยื ห ไ ้ มมุ ปากยาวไม่ถงึ ขอบหนา้ ของตา ุ เร่ิมต้นของครบี หลงั อยู่หลัง ฐานของครีบหู ครีบหลังสั้นกว่าครีบก้น ก้านครีบอ่อนอันแรกของครีบท้องย่ืนยาวออกไปเป็น filament และครีบท้องมีก้านครีบแข็งเ ริญ ี พบหลายชนิ มีขนา เล็ก เช่น ปลากั (Betta spp.) พบหลายชนิ ในประเทศไทย ปลากริม (Trochopsis spp.) เป็นปลาขนา ปานกลาง เช่น ปลาสลิ (Trichogaster pectoralis) ส่วนปลาที่มีขนา ใหญ่ที่สุ ในกลุม่ ครีบหลังและครีบก้นของเพศผู้แหลม เพศผมู้ หี วั โหนกใหญเ่ ม่อื ถงึ วยั เ รญิ พันธ์ุ ไ ้แก่ ปลาแร (Osphronemus goramy) (ภาพท่ี 11.21)
ก.ปลาสลิ ข.ปลาแร ค.ปลากั ภาพที่ 11.21 ตวั อย่างปลา Family Osphronemidae ทีม่ า: ก. ถ่ายภาพโ ยนุสราสินี (2561) ข.-ค. https://www.google.com/search?tbm Order Scombriformes ปลา าบเงิน ปลาทู ปลาอินทรี มีล้าตัวยาวหรือยาวมาก แบนข้างมาก ครีบหลังและครีบก้นยาว อา มีหรือไม่มีครีบท้อง ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม หรือครีบหางขนา เล็ก หรอื ไม่มคี รบี หางเลย ไมม่ เี กล็ ถ้ามีเกล็ ะมเี ฉพาะทีบ่ รเิ วณหลังตาเทา่ นั้น มฟี ันเขยี้ ว อา มีหรือไม่มี ครีบฝอย (finlet) ทส่ี ว่ นทา้ ยของครีบหลังและครีบกน้ ลา้ ตัวค่อนข้างยาว หรอื ยาวมากแบนข้าง อา มี หรือไม่มีเกล็ ถ้ามีก็เป็นแบบ cycloid อา มีหรือไม่มีครีบทอ้ ง ะงอยปากอา เป็นแบบธรรม าหรือ ยาวเป็นรูปหอกหรือแหลม ครีบหางเ ริญ ี เว้าลึก คอ หางเรียว และส่วนของ ะงอยปากยื่นยาว ออกไปเป็นรปู หอก ะมีครีบหลังและครีบกน้ อย่างละสองครบี Family Scombridae ปลาทู ปลาลัง ปลาอินทรี ปลาโอ ปลาทูน่า ล้าตัวแบบรูปกระสวย แบน ข้างเล็กน้อย เกล็ บางมีขนา เล็กแบบ cycloid ตามีวุ้นในคลุม (adipose eyelid) ปกคลุม มี infraorbitat ปากกวา้ ง มฟี นั ขนา เลก็ บนขากรรไกร มฟี ันบน vomer แต่อา มีหรือไมม่ ีบน palatine มีครีบฝอยที่ส่วนหลังของครีบหลงั และครีบก้น ซีก่ รองเหงือกมีขนา เลก็ ยาว และมี า้ นวนมาก คอ หางเรียว ไม่มีสันที่คอ หาง ครีบหางเว้าลึก เกล็ มีขนา เล็กหรือบางชนิ ไม่มีเกล็ บนบางส่วนของ รา่ งกาย บางชนิ ชอบอยูร่ ่วมกันเป็นฝงู ใหญ่ วา่ ยน้าเร็ว เชน่ ปลาทู (Rastrelliger brachysoma ) ปลาลัง (Rastrelliger neclectus) ปลาทนู า่ ครบี เหลอื ง (Thunnus albacares) ปลาทนู า่ ตาโต (Thunnus obesus) (ภาพท่ี 11.22)
ก.ปลาทู ข. ปลาโอลาย ก. ปลาทู ค. ปลาลัง ภาพท่ี 11.22 ตวั อย่างปลา Family Scombridae ทมี่ า: ก.-ข. ถ่ายภาพโ ยนสุ ราสินี (2561) ค. https://web.facebook.com/TheFishermanchumphon/photos Order Perciformes (Perches, Groupers หรือ Basses ปลากะพง ปลาเก๋า) ครีบหลังท้ังสอง ตอน ครีบท้ังสองนอ้ี า ะติ กันหรือแยกออก ากกนั ไ ้ ครบี หลงั ตอนแรกเป็นก้านครีบแข็ง ส่วนครีบ หลังตอนที่สองเป็นครีบอ่อนท่ีแตกปลาย ครีบต้าแหน่ง thoracic และ Jugular ฐานครีบหูอยู่สูง กระเพาะลมเป็นแบบ physoclistous ไมม่ กี า้ งในเนื้อ สว่ นใหญ่เกล็ บนล้าตัวเป็นแบบ ctenoid ปาก อา ะยื ห ไ ้ และแก้มมีรูและร่องรับความรู้สึก ้านวนมาก กระ ูก preopercle มีนา ใหญ่ หรือ ขอบมีหยัก มรี ู มูก 2 คู่ สว่ นใหญอ่ าศัยอยใู่ นทะเล Family Centropomidae ลา้ ตวั ยาว แบนข้าง กระ ูก preopercle มหี นามแหลม ขอบทาง ้าน ท้ายของกระ ูก preopercle มีหยัก หรือมีสันอยู่สองสัน มีฟันท่ีขากรรไกร และกระ ูก palatine ครีบหลังมีสองตอนแยก ากกัน ที่ฐานของครีบหลัง และครีบก้นมีเกล็ ขนา เล็กกว่าบนล้าตัว เกล็ แบบ ctenoid ปากขนา ปานกลางถงึ ขนา ใหญย่ ื ห ไ ้อาศัยอยู่ในน้าทะเล นา้ กรอ่ ย และสามารถ อยไู่ ้ในน้า ื พบชนิ เ ียวคอื ปลากะพงขาว Lates calcarifer (ภาพที่ 11.23)
ปลากะพงขาว Lates calcarifer ภาพที่ 11.23 ตวั อย่างปลา Family Centropomidae ทม่ี า: ถ่ายภาพโ ยนสุ ราสนิ ี (2561) Family Toxotidae (Acher fishes หรือ Shooting fishes ปลาเสือพ่นน้า) ล้าตัวส้ันแบบ oblong แบนข้าง มเี กล็ ctenoid ขนา กลางหรอื ขนา เลก็ มีเกล็ บนหวั ครบี หลงั ครีบกน้ และครีบ หาง ตาโต ะงอยปากแหลม ปากกว้างแบบ terminal , oblique ยื ห ไ ้เล็กน้อย ไม่มีกระ ูก supplemental ครีบหลังอยู่ทางส่วนท้ายของล้าตัว และมีก้านครีบแข็ง 4-5 ก้าน ครีบหางตั ตรง หรือเว้าเล็กน้อย มีความสามารถพิเศษในการพ่นน้าใส่แมลงที่เกาะอยู่บนใบไม้ เพ่ือให้หล่นลงมาเป็น อาหาร เป็นทมี่ าของชอ่ื ปลาเสือพ่นน้า เช่น ปลาเสอื พ่นนา้ (Toxotes charareus) (ภาพที่ 11.24) ปลาเสอื พน่ น้า (Toxotes charareus) ภาพท่ี 11.24 ตวั อย่างปลา Family Toxotidae ทมี่ า: ถา่ ยภาพโ ยนสุ ราสนิ ี (2561)
Family Serranidae (Grouper ปลาเก๋า ปลากะรัง) ล้าตัวค่อนข้างยาว แบนข้าง มีเกล็ ขนา เล็กแบบ ctenoid scale หรือแบบ cycloid ปากกว้างมีฟันเล็กบนขากรรไกร palatine teeth มี เขี้ยวอยู่ข้างหน้า อา มีหรือไม่มี supplementary bone กระ ูก preoperculum อา มีขอบเป็น หยักหรืออา มีขอบเรียบก็ไ ้ ต้าแหน่งของครีบท้องอา อยู่ใต้ อยู่หน้า หรืออยู่หลังครีบหูก็ไ ้ เช่น ปลากะรงั หน้างอน (Cromileptes altvelis) ปลากะรัง ุ ฟ้า (Plectropoma leopardus) ปลากะรงั อกแ ง (Epinephelus coioides) และปลาเก๋าปากแมน่ า้ (Epinephelus tauvina) (ภาพท่ี 11.25) ปลากะรงั อกแ ง (Epinephelus coioides) ภาพท่ี 11.25 ตวั อย่างปลา Family Serranidae ทม่ี า: ถา่ ยภาพโ ยนสุ ราสินี (2561) Family Leiognathidae (pony fish ปลาแป้น) ล้าตัวค่อนข้างยาว แบนข้าง มีเกล็ แบบ cycloid ไม่มีเกล็ บนหัว และเกล็ ท่ีบริเวณอกบางเป็นพิเศษหรือไม่มีเกล็ มีสันบนหัว มี nuchal crest ที่พฒั นามา ากกระ ูก supraoccipital ขากรรไกรล่างตั ตรง หรอื เวา้ เข้าเล็กน้อย ปากมีขนา เล็กยื ห ไ ้มากโ ยที่กระ ูก prefmaxilla ทอ ยาวอยู่ในร่อง สามารถยื ออกแล้วตรงไป ้านหน้า หรือช้ีขึ้น หรือชี้ลง ้านล่าง ขณะยื ะ ูคล้ายเป็นท่อ ขอบของกระ ูก preopercle เป็นหยัก ไม่มี เหงือกเทียม ที่ฐานของครีบท้องมีเกล็ ขนา ใหญ่เป็นพิเศษ (auxiliary scale) ครีบหางเว้าแบบส้อม อาศัยอยใู่ นทะเล แตบ่ างครง้ั อา พบเขา้ มาในน้ากรอ่ ย เชน่ ปลาแปน้ ยักษ์ (Leiognathus equulus) (ภาพท่ี 11.26)
ปลาแปน้ ภาพที่ 11.26 ตวั อย่างปลา Family Leiognathidae ทม่ี า: ถ่ายภาพโ ยนุสราสนิ ี (2561) Family Haemulidae (Sweet lip fish) ปลาสร้อยนกเขาทะเล ปลาครื ครา ล้าตัวค่อนข้าง ยาวแบนข้าง มีเกล็ แบบ ctenoid ขนา ส่วนหัวและ preobital มีเกล็ ปากค่อนข้างเล็ก แบบ terminal เฉียงริมฝีปากหนา ไม่มี subocularshelf กระ ูก preopercle เป็นหยัก ครีบหลังติ กัน เป็นครีบเ ียว ก้านครีบแข็งของครีบหลังและครีบก้นใหญ่และแข็งแรง ก้านครีบแข็งก้านที่สองของ ครีบก้นยาวท่ีสุ ครีบหางกลม ตั ตรงหรือเว้าเล็กน้อย (Macky, 2001) อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่ง หรือ แนวปะการงั เชน่ ปลาครื ครา (Pomadasys macula) ปลาสรอ้ ยนกเขาทะเล (Plectorhynchus pictus) และปลาสร้อยนกเขาปากหมู (Plectorhynchus gibbosus) (ภาพท่ี 11.27) ปลาสรอ้ ยนกเขาทะเล ภาพท่ี 11.27 ตวั อย่างปลา Family Haemulidae ทมี่ า: ถ่ายภาพโ ยนสุ ราสนิ ี (2561)
Family Lutianidae (Snapers ปลากะพงแ ง) ลา้ ตัวคอ่ นข้างยาว หรือยาวมากแบบ elongate แบนข้าง มีเกล็ แบบ ctenoid ปากแบบ terminal ค่อนข้างกว้าง ฟันบนขากรรไกรมีหลายแถวๆ ้านนอกเป็นฟันเขี้ยวมีขนา ใหญ่กว่าแถวอ่ืนๆ อา มีหรือไม่มีฟันเขี้ยว มีฟันขนา เล็กบนกระ ูก palatine และกระ ูก vomer ไม่มีกระ ูก supramaxilla มีกระ ูก subopercular shelf เ ริญ ี ส่วนมากมีฟันบนกระ ูก vomer และกระ ูก palatine ครีบท้องมี ุ เร่ิมต้นอยู่หลังฐานครีบหู ครีบ หางตั ตรงหรือเว้าลึกแบบส้อม (Allen,1985 Nelson,1994,2006; ธวัชชัย และคณะ, 2539 และ Anderson และ Allen, 2001) เป็นปลาเศรษฐกิ ที่มีความส้าคัญ เช่น ปลากะพงแ งหน้าตั้ง (Lutianus sebae) ปลากะพงแ ง (Lutianus argentimaculata) และปลากะพงขา้ งปาน (Lutianus russeli) (ภาพที่ 11.28) ก. ปลากะพงแ งหน้าตงั้ ข. ปลากะพงแ ง ค. ปลากะพงขา้ งปาน ภาพท่ี 11.28 ตัวอยา่ งปลา Family Lutianidae ทม่ี า: ก. http://www.siamfishing.com/m/board/ ข. http://indiareeffishes.myspecies.info/file-colorboxed/40 ค. ถ่ายภาพโ ยนุสราสนิ ี (2561)
Family Siganidae Spine foots หรือ Rabbit fishes แบนข้างมีเกล็ ขนา เล็ก บางแบบ cycloid ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง เส้นข้างตัวสมบูรณ์ ไม่มีกระ ูก suborbital shelf ปากขนา เล็กแบบ terminal ยื ห ไม่ไ ้ มีฟันรูปร่างคล้ายฟันตั แบนข้างเรียว และมีขนา เล็กบนขากรรไกรแบบ setiform ไม่มีฟันบนกระ ูก palatine และบนลิ้น ครีบท้องมีก้านครีบแข็ง 2 ก้าน โ ยอยู่ ้านนอก ของครีบ 1 ก้าน ้านในอีก 1 ก้าน อันที่อยู่ ้านในมีเย่ือติ กับส่วนท้อง ครีบหางตั ตรง เว้าเล็กน้อย หรือเว้าลึก อาศัยอยู่ในแนวปะการัง กองหินใต้น้า ปากแม่น้า ที่ตื้นชายฝ่ัง ชอบอยู่กันเป็นฝูง กิน สาหร่ายและกินพืชน้าเป็นอาหาร เช่น ปลาสลิ หิน ุ ขาว (Siganus aramin) และปลาสลิ หินแขก (Siganus javus) เป็นตน้ (ภาพท่ี 11.29) ปลาสลิ หินแขก (Siganus javus) ภาพที่ 11.29 ตวั อยา่ งปลา Family Siganidae ทม่ี า: ถ่ายภาพโ ยนุสราสินี (2561) Order Acanthuriformes Croaker, Moorish idols, Unicom fishes,Surgeon fishes ปลา ว ปลาขี้ตัง ปลาผีเสอื้ เทวรูป ล้าตวั ส้ัน แบนข้างมาก หรือค่อนข้างยาว ส่วนหัวสนั้ ะงอยปาก ยาวมีลักษณะเป็นท่อส้นั ๆ ปากเล็ก แบบ terminal มขี ากรรไกรยนื่ ยาว ยื ห ไม่ไ ้ Family Sciaenidae รปู ร่างล้าตวั สัน้ แบบ oblong หรอื elongate แบนข้างมเี กล็ แบบ cycloid ที่ติ แน่นกับล้าตัวหรือเป็น ciliated scales ส่วนหัวมีเกล็ ปกคลุม ปากกว้างยื ห ไ ้เล็กน้อย ฟัน แบบ viliform มีฟันเขี้ยวไม่มีฟันบน vomer palatine หรือบนลิ้น มีเหงือกเทียม ส่วนหัวมีท่อ ประสาทท่ีบริเวณ ะงอยปาก บางสกุลอา มีหนว ใต้คางครีบหลังมีสองตอนแยก ากกัน ้วยร่องลึก เส้นข้างตัวยาวถึงครีบหาง กระเพาะลมอา มีกิ่งแขนงออกมา หางกลมหรือเป็นรูปพลั่วสามารถท้า เสยี งไ ้ ากกระเพาะลม เช่น ปลา ว คอ่ ม (Nibea sodado) ปลา ุ เส้ยี น
(Sciaena dussumieri) และ ปลา ว เทียน (Otolithes ruber) เป็นต้น ส่วนในปลา ว เมี้ยน (Argyrosomus amoyensis) เป็นปลาที่นิยมน้ากระเพาะลมมาท้าเป็นกระเพาะปลา ท่ีมีรูปร่าง สวยงามตาม นิ ตนาการ และนา้ มาปรุงเป็นอาหารกระเพาะปลาที่มคี ุณภาพและราคาสงู (ภาพท่ี 11.30) ปลา ว ปลา ว ภาพท่ี 11.30 ตวั อย่างปลา Family Sciaenidae ทม่ี า: ถ่ายภาพโ ยนุสราสนิ ี (2561) Order Tetraodontiformes (Blowfishes หรือ Puffers หรือ Trigger fishes หรือ Filefishes ปลาปักเป้า ปลาวัว) กระ ูก premaxilla ยึ ติ กันแน่น ฟันเป็นแบบธรรม า หรือเชื่อมกันเป็นแผ่น คล้ายปากนก ไม่มีกระ ูกซี่โครง อา มีหรือไม่มีครีบท้อง ถ้ามี ะอยู่ในต้าแหน่ง thoracic และล ขนา ลงโ ยมีก้านครีบแข็งเพียง 1 ก้าน กับก้านครีบอ่อนที่แตกปลาย 1 ก้าน มีครีบหลัง 1 หรือ 2 ครีบ ถ้ามีสองครีบ ครีบตอนแรก ะเป็นก้านครีบแข็ง (spinous dorsal fin) ช่องเปิ เหงือกเป็นช่อง แคบๆ อยู่ตอนหน้าของครีบหู ผิวหนังเป็นกระ ูกปกคลุม ้วยเกล็ bony plate spine ขนา เล็ก (spinule) และบางส่วนอา ะไม่มีเกล็ หรือไม่มเี กล็ ทั้งตัวก็ไ ้ อา มีหรือไม่มีเส้นข้างตัว บางชนิ มี พิษกลุ่ม tetrodotoxin พิษมีผลต่อเลือ และอวัยวะภายในเป็นอันตรายถึงชีวิตไ ้ ไปควบคุมระบบ การหายใ หาก ะน้ามาปรุงเป็นอาหารต้องมีวิธีการปรุงที่ถูกต้อง ึง ะสามารถรับประทานไ ้ แต่ไม่ ควรนา้ มารบั ประทาน Family Diodontidae (Burr fishes หรือ Porcupine fishes ปลาปักเป้าฟันสองซี่ ปลาปักเป้า หนามทุเรียน) ล้าตัวรูปแบบ globiform มี spine แข็งแรงท่ีมีราก 2-3 ราก (two or three rooted spine) ขึ้นอยู่บนล้าตัวและส่วนหัว ะงอยปากสั้นทู่ ช่องเปิ เหงือกมีขนา เล็กอยู่ทาง ้านหน้าของ ฐานครีบหู ตามีขนา ใหญ่ อยู่ทาง ้านบนของส่วนหัว ปากกว้างมีฟันบนขากรรไกรเป็นเช่ือมติ กัน แบบ beak like แต่ไม่มีร่องแยกตรงกลาง (medoan suture ) รู มูกเป็นท่ออา อยู่ห่างกันหรืออยู่ ติ กัน เส้นข้างตัวไม่สมบูรณ์ ครีบหูมีขนา ใหญ่รูปร่างคล้ายพั ครีบหลังและครีบก้นอยู่ค่อนไป ทาง ้านทา้ ยของล้าตัว ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง (spinous dorsal fin) ไม่มีครีบท้อง ครบี หางกลม มน อาศัยอยู่ใกล้กับพ้ืนท้องน้า หรือบางคร้ังเข้ามาหากินบริเวณชายฝั่งกินหอยเปลือกแข็ง สัตว์ไม่มี กระ ูกสันหลงั เป็นอาหาร เชน่ ปลาปักเปา้ หนามทเุ รยี นหนามยาว (Diodon holacanthus) (ภาพที่ 11.31)
ปลาปกั เปา้ หนามทเุ รียนหนามยาว (Diodon holacanthus) ภาพท่ี 11.31 ตวั อยา่ งปลา Family Diodontidae ทมี่ า: https://th.wikipedia.org/wiki/% Family Tetrodotidae (Puffer fishes ปลาปักเป้าฟันส่ีซ่ี) ล้าตัวสั้นแบบ globiform หรือแบน ข้างเล็กน้อย เมื่อตั ขวาง ะกลม หัวมีขนา ใหญ่และส้ันกลม ผิวหนังมี spine ขนา เล็กปกคลุม เพียงบางส่วนของล้าตัว หรือบางครั้งมีการเปล่ียนแปลงไปเป็นแผ่นเกล็ หรืออา มีเฉพาะ ้านท้อง เท่าน้ัน ขากรรไกรมีฟันที่แข็งแรงเช่ือมติ กันแบบปากนก (beak-like) โ ยมีช่องแยกระหว่างกลาง แบ่งออกเป็น 4 ซ่ี ( ้านบน 2 ซี่ และ ้านล่าง 4 ซี่) ช่องเปิ เหงือกมีขนา เล็กอยู่ ้านหน้าของครีบหู ครีบหลังไม่มีก้านครีบแข็ง ไม่มีครีบท้อง ครีบหางเป็นแบบตั ตรง มน หรือเว้าเล็กน้อย ปลากลุ่มนี้ไม่ นิยมน้ามาปรุงเป็นอาหาร เนื่อง ากเป็นกลุ่มท่ีมีพิษรุนแรง ยกเว้นในประเทศญ่ีปุ่นท่ีมีการน้าไปท้า sushi อวัยวะภายในและหนังเป็นส่วนที่มีพษิ อยมู่ ากที่สุ ปลากลุม่ นี้อาศัยอยู่บริเวณชายฝ่ัง บางชนิ สามารถสูบน้าเขา้ ไปเพือ่ ชว่ ยในการพองตวั เช่น ปลาปักเป้าหลงั เรียบ (Lagocephalus inermis) ปลาปักเป้าหลังเขียว (Lagocephalus lunaris) ปลาปักเป้าแก้มสีเงิน(Lagocephalus sceleratus) ปลาปกั เป้าหลงั น้าตาล (Lagocephalus spadiceus) และปลาปกั เป้า ุ า้ (Tetraodon nigroviridris) (ภาพท่ี 11.32) ก. ปลาปกั เปา้ ุ า้ ข.ปลาปกั เป้าหลงั น้าตาล ภาพท่ี 11.32 ตวั อยา่ งปลา Family Tetrodotidae ทมี่ า: ก. ถา่ ยภาพโ ยนุสราสนิ ี (2561) ข. https://www.pstip.com/.html
การ ั ้าแนกปลา การ ้าแนกชนิ ปลาเป็นส่วนของการท้าความเข้าใ พื้นฐานของการ ้าแนกลักษณะที่ แตกต่างกัน บนพื้นฐานของลักษณะภายนอก กระ ูก หรือลักษณะของกล้ามเนื้อ ซึ่งมีข้อมูลที่ หลากหลาย โ ยลักษณะท่ีไ ้ศึกษามาต้ังแต่เร่ิมรู้ ักลักษณะ นถ้วนถี่ ึงสามารถน้ามาประกอบกัน เพื่อใช้ในการ ้าแนกชนิ ปลา ในแต่ละกลุ่มของปลา ในแต่ละพ้ืนท่ีทางภูมิศาสตร์ ะมีความแตกต่าง กันออกไป ยกตัวอย่างการ ้าแนกปลาตะเพียนโ ยใช้คู่มือการ ้าแนกครอบครัวปลาของไทย โ ย ทวีศกั ์ิ ทรงศริ ิกลุ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2530 ไ ้ งั นี้ 24 1. ช่องเปิ เหงือกมขี า้ งละ 5 ช่อง CLASS ELASMOBRANCHII (CHONDRICHTHYES) - ช่องเปิ เหงอื กมขี ้างละ 1 ช่อง CLASS TELEOSTOMI (OSTEICHTHYES) CLASS TELEOSTOMI (OSTRICHTHYES) ปลากระ ูกแขง็ หนา้ 28 2 CLASS TELEOSTOMI (OSTRICHTHYES) SUBCLASS ACTINOPTERYGII แยก Order ไ ้ งั นี้ 1 a……………………………………………………………………. 1 b. ตาอยู่แตล่ ะขา้ งของหัว (รูป2) 2a. ……………………………………………………………………. 2b. มีครีบท้องปกติ 11 11a. ครบี ทอ้ งอยู่ตา้ แหน่งท้อง (รูปหน้า22) 12 10 b…………………………………………………………………….. 12a…………………………………………………………………….. 15 12b. ตัวมีเกล็ ซอ้ นปกติ
15a มีครีบหลัง 1 อนั 16 15 b…………………………………………………………………… 16a หนงั หุ้มฝาปิ เหงือกติ กับคอ คอ (รูป17) ไม่มีฟนั บนขากรรไกร CYPRINIFORMES น.38 16b…………………………………………………………………….. หนา้ 38 2 ORDER CYPRINIFORMES 1a.ลา้ ตัวมเี กล็ ไมม่ ีฟันบนขากรรไกร 3 1b……………………………………………….. 4 2a……………………………………………….. 2b มีช่องเปิ เหงอื กข้างละ 1ชอ่ งตามปกติ 3a……………………………………………….. 3b หัวและลา้ ตัวแบนข้าง สันท้องแหลมหรือโค้ง ครบี หูอย่เู หนือแนวสนั ท้อง (รปู 3) 4a……………………………………………….. 4b บรเิ วณหนา้ ตาไมม่ หี นาม มีหนว 2-4 เส้น ปากมัก ะอยกู่ ลาง (รปู 5) มีฟันในช่องคอ1-3 แถว Cyprinidae น.102
หน้า 102 82-272 Family CYPRINIDAE ชอื่ ไทย : แปบ,ซวิ ,ตะเพียน,สรอ้ ย ช่ือเทศ : Carps, Barbs, Labeo, Stone-suckers ลกั ษณะ : รูปร่างสัน้ หรือยาว แบนขา้ ง สว่ นหวั ไม่มีเกล็ มีฟันในชอ่ งคอ (pharyngeal teeth) 1-3 แถว ช่องเหงอื กกว้าง และติ กับคอ คอ (isthmus) มีเสน้ ข้างตัว ไม่มหี นามใตต้ า หรือหนา้ ตา อา มหี นว ถา้ มี ะมี ้านวนไมเ่ กนิ 2 คู่ ไมม่ ีไสต้ ง่ิ (pyloric caeca) แบง่ ไ เ้ ปน็ 4 ครอบครัวย่อย 1. Abraminae สันทอ้ งคม 2. Rasborinae เส้นข้างตัวอยตู่ ่้า 3. Garrinae ปากอยู่ต้่าและไม่มีร่องบน ะงอยปาก 4. Cyprininae ปากอยปู่ ลาย ถ้าอยู่ต้่า ะไมม่ ีรอ่ ง หน้า107 5. Subfamily Cyprininae (ตะเพยี น,Carp, barb) ลักษณะ : รมิ ฝปี ากบน ะแยก าก ะงอยปาก โ ยมีร่องลกึ เป็นเคร่ืองแบง่ สันท้องกลม มหี นว 1-2 ค่หู รือไม่มี ปลายปากไมม่ ีตุม่ ที่กลางขากรรไกรล่าง (symphyseal knob) เสน้ ข้างตวั สน้ิ สุ ทก่ี ่ึงกลางฐานครีบหาง พบหลายสกลุ เช่น 1. Labiobarbus 2. Albulichthys 3. Mystacoleucus 4. Hampala 5. Catalocarpio 6. Cyclocheilicthys 7. Probabus
8. Thynnichthys 9. Osteochilus 10. Balantiocheilos 11. Puntloplithes 12. Puntius 13. Amblyrhynchichthys 14. Barbichthys 15. Morulius 16. Labeo 17. Tor หนา้ 110 82-272 Puntius sp. (ตะเพียน) ภาพที่ 11.33 ปลาตะเพยี นขาว (Puntius gonionotus) ทม่ี า: ถา่ ยภาพโ ยนุสราสินี (2561)
บรรณานกุ รม กฤษณ์ มงคลปัญญา และ อมรา ทองปาน. 2533. ชวี วทิ ยา. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. กรมประมง. มปป. ปลาพลวง. (ออนไลน)์ สบื ค้น าก https://www.fisheries.go.th/if- chiangmai/tor/tor%20%20index.htm. [6 กรกฎาคม 2561]. ________. มปป. ปลาแซลมอน. (ออนไลน์) สบื คน้ าก http://www.nicaonline.com/web/index.php/2016-08-30-. [6 กรกฎาคม 2561]. นั ทิมา อปุ ถัมภ์. 2558. เอกสารประกอบการเรยี นวชิ าชวี วทิ ยาของปลา. วิทยาลัยเกษตรและ เทคโนโลยสี งขลา, สงขลา. เทพ เมนะเศวต. ม.ป.ป. ปลา. กรงุ เทพฯ : กองส้ารว และค้นควา้ . กรมประมง. ทวีศกั ์ิ ทรงศริ กิ ลุ . 2530. คมู่ ือการ า้ แนกครอบครวั ปลาไทย. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพ. นิตยา เลาหะ ิน า. 2539. ววิ ฒั นาการของสตั ว.์ : คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. บพธิ ารุพนั ธุ์ และนนั ทพร ารุพันธ์ุ. 2540. สตั ววทิ ยา. คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์,กรุงเทพฯ. ประ ิตร วงศ์รัตน.์ 2541. มนี วทิ ยา (ปฏบิ ตั กิ าร). คณะประมง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. ประวิทย์ สรุ นรี นาถ. 2531. การเพาะเลยี้ งสัตวน์ า้ ทวั่ ไป. ภาควชิ าเพาะเลย้ี งสตั วน์ ้า คณะประมง มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. ประวทิ ย์ สุรนรี นาถ. มปป. ปลากระโทงแทงกลว้ ย (ออนไลน)์ สบื ค้น าก http://www.dooasia.com/fish/fish-mf011.shtml. [15 มิถนุ ายน 2561]. ปรีชา สุวรรณพนิ ิ และนงลกั ษณ์ สวุ รรณพินิ . 2537. ชวี วทิ ยา 2. พมิ พ์ครัง้ ที่ 2. : ส้านักพมิ พแ์ ห่ง ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, กรงุ เทพฯ. พชิ ยา ณรงค์พงศ์. 2555. มนี วทิ ยา. พิมพค์ รัง้ ที่ 1 สา้ นักพมิ พแ์ หง่ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ.
บรรณานกุ รม (ตอ่ ) ราชบณั ฑติ ยสถาน. 2525. พ นานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน. อกั ษรเ รญิ ทัศน์, กรงุ เทพฯ. วมิ ล เหมะ นั ทร. 2528. ชวี วทิ ยาปลา. สา้ นกั พมิ พแ์ หง่ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, กรงุ เทพฯ. _______________. 2556. ปลาชวี วิทยาและอนกุ รมวิธาน. สา้ นกั พิมพ์แห่ง ฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , กรงุ เทพฯ. วีรพงศ์ วฒุ พิ นั ธชุ์ ัย. 2536. การเพาะพนั ธปุ์ ลา. ภาควิชาวารชิ ศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา. วุฒชิ ัย เ นการ และ ติ ตมิ า อายุตตะกะ. ม.ป.ป. พฤตกิ รรมของปลาฉลาม. สถาบันประมงนา้ ื แห่งชาติ กรมประมง, กรงุ เทพฯ. วลั ภา ชวี าภสิ ัณห์. 2558. เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาของปลา. วทิ ยาลัยประมงตณิ สลู านนท์, สงขลา. สบื สนิ สนธริ ตั น์. 2527. ชวี วทิ ยาของปลา. ภาควิชาวทิ ยาศาสตรท์ างทะเล คณะประมง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. สุภาพ มงคลประสิทธ์.ิ 2529. มนี วทิ ยา (ปฏบิ ัตกิ าร). กรงุ เทพฯ : คณะประมง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. สุภาพร สกุ สเี หลือง. 2538. การเพาะเลย้ี งสตั วน์ า้ .: ศูนยส์ อ่ื เสริมกรุงเทพฯ, กรุงเทพ. . 2542. มนี วทิ ยา. ภาควชิ าชวี วิทยา มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, กรงุ เทพฯ. อภินนั ท์ สุวรรณรกั ษ์. 2561. มนี วทิ ยา. พมิ พค์ ร้ังท่ี 2 คณะเทคโนโลยกี ารประมงและทรัพยากรทางน้า มหาวิทยาลยั แม่โ ้, เชยี งใหม่. อุทัยรัตน์ ณ นคร. 2538. การเพาะขยายพนั ธป์ุ ลา. ภาควิชาเพาะเล้ยี งสัตวน์ ้า คณะประมง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. อญั ชลี เอาผล. 2560. ลกั ษณะอวยั วะภายในของปลานลิ . (ออนไลน์) สืบค้น าก http://zmku.sci.ku.ac.th/ZMKU%20image/Lab%2011_Fish_60_Color.pdf. [27 มิถุนายน 2561]. Anonymous. 2009. Angler Fish. [online]. (n.d.). Available from: http://www.eyezed.com/. [28 December 2010].
บรรณานกุ รม (ตอ่ ) Bigelow, H.B., and Schroeder, W.C. 1995. “Sharks,” Fishes of the Western North Atlantic. The New Encyclopaedia Britannica 19: 208-215. Bond, C.E. 1979. Biology of Fishes. U.S.A.: Saunders, College Publishing. . 1996. Biology of Fishes. 2nd ed. U.S.A.: Saunders College Publishing. Bone, Q and Moore, R.H. 2008. Biology of Fishes. 3th ed. (n.p.): Taylor & Francis Group. Evans, D.H. 1993. The Physiology of Fishes. Florida: CRC Press. “Fishes”. 1995. The New Encyclopaedia Britannica 19: 192.206. Halstead, Bruce W. 1995. Poisonous and Venomous Marine Animals of the world. The New Encyclopacdia Britannica 19: 271-273. Hildebrand, M. 1995. Analysis of Vertebrate Structure. New York: John Wiley & Sons. Jobling, M. 1995. Environmental Biology of Fishes. London: Chapman & Hall. Lagler, K. F., et al. 1977. Ichthyology. New York: John Wiley & Sons. “Lungfishes (Dipnoi)”. 1995. The New Encyclopaedia Britannica 19: 216-218. Marshall, N.B. 1965. The Life of Fishes. London: Weidenfeld and Nicolson. Moyle, P.B. and Cech, Jr., J.J. (1982). Fishes an Introduction to Ichthyology. New Jersey: Prentice-Hall. . 2004. Fishes : an introduction to ichthyology. 5 ed. Upper Saddle River, NJ 07458: Prentice-Hall. Nelson, J.S. 2006. Fishes of The World. 4 ed. Hoboken, New Jersey: John Wiley & Sons. Nikolsky, G.V. 1965. The Ecology of Fishes. London: Acadamic press. Norman, J.R. 1948. A History of Fishes. New York: A.A. Wyn. Pincher, C. 1948. A Study of Fishes. New York: Duell, Sloan & Pearce. Schultz, L.P. 1948. The Ways of Fishes. New Jersey: D. Van Nostrand. “The early ray-finned fishes”. 1995. The New Encyclopaedia Britannica 19: 218-223.
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: