Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e-Book Unit3 สิ่งปกคลุมโครงร่างตัวปลา By Krunoos

e-Book Unit3 สิ่งปกคลุมโครงร่างตัวปลา By Krunoos

Published by นุสราสินี ณ พัทลุง, 2019-06-06 01:13:09

Description: e-Book Unit3 สิ่งปกคลุมโครงร่างตัวปลา By Krunoos

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนรายวชิ ามนี วทิ ยา รหสั วชิ า 3601-2103 หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ สงู พทุ ธศกั ราช 2557 สาขาวชิ าเพาะเลยี้ งสตั วน์ า้ ประเภทวชิ าประมง หน่วยท่ี 3 สิง่ ปกคลมุ โครงรา่ งตัวปลา จดั ทา้ โดย ครูนุสราสินี ณ พัทลุง ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะครชู านาญการ ภาควชิ าประมง วทิ ยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปตั ตานี ส้านกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

1 ICHTHYOLOGY หนว่ ยท่ี 3 สงิ่ ปกคลมุ โครงรา่ งตวั ปลา (Fish Skeleton Cover) จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. นักศึกษามคี วามรู้ความเข้าใจเกี่ยวกบั สิ่งปกคลุมโครงรา่ งตวั ปลา 2. นกั ศึกษาสามารถบอกชื่อประจ้าสง่ิ ปกคลุมโครงรา่ งตวั ปลาไดถ้ ูกตอ้ ง 3. นักศกึ ษาสามารถอธบิ ายหนา้ ที่สิ่งปกคลุมโครงรา่ งตัวปลาได้ถูกต้อง 4. นกั ศกึ ษามคี วามสนใจใฝ่รู้ มคี วามรับผดิ ชอบเรยี นร้ดู ้วยความซอื่ สัตย์ มีคุณธรรมและมี มนุษยส์ มั พันธ์ ดา้ เนินชวี ิตตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สาระการเรยี นรู้ ปลามีส่ิงปกคลมุ ร่างกายเพ่ือปกป้องอันตรายและเชอ้ื โรคก่อนท่ีจะเข้าไปยังอวัยวะภายใน สิ่ง ปกคลมุ ร่างกายปลาประกอบด้วย ผวิ หนังและเกล็ด 1. ผิวหนัง (skin) ผวิ หนังปลาเป็นท่ีอย่ขู องสว่ นประกอบต่างๆ หลายอย่างได้แก่ เกล็ด ตอ่ มเมือก ตอ่ มพษิ (poison gland) ประสาทรับความรู้สึก นอกจากน้ี ผิวหนังยังช่วยปรับความสมดุลของน้าและเกลือ ชว่ ยขับถ่ายของเสยี และชว่ ยหายใจ (ภาพท่ี 3.1) 1.1ชั้นของผวิ หนัง ประกอบดว้ ยเนอื้ เยอื่ 2 ช้ัน (วิมล,2540 และHildebrand,1995) คือ 1) ผิวหนังชัน้ นอก (epidermis) 2) ผวิ หนังชน้ั ใน (dermis หรอื corium) 1) ผิวหนังชั้นนอก (epidermis) เจริญมาจากเน้ือเย่ือชั้นนอก (ectoderm) เป็น เซลลห์ ลายชั้นซงึ่ มีลักษณะแบนและชื้น โดยทัว่ ไปจะบาง มคี วามหนาประมาณ 250 ไมโครเมตร (µm) ประกอบด้วยช้นั ของเซลล์ 10-30 ช้ัน จา้ นวนช้นั ข้ึนอยู่กับวา่ เปน็ บริเวณใดของร่างกายและอายุ ของปลา เช่น ในม้าน้ามีความหนา 2-3 ช้ันเซลล์ บริเวณท่ีหนาที่สุดประมาณ 20 ไมโครเมตร ส่วน ปลาสเตอร์เจียนที่ริมฝีปากมีความหนาถึง 3 มิลลิเมตร ช้ันในสุดเป็นชนั้ ทสี่ ร้างเซลล์ เรยี กวา่ สตราตัม เจอรม์ นิ าทิวมั (stratumgerminativum) นอกจากนี้ยังมีเซลล์สร้างสี (pigment cell) เซลล์ให้แสงเรือง (photophores) ต่อมพิษ (poison gland) และต่อมสร้างเมือก (mucus gland) เมือกปลาจะมีมากหรือน้อยและมี วทิ ยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปตั ตานี เรียบเรยี งโดยครนู สุ ราสินี ณ พทั ลุง

2 ICHTHYOLOGY สว่ นประกอบทางเคมีแตกตา่ งกันไปในปลาแต่ละชนิด ท้าให้กลนิ่ คาวปลาแตกต่างกันไปดว้ ย ปลาไม่มี เกล็ดจะมีเมือกมากกว่าปลามีเกล็ด เมือกช่วยให้ปลาว่ายน้าไปอย่างรวดเร็ว ถูกจับได้ยากเพราะล่ืน ชว่ ยกา้ จัดแบคทีเรียจากผวิ ท้าใหน้ ้าโคลนตกตะกอน ในปลาแรดและปลาปอดแอฟริกาใช้เมอื กในการ สร้างรงั ปลาการ์ตูนใชเ้ มือกปอ้ งกันพิษจากดอกไมท้ ะเลท่ีอยู่รอบตัวมัน (วิมล,2540 และBond,1996) ภาพที่ 3.1 องคป์ ระกอบของผิวหนงั ปลา ทมี่ า : Lagler et al.,1977 2) ผิวหนงั ชัน้ ใน (dermis หรอื corium) เจริญมาจากเย่ือชนั้ กลาง (mesoderm) มีความหนาและซับซ้อนมากกว่าผิวหนังช้ันนอก ประกอบด้วยเน้ือเยื่อเกี่ยวพัน ช้ันน้ีจะมีเส้นเลือด เส้นประสาท อวัยวะรบั สัมผัสท่ไี วมาก เป็นช้ันที่สร้างเกลด็ และส่วนประกอบอื่นๆ ของผิวหนัง ในปลา ทั่วไปชั้นนี้จะมีเยื่อหลวมๆ ตอนบนเรียกว่า สตราตัมวาสคิวลาร์ (stratum vascular) หรือสต ราตัมสปองจิโอซัม (stratum spongiosum) และตอนล่างเป็นส่วนท่ีหนาแน่นเรียกว่า สตราตัมคอม แพกตัม (stratum compactum) ส่วนบริเวณที่ปกคลุมครีบจะเปล่ียนไปเป็นเบซัลเมมเบรน (basal membrane) ปลาที่เจริญเต็มวัยแล้วจะมีผิวหนังช้ันในหนากว่าช้ันนอก ความหนาของผิวหนังข้ึนกับ จ้านวนชั้นและการอัดแน่นของช้ัน โดยเฉพาะท่ีผิวหนังช้ันในซ่ึงจะเปล่ียนแปลงมากน้อยไปตามชนิด ของปลา หนังปลากระดูกแข็งที่ไม่มีเกล็ดบางชนิดจะหยาบหนา สามารถลอกออกมาเป็นแผ่นได้แบบ หนังสัตว์อื่นๆ หนังปลาแฮกฟิชใช้ท้าของใช้ขนาดเล็กๆได้ เช่น กระเป๋าใส่เงิน หนังปลาฉลามก็ใช้ท้า ส่งิ ของไดห้ ลายอยา่ งเช่นกนั (ประจิตร, 2541 และ Bond, 1996) สว่ นประกอบของผวิ หนงั สรปุ แลว้ ผิวหนงั ปลาจะมีสว่ นประกอบตา่ งๆ ซงึ่ มหี น้าทสี่ ้าคญั ตอ่ ร่างกายดงั นี้ วิทยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปัตตานี เรยี บเรียงโดยครนู สุ ราสนิ ี ณ พัทลงุ

3 ICHTHYOLOGY 1. ต่อมเมือก (mucous gland ) อยู่ผิวหนังช้ันนอกมีหน้าท่ีสร้างเมือกปกคลุม ผวิ หนงั 2. ต่อมพิษ (poison gland) อยู่ผิวหนังชั้นนอก มีหน้าท่ีสร้างสารพิษหรือน้าพิษ เกบ็ ไว้ในถงุ อย่ใู กล้ฐานของเงย่ี ง (spine) 3. เซลล์เรืองแสง (photophores) อยู่ผิวหนังชั้นนอก เป็นเซลล์สร้างสารให้แสง เรอื ง 4. เซลล์สร้างสี (pigment cell หรือ chromatophores) อยู่ผิวหนังช้ันนอกและ ชนั้ ในเป็นเซลลส์ รา้ งสตี า่ งๆ คอื ด้า เหลือง แดง ขาว 5. เซลล์สะท้อนแสง (iridophores หรือ iridocyte) เป็นเซลล์สร้างสีที่มีประกาย แวววาวสะทอ้ นแสงได้เป็นสารกวาวนิน (guanine) มักจะอยู่ด้านทอ้ งปลา 6. เกล็ด (scales) แผ่นและตุ่มแข็ง (plates หรือ denticles) อยู่ผิวหนังช้ันนอก นบั ว่าเป็นโครงกระดกู ภายนอก (exoskeleton หรอื dermal skeleton) ของปลา 2. เกลด็ (scale) เกล็ดเป็นส่ิงปกคลมุ ตัวปลา มีหน้าท่ีป้องกันอันตรายแก่ตัวปลามีต้นก้าเนิดมาจากผิวหนังชั้นใน ถือเป็นโครงกระดูกภายนอก (exoskeleton) เนื่องจากเป็นส่วนท่ีอยู่ภายนอกและห่อหุ้มล้าตัวปลา เป็นส่วนใหญ่ ปลาทีไ่ ม่มีเกล็ดเรียกวา่ ปลาหนงั (catfish) ปลาทมี่ เี กลด็ เรยี กว่า ปลาเกล็ด (carp) ปลา บางชนดิ มเี กล็ดปกคลุมเฉพาะบางส่วน ปลาบางชนิดมีเกลด็ ท่ีหลุดง่าย บางชนดิ ยดึ ตดิ แน่น เกล็ดปลา สามารถแบ่งออกได้ดังน้ี 2. 1 ชนิดเกล็ด เกล็ดปลามีโครงสร้างและส่วนประกอบแตกต่างกันไป แบ่งเกล็ดออกตาม ลกั ษณะโครงสร้างได้ 2 ชนดิ ใหญ่ (วิมล, 2528 และสุภาพ, 2529) 2.1.1 เกล็ดแบบพลาคอยด์ (placoid scale) 2.1.2 เกล็ดแบบน็อนพลาคอยด์ (non-placoid scale) มี 3 ชนิดคอื 2.1.2.1 เกลด็ แบบคอสมอยด์ (cosmoid scale) 2.1.2.2 เกล็ดแบบกานอยด์ (ganoid scale) มี 2 ชนดิ 1) เกลด็ แบบพาลีออนิสคอยด์ (palaeoniscoid scale) 2) เกลด็ แบบเลพโิ ดสตีออยด์ (lepiosteoid scale) 2.1.2.3 เกล็ดแบบอีลาสมอยด์หรือโบนีริดจ์ (elasmoid scale หรือ bony-ridge scale) มี 2 ชนิด คอื 1) เกล็ดไซคลอยด์ (cycloid scale) 2) เกลด็ ทนี อยด์ (ctenoid scale) วทิ ยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปัตตานี เรียบเรยี งโดยครนู ุสราสินี ณ พทั ลงุ

4 ICHTHYOLOGY 2.1.1 เกล็ดแบบพลาคอยด์ (placoid scale) พบในปลากระดูกอ่อนพวกปลา ฉลาม กระเบน และแร็ตฟิช (ratfish) มีลักษณะต่างๆ กันไปตามชนิดของปลา อาจมีลักษณะเป็นปุ่ม (knop) เป็นแผ่นๆ (plate) หรือรูปกรวย (cone) เม่ือลองลูบผิวหนังปลาฉลามดูจะรู้สึกสากมือ เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟันซี่เล็กๆ จ้านวนมากเรียงเป็นแถวตามแนวเฉียงตลอดทั้งตัวรวมทั้งครีบ ดว้ ย เกล็ดชนิดน้ปี ระกอบด้วย 2 สว่ น (ภาพที่ 3.2) ภาพที่ 3.2 ลักษณะเกลด็ แบบพลาคอยด์ ทมี่ า: https://www.google.co.th/search?q=เกล็ด+placoid&tbm=isch&source=iu&ictx= ภาพที่ 3.3 ตวั อยา่ งปลาท่ีมเี กลด็ แบบพลาคอยด์ ท่ีมา: http://www.fishtech.mju.ac.th/FishNew1/AdventureByKorKob/PDF_files/ ส่วนแรกมีลักษณะคล้ายกระดูกฝังอยู่ใต้ผิวหนังซ่ึงมองไม่เห็นจากภายนอกเรียกว่า แบซัลเพลต (basal plate) อยตู่ อนบนของผิวหนังชนั้ ใน มีเส้นเลือดเสน้ ประสาทมาหล่อเลี้ยง ส่วนท่ี2 เป็นหนามแหลม (spine) ยื่นออกมาภายนอกเหนือผิวหนังช้ันนอก ช้ีไปทางด้านท้ายตัวมีสารเคลือบ ผิวคล้ายพวกสารอีนาเมล (enamel-like) ซ่ึงเรียกว่า วิโทรเดนทีน (vitrodentine) ลักษณะเหมือน สารเคลือบฟันของคนเคลือบผิวนอกของเกล็ดใต้ส่วนของวิโทรเดนทีนเป็นชั้นท่ีเรียกว่าเดนทีน (dentine) ซึ่งจะมีเส้นเลือดเส้นประสาทจากช่องว่างภายในเกล็ด (pulp cavity) เข้ามาหล่อเลี้ยง จากชอ่ งวา่ งในเกล็ดน้ีจะมที ่อเลก็ ๆ แยกออกไปแทรกอยูใ่ นเนื้อเดนทเี รียกว่า เดนทนี ลั ทูบลู (dentinal tubules) เกล็ดแบบพลาคอยด์จะมขี นาดเท่าเดิมแม้ว่าปลาจะตัวโตขึ้นแตม่ ีการหลุดและสามารถสร้าง วทิ ยาลัยเทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปตั ตานี เรียบเรียงโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พัทลุง

5 ICHTHYOLOGY ขนึ้ มาทดแทนได้ การเรียงตัวของเกล็ดไม่เป็นแผ่นต่อแผ่น แต่จะเหล่ือมกันเลก็ น้อยยกเว้นบริเวณเส้น ขา้ งตัว 2.1.2 เกลด็ แบบน็อนพลาคอยด์ (non-placoid scale) มี 3 ชนิดคือ 2.1.2.1 เกล็ดแบบคอสมอยด์ (cosmoid scale) (ภาพที่ 3.4) เป็นเกล็ด ของปลาโบราณท่ีสูญพันธุ์ไปแล้ว และยังมีชีวิตอยู่ พบในปลาปอด (lungfish) ปลาซีลาแคนท์ เกล็ด ชนดิ น้ีมีลักษณะแขง็ ประกอบไปด้วยชน้ั ต่างๆ 3 ชั้นดว้ ยกนั คือ ช้ันนอกมสี ารเคลอื บเรยี กวา่ วโิ ทรเดน ทีน เช่นเดียวกับเกลด็ พลาคอยด์ ถัดเข้ามาเป็นชั้นของคอสมีน (cosmine) ซง่ึ เปน็ เดนทีนชนิดหนึ่ง มี ลกั ษณะเหนยี วไม่มีเซลล์และมีท่อเล็กๆ (canaliculae ) เรียงกันเปน็ รูปครึ่งวงกลม ถัดจากชั้นนี้ลงไป เป็นช้ันของกระดูกท่ีมีรูพรุนคล้ายฟองน้าหรือวาสคิวลาร์โบน (spongy bone layer หรือ vascular bone ) จะมีท่อภายในติดต่อกันโดยตลอด ถัดลงไปเรียกว่า ช้ันลาเมลลาร์โบน (lamellar bone) ภายในช้ันนีจ้ ะมเี สน้ เลือดเส้นประสาทมาหล่อเล้ียง เกล็ดคอสมอยด์ เจริญเติบโตเฉพาะส่วนท่ีอยู่ขอบด้านในเท่าน้ัน ส่วนที่โผล่ออกมา ภายนอกจะไม่เจริญ เพราะผิวภายนอกไม่มีเซลล์ท่ีมีชีวิตอยู่ รูปร่างเกล็ดเป็นรูปกลมหรือรูปส่ีเหล่ียม ขนมเปยี กปูน ขอบนอกมีลักษณะกลมหรือเป็นด้านขนานของส่ีเหล่ียม เกล็ดแบบกลมมักจะเรียงซ้อน กัน ส่วนแบบส่ีเหลี่ยมขนมเปียกปูนจะซ้อนกันเฉพาะขอบผิวด้านใน แต่ขอบผิวด้านนอกจะเรียงกัน แบบขอบต่อขอบ เกล็ดคอสมอยด์จะพบในปลาพวกพลาโคเดิร์มบริเวณส่วนท้ายของล้าตัว ในพวก ปลาซีลาแคนธ์ เกล็ดเป็นแบบกลมขนาดใหญ่ ไม่มีช้ันอีนาเมล ส่วนปลาปอดเป็น แบบกลม เช่นเดียวกันแตจ่ ะบางเน่อื งจากไม่มีชัน้ ของคอสมนี จงึ มีลกั ษณะเหมอื นเกล็ดไซคลอยด์ (lagler et al.,1977) ภาพท่ี 3.4 เกล็ดแบบคอสมอยด์ (cosmoid) ที่มา: https://www.google.co.th/search?q=เกลด็ แบบ+cosmoid&hl วทิ ยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปตั ตานี เรียบเรียงโดยครูนสุ ราสินี ณ พัทลุง

6 ICHTHYOLOGY ภาพที่ 3.5 ตัวอย่างปลาทีม่ เี กลด็ แบบคอสมอยด์ (cosmoid) ทม่ี า: http://zmku.sci.ku.ac.th/ZMKU%20image/Lab%2011_Fish_60_Color.pdf 2.1.2.2 เกล็ดแบบกานอยด์ (ganoid scale) (ภาพท่ี 3.6) เป็นเกล็ดที่มี ความหนารปู สี่เหล่ยี มขนมเปยี กปูน วิวัฒนาการมาจากเกล็ดคอสมอยด์มี 2 แบบคอื 1) เกล็ดแบบพาลีออนิสคอยด์ (palaeoniscoid scale) เป็นเกล็ดท่ี โบราณกวา่ แบบหลัง ผวิ หน้าจะหนาประกอบด้วยสารกาโนอีน (ganoine) ซ่ึงเป็นสารอนินทรยี ์ ถดั เข้า มาเป็นช้ันของคอสมีน ช้ันล่างสุดเป็นชั้นฐานเรียกว่า ช้ันลาเมลลารโ์ บน ช้ันนี้จะมีช่องของวาสคิวลาร์ คาแนล (vascular canal) มเี สน้ ประสาทมาหลอ่ เลีย้ งเกลด็ แบบนพ้ี บในปลาบเิ คอร์ (bichir-Polypterus) 2) เกล็ดแบบเลพิโดสตีออยด์ (lepiosteoid scale) วิวัฒนาการมา จากแบบแรกมีชั้นกาโนอีนเช่นเดียวกัน แต่ช้ันคอสมีนหายไป ช้ันฐานเป็นลาเมลลาร์โบน แต่ช่องว่าง ภายในชั้นน้ีไม่มีลักษณะเป็นท่อ (vascular) เช่นเดียวกับแบบแรก พบในปลาอะแคนโทเดียนซึ่งสูญ พันธุไ์ ปแล้ว และปลาในกลุม่ บาวฟนิ และปลาการ์ เกล็ดแบบกานอยด์มีการเจริญเติบโตได้ทั้งด้านบนและด้านล่างของเกล็ด และท่ีด้านบน ของเกล็ดอาจมีเงยี่ งหรอื เดนทคิ ลั อยู่ด้วย ถา้ ลูบดจู ะรสู้ ึกสากมือ ภาพท่ี 3.6 เกล็ดแบบกานอยด์ ทมี่ า: http://www.pfcollege.com/images/column_1529463073/ วทิ ยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรียบเรยี งโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พัทลุง

7 ICHTHYOLOGY ภาพที่ 3.7 ตัวอยา่ งปลาทม่ี ีเกล็ดแบบกานอยด์ ทม่ี า: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B% 2.1.2.3 เกล็ดแบบอีลาสมอยด์หรือโบนีริดจ์ (elasmoid scale หรือ bony-ridge scale) เกล็ดแบบนี้พบในปลากระดูกแข็งที่มีชีวิตอยู่ท่ัวๆไป (osteichthyes) มี วิวัฒนาการมาจากเกล็ดกานอยด์ แบบเลพิโดสตอี อยด์ มลี ักษณะบางใสและมีความยดื หยนุ่ (flexible) ไม่มีช้ันของอีนาเมลและชั้นเดนทีน เหลือแต่ชั้นฐานซึ่งไม่มีเซลล์แต่มีเส้นใยพวกคอลลาเจนสานกันใน ทุกทิศทาง มีสารเคลอื บบางๆ ทีส่ รา้ งจากอนี าเมล มีการเจริญเตบิ โตไดท้ ุกสว่ น แบง่ ออกได้2 ชนดิ คอื 1) แบบไซคลอยด์ (cycloid scale) (ภาพที่ 3.8) มีลักษณะเป็นเกล็ด กลมขอบเรยี บ ไม่ขรขุ ระ ไม่มีหนามหรือหยัก (ภาพ ง.) เป็นเกลด็ ที่หลดุ ง่าย เวลาลูบจากหางไปยงั หัว จะไมร่ ู้สึกสากมือ พบในปลาตะเพียนขาว ปลาหลังเขยี ว ปลากะตัก ภาพท่ี 3.8 เกล็ดแบบอีลาสมอยด์หรอื โบนีรดิ จ์ แบบขอบเรียบ ทม่ี า: http://zmku.sci.ku.ac.th/ZMKU%20image/Lab%2011_Fish_60_Color.pdf วทิ ยาลัยเทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปัตตานี เรียบเรยี งโดยครนู ุสราสินี ณ พัทลงุ

8 ICHTHYOLOGY ภาพที่ 3.9 ตวั อย่างปลาท่มี ีเกลด็ แบบอีลาสมอยดห์ รอื โบนีริดจ์ แบบขอบเรยี บ ทมี่ า: ถา่ ยภาพโดยนสุ ราสนิ ี (2561) 2) เกล็ดแบบทนี อยด์ (ctenoid scale) (ภาพท่ี 3.10) หรือเกล็ดหนาม มีขอบหยักหรือหนามท่ีขอบหลังของเกล็ด หลุดออกจากตัวค่อนข้างยาก พบในปลากระดูกแข็งท่ีมี วิวัฒนาการสูง เชน่ ปลากะพงขาว ปลาหมอไทย ปลาจวด ปลาสาก เป็นต้น ภาพท่ี 3.10 เกล็ดแบบอีลาสมอยดห์ รือโบนีริดจ์ แบบขอบหยัก ทมี่ า: https://www.digopaul.com/th/english-word/ctenoid.html วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรยี งโดยครนู สุ ราสินี ณ พทั ลงุ

9 ICHTHYOLOGY ภาพที่ 3.11 ตวั อยา่ งปลาทม่ี ีเกล็ดแบบอีลาสมอยดห์ รือโบนรี ิดจ์ แบบขอบหยัก ทม่ี า: ถา่ ยภาพโดยนุสราสินี (2561) สว่ นประกอบของเกล็ดอลี าสมอยดโ์ ดยท่วั ไปจะมีลักษณะดังน้ี 1. โฟกัส (focus) หรอื จดุ ศนู ยก์ ลางของเกล็ด การเจรญิ เติบโตของ เกล็ดปลาจะเรมิ่ จากจดุ นี้ 2. เซอร์คูลัสหรือโบนีริดจ์ ( circulus หรือ bony-ridge) เป็นการ เจริญเติบโตของเกล็ด ซ่ึงจะเจริญออกไปเป็นวงๆ มีลักษณะเป็นเส้น ถ้าปลาเจริญเติบโตอยู่เร่ือยๆ เซอร์คูลัสจะเกิดขึ้นอย่างสม่้าเสมอ แต่ถ้าฤดูกาลใดที่ปลาอดอาหารมากๆ สันดังกล่าวนี้จะเกิดชิดกัน มากมองเห็นเป็นเสน้ หนา้ เข้มกว่าเซอรค์ ูลัส จึงเรยี กว่า แอนนูลัส (annulus) แทน 3. แอนนูลัส (annulus) หรือวงปีของเกล็ดปลา คือเซอร์คูลัสหลายๆวง เบยี ดชิดกันนน่ั เอง ใชค้ ้านวณอายปุ ลาได้ โดยแอลนลู ัส 1 วงหมายถงึ อายปุ ลา 1 ปี 4. ไพรมารีเรเดียส (primary radius) เส้นซึ่งเป็นร่องแผ่ออกไปโดยรอบ คลา้ ยรศั มีจากจุดศูนยก์ ลางจนจรดขอบเกลด็ 5. เซคันดารีเรเดียส (secondary radius) เป็นเส้นลักษณะเช่นเดียวกัน กบั ไพรมารีเรเดยี สแตต่ า่ งกันท่เี สน้ น้ีจะมีความยาวเพยี งช่วงใดช่วงหน่งึ ของเกลด็ เท่านนั้ 6. ร่องเกล็ด (groove) มีเฉพาะในเกล็ดแบบทีนอยด์ อยู่ทางด้านที่ฝ่ังอยู่ ใต้ผิวหนงั 2.2 เกล็ดปลาที่เปลี่ยนรูป (modified scale) อวัยวะภายนอกของปลาหลายชนิดถือก้าเนิดมา จากการแปรรูปของเกลด็ ซ่ึงเราจะเหน็ ในลักษณะต่างๆ กัน ซ่งึ มอี ยู่หลายลักษณะ (วิมล, 2528) คอื 2.2.1 เปน็ หนามแหลม (spine) (ภาพท่ี 3.12) ได้แก่ วิทยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปัตตานี เรยี บเรยี งโดยครูนุสราสนิ ี ณ พัทลงุ

10 ICHTHYOLOGY 1) เกล็ดบนครีบหลังอันแรกเปลี่ยนรูปเป็นหนามแหลม (dorsal spine) พบในปลากลุ่ม spiny dog fish และในปลาแรทฟชิ (ภาพ ก.) 2) ฟันของปลาฉลาม เกดิ จากเกล็ดแบบพลาคอยด์ (ภาพ ข.) 3) หนามแหลมบนหางปลา (sting) พบในปลากระเบนในครอบครัวไทรโก นดิ ี (trygonidae) เกิดจากเกลด็ แบบพลาคอยด์ (ภาพ ค.) 4) ฟนั เล่ือยบนขอบทั้ง 2 ข้างของรอสทรัม (sawteeth) พบในปลาฉนาก (ภาพ ง.) 5) หนามทีบ่ รเิ วณคอดหาง (lancet ) พบในปลาขีต้ งั เป็ด (ภาพ จ.) ภาพที่ 3.12 ลกั ษณะของเกล็ดท่เี ปล่ยี นรปู ไปเป็นหนามแหลมแบบต่างๆ ทมี่ า: วลั ภา (2558) 2.2.2 อยใู่ นรปู ของสนั กระดูกแขง็ (scutes) (ภาพที่ 3.13) ได้แก่ 1) belly scutes หรือ abdominal scutes มีลักษณะเป็นสนั กระดกู แข็งทสี่ นั ท้อง พบในปลาหลังเขยี ว ปลาแมว ปลาไส้ตนั เปน็ ต้น (ภาพ ก.) วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรียบเรยี งโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลุง

11 ICHTHYOLOGY 2) lateral scutes หรอื caudal scutes) เปน็ สันกระดูกแขง็ ทีม่ ีฟนั แหลมคมอยู่ทบี่ รเิ วณเส้นข้างตัวและคอดหางของปลา พบในปลาสีกนุ ปลาหางไก่ หรือปลาหางแขง็ เปน็ ตน้ (ภาพ ข.) ก. belly scute ข Lateral scute ภาพที่ 3.13 ลกั ษณะของเกล็ดเปลย่ี น.รปู ไปเปน็ สนั กระดูกแข็ง ทม่ี า: ถา่ ยภาพโดยนุสราสนิ ี (2561) 2.2.3 อย่ใู นรปู ของเกราะหมุ้ ตัว (armature) บางสว่ นหรอื ท้ังตัว (ภาพท่ี 3.14) 1) แผน่ กระดูก (bony-plate) เป็นเกราะท่มี ีลกั ษณะเป็นแผน่ กระดูก ปลายแหลมเรยี งเป็นแถวบนหลงั พบในปลาสเตอรเ์ จยี น (ภาพ ก.) 2) เกราะหุ้มตัว (armature plate) เป็นเกราะที่มลี กั ษณะต่อกันเป็นข้อๆ พบในปลาปากแตร ปลาม้าน้า (ภาพ ข.) 3) เกราะลักษณะเป็นกลอ่ ง (box turtle) เป็นเกราะแขง็ มีลกั ษณะเป็น กล่องหุม้ ภายนอกเกือบท้ังตัว ยกเว้นปากกบั โคนหาง พบในปลาสี่เหลย่ี ม (ภาพ ค.) 4) เกราะกระดกู ใส (cuirass) เป็นเกราะบางใสห้มุ ลา้ ตวั เกือบทง้ั หมด พบ ในพวกปลาข้างใส หรอื ปลามีดโกน (ภาพ ง.) 5) เกราะบนหนัง (dermal armature) เปน็ เกราะท่ีมีรูปรา่ งผิดไปจาก เกราะแบบอ่นื ๆ โดยมีลักษณะเป็นหนามแหลมทีต่ ั้งอยู่บนผิวหนัง พบในปลาปกั เป้าหนามทเุ รยี น (ภาพ จ. ) วิทยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรยี งโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พัทลงุ

12 ICHTHYOLOGY ก. ลักษณะเปน็ แผ่นกระดกู ข. ลกั ษณะเป็นเกราะหุม้ ตัว ง. ลักษณะเป็นกระดกู ใส ค. ลักษณะเปน็ กลอ่ ง จ. ลักษณะเป็นหนามแหลม ภาพที่ 3.14 ลกั ษณะของเกลด็ เปล่ียนรูปไปเปน็ เกราะห้มุ ตวั แบบต่างๆ ทม่ี า:ก. http://animal-of-the-world.blogspot.com/ ข. https://www4.fisheries.go.th/local/index.php/ ค. www.bloggang.com/m/viewdiary.php ง. http://boardapr2007.saveoursea.net/ จ. https://sites.google.com/site/haelmhin วทิ ยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรยี งโดยครนู ุสราสินี ณ พัทลงุ

13 ICHTHYOLOGY 2.3 เกล็ดบนเส้นข้างตัว (lateral line scales) เกล็ดบนเส้นข้างตัวจะมีทางให้ปลาติดต่อ สัมผัสกับภายนอกได้ โดยรับความรู้สึกจากการส่ันสะเทือนของน้า ผ่านมากระทบกับเซลล์รับ ความรู้สึก (sensory cells) ซึ่งอยู่ในร่องของเส้นข้างตัว ร่องบนเกล็ดนั้นอาจเป็นรู (pore) หรือเป็น ทอ่ (tube) ซึ่งอาจจะแยกเปน็ 2 ท่อ (bifid) หรอื 3 ทอ่ (third) พบในปลาทว่ั ไป (วมิ ล, 2528) 2.4 การนับเกล็ดปลา ปลาบางชนดิ มีจ้านวนเกล็ดบนอวัยวะบางส่วน เช่น แนวเส้นข้างตัว ตั้งแต่หัวจนถึงโคนหาง และตามแนวเฉยี งจากตอนต้นของโคนครีบหลังถึงเสน้ ข้างตวั และจากเส้นข้าง ตัวลงไปถึงท้อง เกล็ดในที่เหล่านี้ในปลาชนิดเดียวกันจะมีเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน หากแตกต่างกันไป บ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น จ้านวนของเกล็ดปลาในต้าแหน่งต่างๆ จึงสามารถใช้ประกอบการ วิเคราะห์ชนิดปลาได้ถกู ตอ้ งยิง่ ขึน้ (วิมล, 2540 และ สบื สนิ , 2527) การนับเกล็ดปลาเพ่ือประกอบการวเิ คราะห์ชนิดปลา มีตา้ แหน่งส้าคญั 2 แหง่ คือ 1. เกล็ดตามแนวเส้นข้างตัว คือ เกล็ดที่มีท่อประสาทฝังอยู่ต่อเนื่องกันไป เร่ิมต้ังแต่ สว่ นต้นสุดซ่ึงอยกู่ ับชอ่ งเปิดเหงือก นบั ไปทางส่วนหาง จนจรดโคนครบี หางโดยเว้นไม่นับเกล็ดอนั ท่อี ยู่ ฐานก้านครีบหาง 1 อนั 2. นับตามแนวเฉียงจากตอนต้นของฐานครีบหลังอันแรก ถึงเส้นข้างตัวตอนหนึ่ง และตามแนวเกล็ดทตี่ ั้งต้นจากเสน้ ข้างตัวเฉยี งลงไปจนจรดรูก้นอีกตอนหนึ่ง นอกจากการนับในท่ีดังกล่าวแล้ว ยังอาจมีการนับที่อ่ืนด้วยแล้วแต่ชนิดของปลา เช่น จ้านวน เกล็ดท่ีอยู่ระหว่างปลายกระดูกท้ายทอยจนถึงฐานครีบหลัง ใช้นับในปลาที่ไม่มีเกล็ดบนหัวหรือนับ จ้านวนเกลด็ บนแก้มท่ีเรียงลงมาตามแนวเฉียง จากขอบตาถึงมุมแก้มขา้ งล่าง ในจ้าพวกปลาตะเพียน บางชนิด อาจนับจ้านวนเกล็ดตามวงรอบตัวปลาตรงหน้าครีบหลัง และจ้านวนเกล็ดที่คาดรอบโคน หางตอนทแี่ คบหรอื ตอนท่คี อดท่ีสดุ เปน็ ต้น การนับเกลด็ จะบันทึกไวเ้ ป็นสตู ร สมมติวา่ นบั ได้ 44-47 6  7 หมายถึงมีเกล็ด 9 10 44-47 อัน ตามแนวเส้นข้างตัว มีเกล็ด 6-7 อัน จากโคนครีบหลังมาถึงเส้นข้างตัว และมี 9-10 อัน จากเส้นข้างตวั ถงึ รกู น้ ปลาช่อนมีความแตกตา่ งจากปลาชะโดคือ ปลาช่อนมจี ้านวนเกล็ดตามเสน้ ขา้ ง ตวั 52-57 เกลด็ ส่วนปลาชะโดมี 82-91 เกล็ด จะเห็นว่า การนับจ้านวนเกล็ดมิใช่จะถูกต้องแน่นอน เพียงแต่มีค่าใกล้เคียง แต่สามารถใช้ ประโยชน์ในการวิเคราะห์พรรณปลาไดอ้ ยา่ งหนง่ึ นอกเหนือจากการวิเคราะห์จากลักษณะอน่ื ๆ (พิชญา, 2555) (ภาพที่ 3.15) วทิ ยาลยั เทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรียงโดยครูนุสราสินี ณ พทั ลงุ

14 ICHTHYOLOGY 1 2 3 4 …... 1 12 23 ก. การนบั เกลด็ เสน้ ข้างตวั ข. การนับเกลด็ ตามเฉียง 1 2 13 1 1 ค. การนับเกลด็ ที่แกม้ 1 243 ง. การนบั เกลด็ ที่คอดหาง ภาพที่ 3.15 การนับเกลด็ ปลา ที่มา: ถา่ ยภาพโดยนสุ ราสินี (2561) วิทยาลยั เทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรยี งโดยครนู สุ ราสินี ณ พัทลงุ

15 ICHTHYOLOGY บรรณานกุ รม กรมประมง. 2530. ภาพปลาและสตั วน์ า้ ของไทย. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กรงุ เทพฯ. ________. 2557. ปลาลงั . (ออนไลน์) สืบคน้ จาก https://www4.fisheries.go.th/local/file_document/ [10 มถิ นุ ายน 2561]. ________. 2557. ปลาลนิ้ ควายเกลด็ ลนื่ . (ออนไลน)์ สืบค้นจาก https://www4.fisheries.go.th/local/file. [25 มถิ ุนายน 2561]. ________. 2557. ปลาดาบลาวยาว. (ออนไลน)์ สืบคน้ จาก https://www4.fisheries.go.th/local/file. [25 มิถนุ ายน 2561]. ________. 2557. ปลาจาระเมด็ . (ออนไลน)์ สืบค้นจาก https://www4.fisheries.go.th/local/file. [25 มิถนุ ายน 2561]. ________. 2558. ปลาหมอชมุ พร. (ออนไลน)์ สืบค้นจาก https://www.fisheries.go.th/rgm- chumphon/ ปลาหมอชุมพร. [30 มิถุนายน 2561]. กฤษณ์ มงคลปัญญา และ อมรา ทองปาน. 2533. ชวี วทิ ยา. คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. จนั ทมิ า อุปถมั ภ์. 2558. เอกสารประกอบการเรยี นวชิ าชวี วทิ ยาของปลา. วิทยาลยั เกษตรและ เทคโนโลยีสงขลา, สงขลา. เทพ เมนะเศวต. ม.ป.ป. ปลา. กรงุ เทพฯ : กองส้ารวจและค้นคว้า. กรมประมง. ทวีศักด์ิ ทรงศิริกลุ . 2530. คูม่ ือการจา้ แนกครอบครวั ปลาไทย. คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพ. นิตยา เลาหะจินดา. 2539. ววิ ฒั นาการของสตั ว.์ : คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. นริ นาม. มปป. ตวั อยา่ งปลารปู ทรงแบบเสน้ ด้าย. (ออนไลน์) สบื คน้ จาก https://www.google.com/search?biw=1366&bih=608&tbm=isch&sa. [27 มิถุนายน 2561]. นริ นาม. มปป. ปลาผเี ส้ือนกกระจบิ . (ออนไลน์) สืบค้นจาก https://www.google.com/search?q=ปลาผีเสือ้ นกกระจบิ &stick. [27 มิถนุ ายน 2561]. นิรนาม. มปป. ปลาโรนนิ . (ออนไลน)์ สบื คน้ จาก https://news.kapook.com/topics/ปลาโรนนิ . [27 มิถุนายน 2561]. วทิ ยาลัยเทคโนโลยกี ารเกษตรและประมงปัตตานี เรียบเรียงโดยครนู ุสราสินี ณ พทั ลงุ

16 ICHTHYOLOGY บรรณานกุ รม (ตอ่ ) นิรนาม. มปป. เกล็ดแบบพลาคอยด์. (ออนไลน)์ สบื คน้ จาก https://www.google.co.th/search?q=เกล็ด+placoid&tbm=isch&source=iu&ictx=. [27 มถิ นุ ายน 2561]. นิรนาม. มปป. ปลาลูกผง้ึ . (ออนไลน)์ สบื ค้นจาก http://aqualib.fisheries.go.th/mobile/fxp_detail.php?txtFish_id=174 [28 มถิ นุ ายน 2561]. นริ นาม. มปป. ปลาสเตอรเ์ จย้ี น. (ออนไลน)์ สืบคน้ จาก http://animal-of-the-world.blogspot.com/2010/03/blog-post.html [29 มถิ นุ ายน 2561]. นริ นาม. มปป. ปลาแซลมอน. (ออนไลน์) สบื คน้ จาก http://www.flku.jp/ [29 มถิ ุนายน 2561]. นิรนาม. มปป. ปลาสลดิ . (ออนไลน์) สบื คน้ จาก https://www.google.com/search?q= [29 มิถุนายน 2561]. นิรนาม. มปป. ปลากดั . (ออนไลน)์ สบื คน้ จาก www.google.com/search?biw=811&bih [30 มถิ นุ ายน 2561]. นริ นาม. มปป. ปลากดั . (ออนไลน์) สบื คน้ จาก www.google.com/search?biw=811&bih [30 มถิ นุ ายน 2561]. นิรนาม. มปป. ปลาตะเพยี นทราย. (ออนไลน)์ สืบคน้ จาก https://www.google.com/search?q= ปลาตะเพยี นทราย&tbm. [30 มถิ ุนายน 2561]. นริ นาม. มปป. ปลาฉนาก. (ออนไลน์) สืบค้นจาก https://th.wikipedia.org/wiki/ปลาฉนาก [10 สงิ หาคม 2561]. นิรนาม. มปป. ปลาฉลาม. (ออนไลน์) สบื คน้ จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ปลาฉนาก [10 สิงหาคม 2561]. นริ นาม. มปป. ปลาแลมเพรย.์ (ออนไลน)์ สืบคน้ จาก https://www.shutterstock.com/th/image-photo/river-lamprey-isolated- [10 สงิ หาคม 2561]. นิรนาม. มปป. ตา้ แหนง่ ที่ตงั้ ของหนวดปลา. (ออนไลน)์ สืบค้นจาก htttp://www.pfcollege.com/images/column_1529463/.[15 สิงหาคม 2561]. วทิ ยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี เรยี บเรียงโดยครูนุสราสินี ณ พทั ลุง

17 ICHTHYOLOGY บรรณานกุ รม (ตอ่ ) นิรนาม. มปป. เกลด็ ปลา. (ออนไลน)์ สืบคน้ จาก http://zmku.sci.ku.ac.th/ZMKU%20image/Lab%2011_Fish_60_Color.pdf [20 สงิ หาคม 2561]. นิรนาม. มปป. เกล็ดปลา. (ออนไลน)์ สบื ค้นจาก http://zmku.sci.ku.ac.th/ZMKU%20image/Lab%2011_Fish_60_Color.pdf [25 สิงหาคม 2561]. นริ นาม. มปป. เหาฉลาม. (ออนไลน์) สบื คน้ จาก https://www.dmcr.go.th/detailAll/24207/nws/141. [25 สงิ หาคม 2561]. นิรนาม. มปป. ปลาแองเกอร.์ (ออนไลน)์ สืบค้นจาก https://www.google.com/imgres?imgurl=http://www.oknation.net/. [27 สิงหาคม 2561]. นริ นาม. มปป. ปลาซวิ แกว้ . (ออนไลน)์ สืบค้นจาก http://fishbase.se/photos/thumbnailssummary.php?ID=11891 [27 สิงหาคม 2561]. นิรนาม. มปป. ปลานกกระจอก. (ออนไลน์) สบื คน้ จาก https://www.google.com/search?biw=1093&bih. [27 สงิ หาคม 2561]. นิรนาม. มปป. อวยั วะภายในของปลากระดกู อ่อน. (ออนไลน์) สบื ค้นจาก https://athidtiya1995.files.wordpress.com/2014/11/internal-fish3.jpg. [30 สิงหาคม 2561]. นิรนาม. มปป. อวยั วะภายในของปลากระดกู แข็ง. (ออนไลน)์ สืบคน้ จาก https://www.google.co.th/search?biw=1366&bih=667&ei. [30 สงิ หาคม 2561]. บพธิ จารุพนั ธุ์ และนันทพร จารุพันธุ์. 2540. สตั ววทิ ยา. คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์,กรงุ เทพฯ. ประจิตร วงศ์รตั น.์ 2541. มนี วทิ ยา (ปฏบิ ัตกิ าร). คณะประมง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. ประวิทย์ สุรนรี นาถ. 2531. การเพาะเลย้ี งสตั วน์ า้ ทวั่ ไป. ภาควิชาเพาะเลย้ี งสตั ว์น้า คณะประมง มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. วิทยาลยั เทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรยี งโดยครนู สุ ราสินี ณ พัทลุง

18 ICHTHYOLOGY บรรณานกุ รม (ตอ่ ) ประวทิ ย์ สุรนีรนาถ. มปป. ปลากระโทงแทงกล้วย (ออนไลน)์ สบื ค้นจาก http://www.dooasia.com/fish/fish-mf011.shtml. [15 มถิ ุนายน 2561]. ปรชี า สุวรรณพนิ ิจ และนงลักษณ์ สวุ รรณพนิ จิ . 2537. ชวี วทิ ยา 2. พมิ พ์ครั้งที่ 2. : ส้านักพิมพแ์ ห่ง จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, กรงุ เทพฯ. พชิ ยา ณรงค์พงศ์. 2555. มนี วทิ ยา. พิมพ์คร้งั ท่ี 1 ส้านกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรงุ เทพฯ. ราชบณั ฑิตยสถาน. 2525. พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน. อักษรเจรญิ ทัศน์, กรุงเทพฯ. วมิ ล เหมะจันทร. 2528. ชวี วทิ ยาปลา. ส้านักพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. _______________. 2556. ปลาชีววิทยาและอนุกรมวิธาน. สา้ นกั พมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. วรี พงศ์ วฒุ ิพันธ์ชุ ัย. 2536. การเพาะพนั ธป์ุ ลา. ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา. วฒุ ิชัย เจนการ และจิตตมิ า อายุตตะกะ. ม.ป.ป. พฤตกิ รรมของปลาฉลาม. สถาบันประมงนา้ จดื แห่งชาติ กรมประมง, กรงุ เทพฯ. วลั ภา ชวี าภสิ ณั ห์. 2558. เอกสารประกอบการสอนชวี วทิ ยาของปลา. วทิ ยาลัยประมงติณสลู านนท์, สงขลา. สบื สนิ สนธิรตั น.์ 2527. ชวี วทิ ยาของปลา. ภาควชิ าวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง, มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. สุภาพ มงคลประสิทธ.ิ์ 2529. มนี วทิ ยา (ปฏบิ ตั กิ าร). กรงุ เทพฯ : คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. สุภาพร สกุ สเี หลือง. 2538. การเพาะเลยี้ งสัตวน์ า้ .: ศนู ย์สอื่ เสริมกรุงเทพฯ, กรุงเทพ. . 2542. มนี วทิ ยา. ภาควชิ าชวี วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ. อภนิ นั ท์ สวุ รรณรกั ษ์. 2561. มีนวทิ ยา. พิมพ์ครัง้ ท่ี 2 คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้า มหาวิทยาลยั แม่โจ้, เชยี งใหม่. อทุ ัยรัตน์ ณ นคร. 2538. การเพาะขยายพนั ธป์ุ ลา. ภาควิชาเพาะเลย้ี งสตั วน์ า้ คณะประมง, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. วทิ ยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรียงโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พทั ลุง

19 ICHTHYOLOGY บรรณานกุ รม (ตอ่ ) อญั ชลี เอาผล. 2560. ลักษณะอวยั วะภายในของปลานลิ . (ออนไลน์) สบื คน้ จาก http://zmku.sci.ku.ac.th/ZMKU%20image/Lab%2011_Fish_60_Color.pdf. [27 มิถนุ ายน 2561]. Anonymous. 2009. Angler Fish. [online]. (n.d.). Available from: http://www.eyezed.com/. [28 December 2010]. Bigelow, H.B., and Schroeder, W.C. 1995. “Sharks,” Fishes of the Western North Atlantic. The New Encyclopaedia Britannica 19: 208-215. Bond, C.E. 1979. Biology of Fishes. U.S.A.: Saunders, College Publishing. . 1996. Biology of Fishes. 2nd ed. U.S.A.: Saunders College Publishing. Bone, Q and Moore, R.H. 2008. Biology of Fishes. 3th ed. (n.p.): Taylor & Francis Group. Evans, D.H. 1993. The Physiology of Fishes. Florida: CRC Press. “Fishes”. 1995. The New Encyclopaedia Britannica 19: 192.206. Halstead, Bruce W. 1995. Poisonous and Venomous Marine Animals of the world. The New Encyclopacdia Britannica 19: 271-273. Hildebrand, M. 1995. Analysis of Vertebrate Structure. New York: John Wiley & Sons. Jobling, M. 1995. Environmental Biology of Fishes. London: Chapman & Hall. Lagler, K. F., et al. 1977. Ichthyology. New York: John Wiley & Sons. “Lungfishes (Dipnoi)”. 1995. The New Encyclopaedia Britannica 19: 216-218. Marshall, N.B. 1965. The Life of Fishes. London: Weidenfeld and Nicolson. Moyle, P.B. and Cech, Jr., J.J. (1982). Fishes an Introduction to Ichthyology. New Jersey: Prentice-Hall. . 2004. Fishes : an introduction to ichthyology. 5 ed. Upper Saddle River, NJ 07458: Prentice-Hall. Nelson, J.S. 2006. Fishes of The World. 4 ed. Hoboken, New Jersey: John Wiley & Sons. Nikolsky, G.V. 1965. The Ecology of Fishes. London: Acadamic press. Norman, J.R. 1948. A History of Fishes. New York: A.A. Wyn. Pincher, C. 1948. A Study of Fishes. New York: Duell, Sloan & Pearce. วทิ ยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปตั ตานี เรยี บเรียงโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พัทลงุ

20 ICHTHYOLOGY บรรณานกุ รม (ตอ่ ) Schultz, L.P. 1948. The Ways of Fishes. New Jersey: D. Van Nostrand. “The early ray-finned fishes”. 1995. The New Encyclopaedia Britannica 19: 218-223. Webster’s Third New International Dictionary of The English Languagu Unabridged. Volume 2. 1976. Chicago: G & C Mcrrim. วทิ ยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี เรียบเรยี งโดยครนู สุ ราสนิ ี ณ พทั ลงุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook