หนว่ ยที 1 ความรู้เบอื งตน้ เกยี วกับมนี วทยา(Introduction Ichthyology) รวบรวมโดยครูนุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
หวั ขอ้ เรอื ง 1. ความหมายของมีนวทิ ยา 2. ประวตั กิ ารศกึ ษามนี วทิ ยา 3. ความรเู บือ้ งตน เก่ียวกับปลา 4. รูปรางของปลา 5. ขนาดของปลา 6. แหลงท่อี ยูอาศัยของปลา 7. วิธีการดํารงชีวติ ของปลา 8. ประโยชนของปลา 9. อนั ตรายจากปลา รวบรวมโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พทั ลงุ
จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักศึกษาสามารถบอกความหมายของมนี วทิ ยาได 2. นักศึกษาสามารถอธิบายประวัตกิ ารศึกษามีนวทิ ยาได 3. นักศกึ ษาสามารถจําแนกรายละเอยี ดของปลาไดถ กู ตอ ง 4. นักศกึ ษาสามารถอธิบายการดาํ รงชีวติ ของปลาได 5. นักศกึ ษาสามารถบอกประโยชนและโทษของปลาได 6. นักศึกษามคี วามสนใจใฝ รู มีความรับผดิ ชอบเรียนรูดว ยความซ่อื สตั ย มคี ุณธรรม และมมี นุษยส มั พนั ธ ดําเนินชวี ิตตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวบรวมโดยครนู สุ ราสินี ณ พทั ลงุ
สาระการเรียนรู้ มีนวทิ ยา (Ichthyology) หมายถงึ ความรเู ก่ยี วกบั ปลาหรอื วชิ าท่ีศึกษาเก่ยี วกับปลา 1.1 ประวัติการศึกษามนี วิทยา จดุ เร่ิมตน ของการศึกษามนี วิทยาอยางเป็ นแบบแผนเร่ิมในสมยั กรีกโบราณ บคุ คล แรกท่ีศกึ ษาคือ อะรสิ โตเติล (384-322 กอนครสิ ตศ ักราช) ปราชญชาวกรกี ไดศึกษา และบันทกึ เร่ืองราวทางชวี วทิ ยาจนไดช่ือวาเป็ นบิดาทางชวี วทิ ยาและบิดาทางสัตวศาสตร อะริสโตเตลิ ไดใชวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรคน ควา หาความจรงิ ตางๆ ของส่ิงมีชวี ิต สําหรบั ดานสตั วศาสตรก ใ็ ชวธิ กี ารสงั เกต ทดลองผา ตดั อวัยวะภายใน ศกึ ษาการอพยพยา ยถ่นิ การสบื พนั ธขุ องสัตวต า งๆ รวมทัง้ ความรทู ่เี ก่ียวกับปลากม็ ีการบนั ทึกโดยละเอียดถ่ถี ว น และถกู ตอง ยกเวนช่อื ปลาบางชนิดท่ีอาจมีความคลาดเคล่อื นบา งเพราะตอ งอาศัยการ สอบถามจากชาวประมง จึงไมมคี วามแนนอนนัก รวบรวมโดยครนู ุสราสินี ณ พัทลงุ
หลกั วิชามนี วิทยาไดมีการรวบรวมจดั พมิ พและปรบั ปรงุ โดยอา งองิ ผลงานของ อะริสโตเตลิ ตลอดมา นักวทิ ยาศาสตรรนุ หลัง ไดม ีการคน ควา เพ่มิ เติมใหส มบรู ณ ขนึ้ และยึดถอื เป็ นตาํ ราศึกษากันมาจนกระท่งั ทกุ วนั นี ้ จงึ เป็ นท่ียอมรับกันวา อะริสโตเตลิ เป็ นนักมีนวิทยาคนแรก ซ่ึงควรจะไดรบั การยกยอ ง (จินดา, 2525) รวบรวมโดยครูนสุ ราสินี ณ พัทลุง
ศตวรรษท่1ี 7-18 ใน ค.ศ. 1686 ฟรานซิส วลิ โลบี นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษได พิมพผ ลงานเก่ียวกับชวี ประวตั ขิ องปลาอังกฤษโดยไดจ ําแนกพรรณปลาไวจํานวน 420 ชนิด อยางเป็ นระบบและมขี ัน้ ตอนท่ีนาเช่ือถือ งานชนิ ้ นีไ้ ดใชเ ป็ นพืน้ ฐานในการศึกษา แกน ักมีนวทิ ยารุน ตอ ๆ มาเป็ นอยา งดี โดยเฉพาะปี เตอร อารเ ทดิ (ค.ศ.1705-1735) ไดใชพนื้ ฐานจากวลิ โลบมี าปรบั ปรงุ และตงั้ ระบบการวเิ คราะหพ รรณปลาไวอยางดมี าก จนไดใชเ ป็ นหลกั ในการศึกษาทางดานอนุกรมวธิ านในเวลาตอ มาจนถึงปั จจุบัน ดังนัน้ จงึ มกี ารยกยอ งให อารเทดิเป็ นบิดาแหง มนี วทิ ยา ใน ค.ศ. 1738 ภายหลงั การเสยี ชวี ติ ของอารเ ทดิ ผลงานของเขาไดรับการตีพิมพภายใตช่ือวา “SYSTEMA NATURALIST” ผทู ่ีนําออกเผยแพรคือลินเนียสซ่ึงเป็ นเพ่อื นรกั ของอารเ ทดิ ตอ จากนัน้ งานทางดา นมีนวทิ ยาก็ไดรบั การเผยแพรแ ละประชาสมั พันธใหแ พรหลาย ใน ยุโรปไดม ีการศกึ ษาเก่ยี วกับชีววทิ ยาเก่ยี วกับปลามากขนึ้ ทาํ ใหความรูเก่ียวกับปลาเร่ิม กวา งขวางและละเอยี ดขนึ้ รวบรวมโดยครูนุสราสินี ณ พัทลงุ
มาถึงศตวรรษท่ี 19-20 งานทางดานมนี วทิ ยาก็มีการศึกษาแพรห ลายมากขนึ้ ไดแ ก การศกึ ษาทางดานนิเวศวทิ ยา สรีรวิทยา พฤติกรรม กายวภิ าค และอนกุ รมวธิ าน และการศึกษาก็เขา สูก ารศึกษาแบบรว มมือกนั มใิ ชการศึกษาแบบตามลําพงั อีกตอ ไป ทาํ ใหค วามรตู างๆ เก่ียวกบั ปลาย่งิ กวางขวางและลึกซึง้ ขนึ้ ตามลําดบั จนกระท่งั ถงึ ปั จจุบัน (สภุ าพร, 2542) รวบรวมโดยครูนุสราสินี ณ พทั ลุง
1.2 ความรู้เบอื งตน้ เกยี วกบั ปลา การศึกษาเก่ยี วกับปลา ควรจะทาํ ความรูจ ักปลาในเบือ้ งตนกอ นวา ปลาคอื อะไร มีรูปรา งลกั ษณะแบบใด มชี ีวติ ความเป็ นอยู และความสมั พันธก บั ส่งิ แวดลอม หรือมี ประโยชนและโทษตอมนุษยมากนอยเพียงใด (พชิ ยา, 2555) รวบรวมโดยครนู สุ ราสินี ณ พทั ลุง
1.3 ปลาคอื อะไร ในทางมนี วิทยาไดน ิยามความหมายของคําวา ปลา ไววา ปลาเป็ นสัตวเลือดเยน็ มีกระดูกสนั หลงั มขี ากรรไกร เหงอื ก ครบี อาศัยอยใู นนํ้า รางกายมีเกลด็ หรอื เมอื ก ปกคลมุ มีหวั ใจ 2 หอง สว นมากออกลกู เป็ นไข (จินดา, 2555; Lagler et al., 1977) รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พัทลงุ
ในวชิ านีจ้ ะเรียนเฉพาะ “ปลา” ท่อี ยใู นคาํ จาํ กัดความนีเ้ ทานัน้ (วิมล, 2556) 1. เป็ นสตั วท ่ีอาศยั อยูในนํ้าหรอื อยา งนอยตองเป็ นท่ีชืน้ แฉะ 2. เป็ นสัตวเ ลอื ดเยน็ (poikilothermal animal) 3. รา งกายแบง ออกเป็ นสวนหัว ลาํ ตวั และหาง ชดั เจน 4. รา งกายสมมาตรแบบซา ยขวา (bilateral symmetry) ยกเวน กลมุ ปลาซกี เดยี ว 5. รา งกายถกู ปกคลมุ ดวยเกลด็ (scale) หรือมเี มอื กหอหมุ 6. มรี ยางคคูไมเ กิน 2 คู 7. เคล่ือนท่โี ดยใชค รีบ (fin) 8. มีระบบอวัยวะตางๆแยกกันชดั เจน รวบรวมโดยครูนสุ ราสินี ณ พทั ลุง
9. มโี นโทคอรด (notochord) และถกู แทนท่ีดวยกระดกู สันหลังเม่ือเจรญิ วัยขึน้ 10. ระบบโครงสรา งประกอบดวยกระดูกออ นและกระดกู แข็ง (ภาพท่ี 1.1) 11. มีฟั นบนกระดูกขากรรไกร 12. หายใจดว ยเหงอื ก (gill) และมชี องเปิ ดเหงือก (gill slit) ใหนํ้าออกสูภายนอก 13. ระบบทางเดินเลือดเป็ นแบบวงจรปิ ด 14. มหี ัวใจ 2 หอง คือ auricle และ ventricle 15. มีทอประสาทกลวงอยเู หนือทางเดนิ อาหาร 16. มจี มกู สําหรบั ดมกล่นิ เทานัน้ รวบรวมโดยครนู สุ ราสนิ ี ณ พทั ลุง
17. สวนมากมีเสน ขา งตวั (lateral line) 18. มรี ทู วารอยบู รเิ วณสนั ทอ ง 19. เพศผแู ละเพศเมียแยกกนั ชัดเจน 20. การสืบพนั ธุม ที ัง้ ออกไข (oviparous) ออกลกู เป็ นตวั แบบตัวออนไดร ับอาหารจากไขแ ดง (aplacental viviparous) และแบบไดร บั อาหารทางสายสะดือ (placental viviparous) รวบรวมโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พัทลงุ
รปู รา่ งของปลา ปลามรี ูปรางหลายแบบเน่ืองจากความแตกตา งของเผา พันธุ ปลาแตล ะชนิดจะมี พฤตกิ รรมรวมทงั้ ท่ีอยูอาศัยและส่ิงแวดลอ มตางกนั ส่ิงเหลา นีม้ ีอทิ ธิพลทาํ ใหป ลามรี ูปราง แตกตางกนั อยางมาก แตส วนมากแลว ปลามรี ูปทรงกระสวย (torpedo-shaped) คอื บรเิ วณหวั และทายจะเรยี ว สวนทองจะป องออก เชน ปลาทู ปลาลัง ปลาอนิ ทรี ปลาโอ ปลาทูนา ปลาฉลาม เป็ นตน รปู รา งแบบอ่ืนกม็ ี คอื รูปทรงกลม เชน ปลาปั กเป า รูปทรงแบน เชน ปลากระเบน รปู ทรงแบบงู เชน ปลาไหลมอเรย ปลาไหล ปลาตหู นา ( พิชยา, 2555; Lagler et al., 1977) รวบรวมโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พัทลุง
รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
1.4 ขนาดของปลา จากความหลากหลายของสภาพท่อี ยูอาศัย และปั จจัยดา นสภาวะแวดลอ มท่ี แตกตา งกันทาํ ใหป ลามรี ูปรางลกั ษณะตา งกัน ปลาขนาดใหญท ่สี ดุ ในโลก คือ ปลาฉลามวาฬ (Whale shark, Rhincodon typus) มคี วามยาวมากกวา 12 เมตร สว น ปลาขนาดเลก็ ท่สี ดุ ในโลกท่ีคน พบในปั จจุบนั คอื ปลาในกลมุ ตะเพยี นช่อื วา (Paeocypris progenetica) เม่อื โตเตม็ ท่มี ขี นาดเพียง 7.9 มลิ ลิเมตร เทา นัน้ ปลาชนิด นีอ้ าศัยในประเทศอนิ โดนีเซยี และถอื วาเป็ นสัตวม ีกระดกู สันหลังท่มี ีขนาดเลก็ ท่สี ดุ ใน โลกอกี ดวย (ภาพท่ี 1.2) (วมิ ล, 2556) รวบรวมโดยครูนุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
1.5 แหลง่ ทอี ยอู่ าศัยของปลา การท่ปี ลามีมากมายหลายชนิด สาเหตกุ เ็ น่ืองมาจากแหลง ท่ีอยอู าศัยท่ีของปลา พืน้ ท่ี ของโลกปกคลุมดว ยนํ้าไมต ่าํ กวา รอยละ70 ปลาสามารถอยไู ดแทบทุกแหงท่ีมนี ํ้าตัง้ แต มหาสมุทรแอนตารกติก (antarctic) ทีมีอณุ หภูมิต่าํ กวาจุดเยอื กแข็งจนถงึ ในนํ้าพรุ อน มากกวา 40 องศาเซลเซยี ส ในนํ้าจดื สนิทจนถงึ นํ้าเคม็ มากกวา นํ้าทะเลท่ัวไป ในสายนํ้าท่ี ไหลเช่ยี วกรากจนมนษุ ยไมสามารถลยุ ขา มไดจนถึงในนํ้าท่นี ่ิงสงบ ลกึ และมืด ซ่งึ ไมม ีสตั ว มกี ระดกู สนั หลงั ชนิดใดอยูไดยกเวนปลา นอกจากนีป้ ลายงั อยใู นท่ีสูงเหนือระดบั นํ้าทะเล ไดถ ึง 5 กโิ ลเมตร และต่ําลงไปจากระดับนํ้าทะเลไดอ กี ถึง 11 กิโลเมตร ดังนัน้ การท่ปี ลามี ท่ีอยอู าศยั อยางกวา งขวางหลากหลายเชน นี ้ จงึ ทําใหม ีรปู รางท่ีแตกตา งกนั และมีจํานวน ชนิดท่ีมากท่สี ดุ ในจาํ พวกสตั วม ีกระดกู สนั หลังดว ยกนั (พชิ ยา, 2555;Lagler et al., 1977) รวบรวมโดยครนู สุ ราสนิ ี ณ พัทลุง
1.6 วธิ กี ารดาํ รงชีวติ ของปลา ปลาดํารงชวี ิตอยูในนํ้า ทัง้ ในทะเล มหาสมทุ ร แมนํ้า และลําธาร บางชนิดอาศัย อยูใ นถํา้ บางชนิดอาศัยในนํ้าน่ิง นํ้าไหล หรือมกี ารอพยพไปมาระหวา งนํ้าจดื กับนํ้าเคม็ ปลาจะตอ งอาศยั นํ้าเป็ นแหลง ท่อี ยอู าศยั หรือใชช ีวติ สว นใหญอยูในนํ้า หายใจดว ย เหงอื ก บางชนิดมอี วยั วะชว ยในการหายใจเป็ นสัตวเ ลือดเยน็ คือเป็ นสตั วท ่ีอณุ หภูมิ รา งกายเปล่ียนแปลงตามอุณหภูมขิ องส่ิงแวดลอมรอบตัว ปลาแตล ะชนิดมีการกิน อาหารท่ีแตกตา งกัน ปลาบางชนิดกินพชื ปลาบางชนิดกินแพลงกตอน บางชนิดกินสตั ว เป็ นอาหาร รวบรวมโดยครนู สุ ราสนิ ี ณ พัทลุง
1.6 วิธีการดาํ รงชวี ิตของปลา(ตอ่ ) นํ้าเป็ นตัวกลาง (medium) ในการอยอู าศัยของปลา เชน เดียวกับอากาศเป็ นตัวกลาง ของสตั วบกและสัตวป ี ก นํ้าจึงมีอิทธพิ ลตอความเป็ นอยขู องปลาตัง้ แตเกิดจนกระท่งั ตาย เชน เป็ นแหลง ท่เี กดิ กนิ อาหาร ด่มื นํ้า หายใจ เจรญิ เตบิ โต ขบั ถา ย การสังคมรวมฝงู เป็ นตน ดงั นัน้ คุณสมบตั ขิ องนํ้าจงึ มผี ลตอปลาโดยตรง การหายใจของปลา จะใชเหงือกแลกเปล่ยี นออกซเิ จนกับนํ้า แมว า ปลาบางชนิดจะมี อวยั วะอ่นื ชวยหายใจ แตปลากใ็ ชเหงอื กเป็ นอวยั วะหลกั ในการหายใจ ปลาไมสามารถใช ออกซิเจนจากอากาศไดโ ดยตรงเหมอื นคน ดังนัน้ ปริมาณออกซิเจนท่ีละลายในนํ้าจงึ มี ความสําคัญตอชีวิตปลาเป็ นอยา งย่งิ รวบรวมโดยครนู สุ ราสินี ณ พัทลงุ
1.6 วธิ กี ารดาํ รงชวี ติ ของปลา(ต่อ) อาหารท่ปี ลากินกค็ อื พชื นํ้าตางๆ รวมทัง้ แพลงกต อนพืช (phytoplankton) แพลงก ตอนพืชเหลา นีเ้ จรญิ เติบโตเพ่มิ จํานวนไดโดยการสงั เคราะหแสง ดงั นัน้ ปรมิ าณแสงท่ีสอง ลงไปในนํ้าจึงมีผลตอการสรา งอาหารของปลาโดยตรง ปลากินเนื้อจะกนิ พวกแพลงกต อน สัตว (zooplankton) และสตั วอ่ืนรวมทัง้ ปลาดวยกนั เองท่มี ขี นาดเล็กกวา แสงมีความสําคัญตอ การดาํ รงชีวิตของปลา นอกจากจะมีผลตอ การสังเคราะหแ สง ของพืชในนํ้าแลวยงั มผี ลตอ การเจริญเติบโต ความตานทานโรค การกินอาหาร การสืบพันธุ และพฤตกิ รรมอ่นื ๆ หากปลาไดร บั แสงนอยหรือมากเกนิ ความตอ งการแลว จะมีผลใหร ะบบ ตา งๆในรางกายแปรปรวนจนอาจถงึ ตายได รวบรวมโดยครนู สุ ราสินี ณ พทั ลงุ
1.6 วิธกี ารดาํ รงชีวิตของปลา(ต่อ) มลภาวะในนํ้ากส็ ง ผลกระทบตอ ปลาได ซ่ึงสว นใหญเ กิดจากการกระทําของคน เม่ือ นํ้าเป็ นพษิ จะสง ผลกระทบตอปลา ปลาไมส ามารถหลีกหนีไปท่อี ่ืนได จึงตอ งอยูใ นแหลงนํ้า นัน้ และทนอยูกบั ความเป็ นพษิ ตอ ไป โรคพยาธแิ ละศัตรขู องปลา อาจมาจากภายนอกหรอื เกิดจากภายในรางกายกไ็ ด โรคพยาธจิ ากภายนอก เชน ไวรสั แบคทีเรีย รา หนอน โพรโตซัว สตั วจ าํ พวกกงุ -ปู (crustacean) และปลาปากกลม (Lamprey) โรคท่เี กิดจากภายในก็มี เชน มะเรง็ โรคกระดกู โรคตับ โรคความพกิ ารทางรางกาย เป็ นตน ศัตรขู องปลากไ็ ดแกสัตวอ ่ืนๆ รวมทงั้ คนและ ปลาท่ลี า ปลาดว ยกันเอง (Lagler et al., 1977) รวบรวมโดยครูนุสราสนิ ี ณ พทั ลุง
1.7 ประโยชนข์ องปลา ปลาเป็ นสตั วท่ีมีคณุ ประโยชนตอมนษุ ยอ ยางย่งิ และมคี วามสมั พันธก บั มนษุ ยมา นานประโยชนของปลามหี ลายประการดว ยกนั (จินดา, 2525) คือ 1.7.1 เป็ นอาหาร ปลาเป็ นอาหารของมนุษยและสตั วอ ่ืนมานาน ปลาเป็ นอาหาร โปรตีนท่ียอยงา ย มกี รดอะมิโนครบถว น (amino acid) จึงเหมาะกับคนทุกวยั อีกทัง้ เป็ นโปรตนี ท่หี างายราคาถกู ปลาจงึ เป็ นอาหารหลกั ของมนุษยม าโดยตลอด 1.7.2 เป็ นสินคา เม่อื มนษุ ยท ุกชาตกิ นิ ปลา ดังนัน้ จึงเกดิ มีการซือ้ ขายเกิดขนึ้ เป็ นผลใหป ลากลายเป็ นสนิ คาอยางหน่ึง ทัง้ ในรปู ของสดและแปรรปู จะสามารถ พบเหน็ การซือ้ ขายปลาไดทกุ วนั เพราะปลาเป็ นอาหารประจาํ วนั ของมนุษย นับวา เป็ น สนิ คา มาแตโ บราณกาล รวบรวมโดยครนู สุ ราสินี ณ พัทลุง
1.7 ประโยชน์ของปลา(ตอ่ ) 1.7.3 เป็ นตน กําเนิดของอุตสาหกรรม เน่ืองจากปลาเป็ นสนิ คา จงึ เกดิ การแปรรปู เพ่อื เก็บไวน านๆ สะดวกตอ การใชไ ดทุกเวลา การแปรรปู มหี ลายรปู แบบ เชน ทําปลากระป อง ตากแหง ทําเคม็ ปลารา และนํ้าปลา เป็ นตน ขนั้ แรกกท็ าํ เป็ น อตุ สาหกรรมในครวั เรอื น ตอมากพ็ ฒั นาเป็ นอุตสาหกรรมขนาดใหญขึน้ และกอ ให เกดิ อุตสาหกรรมขา งเคยี งตอ เน่ืองกัน เชน การทาํ อาหารสัตว การตอ เรอื โรงงานนํ้าแขง็ รา นขายอุปกรณการประมง โรงงานอุตสาหกรรมหอ งเย็น เป็ นตน 1.7.4 เป็ นประโยชนทางการแพทย เชน การใชก ระเพาะลมของปลาเมีย้ นมาเป็ น ยาบํารุงโลหิต การใชหนังปลานิลมาปิ ดแผลไฟไหม (อภนิ ันท, 2561) รวบรวมโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พัทลุง
1.7 ประโยชน์ของปลา(ตอ่ ) 1.7.7 ประโยชนในดานการศกึ ษาและวิจยั วิชาท่ีศกึ ษาเก่ียวขอ งกบั ปลามหี ลาย อยาง เชน ชลธีวิทยา นิเวศวิทยา สมุทรศาสตร สว นศาสตรป ระยกุ ตก ม็ ี เชน การเพาะ เลีย้ งสตั วนํ้า ผลิตภัณฑสตั วนํ้า นอกจากนีย้ ังมกี ารศกึ ษาท่เี ก่ียวเน่ืองกบั วทิ ยาศาสตร สาขาอ่นื ๆ เชน การใชปลาทดลองเพ่ือศึกษาความเป็ นพิษของสารพษิ ในนํ้า เป็ นตน (จนิ ดา, 2525) รวบรวมโดยครูนสุ ราสินี ณ พทั ลงุ
1.7 ประโยชนข์ องปลา(ต่อ) 1.7.8 เพ่อื เป็ นกฬี า ทอ งเท่ียว และนันทนาการ เกมสการตกปลาเป็ นการพกั ผอ น และเป็ นกีฬา รวมถึงการสรางแหลง งานใหกับคนจํานวนมาก ท่ีอยูใ นธรุ กจิ ท่ีเก่ยี วของ เชน เบด็ เรือ เหย่อื ท่พี กั รา นอาหารและอ่ืนๆ การสรางสถานแสดงพรรณสัตวนํ้าเพ่ือ การวจิ ัยและเป็ นแหลงพกั ผอนหยอนใจ (อภนิ ันท, 2561) 1.7.9 เป็ นสว นหน่ึงของส่งิ แวดลอม ปลาสว นใหญเป็ นสวนประกอบท่สี าํ คญั ของ ระบบนิเวศ เน่ืองจากเป็ นผทู ่ีอยใู นชนั้ บนของหว งโซอาหาร ปลาเป็ นแหลง เตือนภยั ทางส่ิงแวดลอ ม (อภินันท, 2561) รวบรวมโดยครูนุสราสนิ ี ณ พทั ลุง
อนั ตรายจากปลา แมวา ปลาสว นใหญจ ะมปี ระโยชนตอมนุษย แตก ม็ ีบางท่เี ป็ นโทษหรอื มอี นั ตรายถงึ ชีวติ เราจงึ ควรไดร ูจักไวเพ่ือเป็ นการป องกันตัวจากอันตรายเหลา นัน้ ซ่ึงไดแก 1. ปลากินคน โดยเฉพาะปลาฉลามเป็ นปลาท่ีดุรา ย หากเหน็ เรอื ขนาดเลก็ ปลาเหลา นีอ้ าจเขาโจมตที ําใหเรอื ลมแลว กดั กินเหย่ือปลาฉลามท่ีเป็ นอนั ตรายมีเพยี งบางชนิด เชน ปลาฉลามขาวหรือฉลามกินคน (White shark, Man-eater, Carcharodon carcharias- เป็ น ชนิดท่ดี ุรายท่สี ุด) สว นปลาฉลามวาฬซ่ึงมีขนาดใหญมากไมเ ป็ นอนั ตรายตอมนุษย ปลาชนิดนีก้ ินแตเ พยี งปลาและส่งิ มชี วี ติ ขนาดเล็กเทา นัน้ ปลาฉลามท่ีไมเป็ นอันตรายมี ประมาณรอยละ 85 ของปลาฉลามทัง้ หมด (bigelow and Schroeder, Pygocentrus 1995) นอกจากนีก้ ็มีปลาปิ รันยา (Piranhas หรอื Piranya) เป็ นปลาพนื้ เมอื งใน อเมรกิ าใต สกลุ Serrasalmus และ จดั วาเป็ นสกุลปลานํ้าจืดท่ดี ุรา ยท่ีสุดในโลก ชอบ หากนิ เป็ นฝงู สามารถรุมกนิ มนษุ ยหรือสตั วข นาดใหญไ ดห มดภายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะมีฟั นท่ีคมกริบเหมอื นใบมดี แตก ม็ ปี ลาปิ รันยาหลายชนิดท่ีเป็ นปลากนิ พชื และมี นิสัยไมด รุ า ย (สภุ าพร, 2542) รวบรวมโดยครูนุสราสินี ณ พัทลุง
อันตรายจากปลา(ตอ่ ) 2. พิษจากตอ มพิษ ปลาบางชนิดมีตอ มพษิ ตามสว นตางๆของรางกาย สว นใหญ จะอยตู ามเง่ยี งหรอื กานครีบแข็ง เชน ปลามงั กร ปลากะรงั หวั โขน ปลาหิน ปลากระเบน บางชนิด ปลากลุมนีม้ พี ษิ รา ยแรงถึงขนั้ ทาํ ใหเสียชีวิตไดภายในเวลาอนั รวดเรว็ สวน ปลาอ่ืนๆมพี ษิ เพียงแตทําใหเ จ็บปวดเทา นัน้ เชน ปลากด ปลาแขยง ปลาดุก ปลาสลดิ หนิ ปลาขตี ้ งั เป็ ด ปลาฉลามบางชนิด (สืบสนิ , 2527) รวบรวมโดยครูนุสราสนิ ี ณ พัทลุง
อนั ตรายจากปลา(ต่อ) 3. เนื้อเป็ นพิษ ปลาบางชนิดมเี นื้อเป็ นพษิ โดยเฉพาะปลาปั กเป า (Tetraodontidae) มีพิษทาํ ใหช าหรอื เป็ นอมั พาตและอาจถึงแกชวี ติ หากรักษาไมท ัน เนื้อปลาปั กเป าอาจรับประทานได ถา ไดร บั การลา งและทําอยางถกู วิธี ชาวญ่ีป นุ เป็ นชนชาติ ท่มี คี วามรูในการประกอบอาหารจากเนื้อปลาชนิดนี ้ (Halstead, 1995) สวนปลาอ่ืนท่ีมพี ิษ สว นใหญจ ะเป็ นเพราะอาหารท่ปี ลากินเขาไปสะสมอยูในเนื้อ เม่ือมนุษยรับประทานปลา นัน้ เขาไปจงึ เกิดเป็ นพิษ เชน ปลาบาหรือปลาพลวงในบางฤดูอาจกนิ เมล็ดพชื บางชนิดซ่ึงมี พษิ เขาไป หรอื ปลาบางชนิดกินแพลงกต อน ในบางฤดกู าลจะมีแพลงกตอนท่เี ป็ นพษิ เกดิ ขนึ้ มาก และปลาไดก นิ แพลงกต อนนัน้ เขา ไปสะสมในตวั ทําใหเนื้อเป็ นพิษตอมนษุ ยท่รี ับ ประทานปลานัน้ เขา ไป รวบรวมโดยครนู สุ ราสินี ณ พัทลงุ
อันตรายจากปลา(ต่อ) 4. กระแสไฟฟ า ปลาท่มี กี ระแสไฟฟ ามีอยไู มม ากนัก แตอันตรายตอมนษุ ยม ี ไดตัง้ แตร ูส ึกชาไปจนถึงขนั้ เสยี ชีวติ ปลาท่ีมีกระแสไฟฟ า เชน ปลาไหลไฟฟ า ปลาดุกไฟฟ า ปลากระเบนไฟฟ า เป็ นตน (วมิ ล, 2528) รวบรวมโดยครูนุสราสินี ณ พทั ลงุ
เอกสารอ้างอิง รวบรวมโดยครูนสุ ราสินี ณ พทั ลงุ
เอกสารอา้ งองิ (ตอ่ ) รวบรวมโดยครูนสุ ราสนิ ี ณ พทั ลงุ
แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรยี น หนว่ ยที1 เรอื ง ความรู้เบอื งตน้ เกียวกับมีนวทิ ยา 1. Ichthyology หมายถึง ก. วิชาท่ศี ึกษาเก่ียวกบั กุง ข. วิชาท่ศี ึกษาเก่ียวกับปลา ค. วชิ าท่ศี ึกษาเก่ียวกับหอย ง. วชิ าท่ีศกึ ษาเก่ียวกับสัตวน ํ้า จ. วิชาท่ีศึกษาเก่ยี วกับปลิงทะเล 2. นักมีนวทิ ยา หมายถึง ก. นักวทิ ยาศาสตรท ่ที าํ การศึกษาเก่ยี วกับกุง ข. นักวทิ ยาศาสตรท ่ที าํ การศกึ ษาเก่ียวกับปลา ค. นักวิทยาศาสตรท ่ที าํ การศกึ ษาเก่ยี วกบั หอย ง. นักวิทยาศาสตรท่ีทาํ การศกึ ษาเก่ยี วกับสัตวนํ้า จ. นักวิทยาศาสตรท ่ีทําการศึกษาเก่ยี วกับปลงิ ทะเล รวบรวมโดยครนู ุสราสินี ณ พทั ลงุ
แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรยี น หนว่ ยท1ี เรือง ความรเู้ บืองตน้ เกยี วกบั มีนวทิ ยา 3. บุคคลแรกท่ีศกึ ษามีนวทิ ยาคอื ใคร ก. สมทิ ข. อรสิ โตเตลิ ค. ปี เตอร ง. ฟรานซิส จ. ลนิ เนียส ง. ฟรานซิส จ. ลนิ เนียส 4. นักมีนวทิ ยาคนแรกคือ ง. ฟรานซิส จ. ลนิ เนียส ง. 4 หอง จ. 5 หอง ก. สมิท ข. อริสโตเติล ค. ปี เตอร ง. ครีบ จ. ถงุ ลม 5. บดิ าแหงมนี วทิ ยาคอื ก. สมิท ข. อริสโตเติล ค. ปี เตอร 6. ปลามีหัวใจก่หี อ ง ก. 1 หอง ข. 2 หอ ง ค. 3 หอง 7. ปลาหายใจดวยอวยั วะใด ก. จมกู ข. เหงือก ค. เกลด็ รวบรวมโดยครูนสุ ราสินี ณ พัทลงุ
แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรียน หน่วยท1ี เรอื ง ความร้เู บืองตน้ เกียวกบั มีนวิทยา 8. ปลาท่มี ีขนาดใหญท ่ีสดุ ในโลกคอื ก. ปลาโลมา ข. ปลาอนิ ทรี ค. ปลาหมอทะเล ง. ปลาฉลามวาฬ จ. ปลาฉลามหวั คอน 9. กระเพาะลมของปลาชนิดใดท่สี ามารถนํามาทําเป็ นยาบาํ รุงโลหิตได ก. ปลานิล ข. ปลาเมยี ้ น ค. ปลาแซลมอน ง. ปลากะพงขาว จ. ปลาฉลามหวั คอ น 10. ปลาชนิดใดมตี อ มพิษ ก. ปลาตีน ข. ปลาปั กเป า ค. ปลามงั กร ง. ปลาจาระเม็ด จ. ปลากะพงขาว รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลุง
แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน หน่วยที1 เรือง ความรเู้ บอื งต้นเกียวกับมนี วทิ ยา 11. ปลาชนิดใดอาศัยอยูไ ดท ัง้ ในนํ้าจืด นํ้ากรอย และทะเล ก. ปลานิล ข. ปลาทู ค. ปลาตะกรบั ง. ปลากะพงขาว จ. ปลากะรงั หัวโขน 12. ปลาท่ีมขี นาดเลก็ ท่ีสุดคอื ตัวเลือกใด ก. ปลากดั ข. ปลาสลดิ ค. ปลาชะโด ง. ปลากระด่ี จ. ปลาตะเพียน 13. ปลาชนิดใดชวยกาํ จัดแมลง ก. ปลาสอด ข. ปลาทอง ค. ปลากนิ ยุง ง. ปลานิล จ. ปลากะพงขาว รวบรวมโดยครนู ุสราสนิ ี ณ พทั ลุง
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรยี น หนว่ ยที1 เรอื ง ความรูเ้ บืองต้นเกยี วกบั มนี วทิ ยา 14. ปลาชนิดใดไดช่ือวา เป็ นปลากนิ คน ก. ปลาปั กเป า ข. ปลาฉลามขาว ค. ปลาหมอทะเล ง. ปลาฉลามวาฬ จ. ปลากะรังหวั โขน 15. ปลาปิ รันยาสกุลใดท่ีมนี ิสัยดรุ ายท่สี ุดในโลก ก. Catoprion ข. Pygopristis ค. Pristobrycon ง. Pygocentrus จ. Serrasalmus 16. ปลาชนิดใดเนื้อเป็ นพษิ ก. ปลาปั กเป า ข. ปลากระเบน ค. ปลาฉลาม ง. ปลาขีต้ ังเป็ ด จ. ปลากะรงั รวบรวมโดยครูนุสราสนิ ี ณ พทั ลงุ
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรียน หนว่ ยท1ี เรือง ความร้เู บอื งตน้ เกียวกับมนี วิทยา 17. ปลาชนิดใดมีกระแสไฟฟ า สามารถทาํ อนั ตรายตอมนุษยไ ด ก. ปลากด ข. ปลาดุก ค. ปลาปิ รันยา ง. ปลาปั กเป า จ. ปลาไหลไฟฟ า 18. ปลาชนิดใดมีรปู ทรงกระสวย ก. ปลานิล ข. ปลาดาบ ค. ปลาไหล ง. ปลาทู จ. ปลาจาระเมด็ 19. ปลาชนิดใดมรี ูปทรงกลม ก. ปลานิล ข. ปลาปั กเป า ค. ปลาดาบเงนิ ง. ปลาจาระเมด็ จ. ปลานวลจันทร 20. ปลาชนิดใดมีรูปทรงแบบงู ก. ปลากระทงุ เหว ข. ปลาดาบลาว ค. ปลาพระจันทร ง. ปลาไหลไฟฟ า จ. ปลาฉลาม รวบรวมโดยครูนสุ ราสินี ณ พัทลุง
สวสั ดีค่ะ รวบรวมโดยครนู สุ ราสนิ ี ณ พทั ลุง
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: