เอกสารคำ� แนะน�ำที่ 5/2560 เทคโนโลยกี ารเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิตไมด้ อกไมป้ ระดับ พมิ พ์คร้งั ที่ 1 : จ�ำนวน 5,000 เลม่ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2560 จัดพิมพ์ : กรมส่งเสรมิ การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิมพ์ท ี่ : บรษิ ัท นิวธรรมดาการพิมพ์ (ประเทศไทย) จ�ำกดั
ค�ำนำ� การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นปัจจัยที่ส�ำคัญ ทที่ ำ� ใหเ้ กษตรกรผปู้ ลกู ไมด้ อกไมป้ ระดบั มคี วามเขม้ แขง็ มคี วามยง่ั ยนื ในสภาวะปัจจุบันท่ีตลาดมีการแข่งขันสูง โดยมีจุดมุ่งหมายที่ส�ำคัญ 3 ประการ คือ 1. การลดต้นทุนการผลิต เช่น วัสดุทางการเกษตร แรงงาน ที่ดิน ฯลฯ 2. การเพ่ิมผลผลิตต่อหน่วยพ้ืนท่ี รวมทั้ง ลดการสูญเสียผลผลิตตลอดกระบวนการผลิตจนถึงปลายทาง และ 3. การพัฒนาคุณภาพผลผลิต โดยผลิตให้ตรงตามความต้องการ ของตลาด ซ่ึงจะท�ำให้เกษตรกรมีผลตอบแทนสุทธิหรือก�ำไร จากการผลิตไม้ดอกไม้ประดับเพิ่มมากข้ึน ทั้งน้ี จ�ำเป็นต้องอาศัย เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพผลิตท่ีเหมาะสม ร่วมกับการบริหาร จัดการแปลงและผลผลิต เอกสารคำ� แนะนำ� ความรทู้ างการเกษตร เรอื่ ง “เทคโนโลยี การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ ไมด้ อกไมป้ ระดบั ” เลม่ นี้ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร จัดท�ำขึ้นเพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีส่งเสริมการเกษตรใช้เป็นคู่มือ ส่งเสริมเกษตรกรในการพัฒนาไม้ดอกไม้ประดับ รวมท้ังให้เกษตรกรได้น�ำ ไปใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง โดยรวบรวม และเรียบเรียงเทคโนโลยีการเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิตไม้ดอก ไม้ประดับชนิดต่างๆ ท่ีนิยมปลูกมากในปัจจุบัน ทั้งนี้ หวังว่าจะเกิด ประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ เกษตรกร และผู้สนใจในการประกอบอาชีพ ไมด้ อกไม้ประดับ ใหม้ ีความมน่ั คงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต กรมส่งเสรมิ การเกษตร 2560
สารบัญ หน้า บทนำ� 1 เทคโนโลยกี ารเพิ่มประสิทธภิ าพการผลติ • กล้วยไม้ตัดดอกสกลุ หวาย 5 • กหุ ลาบตัดดอก 9 • เบญจมาศตัดดอก 13 • ดาวเรอื งตดั ดอก 17 • มะลิ 20 • ครสิ ตม์ าส 23 • ไมก้ ระถาง 25 เอกสารอ้างองิ 28
บทน�ำ เท ไม้ดอกไม้ประดับ หมายถึง พรรณไม้ที่มีความงามจากดอก ใบ ต้น หรือทรงพุ่ม นิยมปลูกเพื่อตกแต่งบ้านเรือน และใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา จ�ำแนก ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ แบง่ เปน็ ประเภทต่างๆ ได้ดังนี้ 1. ไม้ตัดดอก เป็นพืชท่ีมีดอกสวยเด่น สีสดใส มีก้านดอกยาว และมีอายุการใช้งาน ได้นาน เช่น กล้วยไม้ตัดดอก กุหลาบตัดดอก เบญจมาศตัดดอก หน้าวัวตัดดอก บัวหลวง เปน็ ต้น 2. ไมด้ อกกระถาง เป็นพืชท่ีให้ดอกสวยงาม มีปริมาณดอกต่อต้นจ�ำนวนมาก เมื่อน�ำ มาปลูกในกระถาง มีความสวยงาม เช่น กล้วยไม้กระถาง กุหลาบกระถาง หนา้ วัวกระถาง พิทเู นีย แพงพวย กล็อกซีเนยี เปน็ ต้น 3. ไม้ตดั ใบ เป็นพืชที่ใบมีรูปทรงแปลกสวยงาม หรือมีสีสวยงาม มีอายุปักแจกัน ได้นาน เช่น หมากผู้หมากเมยี ฟโิ ลเดนดรอน เฟนิ ใบหนงั เฟินนาคราช เปน็ ต้น 4. ไม้ใบกระถาง เป็นพืชท่ีมีลักษณะเด่นที่ใบสวยงาม มีสีสันสดใส มีทรงต้นสวยงาม เม่อื นำ� มาปลกู ในกระถาง เช่น บอนสี แก้วกาญจนา ไผก่ วนอิม ลนิ้ มงั กร เป็นต้น 5. ไม้เด็ดดอก เป็นพืชที่ให้ดอกสวย บางชนิดมีกล่ินหอม ไม่เห่ียวเฉาง่ายหลังเด็ดจากต้น นยิ มใช้รอ้ ยพวงมาลัย เชน่ มะลิ ดาวเรอื ง จำ� ปี จำ� ปา รกั เป็นตน้ 6. ไม้จดั สวน ใชป้ ระโยชน์เพอื่ การประดับตกแต่งสวนใหส้ วยงาม แบ่งได้เปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ เทคโนโลยกี ารเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการผลิตไม้ดอกไม้ประดบั 1
6.1 ไม้คลุมดิน เป็นพืชท่ีมีล�ำต้นเลื้อยทอดไปตามผิวดิน หรือมีล�ำต้น เต้ียมาก ใบปกคลุมดนิ เชน่ เศรษฐเี รอื นใน เศรษฐเี รือนนอก ดาดตะกัว่ กาบหอยแครง คณุ นายตนื่ สาย เปน็ ต้น 6.2 ไม้พุ่ม เป็นพืชท่ีมีล�ำต้นเป็นพุ่มสูงไม่เกิน 6 เมตร เช่น โมกพวง ทองอไุ ร พุดพิชญา พุดสามสี เป็นต้น 6.3 ไมย้ นื ต้น เป็นพชื ทมี่ ลี �ำต้นสูงเกนิ 6 เมตร เช่น จามจุรี ราชพฤกษ์ หางนกยูง ชมพูพนั ธ์ทุ พิ ย์ เป็นตน้ แนวทางและวิธีการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิตไมด้ อกไมป้ ระดบั 1. การคัดเลือกพื้นทท่ี ่ีเหมาะสม ปจั จัยทีค่ วรพจิ ารณา ได้แก่ 1.1 แสงสว่าง ได้แก่ ความเข้มของแสง และชว่ งแสงหรือระยะเวลา นานของแสงในแตล่ ะวัน ซ่ึงจะแตกต่างกันตามชนดิ พชื เชน่ มะลิชอบแสงแดดเต็มที่ ส่วนเฟนิ ชอบทีร่ ม่ เบญจมาศต้องการช่วงแสงสัน้ เพอ่ื การออกดอก เปน็ ต้น 1.2 อณุ หภมู ิ ไมด้ อกไมป้ ระดบั ทเี่ จรญิ เตบิ โตไดด้ ีในสภาพทม่ี อี ากาศรอ้ น ได้แก่ กล้วยไม้ (เช่น สกุลหวาย มอคคารา แวนดา แคทลียา) บัว ปทุมมา ธรรมรักษา ดาหลา หน้าวัว ดาวเรือง มะลิ เป็นต้น ไม้ดอกไม้ประดับท่ีเจริญเติบโต ได้ดใี นสภาพทม่ี อี ากาศเย็น ได้แก่ กหุ ลาบ เบญจมาศ คาร์เนชั่น ลลิ ล่ี เยอบีรา่ กล้วยไม้ (ซมิ บีเดยี ม ฟาแลนอปซสิ ) 1.3 ดิน ไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกลงดิน ควรเป็นดินท่ีมีความลึก พอประมาณ ลักษณะร่วนซุย ถ่ายเทอากาศได้ดี ระบายน�้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์สูง และมีค่าความเป็นกรดเล็กน้อย – เป็นกลาง ไม่เป็นพ้ืนท่ีท่ีมีน�้ำท่วมขัง ส�ำหรับ พืชที่ต้องปลูกในโรงเรือน โครงสร้างดินต้องแข็งแรงเพื่อรองรับโรงเรือนได้อย่างมั่นคง ไม่เปน็ บริเวณทม่ี ลี มพดั แรง 1.4 นำ้� มีปรมิ าณนำ้� เพยี งพอตอ่ การผลิตไมด้ อกไมป้ ระดับตลอดปี 2 กรมสง่ เสรมิ การเกษตร
2. การใช้พันธุ์ดี คือ พันธุ์ท่ีให้ผลผลิตสูง คุณภาพผลผลิต เป็นที่ต้องการ ของตลาด ทนทานต่อสภาพแวดล้อมท่ีไมเ่ หมาะสมและโรคแมลงศตั รพู ืช 3. โรงเรอื น ไมด้ อกไมป้ ระดบั หลายชนดิ ตอ้ งปลกู และดแู ลรกั ษาในโรงเรอื น ซ่ึงต้องสร้างโรงเรือนให้แข็งแรง มีการพรางแสงด้วยตาข่ายพรางแสงที่เหมาะสมกับ ความตอ้ งการแสงของพชื มีความสงู ทเี่ หมาะสมเพือ่ ให้โปรง่ และมกี ารระบายอากาศทด่ี ี พืชบางชนิดต้องการโรงเรือนมุงหลังคาพลาสติก เพื่อป้องกันฝน และการแพร่กระจาย ของเช้อื โรค โดยเฉพาะพืชทมี่ ีราคาสูง 4. วัสดุปลูก กรณีไม้กระถางต้องใช้วัสดุปลูกคือดินผสมกับวัสดุอ่ืน ซ่ึงเมื่อผสมแล้วต้องได้วัสดุปลูกท่ีมีปริมาณธาตุอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ของพืช มีความโปร่ง ร่วนซุย ระบายน�้ำและอากาศได้ดี มีค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่เหมาะสม 5. การปฏิบตั ิดแู ลรักษา 5.1 การปรับสภาพดิน ได้แก่ สภาพทางกายภาพ ความเป็นกรด เปน็ ดา่ ง และความอดุ มสมบรู ณข์ องธาตอุ าหารในดนิ ควรใชส้ ตู รและปรมิ าณทเ่ี หมาะสม กับช่วงการเจรญิ เตบิ โตตามคำ� แนะน�ำ หรือตามค่าวเิ คราะหด์ ินเพ่ือลดตน้ ทนุ ทีไ่ มจ่ ำ� เป็น 5.2 การจัดการน้�ำ ควรให้น้�ำสม่�ำเสมอตามความเหมาะสม ปริมาณ ขน้ึ กบั สภาพความชน้ื ในอากาศ และความชน้ื ในดนิ หรอื ในวสั ดปุ ลกู หากดนิ หรอื วสั ดปุ ลกู ยังมีความชื้นเพียงพอ ก็ไม่จ�ำเป็นต้องให้น้�ำ เพราะหากดินชื้นแฉะหรือวัสดุปลูกอุ้มน้�ำ มากเกินไป จะทำ� ให้เกดิ โรคจากเชือ้ ราไดง้ า่ ย 5.3 การจดั การศตั รพู ชื ปจั จบุ นั แนะนำ� ใหใ้ ชก้ ารปอ้ งกนั กำ� จดั ศตั รพู ชื แบบผสมผสานหลายวธิ ีรว่ มกนั ไดแ้ ก่ • วิธีกล เป็นการท�ำลายศัตรูพืชโดยตรง เช่น การเก็บไข่แมลง หรือหนอนทง้ิ การตดั ทำ� ลายใบหรือต้นทเี่ ป็นโรค ฯลฯ • ชีววิธี เป็นการใช้สิ่งมีชีวิตด้วยกันในการก�ำจัดศัตรูพืช เช่น การใช้แมลงศัตรูธรรมชาติในการท�ำลายแมลงศัตรูไม้ดอกไม้ประดับ การใช้เชื้อรา ทำ� ลายแมลง การใช้เชอื้ รา เช่น ไตร์โคเดอรม์ ่า ในการควบคมุ เช้อื ราศัตรูพชื ฯลฯ เทคโนโลยกี ารเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการผลิตไม้ดอกไมป้ ระดับ 3
• สารอนนิ ทรยี ์ เปน็ การนำ� เอาสารในธรรมชาตมิ าปอ้ งกนั ทำ� ลาย แมลงศตั รพู ชื เช่น สารสะเดา ยาสบู พริก ฯลฯ • การใชส้ ารเคมปี อ้ งกนั กำ� จดั ศตั รพู ชื แนะนำ� ใหส้ ลบั กลมุ่ สารเคมี ตามกลไกการออกฤทธ์ิ โดยไมใ่ ชส้ ารเคมีในกลุ่มเดียวกันฉีดพ่นซำ�้ กนั มากกว่า 2 ครั้ง 5.4 การตัดแต่งก่ิง เพ่ือให้มีทรงพุ่มท่ีสวยงาม ให้กิ่งที่สมบูรณ์ เพ่ิมปริมาณและคุณภาพของดอก ดูแลรักษาได้ง่าย รวมท้ังการบังคับให้ออกดอก ในช่วงเวลาที่ตอ้ งการ (นอกฤดู) 5.5 การเดด็ ยอด ไมด้ อกบางชนดิ ตอ้ งมกี ารเดด็ ยอด เพ่อื เพม่ิ คณุ ภาพ ของดอก ท�ำใหข้ นาดดอกใหญ่ กา้ นดอกยาว แข็งแรง ดอกดก ขนาดดอกเท่ากัน และ บานพรอ้ มกัน 5.6 การใชส้ ารควบคมุ การเจรญิ เตบิ โต เพอื่ ควบคมุ ทรงตน้ ใหไ้ ดข้ นาด ตามต้องการหรือสารส่งเสริมตาดอกให้ผลิออกพร้อมกันเป็นชุด ในไม้ดอกบางชนิด มีความจ�ำเป็นต้องใช้สารดังกล่าว แต่ต้องต้องศึกษาวิธีการใช้อย่างละเอียดและใช้ใน ระยะเวลาท่ีเหมาะสม เพื่อใหเ้ กิดประสิทธิภาพสูงสดุ 6. การเก็บเก่ยี วและการปฏิบัตหิ ลงั เกบ็ เก่ียว 6.1 การเก็บเกี่ยว ต้องเก็บเกี่ยวตามเวลาที่ให้ผลผลิตสูงสุด และหรือ คุณภาพดีที่สุด หรือเก็บเก่ียวก่อนเกิดความเสียหาย ใช้วิธีการเก็บเกี่ยวท่ีเหมาะสม อุปกรณ์ช่วยในการเก็บเกี่ยว เช่น มีด กรรไกร ต้องมีความคม และสะอาด ในไม้ดอก บางชนิดท่ีมีราคาสูงและมีโอกาสแพร่กระจายของโรคในช่วงการเก็บเกี่ยวได้ง่าย ต้อง จุ่มมดี ในน�้ำยาฆ่าเชอ้ื โรคบ่อยๆ 6.2 การปฏิบัติหลังเก็บเกี่ยว เม่ือเก็บเกี่ยวไม้ตัดดอกแล้ว ให้รีบ น�ำมาไว้ในที่ร่ม ตัดก้านดอกในแนวเฉียง แล้วแช่น�้ำสะอาดทันที เพื่อให้ดูดน�้ำได้มาก ส่วนไม้เด็ดดอก ถ้าต้องการยืดอายุการเก็บรักษา เก็บแล้วต้องแช่ในน้�ำเย็น และใส่ ถงุ พลาสตกิ แชใ่ นนำ้� แขง็ คดั คณุ ภาพผลผลติ โดยแยกดอกทไ่ี มส่ มบรู ณอ์ อก และคดั แยก ตามเกรดทก่ี ำ� หนด ลดความช้นื เพอ่ื ป้องกนั ความเสยี หายในขณะรอจ�ำหนา่ ย 7. การปรบั ระบบการปลกู พชื เพอื่ ใชป้ ระโยชนจ์ ากพนื้ ทใี่ หม้ ากขนึ้ เปน็ การ เพ่ิมผลผลิต เช่น การปลูกพืชผสมผสาน การปลูกพืชแซม การปลูกพืชเสริมรายได้ ในขณะทีพ่ ืชหลักยังไมใ่ หผ้ ลผลติ การเพ่มิ จำ� นวนครง้ั ต่อปีในการปลูกพชื เป็นต้น 4 กรมสง่ เสริมการเกษตร
เทคโนโลยกี ารเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการผลิต กลว้ ยไม้ตดั ดอกสกุลหวาย ประเทศไทยเป็นผู้น�ำในการผลิตและการส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกเมืองร้อน ของโลกมาเปน็ เวลายาวนานอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซง่ึ การผลติ กลว้ ยไมค้ ณุ ภาพดี ตอ้ งมสี ภาพดอก ต้น ใบ และรากสมบูรณ์ ปราศจากรอยต�ำหนิหรือการท�ำลายจากโรคและศัตรูพืช ดอกมสี สี นั สวยงาม จำ� นวนดอกและขนาดเปน็ ไปตามมาตรฐาน มคี วามคงทน โดยเกษตรกร ต้องมีความรู้ มีการปฏิบัติอย่างถูกต้องในการปลูกและดูแลรักษา ต้องมีการวางแผน และการจัดการการผลติ ทด่ี ดี ว้ ย โดยมขี ั้นตอนในการปฏบิ ตั ิสำ� คัญทค่ี วรคำ� นงึ ถึง ดงั นี้ การเลือกพน้ื ทปี่ ลูก ควรเป็นพื้นที่ราบ และไม่มีปัญหาน�้ำท่วม น�้ำเค็ม มีอุณหภูมิเฉลี่ยท้ังปี 25–35 องศาเซลเซยี ส ความชนื้ สมั พทั ธร์ อ้ ยละ 50–60 มีการถา่ ยเทอากาศดี มีน้ำ� เพียงพอ ตลอดปี และการคมนาคมขนส่งสะดวก การเตรยี ม ใช้ตน้ จากการเพาะเลีย้ งเนอื้ เย่ือ หรือแยกล�ำหน้าและล�ำหลัง การปลูกและการดูแลรักษา โรงเรือน ควรมีความสูงอย่างน้อย 4.50 เมตร และพรางแสง ด้วยตาข่ายสีด�ำ 40-50 % โดยขึงตาข่ายพรางแสงห่างกันประมาณ 15 เซนตเิ มตร หรือสงู ต่ำ� เหลอ่ื มกนั 50 เซนติเมตร ทกุ ระยะ 20–25 เมตร เพอื่ ระบาย อากาศให้ถ่ายเทดี โตะ๊ วางกล้วยไม้ กว้าง 1 เมตร ยาว 20-25 เมตร และสูง 70 เซนตเิ มตร ทางเดินระหว่างโต๊ะกว้าง 1 เมตร ขาโต๊ะเป็นแท่งคอนกรีตอัดแรง ขนาด 2 นวิ้ x 2 น้ิว สูง 1 เมตร ฝงั ลึกลงในดินลึก 30 เซนติเมตร แตล่ ะเสาห่างกนั 1 เมตร พื้นโต๊ะทำ� ด้วยสายโทรศพั ทต์ ามความยาวของโต๊ะจ�ำนวน 10 แถว เทคโนโลยกี ารเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการผลิตไมด้ อกไมป้ ระดบั 5
KPN บ่อพักนำ�้ ลกึ ไม่ควรเกนิ 3 เมตร เพือ่ พกั น้�ำให้ ตกตะกอนก่อนน�ำไปใช้ และกักเก็บน�ำ้ ไว้ใช้ ในชว่ งทีข่ าดแคลน การปลกู นิยมปลูก ในกาบมะพรา้ วเรือใบ เพราะ ตน้ ทนุ ถกู และเกบ็ ความชนื้ ไดด้ ี ใช้ระยะปลูก 25x25 เซนตเิ มตร แตล่ ะโต๊ะปลกู 4 แถว และอีกวธิ ีคอื ปลูกในกระบะกาบมะพรา้ ว ซ่ึงอัดเปน็ รปู กระบะสีเ่ หลีย่ มขนาด 24x32 เซนติเมตร ปลูกบนกระบะละ 4 ต้น โดยปลูกให้แตล่ ะตน้ ห่างจากมมุ เข้ามา ประมาณ 3 น้ิว (ประมาณ 12,000– 15,000 ตน้ ตอ่ ไร)่ การให้น้�ำ ใช้ระบบสปริงเกลอร์ หรือสายยางรด น้�ำท่ีใช้ควรเป็นน้�ำ จากแหล่งน้�ำธรรมชาติ โดยน�ำมาพักในบ่อพักน้�ำก่อน และควรวัด ค่าความเป็นกรด–ด่าง (pH) ของน�้ำ เท่ากับ 5.2–6.2 รวมถึงค่าการน�ำไฟฟ้าของ เกลือ (EC) ไมเ่ กนิ 750 ไมโครซีเมนส์ตอ่ เซนตเิ มตร การให้ปยุ๋ • ต้นเล็ก (ระยะออกจากขวดถึง 6 เดือน) สูตร 20-20-20 หรือ 21-21-21 อัตรา 50-100 กรมั ผสมน้�ำ 20 ลิตร ฉดี พน่ ทกุ 7 วัน • ไม้สาว ให้ปุ๋ยสูตร 20-20-20 หรือ 21-21-21 สลับกับ 16-21-27 อตั รา 50-100 กรมั ผสมน้ำ� 20 ลิตร ฉีดพน่ ทุก 7 วนั • ไม้ระยะออกดอก ให้ปุ๋ยสูตร 20-20-20 หรือ 21-21-21 สลับกับ 10-20-30 อัตรา 50-100 กรัม ผสมนำ�้ 20 ลติ ร ฉีดพน่ ทุก 7 วัน 6 กรมสง่ เสริมการเกษตร
การป้องกนั กำ�จัดศัตรูพชื • โรคจากเชอื้ รา ฉดี พน่ แคบแทนสลบั กับแมนโคเซบ ทุก 7 วนั • โรคใบจุด ฉีดพ่นสารคาร์เบนดาซมิ ฉีดพ่น 1 ครง้ั ตอ่ เดือน • โรคเนา่ ฉดี พน่ สารเมทาแลกซิลรว่ มกับแมนโคเซบ (68%WP) อัตรา 30 กรมั ต่อน้�ำ 20 ลติ ร ฉดี พน่ 1 ครง้ั ต่อเดอื น • บั่วกล้วยไม้ ฉดี พน่ อิมิดาโคลพริค แลมป์ดาไซฮาโลทริน หรือไทอะมี โทแซม ใชช้ ว่ งพ่น 5 วัน ตดิ ตอ่ กนั จนกว่าการระบาดลดลง • หอยทาก ฉีดพ่นนิโคลซาไมด์ โอลามีน บริเวณวัสดุปลูก โต๊ะหรือ ทางเดนิ ให้ถกู ตัวหอยทาก หลังการใหน้ �้ำ การเก็บเกี่ยว การตัดดอกกล้วยไม้ท่ีมีจ�ำนวนดอกบานในช่อน้อย กว่ามาตรฐาน เช่น ตัดกล้วยไม้สกุลหวายท่ีมีจ�ำนวนดอกบาน น้อยกว่า 5 ดอก จะท�ำให้อายุการใช้งานของดอกกล้วยไม้ส้ันลง และช่อดอกไม่มี ความสวยงาม กลายเป็นดอกกล้วยไม้ที่มีคุณภาพต�่ำ ดังน้ัน ปัจจุบันเกษตรกร ควรเก็บเกี่ยวช่อดอกกล้วยไม้ที่มีจ�ำนวนดอกบานไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของจ�ำนวน ดอกท้ังหมดตอ่ ชอ่ เทคโนโลยกี ารเพ่ิมประสิทธิภาพการใหน้ ำ้� และสารป้องกนั กำ�จดั ศตั รพู ืช ปัจจุบัน สถานการณ์วิกฤตภัยแล้งและน้�ำเค็มรุกเข้าพ้ืนที่ปลูก กล้วยไม้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ท�ำให้เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ต้องตระหนัก ในการใช้น้�ำมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ประกอบกับสารเคมีป้องกันก�ำจัดศัตรูพืช มรี าคาแพงขนึ้ จงึ ไดม้ เี กษตรกรผปู้ ลกู กลว้ ยไมบ้ างรายหนั มาเทคโนโลยกี ารใหน้ ำ้� และสารป้องกนั กำ� จดั ศตั รพู ืชทม่ี ีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ ดงั นี้ • การใหน้ ำ�้ โดยใชส้ ปรงิ เกลอรแ์ บบประหยดั ปจั จบุ นั ชาวสวนใช้ หัวสปรงิ เกลอร์ อัตราการใชน้ ้ำ� 600 ลติ ร ต่อ 1 หวั ในเวลา 1 ชว่ั โมง เพอื่ การใชน้ ำ�้ อยา่ งประหยดั จงึ มกี ารนำ� หวั สปรงิ เกลอร์ แบบประหยัดน�้ำท่ีมีอัตรา การใชน้ ำ้� 100-120 ลติ ร ตอ่ 1 หวั ในเวลา 1 ช่วั โมง มา ทดแทนท�ำให้ปริมาณการ ใช้น้�ำสำ� หรบั กลว้ ยไมล้ ดลง เทคโนโลยีการเพิม่ ประสิทธิภาพการผลติ ไม้ดอกไม้ประดบั 7
• การใหน้ ำ�้ โดยใชเ้ ทคโนโลยนี ำ�้ หยด โดยนายสมโภชน์ นนั ทพงษ์ เกษตรกรผปู้ ลกู เลย้ี ง กลว้ ยไมจ้ งั หวดั นครปฐม เปน็ ผคู้ ดิ คน้ วธิ กี ารใหน้ ำ้� โดยใชเ้ ทคโนโลยนี ำ�้ หยด มอี ตั ราการใชน้ ำ้� ทเ่ี หมาะสม คือ 4 ลิตรตอ่ 1 ช่วั โมงตอ่ 1 กระบะ สง่ ผลให้ ต้นทุนการผลิตถูกลง ผลผลิตท่ีได้มีคุณภาพ ลดความเส่ียงจากการเข้าท�ำลายของโรคและ แมลง ตลอดจนเป็นการใช้น้�ำอย่างประหยัด และคมุ้ คา่ กบั การลงทนุ จงึ เปน็ อีกหน่งึ ทางเลอื ก ในการให้น้�ำ และเข้ากับสถานการณ์ปัญหา ภัยแล้งและน�้ำเค็มรุกสวนกล้วยไม้ท่ีเกษตรกร ก�ำลังเผชิญอยใู่ นขณะนี้ • เครื่องพน่ ปุ๋ย สารปอ้ งกนั ก�ำจดั ศัตรูพืช และน�้ำอัตโนมัติ (แขนกล) โดย คุณสมพงษ์ ทวสี ุข เกษตรกรผู้ปลกู เล้ยี งกลว้ ยไม้ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นผู้คิดค้น เพ่ือลดต้นทุน แรงงานได้มากกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับเวลา ฉีดพ่นสารแบบเดิม เพ่ิมประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย สารป้องกันก�ำจัดศัตรูพืช และน้�ำ แก้ปัญหา แรงงานในสวนกลว้ ยไม้ และทสี่ ำ� คญั ลดความเสยี่ ง ในการสัมผัสสารเคมีของแรงงาน ซ่ึงจะเป็น ปัญหาใหญใ่ นอนาคต 8 กรมส่งเสริมการเกษตร
เทคโนโลยีการเพม่ิ ประสิทธภิ าพการผลติ กุหลาบตัดดอก การเลอื กพนื้ ทีป่ ลูก ควรมีสภาพอากาศเย็น ความสูงจากระดับน้�ำทะเล 500–1,000 เมตร ดินมีการระบายน้�ำดี ดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ความเป็นกรด–ด่าง (pH) 5.5-6.5 มีการถา่ ยเทอากาศดี มีแหลง่ นำ�้ คณุ ภาพดแี ละเพียงพอทงั้ ปี การเตรยี มพนั ธ์ุ ใช้ต้นพันธุ์ดี แข็งแรงปราศจากโรค คัดเลือกพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ นิยมใช้ ต้นพันธุ์ติดตาบนตอกุหลาบป่า เพราะระบบราก แข็งแรง ใหผ้ ลผลติ สูง การปลกู และการดูแลรกั ษา ตน้ พันธุ์ติดตา การเตรียมดิน ไถลึกประมาณ 50 เซนติเมตร วัสดุปลูกใช้ ดิน : ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ : แกลบดิบ อัตราสว่ น 3 : 1 : 2 ผสมปุ๋ยกบั วัสดปุ ลูก หรอื ใชป้ ุ๋ยรองพ้ืน เชน่ ปุ๋ยอนิ ทรยี ์ และปุ๋ยสูตร 15-15-15 โรงเรอื น ควรมคี วามสงู 3.5-4 เมตร หลังคาเป็น พลาสตกิ หรอื กระจก มชี อ่ งระบายอากาศ เพอ่ื การ ระบายอากาศร้อนภายในโรงเรือน โรงเรอื นมคี วามจำ� เป็นในการผลติ กุหลาบตัดดอกให้ได้คุณภาพดี ชว่ ยลดความชอกช้ำ� ของดอกและใบ จากฝนที่กระทบโดยตรง ควบคุมการเกดิ โรค เพิ่มประสิทธิภาพ การใหป้ ๋ยุ และสารป้องกนั กำ� จัดศัตรกู ุหลาบ เทคโนโลยีการเพิม่ ประสิทธภิ าพการผลติ ไม้ดอกไม้ประดับ 9
การปลกู การปลกู ในโรงเรอื นทำ� แปลง การปลกู กหุ ลาบ กว้าง 90 เซนติเมตร เว้นทางเดิน การปลูกกหุ ลาบในโรงเรอื น 60 เซนติเมตร ปลูก 2 แถว ระยะห่างระหว่างต้น 20–25 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างแถว 40 เซนตเิ มตร ใช้ต้นพันธุ์ประมาณ 8,000–10,000 ต้นต่อไร่ ส�ำหรับการปลูกกลางแจ้ง ท�ำแปลง กว้าง 1 เมตร ทางเดิน 50 เซนติเมตร ระยะปลูก 60 x 60 เซนตเิ มตร ใชต้ ้นพนั ธ์ปุ ระมาณ 3,200 ตน้ ต่อไร่ หลังจากปลูกใช้ฟางคลุมโคนต้นจะช่วยรักษา ความชื้นในดินได้ การควบคมุ ทรงพมุ่ และตัดแตง่ ก่ิง • เริ่มแรกควรส่งเสริมให้มีการเจริญทางใบเพื่อสะสมอาหารและ สร้างกิ่งกระโดง ท�ำไดโ้ ดยการเดด็ ยอดสว่ นเหนอื ใบสมบูรณ์ (5 ใบยอ่ ย) ใบท่ี 2 จากยอด เมอ่ื ดอกมขี นาดเทา่ เมลด็ ถวั่ ลนั เตา จากนน้ั กงิ่ กระโดงจะเรม่ิ แทงออกเปน็ โครงสรา้ งหลกั เม่ือกิ่งกระโดงเริ่มมีสีให้ตัดท้ิง เหลือใบสมบูรณ์ไว้กับก่ิงกระโดง 5-6 ใบ กุหลาบจะ แตกกิง่ กระโดงใหม่ ประมาณ 2 เดอื น จงึ ตัดดอกขายได้ • ตัดแต่งกิ่ง เพ่ือให้ได้ดอกมีคุณภาพดี จ�ำนวนดอกมาก และออกดอกสม่�ำเสมอตลอดท้ังปี วิธีการตัดแต่งท่ีนิยมได้แก่ การตัดแต่งก่ิงแบบตัดสูง และต่�ำ (สูงและต�่ำจากจุดก�ำเนิดของก่ิงสุดท้าย) โดยมีหลักการ คือ ตัดแต่งก่ิงแบบสูง จนกิ่งสดุ ท้ายมขี นาดเล็ก ใหด้ อกที่ไมไ่ ดค้ ุณภาพ จากนน้ั จงึ ตดั แตง่ กิง่ แบบตำ่� การตดั สงู การตัดต�่ำ 10 กรมสง่ เสริมการเกษตร
KPN การใส่ปุ๋ย ถ้าให้ปุ๋ยพร้อมกับการให้น�้ำ หากให้ทุกวันจะให้ในอัตรา ความเข้มข้นของไนโตรเจน 160 มลิ ลกิ รมั ต่อลติ ร (ppm) และหากให้ ปุ๋ยทุกสปั ดาหค์ วรใหใ้ นอัตราความเข้มขน้ ของไนโตรเจน 480 มลิ ลิกรัมตอ่ ลติ ร (ppm) โดยสัดสว่ นของ N:P:K คือ 1:0.5:1 ถา้ ใหป้ ยุ๋ ผสมโดยการหวา่ น ใหใ้ ช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 3 กรัมต่อต้นต่อสัปดาห์ ในการให้ปุ๋ยหลังตัดแต่งส�ำหรับบ�ำรุงต้นและก่ิงยอด เพือ่ ให้แตกกง่ิ ทโี่ ตและแขง็ แรง ใช้ปุ๋ยสตู ร 15-15-15 หรอื 21-21-21 รว่ มกบั ปุย๋ อินทรยี ์ การให้น�้ำ ให้น้�ำด้วยสายยาง หรือระบบน�้ำหยด หรือใช้หัวพ่นน้�ำ ระหว่างแถวปลูก น้�ำที่ใช้ควรมีคุณภาพดี มี pH ประมาณ 5.8–6.5 หากปลูกในโรงเรอื น ใชน้ ้ำ� ประมาณ 78,400 ลติ ร หรอื 78.4 ควิ บิคเมตรตอ่ ไรต่ อ่ สัปดาห์ หากปลูกกลางแจ้ง ให้น�้ำอัตรา 49 ลิตรต่อตารางเมตรต่อสัปดาห์ อาจให้น�้ำทุกวัน วนั เวน้ วนั หรอื 2–3 วนั ตอ่ ครงั้ แลว้ แตส่ ภาพความชนื้ ของดนิ อยา่ รดนำ�้ ใหแ้ ฉะตลอดเวลา การป้องกนั กำ�จดั ศัตรพู ชื • โรคราน�้ำค้าง เกิดจากเช้ือรา ระบาดรุนแรงในช่วงฤดูหนาว การปอ้ งกันก�ำจดั โดยตัดแตง่ สว่ นทเี่ ป็นโรคเผาท�ำลาย และฉดี พ่นดว้ ยสารป้องกันกำ� จัด เชือ้ รา ทกุ ๆ 15-20 วนั • โรคใบจุดสีด�ำ เกิดจากเชื้อรา ระบาดรุนแรงในช่วงฤดูฝน การป้องกันก�ำจัด ตัดแต่งส่วนท่ีเป็นโรคเผาท�ำลาย และฉีดพ่นด้วยสารป้องกันก�ำจัด เช้อื รา ทุกๆ 15-20 วนั • หนอน เช่น หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนกระทู้ผัก ระบาด ไดต้ ลอดทง้ั ปี การปอ้ งกันกำ� จัด ใชส้ ารเคมฉี ีดพน่ ตามฉลากแนะน�ำ • เพลยี้ ไฟ ระบาดรนุ แรงในชว่ งฤดรู อ้ น การปอ้ งกนั กำ� จดั ใชก้ บั ดกั กาวเหนยี ว หรือใชส้ ารเคมีฉดี พน่ ตามฉลากแนะน�ำ การเก็บเกี่ยว ควรตัดดอกกุหลาบในเวลาเช้าหรือเย็น ส่วนใหญ่จะตัด เมื่อดอกตูมอยู่หรือเห็นกลีบดอกเร่ิมแย้ม และปรากฏสีของกลีบดอก หลงั จากตัดให้น�ำกา้ นดอกแช่นำ้� สะอาดทนั ที คดั เกรดตามความยาวของกา้ นดอก มัดก�ำ และห่อดอก เก็บรักษาในห้องเยน็ หรือที่มคี วามชนื้ มดื ลมไมพ่ ดั โกรก เพือ่ รอการขนสง่ หรอื จำ� หนา่ ย เทคโนโลยกี ารเพิม่ ประสทิ ธิภาพการผลติ ไม้ดอกไม้ประดบั 11
เทคโนโลยกี ารบงั คบั ให้กุหลาบออกดอกในเวลาท่ตี อ้ งการ ก่อนอ่ืนต้องทราบว่ากุหลาบพันธุ์นั้น ๆ ใช้เวลาเท่าไรจากตัดก่ิง จนถึงวันออกดอก จากนั้นจึงค�ำนวณกลับ ปกติใช้เวลาประมาณ 2 เดือน หลังตัดแตง่ จึงจะตัดดอกจ�ำหน่ายได้ ทำ� ไดด้ งั น้ี 1. เมอ่ื เรม่ิ เหน็ ดอกขนาดเทา่ เมลด็ ถว่ั เขยี ว ใหล้ ดการใหน้ ำ�้ ลงเรอ่ื ย ๆ เปน็ เวลา 3 สปั ดาห์ แต่ยงั ใหป้ ุย๋ ท่มี ี P สงู N ตำ�่ ในอตั ราต่ำ� 2. งดใหน้ ้ำ� เปน็ เวลา 1 สปั ดาห์ (เป็นเวลาทีด่ อกบานเตม็ ทแี่ ลว้ ) 3. วันสดุ ท้ายของการงดน�้ำ ใหต้ ัดแต่งครั้งท่ี 1 โดยตดั ต�่ำ ความสงู ประมาณ 80-100 เซนติเมตร 4. ให้น้�ำเต็มท่ีหลังตัดแต่ง ประมาณ 15-20 ลิตรต่อตารางเมตร หลังจากนั้น 4-5 วนั จึงเริม่ ให้น�ำ้ และปยุ๋ 5. ตัดแต่งครง้ั ท่ี 2 โดยการตดั ต�่ำ โดยคำ� นวณใหเ้ หลอื เวลาเทา่ กบั จำ� นวนวนั ท่กี หุ ลาบจะให้ดอกพรอ้ มตัด 12 กรมสง่ เสริมการเกษตร
เทคโนโลยีการเพิ่มประสทิ ธิภาพการผลติ เบญจมาศตดั ดอก การเลือกพืน้ ทีป่ ลูก เบญจมาศชอบสภาพอากาศเย็น โดยเฉพาะภาคเหนือ สามารถผลิตไดท้ ้งั ในฤดูกาล และนอกฤดูกาล แต่หากปลูกในท่ีราบซึ่งมีอุณหภูมิสูง จะส่งผลให้ผลผลิต มีคณุ ภาพต�่ำ การเตรยี มพนั ธ์ุ การปักชำ�ต้นพนั ธ์ุ แปลงพอ่ แมพ่ ันธ์ุ 1. การขยายพนั ธเ์ุ พอ่ื ปลกู เปน็ ตน้ แมพ่ นั ธ์ุ ปจั จบุ นั นยิ มเพาะเลยี้ งเนอื้ เยอื่ แหลง่ จำ� หนา่ ยตน้ พนั ธ์ุ เช่น ส�ำนักฟาร์มมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มลู นธิ โิ ครงการหลวง จงั หวดั เชยี งใหม่ สวนสตางคท์ อง อ�ำเภอแมล่ าว จงั หวดั เชียงราย เป็นต้น 2. การขยายพันธุ์ปลูกเพื่อตัดดอก ท�ำโดยปักช�ำก่ิงยอด โดยน�ำก่ิงแขนงจากต้นแม่พันธุ์ ท่ีสมบูรณ์ ตัดก่ิงยาว 2.5-3 นิ้ว ปลิดใบล่าง จุ่มฮอร์โมนเร่งราก เซอร์ราดกิ เบอร์ 2 ผ่ึงให้แห้ง แล้วจึงน�ำไปปักช�ำในวัสดุปักช�ำ เช่น แกลบด�ำ ขยุ มะพร้าว และทรายในอตั ราสว่ น 1:1:0.5 ปักให้ โคนก่ิงลึกลงในวัสดุปักช�ำ 0.5-1 นิ้ว รดน้�ำให้ชุ่ม ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงแตกรากใหม่ หลังจากนั้น ยา้ ยกง่ิ ลงปลูกในแปลง การวางแผนการปลูกเบญจมาศ แบง่ ได้เปน็ 2 ลักษณะ ดงั น้ี 1. การผลิตเบญจมาศในฤดู (ระหว่างเดือนมิถนุ ายน–มกราคม) เน่ืองจาก เบญจมาศเป็นพืชวันสั้น จะมีดอกและดอกเจริญจนบานได้เฉพาะช่วงเวลามีแสง น้อยกวา่ 13.5 ชว่ั โมงต่อวนั เทคโนโลยกี ารเพ่มิ ประสิทธิภาพการผลติ ไมด้ อกไม้ประดับ 13
2. การผลิตเบญจมาศนอกฤดู (ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม) ตอ้ งมกี ารลดชั่วโมงแสง เพื่อชกั นำ� ใหเ้ กดิ วันสน้ั โดยการคลุมด้วยผ้าพลาสตกิ ดำ� ชว่ งเชา้ และเย็น เวลา 18.30–08.00 น. ของวันใหม่ การปลูกและการดูแลรักษา การเตรียมดิน ไถดินตากแดด ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ดินที่ เหมาะสมควรมี pH 5.5-6.5 หากดินเป็นกรด ให้โรยปูนขาว หรือโดโลไมท์ เพื่อปรับ การเตรียมแปลงปลูก สภาพดิน ยกแปลงสูง 20-25 เซนติเมตร ขนาดแปลงกว้าง 1 เมตร ทางเดินกว้าง 50-60 เซนติเมตร ความยาวตามพื้นที่ ระยะทีเ่ หมาะสม 20 เมตร 1ก4ง่ิ พวันนั ธอุ์ปอักกชำร�าก การปลกู ควรปลกู ในชว่ งบา่ ยถงึ เยน็ นำ� ตน้ กลา้ ทีไ่ ดจ้ ากการปกั ช�ำ ปลกู ลงแปลงลกึ ประมาณ 3/4 นิ้ว ถ้าปลูกแบบไม่เด็ดยอดใช้ระยะปลูก 12.5x12.5– 15x15 เซนติเมตร ถ้าปลูกแบบเด็ดยอดใช้ระยะปลูก 15x20–20x20 เซนติเมตร ให้น�้ำวนั เวน้ วนั การเด็ดยอด นิยมเด็ดยอดภายหลังการปลูกประมาณ 10-15 วัน แล้วเลย้ี งกงิ่ แขนงไว้ 3 ก่ิง ซงึ่ ก่งิ ช�ำ 1 ตน้ จะผลติ ดอกได้ 3 ดอก หรอื 3 ช่อ ขน้ึ กบั ว่าการปลกู ตดั ดอกเปน็ ชนดิ ดอกเดยี วหรือดอกชอ่ การพยุงต้น ควรมีการพยุงต้นให้ตรง เพ่ือให้ได้ดอกที่มีคุณภาพ โดยใช้ตาข่ายไนล่อนขนาดช่อง 12.5x12.5 เซนติเมตร ขึงแปลงปลูก ใหส้ ูงจากพ้นื ดนิ 20-30 เซนติเมตร เม่ือต้นเบญจมาศสูงพน้ ตาข่ายชัน้ แรก ให้ขึงชนั้ ท่ี 2 สูงจากชัน้ แรกประมาณ 30-50 เซนติเมตร 14 กรมส่งเสริมการเกษตร
KPN การใส่ปุ๋ย เมื่อก่ิงช�ำตั้งตัวแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น 46–0-0 หรือ 21-0-0 อตั รา 2-3 ช้อนแกง ต่อน�้ำ 20 ลติ ร รด 2 ครัง้ ห่างกนั 7-10 วัน และให้ปุ๋ย 15-15-15 หว่านบนแปลงปลูก 15 วันต่อครั้ง เมื่อเกิดตาดอก ให้ใสป่ ุ๋ยอตั รา 1:2:1 เช่น สูตร 12-24-12 และเสรมิ ด้วยปยุ๋ ทางใบทีม่ ธี าตุอาหารรอง เพื่อเพิ่มคุณภาพดอก ก่อนตัดดอก 5-7 วัน ควรใช้โปแตสเซียมคลอไรด์ 1 ช้อนแกง ละลายนำ�้ 20 ลติ ร ฉดี พน่ ทางใบ เพอ่ื ชว่ ยใหก้ า้ นดอกแขง็ แรงและดอกบานทนนานยง่ิ ขนึ้ การเดด็ ดอกขา้ งและการเดด็ ดอก การเด็ดดอกท่ยี อด ที่ยอด ในการผลิตเบญจมาศ ดอกเด่ียว เพื่อให้ได้ดอกมีขนาดใหญ่ เพียง ดอกเดียว ต้องมีการเด็ดดอกข้างออก ใหเ้ หลอื เพยี งดอกยอดดอกเดยี ว สว่ นเบญจมาศ ชนิดดอกช่อ จะเด็ดดอกแรกที่ส่วนยอด ของล�ำต้นท้ิง โดยเด็ดตั้งแต่ตาดอกมีขนาด เทา่ หัวไม้ขดี ไฟ การป้องกันกำ�จัดศัตรูพืช • โรคใบแหง้ เกดิ จากเชอื้ แบคทเี รยี ระบาดมากในสภาพอากาศรอ้ น และความชน้ื สูง การปอ้ งกนั กำ� จัด ควรใช้กง่ิ ปกั ช�ำท่ปี ราศจากโรค และถา้ มโี รคระบาด ในแปลงควรเผาท�ำลาย หรอื ฉีดพน่ ดว้ ยสารเคมีประเภทสเตรปโตมัยซิน • โรคใบจุด เกิดจากเช้ือรา ระบาดมากในฤดูฝน การปอ้ งกันก�ำจัด ควรใชก้ งิ่ ปกั ช�ำที่ปราศจากโรคมาปลูก และถ้ามีโรคระบาดในแปลงควรเผาท�ำลาย หรือ ฉดี พ่นด้วยสารเคมปี ระเภทสเตรปโตมัยซิน • โรคดอกเนา่ เกดิ จากเชอ้ื รา ระบาดมากในฤดฝู น การปอ้ งกนั กำ� จดั ควรฉดี สารปอ้ งกนั ก�ำจัดเชอ้ื รา เชน่ ไซเนบ, แคบแทน เอ็ม 45 โดยใช้ร่วมกบั สารจับใบ • โรคราสนิม เกิดจากเช้ือรา การป้องกันก�ำจัด ดูแลแปลงปลูก ใหส้ ะอาด และฉีดพน่ ด้วยเพลนทแ์ วกซ์ ทกุ ๆ 7 วนั ในช่วงที่มีการระบาด เทคโนโลยกี ารเพิม่ ประสิทธิภาพการผลติ ไม้ดอกไมป้ ระดบั 15
การเก็บเกี่ยว เบญจมาศดอกเด่ียว ควรเก็บเกี่ยวในระยะที่ส่วนกลาง ของดอกยงั บานไม่หมด เหลืออยปู่ ระมาณ 2 เซนติเมตร สว่ นเบญจมาศ ดอกช่อ ถ้าเป็นดอกชั้นเดียวควรเก็บเกี่ยวเม่ือส่วนของกลีบช้ันในพร้อมที่จะบาน ส่วนในดอกช่อแบบดอกซ้อน จะเก็บเกี่ยว เมื่อมีดอกจ�ำนวน 3 ดอก บานประมาณ 1/2 - 3/4 ของดอกทบี่ าน โดยใชม้ ีดหรอื กรรไกรตดั ทีโ่ คนกิง่ แล้วแช่น้ำ� ทนั ที เทคโนโลยีการควบคมุ การออกดอกของเบญจมาศ พันธุ์เบญจมาศส่วนใหญ่เป็นพืชวันสั้น คือ สามารถสร้างตาดอก และเจริญเปน็ ดอกได้ เมือ่ มชี ่วงแสงต่อวัน (ชว่ งกลางวนั ) นอ้ ยกวา่ 13.5 ชั่วโมง จะท�ำให้เกิดตาดอกเร็วข้ึน ทั้งที่ต้นเบญจมาศยังไม่สมบูรณ์เต็มท่ี ดอกที่ได้ จึงคุณภาพไม่ดี ดังน้ันเพ่ือเป็นการยับย้ังไม่ให้เบญจมาศออกดอกเร็ว จึงต้อง มีการเพ่ิมจ�ำนวนแสงต่อวันให้ยาวข้ึนท้ังในแปลงปลูกและแปลงปักช�ำ โดย ตดิ ตงั้ หลอดไฟฟา้ ให้สูงจากตน้ เบญจมาศประมาณ 1.50 เมตร ช่วงระยะเวลา ใหแ้ สงประมาณ 2-3 ช่ัวโมงต่อคืน ขน้ึ อยู่กลบั ชว่ งฤดูการปลูก (ฤดรู ้อน-ฤดูฝน ประมาณ 2-2.5 ช่ัวโมง ฤดูหนาว 3 ชั่วโมง) เม่ือต้นมีความสูงประมาณ 30-40 เซนตเิ มตร จงึ ปดิ ไฟใหต้ ้นได้รับแสงตามปกติ การใหแ้ สงไฟในช่วงเวลากลางคนื คลมุ ผ้าดำ�สรา้ งตาดอก 16 กรมส่งเสริมการเกษตร
เทคโนโลยีการเพ่มิ ประสิทธภิ าพการผลิต ดาวเรืองตัดดอก ดาวเรือง เป็นพืชท่ีนิยมปลูกมากชนิดหนึ่ง เน่ืองจากปลูกง่าย ต้นโตเร็ว ใหด้ อกดก มหี ลายชนิดหลายสี รปู ทรงของดอกสวยงาม บานทนนานหลายวัน ให้ดอก ในระยะเวลาสั้น ประมาณ 50-60 วันหลังปลูก นอกจากนี้ ยังสามารถก�ำหนดระยะ เวลาออกดอกให้ตรงกับเทศกาลส�ำคัญได้ ปัจจุบันการปลูกดาวเรือง นอกจากปลูกเพื่อ ตดั ดอกขายแลว้ ยงั นยิ มปลกู ในกระถางหรอื ถงุ พลาสตกิ เพอ่ื ประดบั ตกแตง่ อาคารสถานที่ และปลูกเพื่อตดั ดอกส่งโรงงานอาหารสัตวอ์ ีกดว้ ย การเลอื กพ้ืนทีป่ ลูก พื้นที่ราบหรือลาดเอียงเล็กน้อย สภาพอากาศไม่หนาวเย็นเกินไป ดินร่วน ปนทราย มีความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นกรด–ด่าง (pH) 6.2–7.5 หน้าดินลึก มีการ อุ้มน�้ำและระบายไดด้ ี ไมค่ วรปลกู ดาวเรืองซ้ำ� ในพนื้ ท่ีเดมิ เกิน 2 รอบการปลกู เนอื่ งจาก อาจเกิดการสะสมของเชือ้ โรคในดนิ ทำ� ให้ผลผลิตดาวเรืองลดลง การเตรียมพันธ์ุ ใช้พันธุ์ตามท่ีตลาดต้องการ โดยตลาดจะมีความต้องการพันธุ์ที่มีลักษณะ ดอกใหญ่ ก้านยาว และออกสีเหลืองทอง โดยน�ำเมล็ดพันธุ์มาเพาะในตะกร้าเพาะ กล่องโฟม หรือถาดเพาะ ขนาด 200 หลุม วัสดุเพาะใช้ ขุยมะพร้าว ทราย และ ข้ีเถ้าแกลบ ในอัตราส่วน 1:1:1 โดยใช้เมล็ดพันธุ์ 1 เมล็ดต่อหลุม และให้พ่น สารเคมีป้องกันเช้ือรา แล้วน�ำวางใต้ตาข่ายพรางแสง 70-80% รดน้�ำ วันละ 2 คร้ัง เชา้ -บ่าย เมอ่ื ต้นกล้าแข็งแรง มีใบจริงคแู่ รกเรมิ่ พัฒนาแลว้ จึงใหร้ บั แสงแดดเต็มท่ี เทคโนโลยกี ารเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ ไม้ดอกไม้ประดบั 17
KPN การปลูกและการดแู ลรักษา การเตรียมดิน หากสภาพดินเป็นกรด ให้ปรับสภาพด้วยปูนขาว และเพมิ่ อนิ ทรยี วตั ถดุ ว้ ยปยุ๋ คอกหรอื ปยุ๋ หมกั ทยี่ อ่ ยสลายแลว้ (อตั ราสว่ น ตามสภาพของดนิ ) 500-1,000 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ หรอื ปลกู พชื ตระกลู ถวั่ เชน่ ถวั่ เขยี ว ปอเทอื ง แล้วไถกลบลงดินใหย้ ่อยสลาย การปลกู เมอื่ ตน้ กลา้ มใี บจรงิ 4-6ใบประมาณ7-15วนั สามารถยา้ ยตน้ กลา้ ไปปลูกได้ ใหย้ ้ายในช่วงเวลาเยน็ โดยให้มวี สั ดุเพาะชำ� ติดต้นกลา้ ไปดว้ ย ปลูกในหลุมลึก 4-5 เซนติเมตร หลมุ ละ 1 ตน้ ระยะระหว่างต้นและระยะระหว่างแถวใช้ ระยะปลูก 30-40X30-40 เซนตเิ มตร รองก้นหลมุ ดว้ ยปุย๋ สูตร 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อนชา การให้น้�ำ ช่วงย้ายปลูกประมาณ 7 วัน ให้น้�ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนต้นดาวเรืองฟื้นตัว หลังจากน้ันให้น้�ำประมาณวันละครั้ง ท้ังนี้ ข้นึ อยกู่ บั สภาพภูมิอากาศ การใส่ป๋ยุ • หลังจากยา้ ยปลกู ได้ 5-7 วัน ให้ปยุ๋ สตู ร 46-0-0 หรือ 15-0-0 อตั ราสว่ น 1 กิโลกรมั ตอ่ นำ้� 100 ลติ ร รดบนดนิ บริเวณโคนตน้ โดยใสต่ ิดต่อกนั 2 ครั้ง โดยครั้งท่ี 2 หา่ งจากคร้งั แรก 7-10 วัน • ใสร่ ะยะกลบโคนเมอ่ื ดาวเรอื งมอี ายุ20-25วนั ใสป่ ยุ๋ สตู ร15-15-15 อัตราส่วน 50 กิโลกรมั ต่อไร่ และเมอ่ื ดาวเรืองอายุ 35 และ 45 วัน ใสป่ ยุ๋ สูตร 12-24-12 อตั ราสว่ น 50 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ โรยตรงทรงพมุ่ พรอ้ มพรวนดนิ กลบโคนตน้ และกำ� จดั วชั พชื การเด็ดดอก หลงั จากย้ายปลูก 7-10 วนั หรือระยะตน้ ดาวเรืองมีใบจริง ประมาณ 4 คู่ และส่วนยอดท่ปี ระกอบด้วยใบเล็กๆ อกี 1-2 คู่ ให้ปลดิ ยอดใหญ่ตรงกลางท้ิงเพ่ือให้แตกกิ่งข้าง ประมาณ 8-10 ก่ิง ท�ำให้ดาวเรืองแตกพุ่ม โดยแต่ละกิ่งจะมีดอกยอด 1 ดอก ส่วนยอดอ่อนอ่ืนๆ ท่ีแตกตามง่ามใบ ให้ปลิดออก ให้หมด ก่อนท่ีจะเจริญต่อไปเป็นดอก เพ่ือเป็นการเพ่ิมคุณภาพผลผลิต และท�ำให้ ดอกมขี นาดใหญ่ 18 กรมสง่ เสรมิ การเกษตร
การป้องกนั กำ�จดั ศัตรูพชื • เพลี้ยไฟ จะระบาดมากในช่วงแล้ง (ฤดูร้อน) การป้องกันก�ำจัด ใชส้ ารชีวภาพ เชื้อราบวิ เวอรเ์ รีย หรอื ใช้สารเคมตี ามค�ำแนะนำ� ทฉ่ี ลาก • หนอนผเี สอ้ื จะเขา้ ทำ� ลายในขณะดอกเรมิ่ บาน การปอ้ งกนั กำ� จดั ใชส้ ารชวี ภาพบีที (บาซลิ ลสั ทูริงเจนซสิ ) หรือใชส้ ารเคมีตามค�ำแนะน�ำที่ฉลาก • โรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อรา มักจะเกิดกับดาวเรืองท่ีโตเต็มท่ี ดอกก�ำลังจะบาน การป้องกันก�ำจัด ถอนต้นท่ีเป็นโรคเผาท�ำลาย และใช้สารชีวภาพ เชอ้ื ราไตรโคเดอร์ม่า หรือใชส้ ารเคมีตามคำ� แนะนำ� ทีฉ่ ลาก การเก็บเกีย่ วและการปฏบิ ัตหิ ลังการเกบ็ เกี่ยว • การเกบ็ เกยี่ ว อายกุ ารเกบ็ เกยี่ วดาวเรอื งจะอยรู่ ะหวา่ ง 55-75 วนั ทั้งนี้ จะขนึ้ อย่กู ับพันธุ์ และการดูแลรกั ษา โดยตดั ดอกที่บาน 80-90 % (กลีบดอกชนั้ ใน ตรงกลางดอกเป็นสเี ขียว เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 0.5-1 เซนตเิ มตร) ใหใ้ ช้กรรไกรตัด ดอกให้ตดิ ก้านดอกยาวประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร เพ่อื ใหม้ ีอายกุ ารเกบ็ รกั ษาไดน้ านข้นึ และหลังเกบ็ ดอกคร้ังแรกแลว้ ยงั เกบ็ เกย่ี วดอกตอ่ ไดอ้ ีกประมาณ 30-45 วนั • การปฏิบัติหลังการเก็บเก่ียว น�ำดอกไปผ่ึงลมให้แห้ง หรือ ถ้ามีความชืน้ ในอากาศสูง ใช้พัดลมเปา่ อยา่ ตากแดด และคดั แยกดอกตามเกรดทก่ี �ำหนด ส่วนใหญ่แยกเป็นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก แล้วใส่ถุงพลาสติก ทเี่ จาะรู มดั ปากถุงให้แนน่ แล้วเตรียมสง่ จำ� หน่ายตอ่ ไป เทคโนโลยีการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ ไม้ดอกไมป้ ระดับ 19
เทคโนโลยีการเพิ่มประสทิ ธิภาพการผลิต มะลิ การเลอื กพนื้ ทปี่ ลูก พนื้ ทรี่ าบหรอื ลาดเอยี งเลก็ นอ้ ย สภาพอากาศไมห่ นาวเยน็ มากนกั มแี สงแดด เต็มที่ ดินเป็นดินร่วนปนทรายจนถึงดินเหนียว ความเป็นกรด–ด่าง (pH) 6.5–7.5 มีความอดุ มสมบูรณ์ ระบายน�้ำได้ดี มนี ำ้� เพยี งพอตลอดปี การเตรียมพันธ์ุ นิยมขยายพนั ธดุ์ ว้ ยการปักชำ� เนือ่ งจากงา่ ย สะดวก และรวดเร็ว มีขั้นตอน คือ เตรยี มวสั ดุเพาะชำ� โดยใช้ทรายผสมข้ีเถา้ แกลบ อตั รา 1 : 1 บรรจุในถงุ เพาะ หรือ ตะกร้า แล้วรดน�้ำให้ชุ่ม จากนั้นเตรียมกิ่งพันธุ์ กิ่งท่ีใช้จะเป็นกิ่งกึ่งแก่ก่ึงอ่อน ตัดให้ มคี วามยาวประมาณ 4 น้วิ หรอื มขี ้ออย่างน้อย 3 ข้อ ปลิดใบส่วนล่างออกให้เหลือใบ คู่บนสุด 1 คู่ ตัดใบออกให้เหลือเพียงคร่ึงใบเพ่ือลดการคายน้�ำ น�ำก่ิงมะลิท่ีเตรียมไว้ ปักช�ำลงในถุงเพาะหรือตะกร้า จากนั้นรดน้�ำและสารกันเชื้อรา รักษาความช้ืนให้ เหมาะสม จนตน้ มะลแิ ข็งแรงสามารถนำ� ไปปลูกได้ การปลูกและการดแู ลรกั ษา การเตรียมดิน หากดินมีสภาพเป็นกรด ควรใช้ปูนขาวหรือโดโลไมต์ ปรับสภาพดินก่อนท่ีจะปลูกมะลิ และใส่อินทรียวัตถุเพื่อเพิ่มความ อดุ มสมบรณู ข์ องดนิ อาจปลกู พชื ตระกลู ถวั่ เชน่ ถว่ั เขยี วปอเทอื งฯลฯในแปลงทจี่ ะปลกู มะลิ ประมาณ 45-55 วนั (ระยะพืชตระกลู ถว่ั ออกดอก) ให้ไถกลบลงดนิ พร้อมราดน�ำ้ หมกั ชวี ภาพในอัตราความเข้มขน้ สูง เพ่อื ใหจ้ ุลินทรีย์ย่อยสลายพืชตระกูลถว่ั ได้เร็วขึ้น การปลูก ถ้าสภาพพื้นที่เป็นท่ีลุ่มน�้ำท่วมถึง ควรยกร่องขุดคันดิน แปลงปลกู ใหส้ งู กวา้ ง 1-1.50 เมตร หรอื หนง่ึ รอ่ งปลกู ได้ 3 แถว ทงั้ นี้ ขนึ้ อยกู่ บั สภาพของพนื้ ท่ี ระยะปลกู 0.60–0.70x0.80–1.0x1.0 เมตร (800–1,200 ต้นต่อไร่) 20 กรมสง่ เสรมิ การเกษตร
KPN การให้น้�ำ มะลิเป็นพืชท่ีต้องการน้�ำพอสมควร แต่ก็ไม่ชอบน�้ำท่วมขัง หากดินแฉะไม่ควรรดน้�ำ ให้รอจนดินแห้งหมาดๆ เสียก่อน การให้น้�ำ ส่วนใหญ่ใช้ระบบสปริงเกลอร์ แต่ถ้าเป็นแบบยกร่อง บางพื้นท่ีให้น้�ำโดยใช้เรือพ่นน�้ำ วงิ่ ผา่ นกลางรอ่ งสวน โดยจะพน่ กระจายนำ้� ออกทัง้ 2 ข้างของเรือ การตัดแต่งก่ิง ควรตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง รวมท้ังตัดกิ่งท่ีแห้งและตายออก ใน 1 ปี ควรจะตัดแต่ง 2 ครัง้ จะชว่ ยใหม้ ะลมิ ีทรงพุ่มสวยงาม โรคและ แมลงลดนอ้ ยลง งา่ ยตอ่ การดแู ลรกั ษา อกี ทง้ั ยงั สามารถบงั คบั ใหอ้ อกดอกไดต้ ามตอ้ งการ มะลมิ ชี ่วงเวลาตง้ั แต่เก็บดอก จนถงึ ตาก่ิงเจริญให้ดอกใหมอ่ กี ครัง้ ประมาณ 6 สัปดาห์ การใส่ปุ๋ย เม่ือตัดแต่งกิ่งมะลิแล้ว จ�ำเป็นมากท่ีจะต้องบ�ำรุงต้นมะลิ ใหส้ มบรู ณ์ โดยการใสป่ ยุ๋ คอกและปยุ๋ เคมี ปยุ๋ คอกทยี่ อ่ ยสลายแลว้ สามารถ ใส่ไดไ้ ม่จ�ำกัด ส่วนปุ๋ยเคมใี หใ้ ส่สูตรเสมอ 15-15-15 อตั ราตามคำ� แนะน�ำเดือนละ 1 คร้ัง การป้องกนั กำ�จดั ศตั รูพชื • หนอนเจาะดอก ใช้สารชีวภาพ บที ี (บาซลิ ลัสทูรงิ เจนซิส) • เพลยี้ ไฟ ใชร้ าขาว “บวิ เวอเรยี ” ในการปอ้ งกนั กำ� จดั หรอื ใชส้ าร เคมีชนดิ ดดู ซึม ใช้ตามค�ำแนะน�ำตามฉลากข้างขวด ฉีดพน่ ในชว่ งเวลาเย็น • โรครากเน่า (ราเมล็ดผักกาด) เกิดจากเชื้อรา หากเกษตรกร มีการเตรียมดินที่ดี และใช้ปูนขาวในการปรับสภาพดินแล้ว จะเป็นการป้องกันโรค ท่ีเกิดจากเชื้อราได้ในระดับหน่ึง หากมีการพบต้นที่เป็นโรค ให้ถอนและเผาท�ำลาย แล้วใชป้ นู ขาวหรอื สารเคมีป้องกนั เชือ้ ราราดลงดนิ การเก็บเกี่ยว เก็บเกย่ี วมะลิขณะดอกตูม สีขาวนวล วิธีเก็บ ใหใ้ ชม้ ือเด็ดตรงกา้ นดอก ใต้กลีบเล้ียง ควรเก็บดอกตอนเช้า ถ้าไม่เก็บดอกจะบานในช่วงบ่าย ท�ำให้ยากต่อการ เก็บดอกตูมท่ีต้องการ เนื่องจากดอกจะบดบังกัน ราคาดอกมะลิจะข้ึนอยู่กับฤดูกาล ในการซอื้ ขายตามท้องตลาด มหี นว่ ยวัดเรยี กว่า “ลิตร” (1 ลิตร เทา่ กับ 7 ขดี ) เทคโนโลยกี ารเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการผลติ ไม้ดอกไม้ประดับ 21
เทคโนโลยกี ารเพมิ่ ประสิทธภิ าพให้มะลิออกดอกในฤดูหนาว และการใช้สารเร่งใหม้ ะลเิ ปดิ ตาดอก 1. การเพ่ิมผลผลิตมะลิในฤดูหนาว ถ้าต้องการให้มะลิออกดอกในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากราคาสูง ดำ� เนนิ การดังน้ี 1.1 ตดั แตง่ กง่ิ ทันทหี ลงั จากเก็บเก่ียวดอกชุดสดุ ท้ายของฤดฝู น ประมาณเดอื น กันยายน–ตุลาคม เพือ่ ใหแ้ ตกยอดอ่อน และเพ่มิ ก่ิงแขนงยอ่ ย 1.2 ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 สลับกับสูตร 12-24-12 ในอัตรา 50 กรมั ต่อตน้ ทกุ 2 สปั ดาห์ 1.3 พ่นสารเร่งดอก โดยใช้ไธโอยูเรีย 200 กรัม ผสมน้�ำ 20 ลิตร หรือสาร โพแทสเซยี มไนเตรทเขม้ ขน้ 500 กรมั ตอ่ นำ้� 20 ลติ ร เพอื่ ทำ� ลายการพกั ตวั และทำ� ใหอ้ อกดอก 1.4 ใหน้ ้�ำอยา่ งสม่ำ� เสมอ ถา้ ขาดน�้ำในช่วงนจี้ ะทำ� ให้ดอกลดนอ้ ยลงอยา่ งมาก 1.5 ใชว้ ัสดคุ ลมุ ดิน ได้แก่ อินทรยี วตั ถตุ า่ งๆ หรือแผน่ พลาสตกิ สดี �ำ เพื่อรักษา อณุ หภมู ิและความชนื้ 2. การเพมิ่ ผลผลติ โดยใชส้ ารและฮอรโ์ มนเรง่ ดอก เปน็ การเรง่ ใหม้ ะลเิ ปดิ ตาดอก เพื่อให้ออกดอกจ�ำนวนมาก ซึ่งเกษตรกรแต่ละพ้ืนที่จะมีเทคนิคการใช้ปุ๋ยน�้ำหมักชีวภาพ หรอื ฮอรโ์ มนเรง่ ดอกทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป เชน่ สตู รทกี่ ลมุ่ งานอารกั ขาพชื สำ� นกั งานเกษตรจงั หวดั นครปฐมแนะน�ำ ได้แก่ 2.1 สตู รน�้ำหมกั ที่ใช้รกหมู เปน็ สว่ นประกอบ ดงั น้ี • รกหมู 1 สว่ น • น้�ำเปล่า 1 ส่วน • น�ำ้ ตาลทราย 10 เปอรเ์ ซ็นต์ ของนำ�้ หนัก • จลุ นิ ทรยี ์ 1 สว่ น ใช้ส่วนผสมหมักในภาชนะท่ีทนต่อความเป็นกรด ในช่วง 7 วันแรก ให้คนส่วนผสมทุกวันเนื่องจากรกหมูจะพองตัว หลังจากน้ันหมักท้ิงไว้ ประมาณ 42 วัน จึงน�ำไปใช้ได้ โดยใช้สว่ นผสม น�้ำหมัก 1 สว่ น ตอ่ น�้ำ 100 สว่ น น�ำไปฉดี พน่ หรือราดลงดนิ 2.2 สตู รฮอร์โมนไข่ มสี ่วนผสม ดงั นี้ • ไขไ่ กเ่ บอร์ 0 จำ� นวน 10 ฟอง (เอาแตน่ ้�ำและไขแ่ ดงตีให้เขา้ กนั ) • นมข้นหวาน 1 กล่อง • น้�ำเปล่า 1 กระป๋องนม • ยาคูลท์ (จลุ นิ ทรยี )์ จำ� นวน 1 ขวด น�ำส่วนผสมคนให้เข้ากัน บรรจุในภาชนะขวด 1 ลิตร ระยะ 7 วันแรก ให้เขย่าขวดทุกวัน หลังจากน้ันหมักท้ิงไว้ 21 วัน จึงน�ำไปใช้ อัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะ ตอ่ นำ�้ 20 ลติ ร ส�ำหรับฉดี พน่ 22 กรมส่งเสรมิ การเกษตร
เทคโนโลยกี ารเพมิ่ ประสทิ ธิภาพการผลิต คริสตม์ าส คริสต์มาส เป็นไม้พุ่มเนื้ออ่อน สูง 1-3 เมตร ใบคล้ายรูปไข่ปลายแหลม ขอบใบหยัก ดอกสเี หลอื งออกเปน็ ชอ่ ทยี่ อด บานในชว่ งเดอื นธนั วาคม โดยมดี อกเพศผแู้ ละเพศเมยี อยบู่ นชอ่ เดยี วกนั มีลกั ษณะเดน่ คือ เมอ่ื ถึงชว่ งฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเยน็ และแสงน้อยกวา่ 11 ช่วั โมง (ประมาณ ปลายเดอื นตลุ าคม) สว่ นของใบประดบั จะเปลย่ี นสจี ากสเี ขยี วเปน็ สแี ดงสด สชี มพู สขี าว หรอื สเี หลอื ง ขน้ึ กบั พนั ธ์ุ สว่ นใบลา่ งจะมสี เี ขยี ว และเมอ่ื ถงึ ปลายเดอื นมนี าคมปถี ดั ไป ใบประดบั จะกลบั เปน็ สเี ขยี ว เหมือนเดิม ซึ่งช่วงเวลาท่ีใบประดับเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด หรือสีสดใสตรงกับตรุษฝร่ังหรือคริสต์มาส จงึ เรยี กกนั วา่ ตน้ หรอื ดอกครสิ ตม์ าส นยิ มปลกู เปน็ ไมก้ ระถางตกแตง่ ประดบั บา้ น หา้ งรา้ น โดยเฉพาะ ในเทศกาลครสิ ต์มาส การเลอื กพ้ืนทีป่ ลกู คริสต์มาสเป็นพรรณไม้ท่ีชอบแสงแดดก่ึงร่ม ชอบอากาศเย็นแต่ไม่หนาวจัด ปลูกได้ดี ในดินร่วนปนทราย มีสภาพความเป็นกรดเล็กน้อยถึงปานกลาง (pH 6-7) แหล่งผลิตท่ีส�ำคัญ ได้แก่ อำ� เภอภเู รือ จังหวัดเลย การเตรยี มพนั ธ์ุ พนั ธุแ์ บ่งตามลกั ษณะสขี องกลีบเลย้ี ง ไดแ้ ก่ สีแดง สเี หลือง และสีชมพู นยิ มขยายพนั ธ์ุ โดยการตัดก่ิงชำ� ในวัสดุเพาะชำ� ทเี่ หมาะสม ระบายน�้ำดีและปราศจากเช้ือโรค เชน่ ทราย แกลบด�ำ พีทมอส เพอรไ์ ลท์ เปน็ ตน้ การปลูกและดแู ลรกั ษา วสั ดปุ ลกู ใชว้ สั ดทุ หี่ างา่ ยในทอ้ งถน่ิ ทม่ี คี วามรว่ นโปรง่ นำ�้ หนกั เบา ดดู ซบั ความชน้ื ระบายน�้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี เช่น ดินร่วน แกลบดิบ แกลบเผา ผสมดินกับแกลบ ในอัตรา 2:3 ให้เข้ากัน จากนั้นน�ำวัสดุปลูกไปอบฆ่าเชื้อสาเหตุโรคในดินโดยใช้ปุ๋ยยูเรียและปูนขาว ในอัตราส่วน ยูเรีย 20 กรัม ผสมกับปูนขาว 200 กรัม ต่อวัสดุปลูกที่มีปริมาตร 1 ลูกบาศก์ฟุต คลุกเคล้าส่วนผสมต่างๆ ใหเ้ ข้ากนั แลว้ รดน�้ำใหช้ ุม่ พอประมาณ คลุมพลาสติกไว้ 7 วนั หลังจากนั้น เปดิ พลาสตกิ ออก ทงิ้ ไวอ้ กี 2-3 วนั เพอ่ื ใหแ้ กส๊ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ระเหยใหห้ มด จากนน้ั ใสเ่ ชอ้ื ราไตรโคเดอรม์ า ในกองวัสดุปลูกคลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาสามารถใช้ได้ท้ังรูปแบบเช้ือสด และเชือ้ ส�ำเร็จรูป ดังน้ี 1. รปู แบบเชอ้ื สด 1.1 ผสมกับวัสดุปลกู โดยใช้เช้ือสดท่ผี สมแล้ว (เชอื้ สด 1 สว่ น : รำ� ละเอียด 4 ส่วน : ปยุ๋ หมัก 100 ส่วน) ผสมลงในวสั ดุปลกู อตั รา 1:4 เทคโนโลยีการเพ่มิ ประสิทธภิ าพการผลิตไมด้ อกไม้ประดบั 23
KPN 1.2 ใชฉ้ ดี พน่ หรอื ราดดนิ โดยใชเ้ ชอ้ื สด1ถงุ (ครงึ่ กโิ ลกรมั )ผสมนำ้� 30-100ลติ ร กรองเอาเฉพาะสว่ นที่เปน็ น�้ำมาใช้ 2. เชื้อสำ�เร็จรปู ใส่ตามอัตราแนะน�ำข้างขวด คลกุ เคลา้ เชอื้ ราไตรโคเดอรม์ ากบั วสั ดปุ ลกู ใหเ้ ขา้ กนั รอใหแ้ หง้ นำ� กงิ่ ชำ� มาปลกู จากน้นั ทุก 15-30 วนั รดด้วยเชื้อราไตรโคเดอรม์ า การวางถุงเพาะชำ� ควรวางให้สูงจากพ้ืนประมาณ 75 เซนติเมตร หรือใช้ กระถางคว่�ำและวางถุงเพาะช�ำบนกระถาง เพ่อื หลีกเล่ียงการตดิ เชือ้ ทางดิน การใหน้ ำ้� ควรใหน้ ำ้� อยา่ งสมำ�่ เสมอ ใหม้ คี วามชน้ื พอเหมาะ แตไ่ มแ่ ฉะ ไมค่ วรรดนำ้� ให้โดนใบ เพราะนำ้� จะขังบนใบอ่อน ทำ� ให้ยอดเน่าได้ การให้ปุ๋ย ระยะแรกให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 1/2 ช้อนชาต่อกระถาง ใหส้ ปั ดาหล์ ะ 1 ครงั้ ระยะใบเรม่ิ เปลยี่ นสี ใหป้ ยุ๋ เคมสี ตู ร 15-15-15 ผสมปยุ๋ เคมสี ตู ร 0-0-60 อัตราสว่ น 3:1 อตั รา 1/2 ชอ้ นชาตอ่ กระถาง สปั ดาห์ละ 1 ครั้ง หมั่นพรวนดนิ ใสป่ ุ๋ยอนิ ทรยี ์ หรือป๋ยุ คอกบำ� รุงตน้ เดอื นละครง้ั โดยใช้วธิ ีฝังกลบ จะช่วยเรง่ ใหใ้ บเปลีย่ นสไี ดด้ ีกว่าวธิ ีอ่ืน การเดด็ ยอด เพอ่ื ใหไ้ ดท้ รงพมุ่ ทมี่ ขี นาดใหญส่ วยงาม ครง้ั แรกหลงั ปลกู 2 สปั ดาห์ คร้งั ที่ 2 และ 3 ในอีกทกุ ๆ 4 สัปดาห์ การให้แสง การปลูกและดูแลตน้ คริสตม์ าส ให้มีใบสีแดงสดอยไู่ ด้นาน แนะนำ� ให้ ปลูกในท่มี ีแสงแดดกึ่งรม่ ไมค่ วรปลกู กลางแจ้ง เพราะจะทำ� ใหใ้ บไมเ่ ปลี่ยนสี การปอ้ งกันกำ�จัดศตั รพู ืช การส�ำรวจและการปฏิบัติเพ่ือปอ้ งกนั ก�ำจดั ศตั รคู รสิ มาส 1. หากพบต้นคริสมาสเป็นโรคเน่า-โคนเน่า 5 ต้นต่อการสุ่ม 100 ต้น ให้พ่น อาลีเอท (fosetyl-aluminium 80% WP) อตั รา 50 กรัมตอ่ น้ำ� 20 ลิตร 2. หากพบแมลงหวี่ขาว 10 ตน้ ตอ่ การส่มุ 100 ตน้ หรอื แมลงหว่ีขาว เฉล่ีย 3 ตวั ต่อกับดักกาวเหนียว (5 กับดักต่อโรงเรือน) ให้พ่นสารเคมี 2 คร้ัง buprofezin 40% SC อตั รา 15 มิลลิลติ ร ตอ่ น�้ำ 20 ลิตร หรือ spiromesifen 24% SC อตั รา 15 มิลลลิ ิตร ต่อน้�ำ 20 ลิตร เลอื กใช้สารเคมชี นดิ ใดชนดิ หน่ึง โดยพน่ ทันทีในครง้ั แรก และเวน้ ระยะ 7 วัน จึงพ่นครั้งท่ี 2 เทคโนโลยกี ารบงั คบั ใหค้ รสิ ตม์ าสมใี บประดบั สแี ดงหรอื สสี ดใสตรงกบั ชว่ งเทศกาล ช่วงเดือนตลุ าคม พรางแสงใหม้ ืดระหวา่ งเวลา 17.00–08.00 น. หลังจากนัน้ 40 วนั ปลอ่ ยให้ได้รบั แสงตามปกติ ใหน้ �้ำ ปยุ๋ รวมทง้ั สภาพอากาศที่เย็น จะทำ� ใหใ้ บประดบั เปลย่ี นสีช่วงเดือนธนั วาคม 24 กรมสง่ เสรมิ การเกษตร
เทคโนโลยกี ารเพิม่ ประสทิ ธิภาพการผลิต ไม้กระถาง ไมก้ ระถาง หมายถงึ การนำ� พรรณไมบ้ างชนดิ มาปลกู ลงในกระถาง หรอื ภาชนะ สวยงาม เพื่อใชเ้ ปน็ ไมป้ ระดับตกแตง่ อาคารสถานท่ีที่มีพื้นทจี่ ำ� กัด และสามารถเคล่อื นยา้ ย ไปประดบั ในสถานทีต่ า่ งๆ ได้งา่ ย สะดวกในการดูแลรกั ษา และโยกย้ายสับเปลี่ยนพรรณไม้ ไดต้ ามความพอใจ การแบ่งกลุ่มไม้กระถางตามลกั ษณะความตอ้ งการแสง แบง่ ไดด้ งั นี้ 1. ไมก้ ระถางในรม่ เช่น ว่านต่างๆ บอน เฟิน สาวน้อยประแป้ง แกว้ กาญจนา พลูด่าง เดหลี วาสนา ก�ำมะหย่ี หมากผู้หมากเมีย กล็อกซีเนีย อาฟริกันไวโอเลท ฯลฯ พรรณไมเ้ หล่าน้ตี อ้ งการแสงแดดเพยี ง 20–40% 2. ไมก้ ระถางกลางแจง้ เชน่ โปย๊ เซยี น เบญจมาศ กุหลาบ โกสน ชวนชม เฟือ่ งฟา้ ว่านส่ีทศิ ครสิ ตม์ าส ดาวเรือง มะลิ เป็นตน้ เปน็ กลมุ่ ไม้ท่ชี อบแสงแดด โดยจะต้อง ไดร้ ับแสงแดดมากกวา่ 50% ขึน้ ไป การเลอื กกระถาง เลือกกระถางท่ีมีรูเพียงพอส�ำหรับการระบายน�้ำ เน่ืองจากการระบายน้�ำ ที่ไม่ดีเป็นสาเหตุให้เกิดอาการรากเน่า และต้นไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี กระถางที่ท�ำ จากพลาสตกิ ไฟเบอร์ หรือเรซิ่นจะเก็บความชื้นไดน้ อ้ ยกว่ากระถางดินเผา การเลอื กวสั ดุปลกู วสั ดปุ ลกู ควรมลี กั ษณะรว่ นโปรง่ อมุ้ นำ�้ หรอื เกบ็ ความชน้ื ไดด้ ี สามารถระบายนำ้� และถ่ายเทอากาศไดด้ ี โดยอาจใชด้ ินธรรมชาตผิ สมกบั วสั ดุตา่ งๆ เช่น อินทรยี ์วตั ถุ ปยุ๋ คอก และอนื่ ๆ เชน่ ทราย อฐิ ปน่ และถา่ นปน่ หรอื อาจซอ้ื มาจากแหลง่ ขาย เชน่ Garden Center ซงึ่ วสั ดทุ มี่ นี ำ�้ หนกั เบา เชน่ พที มอส เวอรม์ คิ ไู ลท์ หรอื อนิ ทรยี วตั ถทุ ย่ี อ่ ยสลาย เหมาะสำ� หรบั การปลูกไม้อวบน�้ำ เช่น แคคตัส ไม้บางชนิดอาจต้องมีการผสมวัสดุปลูกตามสูตร และ หากต้องการลดการดูแลไม้กระถาง แนะน�ำให้ปุ๋ยละลายช้าและใส่โพลิเมอร์เก็บความชื้น ไมใ่ ช้วัสดุปลกู จากสนามหรือสวนที่มีเมลด็ วชั พืช เมลด็ พชื แมลงและเชือ้ นำ� โรค เทคโนโลยกี ารเพ่ิมประสทิ ธิภาพการผลติ ไม้ดอกไม้ประดบั 25
KPN การเลือกตน้ ไม้ พิจารณาให้เหมาะกบั สภาพพืน้ ที่ สภาพอากาศและระยะเวลา ท่ไี ดร้ บั แสง ไมค่ วรปลกู ตน้ ไม้ท่ีต้องการสภาพแวดลอ้ มตา่ งกันในบรเิ วณเดยี วกนั การปลูกและการดูแลรักษา การปลกู • เตรยี มกระถางใหเ้ หมาะสมกบั ขนาดของตน้ ไม ้ ใสเ่ ศษกระเบอ้ื งรอง หลมุ กระถาง เพอื่ ป้องกันวัสดปุ ลูกออกมาจากกระถาง แตใ่ หน้ �้ำระบายผ่านไดส้ ะดวก • ใส่ดนิ หรือวสั ดุปลูกลงในกระถาง • น�ำไม้กระถางออกจากภาชนะเดิม โดยรดน้�ำต้นไม้ในกระถางเดิม 1 ชวั่ โมงกอ่ นถอดภาชนะ เพอื่ ใหส้ ามารถถอดรากตน้ ไมอ้ อกมาเปน็ ตมุ้ กอ้ นดนิ ปอ้ งกนั ความ เสียหายจากการช็อกของต้นไม้ ไม่ควรดึงหรือถอนต้นไม้ออกจากกระถาง หากรากต้นไม้ มจี �ำนวนมากบริเวณตุม้ ดิน ให้ตดั แตง่ รากฝอยออกพอสมควร วางตน้ ไมแ้ ละกลบวสั ดุปลกู โดยปลูกให้ต�่ำกว่าขอบกระถางประมาณ 1 น้ิว กดดินเล็กน้อย เพ่ือไล่โพรงอากาศ และให้ดินสมั ผัสรากพชื ได้กระชับขน้ึ รดน้�ำหลังปลูก การให้น�้ำ พิจารณาตามฤดูกาล ความช้ืนของดิน และขนาดของไม้ ไมแ้ ขวนและไมก้ ระถางขนาดเล็กตอ้ งใหน้ �้ำ 2 ครั้งต่อวนั ช่วงเช้าและเยน็ ไม้กระถางขนาดใหญ่ให้น้�ำวันละครั้ง โดยรดน้�ำจนกระทั่งน�้ำระบายออกจากรูกระถาง รดเฉพาะที่โคนต้น ไม่รดที่ใบหรือดอก หรือต้องปล่อยให้ใบแห้งก่อนค่�ำ เพ่ือป้องกัน การเกิดโรค ไม่วางกระถางแช่ในน�้ำ เน่ืองจากจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรครากเน่าและตายได้ และหากใช้จานรอง ใหเ้ ทน�ำ้ ทีค่ า้ งในจานรองออกทุกคร้งั การให้ปุ๋ย ต้นไม้ที่ปลูกในกระถางต้องการปุ๋ยมากกว่าต้นไม้ท่ีปลูก ในดิน ยิ่งให้น�้ำมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการชะปุ๋ยและธาตุอาหารออกไปมาก เท่าน้ัน โดยท่ัวไปมักใช้ปุ๋ยไนโตรเจน เช่น ยูเรีย (46-0-0) โดยใส่หลังจากปลูกประมาณ 3–7 วนั และครั้งตอ่ ไปใส่สัปดาห์ละคร้ัง เพ่อื เรง่ การเจริญเติบโต ควรรดน�ำ้ ตามหลงั การให้ปยุ๋ เสมอ เพราะน้�ำจะเป็นตัวละลายให้พืชดูดน�ำไปใช้ได้สะดวก การให้ปุ๋ยไม้กระถางประดับ ในอาคาร ไม่ควรใส่มากเหมือนไม้กลางแจ้ง จะท�ำให้พืชยืดล�ำต้นเร็ว และอ่อนแอ ไม่ทน ต่อโรคแมลง ควรใส่ปุ๋ยในระยะที่น�ำไม้ออกมาพักฟื้นภายนอกอาคาร อาจเป็นปุ๋ยเม็ดสูตร 26 กรมส่งเสริมการเกษตร
เสมอ เช่น 15-15-15 ใส่ทางดนิ ร่วมกับการใชป้ ุย๋ น้ำ� สูตรไนโตรเจนสูง เช่น 21-13-13 ฉดี พน่ ทางใบสปั ดาหล์ ะครงั้ เมอื่ เหน็ วา่ ตน้ ไมเ้ รม่ิ ฟน้ื ตวั ดขี นึ้ ควรงดปยุ๋ ทางใบ ใหเ้ ฉพาะปยุ๋ เมด็ ทางดนิ อย่างเดียว การใสป่ ยุ๋ ละลายช้า เปน็ อีกทางเลอื กหนง่ึ ในการปลูกไม้กระถาง ซ่ึงอาจ จะให้ 2 สัปดาห์ตอ่ คร้ัง การปลิดยอด เป็นส่ิงจ�ำเป็นเพ่ือให้ต้นสามารถผลิตดอกได้ในปริมาณ มากข้นึ โดยตัดแต่งก่ิงออกประมาณ 1 ใน 3 สว่ น ต้นจะดูอิดโรยประมาณ 1 สปั ดาห์ หลงั จากนั้นจะออกตาดอกเป็นจำ� นวนมากและบานในเวลาต่อมา ต้นไม้บางชนดิ ไม่ต้องปลิดยอด หรือตัดแต่งกิ่ง โดยดอกท่ีมีความสมบูรณ์จะบานคลุมดอกเล็กๆ ซึ่งจะ เหี่ยวเฉาและแหง้ ไปในท่ีสุด การปอ้ งกนั กำ�จัดศตั รูพืช • แมลงทีพ่ บมากมี 2 ประเภท คอื ประเภทปากกดั ไดแ้ ก่ ต๊กั แตน หนอนผีเส้ือ ด้วง ฯลฯ ป้องกันก�ำจัดโดย จับท�ำลาย หรือใช้สารเคมีตามค�ำแนะน�ำ ข้างฉลาก และประเภทดูดน้�ำเล้ียง ได้แก่ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยจั๊กจ่ัน เพล้ียไฟ เพลี้ยอ่อน แมงมุมแดง เพล้ยี หอย ฯลฯ ปอ้ งกนั ก�ำจดั โดย ใช้สารเคมีตามค�ำแนะนำ� ขา้ งฉลาก • โรคท่ีพบมาก ได้แก่ โรคโคนเน่า ป้องกันก�ำจัดโดย ท�ำให้ บริเวณโคนต้นโปร่ง มีการระบายอากาศดี มีแสงแดดส่องถึง และรักษาผิวหน้าดินปลูก อย่าใหช้ ืน้ แฉะเกินไป การดูแลรักษาโดยทั่วไป เช่น ไม่ควรตั้งไม้กระถางในที่ที่มีลมแรงมาก หรือต้ังใกล้ที่มีไอร้อนมาก ไม้บางชนิด ควรดูแลท�ำความสะอาดใบ เพราะจะทำ� ให้ใบสะอาดสวยงาม และท�ำให้พืชสามารถสงั เคราะห์แสงไดด้ ขี ้ึนอกี ดว้ ย เทคโนโลยีวสั ดุอุปกรณส์ ำ�หรับการปลกู เลยี้ งไม้ดอกไมป้ ระดบั วัสดุอุปกรณ์ส�ำหรับการปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ประดับมีการพัฒนาไปมาก เช่น กระถางตน้ ไมท้ มี่ อี ปุ กรณว์ ดั ปรมิ าณนำ�้ ทำ� ใหท้ ราบปรมิ าณนำ�้ ทค่ี งอยใู่ นกระถาง และจะเตมิ นำ้� อกี เทา่ ใดจงึ จะเพยี งพอแกต่ น้ ไม้ กระถางตน้ ไมท้ ท่ี ำ� มาจากวตั ถดุ บิ ธรรมชาติ เชน่ เปลอื กถว่ั แกลบ ฟางขา้ ว ซังข้าวโพด ซึง่ ยอ่ ยสลายได้ด้วยกระบวนการธรรมชาติ แตม่ ีคุณลกั ษณะเช่นเดยี วกบั พลาสติกใช้งานได้เอนกประสงค์ วัสดุปลูกท่ีมีลักษณะเป็นก้อนเพาะปลูกมีวัสดุหลัก ได้แก่ ขยุ มะพรา้ ว หินบด แร่บด ก้อนเพาะปลกู นไ้ี ดผ้ ่านความร้อนสงู เพ่ือฆ่าเชื้อรา ก้อนเพาะปลูก มีความโปร่ง ท�ำให้รากต้นไม้สามารถกระจายได้ท่ัวถึง รวมถึง สามารถเก็บความช้ืนได้นาน และอุ้มน้ำ� ไดด้ ี เมอ่ื ถูกน้�ำแลว้ ไม่ยุบตวั หรือเปื่อยย่ยุ สามารถน�ำไปปลูกพชื ใตน้ �้ำไดด้ ว้ ย เทคโนโลยีการเพม่ิ ประสิทธิภาพการผลิตไมด้ อกไม้ประดบั 27
เอกสารอ้างองิ กรมส่งเสรมิ การเกษตร. 2530. คมู่ ือการผลิตไม้ตดั ดอกเพ่อื การส่งออก. กรุงเทพฯ. . 2531. รายงานการสมั มนา เรือ่ ง การผลติ กุหลาบเพอ่ื การส่งออก. กรงุ เทพฯ. . 2533. ข้อมูลการผลติ ไมด้ อกทส่ี ำ� คัญ. กรงุ เทพฯ. . 2539. การผลติ ไมด้ อกไมป้ ระดับเชงิ อตุ สาหกรรม. กรุงเทพฯ กรมสง่ เสริมการเกษตร. . 2551. ค่มู อื นักวิชาการสง่ เสรมิ การเกษตร: กุหลาบ. กรุงเทพฯ. . 2556. องคค์ วามรเู้ พม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ สกู่ ารเปน็ Smart officer ไมด้ อกไมป้ ระดบั . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั . . 2557. สวนกล้วยไม้ GAP ส�ำหรับเกษตรกร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จำ� กัด. กองสง่ เสรมิ การอารักขาพชื กรมส่งเสรมิ การเกษตร. 2560. การดำ� เนินกิจกรรมเพอื่ ควบคุมและก�ำจดั ศตั รคู ริสต์มาส (โรคโคนเน่ารากเน่าและแมลงหว่ีขาว). การประชุมรายงานผลการทดสอบและพัฒนาวิธีการควบคุม ศัตรูครสิ ตม์ าสโดยวธิ ีผสมผสาน; 17 กุมภาพันธ์ 2560; สำ� นักงานเกษตรอำ� เภอภูเรือ จังหวัดเลย. กรมส่งเสริมการเกษตร. คณะกรรมการบรหิ ารกลุ่มผูป้ ลกู กหุ ลาบเชียงใหม่. 2534. คมู่ อื สมาชกิ กลมุ่ ผปู้ ลกู กหุ ลาบเชียงใหม.่ ปริญญา กอ่ ศรีพิทักษก์ ุล. 2541. การจัดการกุหลาบตัดดอก. สาขาเทคโนโลยีการเกษตร, มหาวิทยาลัยรามคำ� แหง. พจนา นาควชั ระ. 2542. กุหลาบ. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพมิ พบ์ ้านและสวน. มารศรี วงศ์อนันทรพั ย.์ 2559. กลว้ ยไมต้ ัดดอกสกุลหวาย. ใน วารสารเกษตรก้าวหนา้ , 29(3), 9 – 24. วชั รพี ร โอฬารกนก และวรี ะเดช ฟองชยั . 2560. โครงการทดสอบและพฒั นาวธิ กี ารควบคมุ ศตั รคู รสิ ตม์ าสโดยวธิ ผี สมผสาน ณ พื้นที่จังหวัดเลย. การประชุมรายงานผลการทดสอบและพัฒนาวิธีการควบคุมศัตรูคริสต์มาส โดยวธิ ผี สมผสาน; 17 กมุ ภาพนั ธ์ 2560; สำ� นกั งานเกษตรอำ� เภอภเู รอื จงั หวดั เลย. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดเลย (พืชสวน). 2552. เอกสารประกอบการฝึกอบรม โครงการ ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรเฉพาะด้าน ปี 2552 หลักสูตรเทคโนโลยีการผลิตไม้ดอก ไมป้ ระดบั เพือ่ การคา้ . เศรษฐพงศ์ เลขะวฒั นะ. 2545. การปลกู กหุ ลาบตดั ดอก. กรุงเทพฯ. . 2548. การผลติ เบญจมาศตดั ดอก. กรุงเทพฯ กรมส่งเสรมิ การเกษตร. สมเพยี ร เกษมทรพั ย.์ 2528. การปลูกไม้ตัดดอก. กรุงเทพฯ : ฟันนพ่ี บั บลิชชงิ่ . . 2542. ค�ำแนะนำ� ท่ี 80 เร่ือง การปลูกเบญจมาศ. กรงุ เทพฯ กรมส่งเสรมิ การเกษตร. สัญญานี ศรีคชา. 2560. การจัดการแมลงหว่ีขาวและโรครากเน่า-โคนเน่า แบบผสมผสานส�ำหรับต้นคริสต์มาส. การประชุมรายงานผลการทดสอบและพัฒนาวิธีการควบคุมศัตรูคริสต์มาสโดยวิธีผสมผสาน; 17 กุมภาพนั ธ์ 2560; สำ� นักงานเกษตรอำ� เภอภูเรอื จงั หวัดเลย. กรมวิชาการเกษตร. อดิศร กระแสชัย. 2535. เบญจมาศ. กรงุ เทพฯ. ส�ำนักพมิ โอเดยี นสโตร์. อารีวรรณ ใจเพชร. 2558. เชื้อราไตรโคเดอร์มา. (แผน่ พบั ). กรมสง่ เสริมการเกษตร. http://www.aopdh06.doae.go.th/ การผลิตและขยายพนั ธ์ุเบญจมาศ. เข้าถึงวนั ที่ 6 ธนั วาคม 2559 http://www.panmai.com/pottechnic/PotMain.shtml เทคนคิ การปลกู ไมก้ ระถาง. เขา้ ถงึ วนั ที่ 14 ธนั วาคม 2559 http://www.rakbankerd.com/ เข้าถงึ วนั ที่ 6 ธันวาคม 2559 http://www.theflowerexpert.com/content/giftflowers/flowerandoccasions/poinsettias เขา้ ถงึ วนั ท่ี 6 ธนั วาคม 2559 http://www.vcharkarn.com/varticle/44277 เขา้ ถึงวนั ที่ 6 ธนั วาคม 2559 http://www.wikihow.com/Grow-Potted-Plants เขา้ ถึงวันที่ 6 ธันวาคม 2559 28 กรมส่งเสรมิ การเกษตร
เอกสารคำ�แนะนำ�ที่ 5/2560 เทคโนโลยีการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลิตไม้ดอกไมป้ ระดับ ทีป่ รึกษา อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร www.doae.go.th รองอธบิ ดีกรมส่งเสริมการเกษตร ฝา่ ยบรหิ าร นายสมชาย ชาญณรงคก์ ุล รองอธิบดกี รมสง่ เสรมิ การเกษตร ฝา่ ยวิชาการ นายสงกรานต์ ภักดคี ง รองอธบิ ดีกรมสง่ เสริมการเกษตร ฝา่ ยสง่ เสริมและฝกึ อบรม นายประสงค์ ประไพตระกูล ผอู้ �ำนวยการสำ� นักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี นายสดุ สาคร ภทั รกลุ นษิ ฐ์ ผู้อำ� นวยการสำ� นกั สง่ เสริมและจดั การสนิ คา้ เกษตร นางอัญชลี สุวจติ ตานนท ์ นายสำ� ราญ สาราบรรณ ์ เรียบเรียง ผู้อ�ำนวยการกลมุ่ ส่งเสริมไมด้ อกและไมป้ ระดับ นางพสิ มัย พ่ึงวกิ รัย นางภรู พิ ันธ์ุ สวุ รรณเมฆ นกั วชิ าการเกษตรช�ำนาญการพเิ ศษ นายธรี ะวฒั น์ วงศ์วชิ ิต นักวชิ าการเกษตรชำ� นาญการพเิ ศษ นางสาวมณฑกาฬ ลีมา นกั วิชาการเกษตรช�ำนาญการ นางสาวมารศรี วงศ์อนันทรพั ย์ นกั วิชาการเกษตรชำ� นาญการ กลุม่ สง่ เสริมไมด้ อกและไม้ประดับ สำ� นักสง่ เสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร จดั ทำ� ผอู้ �ำนวยการกลุ่มพัฒนาสอ่ื ส่งเสริมการเกษตร นางอมรทิพย์ ภิรมยบ์ รู ณ์ นางสาวอำ� ไพพงษ์ เกาะเทยี น นักวิชาการเผยแพรช่ ำ� นาญการ กลมุ่ พัฒนาสือ่ สง่ เสริมการเกษตร สำ� นกั พฒั นาการถา่ ยทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: