Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 8530-25324-1-SM

8530-25324-1-SM

Published by Thanan Tangrujikul, 2020-10-28 07:16:40

Description: 8530-25324-1-SM

Search

Read the Text Version

70 วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดอื นกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 การพฒั นากระบวนการสอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริม ต่อการเรียนรู้ทีมตี ่อความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจ ของนักเรียนประถมศึกษาปี ที 1 A DEVELOPMENT OF THE REMEDIAL TEACHING PROCESS BASED ON SCAFFOLDED READING EXPERIENCE ON READING COMPREHENSION ABILITY OF FIRST GRADE STUDENTS สุชนินธ์ บัณฑุนันทกุล1, ผศ.ดร.วรวรรณ เหมชะญาติ 2 Suchanin Bunthununthakul1, Asst.Prof.Dr.Worawan Hemchayart2 คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั บทคัดย่อ งานวจิ ยั นมี วี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพอื พฒั นากระบวนการสอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการ เรียนรู้ทีมีต่อความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจของนกั เรียนประถมศึกษาปี ที 1 และ 2) เพือศึกษาผลของการใช้ กระบวนการสอนซอ่ มเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีมีต่อความสามารถในการอ่านเพือความ เข้าใจของนกั เรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 กล่มุ ตวั อย่างคือนักเรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 ภาคการศกึ ษาปลายปี การศึกษา 2557 โรงเรียนสาธิตจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ฝ่ ายประถมสงั กดั สาํ นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษากระทรวงศึกษาธิการทีผ่าน การคดั กรองและตอบรับเข้าร่วมในการวิจยั ด้วยความสมคั รใจจํานวน 13 คนระยะเวลาในการวิจยั 13 สปั ดาห์การดําเนินการ วิจยั ใช้รูปแบบการวิจยั แบบศกึ ษากลมุ่ เดียววดั สองครังเครืองมอื ทใี ช้ในการวจิ ยั ประกอบด้วย เครืองมือทีใช้ในการทดลอง คือ กระบวนการสอนซอ่ มเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีมีต่อความสามารถในการอ่านเพือความ เข้าใจของนกั เรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 ซงึ มอี งค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ หลกั การ วตั ถุประสงค์ เนือหา ขันตอนการจัดการ เรียนการสอน และการประเมนิ ผลและเครืองมอื ทใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพือ ความเข้าใจวเิ คราะห์ข้อมลู โดยการหาร้อยละมชั ฌิมเลขคณิตสว่ นเบยี งเบนมาตรฐานและสถิติทดสอบที ผลการวิจยั พบวา่ 1. ผลการพัฒนากระบวนการสอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีพฒั นาขึนมี องค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ หลกั การวัตถปุ ระสงค์เนือหาขนั ตอนการจัดการเรียนการสอนซงึ ประกอบด้วยขนั การวินิจฉัย ปัญหาการอา่ นขนั การสอนและขนั การประเมินผลและการประเมินผล 2. ผลของการใช้กระบวนการสอนซอ่ มเสริมฯคอื หลงั การทดลองค่าเฉลยี คะแนนความสามารถในการอ่านเพือความ เข้าใจของนกั เรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 สงู กว่าก่อนการทดลองอย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิทีระดบั .05 คําสาํ คัญ : กระบวนการสอนซ่อมเสริม, ประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้, ความสามารถในการอ่านเพือความ เข้าใจ, นกั เรียนประถมศึกษาปี ที 1 1นิสิตหลักสูตรครุศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ สาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวยั ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั 2 อาจารยป์ ระจําสาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวยั ภาควชิ าหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย

วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 71 ABSTRACT The purposes of this research were 1) to develop the remedial teaching process based on scaffolding reading experience on reading comprehension ability of first grade students, and 2) to study the effectiveness of the development remedial teaching process based on scaffolding reading experience on reading comprehension ability of first grade students. The samples were 13 first grade students of Chulalongkorn University Demonstration Elementary School, whose screening test results were certified that they should be remedial and agreed to participate in this research. Research duration were 13 weeks. The research design was one-group pretest-posttest. The research instruments were the remedial teaching process based on scaffolding reading experience consisted of five components such as principles, objectives, contents, teaching processes, and evaluation and the data were collected by using a reading comprehension ability test. Percentage, arithmetic mean, standard deviation, and t-test for dependence were applied to analyze the results of the study. The research findings were as follows: 1. The results of developed remedial teaching process based on scaffolding reading experience consisted of five components such as principles, objectives, contents, teaching processes such as diagnose reading step; teaching steps; and assessment step, and evaluation. 2. The result of this development process was that after the experiment, the scores of reading comprehension ability were statistically higher than those of at the .05 level of significance. Keywords : Remedial Teaching Process, Scaffolded Reading Experience, Reading Comprehension Ability, First Grade Students บทนํา และชีวติ ในสงั คม งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า โอกาสในชีวิต การอ่านเป็ นทกั ษะทีมีความจําเป็ นและสาํ คัญ พฒั นาขนึ จาก การอา่ น ดังนนั การศึกษาจําเป็ นต้องก้าว ข้ามจากการสอนอ่านเขียนอย่างธรรมดาไปสกู่ ารสอนให้ อย่างยิงต่อการดํารงชีวิตในปัจจุบัน เป็ นเครืองมือที เด็กสนกุ สนานกบั การอา่ นและขยายขอบเขตของการอ่าน สาํ คัญทีสดุ ในการแสวงหาความรู้และใช้ความรู้ทีได้จาก ให้กว้างขวางขึน (Holden, 2004) และการจะพฒั นาคุณภาพ การอ่านในการปรับตวั เป็ นทกั ษะด้านการรับรู้ทีสาํ คัญ การจัดการเรียนรู้รายวิชาต่างๆ ทงั ภาษาไทย คณิตศาสตร์ มาก เพราะเป็ นเครืองมือเรียนรู้สงิ ต่าง ๆ เป็ นรากฐานของ วิทยาศาสตร์ สงั คมศกึ ษา ภาษาอังกฤษ หรืออืนๆ ให้มี การเรียนรู้ แต่ละสาขาวิชาและเพิมพูนความรู้ ประสบการณ์ ประสิทธิภาพและสัมฤทธิผลสูงสุดได้ นัน ในเบืองต้ น ความสามารถของแต่ละคนซึงเป็ นการพัฒนาคุณภาพ จําเป็ นอย่างยิงทีจะต้องพัฒนาเด็กให้สามารถอ่านออก ชีวิตทีได้ผลระยะยาวมากทีสดุ (เสาวลกั ษณ์ รัตนวิชช์, เขยี นได้เป็ นอนั ดบั แรก เพราะการอ่านออกเขยี นได้ถือเป็ น 2550) ถงึ แม้การอ่านถกู มองว่าเป็ นกระบวนการเชิงรับ เ ค รื อ ง มื อ สํา คัญ ที จ ะ ส่ง ผ ล ต่ อ คุ ณ ภ า พ ใ น ก า ร เ รี ย น ร้ ู แต่การอ่านเป็ นกระบวนการทีสร้ างสรรค์ในตัวเองและ ของเด็ก หากปลอ่ ยปละละเลยไม่มีการพฒั นาแก้ไขใน เป็ นองค์ประกอบสําคัญในการนําไปสู่กระบวนการ แนวทางทีถกู ต้องตงั แต่เริมแรก ก็คงยากทีจะพัฒนาเด็ก สร้างสรรค์อืน เด็กจําเป็ นต้องมีความพร้อมในทกั ษะการ อ่านในระดบั ทีสงู เพือได้รับประโยชน์สงู สดุ จากวัฒนธรรม

72 วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดอื นกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 ให้ก้าวเดินต่อไปอย่างมีคณุ ภาพได้ (ฟาฏินา วงศ์เลขา, ส่งเสริมให้เด็กสามารถอ่าน ทําความเข้าใจและเรียนรู้ 2552) เนอื หาได้อย่างประสบความสาํ เร็จ ช่วยให้เด็กดึงความรู้ เดิมมาใช้ในการอ่าน ขยายความรู้ด้านคําศัพท์ใหม่สร้าง การอ่านเพือความเข้าใจเป็ นความสามารถใน ความรู้พืนฐานให้เพียงพอในการอ่านได้อีกด้วย (Clark ก า ร ส รุ ป ห รื อ แ ส ด ง พ ฤ ต ิก ร ร ม เ ข้ า ใ จ จ า ก ก า ร อ ่า น and Graves, 2005 ; Fitzgerald and Graves, 2004) (Herberand Herber, 1993) สามารถแบ่งออกได้เป็ น แ น ว ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ก า ร อ่ า น แ บ บ เ ส ริ ม ต่ อ ก า ร เ รี ย น ร้ ู มี หลายระดับ โดยCollinsและ Cheek (1993) และ Hibbard พืนฐานมาจากแนวคดิ ทฤษฎี ซงึ สามารถนําไปออกแบบ และ Wagner (2002) ได้กลา่ วเอาไว้สอดคล้องกันว่า การจัดการสอนซ่อมเสริมได้อย่างมีความเฉพาะเจาะจง ความเข้าใจตามตวั อกั ษรซงึ หมายถงึ ความรู้และทกั ษะที และเป็ นแผนทีสามารถยืดหย่นุ ให้เข้ากบั สถานการณ์ทีมี แสดงถึงความเข้าใจในการอ่านของนักเรียน สามารถ ความเฉพาะตามวตั ถปุ ระสงค์เพือช่วยเหลอื กลมุ่ ของเด็ก เข้าใจข้ อมูลพืนฐานทีปรากฎในหนังสือ หรือเข้าใจว่า ทมี ีปัญหาในการอ่าน นอกจากแนวประสบการณ์การอ่าน ผ้เู ขยี นต้องการนําเสนออะไรตามข้อมูลพืนฐานทีปรากฏ แบบเสริมตอ่ การเรียนรู้จะช่วยให้เกิดการพัฒนาการอ่าน ในหนังสือ เป็ นความสามารถทีมีความสอดคล้องกับ เพือความเข้าใจให้แก่เด็กได้อย่างเหมาะสมแล้ว ยังเป็ น ระดับพัฒนาการด้านการอ่านของนกั เรียนประถมศกึ ษา แนวคดิ ทสี ามารถนาํ ไปพฒั นาการสอนซ่อมเสริมทีเหมาะสม ปี ที 1 ซงึ สามารถสรุปได้ว่า (Holdaway, 1979; Cochraneand กับเด็กแต่ละกลมุ่ ซึงจะช่วยให้เด็กได้พฒั นาทักษะทาง others, 1984; Clay, 2001 และ สนุ นั ทา มนั เศรษฐวิทย์, ภาษาของตนเองได้เต็มตามศกั ยภาพ โดยเฉพาะในเด็กที 2545) นกั เรียนจะมคี วามสามารถในการอ่านและเพิมพูน มีผลสัมฤทธิ ทางการเรียนรู้ตํานนั มีความเสยี งต่อความ คําศัพท์ได้ตามเกณฑ์ รู้จักรูปคําและเสียงของตวั อักษร ล่าช้าหรือบกพร่องทางภาษา หากได้รับการช่วยเหลอื ที สามารถอา่ นคําหรือข้อความต่างๆ ได้ และใช้การคาดเดา ทนั ท่วงทีก็จะช่วยให้เด็กมีทักษะในการใช้ภาษาและมี ข้ อ คว า มห รื อใ ห้ คว า มห มา ยจา กตัว ห นังสือ จา ก เครืองมอื ทีพร้อมสาํ หรับการเรียนรู้ ประสบการณ์ และจากตัวชีแนะของผู้เขียนทีเป็ น โครงสร้างและเนือเรืองพืนๆ ในการเชือมโยงความหมาย การวิจยั นีจึงม่งุ หวงั ให้เป็ นการพฒั นากระบวน กบั โครงสร้างของประโยค และภาพกบั เรืองราวได้ การสอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบ เสริมต่อการเรียนรู้ทีมีต่อความสามารถในการอ่านเพือ แนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการ ความเข้าใจของนักเรียนประถมศึกษาปี ที 1 ในโรงเรียน เรียนรู้ของ Graves และ Graves เป็ นแนวทางในการจัด สงั กัดสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวง กระบวน การเรี ยนร้ ู ขอ งทีช่วยใ ห้ เด็กอ่ านอย่า งประสบ ศึกษาธิการ ให้ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ ความสาํ เร็จ เกิดความเข้าใจจากการอ่าน เรียนรู้ทีจะอ่าน ธรรมชาติในการเรียนรู้ภาษาของนักเรียน เพือช่วย ได้อย่างถกู ต้อง และเพลดิ เพลินกับการอ่าน เพราะแนว สง่ เสริมและกระต้นุ ให้นกั เรียนเกิดความสนใจในการเรียน ประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ เน้นการ การสอนอา่ น มคี วามสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจ เสริมตอ่ การเรียนรู้ทีเหมาะสมกบั พืนทีรอยต่อพฒั นาการ สามา รถนํ าคว ามร้ ู ค วาม เข้ า ใจจ ากกา รอ่า นไป พัฒน า ของเด็ก มีการทบทวนความรู้เดิม กระตุ้นและสร้ าง ตนเองในการเรียนรู้วิชาต่างๆ และเตรียมความพร้อมใน ความรู้พืนฐานเพือการอ่าน เน้ นการมีส่วนร่วมในการ การนําไปปรับใช้ในการศกึ ษาต่อในระดับทีสงู ขนึ ต่อไปใน เรียนเพือทําให้เด็กมีผลสัมฤทธิ ในการอ่านสงู ขึน การมี อนาคต สว่ นร่วมในการเรียน เด็กจะสามารถดําเนินกิจกรรมการ อ่านได้ และปรบั ปรุงการอ่านได้ด้วยตนเอง แนวการสอน ประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ ยังช่วย

วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดอื นกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 73 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั หลักการสอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์ ความ การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ สามารถใน หลักการสอนซ่อมเสริม การอ่าน (Harris, 1971; Wilson andCleland, 1990; 1. การวิเคราะห์ข้อบกพร่องของนกั เรียนและ เพือความ สํานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาต,ิ 2540) หาสาเหตุของปัญหาเป็ นรายบคุ คลเพอื แก้ไข เข้าใจของ 1. ผ้เู รียนต้องได้รับการฝึกฝนในภาคปฏิบตั ิมากๆได้รับมอบหมายงานโดย ปัญหาของนกั เรียนทลี ะอย่าง โดยได้รับความ นักเรียน ฝึกให้มคี วามรับผิดชอบเพิมมากขนึ มกี ารแลกเปลยี นความคิดเห็น ร่วมมอื จากผ้เู กียวข้องทกุ ฝ่าย และแขง่ ขนั กับตนเองมากกว่าเพือนในกล่มุ ประถม 2. ผ้สู อนต้องศกึ ษาข้อบกพร่องของนกั เรียน และวิเคราะห์หาสาเหตุหรือ 2. การกาํ หนดวัตถปุ ระสงค์ของการอ่านใน ศึกษาปี ที 1 ปัญหาเป็ นรายบุคคลจากการวินิจฉยั ผลการเรียนรู้ เพอื แก้ไขปัญหา ระดับตํากว่านกั เรียนปกตเิ พอื นาํ มาคัดเลอื ก ของนกั เรียนทลี ะอยา่ งโดยได้รับความร่วมมือจากผ้เู กยี วข้องทกุ ฝ่าย บทอ่านและชว่ งเวลาในการทาํ กิจกรรมทาํ ให้ การอา่ นคาํ 3. ผ้สู อนมบี ทบาทเป็ นผ้ทู เี สียสละ มคี วามอดทน มีมนษุ ยสมั พนั ธ์ทดี ีกบั นกั เรียนอ่านออกและรู้สกึ ประสบความสาํ เร็จใน 1. การแยก นกั เรียน ส่งเสริมให้นกั เรียนเกิดแรงจงู ใจในการเรียน โดยใช้การ การเรียนรู้เนอื หา และเพลดิ เพลินกบั การอ่าน ส่วนประกอบ เสริมแรงและให้ความช่วยเหลือเป็ นพเิ ศษ ของคํา 4. มกี ารวางแผนร่วมกันระหว่างครูและนกั เรียนในการกําหนด 3. การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดแรงจงู ใจในการ 2. การอา่ น วัตถปุ ระสงค์ในระดบั ตํากว่านกั เรียนปกติ และชว่ งเวลาในการทาํ เรียนโดยใช้การเสริมแรงและให้ความชว่ ยเหลอื สะกดคํา กิจกรรมเพือพฒั นาทกั ษะของนกั เรียน เป็ นพเิ ศษ ครูมบี ทบาทเป็ นผ้ทู เี สยี สละ มคี วาม 5. ใช้เทคนคิ การสอนทียดื หยนุ่ หลากหลาย มกี ารทบทวนสงิ ทีได้เรียนไป อดทน และมีมนษุ ยสมั พนั ธ์ทดี ีกบั นกั เรียน การอา่ นเรือง แล้ว เรียนรู้จากความรู้พนื ฐานหรือรูปธรรมไปส่นู ามธรรมอยา่ งเป็ น 1.การอา่ น ระบบ ให้เหมาะสมกับความสนใจ และลกั ษณะข้อบกพร่องของ 4. การฝึ กฝนภาคปฏิบัติซาํ ๆ และการมี ออกเสียง นกั เรียนแต่ละคน เพอื ให้นกั เรียนได้ปฏบิ ตั ิจริงและเกิดความสนกุ สนาน ปฏิสัมพนั ธ์ต่อบทอ่านเพือให้นกั เรียนคุ้นเคย 2. การอา่ น 6. มีการติดตามและประเมินผลอยา่ งสอดคล้องกับจดุ บกพร่องทีซอ่ ม กับตวั อักษร และเข้าใจหลกั การสะกดคําชดั เจน จับใจความ เสริมตามวัตถปุ ระสงค์ทวี างไว้ และให้นกั เรียนได้รับทราบ ขนึ รบั ผดิ ชอบเพิมมากขนึ มกี ารแลกเปลียน ความก้าวหน้าในการทาํ งานของตนเองเป็ นระยะๆ อย่างสมาํ เสมอ ความคดิ เห็นและแขง่ ขนั กบั ตนเองมากกว่า 7. ใช้เวลาสนั ๆ ในการจดั กิจกรรมแต่ละครัง และจดั เวลาให้เหมาะสมกับ เพอื นในกลมุ่ นกั เรียนแต่ละคน 8. มกี ารจดั ช่วงเวลาในการฝึกฝนในภาคปฏบิ ตั ิมากๆ โดยใช้เวลา 5. การใช้เทคนคิ การสอนทยี ดื หย่นุ พอเหมาะ และมรี ะยะพกั ตามความเหมาะสม หลากหลาย โดยมกี ารทบทวนสงิ ทไี ด้เรียนไป 9. มีสือ อปุ กรณ์ทหี ลากหลายเหมาะสมกบั เนอื หา ความสามารถ และ แล้ว เรียนรู้จาก ความรู้พนื ฐานหรือรูปธรรม ไปสู่ ความสนใจของนกั เรียน นามธรรมอยา่ งเป็ นระบบ ใช้การเสริมต่อการ เรียนรู้ทีเหมาะสมกบั ระดบั ความสามารถของ หลักการสอนตามแนวประสบการณ์การอ่าน นกั เรียน ให้นกั เรียนเข้าใจเนือหาและบริบทของ แบบเสริมต่อการเรียนรู้ เนอื หา จากการเชอื มโยงความรู้หรือ (Graves andGraves, 2003) ประสบการณ์เดิม และครูคอ่ ยๆ ลดการเสริมต่อ การเรียนรู้โดยถ่ายโอนความรบั ผดิ ชอบไปสู่ 1. เป็ นการสอนทใี ช้การวางแผนและจดั กิจกรรมการสอนอา่ นใน นกั เรียน เพือให้นกั เรียนเชอื มโยงบทเรียนกบั สถานการณต์ ่างๆ ประกอบด้วยกิจกรรมก่อน ระหวา่ ง และหลงั การ ชีวิตจริงได้ อ่าน ทอี อกแบบมาเพอื ส่งเสริมการสร้างประสบการณ์ให้นกั เรียน ประสบความสาํ เร็จในการอ่านเพอื ความเข้าใจ เรียนรู้เนอื หาและ 6. การใช้เวลาทพี อเหมาะในการจัดกิจกรรม เพลดิ เพลินกบั การอา่ น แต่ละครังโดยจดั ชว่ งเวลาในการฝึกฝน ภาคปฏบิ ตั ิมากๆ และจดั เวลาให้เหมาะสมกบั 2. เป็ นการสอนทใี ช้การเสริมต่อการเรียนรู้ทเี หมาะสมกบั ระดับ นกั เรียนแต่ละคนมรี ะยะพกั ตามความเหมาะสม ความสามารถของนกั เรียน โดยครูคอ่ ยๆ ลดการเสริมต่อการเรียนรู้แล้ว ถ่ายโอนความรับผดิ ชอบไปส่นู กั เรียน 7. การใช้สือ อปุ กรณ์ทีหลากหลายเหมาะสม กับเนอื หา ความสามารถ และความสนใจ 3. เป็ นการสอนทใี ห้นกั เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน และมปี ฏสิ มั พนั ธ์ตอ่ ของนักเรียนเพอื ให้นกั เรียนรู้สกึ สนใจ สนกุ ไม่ บทอา่ นทําให้นกั เรียนประสบความสาํ เร็จในการอ่าน ซําซาก ซงึ จะชว่ ยให้เด็กเข้าใจและไม่เบอื หน่าย 4. เป็ นการสอนทใี ห้นกั เรียนเข้าใจเนือหา และบริบทของเนอื หา โดย 8. การตดิ ตามและประเมินผลอย่างสอดคล้อง เชอื มโยงความรู้ หรือประสบการณ์เดิมซงึ เป็ นสิงทมี คี ุณค่าและสาํ คญั กับจุดบกพร่องทีซ่อมเสริมตามวตั ถุประสงค์ ทีวางไว้เพอื ให้นกั เรียนได้รับทราบ ความก้าวหน้าในการทํางานของตนเองเป็ น

74 วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดอื นกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ตัวแปรทศี ึกษา 1. ตัวแปรต้น คือ กระบวนการสอนซ่อมเสริม 1. เพือพัฒนากระบวนการสอนซ่อมเสริมตาม แนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีมีต่อ ตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ ความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจของนกั เรียน 2. ตวั แปรตามคือความสามารถในการอ่านเพือ ประถมศกึ ษาปี ที 1 ความเข้าใจ ประกอบด้วยการอ่านคํา ได้แก่ 1) การแยก 2. เพือศกึ ษาผลของการใช้กระบวนการสอน ส่วนประกอบของคํา 2) การอ่านสะกดคํา และการอ่าน ซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อ เรือง ได้แก่ 1) การอ่านออกเสยี ง 2) การอา่ นจบั ใจความ การเรียนรู้ทีมีต่อความสามารถในการอ่านเพือความ เข้าใจของนกั เรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ทดลองใช้ กระบวนการสอนซ่อมเสริมฯที สมมติฐานการวิจยั นกั เรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 ทีได้รับการจัดการ พฒั นาขึนโดยบูรณาการหลกั การสอนซ่อมเสริมร่วมกับ หลกั การสอนตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อ เรียนการสอนตามกระบวนการสอนซ่อมเสริมตามแนว การเรียนรู้ ประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีพฒั นาขนึ มีคา่ เฉลยี ของคะแนนความสามารถในการอ่านเพือความ 2. เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนการทดลองกับกล่มุ เข้าใจหลงั การทดลองสงู กวา่ ก่อนการทดลอง ตวั อย่าง โดยการคดั กรองและวินิจฉัยปัญหาการอ่านเป็ น รายบคุ คลจากนนั ดําเนินการทดลองตามแผนการจัดการ วธิ ีดําเนินการวิจยั เรียนรู้ และเก็บรวบรวมข้อมูล จากแบบทดสอบความสามารถ ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ในการอ่านเพือความเข้าใจ โดยแบ่งออกเป็ น 3 ขันตอน ได้แก่ 1. การกําหนดประชากร ประชากร คือ นกั เรียน ประถมศึกษาปี ที 1 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ 1) ก่อนการทดลองทดสอบความสามารถใน มหาวทิ ยาลยั ฝ่ าย การอ่านเพือความเข้าใจก่อนการทดลองเป็ นรายบคุ คล ประถม สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็ นระยะเวลา 1 สปั ดาห์ กระทรวงศกึ ษาธิการ ทีผา่ นการคัดกรองว่าเป็ นนกั เรียนที มีระดับความสามารถในการอ่านเพือความเข้ าใจอยู่ใน 2) การทดลองดําเนินการทดลอง เป็ นเวลา เกณฑ์ระดบั ปรบั ปรุง 11 สปั ดาห์ สปั ดาห์ละ 5 วนั วนั ละ 45 นาที 2. การคดั เลอื กกลมุ่ ตัวอย่าง กล่มุ ตวั อย่าง คือ นักเรียนประถมศึกษาปี ที 1 ภาคการศึกษาปลาย ปี 3) หลงั การทดลองทดสอบความสามารถใน การศกึ ษา 2557 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั การอ่านเพือความเข้าใจหลงั การทดลองเป็ นรายบุคคล ฝ่ ายประ ถม สังกัดสํานักงา นคณะกรรมการกา ร เป็ นระยะเวลา 1 สปั ดาห์ อุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ทีผ่านการคัดกรองว่า เป็ นนกั เรียนทมี รี ะดบั ความสามารถในการอ่านเพือความ เครืองมือทีใช้ในการวจิ ยั เข้าใจอยู่ในเกณฑ์ระดับปรับปรุงและตอบรับเข้าร่วมใน เครืองมอื ทใี ช้ในการวจิ ยั ประกอบด้วย การวจิ ยั ด้วยความสมคั รใจ จํานวนทงั สนิ 13 คน 1. เครืองมือทใี ช้ในการทดลองคือ กระบวนการ สอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริม ต่อการเรียนรู้ทีมีต่อความสามารถในการอ่านเพือความ เข้าใจของนักเรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 ซงึ มีองค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ หลกั การ วตั ถปุ ระสงค์ เนือหา ขันตอน การจดั การเรียนการสอน และการประเมนิ ผล

วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 75 2. เครืองมอื ทใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู คือ ยอมรบั ตามเกณฑ์ คือ มีค่าอํานาจจําแนกดีมาก จํานวน แบบทดสอบความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจซึง 15 ข้อ และมีค่าอํานาจจําแนกดี จํานวน 25 ข้อ (ศิริชัย ใช้ทงั ก่อนการทดลองและหลงั การทดลองโดยลกั ษณะ กาญจนวาส,ี 2552) ของแบบทดสอบความสามารถในการอา่ นเพอื ความเข้าใจนี เป็ นแบบทดสอบทีมีการดําเนินการเป็ นรายบคุ คล แบ่งเป็ น 4) นําเครืองมือทีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที 4 ตอน จํานวน 40 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวมทงั สิน 40 คะแนน ปรับแก้ตามคําแนะนําของผู้ทรงคุณวุฒิ และตรวจสอบ การตรวจสอบคณุ ภาพของเครืองมือทใี ช้ในการวจิ ยั คณุ ภาพพบวา่ เป็ นทียอมรบั ตามเกณฑ์แล้วมาพัฒนาเพือ เป็ นเครืองมอื ทีใช้ในการวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์พร้อมใช้งาน 1) ผู้วิจัยใช้ การตรวจสอบความเทียงตรง เชิงเนือหา โดยให้ผู้ทรงคณุ วฒุ ิจํานวน 5 ท่านตรวจสอบ การวิเคราะห์ข้อมูล ความตรงเชิงเนือหาใช้ดัชนี IOC(Item Objective Congruence) ผ้วู ิจยั ดาํ เนินการวเิ คราะห์ข้อมลู จากแบบทดสอบ เพอื ตรวจสอบพิจารณาความเหมาะสมของกระบวนการ สอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริม ความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจ โดยวิเคราะห์ ต่อการเรียนรู้ทีมีต่อความสามารถในการอ่านเพือความ ค่าเฉลียคะแนนจากแบบทดสอบความสามารถในการ เข้าใจของนักเรียนประถมศึกษาปี ที 1 และแบบทดสอบ อา่ นเพอื ความเข้าใจ กอ่ นและหลงั ทดลองใช้กระบวนการ ความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจพร้อมทงั ความ สอนซอ่ มเสริมฯ ด้วยโปรแกรมสําเร็จรูป วิเคราะห์โดยใช้ เหมาะสมของกิจกรรมของแผนการจัดการเรียนรู้พบว่า สถิติร้ อยละ (%) มัชฌิมเลขคณิต (x) ส่วนเบียงเบน คา่ ความตรงเชงิ เนอื หามคี า่ อย่รู ะหวา่ ง 0.80-1.00 ซึงเป็ น มาตรฐาน (SD) สถิติทดสอบที (t-test for dependent ค่าทียอมรับตามเกณฑ์ทีใช้ในการตัดสินความเทียงตรง samples) ทรี ะดบั ความมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิ .05 เชิงเนือหา คือ ค่าดชั นี IOC ต้องมากกว่า 0.5(IOC > 0.50) (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2552) จงึ จะถือว่ามีความ สรุปผลการวิจยั สอดคล้องกบั ทฤษฎีและพฤติกรรมทีต้องการวดั 1. ผลการพัฒนากระบวนการสอนซ่อมเสริม 2) นําเครืองมือทีใช้ ในการวิจัยไปทดลอง ตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีมี นาํ ร่อง โดยมีวตั ถุประสงค์เพือตรวจความเหมาะสมและ ต่อความสามารถในการอา่ นเพือความเข้าใจของนกั เรียน ความเป็ นไปได้ในการใช้งาน พบว่า เครืองมือทีใช้ในการ ประถมศึกษาปี ที 1 กระบวนการสอนซ่อมเสริ มฯ เก็บรวบรวมข้อมลู คอื แบบทดสอบความสามารถในการ มีองค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ อ่านเพือความเข้าใจนัน เวลาในการทดสอบบางตอนยัง ไม่เหมาะสม เนืองจากให้เวลาในการทดสอบน้อยเกินไป 1.1 หลกั การ กระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ ผู้วิจยั จงึ มีการปรับเวลาทีใช้ในการทดสอบแบบทดสอบ ประกอบด้วยหลกั การทีสําคัญ 8 ประการโดยบูรณาการ แต่ละตอนให้มคี วามเหมาะสมยงิ ขนึ หลกั การสอนซ่อมเสริมร่วมกับหลักการสอนตามแนว ประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (ดงั แผนภาพ 3) หาค่าความยากและค่าอํานาจจําแนกของ หน้า 5) ดงั นี เครืองมือทีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู จากการทดลอง นําร่อง พบว่า มีค่าความยากอย่รู ะหว่าง 0.25-0.77 ซึง 1) การวเิ คราะห์ข้อบกพร่องของนกั เรียน เป็ นคา่ ทยี อมรับตามเกณฑ์ คือ ค่าความยากทียอมรับได้ และหาสาเหตขุ องปัญหาเป็ นรายบคุ คล จะอย่รู ะหว่าง 0.2-0.8 (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2552) และ ค่าอํานาจจําแนกอยู่ระหว่าง 0.33-0.78 ซึงเป็ นค่าที 2) การกําหนดวตั ถปุ ระสงค์ของการอ่าน ในระดบั ตํากว่านกั เรียนปกติ 3) การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจ ในการเรียน 4) การฝึกฝนภาคปฏิบตั ิซําๆ และการมี ปฏิสมั พนั ธ์ตอ่ บทอา่ น

76 วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดอื นกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 5) การใช้ เทคนิคการสอนทียืดหยุ่น 2. ผลของการใช้กระบวนการสอนซ่อมเสริม หลากหลาย ตามแนวประสบการณ์การอา่ นแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีมี ต่อความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจของนกั เรียน 6) การใช้เวลาทีพอเหมาะในการจัด ประถมศกึ ษาปี ที 1 กจิ กรรมแต่ละครัง หลังจากนํากระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ ไป 7) การใช้สือ อุปกรณ์ทีหลากหลาย ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างปรากฏว่า ผลการวิเคราะห์ เหมาะสมกับเนือหา ความสามารถ และความสนใจของ ข้อมูลสอดคล้องกบั สมมติฐานการวิจัยทีตงั ไว้ สามารถ นกั เรียน สรุปผลการทดลองได้ว่า ค่าเฉลยี คะแนนความสามารถ ในการอ่านเพือความเข้าใจหลังการทดลองสงู กว่าก่อน 8) การติดตามและประเมินผลอย่าง การทดลอง อย่างมนี ยั สาํ คญั ทางสถิติทีระดบั .05 สอดคล้องกบั จดุ บกพร่องทีซ่อมเสริมตามวัตถุประสงค์ที วางไว้ อภิปรายผล 1. ผลการพัฒนากระบวนการสอนซ่อมเสริม 2. วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงค์ของกระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ ตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีมี ต่อความสามารถในการอา่ นเพือความเข้าใจของนกั เรียน คือ เพอื สง่ เสริมความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจ ประถมศกึ ษาปี ที 1 ของนกั เรียนประถมศกึ ษาปี ที 1 ดงั ตอ่ ไปนี 1.1 การวิเคราะห์ข้อบกพร่องของนักเรียน 2.1 การอา่ นคาํ ได้แก่ การแยกสว่ นประกอบ และหาสาเหตขุ องปัญหาเป็ นรายบคุ คล ของคํา และการอา่ นสะกดคาํ กระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ ทีพฒั นาขึน 2.2 การอ่านเรือง ได้แก่ การอ่านออกเสยี ง เป็ นกระบวนการทมี ีฐานมาจากการศึกษาปัญหาการอ่าน และการอา่ นจบั ใจความ เพอื ความเข้าใจของนกั เรียนประถมศึกษาปี ที 1 ซึงพบว่า นกั เรียนส่วนใหญ่ทีอ่านแล้วไม่เข้าใจ มีปัญหาสืบเนือง 3. เนือหา มากจากความรู้พืนฐานทางการอ่าน ดังที Doren (2007) เนือหาทีใช้ในการจัดกระบวนการสอนซ่อม ได้ กล่าวถึงปั ญหาการอ่านเพือความเข้าใจสรุปได้ ว่า ความบกพร่ องหรื อปั ญหาในการอ่า นของเด็กทีสําคัญ เสริมฯ ประกอบด้ วยความรู้พืนฐานทางการอ่าน และ เกิดขนึ จากความบกพร่องในทกั ษะเกยี วกบั การรู้จักคํา ซึง ลกั ษณะของบทอ่าน เด็กทีเกิดความบกพร่องในทักษะด้านนี จะไม่สามารถ พฒั นาความสามารถไปในระดบั ทีสงู กว่า คือความเข้าใจ 4. ขนั ตอนการจดั การเรียนการสอน ในการอา่ นได้ การจดั กระบวนการเรียนการสอนซ่อมเสริมฯ 1.2 การกําหนดวัตถุประสงค์ของการอ่าน ประกอบด้วย ขนั ตอน 3 ขันตอน คือ ขันที 1 การวินิจฉัย ในระดบั ตาํ กว่านกั เรียนปกติ ปัญหาการอ่าน ขนั ที 2 การสอน ประกอบด้วย 4 ขนั ย่อย คือ การฝึ กอ่านตามโครงสร้างคํา การเชือมโยงรูปคํากับ กระบวนการสอนซอ่ มเสริมฯ ทพี ัฒนาขนึ ความหมาย การถ่ายโยงการเรียนรู้ การอ่านและเลา่ อย่าง มีการกําหนดวัตถุประสงค์ของการอ่านในระดบั ตํากว่า เข้าใจ และขนั ที 3 การประเมินผล นักเรียนปกติเพือให้เหมาะสมกบั ความสามารถ และไม่ สร้ างความกดดันให้ แก่นักเรียนซึงสอดคล้ องกับที 5. การประเมนิ ผล สาํ นกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2540) ผู้วิ จั ยดํ า เ นิ น กา รวัด แ ล ะ ป ระ เ มิ น ผ ล ความสามารถในการอ่านเพือความเข้ าใจของนักเรี ยน ประถมศึกษาปี ที 1 จากการใช้กระบวนการสอนซ่อม เสริมฯ

วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 77 และ Graves and Graves (2003) ระบุว่าการสอนซ่อม กระบวนการสอนซอ่ มเสริมฯ ทีพฒั นาขนึ มีเป้ าหมาย เสริมทจี ะเกดิ ผลดีต้องมีหลกั การสอนซ่อมเสริมทีมีการตงั ในการแก้ ปั ญหาและพัฒนาผ้ ูเรียนในเรื องการอ่านเพือ วตั ถปุ ระสงค์ในระดบั ตาํ กวา่ นกั เรียนปกติและใช้การเสริม ความเข้าใจ ทีให้ความสําคัญกบั ผู้สอนในฐานะของการ ต่อการเรียนรู้ทีเหมาะสมกับระดับความสามารถของ เป็ นตวั แบบของพฤตกิ รรมต่างๆ เพือสนับสนนุ ให้นกั เรียน นกั เรียน ประสบความสําเร็จในการอ่าน ดังเช่นทีนงลกั ษณ์ คํายิง (2541) ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า การจัดการเรียนการสอนที 1.3 การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดแรงจงู ใจ ควรได้รับการแก้ไขมากทีสดุ คือ ลกั ษณะการจดั กิจกรรม ในการเรียน ของครู ครูควรใช้เทคนิคในการจดั กิจกรรมการเรียนการ สอน เพือช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ ดียิงขึน กระ บ ว น กา ร สอ น ซ่ อ ม เ สริ มฯ ที ฉะนันกระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ ทีพัฒนาขึนนี จึง พฒั นาขนึ เน้นเรืองการสร้างแรงจงู ใจ โดยการใช้กิจกรรม ต้องการผ้สู อนทีเปิ ดตา คือ เข้าใจหลกั การสอนซ่อมเสริม ใดๆ ก็ได้ทีออกแบบมาเพือทําให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที ตามแนวประสบการณ์การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ จะอา่ น และการสร้างความสมั พนั ธ์เรืองทีอ่านกับชีวิตจริง และเปิ ดใจ คือ พร้อมจะเป็ นตัวแบบในการปฏิบัติ และ ของผ้เู รียนเพราะสิงทีเกียวข้องกับผู้เรียนจริงๆจดั ว่าเป็ น เปิ ดโอกาสให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้อย่างมีสว่ นร่วม ตัวสร้ างแรงจูงใจทีมีพลังมาก และทําให้การสอนซ่อม เสริมนนั ๆ ประสบความสาํ เร็จ สอดคล้องกบั สํานักงาน 1.6 การใช้ เวลาทีพอเหมาะในการจัด คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2540) Graves กิจกรรมแต่ละครงั และ Graves (2003) และ Ashlock (2002) ระบุว่าผู้สอน ควรมีบทบาทเป็ นผู้ทีเสียสละมีความอดทนมีมนุษย กระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ ทีพัฒนาขึน สมั พนั ธ์ทีดกี บั นกั เรียนสง่ เสริมให้นักเรียนเกิดแรงจงู ใจใน มีขนั ตอนการจดั การเรียนการสอนทีใช้เวลาสนั ๆ พอเหมาะ การเรียนโดยเลือกกิจกรรมการฝึ กซึงเห็นผลได้ทันทีว่า กบั เนือหาและช่วงความสนใจของนักเรียน ตามหลกั การ คําตอบของเด็กถกู หรือผิด สอนซอ่ มเสริม (Harris, 1971)ทรี ะบุว่าการสอนซ่อมเสริม นนั ควรเป็ นกระบวนการทีใช้เวลาสนั ๆในการจดั กิจกรรม 1.4 การฝึกฝนภาคปฏิบตั ิซํา ๆ และการมี แต่ละครงั และจดั เวลาให้เหมาะสมกบั นกั เรียนแตล่ ะคน ปฏิสมั พนั ธ์ต่อบทอา่ น 1.7 การใช้ สืออุปกรณ์ ทีหลากหลาย การจดั การเรียนการสอนตามกระบวนการ เหมาะสมกับเนือหา ความสามารถ และความสนใจของ สอนซ่อมเสริมฯ ทีพัฒนาขึน มุ่งเน้ นการส่งเสริมให้ นกั เรียน นกั เรียนเรียนรู้หลกั ภาษาไทยไปพร้อมๆ กับการฝึ กทกั ษะ การอ่าน ทาํ ให้ผ้เู รียนสามารถถ่ายโยงความรู้ทีเรียนมาใช้ กระบวนการสอนซ่อมเสริ มฯ ที ในการเขียนงานในแต่ละขนั ตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาขึนนัน ในขันตอนการจัดการเรียนการสอนครู ดังทีมีงานวิจัยเกียวกับความเข้ าใจทางการอ่า น จะต้องมีการเตรียมสอื และอุปกรณ์ทีหลากหลายให้แก่ (Broekand others, 2005; KendeouandBroek, 2005) นกั เรียน เพือให้นกั เรียนเกิดความสนใจ และช่วยกระต้นุ ระบุว่าทักษะพืนฐานซึงเกียวข้ องกับภาษาทีนําไปสู่ การเรี ยนรู้ สอดคล้ องกับหลักการสอนซ่อมเสริ ม ความสามารถในการอ่านตัวอักษรจะพฒั นาควบค่ไู ปกับ (สํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, ทกั ษะในการเข้าใจสงิ ทอี า่ นในทสี ดุ 2540; Harris, 1971; Wilson and Cleland, 1990) ที ระบุว่าการสอนซ่อมเสริมควรมีสอื อุปกรณ์ทีหลากหลาย 1.5 การใช้ เทคนิคการสอนทียืดหยุ่น เหมาะสมกบั เนือหาความสามารถและความสนใจของ หลากหลาย

78 วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 นกั เรียนเพือให้นกั เรียนรู้สกึ สนใจสนุกไม่ซําซากซึงจะช่วย เรียนรู้ ซึงผู้วิจัยขอนําเสนอผลการอภิปรายตามลําดับ ให้เด็กเข้าใจและไม่เบอื หน่าย ดงั นี 1.8 การติดตามและประเมินผลอย่าง 2.1 ด้านการวิเคราะห์ข้อบกพร่องทางการ สอดคล้องกบั จดุ บกพร่องทีซ่อมเสริมตามวตั ถปุ ระสงค์ที อา่ นของผ้เู รียน วางไว้ หวั ใจของการสอนซ่อมเสริม คือ การ กระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ ทีพัฒนาขนึ สอ น ซ่ อ มที แ ยกจา กชัน เรี ยน ป กติ เ พื อ ช่ว ยแ ก้ ไ ข มีการการติดตามและประเมินผลอย่างสอดคล้องกับ ข้อบกพร่องของผู้เรียนทีต้ องการความช่วยเหลือเป็ น จดุ บกพร่องทีซ่อมเสริมตามวตั ถุประสงค์ทีวางไว้เพือให้ พิเศษจากครู ฉะนันจึงมีความจําเป็ นอย่างยิงทีผู้สอน นักเรียนได้ รับทราบความก้าวหน้ าในการทํางานของ จะต้องเริมต้นกระบวนการสอนซ่อมเสริมฯ จากการศกึ ษา ตนเองเป็ นระยะๆอย่างสมําเสมอสอดคล้องกบั หลกั การ ปัญหา และความต้องการของผู้เรียนเป็ นรายบุคคล ดงั ที สอ น ซ่ อ ม เ ส ริ ม สอ ด ค ล้ อ ง กับ ห ลัก ก า รสอ น ซ่ อ ม เ สริ ม สํา นัก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า ร ป ร ะ ถ ม ศึก ษ า แ ห่ ง ช า ติ (Harris, 1971; Wilson and Cleland, 1990) ทีระบุไว้ว่า (2540) และ สมศกั ดิ สนิ ธรุ ะเวชญ(์2545) ได้ชแี นวทางถงึ ผ้เู รียนจะพัฒนาอย่างต่อเนือง ถ้ากระบวนการจัดการ หลกั การสอนซ่อมเสริมว่า ในลําดบั แรกควรมีการศึกษา เรี ยนการสอนมีการติดตามและประเมินผลอย่าง ข้อบกพร่องของนกั เรียนเป็ นรายบคุ คล เพือให้ทราบความ สอดคล้องกับจุดบกพร่องทีซ่อมเสริมตามวตั ถปุ ระสงค์ที ต้องการ ความเหมาะสมและปัญหาของผู้เรียน แล้วนํา วางไว้ และให้ นักเรี ยนได้ รับทราบความก้ าวหน้ าในการ ข้อบกพร่องมาพจิ ารณาหาสาเหตหุ รือปัญหา ทาํ งานของตนเองเป็ นระยะๆ อยา่ งสมาํ เสมอ 2.2 ด้านการมสี ว่ นร่วมของผ้เู รียน 2. ผลของการใช้กระบวนการสอนซ่อมเสริม การสอนทีเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนเข้ามา ตามแนวประสบการณ์การอา่ นแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีมี ต่อความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจของนกั เรียน มีสว่ นร่วมในกระบวนการทีเกิดขึน โดยให้นกั เรียนได้เล่า ประถมศกึ ษาปี ที 1 หรือตอบคําถามในสงิ ทีรู้ ได้มีการฝึ กฝนภาคปฏิบัติซําๆ และการมปี ฏิสมั พนั ธ์ต่อบทอ่าน เพือให้ผู้เรียนคุ้นเคยกบั ผลการวิจยั พบว่ากลมุ่ ตวั อยา่ งมีค่าเฉลยี คะแนน คําและโครงสร้ างของคํา เข้าใจหลกั การสะกดคํา และ ความสามารถในการอ่านเพือความเข้าใจหลงั การทดลอง สามารถเชือมโยงความหมายของคํามาสู่การฝึ กปฏิบัติ สงู กวา่ กอ่ นการทดลอง อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติทีระดับ การอ่านอย่างเป็ นรูปธรรม โดยมีผู้สอนเป็ นผู้ตรวจสอบ .05สอดคล้ องกับสมมติฐานการวิจัยทีกําหนดไว้ ว่า ความเข้ าใจทีเกิดขึนกับนักเรียนว่ามีเหตุมีผลหรือไม่ นกั เรียนประถมศึกษาปี ที 1 ทีได้รับการจัดการเรียนการ ถกู ต้องชัดเจนหรือไม่ (RoehlerandCautlon, 1997) จะ สอนตามกระบวนการสอนซ่อมเสริมตามแนวประสบการณ์ ทําให้ ผู้เรียนทราบข้ อบกพร่องของตนเอง และทราบ การอ่านแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทีพัฒนาขึน มีค่าเฉลีย แนวทางในการแก้ไข เมือผ้เู รียนต้องเรียนรู้สิงใหม่หรือสงิ ของคะแนนความสามารถในการอ่านเพอื ความเข้าใจหลงั ทียาก ผ้เู รียนอาจจะต้องการความช่วยเหลือหรือการฝึ ก การทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง และสอดคล้องกับ ปฏิบตั ิมากขนึ ผลการวิจยั ของ Fournierและ Graves (2002) ทีพบว่า นักเรียนทีได้รับการสอนอ่านแบบประสบการณ์การอ่าน 2.3 ด้ า นกา รจัดกลุ่มย่อ ยตามระดับ แบบเสริมตอ่ การเรียนรู้ มีความเข้าใจในการอ่านเรืองสนั ความสามารถของผ้เู รียน สงู กวา่ กลมุ่ ทไี ม่ใช้ประสบการณ์การอา่ นแบบเสริมต่อการ ระดบั ความสามารถและประสบการณ์ เดิมของผู้เรียนทีมีความแตกต่างกัน ย่อมส่งผลต่อการ เรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน ฉะนนั กระบวนการสอนซ่อม

วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 79 เสริมฯ ทีมีการจัดกลุ่มย่อยของผู้เรียนจะทําให้ ผู้สอน ข้อเสนอแนะ สามารถควบคุมความยากของงานทีผู้สอนมอบหมาย ข้อเสนอแนะในการนําผลการวจิ ยั ไปใช้ ให้กบั ผ้เู รียน ให้มคี วามสอดคล้องกบั ขอบเขตพฒั นาการ ของผู้เรียนแต่ละคน ดังที Rosenshineและ Guenther 1. ครูควรใช้เวลาในการเตรียมการสอนเพราะ (1992) ได้เสนอแนะองค์ประกอบสาํ คญั ของการเรียนการ ครู ต้ องคัดเลือกสือทางภาษาทีหลากหลายและมีความ สอนโดยการเสริมต่อการเรียนรู้ว่า ต้องการพัฒนาอยู่ใน สอดคล้องกบั เนือหาทีจะสอนและมรี ะดับความยากง่ายที ขอบเขตการพฒั นาศกั ยภาพของนักเรียน ผู้สอนต้อง แ ต ก ต่ า ง กั น ก า ร จั ด ทํ า สื อ ป ร ะ ก อ บ ก า ร ส อ น ร ว ม ถึ ง ตระหนกั ว่า การช่วยเสริมศักยภาพจะนําไปใช้ได้เฉพาะ การศกึ ษาข้อมลู ของเนือหาในเชิงลกึ ในบริเวณรอยต่อของพฒั นาการของผู้เรียนเท่านนั ฉะนัน ผ้สู อนจงึ ควรพจิ ารณาถงึ การสอนเป็ นกลมุ่ ย่อยตามระดับ 2. ครูควรมีการเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการ ความสามารถของผ้เู รียน ใช้กิจกรรมทีมีความร่วมมือกัน สอน ครูสามารถเลือกใช้ ได้ อย่างหลากหลาย โดย ในการเรียนรู้ สอดคล้องกบั McDevitt และ Ormrod (2002) พิจารณาตามความเหมาะสมและความสอดคล้องกับ และ Gredler (2006) ได้เสนอแนวทางในการประยกุ ต์ใช้ ขันตอนของกระบวนการสอนซ่อมเสริมฯเนือหาสาระ แนวคิดเรืองพืนทีรอยต่อพฒั นาการ (ZPD) ในการจดั การ ประสบการณ์เดมิ และบริบทของการเรียนการสอน เรียนรู้ไว้ว่า การให้งานทีท้าทายต้องใช้กิจกรรมทีมีความ ร่วมมือกันตามกล่มุ ทีมีการจัดระดับตามความสามารถ 3. ครูควรจดั กิจกรรมโดยคํานึงถงึ พืนทีรอยต่อ เพราะงานทที ้าทายจะสง่ เสริมให้เกิดพฒั นาการได้สงู สดุ พฒั นาการ (Zone of Proximal Development) นําไปสู่ บทบาทของการให้ ความช่วยเหลือในการเรี ยน รู้ 2.4 ด้านการสร้างแรงจงู ใจ และการเสริมแรง (Scaffolding) จากครู หรือเพือนสมาชิกซงึ จะช่วยพัฒนา การสอนทีสร้างแรงจูงใจ ให้แรงเสริม นกั เรียนสามารถทาํ ในสงิ ทีเขาสามารถจะทําได้ แกน่ กั เรียน และมีบรรยากาศในชนั เรียนทีเร้าความสนใจ 4. ครูควรสร้ างแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้ กับ สามารถทาํ ให้ผ้เู รียนทีได้รบั การจดั การเรียนการสอนซ่อม นักเรียนโดยการสร้างทางเลือกทีหลากหลายให้กําลงั ใจ เสริมสว่ น เกิดความรู้สกึ ว่าตนเองมีความสําคัญ และมี และไม่ตําหนิการทีนักเรียนประสบความสําเร็จและไม่ ความมนั ใจในการอ่านมากขึน (Woodand others, 2006) กลวั การทาํ ผดิ จะทําให้นกั เรียนพร้อมทีจะเรียนรู้สงิ ใหม่ๆ สอดคล้องกบั หลกั การสอนซอ่ มเสริมที (สมศกั ดิ สนิ ธุระเวชญ,์ เพิมขนึ 2545) ได้กลา่ วว่า ครูผ้สู อนจะต้องสร้างความสมั พนั ธ์อัน ดีกับนักเรียนและเป็ นคู่คิดในการแก้ปัญหา ตลอดจน 5. ครูควรมีการประเมินความสามารถนกั เรียน เสริมกาํ ลงั ใจ เสริมแรง ให้ความรัก ความเมตตา และให้ เป็ นระยะเพอื นําผลทไี ด้ไปเปลยี นแปลงการแบ่งกลมุ่ ใหม่ ความช่วยเหลือเป็ นพิเศษ จึงช่วยให้นักเรียนเกิดความ เพื อใ ห้ นักเรี ยน ไ ด้ รั บกา รสอน ที เห มา ะ กับ ระ ดับ มนั ใจวา่ ตนเองสามารถอ่านได้ และเข้าใจได้ และมีความ ความสามารถของตนเองมากทสี ดุ มนั ใจรวมทงั สามารถปรับตัวได้มากขึนเมือได้เข้าไปเรียน ในชนั เรียนปกติ และเป็ นทียอมรับเมือมีการจัดกิจกรรม ข้อเสนอแนะในการทาํ วิจยั ครงั ต่อไป การสอนอา่ นทีท้าทายในชนั เรียน 1. ควรมีการศกึ ษาและพฒั นากระบวนการสอน ซอ่ มเสริมฯอยา่ งต่อเนือง เพือให้ได้การสอนซ่อมเสริมฯที มคี วามเหมาะสมมากขนึ 2. ควรมกี ารศกึ ษาการใช้กระบวนการสอนซ่อม เสริมฯในระยะยาวโดยนํากระบวนการสอนซ่อมเสริมฯนี ไปใช้ ติดต่อ กันเพือศึก ษาผลทีจะ เกิดขึนอย่ างต่อเนือ ง รวมทงั ติดตามความคงอย่ขู องความสามารถในการอ่าน เพือความเข้าใจของนกั เรียน

80 วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 กติ ติกรรมประกาศ งานวิจยั นีได้รับการสนับสนนุ ทุนวิจยั จาก “ทุน 90 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” กองทุนรัชดาภิเษก สมโภช จงึ ขอกราบขอบพระคณุ มา ณ ทนี ีด้วย บรรณานุกรม คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ, สาํ นกั งาน. (2540). การสอนซ่อมเสริมทกั ษะภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว. นงลกั ษณ์ คํายิง. (2541). การศึกษาความเข้าใจในการอ่านและความสามารถในการเขียนของนักเรียน ชนั ประถมศึกษาปี ที 2 ทีได้รับการสอนคําใหม่โดยการใช้นิทาน ปริศนาคําทาย และการสอนตามค่มู อื ครู. ปริญญานพิ นธ์การศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวิชาการประถมศกึ ษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ฟาฏินา วงศ์เลขา. (8 กรกฎาคม 2552). อ่านไม่ออก เขยี นไม่ได้ ปัญหาทีท้าทาย, เดลนิ วิ ส์, 22. ศริ ิชยั กาญจนวาส.ี (2552). ทฤษฎกี ารทดสอบแบบดงั เดิม. กรุงเทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สมศกั ดิ สนิ ธุระเวชญ.์ (2545). สร้างความเข้าใจส่กู ารปฏิบัตจิ ริง: การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิช. สนุ นั ทา มนั เศรษฐวทิ ย์. (2545). หลักและวิธีสอนอ่านภาษาไทย.พิมพ์ครงั ที 7. กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานชิ . เสาวลกั ษณ์ รตั นวิชช์. (2550). การสอนแบบม่งุ ประสบการณ์ภาษา: กลยทุ ธ์ส่คู วามสําเร็จในการพัฒนาการรู้หนังสอื เพือปวงชน.พิมพ์ครงั ที 2. กรุงเทพมหานคร: มลู นธิ ิโรตารีแห่งประเทศไทย. Ashlock, R. B. (2002). Error patterns in computation. (8th ed.). Ohio: Merrill Prentice Hall. Broek, V. D., and others. (2005). Assessment of comprehension abilities in young children. In S. Stahl & S. Paris (Eds.), Children's reading comprehension and assessment (pp. 107-130). New Jersey: Erlbaum. Clark, K. F., and Graves, M. F. (2005). Scaffolding students’ comprehension of text. The Reading Teacher,58(6), 570-580. Clay, M. (2001). Change over time in children’s literacy development. Auckland: Heinemann. Cochrane, P., and others. (1984). Introduction to early childhood education. New York: A Simon and Schuster. Collins, M. D., and Cheek Jr, E. H. (1993). Diagnostic-prescriptive reading instruction: A guide for classroom teachers. (4th ed.). Iowa: Wm. C. Brown. Doren, M. (2007). Doren diagnostic reading test of word recognition skills. (5th ed.). Minnesota: American Guidance Service. Fitzgerald, J., and Graves, M. F. (2004). Reading supports for all. Educational Leadership,62(4), 68-71. Fournier, D. N., and Graves, M. F. (2002). Scaffolding adolescents’ comprehension of short stories. Journal of Adolescent and Adult Literacy,46(1), 30-39. Graves, M. F., and Graves, B. B. (2003). Scaffolding reading experiences: Designs for students success. (2nd ed.). Massachusetts: Christopher-Gordon.

วารสารวชิ าการศกึ ษาศาสตร์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ : ปี ที 17 ฉบบั ที 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 81 Harris, A. J. (1971). Improving the teaching of remedial reading. In D. Emerald (Ed.), Detection and correction of reading difficulties. New York: Meredith. Herber, H. L., and Herber, J. N. (1993). Teaching in content areas with reading, writing and reasoning. Massachusetts: Allyn and Bacon. Hibbard, K. M., and Wagner, E. A. (2002). Assessing and teaching reading comprehension and pre-writing, 3- 5.New York: Eye on Education. Holdaway, D. (1979). The foundations of literacy. Sydney: Ashton Scholastic. Holden, J. (2004). Creative reading: Young people, reading and public libraries. London: Demos. Kendeou, P., and Broek, V. D. (2005). The effects of readers' misconceptions on comprehension of scientific text. Journal of Educational Psychology, 97, 235-245. Roehler, L., and Cantlon, D. (1997). Scaffolding: A powerful tool in social constructivist classrooms. In K. Hogan & M. Pressley (Eds.), Scaffolding student learning (pp. 120-130). Massachusetts: Brookline Books. Rosenshine, B., and Guenther, J. (1992). Using scaffolds for teaching higher level cognitive strategies. In J. W. Keefe & H. J. Walberg (Eds.), Teaching for thinking (pp. 35-47). Virginia: National Association of Secondary School Principles. Wilson, R. M., and Cleland, C. J. (1990). Diagnostic and remedail reading for classroom and clinic.(6th ed.). Arizona: Prentice Hall. Wood, D., Bruner, J. S., and Ross, G. (2006). The role of tutoring in problem solving. Journal of Child Psychology and Psychiatry,17(2), 89-100.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook