การศกึ ษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น รายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพอื่ การจัดการอาชีพ โดยใช้รปู แบบการสอนแบบ e-learning ผ่าน Social Media สุธาสินี สีฤทธ์ิ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย แผนกวชิ าคอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ วทิ ยาลยั เทคนคิ อ่างทอง สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
กิตติกรรมประกาศ วิจัยการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการจัดการ อาชีพ โดย ใช้ โด ยใช้รูป แบ บ ก ารสอ น แบ บ e-learning ผ่ าน Social Media นั ก ศึก ษ า ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ผู้จัดทำได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ผอู้ ำนวยการ และคณะครู อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ทุกท่านที่ให้ความสะดวก และให้กำลังใจ แกผ่ ู้จดั ทำมาตลอด ขอขอบพระคุณอาจารย์ ครแู ผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจท่ีกรุณาให้คำแนะนำ และคำปรกึ ษาใน การทำวิจัยการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการจัดการ อาชีพ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ e-learning ผ่าน Social Media นักศึกษาประกาศนียบัตร วชิ าชีพ ช้นั ปีท่ี ๒ วิทยาลยั การวทิ ยาลัยเทคนคิ อ่างทอง ถูกตอ้ งและใหข้ อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ใน การศึกษาในครั้งนี้และผู้พฒั นามีความซาบซึ้งในความกรณุ าอันดีย่ิงจากทุกท่านทไี่ ด้กลา่ วนานมาและ ขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ สุธาสินี สีฤทธิ์
สารบัญ หนา้ บทคดั ยอ่ ภาษาไทย...................................................................................................................... ก กิตตกิ รรมประกาศ....................................................................................................................... ข สารบญั ........................................................................................................................................ ค บทท่ี 1 บทนำ............................................................................................................................. 1 บทท่ี 2 เอกสารและงานท่ีเก่ียวข้อง............................................................................................ ๖ บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวิจัย........................................................................................................... ๓๑ บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู ................................................................................................... ๓๕ บทที่ 5 สรุป อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ................................................................................... ๔๐ บรรณานกุ รม ภาคผนวก
สารบัญตาราง ตารางท่ี หนา้ 3.1 ตารางแบบแผนการวจิ ยั ................................................................................................ 32 4.1 ตารางที่ 1 แสดงคา่ ความถ่ี และค่ารอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง......................................... 34 4.2 ตารางท่ี 2 แสดงค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลีย่ ค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของคะแนนสอบก่อนเรยี น……….................................................................................... 36 4.3 ตารางที่ 3 แสดงค่าความถี่ คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ยี ค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ของคะแนนสอบหลังเรยี น ........................................................................................... 37 4.4 ตารางท่ี 4 แสดงผลการทดสอบสมมติฐาน ข้อที่ 4 เพื่อเปรียบเทียบคะแนน ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าการรายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพื่อการจดั การ อาชพี โดยใชโ้ ดยใช้รูปแบบการสอนแบบ e-learning ผ่าน Social Media นกั ศกึ ษา ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ ปีท่ี 1 วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ของกลุ่มทีไ่ ด้รับการสอน 38 แบบ สื่อประสมคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) กบั เกณฑ์รอ้ ยละ 70...................................... 4.5 ตารางท่ี 5 แสดงผลการทดสอบสมมติฐานขอ้ ที่ 2 เพอ่ื เปรียบเทียบคะแนน ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวชิ ารายวชิ าคอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศเพือ่ การจดั การอาชีพ โดยใชโ้ ดยใชร้ ปู แบบการสอนแบบ e-learning ผ่าน Social Media นกั ศกึ ษา ประกาศนียบัตรวิชาชพี ชน้ั ปีท่ี 1 วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ก่อนและหลังเรียน ที่ 39 ได้รบั การ สอนแบบ ส่ือประสมคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) ....................................................... 4.6 ตารางที่ 6 แสดงผลการทดสอบสมมติฐานขอ้ ท่ี 2 เพ่ือเปรยี บเทียบคะแนนผล สัมฤทธท์ิ างการเรยี นวิชารายวชิ าคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ โดยใชโ้ ดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบ e-learning ผา่ น Social Media นักศึกษา ประกาศนยี บตั รวิชาชพี ช้ันปีท่ี 1 วิทยาลยั เทคนิคอา่ งทอง ก่อนและหลังเรียน ท่ี 40 ไดร้ บั การสอนแบบ ปกติ ............................................................................................................................ 4.7 ตารางท่ี 7 แสดงผลการทดสอบสมมติฐานขอ้ ท่ี 3 เพื่อเปรียบเทียบคะแนนผล สมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ ารายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชพี โดยใชโ้ ดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบ e-learning ผา่ น Social Media นักศกึ ษา ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ชัน้ ปีท่ี 1 วทิ ยาลยั เทคนิคอ่างทอง กอ่ นและหลังเรยี น ท่ี 41 ไดร้ บั การสอนแบบ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) กบั ห้องเรียนท่ีไดร้ ับการสอนแบบ ปกติ
สารบญั ภาพ ภาพที่ หน้า 4.1 คา่ ความถ่ี และค่าร้อยละของกลุ่มตวั อย่าง.................................................................. 34 4.2 ค่าความถ่ี คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี คา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของคะแนนสอบก่อน เรยี นและหลังเรยี น..................................................................................................... 34 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพือ่ ทดสอบสมมติฐาน............................................................. 37 4.4 ตอบสมมติฐานขอ้ ท่ี dependent กอ่ นหลัง............................................................... 38
บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก คอมพิวเตอร์ เป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในระบบการศึกษา เพ่ือใช้ในการสร้างส่ือการเรียนการสอนในลักษณะสื่อ ประสม ทำให้การเรียนการสอนมีการโต้ตอบกันระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับการ เรียนการสอนระหว่างครูกับนักเรียนที่อยู่ในห้องเรียนปกติ ส่ือประสม จะประกอบด้วยตัวอักษร ภาพกราฟฟิก ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหวและเสียงในลักษณะของสื่อหลายมิติ (Hypermedia) เพื่อ ถ่ายทอดเนือ้ หา บทเรียน หรอื องค์ความรู้ในลกั ษณะท่ีใกล้เคยี งกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุด ทำให้ผู้เรียนสนุกไปกับการเรียนไม่รู้สึกเบื่อหน่าย และผู้เรียนสามารถทบทวนบทเรียนได้ด้วยตนเอง (Thomas Alva Edison; ค . ศ . ๑๘๔๗ – ๑๙๓๑๗) ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๖๓ สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กรมวิชาการ, ๒๕๔๔, หน้า ๑๓๒ – ๑๓๓) นักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพซึ่ง รายวิชาดังกล่าวมีเนื้อหา เรอื่ งการจัดทำรายวิชาคอมพวิ เตอร์และสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ ใน การจัดการเรียนการสอน เนน้ ให้ผ้เู รียนไดป้ ฏิบัตจิ ริง ผูส้ อนใชว้ ิธกี ารสอนโดยการเขียนอธบิ ายขนั้ ตอน การทำงานบนกระดานและข้ันตอนการใช้โปรแกรม จากน้ันจึงนักเรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเองตาม วธิ ีการดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น นักเรียนไม่สนใจในการฟังคำอธิบาย นักเรียนเสียเวลาไป กบั การจดบันทึก นกั เรียนไม่เข้าใจข้ันตอนการปฏิบัติอย่างชัดเจน ผู้สอนตอ้ งอธิบายซ้ำหลาย ๆ คร้ัง นกั เรยี นจึงจะปฏิบัตไิ ด้ เนอ่ื งจากความแตกต่างในการรับร้ขู องนักเรียน ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะสร้างส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วย สอนคอมพวิ เตอร์ เพ่ือใช้เป็นส่ือการเรียนการสอน เรื่องรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการ จัดการอาชีพ เพ่ือแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้นอันจะทำให้ การเรียนการสอนวิชาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เบอ้ื งต้นไดผ้ ลตามจุดมุ่งหมายต่อไป ๑.๒ วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั ๑.๒.๑ เพ่ือศึกษาคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น รายวิชา รายวชิ าคอมพิวเตอรแ์ ละ สารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี โดยใชโ้ ดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบ e-learning ผา่ น Social Media นกั เรยี นประกาศนียบัตรวิชาชพี ช้ันปีท่ี ๑วทิ ยาลัยเทคนคิ อา่ งทอง ของกล่มุ ที่ได้รบั การสอนแบบ คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) ๑.๒.๒ เพอ่ื ศกึ ษาคะแนนผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น รายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพอ่ื การจดั การอาชีพโดยใชโ้ ดยใช้รปู แบบการสอนแบบ e-learning ผ่าน Social Media นักเรยี น ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ ชน้ั ปีที่ ๑วทิ ยาลยั เทคนคิ อา่ งทอง ท่ไี ดร้ ับการสอนแบบ ปกติ)
๑.๒.๓ เพ่ือเปรยี นเทียบคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน รายวชิ า รายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละ สารสนเทศเพื่อการจดั การอาชีพโดยใชโ้ ดยใช้รปู แบบการสอนแบบ e-learning ผ่าน Social Media นักเรยี นประกาศนียบตั รวิชาชีพ ช้นั ปีที่ ๑วิทยาลัยเทคนคิ อ่างทอง ของกลุ่มทไี่ ด้รบั การสอนแบบ คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) ๑.๒.๔ เพื่อเปรยี นเทียบคะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น รายวิชาคอมพวิ เตอรแ์ ละ สารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชพี โดยใชโ้ ดยใชร้ ูปแบบการสอนแบบ e-learning ผา่ น Social Media นักเรยี นประกาศนียบตั รวิชาชพี ชั้นปที ี่ ๑วทิ ยาลัยเทคนิคอา่ งทอง ของกลมุ่ ท่ไี ดร้ ับการสอนแบบปกติ ๑.๒.๕ เพื่อเปรยี นเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น รายวชิ า รายวชิ าคอมพิวเตอร์และ สารสนเทศเพอื่ การจดั การอาชพี โดยใชโ้ ดยใช้รูปแบบการสอนแบบ e-learning ผา่ น Social Media นักเรยี นประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ ๑วทิ ยาลัยเทคนิคอา่ งทอง ของกลมุ่ ทไ่ี ดร้ บั การสอนแบบปกติ ๑.๒.๖ เพ่อื เปรยี นเทยี บคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวชิ า รายวชิ าคอมพิวเตอรแ์ ละ สารสนเทศเพอื่ การจดั การอาชพี โดยใช้โดยใช้รปู แบบการสอนแบบ e-learning ผา่ น Social Media นักเรยี นประกาศนยี บตั รวิชาชีพ ชั้นปีท่ี ๑ วิทยาลัยเทคนคิ อา่ งทอง หลังจากไดร้ ับการสอนแบบ คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI)กับเกณฑ์ ร้อยละ ๗๐ ๑.๓ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย(ถา้ ม)ี ๑.๓.๑ ตวั แปรอิสระ ตวั แปรตาม รูปแบบการสอนแบบสื่อประสม ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ๑.๔ สมมตฐิ านของการวิจัย(ถ้าม)ี ๑.๔.๑ ผลสัมฤทธ์ิของนักเรียน ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ ๑ที่ได้รับการเรียนการสอน โดยใช้ส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทำคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนที่สูงกว่านักศึกษากลุ่มสอน แบบปกติ ๑.๔.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ โดยใช้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ e-learning ผ่าน Social Media นักเรียนประกาศนียบัตร วิชาชพี ชั้นปีท่ี ๑ ท่ีได้รับการเรียนการสอนโดยใช้การสอนแบบปกติทำแบบทดสอบหลังเรียนสงู กว่า การทำแบบทดสอบก่อนเรยี น ๑.๔.๓ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชีพ ของนักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี ๑หลังจากรับการสอนแบบ สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วย สอน (CAI) สงู กว่า กล่มุ การสอนแบบ ปกติ
๑.๔.๔ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการ จัดการอาชีพนักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี ๒สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ ๗๐ ๑.๕ ขอบเขตของการวิจยั ๑.๕.๑ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที๑่ วิทยาลัยเทคนิค อ่างทอง ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง นกั ศกึ ษาระดบั ประกาศนยี บตั ร วชิ าชีพ ช้ันปีท่ี1 จำนวน ๔๓ คน ๑.๕.๒ ตัวแปรที่ศึกษา ตวั แปรที่ใชใ้ นการวจิ ยั คร้งั นีป้ ระกอบด้วย ๑) ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนการสอนแบบส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพวิ เตอร์และการจัดการเรยี นการสอนแบบปกติ ๒) ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ เพอื่ การจัดการอาชีพ ๑.๖ คำถามของการวิจัย การสอนรูปแบบแบบส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนคอมพิวเตอร์ ทำให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นรายวิชารายวิชารายวชิ าคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชพี ของ นักศกึ ษาระดับประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชัน้ ปที ี่ 1 ดขี น้ึ อยา่ งไร ๑.๗ คำจำกัดความทีใ่ ช้ในการวจิ ัย ๑.๗.๑ สอื่ ประสมคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน หมายถงึ การนำเอาสอื่ หลาย ๆ ประเภทมาใช้ ร่วมกนั ทง้ั วัสดุ อุปกรณ์ และวิธกี ารเพือ่ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสดุ ในการเรยี นการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามลำดับขน้ั ตอนของเนอื้ หา การนำส่ือประสมโดยใช้โปรแกรมนำเสนอ ข้อมลู และวีดีโอแสดงขน้ั ตอนการทำงาน รวมทั้งการสร้างแบบทดสอบเพอ่ื วัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เปน็ การผสมผสานในการใช้ส่อื เพื่อพัฒนาผู้เรยี น จากการทดสอบวัดผลการสร้างมัลติมเี ดยี โดยใช้ส่ือ ประสมคอมพิวเตอรช์ ่วยนกั ศึกษาระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ ช้นั ปที ี่ ๒ ๑.๗.๒ ทักษะการสอนในรปู แบบส่ือประสมคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน หมายถงึ สอนการใช้ โปรแกรม คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นตัวอย่างของสื่อการเรียนรู้ในยุคสมัยได้เป็นอย่างดี เนื้อหาจะ กล่าวถึง การใช้เคร่ืองมือพื้นฐานของโปรแกรม ในการสร้างช้ินงานทีส่ ามารถใหผ้ ้ทู ่ีสนใจสามารถนำไป พฒั นาต่อไปได้ มีขั้นตอนการสอน ๔ ข้นั ตอน คือ ๑.๑ การนำเสนอก่อนเข้าบทเรียน ส่วนใหญ่จะมีการกล่าวถึงท่ีมาหรือผู้จัดทำว่าเป็น ผลิตภัณฑ์ของใคร ๑.๒ รายละเอียดของเน้ือหา มีเนื้อหาท่ีเป็นเนื้อหาหลักอยู่ ๓ ส่วน แบ่งเป็น บทที่ ๑ บทที่ ๒ บทท่ี ๓ และมีตัวอยา่ ง code โปรแกรมให้ผู้เรียนสามารถนำไปศึกษาดูประกอบเป็นตัวอยา่ ง ได้
๑.๓ เม่อื เลือกบทที่ ๒ การสรา้ ง Gallery รปู ภาพ ก็จะมกี ารอธิบายการสร้าง Gallery รปู ภาจากข้ันตอนท่ี ๑ ไปถึงขนั้ ตอนสุดท้าย ๑.๔ สอนการทำ Gallery รูปภาพ การสร้างปุ่ม Link เพ่ือเชือ่ มโยงไปยงั หนา้ อืน่ เพอื่ ดู รปู อ่ืนต่อไป เมื่อทำการออกจากโปรแกรมก็จะมีคำอธิบายถงึ ทมี งานผู้จัดทำ มกี ารแบ่งเป็นฝ่ายต่าง ๆ เช่น ฝา่ ยศิลปะ ฝา่ ยผลติ ฝ่ายตรวจสอบและอ่นื ๆ ๑.๕ การประเมินผลและการแก้ไข (Evaluation and Correcting) คือข้ันที่ครู ประเมินผลการจัดทำชน้ิ งาน ซึง่ ทำอยู่แล้วในทุกขัน้ ตอนโดยการสงั เกตหรอื ตรวจสอบ เพื่อให้นักเรยี น สามารถใช้งานได้ถูกต้อง ๑.๗.๓ นกั เรียน หมายถงึ นักศกึ ษาระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ช้ันปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา ๒๕65 วิทยาลยั เทคนคิ อา่ งทอง ๑.๗.๔ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถงึ คะแนนที่ได้จากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี นหลังจากเรยี นด้วยสื่อประสม ซึ่งวัดไดจ้ ากแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ๑.๘ ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ ๑.๘.๑ ผู้เรียนเกดิ เจตคตทิ ่ีดี สง่ ผลให้เกดิ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละ สารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 1 หลังจากท่ีได้รับ การเรียนการสอนแบบสอ่ื ประสมคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน ๑.๘.๒ ผู้เรียนมีเกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการ จัดการอาชีพของนักเรียน ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ ๑ หลงั จากท่ีได้รับการเรียนการสอนแบบ ส่อื ประสมคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน
บทท่ี ๒ เอกสารและงานวิจัยทเี่ กี่ยวข้อง 2.1 การจัดเรยี นการสอนแบบส่อื ประสมคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน 2.1.1 ความหมาย 2.1.1.1 ความหมายของส่ือประสม สื่อประสม หรือบางทีเรียกว่า มัลติมีเดีย (Multimedia) มาจากคำว่า มัลติ (Multi) ซึ่ง แปลว่า ความหลากหลาย และมีเดีย (Media) ซึ่งแปลว่า สื่อ ระบบสื่อประสม คือ เป็นการทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแสดงผลได้หลาย ๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ กราฟิก ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ซึ่งจะเป็นการรวมเอาวิชาการ หลาย ๆ สาขามาประยุกต์เข้าด้วยกัน ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช่ในงานด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก ซ่ึง เราเรียกกันว่า การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI) ผู้เรียน เร ีย น ส า ม า ร ถ เร ีย น ไ ด ้ต า ม ค ว า ม ส า ม า ร ถ ข อ ง แ ต ่ล ะ บ ุค ค ล โ ด ย จ ะ ม ีก า ร โ ต ้ต อ บ ก ับ เค รื ่อ ง คอมพิวเตอร์ แสดงผลให้ผู้เรียนเห็นผ่านทางจอภาพที่สำคัญเทคโนโลยีนี้สามารถใช้สื่อประสม หลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อความ กราฟิก ภาพเคลื่อนไหว หรือเสียง สื่อการเรียน รูปแบบนี้จึงสามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนมากขึ้น สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อการสอนหลายๆ อย่างมาสัมพันธ์กันและมีคุณค่าที่ ส่งเสริมซึ่งกันและกันสื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะท่ีอีกอย่างหน่ึงใช้เพื่อ อธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา และอีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งและป้องกัน การเข้าใจความหมายผิด การใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ ผสมผสานกันได้ค้นพบวิธีการที่จะเรียนในสิ่งที่ต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น (หาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช ,2537:111) สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อการสอนหลายๆ อย่างมาสัมพันธ์กัน ซึ่งมีคุณค่าที่ ส่งเสริมซึ่งกันและกันสื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพ่ือเร้าความสนใจในขณะที่อีกอย่าง หนึ่งใช้เพ่ือ อธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหาและอีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพ่ือก่อให้เกิดความเข้าใจท่ีลึกซ้ึง และป้องกัน การเข้าใจความหมายผิด การใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ ผสมผสานกันได้พบวิธีที่จะเรียนในสิ่งที่ต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น ( ประหยัด จิระวรพงศ์ ,2527:256) ส่ือประสม หมายถึง การนำวัสดุอุปกรณ์ชนิดต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ สไลด์ฟิล์ม สตริป รูปภาพของตัวอย่างหุ่นจำลอง หนังสือ เป็นต้น ซึ่งมีเนื้อหาสาระสัมพันธ์กับกิจกรรมการ เรียนการสอน แล้วเลือกมา ประกอบกันเพื่อใช้ในการเรียนการสอนในแต่ละครั้ง ( ประหยัด จิ ระวรพงศ์ ,2527:256) สื่อประสม หมายถึง การนำสื่อหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และ วิธีการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแต่ละ อย่าง ตามลำดับขั้นตอนของเนื้อหา และในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วย เพื่อการ ผลิต หรือการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก
ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว แบบวีดิทัศน์และเสียง ( กิดานันท์ มลิทอง , 2543 : 267) อิริคสัน (Erickson) กล่าวว่า \" สื่อประสม \" หมายถึง การนำเอาสื่อการสอนหลาย ๆ อย่างมาสัมพันธ์กันซึ่งมีคุณค่าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความ สนใจในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา และอีกชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และป้องกันการเข้าใจความหมายผิด การใช้สื่อประสมจะช่วยให้ ผู้เรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสผสมผสานกันได้พบวิธีการที่จะเรียนในสิ่งที่ต้องการได้ ด้วยตนเองมากย่ิงขึ้น \" ( ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ ,2523) ดังนั้น ส่ือประสม จึงหมายถึง การนำสื่อหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกัน ทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยการใช้ส่ือแต่ ละอย่างตามลำดับข้ันตอนของเนื้อหา และในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมด้วย เพื่อการ ผลิตหรือการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเสนอข้อมูลทั้งตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคล่ือนไหว และเสียง เป็นต้น ความหมายของสื่อประสมจะแตกต่างกันไปตามสมัย ซึ่งสมัยก่อน เมื่อกล่าวถึงสื่อ ประสมจะหมายถึง การนำส่ือหลาย ๆ ประเภทมาใช้ร่วมกัน เช่น รูปภาพ เครื่องฉายแผ่น โปร่งใส เทปบันทึกเสียง เป็นต้น เพื่อให้การเสนอผลงานหรือการเรียนการสอนสามารถดำเนินไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยการเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ นอกเหนือจากการบรรยายเพียงอย่างเดียว โดยที่ผู้ฟังหรือผู้เรียนมิได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อสื่อนั้นโดยตรง ปัจจุบันด้วยบทบาทของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีเพิ่มมากขึ้นในการทำงาน จึงทำให้ความหมายของสื่อประสมเพิ่มขึ้นจากเดิม ความหมายของสื่อประสมที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน จะหมายถึง \" สื่อประสมเชิงโต้ตอบ \" (Interactive Multimedia) โดยการเพิ่มปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสื่อและผู้ใช้ สื่อประสมสมัยนี้จึงหมายถึง การนำอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องเล่มซีดี - รอม เครื่องเสียงระบบดิจิทัล เครื่องเล่นแผ่นวีดิทัศน์ ฯลฯ มาใช่ร่วมกันเพื่อเสนอเนื้อหาข้อมูลที่เป็น ตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ และเสียงในระบบสเตริโอ โดยการ ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต การนำเสนอเนื้อหา เป็นการให้ผู้ใช้หรือผู้เรียนมิใช่ เพียงแต่นั่งดู หรือฟังข้อมูลจากส่ือท่ีเสนอมาเท่าน้ัน แต่ผู้ใช้สามารถควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ในการตอบสนองต่อคำสั่งและให้ข้อมูลป้อนกลับในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างเต็มท่ี ผู้ใช้สื่อสามารถมี ปฏิสัมพันธ์ตอบสนองซึ่งกันและกันได้ทันที 2.1.1.๒ ความหมายของคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน ความหมายของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือ ซีเอไอ (CAI) มีผูร้ วบรวมและใหค้ วามหมายไว้คลา้ ยคลงึ กนั ดังนี้ CAI มาจากคำยอ่ ในภาษาอังกฤษ คอื Computer Assisted Instruction หรือ Computer Aided Instrucion เป็นโปรแกรมบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนครู ทำหน้าทีเ่ ปน็ ส่ือการเรยี นบทเรียน สามารถโต้ตอบกับผ้เู รียนได้ ประกอบด้วย ตัวอกั ษร ภาพน่ิง ภาพเคลอื่ นไหว เสียง (Multimedia) ทำ ให้ผ้เู รียนสนุกไปกับการเรียนไมร่ ู้สึกเบอ่ื หน่าย การสร้างบทเรียนแบบนี้ อาศัยแนวคิดจากทฤษฎีการ เช่ือมโยงส่ิงเร้ากับการตอบสนอง โดยการออกแบบโปรแกรม จะเร่ิมต้นจากการให้สิ่งเร้าแก่ผู้เรียน ประเมินการตอบสนองของผู้เรียน ให้ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือเสริมแรงและให้ผู้เรียนเลือกส่ิงเร้าอันดับ
ต่อไป (สมรัก ปริยะวาที, 2544) คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือโปรแกรมช่วยสอน คือส่ือท่ีใช้ในการ เรียนการสอนอันหน่ึง CAI คล้ายกับสื่อการสอนอื่นๆ เช่น วิดีโอช่วนสอน บัตรคำช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพวิ เตอรช์ ว่ ย-สอนจะดกี ว่าตรงท่ตี ัวส่ือการสอน คอื คอมพวิ เตอรส์ ามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคำสั่งเพ่ือมาปฏิบัติ ตอบคำถามหรือไม่เช่นนั้น คอมพิวเตอร์ก็จะเป็นฝ่ายป้อน คำถาม (พัฒนา เอกบูรณวฒั น์, 2539) คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) หมายถึง การประยุกต์ นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นเพื่อนำเสนอเนื้อหาในรูป- แบบต่างๆ เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Intorail) แบบจำลองสถานการณ์ (Simlation) หรอื แบบการ แก้ไขปญั หา (Problem Solving) เปน็ ตน้ การเสนอเนอ้ื หาเป็นการเสนอโดยตรงไปยังผเู้ รียนผ่านทาง จอภาพ หรือแป้นพิมพ์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม วัสดุทางการสอนคือ โปรแกรมหรือ Coursware ซ่ึงปกติจะถูกเก็บไว้ในแผ่นดิสก์หรือหน่วยความจำของเครื่อง พร้อมท่ีจะเรียกใช้ได้ ตลอดเวลา การเรียนในลักษณะน้ี ในบางคร้ังผู้เรียน จะต้องโต้ตอบ หรือตอบคำถามเคร่ือง คอมพวิ เตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคำถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์ และจะเสนอแนะข้นั ตอน หรือระดับในการเรียนข้ันต่อไป กระบวนการเหล่าน้ีเป็นปฏิกิริยาที่เกิดข้ึนระหว่างผู้เรียนกับ คอมพิวเตอร์ (ศริ ิชัย สงวนแก้ว, 2534) คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI คือ การนำคอมพิวเตอร์มาเป็นเครื่องมือสร้างให้เป็น โปรแกรมคอมพิวเตอรเ์ พอื่ ให้ผู้เรียนนำไปเรยี นดว้ ยตนเองและเกดิ การเรียนรู้ ในโปรแกรมประกอบไป ด้วย เนื้อหาวชิ า แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะของการนำเสนอ อาจมีท้ังตัวหนังสือภาพกราฟิก ภาพเคล่ือนไหว สี หรือ เสียง เพ่ือดึงดูดให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง การแสดงผล การเรียนใหท้ ราบทันทีด้วยข้อมูลยอ้ นกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียน และยังมกี ารจัดลำดบั วิธกี ารสอน หรือกจิ กรรมตา่ งๆ เพือ่ ให้เหมาะสมกบั ผู้เรียนในแต่ละคน ทั้งนีต้ อ้ งมกี ารวางแผนในการผลิตอย่างเป็น ระบบในการนำเสนอเนื้อหาในรปู แบบที่แตกต่างกัน (ศิรชิ ัย นามบรุ ี, 2546) คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน (CAI) คือ การนำคอมพิวเตอร์เข้ามาเสริม เพ่ือช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น การใช้คอมพิวเตอร์เสริมการสอนนี้สามารถใช้ประกอบ ขณะที่ผู้สอนทำการสอนเอง หรือการใช้สอนแทนผู้สอนท้ังหมดก็ได้การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ขณะท่ีผู้สอนทำการสอนเอง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ช่วย-สอนขณะท่ีผู้สอนทำการสอนซ่ึงแบ่งเป็น การใช้แทรกในกระบวนการสอน คือ ใช้ประกอบขณะดำเนินการสอนและใช้ช่วยเสริมก่อนหรือ ภายหลังการสอน เชน่ เป็นการซอ่ มเสริมหรอื ทบทวน เปน็ ต้น ส่วนการใช้คอมพิวเตอร์แทนผู้สอน เป็นการใช้คอมพิวเตอร์นำเสนอบทเรียน หรือเนื้อหา สาระต่างๆ แทนครผู ู้สอน จะต้องพัฒนาในรูปของบทเรยี นสำเร็จรูป ซึ่งสามารถจะใชเ้ รยี นเมอ่ื ใดท่ีใด ก็ได้ การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะนี้ น่าจะเป็นทางเลือกในการจัดการศึกษาในอนาคต ซ่ึงมุ่ง การศึกษาในฐานะของการเรียนรเู้ ป็นหลัก ดังน้ันการให้ความสนใจในการพัฒนาการใช้คอมพิวเตอร์ สอนแทนผู้สอนของการเรียนรู้เป็นหลัก ดังน้ัน การให้ความสนใจในการพัฒนาการใช้คอมพิวเตอร์ สอนแทนผู้สอนซ่ึงเปน็ แนวทางท่ีสมควรให้ความสนใจ และรับการสนบั สนุนในการศึกษาพัฒนาอย่าง ยิ่ง (ไพโรจน์ ตีรณธนากุล, ไพบูลย์ เกียรติโกมล และเสกสรรค์ แย้มพินิจ, 2546)จากความดังกล่าว สามารถสรุปความหมายของ “คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน” หรอื CAI
(Computer Assisted Instruction) การนำคอมพิวเตอร์เพ่ือมาประยุกต์ใช้ในการเรียน การสอนซ่ึงเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท่ีใช้เพื่อให้ผู้เรียนนำไปเรียนรู้ด้วยตนเองให้เกิดการเรียนรู้ เพิ่มเติมมากยิ่งข้ึน ในโปรแกรมจะใช้ลักษณะในการนำเสนอหลากหลาย อาจมีท้ังตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลือ่ นไหว สี และ เสียง เพ่อื ทำให้ผเู้ รียนเกดิ ความสนใจในการเรียนมากย่ิงข้ึน และ โปรแกรมจะประกอบไปด้วย เน้ือหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ เกมส์ การแสดงผลการเรียนด้วย ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรยี น อันทัง้ ยังมีการจัดลำดับวิธีการสอนหรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมแก่ ผเู้ รียนอีกดว้ ย ซ่ึงจะเห็นได้จากแผนภูมิการใชค้ อมพิวเตอร์ช่วยสอนของผู้สอน (ไพโรจน์ ตรี ณธนากุล, ไพบลู ย์ เกียรตโิ กมล และเสกสรรค์ แย้มพินจิ , 2546) ประเภทของคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ลกั ษณะในการนำเสนอเน้ือหาและกระบวนการ การเรยี นการสอนของคอมพิวเตอร์- ช่วยสอนน้ัน สามารถสรุปได้เป็น 8 ประเภท ดังน้ี (ไพโรจน์ ตีรณธนากุล และไพบูลย์ เกียรติโกมล, 2539) 2.3.1 แบบการสอน (Instruction) ใช้เพื่อสอนความรู้ใหม่แทนครู เปน็ การพัฒนาแบบ Self Study Package เป็นรปู -แบบใน การศึกษา เรียนรู้ด้วยตนเอง และเป็นชุดการสอนที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง รวมท้ังทักษะในการ พฒั นาท่ีสงู มาก ในการออกแบบจะต้องเนน้ การมีปฏสิ ัมพนั ธ์กับบทเรียน การควบคมุ แนวทาง กิจกรรมการเรียน และการประเมินผลการเรียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และลักษณะ ของผู้เรียน ส่วนการออกแบบหนา้ จอ จะตอ้ งเน้นใหอ้ งค์ประกอบหน้าจอมคี วามน่าสนใจเป็นหลัก 2.3.2แบบสอนซอ่ มเสรมิ หรอื ทบทวน (Tutorial) เปน็ บทเรียนท่ีใช้ในการทบทวนการเรียนจากห้องเรียนหรือจากผู้สอน ไม่ว่าจะจากทางไกล หรือทางใกล้ก็ตาม การเรียนมักไม่ใช่ความรู้ใหม่ แต่อาจจะเป็นความรู้ท่ีเคยเรียนรู้มาแล้วในรูปแบบ การเรียนรแู้ บบอ่นื ๆ แล้วใช้บทเรยี นซ่อมเสริมเพอ่ื เพ่ิมเตมิ ความเข้าใจให้ถกู ตอ้ ง และแม่นยำสมบูรณ์ย่ิงข้ึน ซ่ึงบทเรียนสามารถใช้ได้ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ดังนั้น CAI ประเภทนจ้ี ึงไม่สามารถนำมาสอนแทนครูได้ท้งั หมด เพยี งแต่นำมาสอนเสริมหรอื ทบทวนในราย-วิชาท่ี มีการจดั การเรียนการสอนมาแล้วในชัน้ เรียนปกติ 2.3.3แบบฝกึ หัดและฝกึ ปฏบิ ัติ (Drill and Practice) เป็นบทเรียนที่ใช้เสริมการปฏิบัติหรือเสริมทักษะ ในการเรียนการสอนให้เข้าใจย่ิงขึ้น และ เกิดทกั ษะทตี่ อ้ งการได้ เปน็ การเสริมประสิทธิผลการเรียนของผเู้ รยี น สามารถใช้ในหอ้ ง- เรียน เสริมขณะที่สอนหรือนอกห้องเรียน ณ ที่ใด เวลาใดก็ได้ ซ่ึงการใช้บทเรียนในการเรียน การ สอนเชน่ น้ี สามารถใช้ฝกึ หัดทั้งดา้ นทกั ษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งทางช่าง อุตสาหกรรมดว้ ย 2.3.4แบบสรา้ งสถานการณจ์ ำลอง (Simulation) เปน็ บทเรยี นท่อี อกแบบเพ่ยื ช่วยเปลีย่ นแปลงบรรยากาศการเรยี นการสอน ในชั้นปกติใหน้ ่าสนใจยิง่ ขนึ้ ในเชงิ ของการปฏบิ ตั ิ ถ้าพจิ ารณาถงึ ความยืดหยุ่น ความค้มุ คา่ ความปลอดภัยต่างๆ รวมท้ังการควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเองแล้ว สถานการณ์จำลองบทเรียน คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน จะให้ประสิทธภิ าพและความคลอ่ งตัว ซง่ึ ครอบคลุมเน้ือหาได้ทกุ เรื่อง เช่น การ
ซ้อื ขายหุน้ หรือการทดลองวิทยาศาสตร์ เป้าหมายหลักของการสรา้ งบทเรียนแบบสถานการณ์จำลอง เพอื่ นำสถานการณ์จริงท่เี กดิ ขึน้ เขา้ มาอยู่ในคอมพวิ เตอร์ จะทำให้ผเู้ รยี นมโี อกาสเข้ารว่ ม ในกิจกรรมท่ีเกิดข้ึน มโี อกาสควบคมุ สถานการณใ์ ห้เหมาะสม จึงเป็นส่วนสำคัญเพมิ่ เติม จากการให้สถานการณป์ กติ เพ่อื การเรียนรู้และแกป้ ัญหามคี วามความสมบรู ณย์ ่งิ ขน้ึ 2.3.5แบบสร้างเป็นเกมส์ (Game) การพัฒนาในลักษณะเกมส์ สามารถเสรมิ การเรียนรไู้ ดด้ ีกวา่ การใชเ้ กมสเ์ พื่อ การเรียน สามารถใช้สำหรบั การเรียนรู้ความรู้ใหม่ หรือเสริมการเรียนในห้องเรยี นได้ ซงึ่ เหมาะสำหรับ ผเู้ รียนทมี่ ีระยะเวลาความสนใจสั้น เช่น เดก็ หรือสภาวะแวดลอ้ มท่ีไมอ่ ำนวย เป็นตน้ 2.3.6แบบการแก้ปญั หา (Problem Solving) เป็นบทเรียนในการฝึกการคิด การตัดสินใจ สามารถใช้กับวิชาการต่างๆ ที่ต้องการให้ สามารถคิด แก้ปัญหา ใช้เพ่ือการสอนในห้องเรียน หรือใช้ในการฝึกทั่วๆ ไป เป็นสื่อสำหรับ ผูบ้ ริหารได้ดี 2.3.7แบบทดสอบ (Test) ใชเ้ พ่ือตรวจวัดความสามารถของผู้เรียน สามารถใช้ประกอบการสอนในห้องเรียนหรอื ความ ต้องการของผู้สอนหรือผู้เรียนเอง ทั้งน้ียังสามารถใช้นอกห้องเรียน เพื่อตรวจวัดความสามารถของ ตนเองไดด้ ้วย 2.3.8แบบสถานการณ์เพื่อให้ค้นพบ (Discovery) จัดทำเพ่ือให้ผเู้ รยี น เรียนรู้จากประสบการณข์ องตนเอง โดยการลองผดิ ลองถกู หรือเป็นการจัดระบบ นำล่องเพื่อชกั นำสู่การเรียนรู้ สามารถใชเ้ รียนรคู้ วามรใู้ หม่หรือเป็นการทบ-ทวนความรู้เดิม ข้อดขี องคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการนำเสนอเนื้อหามีข้อดีหลายๆ ประการ ดังนี้ (ศิริชัย นามบุรี, 2546) 1. เสนอเนื้อหาได้รวดเรว็ เพียงแต่ผู้เรยี นกดแปน้ พมิ พ์เพยี งคร้งั เดยี วคอมพวิ เตอร์ กจ็ ะเสนอเนอ้ื หาต่อไป 2. คอมพวิ เตอรส์ ามารถเสนอรปู ภาพท่เี คลอ่ื นไหวได้ ทำให้มีประโยชน์ในการ เรียนรู้ความคิดรวบยอดทีส่ ลับซบั ซอ้ นต่างๆ 3. มเี สียงประกอบ ทำใหเ้ กดิ ความนา่ สนใจ และเพม่ิ ศกั ยภาพทางด้านการเรียนได้ดีมากขน้ึ 4. สามารถเก็บขอ้ มลู เนื้อหาไดด้ ีมากกว่าหนงั สือหลายเท่า 5. ผูเ้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์กบั บทเรียนอยา่ งแทจ้ รงิ คือ มกี ารโตต้ อบระหว่าง บทเรยี นกับผเู้ รยี นได้ 6. สามารถบนั ทกึ ผลการเรยี น ประเมนิ ผลการเรยี น และประเมินผลผู้เรยี นได้ 7. ทำใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ของผเู้ รียนสูงข้นึ เมือ่ เทียบกับการเรียนในช้ัน เรยี นปกติ 8. ช่วยลดเวลาในการเรยี นของผ้เู รียน เมอ่ื เทียบกับการเรียนแบบปกติใน
หอ้ งเรยี น 9. ชว่ ยเพ่มิ ความสนใจให้กับผเู้ รียนมากย่ิงขึ้น เม่อื เทียบกับการเรยี นในห้อง เรียน ทำใหผ้ ู้เรียนต้องมสี มาธิอยู่กบั เคร่ืองคอมพวิ เตอรแ์ ละจอภาพตลอดเวลา 10. สามารถควบคุมกิจกรรมการเรียนของผู้เรียนได้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่สามารถทำได้หาก เรียนโดยใชผ้ ้สู อนจรงิ 11. ชว่ ยสนบั สนุนการเรยี นแบบรายบคุ คลได้อย่างมปี ระสทิ ธิผล 12. ชว่ ยลดต้นทุนด้านการจดั การเรียนการสอนได้ เพราะไม่ต้องใชผ้ ู้สอนจรงิ 13. มีเนื้อหาที่แน่นอน เนื่องจากผ่านการตรวจสอบให้มีเนื้อหาท่ีครอบคลุม จัดลำดับ ความสัมพนั ธ์ของเนอ้ื หาอย่างถูกต้อง มีความคงสภาพเหมือนเดมิ ทุกคร้งั ท่ีเรยี น ต่างจากการสอนดว้ ย ครผู สู้ อน ขอ้ จำกดั ของคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน การใชค้ อมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนในการนำเสนอเนือ้ หามีข้อจำกัดหลายๆ ประการ ดังนี้ (ศิริชัย นามบรุ ี, 2546) 1. สิ้นเปลืองคา่ ใช้จา่ ยและเวลา ซึ่งจำเป็นต้องลงทุนคา่ ใชจ้ ่ายค่อนขา้ งสูง ท้งั ในดา้ นฮารด์ แวร์และซอฟต์แวร์ 2. ลดความสัมพนั ธ์ของผเู้ รยี นที่มตี ่อกันลง 3. จำเป็นต้องติดต่อกับผู้ผลิตซอฟต์แวร์ เพื่อขอคำแนะนำโดยตรง ในด้านเทคนิคของ ตัวเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ วธิ ีการบำรงุ รักษา การแกไ้ ขปญั หา เม่ือเกดิ ปัญหาทีไ่ มส่ ามารถแก้ไขได้ 4. ขาดโปรแกรมเมอร์ทม่ี คี วามรู้พืน้ ฐานทางการศึกษา ความรูใ้ นเน้ือหาวิชาอยา่ ง แท้จริง ขาดกลยุทธ์ในการสอน และปัญหาอีกอย่างหน่ึงคือ ขาดความชำนาญในการเลือกใช้ ซอฟต์แวร์ที่มอี ยู่ 5. ตอ้ งใชเ้ วลาในการพัฒนามาก ในด้านการทดสอบการใชง้ าน และ ปรบั ปรงุ แก้ไข 6. มีความยากในการออกแบบ เน่ืองจากต้องออกแบบให้ยืดหยุ่นต่อการใช้งานเพ่ือให้ เหมาะสมกบั ผเู้ รยี นทีม่ ีความถนัดท่ีแตกตา่ งกัน ขน้ั ตอนการสรา้ งบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน ขัน้ ตอนการสรา้ งและพัฒนาบทเรียนนั้น จะเป็นการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย-สอน ซง่ึ เปน็ ไปตามแนวทางของ คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระ- จอมเกล้าธนบรุ ี พัฒนาขึ้นโดย รศ.ไพโรจน์ ตรี ณธนากลุ ขนั้ ตอนทง้ั กระบวนการไดแ้ บ่งออกเปน็ 16 ขั้นตอน ซ่ึงอยู่ในกรอบของ 5 ชว่ งตอนหลัก ซึ่งมีรายละเอียดดงั รูปท่ี 2.2 (ไพโรจน์ ตีรณธนากุล และไพบลู ย์ เกยี รตโิ กมล, 2541) 2.6.1 ช่วงการวเิ คราะห์เนอื้ หา (Analysis)
ในการพัฒนาเนือ้ หาหารเรยี นการสอนนน้ั ผู้พัฒนาจะตอ้ งทำความเขา้ ใจกับเนื้อหาสาระ ท่ี จะนำมาใส่ในบทเรยี น เพ่ือกำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้ผู้เรียนเรียนอะไรบ้าง เรยี นอะไรก่อน เรียนอะไร หลัง เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกันในแต่ละหัวข้อ ดังนั้น ผู้พัฒนาจึงต้องตระหนัก และให้เห็นความสำคัญกับ เนื้อหาสาระ ท่ีจะถูกบรรจุอยู่ในบทเรยี น และวิธีการที่ดีวิธีหนึ่งก็คือ การวิเคราะห์เน้ือหาท่ีจะนำมา ผลติ เปน็ บทเรียน การวิเคราะห์เน้ือหาเป็นขั้นตอนแรกของการพัฒนาบทเรียน ในการวิเคราะห์เน้ือหานั้นมี ข้นั ตอนย่อย ๆ ท่ีจะตอ้ งทำตามลำดับ 3 ข้ันตอน คอื ข้นั ที่ 1 การสรา้ งแผนภูมิระดมสมอง (Brain Storm Creation) ขั้นการสร้างแผนภูมิระดมสมอง เป็นการนำเอาเทคนิค การระดมสมอง (Brain Storm) เข้ามาประยุกต์ใช้ เพอ่ื รวบรวมหัวเร่อื งท่ีควรจะมอี ยใู่ นบทเรียน หลกั การการระดมสมองเปน็ การระดมความคิด โดยผู้รว่ มระดมความคดิ ประมาณ 4-5 คน ช่วยกันคิด หาคำตอบหรอื แก้ปัญหาท่ตี ้ังขึ้น ทกุ คนมีสิทธิท่ีจะคิดได้ เมื่อคิดแล้วความคดิ นั้นก็จะถูกบันทึกไว้ โดย ไม่มีใครคอยโต้แย้งหรือคัดค้าน ดังน้ัน ทุกคนจึงมีสิทธิที่จะคิดอย่างอิสระ ซึ่งเกิดประโยชน์คือ จะได้ ความคดิ มากมายทอี่ าจเป็นคำตอบ สำหรบั ในกรณกี ารพัฒนาบทเรยี นกจ็ ะเปน็ การระดมความคิด เพื่อ รวบรวมหัวเรอ่ื งทค่ี วรจะมใี นบทเรียน โดยเรม่ิ จากการเขียนหวั เรอื่ งทสี่ ร้างเปน็ บทเรียนไวต้ รงกลาง แล้วให้ ผู้เช่ียวชาญทางด้านเนื้อหาวิชาจำนวน 4-5 คน ช่วยกันระดมสมองแจงหัวเร่ืองท่ีควรจะสอนในวิชา นั้น โดยโยงออกจากชอ่ื เรือ่ งหลัก ขยายออกไปเป็นชน้ั ๆ มเี สน้ เชือ่ มให้เห็นความสมั พนั ธข์ อง หัวเรื่องหลักกับหัวเร่อื งย่อย หลังจากผ่านกระบวนการระดมสมองแล้ว ผลที่ได้จะเป็นแผนภูมิระดมสมองที่แสดงถงึ หัวเร่ืองที่ควร จะมอี ยู่ในบทเรยี น ขั้นที่ 2 การสร้างแผนภูมิหัวเร่ืองสัมพันธ์ (Concept Chart Creation) แนวคิดของ แผนภมู หิ ัวเร่ืองสัมพนั ธค์ อื การจดั กลมุ่ ของหัวเร่ืองทร่ี ะดมสมองไว้ใหเ้ ป็นกลุ่มหรอื หมวดหมู่ที่สมั พันธ์ กัน โดยนำแผนภูมิระดมสมองมาศึกษาความถูกต้อง สอดคล้องของทฤษฎี หลักการ เหตุผล ความสัมพันธ์ และความต่อเน่ืองกันของหัวเรื่องอย่างละเอียด อาจมีการตัดหรือเพิ่มหัวเรื่องตาม เหตผุ ลและความเหมาะสม จนสามารถอธิบายและตอบ คำถามได้ ขัน้ ที่ 3 การสร้างแผนภูมโิ ครงขา่ ยเน้อื หา (Content Network Chart Creation) แนวคิดของแผนภูมิโครงข่ายเน้ือหาคือ นำหัวเรื่องที่ได้จากแผนภูมิหัวเร่ือง สัมพันธ์ มาจัดลำดับความสัมพันธ์ของเน้ือหา โดยพิจารณาลำดับก่อนหลัง หรือคู่ขนานกันตาม ความจำเป็นท่ีจะต้องอ้างอิงกันตามหลักการเทคนิคโครงข่าย เนื้อหาบางอย่างเป็นพื้นฐานท่ีจำเป็น สำหรับเนื้อหา เช่น การบวก การลบ จะเป็นพ้ืนฐานของการคณู การหาร จึงต้องให้เรียนเร่อื งการบวก การลบกอ่ น เม่ือเขยี นเสรจ็ แลว้ ทำการพิจารณาความสมั พันธ์ของเน้อื หาในโครงขา่ ยน้ัน อกี คร้งั จนสมบรู ณ์ 2.6.2 ช่วงการออกแบบหนว่ ยการเรียน (Design) การออกแบบหนว่ ยการ เรียน นบั เป็นหัวใจสำคัญในการผลิตบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ประกอบด้วยข้ันตอนท่ีจะต้องทำ ไปตามลำดบั 2 ข้นั ตอน คอื
ขน้ั ท่ี 4 กำหนดกลวิธีในการนำเสนอ และเขยี นวัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ของ เนือ้ หา ในขั้นตอนนี้ เราจะจัดเนื้อหาท่ีมีให้เป็นหน่วยการเรียน เพื่อให้เหมาะสมกับ การเรียน ของผเู้ รียน จากนน้ั จึงสรา้ งแผนภูมิหน่วยการเรียนวชิ า แลว้ เขียนกำกบั ในแต่ละ หน่วยการเรยี น ดว้ ยวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรมมี 3 ขน้ั ตอนย่อย คือ 1. การแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรยี น เป็นการแบ่งเพ่ือใหเ้ หมาะสมกับการ เรียนแต่ละคร้ัง โดยเปรียบเทียบกับการสอนในห้องเรียนปกติ เช่น เน้ือหาการสอน ระดับช้ัน ประถมศกึ ษา 1 คาบ ใชเ้ วลาประมาณ 20 นาที ต่อหน่วยการเรียน เป็นตน้ ดังน้ัน ในการแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียน จะแบ่งตามเง่ือนไขของเวลาท่ีใช้สอนแต่ละครั้ง สำหรับการผลิตบทเรยี น 1 วชิ านั้น โดยท่ัวไปจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรียน ประมาณ 13- 15 หนว่ ย การแบง่ เนื้อหาออกเป็นหน่วยการเรยี นนนั้ จะเร่ิมจากนำแผนภูมิโครงขา่ ย เน้ือหามาพจิ ารณากล่มุ หัวเรื่องทีส่ ามาถจัดไวใ้ นหนว่ ยเดียวกนั ได้ จากน้ันกต็ ีกรอบลอ้ มรอบกล่มุ ต่างๆ ไวจ้ นครบ อย่างไรก็ตาม การตกี รอบควรพจิ ารณาตามเงื่อนไขของเวลาทีต่ งั้ ไว้ เม่อื เสร็จแลว้ เน้อื หาใน กรอบแตล่ ะกรอบ ก็คอื แต่ละหนว่ ยการเรยี นท่ีต้องการ 2. การสร้างแผนภูมิหน่วยการเรียนวิชา เมื่อเราแบ่งเน้ือหาออกเป็นหน่วยการ เรียนไดแ้ ลว้ กก็ ำหนดอันดบั ของแตล่ ะหน่วยโดยเขยี นเป็นตัวเลขลงไป จากนนั้ กน็ ำหน่วยการเรยี นมา ลำดับการนำเสนอตามลำดับ และความสัมพันธ์ในเดียวกับแผนภูมิโครงข่ายเนื้อหซึ่งจะได้ผลเป็ น แผนภูมหิ น่วยการเรียนวิชา (Course Flow Chart) การกำหนด และเขียนวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ของเนื้อหาแต่ละหน่วยการเรียน นำหัวเร่ือง เน้ือหาแต่ละหน่วยการเรียน มาพิจารณากำหนด วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรมทเี่ หมาะสม แลว้ เขียนวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมทีไ่ ด้กำหนดกำกบั ไว้แต่ละ หนว่ ยการเรียนให้เป็นระเบยี บชดั เจน ขน้ั ที่ 5 การออกแบบแผนภูมิ การนำเสนอในแต่ละหน่วยการเรยี น เม่อื ได้แบง่ เนื้อหาออกเป็นหนว่ ยการเรียน และสร้างแผนภูมิการเรยี นวิชาแล้ว จะดำเนนิ การออกแบบ แผนภูมกิ ารนำเสนอเนื้อหาในแต่ละหน่วยการเรียนตอ่ ไป เป้าหมายที่สำคัญในการออกแบบน้ันคือ การให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม ท่ีตั้งไว้ ในการออกแบบนั้น จะคำนึงถึงกระบวนการนำเสนอทั้งหมด ซ่ึงจะมีการนำเขา้ บทเรียน การ นำเสนอเนื้อหาสาระ การทบทวนเสริมความเข้าใจ และการสรุป บทเรยี น รวมท้งั การใช้เทคนิค วิธีการสอน การใช้สื่อต่างๆท่ีเหมาะสม และส่ิงท่ีสำคัญที่การออกแบบการสอนทั่วๆไปไม่มีก็คือ จะตอ้ งออกแบบปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งบทเรยี นกบั ผู้เรียน ซ่งึ เปน็ สิง่ ทค่ี อมพิวเตอร์สามารถทำได้ สำหรับขั้นตอนการออกแบบแผนภูมกิ ารนำเสนอ ในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นน้ัน จะเริ่มจากการพจิ ารณา เนื้อหาแต่ละช่วงพร้อมคิดวธิ ีการสอน ส่ือท่ีใช้และลักษณะปฏิสัมพันธ์ ในหัวข้อนั้นๆ ที ละหัวข้อ พิจารณาไปทลี ะลำดับ ทำไปเร่ือยๆ จนกระท่ังหมดหนว่ ยการเรียนนั้น แลว้ จึงเร่ิมทำหน่วย การเรียนถดั ไป เพียงเทา่ น้ี กจ็ ะไดแ้ ผนภมู ิการนำเสนอในแต่ละหน่วยการเรียน 2.6.3 ชว่ งการพฒั นาหน่วยการเรียน (Development) ขั้นตอนการพัฒนาหน่วยการเรียน เป็นการพัฒนาเน้ือหาหน่วยการเรียนให้สมบูรณ์ก่อนที่จะนำไป เขียนโปรแกรม ประกอบดว้ ยขั้นตอนย่อยๆ 4 ขั้นตอน ขั้นท่ี 6 การเขยี นรายละเอียดเน้ือหาลงบนกรอบการสอน
การเขยี นรายละเอยี ดเนื้อหาลงบนกรอบการสอน หรอื การเขียนสคริปต์ หากเปรียบเทียบกบั การผลิต รายการโทรทศั น์ กค็ อื การเขยี นบทรายการกอ่ นท่ีจะนำไปถา่ ยทำจรงิ หลังจากได้ออกแบบแผนภูมิการนำเสนอในแต่ละหน่วยการเรียนเสร็จแล้วในข้ันตอนต่อไป จะนำ แผนภูมิการนำเสนอแต่ละหน่วยการเรียนที่ได้ออกแบบไว้ มาเป็นแนวทางในการเขียนรายละเอียด ของเนือ้ หาโดยเขียนลงบนกรอบทอี่ อกแบบไว้ เราเรียกวา่ “กรอบการสอน” สำหรับการเขียนเน้ือหาลงในกรอบการสอน จะต้องเขียนไปทีละกรอบ ตามลำดับเน้ือหา และวิธกี าร สอน ทีไ่ ด้ออกแบบไว้ เขยี นจนกระท่ังครบทุกเน้อื หา ก็เสร็จส้นิ กระบวนการนี้ ขั้นที่ 7 การจัดลำดับกรอบการสอนในขั้นตอนน้ี จะเป็นการนำกรอบการสอนมา ตรวจสอบลำดับการนำเสนอเน้ือหา ท่ีได้วางแผนไว้ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการ ตรวจสอบลำดับการสอนของกรอบการสอนท่ีไดเ้ ขียนไว้ ว่ามีความต่อเนื่องกันหรอื ไม่ในการตรวจสอบ ลำดบั เนอ้ื หา จะมกี ารตรวจสอบ 2 ขน้ั ตอน คือ 1. การตรวจสอบความต่อเน่อื งของเน้ือหาในหน่วยการเรียนเดยี วกนั เพ่อื ดูวา่ มีความเหมาะสมต่อเนอ่ื งกนั หรอื ไม่ และตอบสนองวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมครบถ้วนหรือไม่ 2. การตรวจสอบความเชื่อมโยงของเนอ้ื หาในแตล่ ะหน่วยการเรียน เพื่อดวู ่าการ เช่อื มโยงของเนื้อหาแต่ละหน่วยเปน็ ไปตามที่ไดว้ เิ คราะหไ์ ว้หรอื ไม่ ขนั้ ที่ 8 การตรวจสอบความถกู ตอ้ งของเน้อื หา ภายจากการนำกรอบการสอนไปจัดเรียงลำดับ และตรวจสอบอย่างถูกต้องแล้วในข้ันตอนน้ี จะเป็น การนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ทพ่ี ฒั นาขนึ้ ไปทำการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาทีพ่ ัฒนาขน้ึ โดย ทำ 2 ด้านต่อเน่ืองกัน คือ การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเน้ือหา การ ตรวจสอบความถูกต้อง เป็นการรับรองคุณภาพของเน้ือหา ว่าถูกต้องก่อนที่จะนำไปพัฒนาเป็น บทเรียน การตรวจสอบนั้น อาจจะให้ผเู้ ชีย่ วชาญประเมินลงในกรอบการสอน หรือ ประเมินควบคกู่ ับ แบบฟอร์มที่เป็นปลายเปิด นำไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย ท่ีจะเรียนเนื้อหานนั้ ๆ เพ่ือทดสอบความเข้าใจในการเรียนเน้ือหา และ การส่ือความหมายของสำนวนที่ใช้ ตลอดจนรูปแบบท่ีสื่อความหมายต่อผู้เรียน ในข้ันน้ี จะต้องใช้ กล่มุ เปา้ หมายจริง โดยคัดเลือกประมาณ 9-12 คน ใหท้ ดลองเรยี นเน้ือหา จากนัน้ จึงรวบรวมข้อมูลท่ไี ดม้ าปรบั แกใ้ ห้สมบรู ณ์ ข้ันท่ี 9 การเขียนและประเมินคุณภาพของแบบทดสอบในข้นั น้ี จะเร่ิมจากการสรา้ ง แบบทดสอบตามหลักการพัฒนาข้อทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ โดยอ้างอิงตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ี ได้กำหนดไว้ จากนั้นนำไปทดลองกับกลุ่มที่เคยเรียนเน้ือหานั้นมาแล้ว โดยใช้ประมาณ 30-100 คน นำผลทดสอบมาหาค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเช่ือมั่น และค่าความเที่ยง โดย ขอ้ สอบทีด่ ี ควรเหมาะสมกบั ระดบั ความ สามารถ และระดับของผ้เู รยี น หลังจากนำแบบทดสอบไปทดลองแล้ว นำข้อที่ยังไม่ได้ตามเกณฑไ์ ปปรบั ปรุง แก้ไข จนกว่าจะใช้ได้ ผลท่ีได้ท้ังหมด ซ่ึงได้แก่ กรอบการสอนที่ได้ตรวจสอบคุณภาพแล้ว และ แบบทดสอบท่ีได้ตามเกณฑ์ จะรวมกันเป็นตัวบทเรียนที่พร้อมด้วยส่วนของการวัด และ การ ประเมนิ ผล ซงึ่ พรอ้ มทีจ่ ะนำไปจดั ทำเปน็ โปรแกรมต่อไป
2.6.4 ช่วงการพัฒนาเนือ้ หาลงบนคอมพิวเตอร์ ในการพฒั นาเนื้อหาสู่โปรแกรมน้ี จะประกอบด้วย 3 ข้ันตอน คอื ขน้ั ท่ี 10 การเรยี กโปรแกรมที่จะใชน้ ำเสนอบทเรยี น ในข้ันน้ี จะเป็นการคดั เลือกโปรแกรมที่จะใช้ในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์โดยแตล่ ะโปรแกรม ก็มีความสามารถในการสร้างงานที่แตกต่างกัน ดังน้ัน ผู้พัฒนา บทเรียนจึงควรเลือกโปรแกรมท่ีจะ นำมาสรา้ งโดยพจิ ารณาโปรแกรมท่ีเหมาะสม และสามารถสนองตอบตอ่ ความตอ้ งการได้ โปรแกรมทีใ่ ชน้ ำเสนอบทเรียน สามารถแบ่งเปน็ 2 ประเภทใหญๆ่ คอื 1. โปรแกรมช่วยสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์แบบสำเร็จรูป เป็นโปรแกรมท่ี ออกแบบมาสำหรับช่วยสร้างบทเรยี นคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ข้อดี คือ ใช้งานง่าย และสามารถรองรับสอื่ มลั ติมเี ดียไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิ-ภาพ ขอ้ ด้อย คือ ไมเ่ หมาะกับงานทส่ี ลับซับซอ้ น 2. โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ท่ัวๆไป เช่น ภาษาซี ภาษาแอส-แซมบลี ภาษา ปาลคาล เป็นตน้ ขอ้ ดี คือ สามารถสรา้ งบทเรยี นทส่ี ลับซับซ้อนได้ดี ขอ้ ด้อย คอื ใชง้ านยากผใู้ ช้ต้องมีความชำนาญดา้ นการเขียนโปรแกรมมาก ขั้นที่ 11 การพัฒนาและจัดเตรียมส่ือทจ่ี ะใช้ประกอบบทเรยี นขน้ั ตอนน้ี จำเปน็ ต้องใช้ ในการผลติ บทเรียน สื่อตา่ งๆ ทจ่ี ะต้องเตรียม ไดแ้ กภ่ าพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว เสยี ง ภาพกราฟกิ ต่าง ๆ เม่ือทำการผลิตสื่อต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการบันทึกเป็นไฟล์ไว้ และจัดเก็บแยกเป็นแฟ้มๆ ไว้ เพอ่ื ให้สามารถเรยี กใช้ไดส้ ะดวก ขน้ั ท่ี 12 นำขอ้ มลู เนือ้ หาลงโปรแกรม หลังจากเตรียมทุกอย่างแล้ว ก็จะนำข้อมูลเน้ือหาที่พัฒนาไว้บนกรอบ การสอนจัดลงโปรแกรม พร้อมส่ือต่างๆ ท่ีได้จัดเตรียมไว้ในการลงโปรแกรมนั้น ผู้ดำเนินการจะต้องทำด้วยความปราณีต ใน ระหว่างทำ ควรตรวจสอบสื่อต่างๆ และลำดับการนำเสนอเนื้อหาว่าถูกต้องตามกรอบการสอนท่ีได้ ออกแบบไวร้ วมทั้ง ลำดับการเชอ่ื มโยงของเน้ือหา 2.6.5 ชว่ งการประเมินผลบทเรยี น ชว่ งการประเมินผลบทเรยี น เปน็ ขน้ั ตอนสุดท้ายของการพฒั นาบทเรียน นับเป็นขั้นตอนท่ีสำคญั และ ข้ันท่ีขาดไม่ได้ในกระบวนการวิจัยเชิงพัฒนา เพราะเป็นการตรวจสอบผลการวิเคราะห์และการ ออกแบบ ว่าจะใช้ได้ผลตามท่ีตั้งเป้าไว้หรือไม่ ในการประเมินผลบทเรียน ท่ีได้พั ฒนาข้ึน จะ ประกอบดว้ ย 4 ข้ันตอน คอื ขนั้ ที่ 13 การตรวจสอบคณุ ภาพมัลตมิ เี ดียของบทเรยี น ข้ันตอนน้ี เป็นการตรวจสอบคุณภาพมัลติมีเดียของบทเรียนคอมพิวเตอร์ ที่สร้างเสร็จแล้ว โดยให้ ผเู้ ชีย่ วชาญทางด้านมัลติมีเดียเป็นผ้ตู รวจสอบ ซ่งึ อาจจะตรวจสอบส่อื ต่างๆ เชน่ สีของตัวอักษร และสี ของพน้ื หลังเหมาะสมหรือไม่ การออกแบบหน้าจอ รวมทั้งการเชือ่ มโยง ของกรอบการสอนในแต่ละกรอบ ภายหลงั จากการตรวจสอบคณุ ภาพเรยี บรอ้ บแลว้ นำมาปรบั ปรงุ ใหส้ มบูรณ์ กจ็ ะไดบ้ ทเรียนท่พี ร้อมจะนำไปทดลองหาประสิทธภิ าพตอ่ ไป ขนั้ ที่ 14 การทดลองกระบวนการการทดสอบหาประสทิ ธภิ าพ
ขน้ั ตอนน้ี เป็นการทดลองข้ันตอน หรือกระบวนการในการหาประสทิ ธิ-ภาพกอ่ นที่จะหาประสทิ ธิภาพ จริง โดยการนำกลมุ่ เป้าหมาย จำนวนประมาณ 10 คน ทำการทดลอง ในขณะทดลองหาประสทิ ธิภาพนนั้ ก็เกบ็ ข้อมูลต่างๆ เอาไว้ ซ่ึงขอ้ มูลเหล่านั้น จะเป็นประโยชนใ์ นการ หาประสทิ ธิภาพจริง แตห่ ากปัญหาใด ทต่ี ้องแก้ไข เช่น การสื่อสารระหวา่ งบทเรยี นกบั ผ้เู รียน กแ็ กไ้ ขข้อมูลนนั้ ใหเ้ รยี บร้อยก่อนทจ่ี ะนำไปทดสอบหาประสิทธภิ าพจรงิ ข้นั ที่ 15 การทดลองหาประสิทธภิ าพของบทเรียนและประสทิ ธิผลทางการเรยี น ข้ันตอนนี้ เป็นการทดลองหาประสิทธิภาพของบทเรียน และประสิทธิผลทางการเรียน ซึ่งจะใช้กลุ่ม ตัวอยา่ งเป้าหมาย ไมน่ ้อยกว่า 30 คน มาทำการทดสอบหาประสทิ ธิภาพของบทเรียน บทเรยี นทด่ี ีจะ มคี า่ ประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนจะใกล้เคียงกับค่าประสิทธิภาพหลังการเรียน (E1 / E2) และ ค่าประสิทธิผล (Epost - Epre) ควรจะมีค่าสูงกว่า 60 หากได้ผลตาม เป้าหมาย ท่ีต้ังไว้ ถือ ว่าบทเรียนนั้นใช้ได้ แต่ถ้าหากไม่เป็นไปตามท่ีต้องการ ก็จะต้องนำไปปรับ-ปรุงแก้ไขให้ได้ผลตามท่ี ต้องการ ขน้ั ที่ 16 จัดทำคู่มือการใชบ้ ทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน หลังจากผลิตบทเรียนเสร็จแล้ว จะต้องทำคมู่ ือการใช้บทเรียน เพ่ือใช้ประกอบ การเรียน หรือหากมี ปัญหาสงสัย ก็สามารถทจี่ ะเปิดดูได้จากคู่มอื น้ี ดงั นั้น คมู่ อื จะเปน็ จุดเรมิ่ ต้นทท่ี ำให้ผเู้ รียนเข้าหาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ได้สะดวก และถกู ต้อง ภายในคู่มือนน้ั จะประกอบดว้ ยหัวขอ้ ดงั นี้ 1. บทนำ 2. เป้าหมายของบทเรยี น 3. อุปกรณท์ ี่ใช้งาน 4. การตดิ ตั้งโปรแกรม 5. การกำหนดหนา้ จอคอมพวิ เตอร์ 6. การเร่มิ เขา้ บทเรียน 7. ข้อมูลเสรมิ ท่ีควรทราบ 8. ขอ้ ควรระวังในการใช้งาน 9. ข้อมูลผู้พัฒนาบทเรยี น 10. วันทเี่ ผยแพร่ 2.6.6 ทดสอบและปรับปรงุ แก้ไข 1. นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือทดสอบการสื่อ ความหมายและหาข้อบกพรอ่ งของบทเรียนเพื่อนำไปแก้ไขปรับปรุง 2. ปรับปรุงแกไ้ ข 3. เปรียบเทยี บคะแนนการทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน การประยุกตใ์ ช้คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน การนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใชง้ าน สามารถทำไดห้ ลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่
1. ใชส้ อนแทนผู้สอน ทั้งในและนอกห้องเรยี น ท้ังระบบสอนแทน บททบทวน และสอน เสริม 2. ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนทางไกล ผ่านส่ือโทรคมนาคม เช่น ผ่านดาวเทียม เป็น ต้น 3. ใช้สอนเนื้อหาท่ซี ับซ้อน ไมส่ ามารถแสดงของจริงได้ เช่น โครงสรา้ งของโมเลกุลของ สาร 4. เป็นส่ือสอนวิชาท่ีอันตราย โดยการสร้างสถานการณ์จำลอง เช่น การสอนขับ เครอ่ื งบิน การควบคุมเคร่อื งจักรขนาดใหญ่ 5. เป็นสื่อแสดงลำดับขั้น ของเหตุการณ์ที่ต้องการให้เห็นผลอย่างชัดเจน และช้า เช่น การทำงานของมอเตอร์รถยนต์ หรือหวั เทยี น 6. เปน็ ส่ือฝึกอบรมพนกั งานใหม่ โดยไมต่ อ้ งเสียเวลาสอนซ้ำหลายๆ หน 7. สรา้ งมาตรฐานการสอน คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนบนเวบ็ CAI on Web จัดได้วา่ เปน็ โฉมหน้าใหม่ของการสร้างสือ่ การเรยี นการสอนดว้ ยคอมพิวเตอร์ โดยการนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาผสมผสานกับเทคโนโลยี การศึกษา และเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต มีลักษณะเฉพาะ คือ มีความสามารถในการนำเสนอข้อมูลผ่านระบบ World Wide Web ซงึ่ มจี ุดเด่นดังนี้ 1. The Web is a Graphical Hypertext Information System ก ารน ำเสน อ ข้อมูลผ่านเวบ็ เป็นการนำเสนอดว้ ข้อมูลท่ีสามารถเรียกหรือโยงไปยังจุดอื่นๆ ในระบบกราฟิก ซึ่งทำ ใหข้ อ้ มลู น้ันๆ มีจุดดึงดูดใหน้ า่ เรียกดู 2. The Web is Cross-Platform ข้อมูลบนเว็บไม่ยึดติดกับระบบปฏิบตั ิการ เนื่องจาก ข้อมูลนั้นๆ ถูกจัดเก็บเป็น Text File ดังน้ัน ไม่ว่าจะถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ท่ีใช้ระบบปฏิบัติการ เป็น Unix หรือ Window NT ก็สามารถเรียกดูจากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการต่างจาก คอมพิวเตอร์ท่ีเป็นเคร่ืองแมข่ า่ ยได้ 3. The Web is Distributed ข้อามูลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีปริมาณมากจากทั่ว โลก และผู้ใช้จากทุกแห่งหนท่ีสามารถต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ตได้ ก็สามารถเรียกดู ข้อมูลได้ ตลอดเวลา ดังนน้ั ขอ้ มูลในระบบอินเทอร์เนต็ จึงสามารถเผยแพรไ่ ดร้ วดเรว็ และกวา้ งไกล ซอฟตแ์ วรเ์ ครือ่ งมอื สร้าง CAI การพัฒนา CAI on Web มีจุดเด่นกว่าการพัฒนา CAI ในรูปแบบปกติ ก็คือ โปรแกรมที่ นำมาใช้งานสามารถหาได้ฟรี หรือลงทุนไม่สูงมาก เม่ือเทียบกับการพัฒนาในรูปแบบปกติ เช่น โปรแกรมสร้างส่ือที่มีขาย ก็มีราคาสูงถึง 1 แสนบาทเป็นต้นไป โดยสามารถแบ่งประเภทของ โปรแกรมทน่ี ำมาใช้ในการพัฒนา CAI ได้ดงั นี้ 1. โปรแกรมสร้างงานกราฟิก มีท้ังที่ให้ดาวน์โหลดฟรี เชน่ Paint Shop หรือท่ีตอ้ งซื้อ มาใชง้ าน Adobe Photoshop , Corel Draw
2. โปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหว เช่น Xara3D , Cool3D , Adobe Premirer , SnagIT , 3D-Sudio Max 3. โปรแกรมสร้างสื่อ ได้แก่ ภาษา HTML, JavaScript, Java, PHP, ASP, Perl, HTML Generator การเลือกโปรแกรมในการพัฒนานี้ จะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญบาง ประการ ดังน้ี กลุ่มเป้าหมาย ถา้ กลุ่มเป้าหมายเป็นเดก็ จะต้องเน้นภาพกราฟิกเปน็ พเิ ศษ ดังนน้ั ควรเลือก โปรแกรมท่ีเนน้ สร้างภาพ 3 มิติ หรือภาพเคลือ่ นไหว ในขณะที่ถา้ กลมุ่ เป้าหมายเป็นนักศึกษา อาจจะ ต้องเน้นเน้อื หาเปน็ พเิ ศษ มสี ว่ นโต้ตอบและสามารถจำลองสถานการณต์ า่ งๆ ได้ ดังน้ัน โปรแกรมท่ีเลือกใช้ ก็ควรเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ระดบั สูง ลักษณะของส่ือเน่ืองจาก สื่อ CAI มหี ลายประเภท ดังน้ันการกำหนดประเภทของส่ือตัง้ แต่แรกจะช่วยใหส้ ามารถเลือกโปรแกรม ได้ถูกต้อง เช่น ถา้ ต้องการพฒั นาสอ่ื CAI ในลกั ษณะ “บทเรยี นทบทวน” ก็สามารถใช้โปรแกรมภาษา HTML สร้างสื่อได้เลย โดยไม่ต้องลงถึง Web Programming แต่ถา้ สื่ออยู่ในรูปของ “Testing” หรือ Simuator กจ็ ำเปน็ ตอ้ งศกึ ษา Java เพื่อนำ Java มาใชง้ าน เปน็ ตน้ เครื่องท่ีจะนำไปใช้งาน หากเคร่อื งท่ีจะนำไปใชง้ านมี Spec ต่ำอาจจะมีปัญหาได้ ตลอดถึง หากยงั ไม่มีการตอ่ ระบบอนเทอรเ์ น็ต กจ็ ะประสบปญั หาไดเ้ ช่นกัน ท้งั นี้มวี ิธีแกไ้ ขคอื สรา้ งสอ่ื CAI ท่ีมี สองลักษณะ ได้แก่ส่ือแบบ Full Multimedia และส่ือแบบปกติ เช่น ถ้ามีการสร้างภาพเคลื่อนไหว สือ่ แบบ Full Multimedia ก็อาจจะใช้ภาพเคล่ือนไหวแบบ AVI มานำเสนอ ในขณะท่ีสอื่ แบบปกติก็ อาจจะใช้ GIF animation มานำเสนอ ท้ังน้ีไม่ถือว่าเป็นการสร้างงานเพ่ิมข้ึน เพราะโปรแกรมท่ีใช้ สร้างภาพเคลื่อนไหว ตา่ งก็สามารถบันทึกไดท้ ง้ั ฟอร์แมต AVI และ GIF animation ระบบปฏิบัติการของเคร่ืองแม่ข่าย เนื่องจา ก CAI on Web จะต้องเผยแพร่เครื่องข่าย อนิ เทอรเ์ นต็ ซึ่งตอ้ งอาศัยเคร่ืองแม่ข่าย ดงั นนั้ กอ่ นท่ีจะเลือกโปรแกรมใดๆ มาใช้ในการสร้างส่ือ ควร จะต้องศึกษาถึงความเข้ากันได้ของโปรแกรม และระบบปฏิบัติการของเคร่ืองแม่ข่ายก่อน เช่น ถ้า ระบบปฏิบัติการของเครื่องแม่ข่ายเป็น Unix ควรเลือกภาษา PHP หรือ Perl ในการสร้างระบบ โต้ตอบกับผู้ใช้ และถ้าระบบปฏิบัติการเป็น Window Nt ก็สามารถเลือกใช้ ASP หรือ VB Script ได้ เปน็ ต้น โปรแกรมแสดงผล เช่นเดียวกับหัวข้อระบบปฏิบัติการของเครื่องแม่ข่าย ก่อนที่จะพัฒนา สื่อ เป็นภาษาที่ยังไม่ตาย คือ มีการพัฒนาคำสั่งใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ และโปรแกรมเบราเซอร์ก็มีการ พัฒนาการรูจ้ ักคำส่ัง HTML แตกต่างกนั ออกไป ก่อนท่ีพัฒนาสือ่ ควรประเมินก่อนว่าผู้เรยี นส่วนมากมี โปรแกรม เบราเซอร์ค่ายไหน รนุ่ ไหน ใช้งานมากท่ีสุด เพอ่ื ใหก้ ารแสดงผลบทเรยี นได้ผลลัพธ์ท่ีถกู ตอ้ งท่สี ุด การแสดงผลภาษาไทย เน่ืองจากภาษาไทย ยังเป็นปัญหาใหญ่ในการแสดงผลผ่านเว็บ ดงั น้นั ผพู้ ฒั นาส่ือจำเป็นต้องทราบเกย่ี วกับปญั หา และวธิ กี ารป้องกนั ก่อนทจ่ี ะเกิดปญั หา 2.2 เนือ้ หาวชิ า คอมพิวเตอร์ เร่อื ง การประยกุ ตใ์ ช้โปรแกรมสอื่ ประสม 2.2.1 ววิ ฒั นาการของสอ่ื ประสม
สื่อประสม (multimedia) เป็นสื่อสมัยใหม่ที่ใช้คอมพิวเตอร์นำเอาตัวหนังสือแสดง ข้อความ ภาพ และเสียง ซึ่งบันทึกไว้ในรูปของข้อมูลดิจิทัลมาแสดงผลแปลงเป็นตัวหนังสือแสดง ข้อความ ภาพและเสียงทางจอภาพและลำโพงผสมผสานกัน รวมทั้งควบคุมการแสดงผลของส่ือ เหล่านั้น โดยโปรแกรมการส่ังงานคอมพิวเตอร์ ทำให้ส่ือเหล่าน้ันมีลักษณะพิเศษขึ้น มีพลังในการ สื่อสารอยา่ งมีชีวติ ชีวามากกว่าสือ่ ท่เี กิดจากการใช้อุปกรณ์อ่ืนๆ คำว่า “ สอ่ื ประสม ” อาจมีความหมายพื้นๆ เพียงการแสดงผลของข้อความภาพและเสียงพร้อมๆ กันในลักษณะใดลักษณะหน่ึง เช่น สื่อโทรทัศน์ ภาพยนตร์ สไลด์ประกอบเสียง หรือการใช้วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ในการสาธิตหรือการสอน แต่สื่อเหล่าน้ีอาจใช้คำเฉพาะอ่ืนๆ ท่ีสามารถอธิบาย ความหมายได้ชัดเจนมากกว่าคำว่า ส่ือประสม จึงใช้เพ่ือหมายความถึงส่ือท่ีมีลักษณะพิเศษซ่ึงมัก เก่ยี วขอ้ งกบั อุปกรณค์ อมพิวเตอร์ ดงั ทีอ่ ธิบายขา้ งตน้ ในสมัยก่อน มนุษย์ใช้ส่ือที่เป็นภาพและตวั อักษรในการบันทึกเพ่ือถ่ายทอดเรอื่ งราวต่างๆ โดยการสลักภาพและอักษรลงบนแผ่นหิน หรือขีดเขียนลงบนวัสดุชนิดอ่ืนที่มีความแข็งแรง และใน ระยะต่อมาได้มีการวาดหรือเขียนลงบนกระดาษ ตัวย่าง เช่น ในสังคมไทยมีการบันทึกความรู้และ เหตุการณ์ต่างๆ โดยการจารกึ ลงบนใบลาน หรอื กระดาษ เปน็ ต้น การพมิ พ์ และหนังสือเปน็ ส่ือที่เกิดขน้ึ ในยุโรปในกลางคริสตศ์ ตวรรษที่ ๑๕ และเป็นส่ือทท่ี ำใหค้ วามรู้ หรือการศึกษาแพร่ขยายออกไป เป็นการเรม่ิ ต้นการเปลี่ยนแปลง และก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์อยา่ งรวดเร็วในอีก ๓๐๐ ปตี ่อมา ใน ค . ศ . ๑๘๗๗ ทอมัส แอลวา เอดีสัน (Thomas Alva Edison; ค . ศ . ๑๘๔๗ – ๑๙๓๑๗ ) นักประดษิ ฐ์ชาวอเมริกา ได้ประดษิ ฐ์ระบบบันทึกเสยี งข้ึน ซง่ึ เป็นการบันทึกเสียงเก็บไว้ได้ เป็นครง้ั แรกตอ่ มาใน ค . ศ . ๑๘๘๘ จอร์จ อสี ต์แมน(George Eastman ; ค . ศ . ๑๘๕๔ – ๑๙๓๒ ) นกั ประดษิ ฐ์ ชาวอเมรกิ นั ได้ประดษิ ฐอ์ ปุ กรณ์ทส่ี ามารถบนั ทกึ ภาพโดยใช้แสง ประดิษฐก์ รรมทงั้ ๒ อย่าง ทำให้เกิดส่ือประเภทเสียงข้ึนและมีรปู แบบใหม่ในการบันทึกภาพ นอกเหนือจากการวาด เขียน และ พมิ พล์ งบนกระดาษ การบันทึกภาพด้วยกล้องถ่ายรูปได้พัฒนาไปสู่การถ่ายภาพเคล่ือนไหว จึงทำให้ การบันทึกและถ่ายทอดเรื่องราวแม่นยำตรงกับความจริง และน่าสนใจย่ิงขึ้น และนี่คือท่ีมาของสื่อ ประเภทภาพยนตร์ ซ่งึ ไดแ้ พร่หลายไปท่ัวโลก เม่ือเร่มิ ต้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๒๐ ระยะเวลาต่อมา ประมาณครึง่ หลงั ของครสิ ต์ศตวรรษที่ ๒๐ มนุษย์กค็ ้นพบประดิษฐ์กรรม คอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยีดิจิทัลได้ประปฏิวัตกิ ารสือ่ สารของมนุษยค์ ร้ังสำคัญ โดยการนำเขา้ สู่ระบบส่ือ ประสม กล่าวคอื แทนทจ่ี ะใช้คอมพวิ เตอร์เฉพาะการพมิ พใ์ นงานดา้ นการจัดเก็บข้อมูลและการบริการ ธุรกิจตา่ งๆ ก็ สามารถนำมาใช้แระโยชนใ์ นด้านการสอ่ื สารได้หลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น รปู แบบของส่อื ประสม 1. สื่อประสมที่ไม่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ (Multimedia) การนำส่ือหลายชนิดมา ผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นตัวจัดการ และควบคุมให้ส่ือต่างๆ แสดงผล ออกมาทางหน้าจอและลำโพงของคอมพิวเตอร์
สือ่ ประสม I ( Multimedia I ) เป็นส่ือประสมทใี่ ช้โดยการนำสื่อหลายประเภท มาใช้ร่วมกันใน การเรียนการสอน เช่น นำวีดิทัศน์ มาสอนประกอบการบรรยายของผู้สอน โดยมีส่ือส่ิงพิมพ์ ประกอบด้วย หรือสื่อประสมในชดุ การเรียน หรือชุดการสอน การใช้สอื่ ประสม I น้ี ผู้เรียนและส่อื จะ ไม่มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกัน และจะมีลักษณะเป็น \" ส่ือหลายแบบ \" ตาม ศัพท์บัญญัติของ ราชบัณฑติ ยสถาน 2. ส่ือประสมที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ (Interactivity Multimedia) กล่าวคือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถจัดการกับข้อมูลภาพและเสียง ให้แสดงผลบนจอในลักษณะท่ีโต้ตอบ กับผู้ใช้ได้ ไม่ใช่การแสดงผลรวดเดียวจบ (run through) แบบวีดิทัศน์ หรือภาพยนตร์และไม่ใช่การ สื่อสารทางเดียว (one-way communication) คือ ผชู้ มเป็นผู้ดูฝา่ ยเดียวอีกต่อไป สื่อประสม II( Multimedia II ) เป็นส่ือประสมท่ีใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการ เสนอสารสนเทศ หรือการผลิตเพ่ือเสนอขอ้ มูลประเภทตา่ ง ๆ เช่น ภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว ตัวอักษร และเสียง ในลักษณะของส่ือหลายมิติ โดยท่ีผู้ใช้มีการโต้ตอบกับส่ือโดยตรง โดยการใช้คอมพิวเทอร์ ในสื่อประสม II ใชไ้ ด้ในสองลกั ษณะ คือ 2.1 การใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการเสนอสารสนเทศโดยการควบคุมอุปกรณ์ ร่วมต่าง ๆ ในการทำงาน เช่น ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ในสถานีงานสื่อประสม ควบคุมการ เสนอภาพสไลด์มัลติวิช่ัน และการเสนอในรูปแบบของแผ่นวีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) การใช้ในลักษณะนี้คอมพิวเตอรจ์ ะเป็นตัวกลางในการควบคุมการทำงานของเคร่ืองเล่นแผ่นวีดทิ ัศน์ และเครื่องเล่นซีดีรอม ให้เสนอภาพน่ิง และภาพเคล่ือนไหวตามเน้ือหาบทเรียนที่เป็นตัวอักษรที่ ปรากฏอยู่บนจอภาพคอมพิวเตอร์ รวมถึงควบคุมเครื่องพิมพ์ในการพิมพ์ข้อมูลต่าง ๆ ของบทเรียน และผลการเรียนของผเู้ รียนแตล่ ะคนดว้ ย 2.2 การใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการผลิตแฟ้มส่ือประสมโดยการใช้โปรแกรม สำเร็จรูปตา่ ง ๆ เช่น Tool Book และ Author ware และนำเสนอแฟ้มบทเรียนทีผ่ ลิตแล้วแก่ผู้เรียน โปรแกรมสำเรจ็ รปู เหลา่ น้ีจะช่วยในการผลิตแฟ้มบทเรียน ฝึกอบรม หรือการเสนองานในลักษณะของ ส่ือหลายมิติ โดยในแต่ละบทเรียนจะมีเน้ือหาในลักษณะของตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพกราฟิก เคลื่อนไหว ภาพเคล่ือนไหวแบบวีดิทัศน์และเสียงรวมอยู่ในแฟ้มเดียวกัน บทเรียนท่ีผลิตเหล่านี้ เรยี กว่า \" บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน \" หรอื \"CAI\" น่ันเอง การนำเสนอข้อมูลของส่ือประสม II นี้ จะเป็นไปในลักษณะส่ือหลายมิติท่ีเน้นเชิง โต้ตอบ ซ่ึงช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลบนจอภาพได้หลายลักษณะ คือ ท้ังตัวอักษร ภาพ และเสียง และถ้าต้องการจะทราบข้อมลู มากกว่านี้ ผ้ใู ช้กเ็ พียงแต่คลิกท่ีคำหรอื สัญลักษณ์รูปท่ีทำเป็นปุ่มในการ เชือ่ มโยงก็จะมภี าพ เสียง หรอื ข้อความอธิบายปรากฏข้ึนมา 3. ประสมสื่อที่เป็นวัสดุ อุปกรณ์และกระบวนการเข้าร่วมกัน นำมาใช้สำหรับการ เรียนการสอนปกติท่ัว ๆ ไปเช่น ชดุ อุปกรณ์ ชุดการเรียนการสอน บทเรยี นแบบโปรแกรม โปรแกรม สไลด์ ศูนย์การเรียน เป็นต้น สื่อประสมแต่ละชนิดท่ีจัดอยู่ในประเภทนี้มีหลักการและลักษณะเด่น แตกต่างกนั ออกไป คอื
3.1 สามารถให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ด้วยตนเอง คือ มีส่วนร่วมในการ กระทำหรอื ปฏิบัตกิ ิจกรรมเป็นการเรา้ ใจแก่ผู้เรียน เชน่ ศูนยก์ ารเรียน บทเรยี นโปรแกรม ชดุ อุปกรณ์ เป็นต้น 3.2 สามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความรู้ความสามารถ และความแตกต่าง ของแตล่ ะบคุ คล เชน่ บทเรยี นโปรแกรม ชดุ การสอน เป็นตน้ 3.3 สามารถให้ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองหรือใช้เมื่อขาดครูได้ เช่น บทเรียน แบบโปรแกรม ชดุ การสอนรายบุคคล เป็นต้น 3.4 สามารถใหผ้ ู้เรยี นได้รับผลตอบกลับทันที และได้รับความรู้สกึ ภาคภูมิใจ ในความสำเรจ็ เช่น ศูนยก์ ารเรียน การสอนแบบจลุ ภาค เป็นตน้ 3.5 สามารถใช้ประกอบการศึกษาทางไกลให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ชุดการสอนทางไกลสำหรับการศกึ ษาเพ่ือมวลชน เปน็ ตน้ 3.6 สามารถใช้ส่งเสริมสมรรถภาพของครู เช่น ชุดการสอนประกอบคำ บรรยาย เป็นตน้ 3.7 สามารถให้ผู้เรียนได้ฝึกความรับผิดชอบและการทำงานเป็นกลุ่ม เช่น ศนู ยก์ ารเรียน กลุ่มสมั พนั ธ์ เป็นต้น 4. ประสมสื่อประเภทฉาย เป็นการประสมโดยมีข้อจำกัดที่ความสามารถและ คุณสมบัติเฉพาะตัวของอุปกรณ์เครอ่ื งฉายเป็นสำคัญ เช่น สไลด์ประกอบเสียงและวีดิทัศน์ประกอบ เสยี ง สไลด์และแผน่ โปรง่ ใส วีดโิ ออมิ เมจ เป็นต้น และฉายบนจอตั้งแต่ 2 จอข้ึนไป เปน็ การใชฉ้ ายกับ ผชู้ มเปน็ กลุม่ ส่ือประสมประเภทฉายนี้ สามารถใชป้ ระกอบการศึกษาและการเรียนการสอนโดยเฉพาะ สำหรบั ผ้เู รียนที่ชอบการเรยี นรูจ้ ากการอ่านภาพ การเสนอด้วยสื่อประเภทฉายนแี้ มว้ า่ ในบางครัง้ ราคา การผลิตอาจจะสูงและการผลิตซบั ซ้อนกวา่ การผลิตสือ่ ประสมบางชนิดในประเภทแรก แต่ผลท่ีได้รับ จากการเสนอด้วยส่ือประสมประเภทฉายให้ผลตรงทม่ี ีคุณสมบัตเิ ฉพาะตวั ท่สี ่ืออ่ืนไม่สามารถทำได้คือ ผลในความรู้สึกอารมณแ์ ละสุนทรียภาพแก่ผ้ชู ม ท้ังยงั ช่วยดึงดดู ความสนใจใหผ้ ู้ชมได้ติดตามอย่างตื่น ตาต่นื ใจและมีประสิทธิภาพเป็นการช่วยในการเรยี นการสอน สอ่ื ประสมประเภทน้ีมีคุณสมบัติเหมาะ แกก่ ารนำมาใช้ในการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ 4.1 ใช้เมื่อเสื่อมีการเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกัน เป็นการง่ายสำหรับ ผ้เู รียน ในการสังเกตและเรียนรู้สิ่งท่ีคล้ายคลึงกันจากส่ือต่าง ๆ เมื่อภาพของสิ่งนั้น ๆ ปรากฏบนจอ พร้อมกนั 4.2 ใช้สอนให้เห็นความแตกต่าง และการตัดกันเม่ือภาพหลาย ๆ ภาพ ปรากฏพรอ้ มๆ กัน 4.3 ใช้มองส่งิ หนึ่งส่งิ ใดจากมมุ ท่ตี ่างกัน เช่น ภาพสถานท่ีหรืออาคารสถานท่ี โดยภาพปรากฏพร้อมกนั จากการมองในแง่มุมท่ีตา่ งกัน 4.4 ใช้แสดงภาพซ่ึงดำเนินเป็นข้ันตอน และสามารถเลียนแบบการ เคลอื่ นไหวได้
4.5 ใช้แสดงส่ิงท่ีเกิดข้ึนตามลำดับก่อนหลัง เกิดความต่อเน่ืองที่ดีมี ความสัมพันธ์กันระหวา่ งภาพและเวลา ประกอบกับการจัดภาพและจอให้มีขนาดต่างกันเป็นการง่าย ตอ่ การจดจำ 4.6 ใช้เน้นจุดใดจุดหนึ่งโดยตรงได้ โดยการกำหนดจุดสนใจที่ต้องการให้อยู่ ในตำแหนง่ และรูปแบบทต่ี า่ งกนั หรืออาจทำโดยการใช้ภาพทซี่ ำ้ ๆ กับปรากฏบนจอพรอ้ ม ๆ กนั 4.7 ใช้ยืดเวลาการเสนอจุดหรอื ส่วนท่ีสำคัญของเนื้อหา เช่น บางคร้ังภาพท่ี สำคญั สามารถปรากฏอยูบ่ นจอตอ่ ไปขณะที่รายละเอียดหรอื ส่วนท่เี กี่ยวขอ้ งไดเ้ ปล่ียนไปในจอถดั ไป 4.8 ใช้แสดงการเคลื่อนไหว โดยใช้หลักการฉายภาพนิ่งหลาย ๆ ภาพ ต่อเน่อื งกันอยา่ งรวดเร็วหรือใชค้ วามสามารถของวีดิทศั น์ 4.9 ใชร้ วมส่ือภาพนิ่ง สไลด์ และวดี ทิ ศั น์ ในขณะทีแ่ สดงภาพนง่ิ อาจจะมีการ ฉายวีดิทศั น์ประกอบบนจอถดั ไป 4.10 ใชแ้ สดงภาพทเี่ หน็ ไดก้ ว้าง (Panorama) บนจอท่ตี ิดกนั 4.11 ลักษณะพิเศษประการสุดท้ายที่เด่นของสื่อประสมประเภทนี้ คือ สามารถแสดงเน้ือหาได้มากในระยะเวลาท่ีจำกัด ลกั ษณะพิเศษนี้ผู้สอนอาจใช้สื่อประสมนี้ในการทำ เปน็ บทนำหรอื บทสรปุ ได้ 5. ส่ือประสมระบบการสื่อสารกับเทคโนโลยีสารสนเทศโดยการใช้คอมพิวเตอร์ รว่ มกบั อุปกรณอ์ ืน่ เช่น เคร่ืองเล่นซีดี - รอม เคร่ืองเสยี งระบบดิจติ อล เครื่องเล่นแผ่นวีดิทศั น์ เป็นต้น เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานคำนวณค้นหาข้อมูล แสดงภาพวีดิทัศน์และมีเสียงต่าง ๆ การ ทำงานของส่ือหลาย ๆ อย่างในส่ือประสมประกอบด้วยการทำงานของระบบเสียง (Sound) ภาพ เคล่ือนไหว (Animation) ภาพ น่ิง (Still Images) วีดิทัศน์ (Video) และไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext) ซ่ึงข้อมูลท่ีใช้ในไฮเปอร์เท็กซ์จะแสดงเนื้อหาหลักของเรื่องราวท่ีกำลังอ่านขณะนั้นโดย เน้นเน้ือหา ถ้าคำใดสามารถเช่ือมจากจุดหน่ึงในเน้ือหาไปยังเนื้อหาอ่ืนได้ก็จะทำเป็นตัวหนาหรือขีด เสน้ ใต้ไว้ เม่ือผู้ใช้หรือผู้อ่านต้องการจะดูเนื้อหาก็สามารถใช้เมาส์คลิกไปยังข้อมูลหรอื คำเหล่าน้ันเพ่ือ เรียกมาดูรายละเอยี ดของเนอื้ หาได้ ส่ือประสมในลักษณะน้ีนับว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ กำลังได้รับความสนใจอย่าง กวา้ งขวาง เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการแสดงข้อมูลได้หลากหลาย รูปแบบ ดังน้ัน สื่อประสมจะต้องมีคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่ง คือ ความสามารถในการโต้ตอบ (Interactivity) อุปกรณ์ท่ตี อบสนองความสามารถนไี้ ด้คอื คอมพิวเตอรน์ ่นั เอง องคป์ ระกอบของสอ่ื ประสม จากความหมายของส่ือประสมที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า สื่อประสมในปัจจุบันจะใช้ คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการเสนอสารสนเทศในรูปแบบรวมของข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพกราฟิกเคล่ือนไหว และภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ เพื่อรวมเป็นองคป์ ระกอบของส่อื ประสมใน ลักษณะของ \" สื่อหลายมิติ \" โดยก่อนที่จะมีการประมวลเป็นสารสนเทศนั้น ข้อมูลเหล่าน้ีจะต้อง ไดร้ ับการปรบั รปู แบบโดยแบง่ เปน็ ลักษณะดังน้ี
1. ภาพน่ิง ก่อนที่ภาพถ่าย ภาพวาด หรือภาพต่าง ๆ ท่ีเป็นภาพนิ่งจะเสนอบน จอคอมพิวเทอร์ให้แลดูสวยงามได้น้ัน ภาพเหล่านี้จะต้องถูกเปลี่ยนรูปแบบก่อนเพ่ือให้คอมพิวเตอร์ สามารถใชแ้ ละเสนอภาพเหลา่ น้ันได้ โดยมรี ปู แบบที่นิยมใช้กนั มาก 4 รูปแบบ คอื - ภาพบิตแมพ (Bitmap) เป็นภาพท่ีมกี ารเก็บข้อมูลแบบพิกเซล หรือจุดเล็กๆ ที่แสดงค่าสี ดังนั้นภาพหนึ่งๆ จึงเกิดจากจุดเล็กๆ หลายๆ จุดประกอบกัน ( คล้ายๆ กับการปัก ผ้าครอสติก ) ทำให้รูปภาพแต่ละรูป เก็บข้อมูลจำนวนมาก เม่ือจะนำมาใช้ จึงมีเทคนิคการบีบอัด ขอ้ มูล ฟอร์แมตของภาพบิตแมพ ท่ีรู้จกั กันดี ไดแ้ ก่ .BMP, .PCX, .GIF, .JPG, .TIF - ภาพเวกเตอร์ (Vector) เป็นภาพทีส่ ร้างดว้ ยส่วนประกอบของเส้นลักษณะต่างๆ และ คุณสมบัติเก่ียวกับสีของเส้นน้ันๆ ซึ่งสร้างจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เชน่ ภาพของคน ก็จะถูก สร้างด้วยจุดของเส้นหลายๆ จุด เป็นลักษณะของโครงร่าง (Outline) และสีของคนก็เกิดจากสีของ เส้นโครงร่างนนั้ ๆ กบั พืน้ ทผ่ี ิวภายในนั่นเอง เม่ือมกี ารแกไ้ ขภาพ ก็จะเปน็ การแก้ไขคุณสมบัติของเส้น ทำให้ภาพไม่สูญเสียความละเอียด เม่ือมีการขยายภาพนั่นเอง ภาพแบบ Vector ที่หลายๆ ท่าน คนุ้ เคยก็คือ ภาพ .wmf ซึ่งเป็น clipart ของ Microsoft Office นั่นเอง นอกจากนค้ี ณุ จะสามารถพบ ภาพฟอรแ์ มตน้ีได้กบั ภาพในโปรแกรม Adobe Illustrator หรือ Macromedia Freehand - คลิปอาร์ต (Clipart) เป็นรูปแบบของการจัดเก็บภาพ จำนวนมากๆ ในลักษณะของ ตารางภาพ หรอื หอ้ งสมุดภาพ หรอื คลงั ภาพ เพ่อื ให้เรยี กใช้ สืบค้น ได้งา่ ย สะดวก และรวดเร็ว - HyperPicture มักจะเป็นภาพชนิดพิเศษ ท่ีพบได้บนส่ือมัลติมีเดีย มีความสามารถ เชื่อมโยงไปยังเน้ือหา หรือรายละเอียดอ่ืนๆ มีการกระทำ เช่น คลิก (Click) หรือเอาเมาส์มาวางไว้ เหนือตำแหน่งทร่ี ะบุ (Over) สำหรับการจัดหาภาพ หรือเตรียมภาพ ก็มีหลายวิธี เช่น การสร้างภาพเอง ด้วยโปรแกรม สร้างภาพ เช่น Adobe Photoshop, PhotoImpact, CorelDraw หรือการนำภาพจากอุปกรณ์ เช่น กลอ้ งถ่ายภาพดิจิทัล , กล้องวดิ ีโอดจิ ทิ ัล หรอื สแกนเนอร์ 2. ภาพเคลื่อนไหว ภาพเคลื่อนไหว ท่ีใช้ในส่ือประสมจะหมายถึง ภาพ กราฟิก เคล่ือนไหว หรือที่เรียกกันว่าภาพ \" แอนิเมชัน \" (animation) ซึ่งนำภาพกราฟิกท่ีวาดหรือถ่ายเป็น ภาพนง่ิ ไว้มาสร้างให้แลดเู คล่อื นไหว ด้วยโปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหว ภาพเหล่านจ้ี ะเปน็ ประโยชน์ ในการจำลองสถานการณ์จริง เช่น ภาพการขับเครื่องบิน นอกจากนี้ยังอาจใช้การเพิ่มผลพิเศษ เช่น การหลอมภาพ (morphing) ซ่ึงเป็นเทคนิคการทำให้เคลื่อนไหวโดยใช้ \" การเติมช่องว่าง \" ระหว่าง ภาพที่ไม่เหมอื นกัน เพ่ือที่ให้ดูเหมือนวา่ ภาพหนงึ่ ถกู หลอมละลายไปเปน็ อีกภาพหน่ึง โดยมีการแสดง การหลอมของภาพหนึ่งไปสู่อกี ภาพหนึง่ ใหด้ ดู ว้ ย 3. ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ การบรรจุภาพเคล่ือนไหวแบบวีดิทัศน์ลงใน คอมพิวเตอร์จำเป็นต้องใช้โปรแกรมและอุปกรณ์เฉพาะในการจดั ทำ ปกติแล้วแฟ้มภาพวีดิทัศน์จะมี ขนาดเน้ือท่ีบรรจุใหญ่มาก ดังน้ัน จึงต้องลดขนาดแฟ้มภาพลงด้วยการใช้เทคนิคการบีบอัดภาพ (compression) ด้วยการลดพารามิเตอร์ บางส่วนของสัญญาณในขณะท่ีคงเน้ือหาสำคัญไว้ รูปแบบ ของภาพวดี ิทศั น์บีบอดั ท่ใี ชก้ ันท่ัวไปไดแ้ ก่ QuickTime, AVI, และ G
4. เสียง เสียงท่ีใช้ในส่ือประสมจำเป็นต้องบันทึกและจัดรูปแบบเฉพาะเพ่ือให้คอมพิวเตอร์ สามารถเขา้ ใจและใช้ได้ รปู แบบเสยี งท่นี ิยมใชก้ ันมากจะมอี ยู่ 2 รูปแบบ คือ Waveform (WAV) และ Musical Instrument Digital Interface (MIDI) แฟ้มเสียง WAV จะบนั ทึกเสยี งจรงิ ดังเช่นเสียงเพลง ในแผ่นซีดีและจะเป็นแฟ้มขนาดใหญ่จึงจำเป็นต้องได้รับการบีบอัดก่อนนำไปใช้แฟ้มเสียง MIDI จะ เป็นการสังเคราะห์เสียงเพื่อสร้างเสยี งใหม่ขนึ้ มาจึงทำให้แฟ้มมีขนาดเล็กกว่าแฟ้ม WAV แต่คุณภาพ เสยี งจะด้อยกว่า ลักษณะของเสียง ประกอบด้วย คล่ืนเสียงแบบออดิโอ (Audio) ซ่ึงมีฟอร์แมตเป็น .wav, .au การบันทึกจะบนั ทึกตามลกู คล่ืนเสยี ง โดยมีการแปลงสัญญาณใหเ้ ป็นดจิ ิทัล และใชเ้ ทคโนโลยกี าร บบี อัดเสยี งให้เล็กลง ( ซ่ึงคณุ ภาพก็ตำ่ ลงด้วย ) เสียง CD เปน็ รูปแบบการบันทกึ ที่มีคุณภาพสงู ไดแ้ ก่ เสยี งที่บันทึกลงในแผ่น CD เพลงต่างๆ MIDI (Musical Instrument Digital Interface) เป็นรูปแบบ ของเสียงท่ีแทนเครือ่ งดนตรีชนิดต่างๆ สามารถเก็บข้อมูล และให้วงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์ สร้างเสียงตาม ตวั โน้ต เสมือนการเล่นของเคร่ืองเล่นดนตรีนน้ั ๆ เสียงท่ีทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นสัญญาณดิจิทัล มี 2 รปู แบบคือ - Synthesize Sound เป็นเสียงท่ีเกิดจากตัววิเคราะห์เสียง ท่ีเรียกว่า MIDI โดยเม่ือตัว โน้ตทำงาน คำสั่ง MIDI จะถูกสง่ ไปยัง Synthesize Chip เพ่ือทำการแยกสียงว่าเป็นเสียงดนตรีชนิด ใด ขนาดไฟล์ MIDI จะมขี นาดเล็ก เนื่องจากเก็บคำสง่ั ในรปู แบบง่ายๆ - Sound Data เป็นเสียงจากที่มีการแปลงจากสัญญาณ analog เป็นสัญญาณ digital โดยจะมีการบันทึกตัวอย่างคล่ืน (Sample) ให้อยู่ที่ใดท่ีหน่ึงในช่วงของเสียงน้ันๆ และการบันทึก ตัวอย่างคลื่นเรียงกันเป็นจำนวนมาก เพื่อให้มีคุณภาพที่ดี ก็จะทำให้ขนาดของไฟล์โตตามไปด้วย Sample Rate จะแทนด้วย kHz ใช้อธิบายคุณภาพของเสียง อัตรามาตรฐานของ sample rate เท่ากับ 11kHz, 22kHz, 44kHz Sample Size แทนค่าด้วย bits คือ 8 และ 16 บิท ใช้อธิบาย จำนวนของข้อมูลที่ใช้จัดเก็บในคอมพิวเตอร์ คุณภาพเสียงท่ีดีที่สุด ได้แก่ Audio-CD ท่ีเท่ากับ 44kHz ระบบ 16 บิท เป็นตน้ ฟอรแ์ มตในการจัดเก็บ (File Format) มีหลากหลายรูปแบบ โดยมีส่วนขยาย ( นามสกุล ) ทเี่ ปน็ มาตรฐานในการระบุ ไดแ้ ก่ 5. การเช่ือมโยงหลายมิติ ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการใช้งานในรูปแบบสื่อประสมใน ลกั ษณะของสือ่ หลายมิติ คอื ขอ้ มูลต่างๆ สามารถเชอ่ื มโยงกนั ได้อยา่ งรวดเรว็ โดยใชจ้ ดุ เชอ่ื มโยงหลาย มติ ิ (hyperlink) การเชอื่ มโยงนีจ้ ะสร้างการเช่ือมต่อระหว่างขอ้ มูลตัวอักษรภาพ และเสยี งโดยการใช้ สี ข้อความขีดเส้นใต้ หรือสัญลักษณ์รูป ที่ใช้แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น รูปลำโพง รูปฟิล์ม ฯลฯ เพือ่ ให้ผู้ใช้คลิกทจี่ ดุ เชื่อมโยงเหล่านัน้ ไปยังข้อมูลที่ต้องการ 6. ข้อความ (Text) เป็นส่วนที่เกี่ยวกับเน้ือหาของมัลติมีเดีย ใช้แสดงรายละเอียด หรือ เน้อื หาของเรอื่ งที่นำเสนอ ซ่งึ ปจั จบุ นั มีหลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ - ข้อความที่ได้จากการพิมพ์ เป็นข้อความปกติที่พบได้ท่ัวไป ได้จากการพิมพ์ด้วย โปรแกรมประมวลผลงาน (Word Processor) เช่น Notepad, Text Editor, Microsoft Word โดย ตวั อกั ษรแต่ละตวั เก็บในรหัส เชน่ ASCII
- ข้อความจากการสแกน เป็นข้อความในลักษณะภาพ หรือ Image ได้จากการนำ เอกสารท่ีพิมพ์ไว้แล้ว ( เอกสารต้นฉบับ ) มาทำการสแกน ด้วยเคร่ืองสแกนเนอร์ (Scanner) ซึ่งจะ ไดผ้ ลออกมาเปน็ ภาพ (Image) 1 ภาพ ปจั จุบันสามารถแปลงข้อความภาพ เป็นขอ้ ความปกติได้ โดย อาศัยโปรแกรม OCR - ข้อความอิเล็กทรอนกิ ส์ เป็นขอ้ ความทพ่ี ฒั นาให้อยู่ในรปู ของสื่อ ที่ใช้ประมวลผลได้ - ข้อความไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext) เป็นรปู แบบของข้อความ ที่ได้รับความนิยมสูง มาก ในปัจจบุ นั โดยเฉพาะการเผยแพรเ่ อกสารในรูปของเอกสารเว็บ เน่ืองจากสามารถใชเ้ ทคนิค การ ลงิ ค์ หรอื เชอื่ มข้อความ ไปยังข้อความ หรือจุดอ่ืนๆ ได้ เมื่อมีการนำข้อมูลต่าง ๆ มารวบรวมสร้างเป็นแฟ้มข้อมูลด้วยโปรแกรมสร้างส่ือประสม แล้ว การที่จะนำองค์ประกอบต่าง ๆ มาใช้งานได้น้ันจำเป็นต้องใช้ส่วนต่อประสาน (interface) เพ่อื ใหผ้ ู้ใช้สามารถใช้งานโตต้ อบกับขอ้ มูลสารสนเทศเหล่าน้นั ได้ ส่วนต่อประสานที่ปรากฏบนจอภาพ จะมมี ากมายหลายรูปแบบ อาทิเช่น รายการเลือกแบบผดุ ขึน้ (pop - up menus) แถบเล่ือน (scroll bars) และสัญลักษณร์ ปู ต่าง ๆ เป็นต้น สอื่ ประสมในการศกึ ษา การใช้ส่อื ประสมในการศึกษาจะช่วยเพมิ่ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนการ สอนได้อย่างมาก โดยใช้ในลักษณะของการสอนใชค้ อมพิวเตอร์ (CAI) รูปแบบต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ ลำลอง เกม การทบทวน ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ผลิตบทเรียนลงแผ่นซีดีออกจำหน่ายมากมายหรือ ผสู้ อนจะจัดทำบทเรยี นเองได้โดยใชโ้ ปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ช่วยในการจัดทำ ตัวอยา่ ง เชน่ วงการ แพทย์สามารถใช้สถานการณ์จำลองของการผ่าตดั โดยใช้สื่อประสมเพ่ือให้ผ้เู รียนทำการผ่าตดั กับคนไข้ เสมือนจรงิ หรือด้านวศิ วกรรมศาสตร์ใช้สอื่ ประสมของการออกแบบวงจรไฟฟ้า เพ่ือใหผ้ ู้เรียนฝึกการ ออกแบบ ทดสอบ และใช้วงจรน้นั ได้ หรือแมแ้ ต่เดก็ นักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาก็สามารถใช้สื่อ ประสมในการเสนอเรยี งความแก่ครูผู้สอนและเพื่อนรว่ มในชั้นไดเ้ ช่นกนั การใช้สอื่ ประสมในการศกึ ษา จะมปี ระโยชน์มากมายหลายด้าน อาทิ เชน่ 1. ดึงดูดความสนใจ บทเรียนส่ือประสมในลักษณะส่อื หลายมิตทิ ่ีประกอบด้วยภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ และเสียง นอกเหนือไปจากเนื้อหาตัวอักษร จะดึงดูดความสนใจของ ผู้เรียนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และช่วยในการสื่อสารระหว่างผ้สู อนและผเู้ รยี นดว้ ย 2. การสืบคน้ เชอ่ื มโยงฉบั ไว ดว้ ยสมรรถนะของการเช่ือมโยงหลายมติ ทิ ำให้ผเู้ รยี นสามารถ เรยี นรูใ้ นส่งิ ตา่ ง ๆ ไดก้ วา้ งขวางและหลากหลายไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดยไม่จำเปน็ เรียนไปตามลำดบั เน้ือหา 3. การโต้ตอบระหว่างส่ือและผู้เรียน บทเรียนส่ือประสมจะมีจุดเชื่อมโยงหลายมิติเพ่ือให้ ผู้เรียนและสื่อมีปฏิสมั พันธ์กันได้ในลักษณะสอ่ื ประสมเชิงโตต้ อบ 4. ให้สารสนเทศหลากหลาย ด้วยการใช้ซีดีและดีวีดีในการให้ข้อมูลและสารสนเทศใน ปรมิ าณทีม่ ากมายและหลากหลายรูปแบบเก่ยี วกับเนื้อหาบทเรียนที่สอน 5. ทดสอบความเข้าใจ ผู้เรียนบางคนอาจจะไม่กล้าถามข้อสงสัยหรือตอบคำถามใน ห้องเรยี น การใชส้ ่ือประสมจะช่วยแกป้ ญั หาในสง่ิ นไี้ ด้โดยการใช้ในลักษณะการศึกษารายบุคคล
6. สนับสนุนความคิดรวบยอด สื่อประสมสามารถแสดงสารสนเทศเพื่อสนับสนนุ ความคิด รวบยอดของผู้เรยี น โดยการเสนอสง่ิ ทีใ่ ห้ตรวจสอบย้อนหลงั และแก้ไขจดุ อ่อนในการเรียน เราสามารถ ใช้สอ่ื ประสมเพ่ือการศึกษาได้ในลกั ษณะตา่ ง ๆ อาทเิ ช่น การปรบั เข้าหาผู้เรยี น ถึงแม้วา่ การใชค้ อมพิวเตอร์ในลกั ษณะสอื่ ประสมจะเป็นส่งิ ทด่ี ีและมี ประโยชน์ในการศึกษามากมายเพียงใดก็ตาม แต่เป็นส่ิงที่แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์จะไม่มีวันแทน หอ้ งเรยี นได้ ทั้งน้เี นอื่ งจากการเรยี นในห้องเรยี นนน้ั เป็นการเรยี นทผ่ี เู้ รยี นจะต้องปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับ บุคคลอ่ืน ๆ อีกมากมายซ่ึงการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ไม่มีวันจะทำเช่นนั้นได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ คอมพิวเตอร์ในการศึกษาจะเป็นการเพิ่มประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลของการเรียนในห้องเรียนปกติ ได้เป็นอยา่ งมาก คอมพิวเตอร์เป็นเสมือนครูผู้สอนตัวต่อตัวให้แก่ผู้เรียนแต่ละคน โดยไม่มีการจำกัด ว่าผู้เรยี นนน้ั จะตอ้ งกระทำในสงิ่ ทีเ่ หมือนกัน ในเวลาเดยี วกัน หรอื ดว้ ยความเรว็ ท่เี ท่า ๆ กัน กบั ผเู้ รียน คนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ด้วยการใช้บทเรียนการสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย บุญญาภรณ์สามารถเรียน คณิตศาสตร์เรอื่ งนี้ใหเ้ ข้าใจได้ในเวลาเพยี ง 15 นาที ในขณะทเี่ พื่อนร่วมห้องคนอ่ืนตอ้ งใชเ้ วลาถึง 40 นาที ดงั นั้น เธอจึงสามารถเรียนได้ถึง 2 เร่ืองและยังมีเวลาเหลือเพ่ือทำอยา่ งอ่ืนไดอ้ ีก นอกจากนี้ ถ้า เธอมีความรู้สึกไม่อยา่ งเรียนคณิตศาสตรใ์ นวันพุธ เธอจะสามารถเรียนในวนั อนื่ ทต่ี ้องการได้ในขณะท่ี ใช้เวลาในวันพุธนั้นในการเรียนสังคมศาสตร์หรือวิชาอ่ืนท่ีเธอต้องการ ด้วยการให้ผู้เรียนสามารถ ควบคุมการเรยี นการของตนเองนี้ จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้สกึ มสี ว่ นรว่ มในการเรยี นมากกวา่ ปกติจะทำ ให้ระดับการเรียนอยูใ่ นเกณฑท์ ี่ดขี น้ึ - การสอนและทบทวน ส่ือประสมเพ่ือการสอนและทบทวนจะมีด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น การฝึกสะกดคำ การคิดคำนวณ และการเรียนภาษา ผู้เรียนจะมีโอกาสเรียนรู้จาการสอนในเนื้อหา และฝึกปฏบิ ัตเิ พื่อทบทวนไปด้วยในตัวจนกวา่ จะเรียนเนอื้ หาในแต่ละตอนได้เป็นอย่างดีแล้วจึงเริ่มใน บทใหมต่ ามหลักของการสอนใช้คอมพวิ เตอร์ช่วย ดงั ตวั อย่างของการเรียน ภาษาสเปนสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเพื่อให้สามารถส่ือสารกับผู้ท่ีพูดภาษา สเปนได้ การเรียนการสอนจะเริ่มจากการเรียนคำศัพท์แต่ละคำโดยมีภาพวีดิทัศน์ของเจ้าของภาษา พดู ให้ฟังเพ่ือให้ผู้เรียนพูดตาม การฝึกพูดนี้สามารถบันทึกเสยี งไว้ได้เพ่ือให้ผูเ้ รียนฟงั เสียงที่ตนพูดนั้น วา่ ถูกต้องหรือไม่ เมื่อฝึกพูดแล้วจะเป็นการฝึกทักษะการฟังจากการพูดเป็นประโยคและฝึกทบทวน โดยการทำแบบฝึกหัดทใ่ี หม้ า นอกจากการฝึกพดู และฟังแล้วยังมีการฝึกทักษะดา้ นการสื่อสารโดยการ ใช้ภาพและการบันทึกเสียง การฝึกจับคู่คำให้ตรงกับเสียง และการเล่นเกม บทเรียนจะแบ่งเป็นบท ตา่ ง ๆ เช่น การแลกเงิน การเรียกรถรบั จ้าง การซื้อของ ฯลฯ บทเรยี นนจี้ ะมีภาพเคล่ือนไหวแบบวีดิ ทศั น์ใหช้ มประกอบด้วย - สารสนเทศอา้ งอิง สอ่ื ประสมท่ีใช้สำหรับสารสนเทศอ้างอิงเพื่อการศึกษามักจะบรรจุ อยู่ในแผ่นซีดีรอม เนื่องจากสามารถบรรจุข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก โดยจะเป็นลักษณะเน้ือหานานา ประเภท อาทิ เช่น สารานุกรม พจนานุกรม แผนท่ีโลก ปฏิทินประจำปี สาระทางการแพทย์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ดังตัวอย่างของ TIME : Man of the Year ซึ่งเป็นการสอนประวัติศาสตร์และ เร่ืองราวของบุคคลสำคัญที่เคยลงเป็นหน้าปกนิตยสาร TIME ตั้งแต่อดีตจนถงึ ปัจจุบันในรูปแบบของ ภาพนงิ่ ภาพเคลื่อนไหว ข้อความตวั อกั ษร และเสียง
ประโยชน์ของส่อื ประสม สอื่ ประสม ได้เขา้ มามีบทบาทในชีวิตของคนเรามากยิง่ ขน้ึ โดยมีประโยชน์ ดงั น้ี - เสนอส่งิ เรา้ ใหก้ ับผู้เรยี น ไดแ้ ก่ เนื้อหา ภาพนิง่ คำถาม ภาพเคลอื่ นไหว - นำเสนอข่าวสารในรปู แบบทีไ่ ม่จำเป็นตอ้ งเรียงลำดับ เชน่ บทเรยี นมลั ตมิ ีเดยี - สร้างสอื่ เพื่อความบันเทงิ - สร้างสอื่ โฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ นอกจากประโยชน์ดังกล่าว เทคโนโลยีสื่อประสม ยังมีบทบาทต่อ - การเรียนการสอน อันส่งผลให้เกิดระบบห้องสมุดแบบดิจิทัล (Digital Library) การเรียนการสอนทางไกล (Distance Learning) การสร้างห้องเรียนเสมือน จริง (Virtual Classroom) และการเรยี นการสอนแบบกระจาย อนั สง่ ผลให้เกิดการเรยี นรอู้ ย่างกวา้ งขวาง - ธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า E-Commerce อันจะช่วยให้การ นำเสนอสินคา้ มคี วามนา่ สนใจมากกวา่ เดิม - การส่อื สารโทรคมนาคม เน่อื งด้วยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย ต้องอาศัยส่ือเพอ่ื เผยแพร่ ข้อมูล ดังนั้นเทคโนโลยีนี้ จึงมีความสัมพันธ์กับ ระบบการส่ือสารโทรคมนาคม อย่างแยกกันได้ยาก มาก - ธุรกิจการพิมพ์ นับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สัมพันธ์กับเทคโนโลยีมัลติมีเดีย อันจะ ส่งผลให้หนังสือ สิ่งพิมพ์ต่างๆ มีความน่าสนใจมากข้ึน และปัจจุบันก็มี E-Magazine หรือ E-Book ออกมาอย่างแพร่หลาย - ธุรกิจการใหบ้ รกิ ารข้อมูลขา่ วสาร เมอื่ มีการนำเทคโนโลยีมลั ตมิ เี ดียมาช่วย จะทำ ให้ข้อมลู ขา่ วสารทีเ่ ผยแพร่ออกไป มคี วามนา่ สนใจมากกว่าเดมิ - ธุรกจิ โฆษณา และการตลาด แน่นอนว่ามีความสัมพันธ์อย่างหลีกเลีย่ งไม่ได้ อัน จะช่วยดึงดดู คนเขา้ มาชม ดว้ ยเทคโนโลยีใหมๆ่ ท่มี ีความแปลกใหม - การแพทย์และสาธารณสุข ปัจจุบันมีการสร้างสื่อเรียนรู้ด้านการแพทย์ ช่วยให้ ประชาชนท่ัวไป มีความสนใจศึกษา เพ่ือสร้างความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการดูแล รักษาสุขภาพ ตนเอง - นันทนาการ นับเป็นบทบาทท่ีสำคัญมาก ทั้งในรูปของเกม การเรียนรู้ และ VR เป็นตน้ ตวั อย่างของสื่อประสม เน่ืองจากรูปแบบการเรียนรู้ในปัจจุบันมีมากมายหลายรูปแบบอันเนื่องมาจากการ เปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ก็ได้มีการ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง CAI เป็นเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ตัวหน่ึงที่ได้รับการพัฒนาให้มีความ นา่ สนใจทัง้ เน้ือหา และรปู แบบวิธกี ารนำเสนอให้เกิดความนา่ สนใจต่อผ้เู รยี น มกี ารผสมผสานระหว่าง โปแกรมที่เก่ียวข้องอีกหลายตัว เช่น โปรแกรมการสร้างไฟล์วีดีโอ โปรแกรมการแต่งเสียง เป็นต้น
ตัวอย่าง CAI สอนการใช้โปรแกรม AUTHORWARE 6 ของบริษัท I SQUARE เป็นตัวอย่างของส่ือ การเรียนรู้ในยุคสมัยได้เป็นอย่างดี เน้ือหาจะกล่าวถึง การใช้เคร่ืองมือพื้นฐานของโปรแกรม ในการ สรา้ งชิน้ งานที่สามารถให้ผ้ทู ส่ี นใจสามารถนำไปพฒั นาตอ่ ไปได้ การนำเสนอก่อนเขา้ บทเรียน สว่ นใหญ่จะมีการกล่าวถึงท่ีมาหรือผู้จัดทำว่าเป็นผลิตภัณฑ์ ของใคร จากตวั อยา่ งเปน็ ผลติ ภณั ฑข์ องบริษทั I SQUARE ลขิ สิทธ์ิทางปัญญาเป็นส่ิงที่จำเป็นมากในปัจจุบัน เพราะว่าหากมีการละเมิดลขิ สิทธิ์กันใน ตวั ผลิตภณั ฑก์ ท็ ำให้เจ้าของลิขสิทธ์ิ เสียผลประโยชน์ จงึ ต้องมกี ารอธิบายไวด้ ้วย ในผลติ ภัณฑ์ รายละเอียดของเน้ือหา มีเน้ือหาที่เป็นเน้ือหาหลักอยู่ 3 ส่วน แบ่งเป็น บทท่ี 1 บทท่ี 2 บทที่ 3 และมตี วั อย่าง code โปรแกรมให้ผเู้ รียนสามารถนำไปศกึ ษาดูประกอบเปน็ ตวั อยา่ งได้ เม่ือเลือกบทท่ี 2 การสร้าง Gallery รูปภาพ ก็จะมีการอธิบายการสร้าง Gallery รูปภา จากข้ันตอนท่ี 1 ไปถึงขัน้ ตอนสุดทา้ ย สอนการทำ Gallery รูปภาพ การสร้างปุ่ม Link เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าอ่นื เพอ่ื ดรู ูป อ่ืนต่อไป เม่ือทำการออกจากโปรแกรมก็จะมีคำอธิบายถึงทีมงานผู้จัดทำ มีการแบ่งเป็นฝ่ายต่าง ๆ เชน่ ฝา่ ยศิลปะ ฝ่ายผลิต ฝา่ ยตรวจสอบและอนื่ ๆ 2.3 งานวิจัยที่เกีย่ วขอ้ ง 2.5.1 งานวิจยั ในประเทศ ขวัญชนก บัวทรัพย์ (2558) ศึกษาเรื่องผลการใช้ การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน เรื่อง การใช้โปรแกรมการพิมพ์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล 2 วัด เสนหา การศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การใช้ โปรแกรม การพิมพ์ ส าหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) และหา ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกอ่ นเรียนและหลังเรยี นของ ผู้เรียนทีเ่ รียนด้วยบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เรอื่ ง การ ใช้โปรแกรมการพิมพ์ ส าหรับนักเรยี นระดับช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) 3) เพ่ือศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียน ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียน เทศบาล 2 วัดเสนหา (สมัครพลผดงุ ) ท่ีมีต่อบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เรื่อง การใช้โปรแกรมการ พิมพ์ กลุ่มตวั อย่างของการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีเรียนกลุ่ม สาระการงาน อาชีพและเทคโนโลยี วิชา คอมพิวเตอร์ เรื่อง การใช้โปรแกรมการพิมพ์ โดยวิธีการส่มุ อย่างง่าย โดย ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง การใช้โปรแกรมการพิมพ์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 3) แบบ ประเมินคณุ ภาพ บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน 4) แบบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 5) แบบสอบถาม ความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีมี ตอ่ บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ย ( ), ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน เร่ืองการใช้โปรแกรมการพมิ พ์ จากการประเมนิ คณุ ภาพ มปี ระสทิ ธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑ์ เทา่ กบั 83.00/88.83 ซงึ่ เกณฑ์ที่ตั้งไวค้ อื 80/80 2)
พงษ์ดนัย จิตตวิสุทธิกุล1 และจิรพันธุ์ ศรีสมพันธุ์ (2558) ศึกษาเร่ืองผลการใช้ การ พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ตามฐานสมรรถนะรายวิชาทฤษฏีภาพเคลื่อนไหว การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยมีวัตถประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียน คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนผ่านเว็บ ตามฐานสมรรถนะ รายวิชาทฤษฎีภาพเคล่ือนไหว รว่ มกบั เทคนิคการ เรียนรแู้ บบโครงงานเปน็ ฐาน 2) หาประสทิ ธิภาพของบทเรียนท่พี ัฒนาข้ึน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนท่ีพัฒนาขึ้น 4) หาคุณภาพของโครงงานที่ ผู้เรียน จัดทาหล ํ ังเรียนด้วยบทเรียนที่พัฒนาขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่างท ่ใี ช้ในการวิจัยคร ั้ งน ี้คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปี ที่ 2 สาขาวิชา ออกแบบดิจิทัลอาร์ ต คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ท่ีลงทะเบียนเรียนรายวิชาทฤษฎี ภาพเคลื่อนไหว ในปี การศึกษาท่ี 2/2557 จํานวน 32 คน เครอื่ งมอื ท ใี่ ชใ้ นการวจิ ัยไดแ้ ก่ 1) บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ ชว่ ย สอนผ่านเว็บ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 3) แบบประเมินบทเรียนคอมพวิ เตอร์ ช่วย สอนด้านน้ือหา และด้านเทคนคิ วธิ ีการ 4) แบบประเมินคุณภาพโครงงานของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการ วิจัยได้แก่ 1) ค่าเฉลี่ย 2) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 3) ประสิทธิภาพ E1/E2 4) ค่าวิกฤตใน t- distribution ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนผ่านเว็บท่ีผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพเท่ากับ 85.79/85.38 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของผู้เรยี นท ี่ เรยี นด้วย บทเรยี น หลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน อยา่ งมนี ัยสาํ คัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 และ 3) คณุ ภาพโครงงานของผู้เรียนในภาพรวมเท่ากับ 3.98 อยในระด ู่ ับดีเปน็ ไปตาม สมมติฐานที่ตง้ั ไว้ (สูงกว่า 3.50) นรินทร์ อินทรี ชาตรี เกิดธรรม และอังคนา กรัณยาธิกลุ 1 (2558) ศึกษาเรื่องผลการใช้ การพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง การสรา้ งเวบ็ เพจ ส าหรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 โดยมีวัตถุประสงค์ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพบทเรียน คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เร่ือง การสร้างเว็บเพจ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ก่อนและ หลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การสร้างเว็บเพจ ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 6 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจจากการเรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง การสร้างเว็บเพจ สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีท่ี 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรม ราชูปถัมภ์ สังกัดคณะกรรมการ การอุดมศกึ ษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จ านวน 30 คน ซงึ่ ได้มาโดยวธิ ีเลือกแบบวิธีการสุ่ม แบบเฉพาะเจาะจง เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการศกึ ษาครั้งน้ีประกอบด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การสร้างเว็บเพจ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่า ความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 แบบประเมินความพึงพอใจ มีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ใน การวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติท่ีใช้ในการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน คือ การทดสอบที แบบไม่อิสระต่อกัน ผลการศึกษาพบวา่ 1. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่อง การสร้างเว็บเพจ ส าหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 81.77/ 81.33 เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีก าหนด 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรียนของนักเรียน ท่ีได้รับการเรียนรู้ จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง การสร้างเว็บเพจ ส าหรับนักเรียน ชั้น ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 แตกตา่ งกนั อยา่ งมีนัยส าคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 โดยหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรยี น
3. ความพงึ พอใจของนักเรยี นทีไ่ ด้รับการเรยี นรู้จากบทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน เรื่อง การสร้างเว็บ เพจ พบวา่ นกั เรียนมคี วามพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.41, S.D. = 0.55) กนกอร พานอิน (2558) ศึกษาเรือ่ งผลการใช้ การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เรอื่ ง คอมพวเิ ตอรน์ ่ารู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยชี ้ันประถมศึกษาปที ี่1 โดย การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง คอมพิวเตอร์น่ารู้ กลุ่ม สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีช้ันประถมศึกษาปีท่ี1 ให้มี ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์75/75 2) เปรียบเทยี บ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ือง คอมพิวเตอร์น่ารู้กลุ่ม สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 1 โดยใช้บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง คอมพิวเตอร์นา่ รู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปี ที่ 1 ปี การศึกษา 2556 โรงเรียนเทศบาล7 (วัดแกง่ ขนนุ ) สำนกั การศกึ ษา : เทศบาลเมอื งสระบุรีโดย การจับสลากห้องเรียน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยได้แก่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง คอมพิวเตอร์น่ารู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรอ่ื ง คอมพิวเตอร์น่ารู้ 3) แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการใช้ บทเรียน คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่อง คอมพวิ เตอร์น่ารู้ พนมไพร สุขมา บุญจันทร์ สีสันต์ และไพฑูรย์ พิมดี (2558) ศึกษาเร่ืองผลการใช้ การ พฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เรื่อง คอมพิวเตอรน์ ่ารู้ กลุ่มสาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและ เทคโนโลยชี น้ั ประถมศกึ ษาปที ี่1 โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ การวิจัยคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย อินเทอรเ์ น็ตเพ่ือทบทวนวชิ าหลักการเขียนโปรแกรม เรอ่ื งการวิเคราะหป์ ญั หาและการเขยี นผงั งาน 2) หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อทบทวน วิชา หลักการเขียนโปรแกรม เรื่องการวิเคราะห์ปัญหาและการเขียนผังงาน 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียน กับหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ตเพ่ือการทบทวนท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพพนมสารคาม ที่เคยเรียน เรื่องนี้ผ่านมาแล้ว ปีการศึกษา 2555 จำนวน 37 คน โดยได้มาจากการใช้วิธีเลือกสุ่มแบบ แบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยจับสลากห้องเรียน 1 ห้อง จากห้องเรียนทั้งหมด 2 ห้อง เคร่อื งมือท่ใี ช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนผ่านเครอื ข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่ือ ทบทวน แบบประเมินคณุ ภาพ และแบบทดสอบแบบทดสอบเพ่อื หาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นเปน็ แบบ เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 50 ข้อซึ่งมีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความยากง่ายอยู่ ระหวา่ ง 0.26-0.83 ค่าอำนาจจำแนกอยรู่ ะหว่าง 0.30-0.79 และค่าความเชือ่ มั่น 0.82 ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่ือการทบทวนซ่ึงประเมินโดย ผู้ทรงคุณวุฒิ มีคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก ( X =4.80, S.D=0.35) และคุณภาพด้าน เทคนคิ การผลิตสือ่ อยใู่ นระดับดีมาก ( X =4.73, S.D=0.31) 2) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่ือการทบทวน มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 82.36/81.49
3) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิชาหลักการเขียนโปรแกรม เรือ่ งการวิเคราะห์ปัญหาและการเขยี น ผังงาน ของนักเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อ ทบทวน สงู กวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 2.5.2 งานวิจัยตา่ งประเทศ G.Gercek,N.Saleem and D.J. Steel (2016) ศึกษาเร่ืองผลการใช้ การดำเนินการจัดการ เรียนการสอนเร่ืองเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์แบบออนไลน์โดยใชเ้ ทคนิคของ Cloud Based Virtual จาก ประสบการการณ์ทีม่ าจาก Phased Approach โดยการวจิ ัยครั้งนี้มวี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือ การเรยี นการสอนแบบออนไลน์สามารถจัดการเรียน การสอนได้สะดวกมากกว่าบางวิชา เช่น ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา บริหารธุรกิจ และรัฐศาสตร์ ถึง อย่างไรกต็ ามการเรียนการสอนแบบออนไลนก์ เ็ ป็นวิชาทที ้าทายความสามารถทางเทคนิคต่างๆในการ ลงมือปฏิบัติ หลักสูตรของวิชาเครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในการจัดการเรียนการ สอนออนไลน์ หลักสูตรวิชาเรียนออนไลน์ต่างๆมีแนวโน้มเพ่ิมสูงมากข้ึน ซ่ึงก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถ จัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนที่อยู่ห่างไกลออกไป เทคโนโลยี virtualization ก็เร่ิมเข้ามา เสริมสร้างโอกาสให้กับการศึกษาออนไลน์ โดยการใช้เครื่องมือต่างๆ ของเทคโนโลยี virtualization สามารถสับเปล่ียนห้องปฏิบัติการแบบ brick and mortar ไปเป็นแบบ virtual network ได้ การใช้ เครื่องมือทาง virtual network จะสามารถช่วยให้นักเรียนสามารถสร้าง แก้ปัญหา และทดสอบ เครือข่ายได้ด้วยตนเองโดยใช่คอมพิวเตอร์ส่วนตัว และขณะเดียวกันก็สามารถเช่ือมต่อกับทาง หอ้ งปฏบิ ัติการได้ด้วย Cloud Technology ก็เป็นอีกสาขาวิชาแขนงหน่ึงที่กำลังพัฒนามากข้ึนและ สามารถช่วยในการบรกิ ารจดั การทางเทคโนโลยีในด้านค่าใชจ้ ่ายได้เปน็ อย่างดี และเพิ่มประสทิ ธิภาพ ในการจัดการทางเทคโนโลยีได้อีกด้วย เทคโนโลยีแบบ Cloud และ virtualization ช่วยเพ่ิมโอกาส ในการเรยี นการการสอนแบบออนไลน์ได้มากขึ้น แตอ่ ย่างไรกต็ ามยงั มีอีกมปี ระเด็นท่ีสำคญั ซงึ่ จะตอ้ ง พฒั นาและแกไ้ ขต่อไป เพ่ือจะนำเทคโนโลยเี หล่านี้ไปประยุกต์ใชใ้ นสาขาวิชาอ่ืนๆอกี งานวจิ ัยช้นิ นจี้ ะ นำเสนอเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างๆที่ได้จากเปลยี่ นห้องปฏิบตั กิ ารคอมพิวเตอรแ์ บบธรรมดาไปสู่แบบ online virtual ที่มหาวิทยาลัยของผู้เขียนวิจัยชิ้นน้ี ซึ่งสว่ นใหญ่จะมาจากวิชาเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ การรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย และเครือข่ายไร้สาย ซ่ึงประสบการการณ์ท่ีมาจาก Phased Approach ของงานวิจัยชิ้นน้ีจะสามารถช่วยให้สถาบันทางการศึกษาต่างๆ นำเทคนิคต่างๆของ เทคโนโลยหี ้องปฏบิ ตั ิการออนไลนแ์ บบ virtual ไปใช้ในสถาบันของตนเองได้
บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ การวจิ ยั 3.1 ประชากร การส่มุ กลุ่มตัวอย่าง และกลมุ่ ตัวอย่าง นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 1 จำนวน 4๓ คน 3.2 เครือ่ งมือการวจิ ยั 1. แผนการจัดการเรยี นรูด้ ว้ ยส่อื ประสมคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) รายวิชาคอมพิวเตอร์ และสารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชีพ ของนักศกึ ษาระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ ชัน้ ปีท่ี 1 2. แบบทดสอบวชิ ารายวิชาคอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชีพของนกั ศกึ ษา ระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ ชนั้ ปที ี่1 แบบอัตนยั จำนวน 30 ขอ้ มคี า่ อำนาจจำแนกมากกว่า0.02 ข้นึ ไปความยากอย่รู ะหว่าง0.02-0.80 KR 20 เทา่ กบั 0.87 3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ข้นั เตรียม 1. ผู้วิจัยสร้างแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการ อาชีพโดยใช้การสอนแบบสื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางก ารเรียน รายวิชาคอ ม พิ วเตอ ร์และ สาร สน เท ศเพ่ื อ ก ารจัด ก าร อ าชี พ ข อ งนั ก ศึก ษา ระ ดั บ ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ช้ันปีท่ี ๑ 2. ผู้วิจยั จดั เตรียมสอื่ การสอน อุปกรณ์ เอกสารสำหรบั ใชใ้ นการสอน 3. จัดเตรียมทำหนังสือขอความอนุเคราะหเ์ ปน็ ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเคร่ืองมือท่ีใช้ใน การวิจยั จำนวน 3 ท่าน 4. ทำการหาคุณภาพของเคร่ืองมือวิจัยโดยการวิเคราะห์ค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) ของ แผนการจดั การเรยี นรู้รายวชิ าคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ โดยใช้การสอนแบบ สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CA Iและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพอื่ การจัดการอาชพี ของนักศกึ ษาระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชีพชั้นปที ี่๑ และทำการวิเคราะห์ความเทีย่ ง อำนาจจำแนก ความยากของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน รายวชิ าคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ โดยทำการทดลอง (try out) กับนกั เรียนที่ ไม่ใช่กลมุ่ ตัวอย่างก่อนการทดลองจริง ขน้ั ดำเนินการทดลอง 1. ผู้วิจัยทำการทดสอบก่อนเรียนก่อนการทดลองด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นรายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี ทง้ั กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุม 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ เพื่อการจัดการอาชพี โดยใช้วธิ ีการการเรียนการสอนแบบ สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ท่ี
ผูว้ จิ ยั สร้างข้ึน ทำการสอนเปน็ เวลา ๔ คาบ ในภาคเรียนที่ ๑ ปกี ารศึกษา 25๖๓ สำหรบั กลมุ่ ทดลอง และใช้แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ แบบปกติ สำหรับกล่มุ ควบคุม 3. หลังจากทดลองสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยจึงทดสอบหลังเรียนหลังจากท่ีได้รับการ เรียนการสอนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ ส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ด้วย แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ าคอมพวิ เตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ 4. ผู้วิจัยนำผลการทดสอบมาตรวจให้คะแนน และบันทึกคะแนนเพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูล ทางสถิติต่อไป แบบแผนการวจิ ัย การวจิ ยั คร้ังนีเ้ ปน็ การวิจยั เชงิ ทดลอง ใช้แบบแผน The Randomized Pretest-Posttest control group design กลุม่ ทดลอง R O1 X O2 กลมุ่ ควบคมุ R O3 - O4 ตัวแปรทดลอง สอบหลัง สอบกอ่ น 3.4 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู วเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใช้โปรแกรม SPSS for Windows โดยมกี ารวเิ คราะห์ขอ้ มูลดังนี้ 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ของนกั ศึกษาระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ช้ันปที ่ี1 โดยหาคา่ เฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการ อาชีพของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันปีท่ี 1 ก่อนและหลังการใช้วิธีการจัดการเรียน การสอนแบบ สือ่ ประสมคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) โดยใช้สถติ ิ t-test for dependent 3. เพ่ือศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ ารายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพ่อื การจัดการ อาชพี ของนกั ศกึ ษาระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชน้ั ปีท่ี 1 ทใี่ ช้วธิ กี ารจัดการเรียนการสอนแบบ สื่อ ประสมคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) กับการเรยี นการสอนปกติ โดยใช้สถิติ t-test for independent 4. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการจัดการ อาชีพ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ ๑ ท่ีใช้วิธีการจัดการเรียนการสอน แบบ สอ่ื ประสมคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) กับเกณฑ์ โดยใช้สถิติ t-test for one sample 3.5 สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย 1. สถติ ิพื้นฐานที่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล 1.1 คา่ เฉลย่ี (Mean) 1.2 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของกล่มุ ตวั อย่าง (Standard Deviation)
2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา คอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ 2.1 การหาค่าความตรงเชิงเน้ือหาของแบบทดสอบแต่ละข้อและแผนการสอน โดยใช้สูตร IOC หาคา่ เฉล่ยี ดชั นคี วามสอดคลอ้ งของผเู้ ชยี่ วชาญท้งั หมด 2.2 วิเคราะห์แบบทดสอบรายข้อ (Item Analysis) เพื่อหาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ เปน็ รายข้อ โดยใช้ t-test แบบเทคนคิ 25% ของกลุ่มสงู และกลุ่มตำ่ 2.3 หาค่าความยาก (P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์ และสารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชีพ 2.4 หาค่าความเทย่ี งของแบบทดสอบทงั้ ฉบบั ดว้ ยสตู รคูเดอร์ริชาร์ดสนั KR-20 3. สถิติทใ่ี ช้ในการทดสอบสมมติฐาน 1. สถิติท่ีใช้ในการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่ไม่เป็น อสิ ระจากกัน ใชก้ ารทดสอบค่า (t-test for dependent sample) 2. สถิติที่ใช้ในการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็น อสิ ระจากกนั ใช้การทดสอบคา่ (t-test for independent sample) 3. สถิติท่ีใชใ้ นการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลย่ี ของกลมุ่ ตัวอยา่ งกลมุ่ เดยี วกับเกณฑ์ ใชก้ ารทดสอบค่า (t-test for one sample)
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 4.1 ขอ้ มลู พน้ื ฐาน 4.1.1 ค่าความถ่ี และคา่ ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง sex Frequenc Percent Valid Cumulative y Percent Percent male 1๔ 33.3 33.3 33.3 Valid female ๒๙ 66.7 66.7 100.0 Total 41$ 100.0 100.0 ตารางท่ี 1 แสดงคา่ ความถี่ และค่ารอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอย่าง เพศ ความถ่ี (คน) ร้อยละ ชาย ๑๔ 33.3 หญิง ๒๙ 66.7 รวม 4๓ 100 จากตารางท่ี 1 พบว่า กล่มุ ตัวอย่างมจี ำนวนทั้งหมด ๔๓ แบ่งเป็นเพศชายจำนวน 1๔ คน คดิ เป็นร้อยละ 33.3 และเปน็ เพศหญงิ จำนวน ๒๙ คดิ เป็นร้อยละ 66.7 4.1.2 ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนสอบก่อน เรียนและหลังเรียน Statistics pretest postest N Valid 41 41 Missing 00
5.00 pretest Valid Cumulative Frequenc Percent Percent Percent 6.00 y 3.3 3.3 8.00 1 3.3 3.3 6.7 1 3.3 6.7 13.3 9.00 2 6.7 3.3 16.7 1 3.3 6.7 23.3 10.0 2 6.7 0 3.3 26.7 1 3.3 11.0 6.7 33.3 0 2 6.7 6.7 40.0 12.0 2 6.7 0 16.7 56.7 5 16.7 13.0 16.7 73.3 0 5 16.7 Valid 14.0 3.3 76.7 0 1 3.3 13.3 90.0 15.0 4 13.3 0 6.7 96.7 2 6.7 16.0 3.3 100.0 0 1 3.3 100.0 17.0 30 100.0 0 18.0 0 19.0 0 Total
10.0 postest Valid Cumulative 0 Frequenc Percent Percent Percent 12.0 y 3.3 3.3 0 1 3.3 6.7 10.0 10.0 20.0 13.0 2 6.7 10.0 30.0 0 16.7 46.7 3 10.0 23.3 70.0 14.0 10.0 80.0 0 3 10.0 13.3 93.3 3.3 96.7 15.0 5 16.7 3.3 100.0 0 100.0 7 23.3 Valid 16.0 0 3 10.0 17.0 4 13.3 0 1 3.3 18.0 0 1 3.3 19.0 30 100.0 0 20.0 0 Total ตารางท่ี 2 แสดงค่าความถี่ คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ของคะแนนสอบก่อนเรียน คะแนนกอ่ นเรยี น ความถี่ รอ้ ยละ 5.00 1 3.3 6.00 1 3.3 8.00 2 6.7 9.00 1 3.3 10.00 2 6.7
11.00 1 3.3 12.00 2 6.7 13.00 2 6.7 14.00 5 16.7 15.00 5 16.7 16.00 1 3.3 17.00 4 13.3 18.00 2 6.7 19.00 1 3.3 รวม 30 100.0 ค่าเฉลีย่ 13.3667 ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 3.63397 จากตารางท่ี 2 พบว่า คะแนนสอบก่อนเรียนในภาพรวม ( X =13.3667, S.D.= 3.63397) เม่ือพิจารณารายบุคคล คะแนนก่อนเรียนของนักเรียนมีคะแนนสูงสุด คือ 19 คะแนน คิดเปน็ รอ้ ยละ 3.3 และคะแนนต่ำสดุ คือ 5 คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละ 3.3 ตารางท่ี 3 แสดงคา่ ความถี่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉลย่ี ค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ของคะแนนสอบหลังเรยี น คะแนนหลังเรยี น ความถี่ ร้อยละ 10.00 1 3.3 12.00 2 6.7 13.00 3 10.0 14.00 3 10.0 15.00 5 16.7 16.00 7 23.3 17.00 3 10.0 18.00 4 13.3 19.00 1 3.3 20.00 1 3.3 คา่ เฉลี่ย 15.4667 คา่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 2.25501 จากตารางที่ 3 พบวา่ คะแนนสอบหลังเรยี นในภาพรวม ( X =15.4667, S.D.= 2.25501) เม่อื พจิ ารณาเปน็ รายบุคคล คะแนนหลงั เรยี นของนักเรียนมีคะแนนสงู สุด คือ 20 คะแนน คดิ เปน็ ร้อยละ 3.3 และคะแนนตำ่ สุดคือ 10 คะแนน คดิ เปน็ ร้อยละ 3.3
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 5.1 สรุปวิธีการดำเนนิ วิจัย การวิจัยเร่ืองการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือ การจัดการอาชีพ ประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ชน้ั ปีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง โดยใช้รูปแบบการสอน แบบสอ่ื ประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มรี ายละเอยี ดสามารถสรุปได้ ดงั นี้ 5.1.1 วัตถุประสงค์ 5.1.1.1 เพื่อศึกษาคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และ สารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปที ี่ 1 ของกลุ่มท่ีได้รบั การสอนแบบ สื่อ ประสมคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) 5.1.1.2 เพ่ือศึกษาคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และ สารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชีพ ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ ชน้ั ปีท่ี 1 ของกลมุ่ ทไี่ ด้รับการสอนแบบปกติ 5.1.1.3 เพ่อื เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นรายวิชาคอมพิวเตอร์และ สารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ ชั้นปที ่ี 1 ของกลุ่มท่ีได้รับการสอนแบบ ส่ือ ประสมคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) 5.1.1.4 เพือ่ เปรียบเทียบคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรายวชิ าคอมพิวเตอร์และ สารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 1 ของกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบ ปกติ 5.1.1.5 เพอ่ื เปรียบเทียบคะแนนผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นรายวชิ าคอมพวิ เตอร์และ สารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 1 หลังจากได้รับการสอนแบบ สื่อ ประสมคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) กับกล่มุ การสอนแบบปกติ 5.1.1.6 เพ่อื เปรยี บเทียบคะแนนผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นรายวชิ าคอมพวิ เตอร์และ สารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 1 หลังจากได้รับการสอนแบบสื่อ ประสมคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) กับเกณฑร์ ้อยละ 70 5.1.2 ประชากร นกั ศกึ ษาระดบั ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ชนั้ ปีที่ 1 วทิ ยาลยั เทคนิคอ่างทอง ภาคเรยี นท่ี 2 ปี การศึกษา 2564 วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี1 จำนวน 43 คน 5.1.3. เคร่ืองมือที่ใชใ้ นงานวจิ ยั และผลการตรวจสอบเครอ่ื งมอื เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อประสมคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (CAI) หน่วยการเรียนรู้เร่ืองคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ประกาศนยี บตั รวิชาชพี ชั้นปีท่ี 1 โดยดำเนนิ การจัดการเรยี นรู้ 2 แผน จำนวน 4 ช่วั โมง เครื่องมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบกอ่ นเรยี นเร่ืองโปรแกรม ส่อื ประสม และแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์เรื่องมาตรฐานเครือขา่ ยไรส้ าย 5.1.4 การวเิ คราะหข์ อ้ มูลและสถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่า t-test 5.2 สรปุ ผลการวิจยั 5.2.1 ข้อมูลทวั่ ไปของกล่มุ ตวั อย่าง กลุ่มตวั อย่างมีจำนวนทั้งหมด คน แบ่งเปน็ เพศชายจำนวน 14 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 41.9 และเป็นเพศหญงิ จำนวน 29 คิดเปน็ ร้อยละ 44.1 5.2.2 ขอ้ มลู สถติ พิ ื้นฐานของคะแนนสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน คะแนนสอบก่อนเรียนในภาพรวม ( X =13.3667, S.D.= 3.63397) เม่ือพิจารณา รายบุคคล คะแนนก่อนเรียนของนักเรียนมีคะแนนสูงสุด คือ 19 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 3.3 และ คะแนนตำ่ สดุ คอื 5 คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 3.3 คะแนนสอบหลงั เรียนในภาพรวม ( X =15.4667, S.D.= 2.25501) เม่ือพจิ ารณา เปน็ รายบุคคล คะแนนหลงั เรียนของนกั เรยี นมีคะแนนสูงสุด คือ 20 คะแนน คิดเปน็ ร้อยละ 3.3 และคะแนนต่ำสดุ คอื 10 คะแนน คดิ เป็นร้อยละ 3.3 5.2.3 ผลการทดสอบสมมติฐานการวจิ ยั 5.2.3.1 ผลการวิเคราะห์พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 1 จำนวน 2 ของกลุ่มทีไ่ ด้รับการสอนแบบ สื่อประสมคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) มคี ่าแตกต่างกับค่าเฉลี่ยของ เกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงว่าค่าเฉล่ียของคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจดั การอาชีพ ประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ช้ันปี ที่ 1 ของกลุ่มท่ีได้รับการสอนแบบ ส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ( =14) 5.2.3.2 คะแนนเฉล่ียหลังเรียน จากท่ีได้รับการสอน สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วย สอน (CAI) สูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉล่ียก่อน เรยี นเทา่ กับ 13.0667 และคะแนนหลังเรียนจากทีไ่ ด้รับการ สอนแบบคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) เทา่ กับ 15.4667 แสดงวา่ หลังจากท่ีได้รับการสอนแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) แล้วนักเรยี นมี คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขน้ึ 5.2.3.3 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน จากที่ไดร้ บั การสอน ปกติ (CAI) สงู กวา่ คะแนน กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .133 โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรยี นเทา่ กบั 6.4063 และ คะแนนหลังเรยี นจากท่ไี ดร้ ับการ สอนปกติ เท่ากับ 13.5700 แสดงวา่ หลงั จากทไ่ี ดร้ บั การสอน แบบ ปกติ แลว้ นกั เรียนมีคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงขนึ้ 5.2.3.4 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือ การจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 1 ก่อนและหลังเรียน ท่ีได้รับการสอนแบบ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) มีค่าเท่ากับ 15.4667 สงู กว่าคะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหอ้ งเรยี น ท่ีได้รับการสอนแบบปกติซึ่งมีค่าเท่ากับ 13.75 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .01
แสดงว่าคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 1 ที่ได้รับการสอนแบบ ส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) สูง กวา่ คะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นหอ้ งเรยี นที่ไดร้ ับการสอนแบบปกติ 5.3 อภิปรายผลการวจิ ัย 5.3.1 การวิจยั เรือ่ งการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศ เพ่ือการจัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 1 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสื่อประสม คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) พบว่า คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และ สารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี ประกาศนียบตั รวิชาชีพ ช้นั ปีท่ี 1 ของห้องเรยี นทใ่ี ช้การสอนแบบส่ือ ประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มีค่าเท่ากับ 15.4667 สูงกว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ห้องเรียนท่ีได้รับการสอนแบบปกติซึ่งมีค่าเท่ากับ 13.75 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 แสดงว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการ จัดการอาชีพ ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ชั้นปีท่ี 1 ของห้องเรียนที่ใช้การสอนแบบ ประสมคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (CAI) สงู กว่า คะแนนผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนห้องเรียนทไี่ ด้รบั การสอนแบบปกติ สอดคลอ้ ง กับงานวิจัยของ G.Gercek,N.Saleem and D.J. Steel (2016) และ กนกอร พานอิน (2558) ที่ พบว่ารูปแบบการสอนโดยใช้สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการ แก้ปัญหาสงู ขึ้นอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติ และจากแนวคิดเก่ียวกับรูปแบบการสอนโดยใช้ส่ือประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ใน การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยพบว่า รูปแบบการสอนโดยใช้สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ทำให้ นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องรายวิชา รายวิชาคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ือการจัดการ อาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชน้ั ปีท่ี 1 สูงกว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีได้รับการสอน แบบปกติ ทั้งนเ้ี น่อื งจากการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย สอน (CAI) เป็นการฝกึ ให้ผู้เรียนได้มีบทบาทเป็นผู้แสดงหาความรูด้ ว้ ยตนเอง อย่างเปน็ ขัน้ ตอน โดยท่ี ผู้สอนลดบทบาทจากการสอนเป็นผู้กระตุ้นและให้กำลังใจในการทำกิจกรรม ทำให้ผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรมอย่างเต็มใจ เกิดความตอ้ งการในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและจะทำใหค้ วามร้ทู ไ่ี ด้มานั้น คงทน ซึ่งสอดคล้องกับประโยชน์จากการใช้รปู แบบการสอนแบบใช้สือ่ ประสมคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) เพ่ือพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิของผูเ้ รียนของ สุนันทา ยินดีรมย์ บุญเรือง ศรีเหรัญ และชาตรี เกิดธรรม กล่าวว่าการนำสื่อประสมมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน เพ่ือช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุ วตั ถุประสงค์ เน่ืองจากสื่อเป็นตัวกลางท่ีช่วยให้ส่ือสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนด าเนินไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพทำให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของเนื้อหาบทเรียนได้ตรงกับผู้สอนต้องการ ซ่ึงจำเป็น จะต้องใช้สื่อหลาย ๆ อย่างมาช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ในรูปแบบของสื่อประสม สำหรับใช้ในการ จดั การเรียนการสอนอยา่ งเป็นระบบ เพื่อให้บรรลุวัตถปุ ระสงคข์ องการเรียนการสอน ในการเรียนการ สอนผู้สอนมีวตั ถุประสงค์หลกั คือ การถ่ายทอดความรู้ใหผ้ ู้เรียนเกิดการพัฒนาทางสตปิ ัญญา ทักษะ เจตคติ เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังน้ีส่ือแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเด่นและด้อยแตกต่างกัน การเลือกใช้ต้องพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของ การสอนเป็นสำคัญ โดยครผู ูส้ อนตอ้ งจัดเตรียมส่อื ประกอบการสอน เพ่ือการนำเสนอให้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด ดังน้ันในการสอนแต่ละคร้ังต้องจัดเตรียมสื่อหลาย ๆ อย่างเพ่ือนนำมา ประกอบในการสอนแต่ละครั้งในลักษณะที่เรียกว่า “ส่ือประสม” นอกจากน้ี ยังสอดคล้องกับ แนวคิดของ ศิริชัย นามบุรี( 2546) ท่ีกล่าวว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI คือ การนำ คอมพิวเตอร์มาเป็นเคร่ืองมือสร้างให้เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้เรียนนำไปเรยี นด้วยตนเอง และเกิดการเรียนรู้ ในโปรแกรมประกอบไปด้วย เน้ือหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะของ การนำเสนอ อาจมีท้ังตัวหนังสือภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สี หรือ เสียง เพื่อดึงดูดให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจมากย่ิงขึ้น รวมทงั้ การแสดงผลการเรยี นให้ทราบทันทีด้วยข้อมลู ย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรยี น และยงั มีการจดั ลำดับ วิธีการสอนหรอื กิจกรรมตา่ งๆ เพอ่ื ให้เหมาะสมกับผ้เู รียนในแตล่ ะคน ท้งั นตี้ อ้ งมกี ารวางแผนในการผลติ อย่างเป็นระบบในการนำเสนอเน้อื หาในรปู แบบทแี่ ตกตา่ งกัน 5.4 ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั 5.4.1 ข้อเสนอแนะท่ีไดจ้ ากการวจิ ยั ในครงั้ นี้ 5.4.1.1 ผู้สอนควรนำการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ เพราะการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อประสมคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (CAI) สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนได้ 5.4.1.2 ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อประสมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ในทุก ขนั้ ตอนควรให้ผ้เุ รียนเปน็ ผู้ปฏิบัตดิ ว้ ยตนเองโดยที่ครูเป็นเพยี งผู้ให้คำแนะนำ กระตนุ้ และให้กำลงั ใจผุ้ เรียนให้ปฏบิ ตั ิกิจกรรม 5.4.1.3 ในการประเมินความรู้ของผุ้เรียนครูควรใช้การประเมินด้วยวิธีท่ี หลากหลายเพ่ือใหผ้ ลการประเมนิ ครบถ้วนสมบรู ณ์ยิง่ ขนึ้ 5.4.2 ขอ้ เสนอแนะในการทำวจิ ัยคร้งั ต่อไป 5.4.2.1 ควรมีการศึกษาวจิ ัยกลุ่มผูเ้ รียนระดับอ่ืนๆ ดว้ ย 5.4.2.2 ควรมกี ารศึกษาวจิ ยั กลุม่ ผู้เรยี นในกล่มุ สาระวชิ าอ่ืนๆดว้ ย 5.4.2.3 ควรมกี ารศกึ ษาการนำรปู แบบการสอนแบบใช้ส่ือประสมคอมพิวเตอร์ชว่ ย สอน (CAI) ไปใช้ในการพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ เช่น ความรับผิดชอบ การคิดแบบมีวจิ ารณญาณ เป็น ต้น
บรรณานุกรม ปรชั ญนันท์ นิลสุข และคณะ. 2551. รปู แบบการพัฒนาสอ่ื การเรียนการสอนผา่ นเว็บไซต์. กกกกกกกกกรงุ เทพฯ: วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ขวัญชนก บัวทรัพย.์ 2558. การพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน เรอื่ ง การใชโ้ ปรแกรม การกกกกกกกกพมิ พ์สำหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 2 วัดเสนหา. กกกกกกกกรงุ เทพฯ: วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ พงษ์ดนัย จิตตวสิ ทุ ธกิ ุล และคณะ. 2558. การพัฒนาบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ตามฐาน กกกกกกกสมรรถนะรายวิชาทฤษฏีภาพเคล่ือนไหว. กรุงเทพฯ: วารสารวิชาการมหาวิทยาลัย ราช กกกกกกกภฏั สวนสนุ นั ทา นรินทร์ อินทรี และคณะ. 2558. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรอื่ ง การสร้างเว็บ เพจ กกกกกกกสำหรบั นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6. ปทุมธานี: วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราช กกกกกกกภฏั วไลยอลงกรณใ์ นพระบรมราชปู ถัมภ์ กนกอร พานอิน. 2558. การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน เร่ือง คอมพวเิ ตอร์นา่ รู้ กลุม่ กกกกกกกสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยีชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่1. กกกกกกกกรงุ เทพฯ: วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนนั ทา พนมไพร สุขมา และคณะ. 2558. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง คอมพิวเตอร์ น่ารู้ กกกกกกกกลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่1. กกกกกกกกรุงเทพฯ: วารสารวิชาการมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสนุ นั ทา Cateora, Philip R. and Graham, John. 2010. Implementing Cloud Based Virtual กกกกกกกComputer Newwork Labs for Online Education. 3rd ed. Boston: McGraw กกกกกกกHill. Kotler, Philip. 2013. Marketing Management. 11th ed. Upper Saddle River, NJ: Prentice-Hall.
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: