การศกึ ษาคน้ ควา้ บทความวิจัยในระดบั ปรญิ ญาเอก (Full Text) เสนอ ผศ.ดร.ประยทุ ธ ชูสอน ผศ.ดร.ชัยยุทธ ศิรสิ ทุ ธิ์ โดย นายกติ ติโ์ ภคิน ธนยศจินดารัชต์ รหัสนักศึกษา 6486210008 หลกั สตู รปรชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารและภาวะผนู้ ำทางการศกึ ษา รายวชิ า ED41202 สัมมนาการประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีทางการบรหิ ารและนวัตกรรม ในการบริหารสถานศึกษาและการศกึ ษาในยุคดจิ ทิ ัล ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
ข คำนำ ในการศกึ ษาค้นคว้าเกี่ยวกับงานวิจยั (Full Copy) เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการเรยี นการสอนรายวชิ า ED41202 สัมมนาการประยุกตใ์ ชท้ ฤษฎีทางการบรหิ ารและนวตั กรรม ในการบรหิ ารสถานศกึ ษาและ การศึกษาในยุคดิจิทลั หลกั สูตรปรัชญาดษุ ฎีบณั ฑิตสาขาวชิ าการบริหารและภาวะผนู้ ำทางการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ผ้ทู ำการศกึ ษาได้ คน้ คว้าจากวารสาร วทิ ยานิพนธ์ และอินเทอร์เน็ต นำมาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และวพิ ากษ์ แล้วนำมาสรุป ในส่วนทส่ี ำคญั ที่สามารถดำเนนิ การไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ เพ่อื การสง่ เสรมิ และพัฒนาในการจัดการเรยี นการสอน ในแผนพฒั นาดา้ นการศกึ ษาต่อ ขอขอบคุณท่านอาจารยป์ ระจำวิชา ผศ.ดร.ประยทุ ธ ชูสอน และ ผศ.ดร.ชยั ยุทธ ศิริสุทธิ์ ทไี่ ดใ้ ห้ คำแนะนำ คำปรกึ ษาเปน็ อย่างดี หวงั วา่ การจัดทำรายงานการศึกษาค้นคว้างานวจิ ัยในคร้ังนี้ อาจเปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ศู้ ึกษาเอง และเปน็ ประโยชนใ์ นการเรียนการสอนและนำไปพฒั นาในการจัดการศกึ ษา นายกิตติโ์ ภคิน ธนยศจนิ ดารัชต์
ค สารบัญ หน้า ข เรอื่ ง ค คำนำ 1 สารบญั 5 บทความวจิ ยั (Full Text) ในประเทศ 7 1. รปู แบบภาวะผนู้ ำเชิงวิชาการที่มีประสิทธิผลของผูบ้ ริหารสถานศึกษา ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ 9 11 2. การพฒั นาทักษะเทคโนโลยใี นการพัฒนาชมุ ชนการเรียนร้วู ิชาชีพ 14 และการจัดการเรยี นรู้ของครโู รงเรียนมธั ยมขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 28 และ 29 3. การพัฒนารูปแบบสมรรถนะผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สงั กดั กรมสง่ เสรมิ การปกครองท้องถนิ่ บทความวจิ ยั (Full Text) ตา่ งประเทศ 4. Effective school leadership according to the perceptions of principals and physical education teachers 5. Leadership Requirements for School Principals: Similarities and Differences Between Four Competency Standards บรรณานุกรม
1 บทความวจิ ยั (Full Text) ในประเทศ เรอ่ื งที่ 1 ชอ่ื เร่อื ง : รูปแบบภาวะผูน้ ำเชิงวิชาการทม่ี ีประสทิ ธผิ ลของผู้บรหิ ารสถานศึกษาในสังกัดองคก์ รปกครอง ส่วนท้องถิ่น Model of an Effective Academic Leadership of School Administrators Under Local Administrative Bureau ชอ่ื ผทู้ ำวจิ ยั : ขนิษฐา โพธสิ ินธ์ุ นสิ ิตดษุ ฎีบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา ปีท่ีทำวิจยั : 2559 แหล่งทม่ี า : วารสาร พัฒนาเทคนคิ ศึกษา ปีที่ 28 ฉบับท่ี 97 มกราคม – มนี าคม 2559 ความมุ่งหมายของการวจิ ัย 1. เพือ่ สร้างรูปแบบภาวะผูน้ าํ เชงิ วิชาการทมี่ ปี ระสทิ ธิผลเชิงทฤษฎีของผ้บู รหิ ารสถานศึกษาในสังกัด องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ 2. เพื่อตรวจสอบรปู แบบภาวะผู้นาํ เชงิ วิชาการทีม่ ีประสทิ ธิผลเชิงทฤษฎกี บั ข้อมลู เชงิ ประจกั ษ์ของ ผู้บริหารสถานศกึ ษาในสังกดั องค์กร ปกครองส่วนท้องถิน่ วธิ ดี ำเนินการวิจยั ขั้นตอนที่ 1 การศกึ ษาและสาํ รวจข้อมูลเบอื้ งตน้ เพอื่ กาํ หนดกรอบความคดิ ในการวิจัย โดยศกึ ษ เอกสาร แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัย ที่เกยี่ วขอ้ งกบั ผ้นู ําเชิงวิชาการที่มีประสิทธิผล และวิธกี ารพฒั นารวมทงั้ การสัมภาษณ์ผเู้ ชี่ยวชาญท่ีมีความรู้และประสบการณใ์ นเรือ่ งการพัฒนา ภาวะผู้นาํ เชงิ วิชาการที่มีประสิทธิผล ขั้นตอนที่ 2 การสรา้ งรูปแบบจําลองผูน้ ําเชิงวชิ าการทมี่ ีประสทิ ธิผล ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาในสังกดั องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมี องค์ประกอบ 3 ประการ คอื ดา้ นความรู้ ด้านภาระหนา้ ที่ และดา้ นทักษะ โดยการสงั เคราะหผ์ ลการศกึ ษาจากขั้นตอนท่ี 1 นํามาสรา้ งรูปแบบ จําลองดว้ ยการสร้างเปน็ แบบสอบถาม ความคดิ เหน็ ของผู้เช่ียวชาญชนดิ เลอื กตอบเห็นด้วยและไม่เหน็ ด้วย และแบบสอบถามปลายเปิดเพื่อให้ ผู้เชยี่ วชาญมีความคิดเหน็ โดยอิสระ ขั้นตอนท่ี 3 การพฒั นารปู แบบผูน้ ําเชิงวิชาการทีม่ ีประสทิ ธิผลของผู้บริหารสถานศกึ ษาในสังกดั องค์กร ปกครองส่วนท้องถ่นิ โดยใชเ้ ทคนคิ เดลฟายจากผู้เช่ยี วชาญจาํ นวน 17 คน เพื่อใหไ้ ด้รูปแบบทม่ี ีความเป็นไป ไดใ้ นทางปฏบิ ัติ และมคี วามสมบูรณด์ ว้ ยการนํารปู แบบจําลองจาก ข้ันตอนที่ 2 มาศกึ ษา วเิ คราะห์ และ กาํ หนดเป็นรปู แบบดว้ ยเทคนคิ เดลฟาย 3 รอบ
2 ข้นั ตอนที่ 4 การตรวจสอบรปู แบบผนู้ ําเชิงวชิ าการท่ีมีประสิทธผิ ลของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาในสังกดั องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น โดยใช้ การสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) มกี ลมุ่ ผู้เชีย่ วชาญ 12 คน ประกอบดว้ ยผเู้ ช่ียวชาญด้านการกาํ หนดนโยบายและการวางแผน การบรหิ ารการศกึ ษาขององค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถนิ่ 2 คน ผู้เชีย่ วชาญด้านวชิ าการและการมสี ่วนร่วมสนบั สนนุ การบรหิ ารการศกึ ษาของ โรงเรียน สังกัดองคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ 2 คน และผเู้ ชย่ี วชาญด้านประสบการณ์การบริหารการศกึ ษาของโรงเรยี น สงั กดั องค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถิ่น 8 คน ขน้ั ตอนที่ 5 การตรวจสอบความสอดคล้องของรปู แบบผู้นําเชิงวิชาการทม่ี ปี ระสิทธผิ ลเชิงทฤษฎกี บั ขอ้ มลู เชิงประจกั ษ์ของผูบ้ รหิ าร สถานศึกษาในสงั กัดองคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ โดยเกบ็ ขอ้ มูลผบู้ ริหาร สถานศกึ ษา สังกัดองค์การปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ จํานวน 325 คน นํามาตรวจสอบข้อมูลทางสถิติดว้ ยเทคนิค การวิเคราะหอ์ งค์ประกอบเชงิ ยืนยนั ข้นั ตอนที่ 6 การสรปุ และนําเสนอรปู แบบผู้นาํ เชงิ วิชาการทมี่ ีประสิทธิผลของผบู้ ริหารสถานศึกษาใน สังกัดองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน โดยจัดทําเปน็ รายงานผลการวิจยั ต่อไป สรุปผลการวจิ ัย 1. การวิเคราะหข์ ้อมูลจากความคิดเหน็ ของผูเ้ ชีย่ วชาญ และผ้บู รหิ ารสถานศึกษาสังกดั องค์กร ปกครองสว่ นท้องถ่นิ ทาํ ให้ผวู้ ิจัยได้รปู แบบ ภาวะผู้นําเชิงวชิ าการทม่ี ีประสิทธิผลของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาใน สงั กดั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ ซ่ึงมสี าระสําคญั ของภาวะผนู้ าํ เชิงวชิ าการ ที่มปี ระสิทธิผล แยกเป็นแตล่ ะ องคป์ ระกอบได้ ดงั นี้ 1.1 ด้านความรู้ (Knowledge) เป็นความรูท้ ่จี าํ เปน็ สําหรับภาวะผนู้ าํ ทางวชิ าการ เพ่อื ใช้ในการ ปฏิบตั ภิ าระหน้าทข่ี องผบู้ ริหาร สถานศกึ ษา มีองค์ประกอบย่อย คือ 1) ความรเู้ ก่ยี วกบั โรงเรียนที่มปี ระสิทธผิ ล ประกอบดว้ ย ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานตาม วิสัยทัศน์ พันธกิจ และแผน ปฏิบตั กิ ารของโรงเรียน ความร้เู ก่ยี วกับปัจจยั เช่น ทรพั ยากร สภาพแวดลอ้ มฯ ที่ สง่ ผลตอ่ การจัดการศกึ ษา ความรู้เก่ียวกับการประเมนิ ประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลการดาํ เนนิ งานของ โรงเรียน 2) ความร้เู กยี่ วกับการจดั การเรยี นรู้ท่ีมีประสทิ ธิผล ประกอบด้วย ความร้เู ก่ยี วกบั จิตวิทยาการ เรียนร้ตู ามหลกั สูตร ความรู้ เกย่ี วกบั รปู แบบการจัดการเรียนรทู้ ี่เหมาะสมกบั กลมุ่ สาระในหลกั สูตร ความรู้ เกย่ี วกบั การพัฒนาวิธีสอนใหก้ บั ครู ความรเู้ ก่ยี วกบั การประเมิน ศักยภาพการสอนของครู 3) ความร้แู ละความเชอ่ื เกย่ี วกับปรัชญาการศึกษา ประกอบดว้ ย ความรู้ความเชื่อในปรัชญาพิพฒั นาการนิยมทาํ ใหน้ กั เรยี น เกดิ ทักษะกระบวนการเรียนรู้ ความร้คู วามเชือ่ ในปรัชญาสารัตถะนิยมทําให้นักเรยี น ไดร้ ับความรู้ การคิดวเิ คราะห์ สังเคราะหจ์ ากครูผู้สอน ความร้คู วามเชอื่ ในปรัชญาอัตถภิ าวะนยิ มทําให้นักเรียน
3 ทีม่ คี วามแตกต่างกันไดร้ ับการดูแลจากครู ความรู้ความเชอื่ ในปรัชญาปฏิรูปนิยม ทําให้นกั เรยี นตระหนักใน ศีลธรรม คุณธรรม หนา้ ทีพ่ ลเมืองและสิ่งแวดลอ้ ม 4) ความรู้เกีย่ วกบั การพัฒนาทางการบรหิ าร ประกอบด้วย ความรเู้ กีย่ วกับการพฒั นาครูในการ เขยี นแผนการสอนเน้น กระบวนการ ความรู้เก่ียวกับการพัฒนาครใู นการจดั การเรียนการสอน ความรเู้ ก่ียวกับ การพัฒนาครูในการวัดประเมินผลจากสภาพจรงิ ความรูเ้ ก่ยี วกับการพัฒนาครูในการวิจัยในช้ันเรียน 5) ความรู้เกย่ี วกบั ทฤษฎีการบริหารการเปลี่ยนแปลง ประกอบดว้ ย ความรู้เกีย่ วกบั การบรหิ ารการ เปล่ยี นแปลง ความรู้ เกย่ี วกับการบรหิ ารตามสถานการณ์ ความรใู้ นเทคนิคการบรหิ ารใหม่ ๆ ความร้ใู นเทคนิค ทางวชิ าการใหม่ ๆ ความรู้ในเทคโนโลยสี ารสนเทศ การสื่อสาร 6) ความรเู้ กย่ี วกับทฤษฎีหลกั สูตรและการพัฒนาหลกั สตู ร ประกอบดว้ ย ความรูเ้ ก่ยี วกับทฤษฎี หลักสตู รและการพฒั นา หลกั สูตร ความรเู้ กี่ยวกบั การพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษาจากหลักสูตรแกนกลาง ความรู้เก่ยี วกบั การนําหลักสูตรไปใช้ ความรูเ้ กีย่ วกบั การ ประเมินหลักสตู รสถานศึกษา ความรูเ้ กี่ยวกบั การ ปรับปรงุ หลกั สูตรสถานศกึ ษา 7) ความรู้เก่ียวกับการวิจยั เพอ่ื พฒั นาการเรยี นการสอน ประกอบด้วย ความรเู้ กีย่ วกับการนยิ าม ปัญหาการวจิ ัย ความรู้ เก่ยี วกับกระบวนการวจิ ัย ความรเู้ กีย่ วกับสถติ ิเพอ่ื การวิจยั 1.2 ด้านภาระหนา้ ท่ี (Tasks) เปน็ ภาระหน้าที่ทสี่ มั พันธ์กบั ดา้ นความรู้ มีองค์ประกอบยอ่ ย คือ 1) การนเิ ทศและประเมินผลการสอน ประกอบดว้ ย มีความสามารถในการติดตามการใชห้ ลักสูตร จดั ระบบการเข้านเิ ทศ กระบวนการเรยี นรทู้ ี่กาํ หนดในแผนการสอนของครู ออกแบบและพฒั นารูปแบบการ นเิ ทศการสอน มที กั ษะการนิเทศงานแบบกัลยาณมิตร ใหค้ รมู ีสว่ นรว่ มในการวิเคราะหผ์ ลการนิเทศการเรียน การสอน 2) การพัฒนาบุคลากรและทีมงาน ประกอบดว้ ย เปน็ ตวั แบบของความเป็นประชาธปิ ไตย เสรมิ สร้าง กระบวนการกลุม่ เสรมิ สรา้ งบุคลากรในการทํางานเป็นทมี สร้างทักษะการทาํ งานเป็นทีมในการพฒั นา กิจกรรมการเรียนการสอน พัฒนาทกั ษะการทาํ งาน เปน็ ทมี ในใหก้ ับครูผ้สู อน 3) การพฒั นาหลกั สูตร การนําหลกั สูตรไปใช้การประเมนิ และการปรับปรุงหลกั สตู ร ประกอบด้วย มี ความสามารถในการ นําการจดั ทาํ หลกั สตู รสถานศึกษา มีความสามารถในการจัดทําหลักสูตรสนองความ ตอ้ งการของผเู้ รียน มีความสามารถในการนิเทศติดตาม การใชห้ ลกั สูตร มีความสามารถในการปรบั ปรุง หลักสูตรทกุ ปกี ารศึกษา
4 บทวพิ ากษง์ านวิจยั โดยผ้ศู ึกษา ภาพรวมของงานวจิ ยั มกี ารระบุกลมุ่ ตัวอย่างและสถานที่ศึกษาไดอ้ ย่างชัดเจน มกี ารเขียนความมงุ่ หมายของการวิจยั ของงานวจิ ัยได้อยา่ งชัดเจน วธิ ดี ำเนนิ การวิจยั มีการกำหนดลักษณะของประชากรไว้อย่าง ชดั เจน มีกล่มุ เป้าหมายท่เี ดน่ ชดั กล่มุ ตัวอย่างมีความเหมาะสม เพยี งพอต่อการวจิ ัย เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมลู ไดม้ าจากการตรวจของผูเ้ ชย่ี วชาญ มกี ระบวนการและขั้นตอนสร้างเครื่องมือท่ีถูกต้องเปน็ ลำดับข้นั ของการวิจัย สถติ ิท่ใี ช้สอดคลอ้ งกบั ความมงุ่ หมายของการวิจยั และแปลความหมายขอ้ มูลทถ่ี ูกต้อง ชัดเจน สรุปผลการวจิ ัยมีความชัดเจน สอดคลอ้ งกบั ความมุง่ หมายของการวิจัย
5 บทความวจิ ยั (Full Text) ในประเทศ เร่ืองที่ 2 ช่อื เร่ือง : การพฒั นาทักษะเทคโนโลยใี นการพัฒนาชมุ ชนการเรียนรู้วชิ าชีพและการจัดการเรียนรู้ ของครูโรงเรยี นมธั ยมขนาดใหญ่ สังกัดสำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 28 และ 29 ช่ือผู้ทำวิจยั : อษุ ณยี ์ แสงสุข นักศกึ ษาหลักสูตรปรญิ ญาดษุ ฎบี ัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา คณะบัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอสิ เทริ ์น ปีที่ทำวิจยั : 2563 แหล่งทีม่ า : วารสารบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1 มกราคม–มถิ นุ ายน 2563 ความมุ่งหมายของการวิจัย 1) ศึกษาสภาพการณ์การพัฒนาทักษะเทคโนโลยีในการพฒั นาชุมชน การเรยี นรวู้ ิชาชพี และการ จัดการเรียนรขู้ องครู 2) ศึกษาปจั จยั ทมี่ ีความสัมพนั ธก์ ันระหวา่ งการพัฒนาทกั ษะเทคโนโลยี และการจัดการเรยี นรูม้ ผี ลต่อ การจดั การเรยี นร้ขู องครู 3) ศกึ ษาแนวทางการพัฒนาทกั ษะเทคโนโลยี ในการพฒั นา ชมุ ชนการเรยี นรวู้ ิชาชีพ และการจัดการเรียนร้ขู องครมู ีผลต่อการจัดการเรียนรู้ของครู วธิ ดี ำเนนิ การวิจยั ประชากรและขนาดตวั อยา่ ง การวิจัยในคร้งั น้เี ป็นการวจิ ยั เชงิ บรรยาย (Discriptive Research) โดย มวี ิธีการดำเนนิ การวิจยั ดังน้ี ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ยั น้ี คือ โรงเรยี นมัธยมขนาดใหญพ่ เิ ศษจำนวน 14 โรงเรียนเป็นหนว่ ยในการวเิ คราะห์ ข้อมูล โดยมีผู้บรหิ ารและอาจารยจ์ ำนวน 2,800 คนเป็นผ้ใู หข้ อ้ มลู หลัก กลุ่มตวั อยา่ ง(Sample) จากจำนวนตัวอย่างท่ีนำมาใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนทีด่ ีของ ทกุ หน่วยประชากรวิจัยนี้ โดยผู้วจิ ัยไดก้ ำหนดทร่ี ะดับความเชอ่ื มั่นรอ้ ยละ 95 ไดข้ นาดตัวอย่างจำนวน 350 คน วิธีสุ่มตัวอย่าง การสุ่มตวั อยา่ งท่เี หมาะสมเน้นเลือกวิธีการสุ่มตัวอยา่ งจากทุกหน่วยประชากรทใี่ ช้ใน งานวิจัย หากแต่ให้เกิดความประหยดั และสะดวกรวดเร็วในการรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยจำเป็นตอ้ งใชว้ ิธีสุ่มอย่าง ง่าย (Simple Random Sampling) เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั การวิจัยน้ีใช้แบบสอบถามความคดิ เห็นชนดิ มาตรวดั 5 ระดบั ตามแบบของ Likert Scale โดยมกี ระบวนการพฒั นา แบบสอบถามจากการทบทวน วรรณกรรมทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ผู้วจิ ยั นำแบบสอบถามท่ีสรา้ งขน้ึ ทดสอบความตรงและทดสอบค่า ความสอดคลอ้ ง ภายใน (Internal Consistency) โดยผวู้ ิจัยได้นำเอารา่ งแบบสอบถามทไ่ี ด้รับการปรับปรุงแก้ไขตาม คำแนะนำของอาจารยท์ ่ีปรึกษา และผ้เู ชยี่ วชาญด้านการใช้ภาษาไปทดสอบวดั ความตรงเชงิ ตามโครงสรา้ ง
6 (Construct Validity) และทดลองใช้กับกลมุ่ ประชากรอนื่ จำนวน 30 คน เพื่อทดสอบค่าความสอดคลอ้ ง ภายใน ( Internal Consistency) ซ่งึ โดยปกติแล้วเปน็ คา่ ท่ีไดจ้ ากการทดสอบสมั ประสิทธ์ิ Alpha ตามแบบ ของ Cronbach's Alpha Coefficient ดงั ตอ่ ไปนี้ ผลการทดสอบความเชือ่ มนั่ ไดค้ า่ Alpha = .93 การวเิ คราะหข์ ้อมลู งานวิจยั นี้มุง่ วิเคราะหแ์ นวการพัฒนาสมรรถนะผบู้ รหิ ารสถานศึกษาและกลยทุ ธพ์ ฒั นา การศึกษาทม่ี ีผลต่อ คณุ ภาพการสอน โดยใช้วธิ ีดำเนินการวิจยั และพฒั นา (Research and Development) ระหว่างการวิจัยเชิงปรมิ าณ (Quantitative Research) และการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ (Qualitative Research) ดังน้นั การวเิ คราะห์ขอ้ มลู งานวิจัยน้ี มีต่อไปน้ี 1. สถิติเชงิ พรรณนา (Descriptive Statistics) 2. การวิเคราะห์ สมั ประสิทธิส์ หสัมพนั ธ์ (Correlation Coefficient) 3. การวิเคราะหถ์ ดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple- Regression Analysis : MRA) สรปุ ผลการวิจัย ผลการวจิ ยั พบว่า สภาพการณ์ทางการพัฒนาทักษะเทคโนโลยใี นการพัฒนาชุมชนการเรยี นรวู้ ชิ าชีพ และ การจัดการเรยี นร้ขู องครูมีผลตอ่ การจัดการเรยี นรู้ของครู มีสามองคป์ ระกอบหลกั คอื ชุมชนการเรยี นรู้ วชิ าชีพครู อยูใ่ น ระดบั มากมีคา่ เฉลี่ยรวม 4.38 การจดั การเรยี นรู้ อย่ใู นระดบั มากท่สี ดุ มคี ่าเฉลีย่ รวม 4.33 และทักษะเทคโนโลยี อยู่ใน ระดบั มากมีค่าเฉลยี่ รวม 4.33 มีองคป์ ระกอบยอ่ ยที่มีระดับการดำเนนิ การใน ระดบั มากทุกด้าน ความสมั พันธ์ของตวั แปรทง้ั สามดา้ นพบว่ามคี วามสมั พันธใ์ นเชิงบวก อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติท่รี ะดับ.01 แนวทางการพัฒนาทกั ษะเทคโนโลยีในการพฒั นาชุมชนการเรียนรวู้ ชิ าชีพและการจัดการ เรียนรู้ของครมู ผี ลต่อการจัดการเรียนรู้ของครู ชุมชน การเรยี นรวู้ ชิ าชพี ครแู ละการจัดการเรยี นรู้ มี ความสมั พันธ์กับทกั ษะเทคโนโลยีไปในทิศทางเดยี วกนั และความคดิ เห็น ของผู้ทรงคณุ วุฒเิ กี่ยวกบั แนวการ พัฒนาชมุ ชนการเรยี นรู้วชิ าชีพครแู ละการจดั การเรยี นรู้มีผลตอ่ ทักษะเทคโนโลยี พบวา่ ผู้ทรงคุณวุฒทิ ุกคนเห็น ดว้ ยและเหน็ วา่ มคี วามเป็นไปไดใ้ นการนำไปสู่การปฏิบตั ิจริงในโรงเรยี น บทวพิ ากษ์งานวิจยั โดยผศู้ กึ ษา ภาพรวมของงานวจิ ยั มกี ารระบกุ ลุ่มตัวอยา่ งและสถานท่ีศึกษาได้อย่างชดั เจน มีการเขยี นความมงุ่ หมายของการวจิ ยั ของงานวิจัยได้อยา่ งชดั เจน วธิ ีดำเนนิ การวิจยั มีการกำหนดลกั ษณะของประชากรได้อย่าง ชัดเจน มีกลมุ่ เป้าหมายทเี่ ด่นชัด กล่มุ ตัวอยา่ งจึงมคี วามเหมาะสม เพยี งพอต่อการวจิ ยั เคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการ เก็บรวบรวมข้อมลู ได้มาจากการตรวจของผู้เช่ยี วชาญ มกี ระบวนการและขนั้ ตอนสร้างเครอื่ งมอื ที่ถกู ต้องตาม ขน้ั ตอนของการวิจยั มีวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลตรงตามหลักการวจิ ัย สถิติที่ใช้มีความเหมาะสมสอดคล้องกบั จุดมุ่งหมายของการวจิ ัย การแปลความหมายถูกต้องชดั เจน ผลการวิจยั มคี วามสอดคลอ้ งกบั การวจิ ยั ชดั เจน
7 บทความวจิ ยั (Full Text) ในประเทศ เรื่องท่ี 3 ชอื่ เรื่อง : การพฒั นารปู แบบสมรรถนะผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา สงั กัดกรมสง่ เสริมการปกครองท้องถิ่น ชอ่ื ผู้ทำวจิ ยั : สกณุ า ปน้ั ทอง นักศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎบี ัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารเพือ่ การพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั กาญจนบุรี ปที ี่ทำวจิ ยั : 2562 แหล่งท่มี า : วารสารบรหิ ารการศึกษา มศว ปีที่ 16 ฉบบั ที่ 30 มกราคม – มิถนุ ายน 2562 ความมุ่งหมายของการวิจยั 1. เพอื่ พัฒนารปู แบบสมรรถนะผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา สงั กดั กรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน 2. เพื่อประเมนิ รูปแบบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา สังกดั กรมสง่ เสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน วิธดี ำเนินการวจิ ยั วิธีดำเนินการวิจัย ขั้นตอนในการดำเนนิ การวจิ ยั ครั้งนี้มีขั้นตอนดงั ตอ่ ไปน้ี ขน้ั ตอนท่ี 1 ศึกษาเอกสาร แนวคดิ ทฤษฎีของนกั การศกึ ษา และงานวจิ ัยเกยี่ วกบั การพัฒนารูปแบบ สมรรถนะ ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สังกดั กรมสง่ เสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน ผู้วจิ ัยไดศ้ กึ ษาเอกสารแนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ของ นักวชิ าการต่างประเทศ และในประเทศท่ีเกยี่ วข้อง และสมั ภาษณ์ผู้ทรงคุณวฒุ ิดา้ นการ บริหารสถานศกึ ษา สังกดั กรม ส่งเสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน นำมาวเิ คราะห์ และสงั เคราะห์ และสรปุ ขอ้ มูลโดย การวเิ คราะห์เน้ือหา ขนั้ ตอนท่ี 2 พฒั นารปู แบบสมรรถนะผบู้ ริหารสถานศึกษา สงั กดั กรมสง่ เสรมิ การปกครองท้องถิ่น ผวู้ จิ ัยใช้แบบ สัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบสอบถามความคิดเห็นชนิดมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั ใช้ในการสอบถาม ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ จำนวน 17 คน ด้วยเทคนิคเดลฟาย 3 รอบ ซงึ่ ผู้วิจัยได้นำข้อมูลท่ีได้ นำมา สังเคราะห์เปน็ ขอ้ มูลท่สี อดคลอ้ งกนั และได้นำขอ้ มูลแตล่ ะประเดน็ มาสร้างแบบสอบถามฉบับที่ 2 ซ่งึ เปน็ นำไป สอบถามความคดิ เหน็ ของผูท้ รงคุณวุฒิ 17 คน แล้วนำข้อมลู ทีไ่ ดร้ ับมาวิเคราะหห์ าค่ามธั ยฐาน คา่ พสิ ัย ระหวา่ งควอไทล์ ขนั้ ตอนท่ี 3 ประเมินรปู แบบสมรรถนะผบู้ รหิ ารสถานศึกษา สังกัดกรมสง่ เสริมการปกครองท้องถ่ิน เครอ่ื งมือที่ใช้ ในการเกบ็ ข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดบั (rating scale) เพื่อ ประเมนิ รปู แบบสมรรถนะ ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา สังกัดกรมสง่ เสริมการปกครองท้องถ่นิ และตรวจสอบคณุ ภาพ เครอื่ งมอื โดยวิเคราะห์หาค่าดัชนคี วาม สอดคลอ้ ง (IOC) แบบสอบถามมีค่าดัชนคี วามสอดคล้องอยูร่ ะหวา่ ง
8 0.60-1.00และวเิ คราะหห์ าค่าความเชื่อม่ัน (reliability) ได้ เทา่ กับ 0.80 การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถติ ิทใี่ ช้ ใน การวิเคราะหข์ ้อมลู โดยการหาคา่ เฉลยี่ (mean) ค่าสว่ นเบย่ี งเบน มาตรฐาน (S.D.) และแปลผลตามเกณฑท์ ่ี กำหนดไว้ สรปุ ผลการวิจัย 1. รูปแบบสมรรถนะผู้บรหิ ารสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถน่ิ ประกอบด้วย สมรรถนะ 10 ดา้ น ได้แก่ ภาวะผนู้ ำ การบริหารเชงิ กลยุทธ์ ความรู้ ความสามารถในวชิ าชีพ การสื่อสารและ การสรา้ งสัมพันธภาพชมุ ชน คุณธรรมและจริยธรรม เทคโนโลยีและสารสนเทศ การบรหิ ารทรพั ยากรบคุ คล การบรหิ ารจดั การองค์กร การบรหิ ารการ เปลยี่ นแปลง และการทำงานเปน็ ทมี 2. การประเมนิ รปู แบบสมรรถนะผู้บรหิ ารสถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองทอ้ งถิน่ พบวา่ รปู แบบ สมรรถนะผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา สงั กัดกรมส่งเสรมิ การปกครองทอ้ งถิน่ สามารถนำไปปฏิบัติไดใ้ นระดับ ดี บทวิพากษ์งานวจิ ัยโดยผู้ศกึ ษา ชื่องานวจิ ัยมคี วามชัดเจน สอดคล้องกับความมงุ่ หมายของการวจิ ัย วธิ ีดำเนนิ การวจิ ยั มีข้ันตอนและ ระเบียบวธิ กี ารทำงานวิจัยเขา้ ใจง่าย และนำผลทไี่ ด้มาสรุปตรงประเดน็ อ่านเขา้ ใจงา่ ย ทำให้ทราบถึงปัญหาที่ เกิดขนึ้ แลว้ นำมาวจิ ยั ภาพรวมของงานวิจยั มีการระบกุ ลุม่ ตวั อยา่ งและสถานทีศ่ ึกษาไดอ้ ยา่ งชดั เจน มีการ เขยี นความมงุ่ หมายของการวิจยั ของงานวิจัยได้อย่างชัดเจน วิธดี ำเนนิ การวิจยั มีการกำหนดลกั ษณะของ ประชากรได้อย่างชัดเจน มกี ลมุ่ เป้าหมายที่เดน่ ชัด กลุม่ ตวั อย่างจึงมีความเหมาะสม เพียงพอตอ่ การวิจัย เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้มาจากการตรวจของผู้เช่ียวชาญ มีกระบวนการและขัน้ ตอนสรา้ ง เครอ่ื งมอื ทถ่ี กู ตอ้ งตามข้ันตอนของการวิจยั มีวธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูลตรงตามหลกั การวิจยั สถิติท่ใี ชม้ ีความ เหมาะสมสอดคลอ้ งกับจุดม่งุ หมายของการวจิ ยั การแปลความหมายถกู ต้องชัดเจน ผลการวจิ ยั มีความ สอดคลอ้ งกบั การวจิ ัย ชัดเจน
9 บทความวจิ ยั (Full Text) ตา่ งประเทศ เร่อื งที่ 1 ชื่อเรือ่ ง : Effective school leadership according to the perceptions of principals and physical education teachers ภาวะผู้นําโรงเรยี นท่มี ปี ระสทิ ธิภาพตามการรบั รขู้ องอาจารย์ใหญ่และครพู ลศกึ ษา ชอื่ ผูท้ ำวิจยั : DELIGIANNIDOU TZENI , ATHANAILIDIS IOANNIS, LAIOS ATHANASIOS, STAFYLA AMALIA University of Thrace, Department of Physical Education and Sports Science, Komotini, TEI of Central Macedonia, Logistics Department, GREECE ปที ี่ทำวิจัย : 2019 แหล่งทม่ี า : Journal of Physical Education and Sport Vol 19 , 2019 ความมุ่งหมายของการวิจยั Aim The purposes of this research were (a) to investigate the role of school principals based on specific performance criteria, using as effectiveness indicators the perceptions of (PE) teachers and their principals of effective administration, (b) to determine whether statistically significant differences exist between PE teachers and school principals in factors that express efficient school administration, and (c) to study how the factor “work experience” differentiates the perceptions of PE teachers and those of school principals. The results of the study are expected to contribute to the field of education, particularly physical education. วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ัย Methodology Sample A total of 415 teachers (255 male and 160 female), of primary and secondary education schools in the prefectures of Pieria and Imathia, Regional Administration of Elementary and Secondary Education of Central Macedonia of Greece, participated in this study. Specifically, 192 of them were school principals (128 male and 64 female) and 223
10 were physical education (PE) teachers (127 male and 96 female). Moreover, 73.1% were 50- 59 years old, while 63.4% had more than 20 years of work experience. The PE teachers were asked, using the questionnaire of Pashiardis and Orphanou (1999), to assess the school principals regarding main leadership skills and leadership style and behavior. Similarly, the principals were asked to assess themselves on the same skills. The project received approval from the Directorate of Primary and Secondary Education as well as from the Institute for Educational Policy of Greece. สรปุ ผลการวจิ ยั Conclusions Statistically significant differences in the perceptions of the two groups of the efficiency of the principal show a deficit in the efficiency of the management skills investigated as well as a need to improve the efficiency of principals. There is a definite need to invest resources for the proper training and education of future principals, as well as a need to determine a set of specific characteristics for successful and efficient school leaders. Especially for teachers of physical education, leadership style, attitude, and skills of the principal affect both their efficiency and the quality of their courses. The results of the present study could be used by those who are responsible for formulating educational policy so that principals receive proper training and education to enable them to exercise their leadership duties efficiently. บทวพิ ากษ์งานวิจัยโดยผศู้ กึ ษา ขนั้ ตอนในการจดั ทำวจิ ยั มคี วามนา่ เชอ่ื ถือ มีกระบวนการทำวิจยั ทีช่ ัดเจน วางแผนงานวิจยั เป็น ขั้นตอน มีการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายรปู แบบทำใหม้ ีความนา่ เชอื่ ถอื สรุปผลการวจิ ัยชัดเจน สอดคลอ้ งกบั จุดมงุ่ หมายของการวิจัย ตรงประเดน็
11 บทความวจิ ยั (Full Text) ตา่ งประเทศ เรื่องที่ 2 ชอ่ื เร่อื ง : Leadership Requirements for School Principals: Similarities and Differences Between Four Competency Standards ข้อกาํ หนดความเป็นผู้นําสาํ หรบั อาจารย์ใหญข่ องโรงเรียน : ความคล้ายคลงึ กัน และความแตกตา่ ง ระหวา่ งมาตรฐานสมรรถนะทัง้ ส่ี ชื่อผูท้ ำวจิ ัย : Monique Lambert & Yamina Bouchamma Laval University canada ปที ่ีทำวจิ ัย : 2018 แหลง่ ทีม่ า : Canadian Journal of Educational Administration and Policy, 188, 53-68 ความมุ่งหมายของการวจิ ยั In short, to develop a competency standard and ensure its updating later, several concepts are inter-related to each other, as explained in Figure 1. The competency standard represents the basic tool for managing an educational institution and helps to give an idea of the main characteristics, tasks, and responsibilities to perform a job effectively (Pont et al., 2008). วธิ ดี ำเนินการวจิ ัย Methodology This research is of the exploratory type, carried out using documentary data. In this study, four competency standards for school principals in four different contexts were analyzed to identify the convergences and divergences associated with the requirements for the position of school principal. To reach our goal, we made a content analysis. Content analysis is a way of processing information and it is the most widely used method for studying qualitative observations (Krippendorff, 2004). This methodology is defined as the analysis of a message by counting and classifying the elements found in a coding list where categories have been determined in advance. The coding list summarizes the information contained in a message by categorizing it, which will facilitate comparisons. In short, it involves transcribing the
12 qualitative data using an analysis grid and coding the information collected in order to process it. สรุปผลการวิจยั Conclusion Our analysis of four official competency standards pertaining to the professional and behavioural leadership requirements for school principals in Alberta, Québec, Australia, and the United States reveals similarities and differences, depending on each context. Despite the particularities of each of these school systems, 85% of the common competencies are present in the four analyzed standards. In fact, regardless of context, a nucleus of universal professional and behavioural norms exists relative to the duties and responsibilities of school leaders. These competency standards also vary in their configuration from one context to another. For example, the Québec standard does not present the behavioural requirements in a parallel section but rather across-disciplinary skills that accompany each of the professional competencies. Moreover, absences were noted in certain standards which should provide food for thought as to the importance of ensuring that competency standards be regularly revised to remain abreast of current educational issues and concerns. We believe that these absent skills from some standards should be integrated because they are topical. Given that two of the missing skills are found in a standard of more than 10 years (Québec, 2008), it suggests that the updating of such a document must remain a priority so that school principals develop useful skills for students’ academic success. Considering that the standard is used for the formation of future directions, it seems to us even more necessary to revise such a document in order to adapt it to the changing needs in the educational environment. For example, for Quebec, it seems obvious that cultural diversity and technology are topical issues; however, the standard still has not taken these things into account, as other places have done. Finally, we are reminded that competency standards are designed to guide the initial training, professional development, and assessment of school principals. If we want to have school principals to ensure students’ academic success, the development of useful skills for this work remains a primary concern.
13 บทวิพากษง์ านวจิ ยั โดยผู้ศกึ ษา มีการระบกุ ลุม่ ตัวอย่างและสถานท่ีศึกษาได้อย่างชดั เจน มีการเขยี นความม่งุ หมายของการวิจัย ของ งานวิจยั ไดอ้ ย่างชัดเจน วธิ ีดำเนินการวิจัยมกี ารกำหนดลักษณะของประชากรไดอ้ ย่างชดั เจน มกี ลุม่ เปา้ หมายท่ี เดน่ ชดั กลมุ่ ตวั อย่างจึงมคี วามเหมาะสม เพียงพอตอ่ การวจิ ยั เครื่องมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้มาจาก การตรวจของผเู้ ชี่ยวชาญ มีกระบวนการและข้นั ตอนสร้างเครอ่ื งมือที่ถูกต้องตามขั้นตอนของการวจิ ัย มวี ธิ ีการ เก็บรวบรวมขอ้ มูลตรงตามหลักการวจิ ยั สถิติท่ใี ช้มีความเหมาะสมสอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายของการวิจัย การ แปลความหมายถูกต้องชัดเจน ผลการวิจยั มีความสอดคลอ้ งกบั การวิจัยชัดเจน
14 บรรณานกุ รม ขนษิ ฐา โพธิสนิ ธุ์. (2559). “รูปแบบภาวะผู้นำเชิงวิชาการทีม่ ีประสทิ ธิผลของผู้บริหารสถานศกึ ษา ในสังกดั องคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ ”. วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา, 28 : 61-65. อษุ ณยี ์ แสงสุข. (2563). “การพฒั นาทกั ษะเทคโนโลยีในการพัฒนาชุมชนการเรียนรู้วิชาชพี และการจดั การเรยี นรู้ของครูโรงเรียนมธั ยมขนาดใหญ่ สงั กัดสำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 28 และ 29 ”. วารสารบรหิ ารการศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 16 : 16-31. สกณุ า ป้นั ทอง. (2562). “การพัฒนารปู แบบสมรรถนะผบู้ ริหารสถานศกึ ษา สงั กดั กรมส่งเสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน”. วารสารบรหิ ารการศกึ ษา มศว, 16 : 36-49. DELIGIANNIDOU TZENI, ATHANAILIDIS IOANNIS, LAIOS ATHANASIOS, STAFYLA AMALIA. (2019). “Effective school leadership according to the perceptions of principals and physical education teachers”. Journal of Physical Education and Sport, 19 : 936-944. Monique Lambert& Yamina Bouchamma. (2018). “Leadership Requirements for School Principals: Similarities and Differences Between Four Competency Standards”. Canadian Journal of Educational Administration and Policy 188 : 53-68.
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: