หนว่ ยที่ 5 การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม TRANSCULTURAL NURSING (COMMUNITY NURSING 1) • 5.1 การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม • 5.2 การแสวงหาการรกั ษา • 5.3 บทบาทพยาบาลในการดแู ลข้ามวฒั นธรรม อาจารยจ์ ตุพร จารองเพ็ง คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพง็ 1 จานวนช่ัวโมง 3 ชว่ั โมง ขอบเขตเนอ้ื หา การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม หวั ข้อเรือ่ งทส่ี อน 1. การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม 2. การแสวงหาการรกั ษา 3. บทบาทของพยาบาลในการดูแลข้ามวัฒนธรรม ผลการเรียนรู้ เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนสามารถ: 1. อธบิ ายความหมายและความสาคญั ของการพยาบาลขา้ มวัฒนธรรมได้ 2. อธิบายแนวคิดและทฤษฎีของการพยาบาลขา้ มวฒั นธรรมได้ 3. อธบิ ายความหมายของการแสวงหาการรักษาได้ 4. อธิบายบทบาทของพยาบาลในการดูแลขา้ มวฒั นธรรมได้ กจิ กรรมการเรียนการสอน - ใช้ Application Google Classroom ของรายวิชาการพยาบาลชุมชน 1 เพื่อนัดหมายวัน เวลาในการสอน ส่งเอกสารประกอบการสอน VDO และงานมอบหมาย - ใช้ Application Google Hangout Meet ในการสอน online ส่ือสาหรบั การสอน - เอกสารประกอบการสอน - การนาเสนอดว้ ย Power Point การประเมนิ ผล - เขา้ รว่ มช้ันเรียนทาง online ครบตามเวลา - ความสนใจในการเรียน การซักถามและตอบคาถาม - สง่ งานมอบหมายตามกาหนดเวลา
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพง็ 2 5.1 การพยาบาลขา้ มวฒั นธรรม ในปัจจุบันโลกมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และส่ิงแวดล้อม ผลจากความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทาให้การคมนาคมสะดวกและการติดต่อสื่อสาร รวดเร็ว รวมทั้งระบบทุนนิยมทาให้มีการลงทุนข้ามชาติเพ่ิมมากขึ้น ส่งผลให้ประชากรในส่วนต่างๆ ของโลก ย้ายถ่ินฐานเพื่อการหางานทา การศึกษา และอื่นๆ สังคมจึงเปล่ียนแปลงไปจากเดิมกลายเป็นสังคมท่ีมีความ หลากหลายทางวัฒนธรรม สังคมไทยเองก็เช่นกันจากการเปิดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations: ASEAN) ในปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้ประเทศสมาชิกสามารถ เคลื่อนย้ายเข้า-ออกประเทศสมาชิกได้อย่างอิสระ จึงทาให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากต่างชาติเข้ามาทางาน ในประเทศไทยเพ่มิ มากขน้ึ นกั ทอ่ งเท่ียวและนักธรุ กจิ ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเท่ียวและลงทุนในประเทศมากขึ้น ทาให้สภาพสังคมความเป็นอยู่ของประชากรเปล่ียนแปลงไปจากเดิม เกิดกลุ่มคนท่ีมีความหลากหลายทาง วัฒนธรรม การเข้ารับบริการทางด้านสาธารณสุขของชาวต่างชาติจึงเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย จากการ เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของผู้รับบริการดังกล่าวทาให้ระบบสาธารณสุขเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ลักษณะของ โรคทเี่ ข้ารบั การรกั ษา ความตอ้ งการเข้ารับการรักษา รวมถึงความแตกต่างดา้ นสังคม ความเช่ือ และวัฒนธรรม ของผู้รับบริการที่มีความแตกต่างกันมากข้ึนส่งผลกระทบต่อการให้บริการทางสุขภาพและผลลัพธ์ในการดูแล สุขภาพ พยาบาลจึงควรมุ่งเน้นการเคารพ ยอมรับ และการเรียนรู้ความแตกต่างหลากหลายทางสังคม วัฒนธรรม และความเช่ือของผรู้ ับบริการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการพยาบาลโดยมีเปูาหมายคือการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และให้สอดคล้องกับแนวคิดการพยาบาลข้ามวัฒนธรรม (transcultural nursing model) 5.1.1 ความหมายของการพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม “การพยาบาล” หมายถึง งานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้รับบริการและครอบครัว ประกอบด้วยงาน 4 ด้าน ได้แก่ การรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การปูองกันโรค และการฟ้ืนฟูสภาพ ผ่านการใช้ กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอน คือ การประเมินสภาพ การวินิจฉัยปัญหา การวางแผนการแก้ปัญหา การปฏิบัติพยาบาล และการประเมินผล พยาบาลจะต้องปฏิบัติงานร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อประโยชน์ของ ผรู้ บั บริการและปฏิบัติงานโดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพในการปฏิบัติการพยาบาล และการผดุงครรภ์ (คณะอนุกรรมการร่างข้อบังคับและระเบียบสภาการพยาบาล, 2542; เลขาธิการสภาการ- พยาบาล, 2555) “ข้ามวัฒนธรรม” หมายถึง การเข้าไปอยู่ด้วยกันของคนหรือกลุ่มคนที่มีความเช่ือมโยงของความ แตกตา่ งของกระบวนการและวิธคี ิด เกยี่ วกับสภาพอันเป็นความเจริญงอกงามทางวัฒนธรรม ได้แก่ พฤติกรรม วาจา ลักษณะนิสัยของคนหรือกลุ่มคนในชาติ ลัทธิ ความเชื่อ ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี อาหารการกิน ศิลปะต่างๆ ตลอดจนการประพฤติปฏิบัติในสังคมและผลิตผลของกิจกรรมท่ีมนุษย์ในสังคมผลิตหรือปรับปรุง ขนึ้ จากธรรมชาตแิ ละเรียนรู้ซ่ึงกัน โดยยึดถือสืบถอดมาถึงปัจจุบัน (เมตตา วิวัฒนากูล, 2548; นิตยา บุญสิงห์, 2554; Leininger, 2002) “การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม (transcultural nursing)” หมายถึง การพยาบาลท่ีเน้นการให้คุณค่า และการปฏิบัติโดยเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างทางวัฒนธรรมของบุคคลหรือกลุ่มคน รวมท้ัง วิเคราะห์พฤติกรรมการดูแลและการให้บริการทางการพยาบาล ค่านิยมเกี่ยวกับความเจ็บปุวย และแบบแผน
การพยาบาลขา้ มวฒั นธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 3 ของพฤตกิ รรมต่างๆ ของคนในเชื้อชาตหิ รอื วฒั นธรรมทีแ่ ตกต่างกัน เพื่อให้การตอบสนองที่สอดคล้องกับความ ตอ้ งการการดแู ลเฉพาะของเช้อื ชาตหิ รือวัฒนธรรมนัน้ (Leininger, 1991; Murphy, 2006) 5.1.2 ความสาคัญของการพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม แนวโน้มการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมมีความสาคัญมากข้ึนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของ ผูร้ บั บริการทาใหร้ ะบบสาธารณสขุ เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ลกั ษณะของโรคที่เขา้ รับการรักษา ความต้องการเข้า รับการรักษา รวมถึงความแตกต่างด้านสังคม ความเช่ือ และวัฒนธรรมของผู้รับบริการที่แตกต่างกันมากข้ึน นอกจากนี้สภาการพยาบาลได้กาหนดนโยบายเพ่ือสนับสนุนการประกาศร่วมมือระหว่าง ประเทศสมาชิก อาเซียนท่ีมุ่งเน้นให้สร้างสังคมแห่งความเอื้ออาทร และดูแลด้านสุขภาพอนามัยให้กับผู้รับบริการในประเทศ อาเซียน ซ่ึงนโยบายดังกล่าวใช้เป็นแนวทางให้พยาบาลวิชาชีพนาข้อมูลทางวัฒนธรรมมาเป็นข้อมูลในการ วางแผนการพยาบาลเพ่ือให้การพยาบาลแก่ผู้รับบริการอย่างเป็นองค์รวมและสอดคล้องกับความต้องการทาง วัฒนธรรมของผูร้ ับบรกิ ารดว้ ย พยาบาลเป็นหน่งึ ในบุคลากรทางด้านสาธารสขุ และเปน็ วชิ าชีพท่ปี ฏบิ ัตงิ านโดยตรงต่อชีวติ สุขภาพและอนามัยของประชาชน หากพยาบาลไม่มีความตระหนักและความรู้เก่ียวกับวัฒนธรรมของ ผรู้ บั บรกิ ารย่อมนาไปสู่ปัญหาความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งด้านความคิด ความเช่ือ ค่านิยม และการปฏิบัติ ระหว่างพยาบาลกับผู้รับบริการ ซึ่งจะส่งผลต่อการฟ้ืนหายจากโรคและสุขภาพของผู้รับบริการ (Giger & Davidhazar, 1995) พยาบาลจึงต้องพัฒนาตนเองให้มีความไว (Sensitive) ในการรับรู้ความแตกต่างทาง วัฒนธรรมของผู้รับบริการ เข้าใจ และตอบสนองความคาดหวังของผู้รับบริการต่างวัฒนธรรมได้มากเพียงใด ก็จะส่งเสรมิ ใหป้ ระสิทธิภาพในการให้การพยาบาลสูงขึน้ ดว้ ย 5.1.3 ทฤษฎีทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับการพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม การพยาบาลข้ามวัฒนธรรมเป็นการนาแนวคิดการพยาบาลแบบองค์รวม (holistic nursing) มาผสมผสานกับแนวคดิ มานุษยวิทยา (anthropology) ใช้เป็นรูปแบบการเรียนและปฏิบัติการพยาบาลท่ีเน้น ความแตกต่างของวัฒนธรรม ซึ่งมีท่ีมาจากแนวคิดเกี่ยวกับการดูแล (caring) ของไลนินเจอร์ (Leininger, 1981) ได้อธิบายการดูแลเชิงวิชาชีพไว้ว่า เป็นการเรียนรู้ทั้งทางวิชาการและทางวัฒนธรรมในเรื่องพฤติกรรม การปฏิบัติ เทคนิคกระบวนการหรือรูปแบบที่จะทาให้สามารถให้ความช่วยเหลือบุคคล ครอบครัว หรือชุมชน เพื่อปรับปรงุ หรือคงรักษาไวซ้ ึง่ สภาพความมสี ขุ ภาพดี หรอื แนวทางการดาเนนิ ชีวติ ทพ่ี อใจ จากแนวคิดการดูแล นี้จึงได้เกิดทฤษฎีการพยาบาลข้ามวัฒนธรรม (Transcultural Nursing) โดยทฤษฎีการพยาบาล ข้ามวัฒนธรรมในสาขาการพยาบาลที่สาคญั ไดแ้ ก่ 5.1.3.1 ทฤษฎีความหลากหลายและความเป็นสากลของการดูแลเชิงวัฒนธรรม (Culture Care Diversity and Universality: Leininger, 1991) ถกู พัฒนาขนึ้ โดย เมดดลิ ีน เอม็ ไลนนิ เจอร์ (Mediline M. Leininger) จากการสังเกตเหน็ ปัญหาความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างผู้รับบริการกับพยาบาล จากส่ิงท่ีประสบนี้เองเธอจึงได้เริ่มทาวิจัย เก่ียวกับการรับรู้ด้านการดูแลผู้รับบริการที่มีวัฒนธรรมท่ีแตกต่างกับผู้ให้บริการ และได้ค้นพบหลักการทาง มานุษยวทิ ยาท่มี ีความสาคญั ต่อการพยาบาล คือ วฒั นธรรมมอี ิทธพิ ลอย่างใกล้ชิดต่อสุขภาพและความเจ็บปุวย (Andrews & Boyle, 2012) จึงได้พัฒนาหลักการนมี้ าเป็นแนวคิดการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมและได้ตั้งทฤษฎี การดูแลเชิงวัฒนธรรมท่ีหลากหลายและเป็นสากล โดยมีจุดเน้นที่การบรรยายและทานายความแตกต่างและ คล้ายคลึงของกิจกรรมการพยาบาลที่ควรปฏิบัติในผู้รับบริการที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ไลนินเจอร์ได้ใช้
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 4 โลกทัศน์ โครงสร้างทางสังคม การส่ือภาษา ประวัติส่วนบุคคล อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อบุคคล และ มาตรฐานของวิชาชีพการพยาบาลมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาวางแผนให้การดูแลตามวัฒนธรรม พ้ืนฐานองค์ประกอบทางวัฒนธรรมนี้เป็นท่ียอมรับว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการแสดงออก และประสบการณ์ ของบุคคลในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับสุขภาพ ความเจ็บปุวยและคุณภาพชีวิต ตลอดจนการเผชิญความเจ็บปวด ความพิการ และความตาย สาหรับหลักการพยาบาลข้ามวัฒนธรรมตามแนวคิดของไลนินเจอร์นั้นได้มีการ พจิ ารณาองค์ประกอบทมี่ ีความสาคัญสาหรบั การสร้างแนวคิด 8 ประการ คือ 1) การโยกยา้ ยถ่ินฐานของกลมุ่ คน มีการเพม่ิ จานวนการเคลอื่ นย้ายของคนจาก ประเทศต่างๆ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซ่ึงกลุ่มคนท่ีมีการย้ายถ่ินฐานน้ันย่อมนาวัฒนธรรมท่ี คุน้ ชนิ ติดตวั มาด้วย จึงทาให้เกิดชมุ ชนท่มี วี ัฒนธรรมหลากหลายเพิม่ ขนึ้ การให้บริการด้านสุขภาพจึงต้องมีการ พิจารณาถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมร่วมด้วย ซ่ึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมนี้ครอบคลุมถึงศาสนา เพศ อายุ การศึกษา เชือ้ ชาติ เผ่าพันธ์ุ บ้านเกดิ การมปี ฏสิ มั พันธ์กบั บคุ คลตา่ งเพศ ความด้อยโอกาส สมรรถนะทาง ร่างกาย สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนลักษณะแฝงท่ีถูกหล่อหลอมมาของแต่ละบุคคลและ ชมุ ชน เปน็ ตน้ 2) ชมุ ชนมคี วามคาดหวงั เก่ียวกับการยอมรบั จากผู้ใหบ้ ริการดา้ นสุขภาพที่มคี วาม เป็นสากล ให้เกียรติ และยอมรับในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท่ีเกี่ยวกับความเชื่อ ค่านิยม และการดาเนินวิถี ชวี ิตของบุคคลทมี่ วี ฒั นธรรมทีแ่ ตกตา่ งกนั 3) มกี ารนาเทคโนโลยีมาใชใ้ นการดแู ลสขุ ภาพมากขึ้น จนอาจทาให้เกิดความ ขัดแยง้ ต่อค่านยิ มและความเชือ่ ทางวัฒนธรรมของผู้รับบริการได้ เช่น การไม่ยอมรับการคุมกาเนิดของกลุ่มคน ท่ีนับถือศาสนาบางศาสนาหรือบางนิกาย การปฏิเสธการทาแท้ง การปฏิเสธการนาเคร่ืองช่วยหายใจและ ออกซิเจนมารกั ษาตอ่ ทบี่ า้ น เป็นต้น 4) ความขดั แยง้ ทน่ี าไปสูก่ ารตอ่ สูแ้ ละสงครามระหว่างกลุ่มคนทน่ี ับถือศาสนาและ วัฒนธรรมทแ่ี ตกตา่ งกนั ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบตอ่ การดูแลสุขภาพในแง่ของความรังเกียจ และอคติต่อบุคคลท่ี มีวัฒนธรรมต่างกัน 5) การทอ่ งเทีย่ วโยกยา้ ยถ่ินฐานเพ่ือประกอบอาชพี ในสังคมโลกและเมืองใหญ่ๆ 6) การใหบ้ ริการสุขภาพที่ขาดความเข้าใจเกยี่ วกบั วฒั นธรรมของผรู้ ับบริการทาให้ ผู้ที่ให้บริการด้านสุขภาพมีความเส่ียงต่อการถูกฟูองร้องมากขึ้น เนื่องจากมีการแปลความหมายของวิธีการ ปฏิบัติในบางประเด็น เช่น ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ความประมาท เลินเล่อ ละเลย เพิกเฉย ขาดความ เอาใจใส่ หรอื ขาดความรู้ที่จาเปน็ สาหรบั การปฏิบัติงาน 7) มกี ารบงั คบั ใชก้ ฎหมายเกย่ี วกบั สทิ ธิสตรีและการกีดกนั ทางเพศมากขึน้ ทาใหม้ ี การยกมาตรฐานการดแู ลสขุ ภาพของเดก็ และสตรสี ูงขึ้น 8) ปรมิ าณความตอ้ งการบรกิ ารสขุ ภาพทคี่ านงึ ถึงพน้ื ฐานของความแตกต่างทาง วฒั นธรรมของผ้รู บั บริการในชุมชนมมี ากขน้ึ จากแนวคิดดังกล่าว ไลนินเจอร์จึงได้พัฒนาแบบจาลองซันไรส์ขึ้น (Sunrise Model) ซ่ึงเป็นโมเดลท่ี พัฒนาขน้ึ เพื่ออธิบายถงึ สิ่งต่างๆ ที่มผี ลตอ่ แนวคิดและวิถีชีวิตของคนในแต่ละสังคม ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทาง สาหรับพยาบาลในการทาความเข้าใจเก่ียวกับความแตกต่างและความคล้ายคลึงกันในการดูแลช่วยเหลือของ สังคมแตล่ ะแบบ ดังแผนภาพที่ 1
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพง็ 5 แผนภาพท่ี: 1 Sunrise Model ท่ีมา: Leininger, M. (2001). Culture care diversity and universality: A theory of nursing: Jones and Barlett Publishers.
การพยาบาลขา้ มวฒั นธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 6 มโนทัศน์การดแู ลในรูปแบบ “ซนั ไรสโ์ มเดล (Sunrise Model)” ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คอื ส่วนที่ 1 ส่วนบนของคร่ึงวงกลมแสดงถึงองค์ประกอบเชิงวัฒนธรรมท่ีมีอิทธิพลต่อ การแสดงออกด้านสุขภาพของแต่ละเช้ือชาติ เช่น ค่านิยม ความเชื่อ และการปฏิบัติการดูแลเชิงวัฒนธรรมที่ รับอิทธิพลมาจากวิถีชีวิตและค่านิยมในวัฒนธรรม ปัจจัยทางสังคม ศาสนาและปรัชญา เทคโนโลยี กฎหมาย และนโยบาย เศรษฐกิจ และการศึกษา สว่ นท่ี 2 แสดงถงึ รูปแบบการดูแลสขุ ภาพแบบองค์รวมในระบบบริการสุขภาพ ซ่ึงไลนินเจอร์ เช่อื วา่ ทุกวัฒนธรรมจะมรี ะบบการดแู ล 2 ระบบ คือ (1) ระบบการดแู ลพื้นบา้ น (folk/indigenous or naturalistic lay care system) เป็นการถา่ ยทอดความร้แู ละทักษะการดแู ลสุขภาพจากรุ่นหนง่ึ มาสู่อกี รนุ่ หนง่ึ ตามธรรมชาติ (2) ระบบการดแู ลสุขภาพเชงิ วิชาชพี (professional health care system) เป็นการนาแนวคิดทางวัฒนธรรมมาใช้ในการตัดสินใจเลือกวางแผนการพยาบาล โดยเน้นให้ ผู้รับบริการมสี ่วนรว่ มในการตัดสินใจเลอื กวธิ ีการรกั ษาพยาบาลที่เหมาะสม ไลนนิ เจอร์จึงใชแ้ นวคิดน้กี าหนดเป็นแนวทางใหพ้ ยาบาลวชิ าชีพตัดสนิ ใจเลอื กปฏบิ ัติการ พยาบาลที่เหมาะสมกบั วฒั นธรรมของผู้รับบรกิ ารเปน็ 3 แนวทาง คือ 1) แนวทางการพยาบาลทคี่ งไวซ้ งึ่ การดูแลและเคารพวัฒนธรรมของ ผู้รับบริการ (Cultural care preservation / Maintenance) เป็นการตัดสินใจให้การพยาบาลโดย ยอมรับและคงไว้ซึ่งค่านิยม วิถีชีวิต และความเช่ือของผู้รับบริการ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการรักษา สุขภาพ 2) แนวทางการปรบั กระบวนการพยาบาลท่ีชว่ ยใหผ้ รู้ บั บริการสามารถเรียนรู้ เพ่ือปรับตัวและต่อรองกับทีมสุขภาพในเรื่องการรักษาพยาบาลที่เปล่ียนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อย (Cultural care accommodation / negotiation) เป็นการตัดสินใจให้การพยาบาลโดยการช่วยเหลือ สนับสนุนให้ผู้รับบริการมีการเจรจาต่อรอง เพ่ือให้ได้แนวทางการรักษาที่มีประโยชน์ตามความคิดเห็นของทีม สุขภาพและผูร้ ับบริการพึงพอใจสูงสุด 3) แนวทางการจดั กระบวนการพยาบาลทชี่ ่วยใหผ้ รู้ บั บรกิ ารเปลี่ยนแปลงวถิ ี การดารงชีวิตของตนให้เข้ากับรูปแบบการดูแลสุขภาพตามทีมสุขภาพกาหนด (Cultural care repatterning / restructuring) เปน็ การตดั สินใจให้การพยาบาลโดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวติ ของผู้รับบริการ และยอมรับแนวทางการรักษาพยาบาลจากทีมสุขภาพท้ังหมด โดยมุ่งประโยชน์สูงสุดในการรักษาพยาบาล มากกว่าความพึงพอใจของผูร้ ับบรกิ าร สรุปได้ว่าองค์ประกอบที่สาคัญท่ีจะช่วยแนะว่าบุคคล ครอบครัว ชุมชน มีความต้องการและ แบบแผนการปฏิบัติในการดูแลสุขภาพเป็นอย่างไร ได้แก่ การมองโลกของบุคคล และมิติโครงสร้างทางสังคม และวัฒนธรรม ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี ศาสนาและปรัชญา เครือญาติและ สังคม ค่านยิ มและวิถีชีวิตเชิงวัฒนธรรม การเมืองและกฎหมาย เศรษฐกิจ และการศึกษา ซ่ึงมีแบบแผนท่ีเป็น พลวัต มีโครงสร้างท่ีเก่ียวข้องกันและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในบริบทส่ิงแวดล้อมที่ต่างกัน การปฏิบัติการดูแลสุขภาพแบ่งออกเป็นระบบสุขภาพแบบพื้นบ้าน ระบบสุขภาพเชิงวิชาชีพและการพยาบาล พยาบาลเป็นตัวเช่ือมโยงทั้งสองระบบเข้าด้วยกันโดยพยาบาลจะต้อง “มีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับ วัฒนธรรมของผู้รับบริการและปัจจัยท่ีแตกต่างที่มีอิทธิพลต่อความต้องการจาเป็นและวิถีการดารงชีวิต” และ
การพยาบาลขา้ มวฒั นธรรม : อาจารยจ์ ตุพร จารองเพ็ง 7 เสนอแนะแนวทางที่ใช้ในการตัดสินใจและปฏิบัติต่อผู้รับบริการ ได้แก่ การคงไว้ การปรับปรุงหรือการ เปลีย่ นแปลงการดูแลสุขภาพของบคุ คลบนความร่วมมือกันระหวา่ งพยาบาลและผูร้ ับบริการ 5.1.3.2 แบบจาลองสมรรถนะทางวัฒนธรรมของ Campinha-Bacote (Campinha-Bacote’s process of cultural competence model, 1999) Campinha-Bacote ไดใ้ หค้ วามหมายของสมรรถนะทางวฒั นธรรมไว้ว่าเป็น กระบวนการพฒั นาอย่างตอ่ เนอื่ งของบุคคล เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความสามารถในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพใน บริบทท่ีมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม (Campinha-Bacote, 1999: 203; Sun, 2004: 96; Giger et al., 2007: 98) และแบบจาลองสมรรถนะทางวัฒนธรรมน้ีเป็นรูปแบบการดูแลสุขภาพเฉพาะสอดรับกับ ผ้รู ับบริการแต่ละวฒั นธรรม โดยเน้นกระบวนการพัฒนาสมรรถนะทางวัฒนธรรมของผู้ให้บริการ ซึ่งสมรรถนะ ทางวัฒนธรรมเป็นพฤติกรรม ความรู้ และทัศนคติของผู้ให้บริการท่ีสอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมของ ผู้รับบริการและความต้องการการดูแลทางวัฒนธรรมของผู้รับบริการอย่างต่อเน่ือง โดยผู้ให้บริการต้องแสดง พฤตกิ รรมการใหเ้ กียรติและยอมรบั ในลัทธิ ความเชอื่ ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี อาหารการกิน เครื่องใช้ ไม้สอย ศิลปะต่างๆ ตลอดท้ังการประพฤติปฏิบัติในสังคม และผู้รับบริการต้องมีส่วนร่วมในการเลือกวิธีการ ปฏบิ ตั ใิ นการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องจนผู้รับบริการหายจากการเจ็บปุวย ซ่ึงประกอบด้วยสมรรถนะ 5 ด้าน (Campinha-Bacote, 2002: 181-184) ดงั แผนภาพท่ี 2 แผนภาพที่: 2 Process of cultural competence in delivery of health care services ที่มา: Campinha-Bacote, J. (1998). The process of cultural competence in delivery of health care services (3rd ed.). Cincinnati, OH: Transcultural C.A.R.E. Associates Press.
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตุพร จารองเพง็ 8 สมรรถนะทางวัฒนธรรม 5 ด้าน ของ Campinha-Bacote 1) การตระหนักรเู้ ก่ยี วกบั วัฒนธรรม (Cultural awareness) หมายถึง ความ ตระหนกั ร้แู ละความสามารถของพยาบาลในการประเมินตนเองว่า มีความคิด ความเชื่อต่อผู้รับบริการอย่างไร ท่ีอาจจะทาให้เกิดความลาเอียง (bias) การไม่ยอมรับในความคิด ความเช่ือ และการปฏิบัติเก่ียวกับสุขภาพ ของตนเอง และตระหนักรู้ว่า ความคิด ความเช่ือ การปฏิบัติของผู้รับบริการอาจมีผลต่อสุขภาพทั้งด้านบวก และลบ โดยมาตีค่าถูก ผิด ดังนั้น ประเด็นท่ีพยาบาลต้องถามหรือประเมินตนเองก่อนเสมอ เช่น ท่านมี ความคิดในทางลบตอ่ ผู้รับบริการมาก่อนหรอื ไม่ เพราะความแตกตา่ งในสถานภาพทางสงั คม ความเช่ือ ค่านิยม การปฏิบัติของผู้อ่ืนต่างไปจากตนเอง ท่าน มีการกาหนดภาพลักษณ์แบบเหมารวม (stereotype) ของผู้รับบริการบางกลุ่มมาก่อนหรือไม่ หรือท่านมีการกาหนดคุณค่าและการตีตรา (stigma) ในทางลบให้ ผูร้ ับบริการมากอ่ นหรอื ไม่ เช่น ผตู้ ิดเชอ้ื เอชไอวีมกั มาจากการมีพฤตกิ รรมสาส่อนทางเพศ เปน็ ตน้ 2) การมอี งค์ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม (Cultural knowledge) หมายถึง ความรู้ในวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย กระบวนการทางสังคม ศาสนา วัฒนธรรม แบบแผนทางสังคมของชุมชน วิถีชุมชน ประเพณี พิธีกรรมท่ีเก่ียวกับสุขภาพ การรักษาพื้นบ้าน การปฏิบัติตนที่เก่ียวกับสุขภาพของชุมชน ซ่ึงจะทาให้พยาบาลเข้าใจความคิด ความเช่ือ ค่านิยมของผู้รับบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิด ความเช่ือ คา่ นิยมเกีย่ วกบั สขุ ภาพ และปัจจยั ท่ีอาจมีผลต่อสขุ ภาพ 3) การมีทักษะเกี่ยวกบั วัฒนธรรม (Cultural skill) หมายถึง ความสามารถใน การประเมิน (assessment) และมีปฏิสัมพันธ์ (encounter) บนความคิด ความเช่ือ ค่านิยม และการปฏิบัติ ตนเก่ียวกับสุขภาพ และประเมินปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้รับบริการ เพื่อนามาใช้ในการวางแผน ร่วมกันในการดูแลสุขภาพของผู้รับบริการ และการสร้างความร่วมมือกับผู้รับบริการต่างวัฒนธรรม เพื่อให้ บรรลุเปูาหมายสุขภาพดีอย่างเป็นองค์รวม (Holistic health) โดยมีทักษะในการสื่อสารทั้งด้านภาษา และ ทา่ ทางท่ีเหมาะสม ทาใหก้ ารมปี ฏิสัมพนั ธ์กับบุคคลท่ีมคี วามแตกตา่ ง เกิดความร้สู กึ ท่ีดีตอ่ กนั ไว้วางใจ ไม่ทาให้ เกดิ ความรูส้ ึกถูกลบหลู่ ด้อยคา่ ซึง่ จะนาไปสู่ความขดั แยง้ และการปฏิเสธ 4) ความสามารถในการมีปฏิสัมพันธก์ ับผใู้ ชบ้ ริการต่างวฒั นธรรม (Cultural encounter) หมายถึง ความสามารถในการปฏิบัติการพยาบาลกับผู้รับบริการที่มีภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่ แตกต่างกัน กล่าวคือ ย่ิงสนับสนุนส่งเสริมให้มีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์มากข้ึนจะทาให้พยาบาลมีสมรรถนะ ทางวัฒนธรรมเพม่ิ ขน้ึ 5) ความปรารถนาที่จะมีสมรรถนะทางวฒั นธรรม (Cultural desire) หมายถึง แรงจูงใจใฝุสัมฤทธ์ิที่พยาบาลมุ่งม่ันในการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อให้การพยาบาลผู้รับบริการข้าม วัฒนธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การปรารถนาท่ีจะตระหนักรู้ พัฒนาองค์ความรู้ พัฒนาทักษะ และ ความสามารถในการมปี ฏิสัมพนั ธ์กบั ผรู้ ับบริการข้ามวฒั นธรรม จากแบบจาลองสมรรถนะทางวัฒนธรรมของ Campinha-Bacote จะเห็นได้ว่าเป็นกระบวนการที่ บุคลากรด้านสุขภาพพยายามอย่างต่อเน่ืองที่จะทางานในบริบททางวัฒนธรรมของผู้รับบริการเป็นรายบุคคล ครอบครัว และชุมชนอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ โดยเนน้ การปฏบิ ัติเชิงวัฒนธรรมผ่าน ความตระหนักทางวัฒนธรรม ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ทักษะทางวัฒนธรรม การมีปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม และความปรารถนาท่ีจะมี สมรรถนะทางวฒั นธรรม
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตุพร จารองเพง็ 9 5.1.3.3 แบบจาลองสมรรถนะทางวัฒนธรรมของ Purnell (Purnell’s Model of Cultural Competence, 2002) พัฒนาข้ึนบนพ้ืนฐานความเชื่อที่ว่า ในทุกวัฒนธรรมจะมีวัฒนธรรมย่อย กลุ่มชาติพันธ์ุหรือ กลุม่ ประชากรที่มวี ัฒนธรรมตามเช้อื ชาติ และกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากวัฒนธรรมหลัก ซึ่งกลุ่มคนน้ัน มคี วามตระหนกั ว่าตนเองแตกตา่ งจากคนอน่ื นอกจากน้ีบุคคลที่มาจากวัฒนธรรมเดียวกันอาจมีมุมมองต่อโลก ท่ีแตกต่างกัน เน่ืองจากวัฒนธรรมย่อยของบุคคลน้ัน (Purnell, 2005) โดยแนวคิดนี้ประกอบด้วย 4 วงล้อ ประกอบด้วย วงล้อรอบนอก คือ สังคมภายนอกของบุคคล (Global society) วงล้อรอบที่สอง คือ ชุมชน (Community) วงล้อรอบท่สี าม คอื ครอบครัว (Family) และวงลอ้ ด้านในสุดคือตัวบุคคล (Person) แสดงให้ เห็นว่าบุคคลมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว ชุมชน และสังคมระดับชาติและโลก และท่ี สาคัญคอื ภายในตวั บคุ คลยังประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสาคญั 12 สว่ น ได้แก่ 1) แหล่งทีอ่ ยอู่ าศยั /ประเพณี (Overview/heritage) 2) การตดิ ต่อสอ่ื สาร (Communication) 3) บาทบาทและหน้าทใ่ี นครอบครวั หรือในองค์กร (Family roles and organization) 4) หน้าทก่ี ารงาน อาชีพ (Workforce issues) 5) ลกั ษณะทางชีวนิเทศวิทยา (Bioculturalecology) 6) พฤตกิ รรมเสี่ยงต่อสขุ ภาพ (High-risk behaviors) 7) ภาวะโภชนาการ (Nutrition) 8) การต้ังครรภ์ และการคลอด (Pregnancy and childbearing practices) 9) พิธกี รรมเกยี่ วกบั การตาย (Death rituals) 10) จิตวิญญาณ (Spirituality) 11) การดแู ลสขุ ภาพ (Health care practice) 12) ผู้ใหก้ ารดแู ลสุขภาพ (Health care practitioners) โดย Purnell ได้เสนอแนวคิดสมรรถนะด้านวัฒนธรรมว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอย่าง ตอ่ เน่ือง 4 ระดับ ทีม่ กี ารพัฒนาไปเรือ่ ยๆ กล่าวคือ บุคคลจะพัฒนาจากระยะของการไม่รู้คิดในเร่ืองสมรรถนะ (Unconsciously incompetent) คือ ไม่ตระหนักถึงเร่ืองที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของผู้อ่ืน ไปสู่ระยะของการรู้ คิดว่าตนเองไม่มสี มรรถนะ (Consciously incompetent) คอื รู้ว่าตนเองขาดความรู้เก่ียวกับวัฒนธรรมของ ผู้อ่ืน ระยะของการรู้ถึงการมีสมรรถนะ (Consciously competent) คือ เกิดการเรียนรู้วัฒนธรรมของ ผู้รับบริการและสามารถให้การบริการที่เหมาะสมได้ จนถึง ระยะของการมีสมรรถนะโดยไม่รู้ตัว (Unconsciously competent) คือ สามารถให้บรกิ ารทีเ่ หมาะสมกับวัฒนธรรมของผู้รับบริการอย่างอัตโนมัติ ดังแผนภาพท่ี 3
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 10 แผนภาพที่ 3: The Purnell model for cultural competence ท่ีมา: Purnell, L. (2002). The Purnell model for cultural competence. Journal of Transcultural Nursing, 13(3), 193-197. จะเห็นได้ว่าในแต่ละองค์ประกอบมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน เป็นกรอบแนวคิดท่ีใช้ในการ ประเมินสภาพ ปฏิบัติการพยาบาล และประเมินผลการปฏิบัติ ท้ังน้ีบุคลากรทางการแพทย์จะต้องตระหนัก เคารพ และบรู ณาการความเชื่อ และการปฏิบัติทางวัฒนธรรมของผู้รับบริการเข้าไปในแผนการรักษาพยาบาล เน่ืองจากวัฒนธรรมเป็นส่ิงที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติโดยไม่รู้สึกตัว และมีพลังอานาจส่งผลต่อสุขภาพและความ เจบ็ ปุวย
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 11 5.2 การแสวงหาการรกั ษา 5.2.1 การแสวงหาการรักษา คริสแมน (Chrisman, 1977) ได้เสนอแนวคิดว่าบุคคลมีพฤติกรรมการแสวงหาการรักษาเป็นขั้นตอน เร่ิมต้ังแต่การให้ความหมายความเจ็บปุวย การปรึกษาบุคคลใกล้ชิด การรักษา การเปล่ียนบทบาทเป็นผู้ปุวย และการประเมินผลการรักษาโดยผู้ปุวยและเครือข่ายทางสังคม นอกจากน้ันคริสแมนยังได้เสนอแนวความคิด ว่า ในกระบวนการทางสังคมของการรักษามี 2 ข้ันตอน คือ ขั้นตอนของกระบวนการเปล่ียนบทบาทและ กจิ วัตรประจาวันต่าง ๆ ของบุคคลอันเน่ืองมาจากความเจ็บปุวยและข้ันตอนของกระบวนการปรึกษาหรือการ ส่งต่อ เพ่ือการรักษาโดยบุคคลใกล้ชิดท่ีมิได้เป็นบุคคลทางการแพทย์หากแต่เป็นบุคคลท่ีมีบทบาทในการให้ คาแนะนาการดูแลรักษารวมท้ังช่วยทาการประเมินและสรุปการรักษาด้วย ซ่ึงแนวคิดนี้จะเกิดขึ้นเป็นอันดับ หลังต่อจากชว่ งทบ่ี ทบาทหรอื กิจวัตรประจาวนั ของผูป้ วุ ยเปล่ียนไป ยังมีกระบวนการในการแสวงหาพฤติกรรม แสวงหาการรักษาเยยี วยาหรือการดแู ลตนเอง 5 ข้ันตอน ดังน้ี 1. ขน้ั ตอนใหค้ วามหมายต่อความเจบ็ ปุวย (Symptom Definition) ขัน้ ตอนนี้ถือเปน็ ขั้นตอนท่ีสาคัญท่สี ดุ ของทกุ ขน้ั ตอน ขนั้ ตอนนี้จะนามาซ่ึงการตัดสินใจ และเลอื กวธิ กี ารเยยี วยา 2. ขั้นตอนการปรกึ ษาบคุ คลใกลช้ ดิ (Lay Consultation) ครสิ แมนได้กล่าววา่ บุคคลใกล้ชดิ หรือเครือข่ายทางสังคม (Social Network) มีบทบาทต่อความเจ็บปุวยทั้งในด้านการให้ความหมายต่ออาการ การรับรองว่าปุวย ให้คาแนะนาและเสนอวิธีการรักษา ซ่ึงอาจจะช่วยให้บุคคลท่ีกาลังเจ็บปุวย สามารถ ตดั สินใจเลือกการเยียวยารกั ษาตนเองได้ รวมตลอดถึงมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผลการรกั ษาด้วย 3. ขนั้ ตอนการประเมนิ ผล (Adherence and Evaluation) เมอื่ ผูป้ วุ ยหรือญาติได้เลอื กการ รักษาใดๆ ก็ตามแล้ว เมื่อสิ้นสุดกระบวนการรักษาผู้ปุวย บุคคลใกล้ชิดหรือเครือข่ายทางสังคมจะมีการ ประเมินผลการรักษาอยู่ตลอดเวลา โดยมีการประเมินจากอาการผิดปกติท่ีทุเลาลงหรือหายไป ทาให้ได้รับ ภาวะสขุ ภาพดกี ลบั คนื มา 4. พฤติกรรมการเลอื กแหลง่ รักษาพยาบาล ในการอธบิ ายแนวคดิ พฤตกิ รรมการตัดสนิ ใจ เลือกแหล่งและวธิ กี ารรกั ษาพยาบาลที่มีอยใู่ นสังคม ยังก์ (Jame C. Young, 1981) ได้เสนอว่าเม่ือบุคคลเกิดมี อาการผิดปกติหรืออาการเจ็บปุวยเกิดขึ้นย่อมจะแสดงพฤติกรรมตัดสินใจเลือกแหล่งและวิธีการรักษาโดยอยู่ บนพ้ืนฐานความรุนแรงของความเจ็บปุวย (Gravity of Perceived Seriousness of Illness) เป็นการรับรู้ถึง ลกั ษณะอาการความเจบ็ ปุวยของบุคคล ญาติ และเพ่อื นสนทิ ซง่ึ จดั วา่ เป็นปัจจยั สาคัญที่สุดประการแรกในการ ตดั สนิ ใจเลอื กแหล่ง หรอื วิธีการรักษา ถา้ การเจบ็ ปุวยนัน้ ผปู้ ุวยรู้วา่ รนุ แรงมาก ผปู้ ุวยและบุคคลในครอบครัวจะ ตัดสินใจเลือกแหล่งบริการรักษาที่คิดว่ามีประสิทธิภาพมากท่ีสุด โดยเหตุผลในการตัดสินใจเลือกวิธีการ เยียวยารักษา หรือการเลือกสถานบริการ จะเกิดขึ้นภายหลังจากท่ีญาติหรือตัวผู้ปุวยได้ให้การนิยามให้ ความหมายโรคก่อน ภายใต้สังคมและวัฒนธรรมของชุมชน และประสบการณก์ ารเยยี วยาของคนในชุมชน 5. ความเชือ่ ถือในผลของวธิ ีการรกั ษา (Faith of Perceived Benefit of Taking Action) การที่บุคคลที่มีความเชื่อในวิธีการรักษาแต่ละวิธีว่าสามารถทาให้ความเจ็บปุวยท่ีเป็นอยู่หายได้จริง ก็จะเลือก วิธีการรักษาตามความเชื่อถือศรัทธาในประสิทธิภาพของวิธีการรักษาน้ัน ซึ่งจะนามาซึ่งการตัดสินใจเลือกใช้ แหล่งบริการรักษาพยาบาลตอ่ ไป หากไมม่ ีการเปลีย่ นแปลงของการเจ็บปุวยไปจากเดิม
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพง็ 12 5.2.2 สขุ ภาพทางเลอื ก (Alternative Health/Alternative medicine) สุขภาพทางเลือกหรือการแพทย์ทางเลือก หมายถึง รูปแบบวิธีการดูแลส่งเสริมสุขภาพที่มิใช่ การแพทย์หลัก หรือวิธีการดูแลรักษาสุขภาพตนเองหรือได้รับจากผู้อื่น นอกเหนือจากระบบวิธีการแพทย์ แผนปัจจุบัน เทคนิคการรักษาส่วนใหญ่จะมีลักษณะ “ไม่กระทาต่อร่างกายอย่างรุนแรง” (Non-invasive) หรือ “ไม่ใช้เภสัชภัณฑ์ท่ีมีสารเคมี” (Non-pharmaceutical) มีหลักการท่ีมุ่งเน้นมากท่ีสุด คือ มิใช่การละทิ้ง หรือเปลี่ยนรูปแบบการรักษาหากเป็นการรักษาเสริมเพิ่มเติมควบคู่กันไปกับการ รักษาพยาบาลแผนปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ปุวยหรือผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ซ่ึง ระบบการรักษาพยาบาลแบบเสริมน้ีจะช่วยให้ผู้ปุวยผ่อนคลายลดความเครียด ลดความวิตกกังวล เสริมสร้าง กาลังใจ สอดคลอ้ งกบั คา่ นยิ ม ความเช่อื และศรัทธาของผู้ปุวยและครอบครัว จึงช่วยเสริมประสิทธิผลของการ รักษาพยาบาลแผนปัจจุบัน และลดความทุกข์ทรมานจากภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงของวิธีการ รักษาพยาบาลแผนปัจจุบัน ท้ังจากยา เครื่องมือพิเศษ อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ ย่ิงไปกว่าน้ัน หลักการของ Complementary Care ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Care) จึงสามารถ นาไปประยุกต์ใช้ในการสรา้ งเสริมสุขภาพให้แกป่ ระชาชนทั่วไปให้มสี ุขภาพดอี ยา่ งย่ังยืน จะเห็นได้ว่าจากนิยาม Alternative Health/Alternative medicine ดังกล่าว ในปัจจุบันมีแนวโน้มมากข้ึนท่ีจะมองว่าการรักษาทุก ระบบที่ดารงอยู่ในสังคมต่างก็ล้วนแต่มีฐานะเป็น “ทางเลือก” ด้วยกันท้ังส้ิน และมีจุดแข็งจุดอ่อนท่ีต่างกัน แม้กระท่ังองค์การอนามัยโลกยังได้เสนอทัศนะที่เน้นความเป็นไปได้ของแต่ละระบบการแพทย์ที่จะเสริมหรือ ชดเชยส่วนที่ระบบการแพทย์อื่นขาดไปหรือไม่สมบูรณ์ ซึ่งการเสริมหรือชดเชยนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น Complementary Medicine 5.2.2.1 สภาพการณ์ปัญหาท่ีนาไปสกู่ ระแสความนยิ มในศาสตรส์ ขุ ภาพทางเลอื ก ความตน่ื ตวั ในการแสวงหาและใช้บริการสุขภาพทางเลือก/การแพทย์ทางเลอื ก มีรากฐานมา จากปจั จยั หลายประการ (โกมาตร จงึ เสถยี รทรัพย์, 2553) คอื 1) สถานะสขุ ภาพและแบบแผนความเจ็บปวุ ยของประชาชน ในปจั จุบันปญั หาสขุ ภาพ อนามัยของประชาชนได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมท่ีมีความสลับซับซ้อนมากข้ึน การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนในด้านสภาวะสุขภาพอนามัยคือ ประชาชนตายเน่ืองจากโรคไม่ติดต่อท่ีมี แนวโน้มท่ีสูงข้ึน เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด อุบัติเหตุ โรคเบาหวาน และโรคโลหิตจาง รวมถึง โรคติดต่อร้ายแรง คือโรคเอดส์ ตลอดจนภาวะความเครียด ปัญหาสุขภาพจิตและโรคจากปัญหาอาชีวอนามัย และอนามัยส่ิงแวดล้อมโรคต่าง ๆ เหล่านี้มีส่วนทาให้ประชาชนแสวงหาทางเลือกอ่ืน ๆ นอกเหนือจาก การแพทยแ์ ผนปจั จบุ ัน ท้งั น้ีสว่ นหนึง่ เปน็ เพราะการแพทย์แผนปัจจบุ ันเองก็ไม่สามารถรักษาโรคต่าง ๆ เหล่าน้ี ให้หายขาดได้ และยังมีขอ้ จากดั ในการสนองความพงึ พอใจของผู้ปุวยท่ีมีปัญหาจากโรคเหล่าน้ี ในขณะเดียวกัน ประชาชนมีทัศนะว่าการแพทย์แผนปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพสูงเฉพาะในกลุ่มโรคปัจจุบันและโรคติดเช้ือต่าง ๆ ทาให้แพทย์และศาสตร์สุขภาพทางเลือกที่เสนอแนวคิดและทางออกท่ีแตกต่างต่อปัญหาสุขภาพเหล่าน้ีได้ กลายเป็นทางเลอื กใหม่ของประชาชนมากข้ึน 2) ข้อจากดั ของการแพทยแ์ ผนปจั จุบันข้อจากดั ของระบบการแพทยแ์ ผนปจั จุบนั หรือ การแพทยแ์ บบชวี ภาพ (Biomedicine) ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการแพทย์แบบแยกส่วน และลดส่วน (Ato- mistic and Reductive medicine) โดยจะเน้นการแก้ปัญหาที่ตัวผู้ปุวยแบบแยกส่วนเฉพาะโรค/เฉพาะ ปัญหา ใหก้ ารรกั ษาขจดั ความผดิ ปกตอิ ันเกิดขึ้นในอวัยวะส่วนน้ัน โดยไม่พิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ครอบครัว การงาน ชีวิตสังคม พฤติกรรมสุขภาพ เป็นต้น ซ่ึงแตกต่างจากระบบการแพทย์แบบองค์รวม (Holistic medicine) ซ่ึงมีความเช่ือมโยงกันระหว่างส่วนต่าง ๆภายในร่างกาย ด้านจิตใจ จิตวิญญาณ สังคม
การพยาบาลขา้ มวฒั นธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 13 และส่ิงแวดล้อมการรักษาเน้นการวินิจฉัยประเมินทุกด้านและทุกสถานการณ์ที่เก่ียวข้องกับผู้ปุวย ท้ังภาวะ จิตใจ จติ สานกึ และความร้ขู องผปู้ ุวยมคี วามจาเปน็ ต่อความสาเร็จในการรักษาความเจบ็ ปุวย 3) ความตื่นตัวด้านสุขภาพ สมุนไพร และกระแสคนื สธู่ รรมชาติกระแสความใสใ่ จด้าน สุขภาพ และการคืนสู่ธรรมชาติกลายเป็นทางเลือกของวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่ห่างไกลจากธรรมชาติแวดล้อม เริ่ม จากความสนใจด้านสมุนไพรที่ก่อตัวขึ้น และต่อเนื่องมาในราว 2 - 3 ทศวรรษท่ีผ่านมา เน่ืองจากความ เจ็บปุวยด้วยโรคท่ีเกิดจากส่ิงแวดล้อมและสารเคมีมากข้ึน จึงมีการผลิตผลิตภัณฑ์อันเก่ียวกับสมุนไพร ออกจาหน่ายกวา้ งขวางย่ิงข้นึ มากไม่เฉพาะแต่ยาสมุนไพรเท่าน้ัน หากแต่รวมถึงกลุ่มอาหารเสริม เครื่องสาอาง จากสมุนไพร และผลติ ภณั ฑ์ธรรมชาตแิ บบตา่ ง ๆ 5.2.2.2 การจัดระบบศาสตร์สุขภาพทางเลือก Office of Alternative Medicine, National Institutes of Health, USA หรือ OAM ได้จัดแบ่งกลุ่มศาสตร์และเทคนิคสุขภาพทางเลือกออกเป็นประเภท ตา่ ง ๆ ดงั น้ี (Office of Alternative Medicine, 2005) 1) วิธีการระบบการแพทย์ทางเลือกท่ีปฏบิ ัติมาโดยการใช้ตอ่ ๆ กันมา (Alternative System of Medical practices) หมายถึง กลุ่มศาสตร์ที่มีรากฐานจากการแพทย์พื้นบ้านในระดับการดูแล สุขภาพด้วยตนเอง (Self-care) และให้การบาบัดรักษาที่เป็นระบบสืบทอดมาเป็นการแพทย์แผนประเพณี (Alternative Traditional Practices) ได้แก่ การฝังเข็มการแพทย์อายุรเวทของอินเดีย (Ayurveda) คือ การใช้อาหาร การออกกาลังกาย และการปฏิบัติสมาธิแบบอายุรเวทการบาบัดรักษาโดยรากฐานภายในชุมชน (Community Based Health Care Practices) โฮมิโอพาที (Homeopathic Medicine) ซึ่งเป็นการ ปูอนสารบางอย่างทเี่ ปน็ สารท่ีทาใหเ้ กิดอาการโรคของผู้ปุวยเข้าไปในร่างกายแต่ในปริมาณน้อยสารดังกล่าวจะ ไปกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันต้านต่อโรคนั้น คล้ายบการฉีดวัคซีน การแพทย์ชนชาติลาตินอเมริกา (Latin American Rural Practice) จะใชก้ ัญชาในการบาบัดอาการต่าง ๆ การแพทย์ชนชาติอเมริกันอินเดีย (Native American Practices) จะใช้การผสมสมนุ ไพรรากไม้จากพืชธรรมชาติมารักษาโรค การแพทย์ทิเบต (Tibetian Medicine) จะเน้นการวิเคราะห์โรคจากการจับชีพจรและการตรวจปัสสาวะ ให้การรักษาโดยให้กินสมุนไพร และเกลือแรต่ ่าง ๆ ปรบั แบบแผนพฤตกิ รรม ทั้งยังมีการรมควันและฝังเข็มแบบทิเบต การแพทย์แผนประเพณี ตะวันออก (Traditional Oriental Medicine) เช่น ชี่กง สมาธิแบบจีนที่เน้นการขับเคลื่อนลมปราณ โยเร (พลงั จกั รวาลไฟฟูาแบบญี่ปุน) เปน็ ต้น 2) วธิ ีการใชส้ นามไฟฟูาชีวภาพ (Bio-electromagnetic Applications) หมายถงึ กลุ่มศาสตร์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสนามแม่เหล็กไฟฟูา และพลังสนามแม่เหล็กไฟฟูาในตัว มนุษย์ ได้แก่ การกระตุ้น การฝังเข็มด้วยไฟฟูา (Electro acupuncture) สนามแม่เหล็กไฟฟูา (Electromagnetic Fields) 3) วิธีการใช้อาหาร โภชนาการ และการปรบั เปลี่ยนรปู แบบการใชช้ ีวติ (Diet, Nutrition, Lifestyle Changes) หมายถึง กลุ่มศาสตร์ท่ีใช้กระบวนการทางอาหารและโภชนาการในการ ปอู งกนั ปญั หาความเจบ็ ปุวยการดารงรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และการปรับแก้ไขปัญหาโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แก่ สูตรอาหารธรรมชาติต่าง ๆ (Diet) แม็กโครไบโอติกส์ (Macrobiotics) การบาบัดด้วยวิตามินในปริมาณสูง (Megavitamins) การบาบัดดว้ ยอาหารเสริม (Nutritional Supplements) 4) วิธกี ารใช้พืชและสมนุ ไพร (Herbal Medicine) หมายถึง พชื สมนุ ไพร หรือ ผลิตภัณฑ์จากพืช สมุนไพรที่ใช้เป็นยาท่ีมีรากฐานจากศาสตร์การแพทย์แผนประเพณีชนชาติต่าง ๆ หรือภูมิ ปัญญาพื้นบ้าน โดยรวบรวมสมุนไพรที่ใช้เป็นยาจากยุโรป เอเชีย จีน อเมริกา และอินเดีย เช่น หญ้าฝรั่น
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 14 ต่อต้านมะเร็ง ลดไขมันในเลือด, เมล็ดจันทน์เทศ (nutmeg) ช่วยย่อยอาหาร บารุงตับ บารุงผิวพรรณ, ถ่ังเฉ้า ชว่ ยเสรมิ สมรรถภาพทางเพศ จงึ มีอกี ชือ่ หนง่ึ ว่า ไวอากรา้ แหง่ เทอื กเขาหมิ าลัย,เห็ดทรัฟเฟิล ช่วยต่อต้านอนุมูล อิสระ เป็นต้น 5) วธิ กี ารเยยี วยาดว้ ยมอื (Manual Healing) หมายถึง ศาสตร์ทใี่ ช้การสมั ผสั หรอื การ ใช้มือแทนเครื่องมือในการวินิจฉัย และบาบัดรักษาโรค ได้แก่ การกดจุด (Acupressure) การจัดกระดูกสัน หลัง (Chiropractic Medicine) การนวด (Massage Therapy) กดจุดสะท้อนประสาท เช่น การนวดที่ฝุาเท้า (Reflexology) 6) วธิ กี ารจัดกระทากบั กายและจติ หรอื พฤติกรรมชีวภาพ (Mind/Body Control or Biohavioral) หมายถึง ศาสตร์ท่ีให้ความสาคัญกับศักยภาพของจิตใจที่มีผลกระทบต่อร่างกาย ซ่ึงส่วนใหญ่มี รากฐานองค์ความรู้มาจากการแพทย์แผนประเพณี ที่มักใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์แผนประเพณีหรือจาก ความสัมพันธ์เก่ียวเน่ืองระหว่างร่างกายและจิตใจ ได้แก่ ศิลปะบาบัด (Art Therapy) การฝึกไบโอฟีดแบ็ก (Bio-feedback) ซึ่งเป็นการบาบัดโดยยึดหลักความสมดุลของกายกับจิต ร่วมกับการใช้เครื่องไฟฟูากระตุ้น และทาสมาธิหรือสร้างภาพไปพร้อมกัน ช่วยในการคลายเครียดของกล้ามเน้ือ การให้คาปรึกษาแนะแนว (Counseling) การเต้นราบาบัด (Dance Therapy) จินตภาพบาบัด (Guided Imagery) หรรษาบาบัด (Humor Therapy) การบาบัดด้วยการสะกดจิต (Hypnotherapy) การทาสมาธิ (Meditation) ดนตรีบาบัด (Music Therapy) ภาวนาบาบัด (Prayer Therapy) เทคนิคการผ่อนคลาย (Relaxation Techniques) การบาบดั โดยกระบวนการกลมุ่ (Therapeutic Support Groups) โยคะ (Yoga) 7) วธิ ีการรักษาดว้ ยยาและสารชีวภาพ (Pharmacological & biological treatments) หมายถึง ศาสตร์ที่ใช้ยาและวัคซีนชนิดที่ยังไม่ได้รับการยอมรับในระบบการแพทย์กระแสหลัก ได้แก่ การบาบัดด้วยเซลล์เป็น ๆ (Cell Treatments) การรักษาด้วยโอโซน, ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Oxidizing) Agents - Ozone, Hydrogen Peroxide) การรักษาโรคด้วยวิธีการกาจัดธาตุโลหะ (Chelation Therapy) ทั้งหมดที่กล่าวมาน้ีเป็นลาดับความเป็นมาของระบบสุขภาพทางเลือกของสังคมโดยสังเขป ซ่ึงมีทั้ง สว่ นท่มี ีอย่แู ต่ดัง้ เดมิ และสว่ นทีร่ บั เอาเข้ามาใหม่ในช่วงเวลาต่าง ๆ และเชื่อว่าคงจะมีวิธีการใหม่ ๆ ท่ีจะรับเข้า มาอย่เู ร่ือย ๆ ตามวิวัฒนาการของระบบสุขภาพทางเลือกของสังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์ท่ีมีการไหลเวียนของ ข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วท่ามกลางกระแสนิยมในวิธีการบาบัดรักษาโรคเหล่าน้ี พยาบาลควรท่ีจะศึกษาว่า วิธีการเหล่าน้ีมีผลดีต่อสุขภาพและบาบัดรักษาโรคได้จริงหรือไม่ หรือมีผลดีในแง่มุมใดบ้าง และควรมีการ พจิ ารณาอย่างรอบคอบเพ่ือใหส้ ามารถใช้ประโยชน์จากระบบสขุ ภาพทางเลือกได้อยา่ งเตม็ ท่ี
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตุพร จารองเพง็ 15 5.3 บทบาทของพยาบาลในการดแู ลขา้ มวัฒนธรรม 5.3.1 หลักการสาคัญในการพยาบาลผรู้ บั บริการตา่ งวัฒนธรรม: 4A2ISE (ประณตี ส่งวฒั นา, 2559) 1) Acknowledge the nurse and client’s cultural ใหค้ วามสาคญั และเรยี นรูว้ ัฒนธรรมและภมู ิ หลังของพยาบาลและผรู้ บั บริการซ่งึ กันและกนั 2) Avoiding prejudice and cultural bias หลกี เลีย่ งความลาเอยี งและอคติหรืออปุ ทานเก่ียวกับ วฒั นธรรม 3) Assessing the client’ view of the situation ประเมนิ มุมมองหรือทศั นะในสถานการณ์หรอื สภาวะทผี่ ้ใู ชบ้ ริการประสบอยู่ 4) Avoiding Language Barriers หลกี เล่ยี งความผดิ พลาดในการสอื่ สารด้านภาษา 5) Involving all family members ให้ครอบครวั มีส่วนรว่ มตลอดกระบวนการ 6) Identifying significant others กาหนดบคุ คลหรือสง่ิ สาคัญทม่ี คี วามหมายต่อชวี ติ 7) Supporting nutritional preference ใหก้ ารสนับสนนุ ด้านอาหารหรือโภชนาการทีช่ อบ 8) Evaluation nursing actions ประเมนิ ผลการกระทา 5.3.2 มาตรฐานการปฏิบัติสาหรับการให้การดูแลทางการพยาบาลโดยใช้สมรรถนะทางวัฒนธรรม ประกอบดว้ ย (Douglas et al., 2011) 1) ความยุตธิ รรมในสังคม (Social justice) หมายถงึ พยาบาลจะตอ้ งส่งเสริมความยตุ ธิ รรมใน สังคม โดยสามารถประยุกต์ใช้หลักการความยุติธรรมในสังคมมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจของพยาบาลท่ี เกี่ยวข้องกับผู้รับบริการ ครอบครัว ชุมชน และบุคลากรวิชาชีพทางด้านสุขภาพอื่นๆ ได้ นอกจากนี้พยาบาล จะต้องพัฒนาทักษะในเรื่องของความเป็นผูน้ าในการสนับสนนุ ให้เกิดนโยบายความยุติธรรมในสังคมดว้ ย 2) การสะท้อนความคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ (Critical reflection) หมายถึง พยาบาลจะตอ้ งเข้า ร่วมในกระบวนการสะท้อนความคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทั้งในเร่ืองของคุณค่าในตัวเอง ความเชื่อ มรดกทาง วัฒนธรรม เพ่ือท่ีจะตระหนักรู้ถึงคุณภาพและประเด็นต่างๆ ที่จะส่งผลต่อการให้การพยาบาลท่ีสอดคล้องกับ วฒั นธรรมของผรู้ ับบริการ 3) ความร้ทู างดา้ นวฒั นธรรม (Knowledge of cultures) หมายถึง พยาบาลควรทาความเข้าใจ ถึงมุมมอง จารีตประเพณี คุณค่า แนวทางในการปฏิบัติ และระบบครอบครัว ของวัฒนธรรมท่ีหลากหลายใน แต่ละบุคคล ครอบครัว ชุมชน และประชากรที่พยาบาลได้ให้การดูแล รวมถึงจะต้องมีความรู้ถึงตัวแปรที่ ซบั ซอ้ นทสี่ ่งผลกระทบตอ่ ความผาสุกทางด้านสุขอภาพ 4) สมรรถนะทางวัฒนธรรมในการปฏบิ ัติ (Cultural competent practice) หมายถึง พยาบาล ควรจะใช้ความร้เู รอ่ื งข้ามวัฒนธรรม และทักษะความไวทางวัฒนธรรม นามาปรับใช้กับการดูแลรักษาพยาบาล ให้สอดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมท่ีหลากหลาย 5) สมรรถนะทางวัฒนธรรมในระบบบรกิ ารสขุ ภาพและในองค์กร (Cultural competence in health care systems and organizations) หมายถึง องค์การทางด้านสุขภาพควรมีการจัดเตรียม โครงสร้างและแหล่งทรัพยากรณ์ต่างๆ ที่จาเป็นเพ่ือใช้ในการประเมินและตอบสนองความจาเป็นทางด้าน วฒั นธรรมและภาษาของผูร้ ับบรกิ ารทมี่ คี วามหลากหลาย
การพยาบาลขา้ มวฒั นธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพง็ 16 6) การพทิ ักษ์สิทธิแ์ ละการเสริมสร้างพลังอานาจ (Patient advocacy and Empowerment) หมายถึง พยาบาลจะต้องตระหนักถึงผลกระทบของนโยบายทางด้านการดูแลสุขภาพ ระบบของการส่งต่อ และทรัพยากรที่มีไปยังกลุ่มผู้รับบริการ และจะต้องพิทักษ์สิทธ์ิผู้รับบริการที่รวมถึงเร่ืองความเช่ือทาง วฒั นธรรมของผู้รับบรกิ ารและการปฏิบัตใิ นทกุ มิติของการดูแลทางสุขภาพ 7) การทางานกับบุคลากรท่มี ีความหลากหลายทางวฒั นธรรม (Multicultural Workforce) หมายถึง พยาบาลจะต้องมีส่วนร่วมในการทางานกับบุคลากรท่ีมีความหลากหลายทาง วัฒนธรรมในระบบบริการสุขภาพ ซึ่งหนึ่งในตัวช้ีวัดที่บ่งช้ีถึงความสาเร็จในการทางานร่วมกับบุคลากรเหล่านี้ คอื การสรรหาและการธารงรกั ษาไว้ซึง่ พนกั งานให้คงอย่ใู นโรงพยาบาลได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 8) การศึกษาและการฝกึ อบรมใหก้ ารดูแลโดยใชส้ มรรถนะทางวฒั นธรรม (Education and training in culturally competent care) หมายถึง พยาบาลจะต้องมีการเตรียมด้านการศึกษาเพื่อใช้ใน การส่งเสริมและให้การดูแลทางสุขภาพที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม รวมถึงความรู้และทักษะท่ีจาเป็นเพ่ือใช้ สนับสนุนให้เกิดการพยาบาลที่มีความสอดคล้องทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงหัวข้อการให้ดูแลสุขภาพทั่วโลก (Global health) ให้มีในการศึกษาอย่างเป็นระบบและการฝึกอบรมทางคลินิกที่ต้องการ เพ่ือให้การศึกษา สาหรับผู้ปฏิบัติการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง 9) การส่ือสารข้ามวัฒนธรรม (Cross Cultural communication) หมายถงึ พยาบาลจะตอ้ งใช้ สมรรถนะทางวัฒนธรรมในเรื่องของทักษะในการส่ือสารที่มีท้ังแบบท่ีเป็นวัจนภาษาและอวัจนภาษา เพ่ือบ่งช้ี ค่านิยม ความเช่ือ แนวทางปฏิบัติ การรับรู้ และความต้องการการดูแลสุขภาพของผู้รับบริการที่มีลักษณะ เฉพาะเจาะจง 10) ภาวะผ้นู าขา้ มวัฒนธรรม (Cross cultural leadership) หมายถงึ พยาบาลจะตอ้ งมี ความสามารถในการมีอิทธิพลต่อบุคคล กลุ่ม และระบบอื่นๆ เพ่ือให้เกิดความสาเร็จโดยใช้สมรรถนะทาง วฒั นธรรมในการดแู ลผคู้ นที่มีความหลากหลายไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 11) การพัฒนานโยบาย (Policy development) หมายถงึ พยาบาลจะต้องมีความรแู้ ละทักษะใน การทางานกับองค์กรของรัฐและเอกชน รวมถึงองค์กรวิชาชีพต่างๆ และชุมชน เพ่ือกาหนดนโยบายและ มาตรฐานท่ีนาไปสู่การปฏบิ ัตแิ ละประเมนิ ผลการดแู ลโดยใช้สมรรถนะทางวัฒนธรรม 12) การปฏบิ ัติโดยองิ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ และการวจิ ัย (Evidence-based practice and research) หมายถึง พยาบาลจะต้องมีแนวปฏิบัติการพยาบาลที่ได้ทาการทดสอบอย่างเป็นระบบที่แสดงให้ เห็นถึงการดแู ลประชากรที่มคี วามหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และในพ้ืนท่ีที่ยัง ขาดหลักฐานเชงิ ประจักษ์อย่างมปี ระสิทธิผลน้ัน นักวิจัยทางการพยาบาลจะต้องทาการตรวจสอบและทดสอบ แนวทางต่างๆ เพื่อลดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันจากการให้การดูแลทางสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ท่สี ดุ จากหลักการและมาตรฐานการปฏิบัติสาหรับการให้การพยาบาลโดยใช้สมรรถนะทาง วฒั นธรรมทก่ี ล่าวมา สามารถสรปุ ได้ว่าการให้การพยาบาลในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากเดิมท่ีเคยให้ การพยาบาลในรูปแบบเดียวกัน เปล่ียนเป็นการให้การพยาบาลในผู้รับบริการท่ีมีความหลากหลายทาง วัฒนธรรมเพม่ิ มากข้ึน (Multi-Cultural) ซ่ึงผูร้ บั บริการในแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน พยาบาลท่ีจะทางาน ไดด้ ตี อ้ งมีความคดิ พื้นฐานทีม่ คี วามเป็นสากล มีความเขา้ ใจในวัฒนธรรมของชนชาตติ า่ งๆ เพราะความแตกต่าง ทางเชื้อชาติและความหลากหลายทางวัฒนธรรมน้ัน อาจนามาซ่ึงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่แตกต่างกัน ทั้ง ในเรื่องของภาษา และความเชื่อทางวัฒนธรรม ซึ่งอาจทาให้พยาบาลท่ีให้การดูแลเกิดความเข้าใจท่ีไม่ถูกต้อง และอาจใหก้ ารพยาบาลทไี่ ดร้ ับอันตรายถึงแกช่ วี ิตผ้รู บั บรกิ ารได้
การพยาบาลขา้ มวฒั นธรรม : อาจารยจ์ ตุพร จารองเพ็ง 17 5.3.3 แนวทางในการดูแลผูร้ ับบรกิ ารขา้ มวัฒนธรรม มีดังน้ี 1) ตระหนักถึงความเชื่อส่วนตัว เปิดใจรับรู้ ทาความเข้าใจต่อค่านิยมความเชื่อของผู้อ่ืนที่แตกต่างไป จากตนเอง 2) มคี วามรสู้ ึกไวตอ่ ลักษณะประจาตัวของแตล่ ะบุคคล จะทาให้ทางานร่วมกบั ผู้อืน่ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และเขา้ ใจผ้รู บั บริการต่างวัฒนธรรมได้ดี 3) บรกิ ารพยาบาลต่างๆ ทใี่ หก้ บั ผู้รบั บรกิ ารจะต้องพิจารณาให้สอดคลอ้ งกับรปู แบบการดาเนนิ ชีวติ (Life style) และลักษณะเฉพาะแต่ละบุคคลของผู้รับบริการ พร้อมทั้งจัดลาดับความสาคัญของกิจกรรมการ พยาบาลใหเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ผู้รบั บริการ 4) ขอ้ มลู ทางวฒั นธรรมบางประการ สาหรับคนบางกล่มุ อาจเปน็ สิง่ จาเป็นสาหรับปฏบิ ัติการ พยาบาลทมี่ ีคณุ ภาพ 5) ความรูแ้ ละทักษะทางด้านวัฒนธรรมสามารถเรียนร้ไู ด้จากหนังสือ บทความต่างๆ และ ประสบการณ์ท่ผี า่ นมาของพยาบาล 6) พงึ ระลกึ อยเู่ สมอวา่ พยาบาลไม่เพียงแตเ่ ปน็ ผสู้ อนเท่านนั้ แต่เปน็ ผเู้ รยี นดว้ ย พยาบาลตอ้ งเรียนรู้ จากคนในวฒั นธรรมต่างๆ 7) ปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลต่างๆ ต้องกระทาบนพน้ื ฐานของการร่วมมอื กันระหวา่ งพยาบาลและ ผรู้ ับบรกิ าร อยใู่ นวิสยั ทผี่ ู้รับบรกิ ารจะรบั ได้ โดยใช้จดุ แข็งของผู้รับบรกิ ารให้เป็นประโยชนส์ งู สุด ภายใต้บริบทของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของบุคคล ครอบครัว และชุมชน พยาบาล จึงต้องมีการพัฒนาสมรรถนะทางวัฒนธรรมเพ่ือให้การพยาบาลท่ีสอดคล้องกับความต้องการและวัฒนธรรม ของผู้รับบริการ โดยยึดหลักการดูแลแบบองค์รวม ซึ่งคานึงถึงผู้รับบริการท่ีครอบคลุมท้ังด้านร่างกาย สังคม และจิตวิญญาณ อันจะส่งผลให้พยาบาลและผู้รับบริการมีความเข้าใจกันและกันมากขึ้น และท่ีสาคัญยิ่ง พยาบาลจาเปน็ ตอ้ งมคี วามตระหนกั ถึงความแตกตา่ งด้านวฒั นธรรมของผรู้ ับบริการเพื่อช่วยให้ส่งเสริมคุณภาพ การให้การพยาบาล เกิดการให้การพยาบาลท่ีมีความเหมาะสมกับบริบทของผู้รับบริการทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม ซงึ่ จะชว่ ยใหผ้ ลลพั ธ์ทางสขุ ภาพดขี น้ึ
การพยาบาลขา้ มวัฒนธรรม : อาจารยจ์ ตพุ ร จารองเพ็ง 18 อา้ งอิง 1. Campinha-Bacote, J. (1998). The process of cultural competence in delivery of health care services (3rd ed.). Cincinnati, OH: Transcultural C.A.R.E. Associates Press. 2. Campinha-Bacote, J. (1999). A Model and Instrument for Addressing Cultural Competence in Health Care. Journal of nursing Education, 38(5), 203-207. 3. Campinha-Bacote, J. (2002). The process of cultural competence in the delivery of health care service :A model of care. Journal of Transcultural Nursing. 13, 181-184. 4. Chrisman, N.J. (1977). The Health Seeking Prooess: Approach to the Natural History of Illness.In Culture, Medecine and Psychiatry 1. (pp.357-377) 5. Leininger, M. (1991). Culture care diversity and universality: A theory of nursing. NewYork: John Wiley & Sons. 6. Leininger, M. (2001). Culture care diversity and universality: A theory of nursing: Jones and Barlett Publishers. 7. Leininger, M. (2002). Culture care theory : A major contribution to advance transcultural nursing knowledge and practice. Journal of Transcultural Nursing. 13, 189-192. 8. Leininger, M. & McFarland M.R. (2006). Culture care diversity and universality: A worldwide nursing theory (2nd ed.). Sudbury, MA: Jones and Barlett Publishers. 9. Purnell, L. (2002). The Purnell model for cultural competence. Journal of Transcultural Nursing, 13(3), 193-197. 10. Purnell, L. (2005). The Purnell model for cultural competence. The Journal of Multicultural Nursing & Health. 11(2), 7-15. 11. Young, J.C. (1981). Non Use of Phesicians: Methodological Approaches, Policy Implications and The Utility of Decision Models. In Social Science & Medicine. 15, (pp.497-507) 12. นิตยา บญุ สงิ ห์.(2554). วัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์พัฒนศกึ ษา. 13. เมตตา วิวัฒนานกุ ลู . (2548). การสื่อสารตา่ งวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . 14. สภาการพยาบาล. (2556). การประชุมวิจัยทางการพยาบาล ครัง้ ที่ 5: สานวจิ ัยทางการพยาบาลสู่ ปฏิบัตกิ ารในประชาคมอาเซยี น วนั ที่ 2-4 ธนั วาคม 2556. กรุงเทพฯ: สภาการพยาบาล กระทรวง สาธารณสุข. 15. สดุ ศิริ หิรัญชุณหะ, ประณตี สง่ วฒั นา, หทยั รัตน์ แสงจนั ทร์, วงจันทร์ เพชรพเิ ชษฐเชยี ร. (2550). สมรรถนะทางวัฒนธรรมทางการพยาบาล. วารสารสภาการพยาบาล, 22(1), 9-27.
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: